เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพุธที่ ๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๖

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 8 กุมภาพันธ์ 2023.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,663
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,551
    ค่าพลัง:
    +26,390
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพุธที่ ๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๖


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,663
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,551
    ค่าพลัง:
    +26,390
    วันนี้ตรงกับวันพุธที่ ๘ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๖๖ ช่วงเช้าหลังจากที่กระผม/อาตมภาพบิณฑบาตและฉันเช้าเรียบร้อยแล้ว ก็ได้เดินทางไปสำนักงานเทศบาลตำบลทองผาภูมิ เพื่อเป็นวิทยากรบรรยายในโครงการอบรม และดูงานของโรงเรียนผู้สูงอายุอำเภอทองผาภูมิ ซึ่งหัวข้อที่เขากำหนดมาให้นั้นเป็นเรื่องที่จำกัดมาก เพราะว่าให้กล่าวถึงประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมชุมชน ที่สามารถเปลี่ยนเป็นมูลค่า ตามแนวปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของในหลวงรัชกาลที่ ๙

    กระผม/อาตมภาพจึงต้องให้คำแนะนำบรรดาผู้สูงอายุของโรงเรียนผู้สูงอายุอำเภอทองผาภูมิทั้ง ๖๐ คน ซึ่งรวมกันแล้วอายุน่าจะเกิน ๔,๐๐๐ ปี..! ว่าการที่เราจะสามารถเปลี่ยนประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมชุมชนให้มีราคา หรือว่าให้เป็นมูลค่า ให้ขายได้นั้น จำเป็นอย่างยิ่งที่เราจะต้องมีวิธีการนำเสนอที่น่าสนใจ

    อย่างเช่นว่า แหล่งประวัติศาสตร์ชุมชนที่ชัดเจนที่สุด ก็คือสถานีรถไฟบ้านท่าขนุน ซึ่งเป็นทางรถไฟสายมรณะสมัยสงครามโลกครั้งที่ ๒ ถ้าเราบอกกล่าวแค่ว่าเป็นเส้นทางที่วิ่งจากบ้านหนองปลาดุก จังหวัดราชบุรี ไปจนถึงตันบวยเซียดของพม่า ประวัติศาสตร์ก็จะจืดชืดไม่น่าสนใจ

    แต่ถ้าท่านทั้งหลายแนะนำว่า ย้อนหลังไปประมาณ ๘๐ปี กองทัพทหารญี่ปุ่นจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องบุกไปยึดพม่าให้ได้ เพื่อรอการที่จะเข้าตีอินเดียพร้อมกับกองทัพเยอรมัน ก็แปลว่าในขณะนั้น ทางด้านโลกตะวันตก กองทัพแห่งอาณาจักรไรซ์ที่ ๓ คือเยอรมัน จะต้องตียึดทางด้านตะวันตกให้ได้ทั้งหมด แล้วมาบรรจบครบรอบกันทางทวีปเอเซีย คือเข้าตีอินเดียพร้อมกับกองทัพลูกพระอาทิตย์ที่ไปจ่อรออยู่ที่ประเทศพม่าแล้ว

    แต่ปรากฏว่ากองทัพเยอรมันนั้นไปเสียท่าให้กับกองทัพรัสเซีย ซึ่งสู้ถวายหัวอยู่ที่เมืองสตาลินกราด ชนิดที่เรียกว่าหลังจากผ่านพ้นสงครามไปแล้ว เมืองสตาลินกราดนั้นหนูสักตัวเดียวก็ไม่มี..! เนื่องเพราะว่าถูกชาวรัสเซียจับเป็นอาหารหมด สู้กันอย่างชนิดมอบกายถวายชีวิต เอาเลือดทาแผ่นดิน จนกองทัพอันเกรียงไกรของเยอรมันไม่สามารถที่จะยึดรัสเซียได้ จึงไม่สามารถที่จะผ่านเข้าทางด้านเอเซีย เพื่อไปยึดอินเดียพร้อมกับกองทัพลูกพระอาทิตย์ ไม่เช่นนั้นแล้วโลกเราในปัจจุบันน่าจะเหลือแค่ ๒ ภาษา คือภาษาเยอรมันกับภาษาญี่ปุ่นเท่านั้น..!
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,663
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,551
    ค่าพลัง:
    +26,390
    ดังนั้น..การบอกเล่าประวัติศาสตร์ชุมชน จึงควรที่จะมีเกร็ดความรู้ที่กว้างขวางมากขึ้น ซึ่งจะได้จากการศึกษาดูงานหรือว่าอบรมนี้เอง

    หรือถ้าหากกระผม/อาตมภาพ จะบอกกล่าวเรื่องราวในพระไตรปิฎกทั่ว ๆ ไป อย่างเช่นว่าเจ้าชายสิทธัตถะประสูติแล้วเดินได้ ๗ ก้าว ได้รับปราสาท ๓ ฤดูตอนอายุ ๑๖ ปี แต่งงานแล้วออกบวชตอนอายุ ๒๙ ปี ตรัสรู้ตอนอายุ ๓๕ ปี ถ้าอย่างนี้ก็จืดชืดเป็นน้ำยาเย็น..!

