เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอาทิตย์ที่ ๑๘ กรกฎาคม ๒๕๖๔

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 18 กรกฎาคม 2021.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,670
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,552
    ค่าพลัง:
    +26,393
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอาทิตย์ที่ ๑๘ กรกฎาคม ๒๕๖๔

     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,670
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,552
    ค่าพลัง:
    +26,393
    วันนี้เป็นวันอาทิตย์ที่ ๑๘ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๖๔ งานหลักของวันนี้เลยก็คือ เข้าประชุมเสวนาออนไลน์ร่วมกับศิษย์เก่าศิษย์ใหม่ ของมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เนื่องในวันบูรพาจารย์

    แต่คราวนี้การประชุมค่อนข้างจะโหดมาก ก็คือเริ่มตั้งแต่เที่ยงครึ่งมาเลิกเอาตอน ๖ โมงกับ ๕ นาที ใช้เวลาไป ๕ ชั่วโมง ๓๕ นาที..! แต่ก็ได้รับความรู้มามากมาย เพียงแต่ว่าบุคคลที่จะยืนหยัดจนตลอดรอดฝั่งได้นั้น..หาได้น้อยมาก เพราะว่ากำลังสมาธิไม่เพียงพอ ถ้าหากว่ากำลังสมาธิของเราพอ จะยืนระยะได้นานมาก ตามแต่ความมากน้อยของระดับสมาธิที่เราทำได้

    สมัยที่เรียนปริญญาเอก ท่านอาจารย์มหาหรรษา ธมฺมหาโส,รศ.ดร. ตอนนั้นท่านยังไม่ได้เป็นศาสตราจารย์ ท่านไม่ค่อยมีเวลา เนื่องจากว่าเป็นช่วงที่เริ่มก่อตั้งสถาบันภาษาที่ท่านเป็นผู้ที่รับผิดชอบ ท่านจึงใช้วิธีนัดเรียนเป็นวัน ๆ ไป ก็คือไม่ได้เข้าเรียนทีหนึ่ง ๒ - ๓ ชั่วโมงเหมือนกับวิชาอื่น แต่ใช้นัดเรียนวันหนึ่ง ๙ ชั่วโมง ๑๐ ชั่วโมง เป็นต้น

    คราวนี้ท่านอาจารย์หรรษา เมื่อมาถึงห้องเรียน สิ่งแรกที่ท่านทำเลยก็คือ บอกกับนิสิตว่า "ขอให้ทุกท่านนั่งกรรมฐาน ๒๐ นาทีครับ" แล้วนิสิตจะนั่งกรรมฐานหรือไม่นั่งก็ตาม ท่านอาจารย์นั่งเองไปแล้ว..! ครบ ๒๐ นาทีท่านก็เริ่มบรรยาย ลากยาวไปเลย เพื่อนร่วมรุ่นปริญญาเอกของผม รวมตัวผมด้วยก็ ๒๒ รูป ท้ายสุดจะเหลือแต่ผมกับท่านอาจารย์นั่งดวลเดี่ยวกัน ๒ คน คนอื่นหนีไปซดกาแฟ ไปนั่งคุยกัน เพราะว่ารับไม่ไหว

    สิ่งที่เพื่อน ๆ มอบความไว้วางใจให้ก็คือบรรดาแฟล็ชไดรฟ์ แฮนดี้ไดรฟ์ หรือ ธัมป์ไดรฟ์ กองอยู่ข้างตัวผมกองเบ้อเร่อ โดยที่บอกว่า "สรุปเสร็จแล้วช่วยโหลดให้ด้วยนะ..!"

    ตรงจุดนี้จะเห็นได้อย่างชัดเจนว่า ท่านอาจารย์หรรษานั้นใช้กำลังสมาธิในการที่จะบรรยายทีหนึ่ง ๘ ชั่วโมง ๑๐ ชั่วโมง ส่วนคนฟัง ถ้ากำลังสมาธิไม่พอก็มักจะหมดสภาพตั้งแต่ชั่วโมงที่สองแล้ว จึงเหลือลูกศิษย์อย่างผมกับท่านอาจารย์แค่ ๒ คน ที่นั่งดวลกันตั้งแต่เช้ายันเย็น..!
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,670
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,552
    ค่าพลัง:
    +26,393
    ท่านทั้งหลายจะเห็นว่าทิฏฐธัมมิกัตถประโยชน์ คือประโยชน์ปัจจุบันของการปฏิบัติสมาธิภาวนาอย่างหนึ่งก็คือ เราจะมีกำลังในการทุ่มเทกับการงานอย่างใดอย่างหนึ่งมากกว่าคนอื่นเขา แล้วกำลังเหล่านี้ ถ้าหากว่าคนที่ไม่เข้าใจก็จะว่า "ดื้อ" ทำอะไรประเภทดื้อหัวชนฝา แต่ความจริงแล้วไม่ใช่ เป็นความ "มุ่งมั่น" ของใจที่เห็นว่างานยังไม่เสร็จแล้วจะไม่ยอมเลิก

