มารเล่นงานเราได้ตลอดเวลา

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 28 มิถุนายน 2022.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,535
    ค่าพลัง:
    +26,372
    21185B87-5D91-4664-8F3D-7C4575E0F533.jpeg

    มารเล่นงานเราได้ตลอดเวลา

    การปฏิบัติของเรา ส่วนที่จะมาขวางเรา ก็คือบรรดามารต่าง ๆ ๕ อย่าง เขาทำหน้าที่ได้สุดยอดมาก พวกเราเผลอเมื่อไรจะเจ็บหนัก เรื่องพวกนี้พวกเราทุกคนต้องระวังให้ดี เขาเล่นเราอยู่ตลอด เราอาจจะไม่รู้ อย่างเช่นว่าจะออกจะบิณฑบาต ก็ "โอ๊ย..ไม่ไหวแล้ว ไข้กำลังขึ้น" ทั้ง ๆ ที่ถ้าจะตะกายไปก็ไปได้ แต่ใจบอกว่าไม่ไหว เมื่อใจบอกว่าไม่ไหว ร่างกายก็พลอยไม่ไหวไปด้วย ถ้าหากว่าถึงขนาดเป็นตายแลกด้วยชีวิต เขาก็ทำอะไรเราไม่ได้

    การบิณฑบาตเป็นกิจวัตร เป็นหน้าที่ซึ่งเราควรกระทำ เป็นพุทธประเพณีที่สืบทอดกันมาสองพันกว่าปี เราประกาศตนเป็นศากยบุตรพุทธชิโนรส เป็นทหารในกองทัพธรรม ถ้าไปอ่อนแอเหยาะแหยะให้มารเขาเห็น มารเขาก็นั่งกระดิกเท้ามองอย่างสบายใจ แต่ถ้าเราเข้มแข็ง ตายเป็นตาย สู้เพื่อให้ผ่านไป จะช่วยให้เราเห็นทุกข์ชัดขึ้นเสียด้วยซ้ำ เพราะฉะนั้น..ความอยากเกิด อยากทุกข์ เราต้องดูให้เห็นชัด ๆ แล้วก็ดูว่ายังอยากได้อีกไหม ? ถ้าไม่อยากได้ก็หาทางหนีให้พ้น หาทางไปนิพพาน ในขณะเดียวกัน ถ้าหากเราไปยอมอ่อนแอ แพ้พ่าย ไปยอมเสียตั้งแต่เริ่มต้น เราก็จะแพ้ทุกเรื่อง ไม่มีกำลังใจสู้ในทุกเรื่อง เพราะเขาเล่นงานเราอยู่ตลอดเวลาอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าเราจะรู้ทันลีลาของเขาหรือเปล่า ?

    เขาจะใช้เหตุการณ์ ยั่วให้กำหนัด ล่อให้หงุดหงิด ลวงให้หลงผิด มากวนอยู่ตลอด ผมเองก็โดนอยู่ทุกวัน โดยเฉพาะตัวผมนั้นมีเวรมีกรรม สมัยก่อนไปรบราฆ่าฟันและไปกลั่นแกล้งเขาไว้เยอะ ถึงเวลาก็ไปตัดกำลังเขา ไปก่อกวนเขาไม่ให้หลับไม่ให้นอน พอไม่ได้หลับไม่ได้นอนไปนาน ๆ ก็หมดสภาพ ก็สู้เราไม่ได้ พอถึงคราวตัวเอง ถ้าจะนอนเมื่อไรก็ไม่ได้นอน จะต้องมีใครสักคนมากวนให้ตื่นจนได้ เรื่องพวกนี้ถ้าเรายอมรับว่าเป็นกฎแห่งกรรม ก็ไม่มีปัญหา แต่ถ้าหากว่าเราตั้งสติไม่ทัน โทสะก็จะมา พอโทสะมาคราวนี้ใจขุ่น ทั้ง ราคะ โลภะ โมหะ ก็ตามมาหมด เพราะฉะนั้น...ถ้าหากว่ารักจะเป็นนักปฏิบัติจริง ๆ นอกจาก สติ สมาธิ ปัญญาต้องทรงตัวแล้ว ยังจะต้องรู้จักสังเกตและระวังตัว เพราะเขาเล่นเราอยู่ตลอดเวลา ถ้าไม่รู้ว่าจะเล่นเราอย่างไร แค่กวนให้เราคิดก็ยังดี พอคิดฟุ้งซ่านมาก ๆ รัก โลภ โกรธ หลง ก็เกิดมาอีกมากมาย

