@@..คำครู ผู้ชี้-นำ-อุปถัมภ์ สู่พระโพธิญาณ & เรื่องเล่าจากกัลยาณมิตร.@@

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย นโมพุทธายะ๕, 10 กรกฎาคม 2015.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,414
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,122
    ค่าพลัง:
    +70,471
    GvPuDSHJpHLBDstd0LFDigP5ZYk1HcqFQnxr8anHZ1Bb&_nc_ohc=C2bwWPzuIC4AX-PXkwe&_nc_ht=scontent.fcnx3-1.jpg
    พระอาจารย์เล่าเรื่องสมัยที่ท่านเป็นทหารให้ฟังว่า เป็นคนไม่กลัวเจ้านาย ด้วยเหตุผลที่ว่าเจ้านายตัวเล็กนิดเดียว ส่วนเราตัวใหญ่กว่าจะต้องไปกลัวเขาทำไม

    "มีโอกาสได้คุยกับบรรดาทหาร ว่าทำไมจึงกลัวผู้บังคับบัญชานัก เขาบอกว่าไม่รู้เหมือนกัน นายท่านนี้สงสัยว่าจะมีนะหน้าเสือ ตัวเล็ก ๆ ก็จริง แต่ใครเห็นก็สั่น

    ความจริงไม่ใช่หรอก นั่นเกิดจากตบะที่ท่านสั่งสมมาวันแล้ววันเล่า อยู่ในลักษณะที่เป็นผู้นำเขามามาก ทำให้พลังจิตของเขาเหนือกว่า ถึงได้บอกว่าถ้าเรารู้สึกว่ามีใครสักคนหนึ่งที่เราต้องการจะข่มเขาให้ลง ให้นึกถึงกำลังใจในชาติที่เราใหญ่กว่าเขา แล้วก็ดึงเอากำลังใจตรงนั้นมาใช้"

    ถาม : พลังจิตสั่งสมมาหรือคะ ?
    ตอบ : สั่งสมมาเรื่อย ขณะเดียวกัน ถ้าของเราสั่งสมมาแล้วของเขาเล่า ? เขาก็สั่งสมมาเหมือนกัน ก็เลยต้องไปเลือกชาติที่เราใหญ่กว่าเขา แต่ต้องบอกว่าโบราณของเราดี ตรงที่ว่ามีอะไรก็ยกเอาบารมีครูบาอาจารย์ขึ้นมาก่อน

    อย่างสมัยก่อนตอนยังเด็ก ๆ เรียนคาถาบทหนึ่งชื่อโองการมหาทมื่น เขาจะมีกล่าวถึงครู "โอม..กูจะอ่านโองการมหาทมื่น กูจะโยนตัวกูขึ้นไปเป็นกง ไม้ไร่ก็แหลกเป็นผุยผงไปทั่วทั้งสกลชมภู เมื่อกูเอ่ยถึงครูกู ใครจักสู้ครูกูก็มิได้ ครูกูจึงให้กูว่าพระคาถา... ฯลฯ"

    โองการมหาทมื่นเป็นคาถาที่ยาวมาก แต่เป็นคาถาที่เขาสร้างขึ้นมาเพื่อความปลอดภัย จะในน้ำ บนบก กลางวัน กลางคืน จะหลับ จะตื่น จะยืน จะนั่ง อาวุธทุกประเภท เขาเอ่ยถึงหมด ลองไปค้นในกูเกิ้ลดู น่าจะมี

    คาถานี้เขาทำขึ้นมาเพื่อป้องกัน อาวุธสารพัดมีเอ่ยเอาไว้หมด แต่เชื่อเถอะท้ายสุดก็ต้องมีจุดอ่อนจนได้ แบบแสนตรีเพชรกล้า อะไรก็ฟันไม่เข้า แต่ท้ายสุดก็โดนหลาวทะลวงก้นตายจนได้..!"
    __________________

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    วัดท่าขนุน อ.ทองผาภูมิ จ.กาญจนบุรี
    คัดลอกข้อความมาจาก

    https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php…
     
  2. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,414
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,122
    ค่าพลัง:
    +70,471
    eCczL0jXRcP2sa5iFK8ie2kNKChNXKup3xvxlKxYAteP&_nc_ohc=EvMzD5UoCK0AX-R_6Xh&_nc_ht=scontent.fcnx3-1.jpg
     
  3. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,414
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,122
    ค่าพลัง:
    +70,471
    lypFgqDnUWorlO2VpHR3-1UbacftOEBvYkgPLnVf1Mf3&_nc_ohc=kZ8sWWvKYgkAX_QWygs&_nc_ht=scontent.fcnx3-1.jpg
    ถาม : การที่พระโพธิสัตว์มีคู่บารมี หากคู่บารมีที่เป็นหญิงก็ปรารถนาพุทธภูมิเหมือนกัน ทำไมจึงมาเป็นคู่บารมีของพระโพธิสัตว์ได้ ? เช่น ในกรณีหลวงพ่อฤๅษีปรารถนาพุทธภูมิ ท่านมีเจ้าแม่กวนอิมเป็นคู่บารมี ขณะที่เจ้าแม่กวนอิมก็ปรารถนาพุทธภูมิด้วย