    ดังนั้น..ถ้าหากว่าใครทำได้ก็จะอยู่ในลักษณะนี้ ก็คืองานอะไรที่ต้องใช้ระยะเวลานาน ๆ ติดต่อกัน เราสามารถใช้กำลังสมาธิเข้าไปทำให้งานนั้นออกมาให้ดีที่สุดเท่าที่จะดีได้ แต่ถ้าหากท่านที่ไม่มีความคล่องตัว เมื่อทุ่มไปอย่างนั้นแล้ว พอเลิกงานส่วนใหญ่ก็หมดสภาพ..แผ่หราไปเลย เหมือนอย่างกับว่าเอาต้นทุนทั้งหมดที่ตนเองมีมาทุ่มกับงานตรงนั้น จึงต้องพยายามฝึกฝนให้สามารถเข้าออก และทรงสมาธิได้ตามที่ตนเองต้องการ ถึงจะอยู่ได้ตลอดรอดฝั่ง

    สำหรับวันนี้ อีกเรื่องหนึ่งที่อยากจะพูด ก็คือพวกเราที่ลากลับบ้าน ก็เริ่มทยอยกันกลับมา คราวนี้หลายท่านอาจจะทราบแล้วว่า ผมบวชมา ๓๐ กว่าปี เคยกลับบ้านจริง ๆ แค่ครั้งเดียว ก็คือหลังจากที่บวช ตั้งแต่วันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๕๒๙ จนกระทั่งหลังรับกฐิน ช่วยงานวัดของปีนั้นเสร็จแล้ว ถึงได้ลาหลวงพ่อวัดท่าซุงกลับบ้าน ลาเต็มโควตาเลย ก็คือที่วัดท่าซุงนั้น ถ้าหากว่าจะลา ท่านให้ลาได้เดือนละไม่เกิน ๑๐ วัน แต่ถ้าไม่ได้ไป ๒ เดือนติดกัน ท่านให้ลาได้ไม่เกิน ๑๕ วัน

    จนกระทั่งตอนหลังกระผม/อาตมภาพ ลาไปดูแลหลวงปู่มหาอำพันต่อเนื่องกัน ๔๕ วัน..! ทางคณะกรรมการสงฆ์กำหนดโทษลงมาว่าให้ไล่ออก..! หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านเมตตาแทงหนังสือตอบลงมาว่า "การไปดูแลครูบาอาจารย์ถือว่าเป็นความกตัญญู เพราะฉะนั้น..ให้งดโทษไล่ออก แต่ให้ตัดวันลาลงเหลือไม่เกินครั้งละ ๗ วันเท่านั้น"

    ครั้งแรกที่ลา เนื่องจากว่าตัวผมเองไปเป็นนาคอยู่ที่วัดท่าซุงตั้งแต่ต้นเดือนเมษายน ได้กลับบ้านอีกทีก็ปลายเดือนพฤศจิกายน เมื่อกลับไปถึงปรากฏว่า มีความรู้สึกบอกตัวเองอย่างชัดเจนว่า "บ้านไม่ใช่ของเราแล้ว" ไม่สามารถที่จะทนนั่งอยู่ในบ้านได้..ร้อนไปหมด..! ทนอยู่ได้ประมาณ ๑๕ นาทีก็ต้องบอกลาญาติโยม แล้วไปขออนุญาตพักอยู่กับหลวงปู่มหาอำพันที่วัดเทพศิรินทราวาสแทน
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,670
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,552
    ค่าพลัง:
    +26,393
    ผมเป็นคนช่างสังเกตกำลังใจตัวเองถึงได้รู้ว่า การที่เราอยู่ในวัดเหมือนอย่างกับอยู่ในเขตปลอดภัย หลุดออกจากวัดไปเมื่อไรก็ฟุ้งซ่านเมื่อนั้น โดยเฉพาะเมื่อกลับบ้าน ส่วนใหญ่แล้วญาติโยมที่บ้านมักจะนำสารพันปัญหามายัดใส่หูเรา ซึ่งก็เท่ากับยัดใส่หัวเรา แล้วก็ลงไปที่ใจของเรา จากความสงบที่เรามีอยู่ตอนอยู่วัด ก็จะกลายเป็นฟุ้งซ่านไปหมด..!

