ปกิณกธรรมช่วงบวชเนกขัมมะขึ้นปีใหม่ ๒๕๖๕

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 21 มกราคม 2022.

  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,663
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,551
    ค่าพลัง:
    +26,390
    108.jpg



    ก่อนทำวัตรเย็นวันเสาร์ที่ ๑ มกราคม ๒๕๖๕
    ถ้าหากว่าใครจะภาวนาพระคาถาเงินล้าน ให้เปิดใน YouTube ๑๐๘ จบ เหมือนที่เปิดตอนสวดมนต์ข้ามปีเมื่อเช้า อันนั้นตั้งใจจริง ๆ ให้คนที่ไม่มีสมาธิเลย ถ้าสวดตามจังหวะนั้นก็จะเป็นสมาธิไปในตัว

    ถ้าโยมสังเกต จะเห็นว่าตั้งแต่ต้นยันจบ เสียงเสมอกันมาก ลักษณะของคนที่เข้าสมาธิ เวลาพูดเหมือนกับคนไร้อารมณ์ คือจะไปเรื่อย ๆ แบบนั้น เพราะฉะนั้น...ถ้าหากว่าไม่มีอะไร ก็เปิดให้พรหม ให้เทวดาฟังไปก็แล้วกัน ถ้ามีอารมณ์ก็ภาวนาตามไป อย่างอาตมาเองถ้าไม่มีอะไรจะทำ ถึงเวลาก็ยังเปิดเลย ทุ่นแรงตัวเอง ไหน ๆ ก็เข้าสมาธิขนาดนั้นแล้ว ก็ต้องใช้เองด้วยสิ


    ขอบคุณที่มา : https://www.youtube.com/channel/UCgkHL4DqAHM4mSyTGesp5OA

    watthakhanun - YouTube
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 มีนาคม 2022
  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,663
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,551
    ค่าพลัง:
    +26,390
    ก่อนปฏิบัติธรรมช่วงบ่าย วันอาทิตย์ที่ ๒ มกราคม ๒๕๖๕​


    วันนี้เป็นวันพระ แรม ๑๔ ค่ำ เดือนอ้าย คำว่า อ้าย โบราณใช้แทนคำว่า ใหญ่สุด หรือแทนคำว่า หนึ่ง พี่อ้ายก็คือพี่คนใหญ่สุด พี่คนแรก พี่คนที่หนึ่ง ต้องแก่ ๆ กว่านี้แล้วจะชินกับสำเนียงเก่า ๆ และสำนวนเก่า ๆ

    เพราะฉะนั้น...วันนี้เราปฏิบัติกันได้สักครึ่งบัลลังก์ พระก็น่าจะลงโบสถ์กัน การลงโบสถ์เป็นการทบทวนพระปาฏิโมกข์ ซึ่งคือศีลพระ ถามว่า "ทำไมต้องทบทวน ?" เพราะว่าศีลพระมีถึง ๒๒๗ ข้อ ถ้าหากว่าไม่ทบทวนไว้บ่อย ๆ ก็ไม่ทราบว่าตนเองผิดพลาดตรงไหนบ้าง

    ส่วนใหญ่แล้วศีลพระที่ไปทวนกันนั้น ก็จะสามารถแสดงคืนได้ คำว่าแสดงคืนก็คือ สารภาพผิดในท่ามกลางสงฆ์ โดยมีบาลีสำทับตอนท้ายว่า นะ ปุเนวัง กะริสสามิ ข้าพเจ้าจักไม่ทำเช่นนี้อีก นะ ปุเนวัง ภาสิสสามิ ข้าพเจ้าจักไม่พูดเช่นนี้อีก นะ ปุเนวัง จินตะยิสสามิ ข้าพเจ้าจักไม่คิดอย่างนี้อีก พูดง่าย ๆ ก็คือสิ่งที่เคยทำผิดทำพลาดไป ต่อไปนี้แม้แต่คิดก็จะไม่คิด พูดก็จะไม่พูด ทำก็จะไม่ทำ
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,663
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,551
    ค่าพลัง:
    +26,390
    คราวนี้เราทบทวนกันไปในแต่ละอุเทศ ก็จะมีคำถามตรงช่วงท้ายหลังจากจบ คำว่า อุเทศ หมายถึง แต่ละหมวด สมมุติว่าหมวดของปาราชิก หมวดของสังฆาทิเสส หมวดของปาจิตตีย์ เป็นต้น ตอนท้ายก็จะมีคำถามว่า ตัตถายัสมันเต ปุจฉามิ กัจจิตถะ ปะริสุทธา..ขอถามท่านทั้งหลายว่า ศีลเหล่านี้บริสุทธิ์แล้วหรือ ? ทุติยัมปิ ปุจฉามิ..ขอถามเป็นครั้งที่สอง ตะติยัมปิ ปุจฉามิ..ขอถามเป็นครั้งที่สาม พระท่านก็จะได้รู้ว่าตนเองผิดพลาดตรงไหนระหว่างที่ทวนไป

