เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอาทิตย์ที่ ๔ ธันวาคม ๒๕๖๕

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 4 ธันวาคม 2022.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,540
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,538
    ค่าพลัง:
    +26,373
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอาทิตย์ที่ ๔ ธันวาคม ๒๕๖๕


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,540
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,538
    ค่าพลัง:
    +26,373
    วันนี้ตรงกับวันอาทิตย์ที่ ๔ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๖๕ อย่างที่ได้กล่าวไปในวันนี้ว่า ในเรื่องของการปฏิบัติธรรม ต้องการคนขยันและจริงจัง ถ้าหากยังคิดว่าทำเล่น ๆ โอกาสที่จะเอาดีก็นับว่าเป็นศูนย์..!

    ดังนั้น..ในส่วนที่ได้กล่าวไปแล้วก็คือว่า วัดท่าขนุนของเรา แม้ออกพรรษาแล้วก็ยังมีพระเณรอยู่ ๔๐ กว่ารูป ก็ด้วยสาเหตุหลายประการด้วยกัน

    ประการแรกก็คือ ท่านที่บวชเข้ามาเพราะตั้งใจจะปฏิบัติธรรมเพื่อความหลุดพ้น

    ประการที่สองก็คือ ท่านที่บวชเข้ามาเพื่อที่จะศึกษาเล่าเรียน ไม่ว่าจะเป็นนักธรรม บาลี หรือว่าปริยัติสามัญ

    ประการต่อไปก็คือ โดนพ่อแม่จับยัดมาบวช เพราะบอกว่าวัดนี้เคร่งดี

    ความจริงถ้าใช้คำว่า เคร่ง ขอยืนยันว่าวัดนี้ไม่เคร่ง เพราะว่ากระผม/อาตมภาพเจอวัดที่เคร่งครัดกว่านี้มาก แต่ว่าพยายามปรับทุกอย่างให้อยู่ในลักษณะพอเหมาะพอดี แบบโลกไม่ช้ำ ธรรมไม่เสีย เพราะว่าถ้าหากว่าหนักเกินไปข้างใดข้างหนึ่ง ผู้อื่นก็จะอยู่ยาก เราจะอยู่สบายคนเดียว

    สมัยที่กระผม/อาตมภาพยังออกธุดงค์อยู่ ได้ไปพักที่วัดแห่งหนึ่งแถวอำเภอศรีสวัสดิ์ ซึ่งอยู่ติดไปทางด้านห้วยขาแข้งของจังหวัดอุทัยธานี เจ้าอาวาสวัดนั้นโคตรจะเคร่งครัดต่อวัตรปฏิบัติของตน ก็คือตื่นนอนเมื่อไร จะรีบสวดมนต์ทำวัตรทันที

    คราวนี้พระอาคันตุกะที่ไปพักอยู่ด้วย เพื่อรอจะเดินทางต่อไปยังสถานที่อื่น ก็แล้วแต่ดวง เพราะว่าท่านตื่นเที่ยงคืน ท่านก็จะสวดมนต์เที่ยงคืน ตื่นตี ๑ ก็จะสวดมนต์ตี ๑ ตื่นตี ๒ ก็จะสวดมนต์ตี ๒ โดยที่ไม่ได้สนใจว่าคนอื่นจะหลับจะนอน ลักษณะอย่างนั้น ถ้าหากว่าไม่ใช่พระอาคันตุกะที่สัญจรไปอย่างกระผม/อาตมภาพแล้ว คาดว่าคงหาคนที่อยู่กับท่านได้ยากมาก เพราะว่าท่านเอาแต่เรื่องของตนเองเป็นใหญ่ ไม่ได้ดูบริบทของสังคม ไม่ได้ดูกาลเทศะ ก็คือเวลาอย่างนั้นใช่ไหมที่จะมาสวดมนต์ดังลั่นอยู่คนเดียว ? สวดในใจก็ได้กระมัง ?
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,540
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,538
    ค่าพลัง:
    +26,373
    อีกส่วนหนึ่งก็คือในเรื่องของการสวดมนต์ทำวัตร จะว่าไปแล้ว วัดท่าขนุนก็เหมือนกับวัดอื่น ก็คือทำวัตรเช้าเย็นเท่านั้น แต่ว่าตั้งแต่กระผม/อาตมภาพมาเป็นรองเจ้าอาวาสวัดท่าขนุน สมัยที่พระสมุห์สมพงษ์ เขมจิตฺโต เป็นเจ้าอาวาสอยู่ ตอนนั้นมีการให้พระใหม่ไปสวดมนต์ทำวัตร เพื่อซักซ้อมการสวดมนต์ก่อนทำวัตรค่ำ โดยไปสวดกันที่กุฏิตั้งสังขารหลวงปู่สาย อดีตเจ้าอาวาส