    โดยเฉพาะท่านที่มีครอบครัว มีลูกมีเมียมาก่อนบวช ยิ่งหนักหนาสาหัส ถ้าไม่ใช่บุคคลที่มั่นคงจริง ๆ มักจะอยู่ไม่ได้ ตัวอย่างชัดเจนที่สุดก็หลวงพ่อพระสุทินนกลันทบุตรกับหลวงพ่อพระรัฐบาลเถระ สมัยพุทธกาลทั้งคู่

    หลวงพ่อรัฐบาลเถระ พอทางบ้านรู้เข้าก็นำเอาบรรดาภรรยาเก่าแต่งตัวอย่างงดงาม พร้อมกับสมบัติกองเป็นภูเขาเลากาเอาไว้ตรงหน้าของท่าน แล้วพ่อแม่มาขอร้องให้สึกกลับไป เพื่อที่จะอยู่กับครอบครัวและใช้สมบัตินั้นต่อ แต่หลวงพ่อรัฐบาลเถระท่านเป็นพระอรหันต์แล้ว ท่านก็เลยไม่ได้ใส่ใจ บอกว่าถ้ามีมากนักก็แจกให้กับคนจนไปบ้าง..!

    ส่วนหลวงพ่อพระสุทินนกลันทบุตร ยิ่งหนักเข้าไปใหญ่ ตอนช่วงนั้นยังไม่มีการบัญญัติศีลพระแม้แต่ข้อเดียว ท่านเองก็ยังเป็นปุถุชนอยู่ ประเทศอินเดียสมัยนั้นมีค่านิยมว่า ถ้าไม่มีลูกชายมารับสืบทอดมรดก ทรัพย์สินทั้งหมดจะโดนยึดเข้าคลังหลวง..!

    ในเมื่อหลวงพ่อพระสุทินนกลันทบุตรไม่ยอมสึก ทางพ่อแม่ก็เลยพาภรรยาเก่ามาให้ บอกว่า "ถ้าคุณไม่สึกก็ไม่เป็นไรหรอก แต่ขอลูกชายเอาไว้สักคนหนึ่งจะได้มาดูแลสมบัติแทน" ในเมื่อไม่มีศีลห้ามไว้ หลวงพ่อสุทินน์คิดว่าไม่เป็นไร เพราะว่าท่านเองยังเป็นปุถุชนอยู่ ก็เลยเสพเมถุนกับเมียเก่าจนกระทั่งมีลูกชายขึ้นมา

    หลังจากนี้ท่านมาคิดว่า "ผู้ประพฤติพรหมจรรย์ไม่ควรที่จะกระทำเรื่องอย่างนี้" ก็เลยเกิดใจเศร้าหมอง คิดมากจนเครียด เพื่อนพระมาสอบถามพอรู้ความเข้า ก็ประณามด่าว่าท่าน พระพุทธเจ้าต้องประชุมสงฆ์สอบถามสาเหตุ แล้วมีบัญญัติว่า "พระภิกษุห้ามเสพเมถุน (ก็คือมีเมีย) ถ้าใครเสพเมถุนต้องอาบัติปาราชิก (คือขาดความเป็นภิกษุไปเลย)" ส่วนหลวงพ่อพระสุทินน์ท่านเป็นต้นบัญญัติ ได้รับการยกเว้น ประมาณว่ายังไม่มีกฎหมาย ทำไปก็ไม่ผิด แต่หลังจากที่บัญญัติกฎหมายแล้ว ใครทำอีกก็จะผิด
     
  5. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,670
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,552
    ค่าพลัง:
    +26,393
    คราวนี้การที่ท่านทั้งหลายลากลับบ้าน ขอให้สังเกตว่า เมื่อเรากลับมาวัดแล้ว ยังฟุ้งซ่านถึงเรื่องที่เราลาไปอีกกี่วัน ? กว่าที่จะสามารถทำใจของตัวเองให้สงบได้เหมือนตอนที่ก่อนออกจากวัด แล้วท่านก็จะรู้ว่า จริง ๆ แล้วเราเองอยู่ในที่ปลอดภัยแท้ ๆ กลับยื่นหัวออกไปให้กิเลสตีกบาลเอง..!