    ตอบ : จับแพะชนแกะไปเรื่อยนะ คนหนึ่งเป็นไทย คนหนึ่งเป็นเจ๊กก็เอามาปนกันได้...! การจะตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าต้องเกิดชนิดไม่ต้องนับ ในเมื่อเกิดกันไม่ต้องนับก็ต้องมาเจอกัน มีความสัมพันธ์กันบ้างเป็นปกติ คราวนี้ก็ขึ้นอยู่กับว่าความปรารถนาของแต่ละคนว่าของใครเข้มข้นกว่า ใครสร้างบารมีมามากกว่า ถ้าหากอีกฝ่ายหนึ่งเข้มข้นกว่า สร้างบารมีมามากกว่า อีกฝ่ายหนึ่งก็ต้องไหลตามไปเอง

    เก็บตกบ้านเติมบุญ
    กันยายน ๒๕๖๑
     
  4. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,414
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,122
    ค่าพลัง:
    +70,471
     
  5. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,414
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,122
    ค่าพลัง:
    +70,471
    y-0NYOPSgeaQbj4HHJUJuie07Oaj6-fICEW0LiPCEyKM&_nc_ohc=iuP6ewGQn_IAX-0T4m6&_nc_ht=scontent.fcnx3-1.jpg
    #ฤาษี สอน หนุมาน
    *--------------*
    จำไว้น่ะลูก..อย่าเลวกับคนที่เขาดีกับมึง!
    เหลี่ยม คม มึงมีมึงก็เก็บเอาไว้ อย่าเอามาใช้และอย่าเก่งกับคนในครอบครัว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “คนที่เขามีบุญคุณและปรารถนาดีกับมึง” ไม่ใช่พอถือคมหน่อย มีเงินเข้าหน่อย มียศศักดิ์เข้าหน่อย และจะเหยียบหัว จะข้ามใคร จะพูดอะไรก็ได้

    อย่าประมาท! ทำอะไร พูดอะไรให้นึกถึงตอนมึงลงเอาไว้บ้าง ในวันที่มึงหมดผลประโยชน์ ไม่มีอำนาจ ไม่มีเงินทอง คนที่เคยเยินยอสรรเสริญ เคยกอดมึง เคยบอกรักมึง เขาจะยังกอดยังบอกรักมึงอยู่ไม๊ ?? แต่คนในครอบครัว “รักมึง ห่วงมึงทุกวันน่ะ” ในวันที่มึงเจ็บไข้ใกล้ตา ย คนที่เคียงข้างมึงจะมีใครนอกจาก “คนในครอบครัว” !!!
     
  6. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,414
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,122
    ค่าพลัง:
    +70,471
    การทรงฌานทุกขณะจิต ในความหมายของพระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดท่าซุงฯ ก็คือโลกุตระฌานหรือที่เรียกว่า วิปัสนาญาณนั่นเอง

    เป็นอารมณ์พิจารณารู้ทันในกฎไตรลักษณ์ละวาง
    ในทุกสิ่งที่เป็นความพอใจ และไม่พอใจ
    อารมณ์จะคลายเบาๆไม่หนักใจสบายมาก
    เป็นอารมณ์ที่พระอริยเจ้าเขาใช้กัน!!ไม่เหนื่อยนะ

    จะไม่เหมือนโลกียะฌานที่มีความหนักแน่นอึดอัดก็เพราะเป็นอารมณ์ข่มกิเลสบังคับไว้เผลอเมื่อไหร่ก็เสร็จ กิเลสเมื่อนั้น!!แล้วเหนื่อยเสียด้วยสิตามข่ม

    แต่ยังไง จุดเริ่มต้นมันก็ต้องใช้อารมณ์ข่มก่อน
    เมื่อเอาอยู่ก็ใช้อารมณ์พิจารณาเข้าคุมแทนหาทางตัดแข้งตัดขาเสือแทงตาเสือตัดลิ้นตัดหูจมูกกายไปทีละนิดจนมันไม่เหลือ เยื่อใยให้กำเริบอาละวาดอีก

    ท้ายที่สุดเสือมันก็อ่อนแรงค่อยๆตายไป
    #เปรียบเหมือนการข่มใจไม่ให้ยินดียินร้าย เมื่อทำบ่อยเข้ามันจะทรงตัวจนสามารถเกิดความรู้ขึ้นมาเองเมื่อถึงที่สุดนะ ใจเราจะคิดรู้ได้เองว่า ท้ายที่สุดที่เราไปตามเกาะยึดใน ความมั่นคงของวัตถุธาตุ ความแน่นอนในความรัก ความไม่เจ็บไข้ได้ป่วย ความสมหวัง สุดท้ายมันเป็นไปไม่ได้เลย ที่รักหรือชัง
    มันก็ต้องเป็นธรรมดาของโลก คือ อะไรที่มันเกิดได้มันก็เปลี่ยนได้ คนที่รักมันก็เกลียดเราได้ คนที่เกลียดมันก็รักเราได้เช่นกัน เงินทองมีได้ก็หมดได้
    มีร่างกายแล้วมันก็ป่วยไข้แปรปรวนไปตามอายุสุดท้ายท้ายที่สุดทุกอย่างที่เกิดขึ้นมาแม้แต่อารมณ์ความรู้สึกของเราหรือเขามันก็แปรเปลี่ยน ดับลงจากจุดเริ่มต้นทั้งนั้น รู้ว่าโลกว่าการเกิดมีร่างกายมันทำให้เราหลงลำบากกายใจอย่างนี้ จะต้องการมันอีกเพื่ออะไร ..