    ถ้าหากว่าเป็นแบบโบราณก็คือ ผิดตรงไหนก็ขออนุญาตแสดงคืนอาบัติตรงนั้นเลย แต่ว่าสมัยใหม่ของเราเห็นว่ายุ่งยากมาก ก็ใช้วิธีแสดงคืนตั้งแต่ก่อนที่จะลงอุโบสถ โดยใช้คำว่า สัมพะหุลา นานาวัตถุกาโย ก็คือทุกอย่างที่ผิด..นานาวัตถุ ในเมื่ออะไรผิดก็เป็นอันว่าขอสารภาพในตรงนี้

    ดังนั้น...ในเรื่องของการทวนศีล เป็นหน้าที่ซึ่งพระจะต้องทำอย่างน้อยเดือนละ ๒ ครั้ง ท่านใช้คำว่า กึ่งเดือน คือ อัฒมาสํ (อัด-ทะ-มา-สัง) อัฑฒ แปลว่าครึ่งหนึ่ง โบราณใช้คำว่ากึ่งหนึ่ง แบบเดียวกับนางอัฒฑกาสี ที่แปลว่าครึ่งเมืองกาสี ครึ่งเมืองกาสีมาจากอะไร ?

    นางอัฒฑกาสีเป็นหญิงนครโสเภณี คำว่า นครโสเภณี ก็คือหญิงผู้ทำให้เมืองนั้นงาม สมัยก่อนต้องได้รับการแต่งตั้งจากพระราชาอย่างเป็นทางการให้เป็นหญิงนครโสเภณี ถ้าไม่ได้รับการแต่งตั้ง ห้ามทำหน้าที่นี้อย่างเด็ดขาด โดนประหารชีวิตเอาง่าย ๆ
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,663
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,551
    ค่าพลัง:
    +26,390
    หญิงนครโสเภณีนั้นค่าตัวก็ต่าง ๆ กันไป แล้วแต่ความสวยและความสามารถ ค่าตัวของนางอัฒฑกาสีเท่ากับภาษีที่เก็บได้ของเมืองกาสีครึ่งเมือง..! ถ้าสมมติว่าเมืองกาสีคือกรุงเทพมหานคร กรุงเทพมหานครเก็บภาษีได้ประมาณแปดหมื่นล้านบาท ค่าตัวของนางอัฒฑกาสีก็คือสี่หมื่นล้านบาท..! ชวนแม่เจ้าประคุณนอนคุยด้วยคืนเดียวหมดไปสี่หมื่นล้าน แค่ได้ยินก็ "น้ำตาจิไหล" แล้ว..!

    นางอัฒฑกาสีได้ฟังเทศน์จากพระพุทธเจ้า เกิดความเลื่อมใสอยากจะบวช ทันทีที่มีข่าวรั่วออกไปว่านางอัฒฑกาสีจะบวช บรรดาเศรษฐี บรรดาเจ้าชาย บรรดาพราหมณ์มหาศาล สั่งลูกน้องปิดเมืองเลย เอาทหารล้อมเมืองไว้ห้ามออก นางอัฒฑกาสีก็เลยต้องส่งหญิงรับใช้ไปทูลพระพุทธเจ้าว่า อยากจะบวชเป็นภิกษุณี แต่มีปัญหาดังนี้ พระพุทธเจ้าตรัสว่าไม่เป็นไร ให้หญิงรับใช้ศึกษาวิธีการบวชเป็นภิกษุณี ว่าจะต้องโกนหัวอย่างไร ? จะต้องห่มผ้าอย่างไร ? จะต้องถือศีลอย่างไร ? แล้วก็ให้หญิงรับใช้เป็นคนไปบอกวิธีการ แล้วก็ทำตามนั้น
     
  5. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,663
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,551
    ค่าพลัง:
    +26,390
    นางอัฒฑกาสีจึงเป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่บวชด้วยวิธีประหลาดที่สุดในโลก เขาเรียกว่า ทูเตนอุปสัมปทา คือการบวชโดยการส่งทูตไปทูลขออนุญาตพระพุทธเจ้า บวชเสร็จเดินหัวเหม่งออกมา ทุกคนช็อก..! อุตส่าห์ล้อมเมืองไว้แล้วยังบวชได้อีก..! นางอัฒฑกาสีภายหลังปฏิบัติธรรมจนเป็นพระอรหันต์