    สมัยก่อนผมรบกับเขามาตั้งแต่ฆราวาสยันเป็นพระ สนุกอย่าบอกใครเลย บางวันนี่เขามาฟ้าถล่มดินทลาย เหมือนกับเขื่อนจะแตก อย่างไรก็เอาไม่อยู่ ภาวนาก็ไม่ได้ พิจารณาก็ไม่ได้ ผมก็นั่งหน้าพระประธานองค์เบ้อเริ่ม ทำอะไรไม่ได้สักอย่าง..ใช่ไหม ? ถ้าอย่างนั้นก็เอาปัจจุปันนังสญาณเลย ตรงหน้ามีพระพุทธเจ้าเป็นประธานองค์ใหญ่ขนาดนี้ อย่างน้อย ๆ ตาเราเห็น ใจเรายอมรับว่าท่านเป็นพระพุทธเจ้า ถึงจะคิดชั่วขนาดไหนก็ตาม เราอยู่ตรงหน้าพระ ตายตอนนั้นก็ยังไม่ขาดทุน ต้องเล่นกันถึงขนาดนั้น เพราะว่าเอาไม่อยู่จริง ๆ ทีนี้ก็แปลก..พอเรารู้เท่าทันเขาก็ถอย แต่ถ้าเรารู้ไม่เท่าทัน ไปสู้กันสุดฤทธิ์ แบบนี้เขาตีเราตายเลย..!

    คุณสังเกตไหม ? ยิ่งบวชเข้ามา แทนที่กาย วาจา ใจ จะสงบเรียบร้อย กลายเป็นคะนองมากขึ้นทุกวัน พวกคุณได้สังเกตตัวเองอยู่หรือเปล่า ? เขาหลอกให้เรารู้สึกว่า ใกล้ชิด สนิทสนมขึ้น จะพูดอย่างไรก็ได้ ทำอย่างไรก็ได้ ก็บรรลัยสิครับ ความเป็นพระเป็นเณรหายหมด..! อย่าลืมว่าเราต้องพิจารณาเนือง ๆ ว่า กาย วาจา ใจที่ดีกว่านี้ยังมีอยู่ เราต้องทำกาย วาจา ใจเหล่านั้นให้ได้ ไม่ใช่ถึงเวลาก็เอะอะ โวยวาย เฮฮา ไปตามสภาพของกิเลส ผมเองจะมานั่งเตือนแต่ละคนก็ไม่มีโอกาส ได้แต่มองดูว่าพวกคุณจะไปกันไกลแค่ไหน ?

    เราบวชมาทั้งที ตั้งใจทำดีแล้ว วันแรกที่บวชกับวันนี้ ความรู้สึกของเราต่างกันหรือไม่ ? กำลังใจยังมุ่งมั่นเข้มข้นอยู่เหมือนเดิมหรือไม่ ? ในระยะเวลา ๑ พรรษา ๓ เดือนเศษ ๆ วันแรกกับวันนี้มีความต่างกันแค่ไหน ? รู้กำลังใจตัวเองหรือเปล่า ? ยังมีความมุ่งมั่นอยู่หรือเปล่า ? หรือรอจะสึกอย่างเดียว ? จะสึกไม่เป็นไร ผมไม่ได้ว่า แต่ตอนเราเป็นพระ หน้าที่เราคืออะไร ? เราต้องเล่นให้สมกับบทบาทด้วย