    เมื่อเข้าใจชัดนะ ให้พยายามคิดทบทวนแบบนี้บ่อยๆในระหว่างวันที่ทำงาน

    การภาวนาเขาให้ใช้เวลาว่าง ก่อนนอนตื่นนอนเพื่อสะสมกำลัง ไว้เพื่อการพิจารณาสู้กับความพอใจและไม่พอใจทั้งวันทุกเวลา...

    ก็แค่นั้นเองไม่มีอะไรนอกจากเข้าใจกฎไตรลักษณ์
    ไม่ถือในความพอใจ และไม่พอใจได้ก็ไปนิพพานได้ง่ายๆ
    สณ.กษเมศ แนะนำกรรมฐาน..
     
  7. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,414
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,122
    ค่าพลัง:
    +70,471
    . สุดท้ายชีวิตก็ไม่มีอะไร..

    ชีวิตของเราไขว้คว้าหาสิ่งต่าง ๆ มากมาย...
    ทั้งสิ่งของ ความรู้ เพื่อนฝูง ลาภยศ สรรเสริญ...
    แต่สุดท้ายเราเหลืออะไร

    สิ่งของที่หามาได้ก็เป็นเพียงแค่วัตถุที่สนองตัญหาของเราเท่านั้น..จะมีคุณค่าก็แค่ตอนได้มาใหม่ ๆ เมื่อนานไปเราก็จะลืม...ลืมไปว่าเราเคยชื่นชมสิ่งนั้น ๆ มากแค่ไหน..และสุดท้ายก็จะเหมือนไม่มีอะไร...

    ความรู้...เราเรียนกันมากมาย..ทั้งปริญญาตรี ปริญญาโท ปริญญาเอก..แต่สุดท้ายเราไม่เคยเรียนรู้ตัวเองได้เลย..เรียนรู้เรื่องต่าง ๆ มากมาย แต่ไม่รู้จักตัวเองด้วยซ้ำ..สุดท้ายการเรียนรู้ก็ไม่มีอะไร..(ถ้าเราไม่รู้จักตัวเอง)...

    ลาภยศ สรรเสริญ...สูงสุดคืนสู่สามัญ..เป็นคำที่ดีที่สุด..เมื่อเราขึ้นสู่จุดสูงสุดของชีวิต..แต่สุดท้ายก็ต้องเป็นคนที่ไม่มีอะไร..เพราะ ทุกอย่างเป็นของสมมติทั้งนั้น..เค้าให้เราได้..เค้าก็เอาคืนไป..สุดท้ายก็ไม่เหลืออะไร...

    ท่านเจ้าพระคุณ พระจันโทปมคุณ ชื่น อดีตรองเจ้าอาวาสวัดมงกุฎกษัตริยาราม กับซากศพ
    ถ่ายเมื่อราวปีค.ศ.1890 (พ.ศ.๒๔๓๓)

    LpMf8hGIJzSX6gVi6Ts-BSR-9GD-BZPC0iq0qwGwGaw5&_nc_ohc=HZ0GpOEhVu0AX_8hnXG&_nc_ht=scontent.fcnx3-1.jpg



    ----------------------------------------------

     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  8. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,414
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,122
    ค่าพลัง:
    +70,471
  9. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,414
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,122
    ค่าพลัง:
    +70,471
    vgG8L8FYPDaIs3vDh8F24Gu58xgg2Wf08Cd7TjicJqRs&_nc_ohc=Q-Iz_cf44WAAX8F2iSC&_nc_ht=scontent.fcnx3-1.jpg
    ถาม : จะไปบูชาเทวดาที่ศาลหลักเมือง..?
    ตอบ : ใช้พวงมาลัยดอกดาวเรือง อาตมาไปทีก็เอาไปพวงหนึ่ง ท่านชอบอย่างนั้น

    ถาม : ถ้าเป็นพวงมาลัยแบบอื่น ?
    ตอบ : ก็ใส่ดาวเรืองไปเยอะ ๆ จะไปยากอะไร ? เดี๋ยวอาตมาก็โดนเทวดาเหยียบเข้าสักวัน ค่าที่ชอบไปเปิดเผยรสนิยมของท่าน

    เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนกรกฎาคม ๒๕๕๕

    ___________________________

    ถาม : พระแก้วมรกตนี่เป็นพระพุทธเจ้าองค์ที่เท่าไรครับ ?
    ตอบ : องค์นี้สร้างขึ้นในสมัยของพระนาคเสน คราวนี้คุณต้องไปถามท่านนาคเสนว่า ท่านแทนองค์ไหน แต่จริง ๆ แล้ว เวลาเรากราบ เราไหว้เพราะก็หมายเอาพระพุทธทั้งหมด ทั้งในอดีตจนถึงปัจจุบันก็หมดเรื่องกัน