    หญิงนครโสเภณีสมัยก่อนอย่างนางสิริมาก็เป็นพระโสดาบัน ก็คือเขาเป็นโดยอาชีพ เป็นโดยหน้าที่ เป็นโดยรับการแต่งตั้ง ถามว่า "แล้วในลักษณะอย่างนั้นต้องนอนกับผู้ชายแล้วไม่ผิดศีลหรือ ?" ถ้าหากว่าการล่วงละเมิดโดยที่เขามีเจ้าของ..ถือว่าผิดศีล แต่ว่านางได้รับการแต่งตั้งให้เป็นสมบัติสาธารณะ ใครมีเงินมากกว่า หรือใครจองคิวได้ก่อน ก็เป็นสิทธิ์ของคนนั้น..จึงไม่ผิดศีล แต่สมัยนี้ไม่มีการแต่งตั้ง ดังนั้น..จึงผิดทุกประตู..!
     
  6. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,663
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,551
    ค่าพลัง:
    +26,390
    เรื่องของศีลนั้นตรงไปตรงมา พระเณรของเราจำเป็นที่จะต้องทบทวนในเรื่องของศีล ส่วนของญาติโยมในแต่ละวัน สมัยที่อยู่กับหลวงพ่อวัดท่าซุง ท่านบอกว่าก่อนนอนให้ทบทวนว่า วันนี้ศีลของเรามีข้อไหนบกพร่องบ้าง แล้วตัดสินใจว่าตั้งแต่วินาทีนี้เป็นต้นไปเราจะเป็นผู้มีศีลบริสุทธิ์ แล้วก็ภาวนาให้หลับไป ก็แปลว่าเราจะเป็นผู้มีศีลบริสุทธิ์ตั้งแต่ตอนที่ตั้งใจ จนกระทั่งตื่นขึ้นมา

    หลังจากตื่นขึ้นมาแล้ว จะไปละเมิดศีล ละเมิดธรรม อะไรที่ไหน ก็ถือว่าเป็นคนละวาระ คนละเวลากัน บุญที่เราทำคือส่วนของบุญ กรรมที่เราสร้างคือส่วนของบาป ไม่ได้ปะปนกัน แต่ถ้าหากว่าจะให้ดีก็คือ ควรที่จะรักษาให้ต่อเนื่อง สามารถทำได้ต่อเนื่องทุกลมหายใจเข้าออกก็ยิ่งดี


    ในส่วนทั้งหลายเหล่านี้ที่เรามาฝึกซ้อมมาปฏิบัติอยู่ อย่างเมื่อเช้าเราก็สมาทานศีล ใส่บาตรวันอาทิตย์กัน ญาติโยมจะเห็นว่าโครงการนี้เป็นที่นิยมมาก คนแห่กันไปมากเลย ขอบอกตรง ๆ แบบไม่เขินเลยว่า ขโมยโครงการนี้มาจาก
    ประจวบคีรีขันธ์ ไปดูงานทางวัฒนธรรม ในฐานะที่เป็นประธานสภาวัฒนธรรมอำเภอทองผาภูมิ ก็พาคณะกรรมการสภาวัฒนธรรมไปดูงาน

    จังหวัดประจวบคีรีขันธ์เขามีงานถนนวัฒนธรรมสายสู้ศึก ช่วงเช้ามีการใส่บาตรพระ ชักชวนนักท่องเที่ยวไปใส่กันแบบนี้ แต่ขอโทษนะ...พระของเขาทั้งวัดมีอยู่แค่ ๑๐ รูป ทั้งพระทั้งเณรหมดวัดแล้วมีแค่นั้น อาตมภาพเห็นว่าเขามีแค่ ๑๐ รูป เขายังกล้าจัดงานแบบนี้ แล้วพระของเราตั้ง ๔๐ - ๕๐ รูป ทำไมเราจะจัดไม่ได้ กลับมาถึงก็เริ่มลงมือเลย จัดงานมาครบหนึ่งปีทั้ง ๆ ที่โดนโควิด ๑๙ เล่นงาน หกล้มหกลุกมา แต่โยมก็สังเกตเห็นว่าคนมากันเยอะมาก
     
  7. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,663
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,551
    ค่าพลัง:
    +26,390
    แต่ส่วนที่อยากจะเตือนสติพวกเราก็คือว่า การให้ทานนั้น ถ้านับอานิสงส์ทั่วไป..ให้หนึ่ง..ได้ร้อย การรักษาศีล..รักษาหนึ่ง..ได้หมื่น สำคัญที่สุดคือการภาวนา..ทำหนึ่ง..ได้ล้าน

