เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันเสาร์ที่ ๑๘ มิถุนายน ๒๕๖๕

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 18 มิถุนายน 2022.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,535
    ค่าพลัง:
    +26,372
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันเสาร์ที่ ๑๘ มิถุนายน ๒๕๖๕


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,535
    ค่าพลัง:
    +26,372
    วันนี้ตรงกับวันเสาร์ที่ ๑๘ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๕ กระผม/อาตภาพบันทึกเสียงธรรมจากวัดท่าขนุนในเวลาตี ๕ ของเมืองไทย แต่ว่าสำหรับที่นี่แล้วยังเป็นเวลาตี ๓ ครึ่งอยู่ ได้พักอยู่ที่โรงแรม The Maple Residency ในเมืองกังต็อก ซึ่งเป็นเมืองหลวงของนครรัฐสิกขิม ที่ปัจจุบันนี้เป็นนครรัฐที่อยู่ในความคุ้มครองของประเทศอินเดีย

    สภาพร่างกายของกระผม/อาตภาพนั้น ต้องบอกว่าเหมือนกับชกมวยไทยมา ๕ ยก..! ก็คือรู้สึกระบมไปทุกชิ้นส่วน เนื่องจากว่าการเดินทางเมื่อวานนี้นั้นค่อนข้างจะโหดมาก ถ้าหากว่าใครคิดจะเดินทางตามรอยมา ขอให้ดูอายุของตนเองประการหนึ่ง อีกประการหนึ่งก็คือ ซ่อมสุขภาพของตนเองให้แข็งแรงที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ไม่เช่นนั้นแล้วก็จะเกิดสภาพเดียวกันอย่างนี้

    ขอเล่าถึงเรื่องการเดินทางของเมื่อวานนี้ เมื่อตื่นเช้าขึ้นมาและทำภารกิจต่าง ๆ เรียบร้อยแล้ว ก็ได้ลงมาจากอาซาเลียวิลล่า เพื่อชมสถานที่ภายนอกที่พัก ก็ยังทึ่งว่าทางโรงแรมนอร์บูกังนี้ สามารถสร้างได้ใหญ่โตมโหฬาร ในขณะเดียวกันก็มีความสวยงามและสอดคล้องกับภูมิประเทศเป็นอย่างดี

    ส่วนที่ทึ่งมากก็คือความใหญ่โตของสถานที่ ถ้าดูจากเส้นทางที่เราเดินทางมาถึงนั้น กว่าที่จะขนวัสดุก่อสร้างแต่ละชิ้นแต่ละส่วนขึ้นมา ไม่ทราบเหมือนกันว่าต้องใช้เวลากี่เดือนกี่ปีถึงจะสร้างได้สักหลังหนึ่ง แต่ว่าในช่วงของฤดูท่องเที่ยว น่าจะมีนักท่องเที่ยวมาใช้บริการเป็นจำนวนมาก เพราะว่าสถานที่ก็สวยงามและดีมาก ขณะเดียวกันทิวทัศน์ต่าง ๆ แค่ดูจากในส่วนของที่พักก็ถือว่าเป็นดี ๑ ประเภท ๑ แล้ว

    การที่ออกไปเดินในช่วงเช้านั้น พวกเราก็ไม่สามารถที่จะไปไกลได้ เพราะว่าบริเวณใกล้เคียงทั้งหมดนั้น มีเพียงที่ตั้งโรงแรมแห่งนี้แห่งเดียว เดินไปเดินมาก็ไปเจอของดี ก็คือต้นท้อที่กำลังออกดกลูกสะพรั่ง แถมยังตกเกลื่อนโคนต้น จึงเปลี่ยนจากรายการชิมชาของวันก่อน มาเป็นชิมลูกท้อในวันนี้..!
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,535
    ค่าพลัง:
    +26,372
    เมื่อรับประทานอาหารเช้าที่มากมายเหลือเฟือ ทั้งส่วนอาหารของทางโรงแรม และส่วนที่คุณเอ (ฉัตตริน เพียรธรรม) ได้นำมาจากเมืองไทยเพิ่มเติมแล้ว กระผม/อาตมภาพก็ทำการหยอดตู้ เพื่อให้รางวัลแก่บริกรแทน เพราะว่าสถานที่นี้นั้น น่าจะไม่ให้ทิปแก่บริกรโดยตรง จึงได้ตั้งตู้เอาไว้ให้แบบนี้