    แต่ถ้าเราบอกว่า เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะประสูติก็เกิดแผ่นดินไหวแล้ว หลังจากนั้นเมื่อได้รับการขนานนาม และพระราชมารดาคือพระนางสิริมหามายาสิ้นพระชนม์ พราหมณ์ทั้ง ๑๐๘ รูปให้คำทำนายว่า ถ้าหากว่าออกบวชจะได้เป็นศาสดาเอกของโลก ถ้าหากว่าอยู่ครองราชสมบัติจะได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ซึ่งเนื้อหาช่วงนี้พวกเราส่วนใหญ่ก็รู้แล้ว

    แต่ถ้าเราบอกว่า แค่อายุ ๑๖ ปี สิทธัตถราชกุมารจบปริญญาเอก ๑๘ ใบ..! คาดว่าทุกคนคงจะร้องโอ้โฮ..! กระผม/อาตมภาพกว่าจะจบปริญญาเอก ๑ ใบก็แทบล้มประดาตาย ตอนนี้ใบที่ ๒ ที่ได้มา ก็ได้จากเกียรติคุณที่สั่งสมมาสามสิบสี่สิบปี แต่เจ้าชายสิทธัตถะจบปริญญเอกถึง ๑๘ ใบ ตอนอายุแค่ ๑๖ ปีเท่านั้น ก็คือวิชาการต่าง ๆ ซึ่งจำเป็นอย่างยิ่ง ที่บรรดาเจ้าพระยามหากษัตริย์จะต้องศึกษา ไม่ว่าจะเป็นโหราศาสตร์ ดาราศาสตร์ พิชัยสงคราม ไล่ไปจนกระทั่งถึงบรรดานิรุกติศาสตร์ แม้กระทั่งฟังสำเนียงพูดของคน ก็สามารถทำนายได้ว่าบุคคลนั้นมีจริตนิสัยอย่างไร

    เรื่องทั้งหลายเหล่านี้ วิชาเดียวก็ศึกษากันทั้งชีวิตแล้ว แต่ว่าเจ้าชายสิทธัตถะของเราสามารถที่จะศึกษาจบทั้ง ๑๘ ศาสตร์ได้ภายในอายุ ๑๖ ปีเท่านั้น แค่นี้ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องไปอาศัยอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์อะไร ที่จะยกย่องให้ศาสดาของเราวิเศษเลิศลอยเพื่อให้คนศรัทธาเชื่อถือ เอาแค่เรื่องที่คนธรรมดา ๆ ก็ทำได้ อย่างเช่นการเรียนปริญญาเอกก็พอแล้ว

    แต่เจ้าชายสิทธัตถะอายุแค่ ๑๖ ปีจบปริญญา ๑๘ ใบยังไม่พอ ยังจบไตรเพทของทางด้านศาสนาพราหมณ์อีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นฤคเวท ยชุรเวท สามเวท ยังดีที่สมัยนั้นมีแค่ไตรเวทหรือไตรเพทแค่นั้น ถ้าหากว่ามีอาถรรพเวทซึ่งเป็นฉบับที่ ๔ ของคัมภีร์ศาสนาพราหมณ์ปรากฏขึ้นในยุคนั้น คาดว่าเจ้าชายสิทธัตถะก็คงเรียนจนเจนจบเหมือนกัน..!
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,663
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,551
    ค่าพลัง:
    +26,390
    หรือเรื่องราวของพระฉันนะ ซึ่งเคยเป็นอดีตมหาดเล็กคนสนิท ติดตามสิทธัตถราชกุมารจนกระทั่งออกบวช เมื่อบวชมาแล้ว ด้วยความหัวดื้อ หัวรั้น ไม่ฟังใคร ถึงขนาดเวลาพระเถระตักเตือนก็เถียงว่า "ท่านเป็นใคร ? ผมคือพระฉันนะ เป็นผู้อยู่ดูแลพระลูกเจ้ามาตั้งแต่อายุยังน้อย ๆ ในสมัยนั้นพวกท่านอยู่ที่ใดกันหรือ ? แม้กระทั่งการออกมหาภิเนษกรมณ์ของพระลูกเจ้า ข้าพเจ้าก็เป็นคนพาท่านออกไปเอง" คนอื่นเจอแบบนี้เข้าก็สะเด็ดหมด..! ไม่มีใครสามารถที่จะตักเตือนได้