    ทำไมอานิสงส์ต่างกันขนาดนั้น ? อรรถกถาจารย์ท่านอธิบายง่าย ๆ ว่า ทาน...ทำด้วยกายอย่างเดียวก็ได้ ก็คือสักแต่ว่าหยิบส่ง ๆ ให้เขาไปก็ได้ ศีล...รักษากายกับวาจาเท่านั้น แต่ภาวนา..ต้องรักษาทั้งกาย ทั้งวาจา ทั้งใจให้สงบระงับ ปราศจากกิเลส ต่อให้เป็นชั่วครั้งชั่วคราว อานิสงส์ก็มหาศาล อานิสงส์ในการรักษาต้องระมัดระวังมากขึ้นเท่าไร กุศลก็ได้มากขึ้นเท่านั้น

    ในส่วนของอานิสงส์ต่อไปในกาลข้างหน้า การให้ทาน..เกิดมาเราจะมีโภคสมบัติมาก พูดง่าย ๆ คือเกิดมารวย การรักษาศีล..เกิดมาเป็นผู้มีรูปสวย มีร่างกายสมบูรณ์ มีจิตใจดีงาม การเจริญภาวนา..เกิดมาจะเป็นคนฉลาดมาก

    ถ้าเป็นไปได้ควรจะทำให้ครบถ้วนทั้งสามส่วน เพราะว่าถ้าคนสวยแต่ไร้สมอง ก็ดูท่าจะเอาตัวไม่รอด ส่วนคนรวย หน้าตาขี้เหร่ แม้ว่าพอที่จะกล้ำกลืนฝืนทนได้ แต่พ่อเจ้าพระคุณมีเงิน แต่ดันไม่มีสมอง ก็คงจะรักษาทรัพย์ไว้ได้ไม่นาน เพราะฉะนั้น...ในเรื่องของทาน ของศีล ของภาวนานั้น ถ้าเป็นไปได้ควรจะทำให้ครบทุกอย่าง มีโอกาสให้ทาน..เราให้ทาน มีโอกาสรักษาศีล..เรารักษา มีโอกาสภาวนา..เราปฏิบัติ
     
  8. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,663
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,551
    ค่าพลัง:
    +26,390
    โดยเฉพาะเมื่อปฏิบัติแล้ว ต้องรักษาอารมณ์ใจเอาไว้อยู่กับเรา ให้นานที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เพราะว่าการปฏิบัติธรรมคือการทวนกระแสโลก ทั่ว ๆ ไปคนในโลกเขาไหลตาม รัก โลภ โกรธ หลง ในเมื่อเราทวนกระแส เราก็ต้องใช้แรงมากเป็นพิเศษ เหมือนกับว่ายทวนน้ำ ถ้าไม่หมั่นทำไว้บ่อย ๆ ก็จะไหลตามน้ำไปอีก

    เรื่องของการปฏิบัติธรรม จึงไม่ใช่รอให้ทางวัดจัดบวชเป็นรุ่น ๆ แบบนี้ แล้วเราค่อยมาปฏิบัติกัน ถ้าอย่างนี้ไม่พอรับประทาน เพราะว่ากิเลสกินเราอยู่ทุกวัน แล้วเราหวังจะเอาชนะแค่ไม่กี่วันที่ปฏิบัติธรรม ย่อมเป็นไปไม่ได้ การปฏิบัติธรรมเป็นเรื่องที่ต้องตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติไปตลอดชีวิต

    ไม่ต้องหวังผลอะไรมาก เอาแค่อย่าละเมิดกรอบของศีลก็พอ คือ รัก โลภ โกรธ หลง มีได้เป็นปกติ แต่อย่าทำให้เราต้องละเมิดศีล รักขนาดไหน ก็อย่าไปช่วงชิงคนรัก ของรัก ของคนอื่น ข้าวของของเขาดีมีราคาขนาดไหน ก็อย่าไปลักขโมย หยิบฉวยช่วงชิงเขามา พยายามหามาให้ได้ถูกต้องตามศีลตามธรรม

    ถ้าลักษณะอย่างนี้เราก็คือปุถุชนชั้นดี เพราะว่ามีศีลเป็นเครื่องอาศัย แรก ๆ เราก็ต้องระวังรักษาศีลด้วยความลำบาก ด้วยความเหนื่อยยาก แต่ว่านานไปเมื่อทำจนเคยชิน ไม่รู้สึกถึงความลำบากเหนื่อยยากแล้ว ตอนนั้นอานิสงส์ของศีลจะย้อนกลับมารักษาพวกเราเอง