    ถาม : (ฟังไม่ชัด)
    ตอบ : ก็เทวดาที่ท่านรักษานั่นแหละ เออ... บอกความลับให้หน่อย พระแก้วมรกตหรือถ้าในความหมายตามที่เรารู้ ๆ กันอยู่ ก็คือว่า เทวดาที่ท่านรักษาพระแก้วมรกตน่ะ ท่านชอบอะไร ท่านชอบพวงมาลัยดอกดาวเรือง

    ถาม : ดาวเรืองล้วน ๆ เลยหรือครับ ?
    ตอบ : ใช่ ถึงเวลาถ้าไปไหว้ท่าน เอาพวงมาลัยดอกดาวเรืองไปถวายพระแก้วนะ ท่านจะชอบใจเป็นพิเศษ

    แล้วถ้าบนท่านนะ อันนี้หลวงปู่มหาอำพันท่านแนะนำไว้ บนพระแก้วมรกต ให้บนด้วยไข่ต้ม๑๐๐ฟอง แล้วเป็นไข่ต้มประหลาดมาก ไข่ต้มพริกกับเกลือ ของเรามันถนัดน้ำปลาพริกกันใช่ไหม ไข่ต้มพริกกับเกลือ ถึงเวลาไปตั้งแก้บนเสร็จเรียบร้อย ถ้าไม่มีปัญญาจะกินลงไป หลวงปู่ท่านให้ เอาไปให้พวกสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าอะไรพวกนั้นนะ บ้านเมตตา บ้านราชวิถี ท่านให้อยู่บ่อย

    ความศักดิ์สิทธิ์ของพระแก้วมรกตนี่ หลวงปู่ท่านถือเป็นอันดับหนึ่งในชีวิตจิตใจเลย เพราะว่าหลวงปู่ท่านเองเป็นนักเรียนทุนเล่าเรียนหลวงรุ่นแรกนะ King's Scholar Ship ท่านบอกว่า “ ตอนนั้นจะสอบชิงทุนเล่าเรียนหลวง ไปเรียนต่อที่ประเทศอังกฤษ ก็ไปกราบขอพรพระแก้วมรกต

    ทันทีที่กราบขอพรได้ยินพระแก้วมรตท่านบอกว่า “Aviation” ก็คือวิชาเกี่ยวกับการบิน หลวงปู่ท่านก็เลยไปหัดเขียนเรียงความภาษาอังกฤษเกี่ยวกับวิชาการบิน แล้วก็ไปให้ครูภาษาอังกฤษของท่านตรวจแก้จนกระทั่งพอใจ แล้วก็ซ้อมเขียนแล้วเขียนอีก ๆ จนขึ้นใจไปเลย พอถึงเวลาสอบเข้าจริง ๆ มันออกหัวข้อเกี่ยวกับการบินจริง ๆ หลวงปู่ท่านได้ที่หนึ่ง”

    ตั้งแต่นั้นมาพระแก้วมรกตคือหนึ่งในดวงใจของหลวงปู่ ท่านสั่งเอาไว้เลยนะ ตั้งแต่วันแรกที่บวชว่า ตราบใดที่คุณยังบวชอยู่นะออกพรรษาเมื่อไร ให้ไปกราบพระในสถานที่ ๔ แห่งให้ได้

    ๑. พระแก้วมรกต
    ๒. พระพุทธชินราช
    ๓. พระพุทธชินสีห์
    ๔. พระปฐมเจดีย์

    ท่านบอกว่า ๔ ที่นี้ให้ไปให้ได้ อาตมาก็เลยถือเป็นภาระทุกครั้งที่หลังพรรษา แล้วจะต้องไปให้ครบ ๔ ที่ แต่ว่าถ้ามารกรุงเทพฯ นี่ถ้ามาเมื่อไรก็คือพระแก้วมรกตไว้ก่อน พระพุทธชินสีห์ วัดบวรนี่เขาเปิดโบสถ์เฉพาะวันพระ

    ถาม : ไข่เป็ดหรือไข่ไก่ดี ?
    ตอบ : ก็แล้วแต่เราชอบ ถ้าคิดจะกินเองนี่ ถ้าลามาแล้วนะ ที่เห็นหลวงปู่ทำส่วนใหญ่แล้วท่านใช้ไข่ไก่ เพราะมันสะดวกดี มันขายเยอะนะ แล้วที่แน่นอนตรงที่ว่า ไข่ไก่สมัยนี้้มันหาเชื้อยากเต็มที มันไม่เหมือนกับเป็ด เป็ดนี่ถ้าไม่มีตัวผู้มันจะไม่ไข่ เป็นสันดานเฉพาะเผ่าพันธุ์ของมันเลย ถ้ามีตัวผู้อยู่เมื่อไร มันก็ผสมเมื่อนั้น มันจะมีเชื้อ คราวนี้ถ้ามีเชื้อ ถ้าหากว่าเราไปต้ม ก็เท่ากับว่าฆ่าดี ๆ นี่เอง