    ผมชอบใจอยู่คนหนึ่งคิอทิดไก่ เมาหมาไม่แด...อยู่ทุกวัน แต่ถ้าบวชพระเข้ามาเมื่อไร ท่านเคร่งกว่าคนอื่น เป็นคนแปลกมาก..บวชมาสามรอบแล้ว บวชเมื่อไรนี่ "ติท่านไม่ได้สักอย่าง โคตรดีเลย..!" แต่ถ้าสึกไปได้ก็เมาอีก ชื่นชมท่านตรงที่ว่าท่านเล่นตามบท เวลาเป็นพระก็รักษาความเป็นพระได้ดี แต่พอเป็นฆราวาสเมื่อไรก็เต็มที่ของเขา เรียกว่าเล่นสมกับบทบาท คราวนี้เมื่อเราเป็นพระ เราเล่นตามบทของเราหรือเปล่า ? แค่ไม่กี่วันเท่านั้น ถ้าจะนับไปก็อีกไม่กี่วันเท่านั้นก็จะครบเดือน ฉะนั้น..พรรษานี้เราเหลืออีกสองเดือนเศษ

    พวกเรานี่เป็นประเภทหย่อน เรื่องของธรรมวินัย เรื่องของการปฏิบัติธรรม ถ้าตึงไว้หน่อยถึงเวลาหย่อนก็จะพอดี แต่ถ้าคุณไปผ่อนตั้งแต่แรกก็จะยาน แล้วคุณจะเอาดีไม่ได้ เพราะว่าเรื่องของศีล สมาธิ ปัญญานั้น เป็นเครื่องคุ้มใจเราให้พ้นจากมาร คุ้มใจของเราให้พ้นจากรัก โลภ โกรธ หลง

    อย่าลืมว่าเรื่องของวังวน คลื่นลม จระเข้ ปลาร้าย เป็นภัยของภิกษุใหม่ วังวนคือกามคุณ ๕ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ติดอยู่เมื่อไรก็จมตาย ไปไหนไม่รอด ข้ามวัฏสงสารไม่ได้ คลื่นลมคือคำสั่งสอนของครูบาอาจารย์ ทนไม่ได้ก็เรือล่มจมตายอยู่ตรงนั้น จระเข้ก็คือเห็นแก่กิน เห็นแก่ปาก เห็นแก่ท้อง กินไม่ได้ดั่งใจเกิดโทสะอีก อาหารไม่อร่อยก็โมโหอีกต่างหาก กลายเป็นซ้ำตัวเองให้ลงอเวจีหนักเข้าไปอีก และท้ายสุดปลาร้ายคือเรื่องของเพศตรงข้าม อันตรายที่สุด พระพุทธเจ้าบอกว่า ไม่รู้ไม่เห็นได้เป็นดี ถ้ารู้เห็นก็อย่าพูดด้วย ถ้าพูดด้วยก็ให้ตั้งสติไว้แล้วให้พูดโดยธรรม

    เรื่องทั้งหลายเรานี้เราต้องรู้จักรักษาตัวเอง ถ้าเราไม่รู้จักรักษาตัวเองก็เหมือนคนเล่นกับไฟ ถึงเวลาแหย่มือเข้าไปก็โดนไฟไหม้ เสร็จแล้วก็มาโอดโอยว่าแสบร้อน ก็ดันทะลึ่งแหย่เข้าไปเอง ไม่ว่าจะเป็นการทำด้วยกาย พูดด้วยวาจา หรือคิดด้วยใจก็ตาม เรากำลังสร้างความเดือดร้อนให้แก่ตัวเองทั้งหมด ทำอย่างไรเราจะหยุดกำลังใจให้อยู่กับการภาวนาได้ นั่นสำคัญที่สุด