    จนกระทั่งก่อนปรินิพพาน พระอานนท์กราบทูลถามพระบรมศาสดาว่าจะปฏิบัติต่อฉันนะภิกขุอย่างไร ? พระพุทธเจ้าตรัสว่า "ให้สงฆ์ลงพรหมทัณฑ์" พระอานนท์กราบทูลว่า "พรหมทัณฑ์นั้นเป็นการลงโทษแบบใด ?" พระพุทธเจ้าตรัสว่า "ขอให้สงฆ์ทั้งหลายไม่ร่วมกิน ไม่ร่วมนอน ไม่ร่วมสังฆกรรม ไม่ตักเตือนใด ๆ ทั้งสิ้น" พูดง่าย ๆ ก็คืออยากจะทำผิดทำชั่วอย่างไรก็ปล่อยให้เต็มที่ไปเลย..!

    ปรากฏว่าพระอานนท์ต้อง "ขอความคุ้มครองจากคณะสงฆ์" เพื่อไปแจ้งข่าวซึ่งเป็นมติสงฆ์ต่อพระฉันนะ คำว่าขอความคุ้มครองในที่นี้ก็คือขอให้หมู่สงฆ์ไปด้วย เผื่อพระฉันนะอาละวาดขึ้นมา จะได้ช่วยกันป้องกัน ท่านทั้งหลายต้องไม่ลืมอานนทราชกุมาร มีสิทธิ์ที่จะสืบสันตติวงศ์ครองราชบังลังก์ สารพัดวิชาโดยเฉพาะการต่อสู้ต้องฝึกมาเจนจบแล้ว ทำไมต้องกลัวฉันนภิกขุขนาดนั้น ?

    ท่านต้องลองนึกย้อนไปว่า ฉันนอำมาตย์นั้น โดนวางตัวให้เป็นองครักษ์ประจำตัวของว่าที่พระเจ้าจักรพรรดิตั้งแต่สมัยนั้น ก็แปลว่าสิ่งหนึ่งประการใดที่องครักษ์ควรจะเชี่ยวชาญ โดยเฉพาะวิชาการต่อสู้ ฉันนอำมาตย์จะต้องเพียบพร้อมยิ่งกว่าคนอื่น เก่งกล้ายิ่งกว่าคนอื่นทั้งหมด
     
  5. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,663
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,551
    ค่าพลัง:
    +26,390
    ถ้าไม่ชัดเจน ต้องนึกถึงตอนออกมหาภิเนษกรมณ์ เมื่อจูงม้ากัณฐกะมาถึง ปรากฏว่าประตูเมืองปิด ฉันนอำมาตย์คิดในใจว่า "ประตูเมืองปิดก็ไม่เป็นไร เราจะแบกม้ากัณฐกะที่มีพระลูกเจ้านั่งอยู่บนหลัง กระโดดข้ามกำแพงเมืองออกไป" โอ้..พระเจ้า..! กำแพงเมืองอย่างน้อยก็ต้องสูง ๒ - ๓ วา ก็คือ ๔ - ๕ เมตรเป็นอย่างต่ำ คน ๆ เดียวจะกระโดดข้ามไป ถ้าไม่ใช่นักกีฬากระโดดค้ำถ่อก็ยังยาก แต่นี่ยังแบกม้า ๑ ตัวกับคนอีก ๑ คนกระโดดข้าม ด้วยกำลังขนาดนั้นถ้าอาละวาดขึ้นมา คาดว่ามีใครเอาอยู่บ้าง..!?

    พระอานนท์จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องขอความคุ้มครองจากคณะสงฆ์ เพื่อไปแจ้งมตินี้ต่อพระฉันนะ ปรากฏว่าพระฉันนะนั้น เมื่อทราบว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว และสั่งสงฆ์ให้ลงพรหมทัณฑ์ก็ขวัญเสีย เพราะว่าที่พึ่งของตนนั้นหมดสิ้นลงไปแล้ว ถึงขนาดกราบพระอานนท์ว่า "ขอพระคุณเจ้าจงเป็นที่พึ่งของกระผมด้วยเถิด"

    พระอานนท์บอกว่า "ถ้าพระฉันนะยังไม่เลิกดื้อดึง ก็ไม่มีใครเป็นที่พึ่งให้ เพราะว่าเป็นรับสั่งขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า" พระฉันนะจึงต้องยอมเลิกการหัวดื้อหัวรั้นทั้งปวง แล้วก็ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติธรรม โชคดีที่บรรลุอรหัตผลก่อนที่จะนิพพาน..!