    เพราะฉะนั้น...เอาไข่ไก่สะดวกดีกว่า อย่างไร ๆ ไอ้ไก่นี่เขาขังเอาไว้ในคอก บางทีตั้งแต่เกิดยันตาย ไม่เคยเห็นหน้าตัวผู้เลย มีหน้าที่กินแล้วไข่อย่างเดียวจริง ๆ

    กระโถนข้างธรรมาสน์ ฉบับที่ ๑๑๒ เดือนมิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๕๖
     
  10. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,414
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,122
    ค่าพลัง:
    +70,471
    เก็บตกจากบ้านเติมบุญ ต้นเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๖๑

    พระอาจารย์เล่าว่า "เมื่อคืน ๒ วันที่ผ่านมาปวดหลังมาก #ปวดเหมือนกระดูกทับเส้น ปวดแล้วร้าวเป็นเส้น ๆ #หลวงพ่อสมเด็จฯ #วัดสระเกศ #ท่านมาสอนให้นอนแล้วเตะขาขึ้นฟ้า #เตะให้ข้ามหัวได้ยิ่งดี ก็เลยลองทำดู ปรากฏว่าดีขึ้นเยอะเลย
    ........................................
    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    ผู้ก่อตั้งสำนักสงฆ์เกาะพระฤๅษี
    ........................................

    ขอเชิญร่วมสวดพระคาถาเงินล้านและเจริญพระกรรมฐานใน เวลา ๑๙.๐๐ น. เพื่อถวายเป็นพุทธบูชา ธรรมบูชา และสังฆบูชา
    และท่านสามารถร่วมสวดพระคาถาเงินล้านและเจริญพระกรรมฐานพร้อมกับคณะพระภิกษุสงฆ์ได้ในเวลา ๑๙.๐๐ น. ของทุกวันโดยผ่านทางเพจ หรือ ทางยูทูป ของ สำนักสงฆ์เกาะพระฤๅษี แห่งนี้
     
  11. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,414
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,122
    ค่าพลัง:
    +70,471
    การคำนวณวิชชา

    เราต้องคำนวณให้เข้าไปถึงวิชชาที่ฝ่ายดำส่งมาทำงาน
    กำลังทำงานอยู่ และที่จะผลิต่อไปในอนาคต
    เราจะเห็นวิชชาที่กลางดำทำไว้กับพวกเรา
    กลางดำได้ตัดเอาสมบัติ คุณสมบัติของพวกเรา
    เราต้องไปตามกลับมาให้หมด
    เขาทำไว้กับเครื่องเห็น จำ คิด รู้ ที่ตั้งเห็น จำ คิด รู้
    และกลางกำเนิดธาตุธรรมเดิมรวมกันไว้ 9 เครื่อง
    เครื่องหนึ่งซ้อนนับกันไม่ถ้วน
    เครื่องหนึ่งๆ ก็มีผู้ปกครอง 80 องค์ทุกๆ เครื่อง
    เครื่องบังคับอากาศโลก ขันธโลก สัตว์โลก
    เครื่องบังคับอากาศโลก ตั้งอยู่ที่ศูนย์กลางกายมนุษย์

    อากาศโลกได้แก่ อากาศที่ว่างเปล่า เมฆ หมอก ลม ฝน
    ดวงดาว พระอาทิตย์ พระจันทร์ ขันธโลก ได้แก่ ขันธ์ 5
    อายตนะ 12 มรรค 8 ธาตุ 18 อินทรีย์ 22
    สมุทัยฝ่ายเกิดฝ่ายดับ สัตว์โลกได้แก่ เห็น จำ คิด รู้ ในไส้อากาศโลก
    ในไส้อากาศโลกก็มีเครื่องปกครองอากาศโลก
    มีเครื่องที่ทำเมฆ หมอก ลม ฝน
    อยู่ศูนย์กลางของจุลจักร มหาจักร และบรมจักร

    สิ่งเหล่านี้ทำให้ผังของฝ่ายดำที่ทำไว้กับมนุษย์โลก
    ให้มนุษย์เห็นผิดเป็นชอบ ทำผิดศีลธรรม ไม่อยู่ในฝ่ายสัมมาทิฐิ
    อากาศก็วิปริต แปรปรวน ร้อนผิดปกติ หรือฝนฟ้าไม่ตกต้องตามฤดูกาล
    พลังของสนามแม่เหล็กโลกก็เพิ่มขึ้น
    ผู้คนต้องด้วยภัย ทั้งภัยธรรมชาติ อุบัติภัย ภัยยาเสพติด
    อีกทั้งระเบิดสมบัติของฝ่ายเราจนย่อยยับ
    โดยเฉพาะอย่างยิ่งเครื่องของบรมจักร และมหาจักร
    ทำให้กิจการค้าของพวกเราที่เป็นกิจการค้าใหญ่ และขนาดกลางล้มละลาย
    ดับ ลับ หาย สูญ เศรษฐกิจฝืดเคือง ข้าวยากหมากแพง
    การค้าธุรกิจชะงัก
    เหล่านี้เป็นไปตามผังที่ฝ่ายดำ
    ทำไว้กับเครื่องดังกล่าวมาทั้งที่ผ่านมาแล้ว ในจำนวน 5 , 6 ปีที่ผ่านมา
    ที่ประเทศชาติเราประสบภัยพิบัติ ภัยเศรษฐกิจอย่างรุนแรง
    ดังที่พวกเรารู้ๆ และเห็นกันอยู่ทุกวันนี้
    เครื่องเหล่านี้ฝ่ายดำได้ทำไว้ทั้งอดีต ปัจจุบันก็กำลังส่งผล
    และกำลังจะผลิไปในอนาคต เราต้องเก็บกินละลายให้ใสละเอียด
    ล็อคดำ จุดดำ ผังวิบัติทั้งหลาย เก็บกินละลายให้หมดสิ้น