    จริง ๆ แล้วก็น่าจะภูมิใจว่า ถ้ามารเขาเล่นเราหนักแค่ไหน ก็แปลว่าเขาตีคุณค่าเราสูงแค่นั้น แต่ถ้าเสียแล้วจะกลับคืนดียาก อย่างเรื่องของลาภ ยศ สรรเสริญ สุขที่เข้ามา ถ้าติดอยู่ตรงนั้น เราจะพลิกตัวยาก ถ้าถอยออกมา ลาภก็จะหาย ยศ สรรเสริญ สุขก็หายไปด้วย กลายเป็นทำใจไม่ได้ ลดตัวเองไม่ลง อย่างนี้นอกจากจะไม่ได้ความดีแล้ว ยังยอมจำนนความชั่วอยู่ตรงนั้น และท้ายที่สุดใครมาเตือนก็ไม่ฟัง แต่ถ้าหากว่าเรารู้ตัวเองเสมอ ใจไม่ได้ไปเกาะ ไปยึด ไปติดตรงนั้น เขาก็ทำอะไรเราไม่ได้ แล้วยังเป็นเครื่องมือในการเผยแผ่ธรรมได้ดีขึ้นด้วย มีสตางค์ก็ทำงานง่ายขึ้น มีชื่อเสียง มีคนเคารพนับถือ บอกอะไรใครเขาก็เชื่อ ชี้นกก็เป็นนก ชี้ไม้ก็เป็นไม้ แต่ว่าให้ระวังให้ดี เผลอเมื่อไรเป็นโดน..! เรื่องพวกนี้ผมขอเตือนไว้ล่วงหน้า โดนเมื่อไรแล้วจะรู้

    อีกอย่างที่ผมอยากเตือนก็คือว่า ถ้าอย่างไรเสียให้ยึดหลักคำสอนของครูบาอาจารย์ไว้ แต่อย่าไปทำตามตามแบบขี้ตามช้าง พวกที่อยากดังเร็ว อยากมีคนเคารพนับถือเร็ว ๆ เจ๊งมาเยอะแล้ว เปิดตัวเร็วเท่าไรถ้าหากกำลังใจตัวเองไม่มั่นคง ขึ้น ๆ ลง ๆ โยมเขารู้ ถ้ามีความมั่นคงในอารมณ์ คนเป็นจำนวนมากเขาจะเห็นความสม่ำเสมอ แต่ถ้าไม่มีความมั่นคงในอารมณ์ หาความสม่ำเสมอไม่ได้ คนเขารู้ได้ง่าย เพราะฉะนั้น..เวลานี้เป็นเวลาที่เราสร้างตัวเอง ไม่ต้องรีบดังหรอก

    ผมเองก่อนจะโผล่มายุทธจักรนี้ ตอนเป็นฆราวาส ฟาดอยู่ ๑๑ ปี บวกกับตอนเป็นพระอีก ๘ ปีรวมเป็น ๑๙ ปี ผมถึงเริ่มทำงาน ขนาดนั้นยังจะเอาไม่อยู่ แล้วของพวกเราทำมาเท่าไร ? ถ้าทำระยะใกล้เคียงกับผม คุณทำถึงขนาดผมหรือเปล่า ? เรื่องพวกนี้เราต้องสังวรระวังไว้ ถ้ายังไม่สร้างตัวเองให้มั่นคง แล้วไปให้คนอื่นเขาเกาะ ก็เหมือนกับคนว่ายน้ำไม่เป็นแต่ไปช่วยคนอื่นเขา ไปไม่รอดหรอก จมตายทั้งหมดนั่นแหละ..! ตายจากความดีเป็นเรื่องน่ากลัวมาก เพราะกว่าจะมาเกิดขึ้นเป็นคนอีกครั้ง ไม่รู้ว่านานเท่าไร เกิดมาในยุคที่ไม่มีศาสนายิ่งซวยไม่รู้จบ ผมอยากจะเตือนให้ระวัง คนที่เก่งแล้วพลาดยังมี เราไม่ได้เก่งอย่างเขา ต้องระวังยิ่งกว่าเขาหลายเท่า พวกคุณอย่าทิ้งการปฏิบัติเป็นอันขาด ทิ้งเมื่อไรเราไม่มีกำลังสู้กิเลส อยู่ไม่รอดสักราย วันนี้ขอเตือนไว้เพียงเท่านี้...
    ...................................
    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. วัดท่าขนุน
    www.watthakhanun.com

    ขอขอบคุณภาพจากคุณ A'tist Toon
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...