    พูดง่าย ๆ ก็คือ เรารักษาศีลก่อน แล้วหลังจากนั้นศีลจะมารักษาเรา คำว่าศีลรักษาเราก็คือ สีเลนะ สุคะติง ยันติ ศีลย่อมนำพาไปสู่สุคติ คือที่ไปอันดี คือเกิดมาเป็นมนุษย์ ก็เป็นมนุษย์ชั้นดี เกิดเป็นเทวดา นางฟ้า เกิดเป็นพรหม หรือ สีเลนะ นิพพุติง ยันติศีลเป็นปัจจัยนำเราเข้าสู่พระนิพพาน
     
  9. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,663
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,551
    ค่าพลัง:
    +26,390
    การรักษาศีลเป็นเรื่องใหญ่ที่สำคัญมาก กฎเกณฑ์กติกาของบุคคลที่จะเข้าสู่พระนิพพาน อันดับแรกเลยคือ...เคารพพระพุทธเจ้าจริง ๆ ข้อที่สอง...เคารพพระธรรมจริง ๆ ข้อที่สาม...เคารพพระสงฆ์จริง ๆ คำว่าเคารพจริงในที่นี้ก็คือ ไม่ล่วงเกินด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ ทั้งต่อหน้าและลับหลัง

    ข้อต่อไปก็คือ ต้องรักษาศีลให้บริสุทธิ์ด้วยตนเอง ไม่ยุยงส่งเสริมให้ผู้อื่นละเมิดศีล และไม่ยินดีเมื่อเห็นผู้อื่นละเมิดศีล

    ข้อสุดท้ายใช้ปัญญาเข้าไปช่วย ก็คือรู้ตัวอยู่เสมอว่าเราต้องตาย ถ้าหากว่าเราตาย ขึ้นชื่อว่าการเกิดมามีร่างกายที่เต็มไปด้วยความทุกข์เช่นนี้ การเกิดมาในโลกที่เต็มไปด้วยความทุกข์เช่นนี้ จะไม่มีสำหรับเราอีก ที่เดียวที่เราต้องการไปก็คือพระนิพพาน ที่พ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดทั้งปวง

    ดังนั้น...ในกฎเกณฑ์กติกาทั้ง ๕ ข้อนี้ ศีลเป็นหัวใจที่สำคัญที่สุด เรารักษาศีลเพราะเราเคารพพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เรารักษาศีลเพราะเราต้องการจะไปพระนิพพาน ศีลจึงเป็นข้อกลางในการเชื่อมต่อปุถุชนเข้ากับพระอริยเจ้า มีศีล ๕ ครบถ้วนสมบูรณ์บริบูรณ์ มีความเคารพในพระรัตนตรัยอย่างแท้จริง รู้ตัวเสมอว่าต้องตาย ถ้าลักษณะอย่างนี้ท่านคือพระโสดาบัน
     
  10. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,663
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,551
    ค่าพลัง:
    +26,390
    ถ้าหากว่าท่านเป็นผู้ที่ถึงพร้อมด้วยกรรมบถ ๑๐ ก็คือเพิ่มเติมในเรื่องของระมัดระวังทางวาจาขึ้นมา นอกจากไม่โกหกแล้ว ยังไม่พูดส่อเสียดให้คนแตกร้าวกัน ไม่พูดวาจาเพ้อเจ้อไร้ประโยชน์ ไม่พูดคำหยาบ มีสัมมาทิฏฐิเห็นว่าสิ่งที่พระพุทธเจ้าสอนนั้นดี เราควรที่จะทำตาม สิ่งเหล่านี้เพิ่มเติมขึ้นมาจากศีล ๕ ช่วยขัดเกลาให้รัก โลภ โกรธ หลง ของเราเบาบางลง โดยเฉพาะโทสะกับราคะ ถ้าอย่างนี้ท่านคือพระสกทาคามี

    ถ้าหากว่าตัดราคะโทสะได้อย่างเด็ดขาด มีศีล ๘ เป็นเครื่องรักษาตัวเป็นปกติ ไม่ต้องใช้ความพยายาม ศีล ๘ ก็ทรงตัวโดยอัตโนมัติ ถ้าอย่างนี้ท่านคือพระอนาคามี