    การเก็บกินละลายให้หมดสิ้นได้ เราก็ต้องเข้าเครื่องถึงสุดละเอียดที่สุด
    ให้ระเบิดล็อคดำ จุดดำระเบิดเก็บกินวิชชา
    ที่ฝ่ายดำทำไว้กับเรามากน้อยเท่าไหร่ ระเบิดให้หมด
    ให้เก็บกินวิชชาถึงเซฟทะเล เหตุทะเลของเขาให้สิ้นเชื้อไม่เหลือเศษ
    เราก็ตั้งเซพไว้รอบตัว เป็นเซฟทั้งซ้าย ขวา หน้า หลัง ล่าง บน
    ตรงกลาง นอก ใน ริม ข้าง ระหว่างหัวต่อ
    ทั่วทุกศูนย์ทุกส่วน ทุกอายตนะ

    ให้ดับอธิษฐานถอนปาฏิหาริย์ ดับปาฏิหาริย์
    ถอนอธิษฐานที่เขาทำไว้กับเราไว้มากน้อยเท่าไหร่เก็บให้หมด
    มากน้อยแค่ไหน แก่แค่ไหน ไกลแค่ไหน ใครเป็นเจ้าของ
    ใครเป็นผู้สอด ผู้ส่ง ผู้สั่ง ผู้บังคับ ผู้ปกครองย่อย ผู้ปกครองใหญ่
    หัวใจรวมเครื่องของผู้ปกครองใหญ่
    ให้คำนวณรวมเข้ามาทั้งอดีต ปัจจุบัน และอนาคต

    ปราสาททำวิชชาของพวกเรา ประกอบด้วย ต้นธาตุ กลางธาตุ ปลายธาตุ
    ต้นจักรพรรดิ กลางจักรพรรดิ ปลายจักรพรรดิ เป็นธาตุธรรมที่แก่ละเอียดไกล
    ต้นจักรพรรดิ ก็คู่กับต้นธาตุ มีหน้าที่อำนวยความสำเร็จให้แก่ต้นธาตุ
    กลางจักรพรรดิ ก็คู่กับกลางธาตุ ปลายจักรพรรดิ ก็คู่กับปลายธาตุ
    ปราสาททำวิชชามีอาณาจักรเท่าไหร่ก็แผ่ไปให้เต็ม
    ให้ทำวิชชาเชื่อมตรึงติดกับศูนย์จักรพรรดิใหญ่
    ปราสาททำวิชชาของพวกเราเชื่อมตรึงติดกับศูนย์จักรพรรดิใหญ่
    ที่อยู่ทั้งภพลับ ภพเปิดเผย อันเป็นที่เกิดของจักรพรรดิทั้งหลาย

    จักรพรรดิมีหน้าที่ดูแลมนุษย์อยู่ที่ศูนย์กลาง ทั้งศูนย์ใหญ่ ศูนย์ย่อย
    ศูนย์ประจำภพ ล้วนมีจักรพรรดิปกครองดูแลอยู่
    ปราสาททำวิชชาของพวกเรา เป็นศูนย์กลางที่ทรงไว้ซึ่งอำนาจสิทธิ
    ความสำเร็จกิจแห่งศาสนจักร อาณาจักร พุทธจักร มรรค ผล นิพพาน
    ในฝ่ายสัมมาทิฐิแต่ส่วนเดียว ทั้งลับและเปิดเผย
    ก็ให้พวกเราคำนวณ คำนวณเข้ามาทั้งอาณาจักร พุทธจักร
    ละเอียดเข้าไปจนสุดละเอียด คำนวณตามเอาสมบัติ คุณสมบัติ
    ที่กลางดำได้ระเบิดย่อยแยก ตัด ดับ ลับ ขาดตอนซ่อนหาย
    จนเกิดความวินาศแห่งเศรษฐกิจของประชาชาติ
    ให้คำนวณกลับคืนมาให้หมด ทั้งทรัพย์สมบัติ คุณสมบัติ ทรัพย์สมบัติใด
    คุณสมบัติใด ที่เป็นผังของชาวศิวิไลซ์ อยู่ไกลแค่ไหน
    แก่แค่ไหน มากน้อยเพียงใด ทั้งลับและเปิดเผย
    คำนวณเปิดผังออกมาให้หมด คำนวณออกมาให้เต็มอาณาจักร
    คำนวณและก็เชื่อมตรึงติดเข้ามาสู่ประเทศชาติ
    คำนวณเป็นผังสำเร็จ ผังอุดมสมบูรณ์พูนสุข