    ดังนั้น..ถ้าหากว่าเราเล่าเรื่องในประวัติศาสตร์ชุมชนหรือว่าวัฒนธรรมชุมชน ตลอดจนกระทั่งถ้าเป็นพระภิกษุสามเณรเล่าเรื่องในพระไตรปิฎก ก็ต้องหาแง่มุมใหม่ ๆ มา คนรุ่นใหม่ถึงจะยอมรับฟัง ไม่เช่นนั้นแล้วก็ปล่อยให้เรื่องราวทั้งหลายผ่านหูไป ไม่น่าสนใจ ไม่สามารถที่จะสร้างมูลค่าให้ได้อย่างที่ตั้งใจกันเอาไว้

    เมื่อเสร็จสิ้นจากตรงนั้นแล้ว กระผม/อาตมภาพก็วิ่งเข้ามากรุงเทพฯ แต่เนื่องจากว่าผ่านนครปฐมจึงแวะกราบองค์พระปฐมเจดีย์ พระร่วงโรจนฤทธิ์ หลวงพ่อศิลาขาว ซึ่งเป็นการกราบไหว้ประจำปีตามคำสั่งครูบาอาจารย์ คือพระเดชพระคุณพระภาวนาปัญญาวิสุทธิ์ (อำพัน อาภรโณ บุญ-หลง, ป.ธ. ๖) อดีตผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดเทพศิรินทราวาส ที่ท่านเมตตาบอกกล่าวให้กระผม/อาตมภาพทำ ซึ่งก็ได้กระทำต่อเนื่องกันมาทุกปีไม่ขาด
     
  6. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,663
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,551
    ค่าพลัง:
    +26,390
    หลังจากนั้นก็แวะไปที่ศาลา ๔ ฌาปนสถาน วัดพระปฐมเจดีย์ราชวรมหาวิหาร เพื่อนำเอาไทยธรรมไปมอบให้กับหมอนุ้ย (แพทย์หญิงนวลจันทร์ เวชสุวรรณมณี) ผู้อำนวยการโรงพยาบาลทองผาภูมิ เพราะว่าคุณพ่อธวัชชัย เวชสุวรรณมณี คุณพ่อของ ผอ.นุ้ย เสียชีวิตลงด้วยอายุ ๘๘ ปี

    เมื่อมอบสิ่งของเพื่อช่วยเหลืองานแล้ว
    กระผม/อาตมภาพก็ได้ขอตัววิ่งไปยังวัดไร่ขิง (พระอารามหลวง) หมู่ที่ ๒ ตำบลไร่ขิง อำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐม เพื่อเยี่ยมสนามอบรมบาลีก่อนสอบ ตามหน้าที่ซึ่งได้รับมอบหมายจากพระเดชพระคุณพระธรรมวชิรานุวัตร, ดร. (แย้ม กิตฺตินฺธโร) เจ้าคณะภาค ๑๔

    หลังจากเยี่ยมสนามแล้วจึงไปเซ็นชื่อเยี่ยม ปรากฏว่าเจอพระเดชพระคุณพระธรรมวชิรานุวัตร, ดร. นั่งรับไทยธรรมจากผู้มาถวายมุทิตาสักการะ เนื่องเพราะว่าวันพรุ่งนี้ท่านจะได้รับสัญญาบัตรพัดยศ ซึ่งพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมอบหมายให้องคมนตรีอัญเชิญมาถวาย

    ความจริงกระผม/อาตมภาพตั้งใจอยู่ว่าจะไปถวายมุทิตาสักการะพรุ่งนี้ แต่เนื่องจากว่ากระเช้าใหญ่ เกะกะรถมาก ในเมื่อเห็นคนอื่นถวายสักการะกันตั้งแต่วันนี้ จึงเข้าไปถวายสักการะด้วย เมื่อเสร็จสรรพเรียบร้อย กราบลาเจ้านายแล้วก็เดินทางกลับยังที่พัก มาถึงก็ต้องรีบบันทึกเสียงธรรมจากวัดท่าขนุนของวันนี้ต่อไป

    สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันพุธที่ ๘ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๖๖
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...