    หลังจากนั้นก็ออกเดินทางไปยังวัดแห่งหนึ่ง ซึ่งถ้าหากว่าในรายการทัวร์นั้นเรียกไปอีกแบบ แต่ว่าในที่นี้ไปดูป้ายถึงที่แล้ว ชื่อว่า วัดเชนเรซิก (Chenrezig Shingkham Riwo Potala) ซึ่งเพิ่งจะสร้างองค์พระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ขนาดใหญ่มหึมาขึ้นมาเมื่อไม่นานนี้เอง และอยู่ไม่ห่างจากโรงแรมมากมายเท่าไรนัก เดินทางด้วยรถยนต์ประมาณ ๑๐ นาทีเท่านั้น

    เมื่อเดินทางไปถึง สายฝนที่พรำ ๆ อยู่ตลอดเวลาก็หยุดลง พวกเราจึงได้ถ่ายรูปหมู่และเดินเที่ยวสถานที่กัน โดยเฉพาะได้เดินขึ้นไปสักการะองค์พระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ ทั้งที่เป็นองค์สร้างใหม่ และทั้งที่เป็นวัดอยู่ภายในฐานองค์พระมหึมาองค์นั้น

    สิ่งประหลาดอย่างหนึ่งก็คือ บันไดที่มีนับได้เป็นร้อย ๆ ขั้นนั้น กระผม/อาตมภาพเดินขึ้นไปถึงครึ่งทางแล้ว คุณเอยังบรรยายความรู้ของสถานที่ให้กับคณะอยู่ข้างล่าง แต่กระผม/อาตมภาพกลับได้ยินอย่างชัดเจน เหมือนกับดังอยู่ที่ข้างหู..!

    ได้ยินชัดเจนแม้กระทั่งการบรรยายเกี่ยวกับพระพุทธศาสนามหายาน ความเชื่อต่าง ๆ เกี่ยวกับพระโพธิสัตว์ พระอาทิพุทธะ และพระธยานิพุทธะ ซึ่งเป็นตัวแทนขององค์อาทิพุทธะ ประกอบไปด้วยพระอมิตาภพุทธะ เป็นต้น

    เมื่อขึ้นไปถึงภายในก็ได้รีบทำการถ่ายรูปในมุมต่าง ๆ เนื่องจากว่าเป็นสถานที่ซึ่งมีผู้นิยมมาท่องเที่ยว ด้วยความที่รีบร้อน จึงไม่ได้ดูว่าเขาห้ามเข้าใกล้องค์พระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์พันเนตรพันกรที่อยู่ข้างในนั้น กว่าที่จะรู้ก็เมื่อออกมาข้างนอกแล้วมีผู้ชี้ให้ดูป้าย แต่ในเมื่อเป็นเช่นนั้นไปแล้วจึงต้องเลยตามเลย..!

    พวกเราออกจากองค์พระแล้วก็เดินไปยังสถานที่ตั้งสกายวอล์ค ซึ่งเขาต้องให้ใส่ถุงคลุมรองเท้าก่อนจึงสามารถที่จะเดินเข้าไปได้ เพราะว่าไม่เช่นนั้นความแข็งของพื้นรองเท้า อาจจะไปขูดพื้นกระจกของเขาให้ให้เสียหายได้
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,535
    ค่าพลัง:
    +26,372
    แต่มีหลายท่านที่ตีลังกาลงไปวัดพื้น แม้ว่าไม่ใช่คณะของเราก็ตาม ก็ยังทำให้ทางด้านญาติโยมหลายคนที่มาท่องเที่ยว ไม่ใส่ถุงคลุมเท้า แต่เปลี่ยนเป็นถอดรองเท้าแล้วเดินเท้าเปล่าแทน..! กระผม/อาตมภาพพลาดตอนที่ก้มลงไปใส่รองเท้าทำให้ตะคริวกินขา..! ต้องให้เถ้าแก่บุญชูมาช่วยดัดขาให้ จึงสามารถที่จะเดินได้ตามปกติ

    เมื่อขึ้นไปเดินบนกระจกสกายวอล์คซึ่งเปียกและลื่นเพราะว่าฝนตก ในตอนต้นกระผม/อาตภาพก็เดินเกาะราว เพื่อป้องกันการลื่นล้มที่บรรดาเจ้าหน้าที่เขาตักเตือนเอาไว้ แต่เมื่อลองเดินด้วยตนเอง ปรากฏว่าด้วยความเคยชินที่ฝึกฝนมา ทำให้สามารถที่จะเดินไปเดินมาได้โดยไม่มีทีท่าว่าจะลื่น..!