    สำคัญที่สุดตอนสุดท้ายก็คือ ท่านทั้งหลายเห็นความไม่มีแก่นสารในร่างกายนี้ เห็นความไม่มีแก่นสารในโลกนี้ ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ย่อมไม่เห็นความดีในคนอื่น ไม่เห็นความดีในสัตว์อื่น คำว่าไม่เห็นความดี ก็คือไม่เห็นแล้วอยากได้มาเป็นของตน ไม่ใช่ว่าไม่เห็นว่าเขาทำความดี ในเมื่อเห็นแล้วไม่อยากได้อะไร ไม่มีอะไรให้สนใจ แม้แต่ร่างกายนี้ก็ไม่ต้องการ ไม่มีที่ให้ท่านทั้งหลายต้องยึด..ก็ปล่อย คนที่ปล่อยวางในภาระทั้งปวงได้ มีที่เดียวเป็นที่ไป..คือพระนิพพาน ถ้าท่านทำอย่างนั้นได้ ท่านก็เป็นพระอรหันต์
     
  11. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,663
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,551
    ค่าพลัง:
    +26,390
    เป็นพระยังพอจะดำรงชีวิตอยู่ต่อไปได้จนกว่าจะหมดอายุขัย แต่ถ้าเป็นแม่ชี เป็นฆราวาส ภายใน ๗ วันต้องตายแน่ เหตุที่เป็นเช่นนั้นเพราะว่าอยู่แล้วจะก่อโทษให้คนอื่นมาก เนื่องจากว่าเราเป็นคนธรรมดาในสายตาคนอื่น อาจมีการล่วงเกินเราด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ แต่ว่าสิ่งนั้นเป็นการล่วงเกินพระอรหันต์ ทำให้เกิดโทษหนักมาก ในเมื่อเป็นเช่นนั้นก็เลยต้องตัดให้ตายไปภายใน ๗ วัน จะได้ไม่ทำความเดือดร้อนให้กับใคร

    ในเมื่อท่านทั้งหลายรู้แล้วว่ากฎเกณฑ์กติกาของพระอริยเจ้าแต่ละระดับเป็นอย่างไร ก็ยึดถือเอาจุดใดจุดหนึ่ง มุมใดมุมหนึ่ง ที่เรามีความถนัด แล้วตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติไป ถ้าหากว่าทำจริง กำลังใจไปถึงระดับแล้ว รู้ว่าดีเราก็ทำ เพราะสิ่งนั้นนักปราชญ์ทุกคนบอกว่าเป็นความดี รู้ว่าสิ่งใดชั่วเราก็ละ เพราะว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านั้นไม่ได้นำพาความเจริญมาให้กับเรา จิตใจไม่ได้เกาะทั้งความดี ความชั่ว ก็จะผ่ากลางหลุดพ้นไป สู่สถานที่เป็นเอกันตบรมสุขคือพระนิพพาน เป้าหมายทั้งหลายเหล่านี้เป็นสิ่งที่นักปฏิบัติธรรมควรที่จะตั้งเป้าเอาไว้

    ทำไมต้องตั้งเป้าไว้สูงขนาดนั้น ? ก็เพราะว่าถ้าเป้าหมายอยู่สูง อยู่ไกล เราก็ต้องใช้ความเพียรพยายามมากเป็นพิเศษเพื่อไปให้ถึง ถ้าท่านพากเพียรเต็มที่ของท่านแล้ว ต่อให้ไปไม่ถึง ก็ยังไปได้ไกลกว่าคนอื่นเขา ดังนั้น..เราจึงควรที่จะตั้งเป้าหมายเอาไว้สูงสุด แล้วตั้งหน้าตั้งตาทำไป จนกว่าจะถึง ชาตินี้ไม่ถึง ชาติหน้าก็ต้องถึง
     
  12. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,663
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,551
    ค่าพลัง:
    +26,390
    ก่อนปฏิบัติธรรมช่วงเช้า วันจันทร์ที่ ๓ มกราคม ๒๕๖๕
    อยากจะบอกว่ากิเลสล้ำหน้า ก้าวล้ำนำสมัย เคยไปนั่งทะเลาะกับเจ้าตัวกิเลสมา กิเลสบอกว่าทุกอย่างที่เป็นความเจริญนั้น ฝีมือเขาล้วน ๆ เลย เขาสร้างโลกเสมือนจริงขึ้นมา

    ปัจจุบันนี้มี Metaverse มีใครลองใช้บ้างหรือยัง ? แค่ทุกวันนี้ที่ผ่านมาก็แย่แล้วนะ อันดับแรกเลยก็อีเมล์..จดหมายอิเล็กทรอนิกส์ ก็ต้องมีชื่อเรา เฟซบุ๊ก ไลน์ สไกป์ ๑ ยูสเซอร์คือ ๑ ตัวตน ลำพังตัวเราก็แย่แล้วนะ ยังไปสร้างตัวตนเสมือนมาอีกเยอะแยะ กิเลสก็ท่วมทับแทบตาย พออัพเดทปุ๊บ คนมากดไลค์..อุ๊ย..เป็นปลื้ม ตัวเราชัด ๆ เลย ใช่ไหม ? คนมาดิสไลค์ปุ๊บ..ก็โกรธ โกรธทำไม ? ตัวเราหรือเปล่า ?