    พวกเราทุกคนต้องเข้าใจว่า การจะทำสิ่งหนึ่งประการใดสำคัญอยู่ที่ผู้นำ ถ้าผู้นำไม่ลงไปทำด้วย ไปไม่รอดหรอก แล้วอีกอย่างหนึ่งก็คือ พระใหม่ที่ไปซ้อมสวดมนต์จะรู้ได้อย่างไรว่าตนเองสวดได้ถูกต้องตามอักขระฐานกรณ์ ถูกตามจังหวะ กระผม/อาตมภาพก็เลยลงไปนั่งฟัง เผื่อพบเห็นว่าตรงไหนผิดพลาดก็จะได้ช่วยแนะนำให้

    ปรากฏว่าด้วยความที่อาวุโสมากไปหน่อย พอกระผม/อาตมภาพลงไป เจ้าอาวาสก็เลยต้องไปด้วย ในเมื่อเจ้าอาวาสไปด้วย พระอื่นเณรอื่นก็ไปด้วย แม่ชีก็ไปด้วย ในเมื่อไปหมดแล้ว ก็ทำวัตรกันให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย จึงกลายเป็นการทำวัตรค่ำ ๒ รอบมาตั้งแต่นั้น ก็คือรอบซ้อมสวด กับรอบทำวัตรจริง

    คราวนี้คุณประโยชน์ของการสวดมนต์ทำวัตรก็อย่างที่บอกกล่าวไปเมื่อเช้า ก่อนที่จะภาวนาพระคาถาเงินล้าน ก็คือถ้าทำเป็น ไปได้ยันพระนิพพาน แล้วการสวดมนต์ ทำวัตร บิณฑบาต เจริญพระกรรมฐาน เป็นหน้าที่ของพระของเณรที่จะต้องทำอย่างนั้น เพื่อรักษาวัตรปฏิบัติอันเป็นอริยประเพณีสืบเนื่องกันมาตั้งแต่สมัยพุทธกาล

    การบิณฑบาตเป็นคำสั่งของพระอุปัชฌาย์อาจารย์ เมื่อบวชแล้วเราต้องทำอย่างไรบ้าง พระอุปัชฌาย์อาจารย์จะสั่งไว้ชัดเจนเลย ปิณฑิยาโลปะโภชะนัง นิสสายะ ปัพพัชชา ปัจจัยเครื่องอาศัยของบรรพชิต คือการเที่ยวบิณฑบาต ไม่ได้บอกให้สั่งเดลิเวรี่..! เพราะฉะนั้น..ใครที่สั่งอยู่ให้เลิกซะ..ถ้าเห็นต่อหน้าจะตบให้หัวหลุด..!
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,540
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,538
    ค่าพลัง:
    +26,373
    วัดท่าขนุนของเรามีกฎเกณฑ์กติกาอย่างหนึ่งก็คือ ถ้าไม่บิณฑบาตก็ไม่ต้องกิน..! ปรากฏว่าสมัยนี้เขาไม่กลัวกัน เพราะว่าโทรสั่งแกรบฟู้ด หรือว่าฟู้ดแพนด้ามาส่ง ถ้าใครยังขืนทำต่อไป เดี๋ยวจะมีรางวัลใหญ่ให้..! เพราะว่าแหกคอกธรรมเนียมของพระพุทธเจ้า ที่บิณฑบาตจนวาระสุดท้ายของพระชนมชีพ แหกคอกคำสั่งของพระอุปัชฌาย์อาจารย์ที่บอกให้บิณฑบาตเลี้ยงชีพ

    กระผม/อาตมภาพเจอญาติโยมที่คุ้นเคยบางท่าน ถึงขนาดออกปากว่า "หลวงพ่อเป็นใหญ่เป็นโตขนาดนี้แล้ว ยังต้องบิณฑบาตเองอีกหรือ ? วัดโน้นเขาเพิ่งเป็นเจ้าอาวาสก็ให้สามเณรบิณฑบาตเลี้ยงแล้ว" กระผม/อาตมภาพก็ได้แต่บอกว่า พระพุทธเจ้าบิณฑบาตจนวันสุดท้ายของพระชนมชีพ ไม่ได้รอให้สามเณรบิณฑบาตมาเลี้ยง..!

    ส่วนในเรื่องของการเจริญพระกรรมฐานนั้น ต้องการทั้งประโยชน์ปัจจุบัน ก็คือช่วยให้กำลังใจของเราสงบระงับ รัก โลภ โกรธ หลง ไม่สามารถจะกินใจได้ ต่อให้ไม่สามารถที่จะจัดการกับ รัก โลภ โกรธ หลง ลงไปได้อย่างเด็ดขาด แต่ว่าอย่างน้อยก็ต้องให้สงบระงับชั่วคราว เพื่อที่จะไม่สร้างความทุกข์ให้แก่พวกเรามากนัก แล้วทำให้สามารถอยู่สุขอยู่เย็นในผ้าเหลืองได้ งานพวกนี้จึงเป็นงานที่เราต้องทำเป็นปกติอยู่แล้ว