    แล้วพวกเราเดินเท้าขึ้นเนินไป ยังสถานที่ซึ่งคุณสุเรศวร์มัคคุเทศก์ได้แนะนำให้ เป็นวัดเก่าแก่ดั้งเดิมวัดแรกของทางนครรัฐสิกขิมนี้เลย ซึ่งชื่อที่กระผม/อาตมภาพไปถ่ายมาจากป้ายเก่าแก่ถลอกปอกเปิกนั้น ก็ไม่ตรงกับรายชื่อซึ่งทางด้านอินเตอร์เน็ตนำลงเอาไว้หลายต่อหลายแห่ง

    ชื่อวัดในป้ายนั้นมีชื่อว่า Sanghan Cheeling Monastery ซึ่งตรงจุดนี้นั้นไม่ถือเป็นสาระ สาระสำคัญก็คือว่า ในช่วงที่เราเดินทางขึ้นไปยังวัดแห่งนั้น มีคำแนะนำจากมัคคุเทศก์ท้องถิ่นว่า "ห้ามถ่ายรูปอย่างเด็ดขาด" เพราะว่าเป็นวัดที่มีข้าวของเก่าแก่ดั้งเดิมจำนวนมากมายมหาศาล..!
     
  5. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,535
    ค่าพลัง:
    +26,372
    แต่ "เจ้าแม่นภิสราเทวี" หรือว่า "ยายหนูตัวแสบ" ของกระผม/อาตมภาพ แนะนำให้ไปตีซี้กับท่านเจ้าอาวาส จนได้รับอนุญาตให้ถ่ายรูปได้ทุกซอกทุกมุม ท่านพาเข้าไปแม้กระทั่งในห้องพักของตนเอง สิ่งของที่มีอยู่นั้น เก่าแก่สมราคาและยังงดงามเป็นอย่างยิ่งอีกด้วย

    เมื่อคณะของเราถ่ายรูปและทำการสักการะ ตลอดจนกระทั่งบริจาคเรียบร้อยแล้ว จึงออกมาถ่ายรูปกันทางด้านนอก ยังได้รับคำเตือนจากหลวงปู่เจ้าอาวาสวัดซังกาน ชีลิงก์ ว่า "อย่าเดินไปตามสนามหญ้า เพราะว่าอาจมีสัตว์เล็ก ๆ ซุกอยู่ แล้วทำให้เขาต้องตายลงไป" พวกเราจึงต้องทำตัวลีบ ๆ เดินตามชายขอบอาคารบ้าง เดินตามเส้นทางที่เขาจัดเอาไว้ให้บ้าง


    คณะของเราเดินทางกลับยังโรงแรมนอร์บูกัง เพื่อเก็บข้าวของขึ้นรถ และรับประทานอาหารกลางวันที่มากมายจนเหลือเฟือ เมื่อเช็คเอาท์แล้ว ก็ได้เดินทางไปยังวัดเปมายังเซ่ (Pemayangtse) ซึ่งเป็นวัดที่เป็นฐานของนิกายหมวกแดง ต้องบอกว่านิกายของพระพุทธศาสนาแบบวัชรยานของทิเบตนั้นมีหลายนิกายด้วยกัน ก็คือ นิงมาปะ นิกายหมวกแดง แล้วก็เกลุกปะ นิกายหมวกเหลือง ศากยะปะซึ่งนับถือองค์พระศากยมุนี เป็นต้น สถานที่นี้ห้ามถ่ายรูปอย่างเด็ดขาด แต่ว่าเจ้าแม่หลักเมืองเนปาลเธอสามารถทำได้ ก็คือไปช่วยยืนบังกล้องทีวีวงจรปิดเสียทุกแห่ง..!

    ส่วนที่เป็นไฮไลท์ของที่นี่อยู่ที่ชั้นบนสุด ก็คือวิมานของท่านคุรุปัทมะสัมภวะบนสุขาวดีพุทธเกษตร ซึ่งแกะสลักจากไม้ต้นเดียว สร้างมาตั้งแต่ ๒๐๐ กว่าปีที่แล้ว ทุกชิ้นส่วนนั้นน่าจะถอดประกอบได้เหมือนกับตัวต่อเลโก้ชุดมหึมา ลงสีสันเอาไว้อลังการงดงามมาก จนไม่น่าเชื่อว่าแกะสลักขึ้นมาจากฝีมือมนุษย์..!