    จะเห็นว่าแค่ร่างกายนี้ เราก็ยึดจนไม่รู้จะยึดอย่างไรแล้ว ที่พวกฝึกมโนมยิทธิมาถามว่า ฝึกแล้วออกไป กลัวว่าจะกลับไม่ได้ อาตมาเอาประสบการณ์ตัวเองที่ฝึกมาตลอดชีวิตว่า ไม่ต้องกลัวเลย ถ้าจะกลัว จงกลัวว่าจะไปไม่ได้ ไม่ใช่กลัวว่าจะกลับไม่ได้ ประสบการณ์ที่ผ่านมาก็คือ มีอะไรนิด มีอะไรหน่อย จิตก็เผ่นกลับเข้าร่างกายทันที ไม่มีอะไรที่เราจะรักยิ่งกว่าร่างกายนี้อีกแล้ว


    คนไหนที่แฟนบอกว่ารักปานจะกลืนกิน พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า ให้เอาถ่านร้อน ๆ หย่อนใส่หัวพร้อมกันทั้งสองคน แล้วดูว่าจะปัดให้ใครก่อน ถ้าหากว่าปัดให้แฟนก่อน ค่อยเชื่อว่ารักจริง คิดว่าจะหาได้ไหม ? หาไม่ได้แน่นอน..ใช่ไหม ?
     
  13. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,663
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,551
    ค่าพลัง:
    +26,390
    เรื่องพวกนี้บอกให้เราเห็นอย่างชัดเจนว่า การยึดมั่นถือมั่นในตัวกูของกู เป็นเรื่องปกติของมนุษย์ แต่ต้องพยายามมีสติ อย่าให้มากมายจนล้นเกิน ถ้าหากว่าเกินเมื่อไร ก็กลายเป็น ถือตัว หยิ่ง ยโส ทะนง ประมาณนั้น หนักไปยิ่งกว่านั้นอีก ก็ที่แสดงออกอาการน่าเกลียดน่าชัง ที่เขาตั้งฉายาว่า "มนุษย์ลุง" "มนุษย์ป้า" อะไรประมาณนั้น

    คราวนี้ถ้าหากว่าเรารู้ตัวก็ต้องพยายามลด อย่าบอกเชียวนะว่าจะละ ยังละไม่ได้หรอก ต้องลดก่อน ค่อย ๆ ลดความถือเนื้อถือตัวลง วิธีลดง่ายที่สุดก็คือ พิจารณาให้เห็นว่าเขากับเรามีอะไรต่างกันที่ไหน..? ก็ธาตุ ๔ ดิน น้ำ ไฟ ลม รวมกันขึ้นมา มีหัว มีหู มีหน้า มีตา เหมือนกัน ในเมื่อไม่มีความต่างกัน แล้วจะไปถือตัวกันถึงไหน ? แล้วไม่ใช่แค่คนนะ หมาก็เป็น ถ้าหากว่าลองสังเกตดู หมาบางตัวลูบหัวไม่ได้ ไม่ให้ลูบหรอก หมายังถือตัว ลูบหัวแล้วงับมือเลย..!

    ในเมื่อคนและสัตว์ ทุกรูปทุกนามเป็นอย่างนี้ อันดับแรกก็ค่อย ๆ ลด ใช้ปัญญาที่พอมีอยู่น้อยนิด พิจารณาให้เห็นว่า ทุกอย่างไม่มีอะไรต่างกันเลย เกิดมาไม่เที่ยงเหมือนกัน เป็นทุกข์เหมือนกัน ไม่มีอะไรเป็นเราเป็นของเราเหมือนกัน ซักซ้อมการลดไปเรื่อย ๆ

    หลังจากลดแล้วก็พยายามละ นำตัวห่าง ๆ ออกมา ก่อนหน้านี้ก็ใครขัดอกขัดใจไม่ได้ อาละวาดทุกวัน ให้ตั้งใจว่าเราจะอาละวาดเฉพาะวันอาทิตย์ ของเราที่นี่มีใส่บาตรทุกวันอาทิตย์ เราทำความดีก่อนแล้วค่อยมาชั่วยังพอทนบ้าง
    พอละก็คือห่างออกมา..ห่างออกมา ท้ายสุด..ก็เลิกได้
     