    เพราะว่าเรื่องทั้งหมดที่ระดมเข้ามา ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ล้วนแล้วแต่ทำให้เราสูญเสียกำลังที่จะเก็บเอาไว้ใช้ต่อต้านกิเลส ก็คือตาเห็นรูป ไปยินดีด้วย เมื่อฟุ้งซ่านไปกำลังก็รั่วไปแล้ว หูได้ยินเสียง จมูกได้กลิ่น ลิ้นได้รส กายสัมผัส ก็ลักษณะเดียวกัน ก็เลยทำให้เราไม่ว่าจะปฏิบัติสมาธิภาวนามานานเท่าไร ก็ไม่เกิดมรรคเกิดผล เพราะว่ากำลังที่ควรจะรวบรวมเอาไว้ให้เพียงพอในการตัดกิเลสมักจะรั่วไหลไปหมด ประมาณพวก "กระเฌอก้นรั่ว" ก็คือเอาอะไรใส่ลงไปก็รั่วหายหมด ต่อให้ขยันขนาดไหนก็ตาม ปฏิบัติกรรมฐานมามากแค่ไหนก็ตาม ก็จะรั่วหมดทุกครั้ง และเป็นการรั่วที่น่าสงสารมาก เพราะว่าเราทำรั่วเอง..!


    การที่เราบวชเข้ามา เขาเรียกว่า อนาคาริกะ คือผู้ที่ไม่มีบ้านเรือน แทนที่เราจะฉวยโอกาสซึ่งได้ปลีกวิเวก รีบบำเพ็ญใน ศีล สมาธิ ปัญญา เพื่อให้มีกำลังเพียงพอในการตัดกิเลส เราก็ทำบ้าง ลากลับบ้านบ้าง เพื่อที่จะไปเสพเสวยสิ่งต่าง ๆ ตามที่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ บัญชาให้

    บางท่านอยู่วัดก็ยังรู้สึกละอายแก่ใจ พยายามที่จะระงับยับยั้งไม่ให้ตนกระทำในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง แต่พอลากลับบ้านไป บางคนก็เล่นเกมได้ทั้งวัน บางคนก็ดูหนังฟังเพลงตามใจตัวเอง ก็เลยทำให้กำลังที่เราสั่งสมไว้ไม่เพียงพอที่จะใช้ในการตัดกิเลสสักที เมื่อถึงเวลา รัก โลภ โกรธ หลง ตีเข้า เราก็เดือดร้อน กลายเป็นแส่หาเรื่องให้ตัวโดยใช่เหตุ..!

    แต่ว่าเรื่องพวกนี้ก็แล้วต้องแต่ท่านทั้งหลาย เพราะว่าถ้าเป็นไปตามกฎเกณฑ์กติกา อยู่วัดครบ ๑ เดือนก็สามารถลาได้ ๗ วัน ถ้าอยู่ครบ ๒ เดือน ก็ลาได้ ๑๕ วัน เพียงแต่วันไปก็นับ วันกลับก็คิด จึงต้องบอกว่า ต้องรู้จักรักษาตัวกันเอง
    หลังจากที่เข้าวัดมาแล้ว ต้องพยายามชำระใจของเราให้หมดความฟุ้งซ่านให้เร็วที่สุด อย่างน้อย ๆ จะได้มีเวลาที่จิตใจของเราร่มเย็นเป็นสุขบ้าง ไม่ใช่ไปเอาไฟมาเผาตัวเองอย่างที่ทำกันอยู่ทุกวัน..!

    สำหรับวันนี้ เรื่องที่กล่าวมาส่วนใหญ่แล้วก็เป็นเรื่องพระภิกษุสามเณรของเรา ญาติโยมอาจจะได้รับประโยชน์น้อยไปนิดหนึ่ง แต่ถ้าหากว่าผู้ใดที่ตั้งใจปฏิบัติเพื่อความหลุดพ้นจริง ๆ ก็ขอให้ระมัดระวังไว้ว่า สิ่งหนึ่งประการใดที่เราทำแล้ว ถ้าหากว่าทำให้กำลังการปฏิบัติธรรมของเรารั่วไหลเพราะความฟุ้งซ่านของใจ ก็ขอให้งด ลด ละ จนกระทั่งเลิกไปได้ ก็จะเป็นคุณแก่ตนเองเป็นอย่างยิ่ง


    ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมไว้แต่เพียงเท่านี้..ขอเจริญพร

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันอาทิตย์ที่ ๑๘ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๖๔
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...