    เมื่อพวกเราออกจากวัดเปมายังเซ่แล้ว ก็เดินทางต่อไปยังเมืองกังต็อก ระยะแรกถนนหนทางก็ยังดีอยู่ แต่เมื่อข้ามแม่น้ำรันจิตไปแล้ว ก็เกิดสภาพดังที่ได้ลงเอาไว้ในเฟซบุ๊กวัดท่าขนุน ก็คือถนนหนทางคับแคบ ซ้ำร้ายยังมีฝนตกอยู่ตลอดเวลา

    ต้องบอกว่า "เจ้าแม่น้ำพริกสละ" ของเรานี้สามารถที่จะทำได้ ก็คือทันทีที่ลงจากรถฝนก็จะหยุดให้ เมื่อขึ้นรถเมื่อไรฝนก็ตก พวกเราถ่ายรูปที่องค์พระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์เสร็จ เมื่อลงมาจากบนวัดซังกาน ชีลิงก์ แล้ว ปรากฏว่าเมฆหมอกปิดองค์พระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ทึบไปหมด ซึ่งตรงจุดนี้ต้องเจริญพรขอบพระคุณ "เจ้าแม่น้ำพริกสละ" เธอเป็นอย่างยิ่ง
     
  6. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,535
    ค่าพลัง:
    +26,372
    ถนนหนทางทั้งคับแคบและมีหินถล่มอยู่ตลอดเวลา ขอชื่นชมว่าโชเฟอร์ของเรานั้นสุดยอดฝืมือมาก สามารถที่จะผ่านได้ตลอดทุกภูมิประเทศที่สุดแสนจะหวาดเสียว แล้วก็พาพวกเรามาถึงเมืองราวังกลา เขตสิกขิมตะวันตก เพื่อชม Buddha Park (Tathagata Tsal) หรือว่าสวนสุขาวดีพุทธเกษตรองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งเขาสร้างองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ใหญ่โตมหึมาเอาไว้ แล้วจัดเป็นสวนที่งดงามเป็นอย่างยิ่ง

    แต่ว่าตอนที่พวกเรามาถึงนั้น เมฆหมอกปิดทึบจนกระทั่งมองเห็นเพียงระยะใกล้ ๆ แค่ ๒ เมตร ๓ เมตรเท่านั้น ซึ่งต้องขอบคุณ "เจ้าแม่น้ำพริกสละ" ที่เธอสามารถทำได้จริง ๆ คือกวาดเอาเมฆหมอกทั้งหมดออกไปให้พวกเราถ่ายรูปได้ แลกกับการที่ต้องเดินตากฝนที่พรำ ๆ ลงมาเล็กน้อย

    เมื่อเสร็จสรรพเรียบร้อยจากสถานที่นั้นแล้ว พวกเราก็ได้เดินทางต่ออีก ๒ ชั่วโมงกว่า เกือบ ๓ ชั่วโมง ตลอดเส้นทางมีแต่หินถล่ม ขี้โคลน ตลอดจนกระทั่งน้ำฝนที่ไหลลงมาจากเขา ทำให้แปลกใจอยู่อย่างหนึ่งว่า รถที่ใช้อยู่นั้นเป็นรถเอ็มพีวี ก็คือกึ่งรถบ้าน แต่ไม่ทราบเหมือนกันว่าโชเฟอร์ของเราฝีมือสุดยอดฝีมือระดับไหน ไม่ว่าจะหนทางลาดชัน คดเคี้ยว ลื่นไถล เป็นหลุมเป็นบ่ออย่างไร ก็ผ่านได้ทุกสภาพ ไม่มีทีท่าว่าจะติดหล่มหรือลื่นไถลเลยแม้แต่น้อย..!

    จนกระทั่งก่อนที่จะเข้าสู่เมืองกังต็อกนั้น มีคนมาดักแจ้งให้ทราบตรงที่สามแยกว่า ให้อ้อมไปเข้าทางด้านหลังเมือง เพราะว่าทางหน้าเมืองนั้น หินถล่มปิดทางหมด รถเกรดกำลังช่วยแก้ไขอยู่ ซึ่งบรรดารถขุด รถเข็นต่าง ๆ นั้น ต้องขอบอกว่าทำงานกันอย่างหนักมาก เนื่องจากว่ามีแต่หินถล่มตลอดเส้นทางหลายสิบกิโลเมตร..!