  14. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,663
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,551
    ค่าพลัง:
    +26,390
    การที่เราจะเลิกในสิ่งที่ชวนให้ รัก โลภ โกรธ หลง ถือว่าเป็นเป้าหมายสูงสุดในชีวิตของทุกคน ในเมื่อตั้งเป้าไว้แล้ว ก็ต้องพยายามไปให้ถึง ถ้าไปไม่ถึงก็ตะเกียกตะกายไปให้ไกลที่สุดเท่าที่จะไกลได้
    อย่าลืมในสิ่งที่สอนไปตอนช่วงเช้ามืด ตอนตีสามครึ่ง พยายามเก็บเอาไปใช้งานหน่อย ไม่เช่นนั้นแล้วถึงเวลาเราก็จะเสียทีที่มาเรียนกัน
     
  15. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,663
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,551
    ค่าพลัง:
    +26,390
    โอวาทในพิธีปิดการบวชเนกขัมมะปฏิบัติธรรมขึ้นปีใหม่ ๒๕๖๕
    วันศุกร์ที่ ๓ มกราคม ๒๕๖๕

    ส่วนหนึ่งที่ฝากเอาไว้สำหรับพวกเราก็คือว่า การปฏิบัติธรรมก็คือการทวนกระแสโลก ต้องทำแบบจริงจังสม่ำเสมอเสมอเท่านั้นถึงจะเกิดผล คราวนี้ถ้าหากว่าท่านทั้งหลายบอกว่ามีภาระงานมาก ไม่มีเวลาปฏิบัติ แสดงว่าเป็นผู้ที่ปฏิบัติธรรมไม่เป็น


    การปฏิบัติธรรมนั้นก็คือการใช้ชีวิตประจำวันตามปกติ เพียงแต่ใส่สติเข้าไปในทุกงานตรงหน้าเท่านั้น ถ้ามีสติจดจ่ออยู่เฉพาะหน้า รัก โลภ โกรธ หลง ก็เกิดขึ้นไม่ได้ เท่ากับเป็นการชำระใจของเราให้สะอาดผ่องใส นั่นก็คือการปฏิบัติธรรม

    ถ้าหากว่าเราต้องรอนั่งกรรมฐานก่อนถึงจะเรียกว่าปฏิบัติธรรม ถ้าอย่างนั้นวันหนึ่งเราจะมีเวลาสักเท่าไร ? เพราะว่ากิเลสกินเราอยู่ตลอดเวลา เราจะไปนั่งกรรมฐานเช้าครึ่งชั่วโมง เย็นครึ่งชั่วโมง แล้วอีก ๒๓ ชั่วโมงขาดทุนตลอด ก็ย่อมไม่ใช่

    เพราะฉะนั้น..การที่พวกเราเมื่อกลับไปถึงเรือนชานบ้านช่องแล้ว ส่วนที่สำคัญที่สุดก็คือรักษากำลังใจของเรา ให้อยู่ในกรอบของ ศีล สมาธิ ปัญญา ให้ได้ทุกวัน โดยเฉพาะให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ ถึงเวลาจะได้ไม่ขาดทุน


    ท้ายนี้ก็ขออนุโมทนากับทุกท่าน ที่เวลาพักผ่อนของเรา เวลาท่องเที่ยวของเรา ก็เอามาใช้ในการสร้างคุณความดีร่วมกัน กระผม/อาตมภาพขอตั้งสัตยาธิษฐานอ้างคุณพระศรีรัตนตรัย มีพระพุทธรัตนะ ธรรมรัตนะ สังฆรัตนะเป็นประธาน มีบารมีของหลวงปู่สาย อคฺควํโส อดีตเจ้าอาวาสวัดท่าขนุนเป็นที่สุด

    รวมถึงคุณงามความดีที่ท่านทั้งหลายได้สร้างมาตั้งแต่ต้นจนบัดนี้ จงมารวมกันเป็นตบะเดชะ พลวปัจจัย ดลบันดาลให้ท่านทั้งหลายประสบความสำเร็จ ทั้งทางโลกและทางธรรม แม้ว่าประสงค์จำนงหมายสิ่งหนึ่งประการใด ที่เป็นไปโดยชอบ ประกอบด้วยธรรมวินัย ก็ขอให้ความประสงค์ของท่านทั้งหลาย จงสำเร็จสัมฤทธิ์ผล สมดังมโนรถปรารถนาทุกประการด้วยเทอญ

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    ปกิณกธรรมช่วงบวชเนกขัมมะขึ้นปีใหม่ ๒๕๖๕ ณ วัดท่าขนุน
    วันศุกร์ที่ ๓๑ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๖๔ - วันจันทร์ที่ ๓ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๖๕
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย ทะเล และ นาทาม)
     

แชร์หน้านี้

Loading...