    ผังสำเร็จ ผังอุดมสมบูรณ์พูนสุขของชาวศิวิไลซ์มีมากแค่ไหน
    แก่แค่ไหน ไกลแค่ไหน ทั้งลับและเปิดเผย
    ให้คำนวณให้เต็มธาตุเต็มธรรม คำนวณรวมเป็นหนึ่ง
    เปิดผังมหาสมบัติเข้าประเทศชาติ
    อธิษฐานเปิดผังมหาสมบัติเข้าสู่ประเทศชาติ
    แล้วอาราธนาองค์ต้นธาตุ พระพุทธเจ้าจักรพรรดิ ทั้งลับทั้งเปิดเผย
    โปรดกลั่นสมบัติเหล่านี้ให้ใสเป็นบุญศักดิ์สิทธิ์ จนเป็นหัวแก๊ส
    เซฟทะเล เหตุทะเล เปิดผังมหาสมบัติที่มาจากทุกทิศทุกทาง
    เปิดวิญญาณธาตุทั้ง 6 คำนวณเปิดสมบัติขึ้นมาจนจรดหน้าธาตุ
    คำนวณแม่ธาตุให้เคลื่อนสมบัติขึ้นมาให้เต็มส่วน
    แล้วคำนวณสมบัติทั้งหลายที่มาจากทุกทิศทุกทางเชื่อมตรึงติด
    เข้ากับประเทศชาติ ประชาชาติ สมบัติที่เชื่อมตรึงติดกับประเทศชาติ
    ใครจะมาครอบครอง หรือทำลายไม่ได้
    ให้สมบัติเหล่านี้เป็นสมบัติเป็น ทับทวีเป็นสมบัติเป็น เป็นในเป็นๆ ๆ

    เป็นสมบัติที่นำมาซึ่งความเจริญรุ่งเรือง เป็นปึกแผ่น มั่นคง
    อุดมสมบูรณ์พูนสุข ให้เป็นไปตามผังของชาวศิวิไลซ์ที่
    กายเจริญอริยะ จิตเจริญเมตตา
    ให้ประชาชาติหมดหนี้ ไพร่ฟ้าหน้าใส พ้นจากความยากจน
    ลำบากข้นแค้น ไร้อาชีพ คำนวณคุณสมบัติ ทรัพย์สมบัติ
    ให้ถึงที่สุดของความสมบูรณ์ บริบูรณ์ ในธาตุธรรมของเรา

    เชื่อมสมบัติให้ตรึงติดจรดเข้าสู่ปัจจุบัน และอนาคต

    เมื่อคำนวณสมบัติ เปิดผังสมบัติเข้าสู่ประเทศชาติที่มาจากทุกทิศทุกทางแล้ว
    คำนวณให้เป็นสมบัติเป็น แล้วให้อาราธนากังสดาลครอบแก้ว
    จากองค์ต้นธาตุแก่ๆ ขึ้นมาเป็นกำแพงแก้ว 7 ชั้น
    ปกปักรักษาทรัพย์ของชาวศิวิไลซ์ ที่เราคำนวณมา
    มิให้กลางดำระเบิดย่อยแยกได้อีกต่อไป อาราธนาองค์ต้นธาตุแก่ๆ
    ขึ้นมาประจำรักษา ในผู้ที่มีหน้าที่ต่างๆ ทั้งฝ่ายนำ ฝ่ายรักษา ฝ่ายปกครอง
    ทั้งอาณาจักร พุทธจักร เป็นไปตามผังจริงของฝ่ายสัมมาทิฐิแต่ส่วนเดียว
    ให้ผู้ที่เข้ามาบริหารประเทศชาติของเราเป็นคนดี มาด้วยความดี
    มีความสามารถปลดเปลื้องหนี้ประเทศชาติ
    มาสร้างคุณประโยชน์ ความเจริญ
    เป็นมิตรแก่ประเทศชาติของเราแต่ส่วนเดียว


    เสร็จแล้วก็ให้พิศดารผังที่เราคำนวณมาแล้วทั้งหมด
    ทั้งผังสำเร็จ ผังอุดมสมบูรณ์พูนสุข ผังชาวศิวิไลซ์
    และงานปรมัตถ์ "เชื่อมฉัตร เชื่อมแผ่นดิน"
    พิศดารผังทั้งหมดนี้ให้ขึ้นมาเป็นเครื่องเป็น เป็นในเป็นๆ
     
  12. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,414
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,122
    ค่าพลัง:
    +70,471
    คำอธิษฐานบูชาพระพุทธบาท