    พวกเราจึงอ้อมไปตามถนนที่ไม่มีแม้กระทั่งในกูเกิ้ลแม็พ เมื่อเดินทางไปก็ยังสงสัยว่า "นี่ตกลงว่าเขาหลอกเรามาหรือเปล่าวะ ?" เนื่องจากว่าวิ่งไปตามถนนในป่าเขาที่เป็นหล่มโคลนเละเทะ แทบจะไม่มีรถให้เห็นเลยแม้แต่คันเดียว ถนนก็เป็นขี้โคลน เป็นหลุมเป็นบ่อยิ่งกว่าโลกพระจันทร์ จนกระทั่งรถของเราสามารถอ้อมโลกหลุดมายังเส้นทางเดิมอีกครั้ง..!
     
  7. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,535
    ค่าพลัง:
    +26,372
    แต่นั่นก็ไม่ได้แปลว่าเราจะรอดแล้ว เมืองตรงนั้นชื่อว่าเมืองซิงตัม เราผ่านตรงจุดนั้นไปด้วยความหวาดเสียวมาก โดยเฉพาะรถคันที่กระผม/อาตมภาพนั่งอยู่นั้น เจอหินถล่มลงมาต่อหน้าต่อตา..! โชเฟอร์เหยียบสุดชีวิตจนเกือบที่จะมุดไปใต้รถสิบล้อคันที่อยู่ด้านหน้า เพื่อออกให้พ้นจากรัศมีถล่มของหิน ท่านที่ดูวิดีโออยู่ ก็คงจะเห็นว่า ทำไมท้ายรถสิบล้อถึงได้ใหญ่พรวดพราดขึ้นมาอย่างกะทันหัน..!

    โดนเขย่าไปจนกระทั่งถึงเวลาประมาณ ๓ ทุ่มของเมืองไทยก็มาถึงยังโรงแรมที่พัก ปรากฏว่ารถคันที่ลูกปุ๊ก (สุมาลี ตีรเลิศพานิช) นั่งมาก่อนนั้น ไม่ทราบเหมือนกันว่าวิ่งมาทางด้านไหน ถึงได้มารออยู่ก่อนแล้ว พวกเราที่เหนื่อยจนหมดสภาพ ร่างกายแทบจะหลุดเป็นชิ้น ๆ ทำการเช็คอินเข้าสู่ที่พักกัน ในลักษณะที่เหมือนอย่างกับรบแพ้มา แต่ว่าห้องหับอะไรต่าง ๆ นั้น ก็จัดเอาไว้เป็นอย่างดียิ่ง ในส่วนนี้ต้องขอบคุณบริการสุดยอดของทางด้านเอ็นซีทัวร์ ที่ติดต่อประสานงานกับทางมัคคุเทศก์ท้องถิ่นและสถานที่พักต่าง ๆ เอาไว้ล่วงหน้า

    ส่วนโปรแกรมของเราต้องมีการเปลี่ยนแปลง เนื่องจากทางที่เราต้องไปยังเมืองลาชุงนั้น ถูกหินถล่มปิดเส้นทางไปแล้ว และยังแก้ไขไม่สำเร็จ ทางด้านเอ็นซีทัวร์ได้ปรึกษากับมัคคุเทศก์ท้องถิ่น แล้วก็นำเอาโปรแกรมมาพิจารณา เพิ่มเติมตรง
    จุดนั้นจุดนี้ เพื่อให้เวลา ๑ วันที่จะต้องไปเมืองลาชุงนั้น เปลี่ยนไปเมืองอื่นแทน

    ขอเจริญพรขอบคุณทุกท่านที่เมตตา โดยเฉพาะบรรดาเจ้าที่เจ้าทางต่าง ๆ ที่ดูแลรักษาตลอดเส้นทางนี้ ซึ่งได้ช่วยให้พวกเราอยู่รอดปลอดภัยมาได้ทั้งคณะ

    ถนนหนทางนั้น ไม่ขอแนะนำให้บุคคลที่ร่างกายไม่แข็งแรงเดินทางมาอย่างเด็ดขาด ยกเว้นผู้ที่ปลงอายุสังขารอย่างกระผม/อาตมภาพ ซึ่งกำหนดกำลังใจเอาไว้ว่า อยู่เพียงแค่ตอนนี้ พ้นจากตอนนี้ไป จะอยู่ได้หรือไม่ ก็ไม่คำนึงถึง

    สำหรับวันนี้ ก็ขอเจริญพรบอกกล่าวพระภิกษุสามเณรของเรา ตลอดจนกระทั่งญาติโยมทั้งหลายที่ฟังอยู่มา ณ ที่นี้

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันเสาร์ที่ ๑๘ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๕
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...