    ช่วงก่อนที่นักเรียนบาลีของวัดท่าขนุนไปเรียนที่สหบาลีศึกษานครปฐม พักอยู่ที่วัดพระปฐมเจดีย์ ราชวรมหาวิหาร ก็เอาวัตรปฏิบัติของวัดท่าขนุนไปใช้ ก็คือทำวัตรเช้าเย็น บิณฑบาตเลี้ยงชีพ แล้วก็มีคำร่ำลือว่า "อย่าได้ไปอยู่คณะ ๒ นะมึง..เคร่งฉิบหายเลย..!" ซึ่งกระผม/อาตมภาพไม่เห็นว่าเคร่งตรงไหน เพราะว่าเราทำกันเป็นปกติทุกวัน

    แต่สำหรับท่านทั้งหลายเหล่านั้นก็คือโทรสั่งอาหารมาฉัน อ้างว่าเรียน ไม่มีเวลาสวดมนต์ไหว้พระ ไม่มีเวลาเจริญพระกรรมฐาน เจอพระวัดท่าขนุนเข้าไป ทำงานทุกอย่างที่ขวางหน้า แถมสอบได้ทุกปี น้อยครั้งที่จะตก วัดอื่นก็เลยอ้างไม่ออก ต้องยกให้เป็นความขี้เกียจเฉพาะตนไป..!
     
  5. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,540
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,538
    ค่าพลัง:
    +26,373
    สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ถ้าหากว่าเราทำจนเป็นปกติก็จะเป็นของง่าย ก็เหมือนกับญาติโยมไปเดินขึ้นเขา เอาแค่ยอดเขาพระพุทธเจติยคีรี หอบแฮ่ก ๆ หยุดพักไป ๓ เที่ยว ๕ เที่ยวเป็นอย่างน้อย แต่ถ้าหากว่าเดินตามกระผม/อาตมภาพ ก็ต้องเดินรวดเดียวถึงยอดเขา..!

    แล้วถ้าหากว่ายิ่งไปเจอพี่น้องม้ง น่าจะไม่เกิน ๒ นาทีก็ไปอยู่บนยอดเขาแล้ว ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่าเขาทำกันเป็นปกติ เพราะฉะนั้น..ถ้าหากว่าให้เราไปขึ้นเขาแข่งกับพี่น้องม้ง เราก็ตาย มีวิธีเดียว คือท้าให้มาวิ่งแข่งบนพื้นราบ

    กระผม/อาตมภาพเคยเจอมาแล้ว สมัยที่ย้ายไปอยู่ศูนย์การทหารม้า จังหวัดสระบุรี มีพี่น้องม้งที่มาเรียนนักเรียนนายสิบตามโครงการสร้างผู้นำชุมชน ปรากฏว่าวิ่งล้มแผละ ล้มแผละตลอด เพราะว่าเขาเคยชินกับการยกเข่าสูง ขณะที่คนพื้นราบเตะเท้าออกก็วิ่งเลย ตัวเองมัวแต่ยกเข่าอยู่ เพื่อนก็ชนร่วง แต่ถ้าเราขึ้นเขาเมื่อไรเราตาย..! พี่น้องม้งไปยังยอดเขาแล้ว เรายังนั่งหอบอยู่กลางเขา นั่นคือลักษณะของการทำจนชินแล้วไม่รู้สึกว่าลำบาก

    เรื่องของการปฏิบัติธรรมก็เช่นเดียวกัน ถ้าเราทำจนชินอยู่ทุกวัน ถึงเวลาก็นึกได้ว่าจะต้องทำ เมื่อเคยชิน ซึ่งถ้าใช้บาลี คำว่า ชิน ก็คือฌาน เมื่อเคยชินแล้ว ความลำบากไม่มี กลายเป็นธรรมชาติของเรา เราถึงจะมีกำลังเพียงพอที่จะสู้กิเลสได้

    ดังนั้น..ในส่วนของพระภิกษุสามเณรของเรา การสวดมนต์ทำวัตร บิณฑบาต กรรมฐาน ถือว่าเป็นงานปกติที่จำเป็นต้องทำ ส่วนญาติโยมทั้งหลาย ถ้าคิดจะเป็นนักปฏิบัติธรรมที่ดีจริง ก็ต้องนำไปทำด้วย ไม่เช่นนั้นแล้วโอกาสที่เราจะชนะกิเลสจะมีน้อยมาก

    เพราะว่าในเรื่องของการเอาชนะกิเลส ต้องถึงพร้อมด้วยศีล สมาธิและปัญญา ถ้าหากว่าสมาธิของเรายังไม่คล่องตัวถึงขนาดทรงได้ทุกอิริยาบถ จะทำการทำงานอะไรก็สามารถทรงสมาธิได้ ถ้ายังไม่ถึงระดับนี้ โอกาสชนะกิเลสยังเป็นศูนย์อยู่ ถ้าทำถึงระดับนี้เมื่อไร แล้วลองไปรบกับกิเลสดู ถึงจะแพ้มากกว่าชนะ แต่เราก็มีโอกาสชนะได้บ้าง

    สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันอาทิตย์ที่ ๔ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๖๕
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...