    “ข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ขออาราธนาบารมี องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าทุกๆพระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ และพระธรรม พระอริยสงฆ์ทั้งหลาย ผู้เป็นพระอัครสาวก และพระอรหันต์สาวกของพระพุทธเจ้าทั้งหลายที่ผ่านไปแล้วในอดีด ตั้งแต่ต้นพุทธวงศ์ จนกระทั่งถึงปัจจุบันนี้ ครูบาอาจารย์ทั้งหลายสืบๆกันมา พระบรมโพธิสัตว์ทั้งหลาย อันตลอดจนถึงพรหมโลก ภาคผู้เลี้ยง ผู้รักษา ศาสนจักร อาณาจักร พุทธจักร มรรคผล นิพพาน สวรรค์ทุกชั้นฟ้าทั้งหมื่นโลกธาตุ ทั่วแสนโกฎิจักรวาล ผู้มีหน้าที่รักษาทรัพยากรของชาติ รักษานภากาศ รักษามหาสมุทร จนกระทั่งสุดพื้นปฐพีคือที่เป็นอากาศเทวดาก็ดี เป็นรุกขเทวดาก็ดี เป็นภุมเทวดาก็ดี จะเป็นประเทศอื่นหรือประเทศไทยก็ดี ที่ยังเป็นเขตแดนพระพุทธศาสนา คือผู้ที่รักษาอาณาเขตนี้ และที่รอยพระพุทธบาททุกแห่ง กับทั้งที่พระบรมธาตุทุกสถาน พระสยามเทวาธิราช พระเสื้อเมือง พระทรงเมือง และเจ้าพ่อหลักเมือง ทั่วทั้งเมืองไทย ขอได้โปรดเสด็จมา ณ สถานที่นี้ ต่อหน้าพระแท่นธรณี เพื่อเป็นสักขีพยาน ปวงข้าพระพุทธเจ้าจะขอตั้งสัตยาธิษฐาน ประสานผลบุญราศรีที่ได้บำเพ็ญมา นับตั้งแต่อดีตชาติมาจนถึงโอกาสนี้ ซึ่งมีการบูชาสักการะรอยพระพุทธบาทบรม ด้วยการมอบกายถวายชีวิต จนถึงกิจงานรวมภาคครั้งนี้ ขออานิสงส์บุญทั้งหมดที่มีทับทวีมารวมตัวกันให้เต็มครบถ้วนทั้ง ๓๐ ทัศ จัดอยู่ในปรมัตถบารมี ธรรมใดที่องค์สมเด็จพระบรมครูที่ได้ตรัสรู้แจ้งแห่งธรรมแล้ว ขอให้ลูกแก้วทั้งหลาย จงได้เห็นธรรมนั้นทุกประการ หากยังไม่เข้านิพพานเพียงใด ขอคำว่า “ ไม่มี ” ทั้งหมด จงอย่าได้มาปรากฏ เมื่อสังขารหมดสิ้นไป อารมณ์ใจอย่าได้มืดมัว ขอให้แสงสีรัศมีกาย จงส่องกระจายไปทั่ว และทิพย์วิมานทั้งหลาย จงเฉิดฉายงามสดใส ถ้าโลกจะประสบสงครามใหญ่ ซึ่งอาจมีต่อไปในกาลข้างหน้า ตามที่พระศาสดาทรงทำนาย ว่ายักษ์ร้ายนอกพุทธศาสนา อาจจะรบราฆ่าฟันกัน ด้วยอาวุธอันทันสมัย หากเป็นจริงตามนั้นไซร์ โปรดได้อภิบาลชาวไทยผู้ตั้งมั่นอยู่ในศีลธรรมทั้งหลาย ให้พ้นจากภัยพิบัติเหล่านั้น ครั้นจะย่างก้าวไปในสารทิศใด ขอเทพไท้เทวาแต่ละทิศ จงมีจิตคิดเมตตา โปรดจำหมู่ข้าพเจ้าไว้ ขอทั้งศาสตราและสรรพอาวุธ ทั้งอุบัติเหตุอาเพทภัย ทั้งคุณไสยยาพิษ ผู้คิดเป็นศัตรูหมู่พาล จงอย่าได้ทำอันตรายทั้งหมด หากมีผู้คิดคดทรยศ ต่อสถาบันชาติ พระศาสนาและพระมหากษัตริย์ โปรดขจัดให้สิ้นไป อย่าให้ทำการสิ่งใดสำเร็จ จงได้สูญหายมลายไปด้วยภัยของตนเองขอให้พ้นจากทุพภิกขภัย คือความอดอยากยากจน และพ้นจากภัยธรรมชาติทั้งปวง คือ ฟ้าผ่า ลมแรง ไฟไหม้ น้ำท่วมใหญ่ และแผ่นดินไหว เป็นต้น สัพพะทุกข์ สัพพะโศก สัพพะโรค สัพพะภัย สัพพะเคราะห์ เสนียดจัญไร จงพินาศหมดสิ้นไป ด้วยชัยมงคลทั้งหลายเมื่อกาลเวลามาถึงไซร้ ขอให้มีผู้บริหารบ้านเมืองที่ทรงธรรม คนดีเข้ามารักษาประเทศชาติ เพื่อให้ประชาราษฏร์มั่งคั่งเกษมศรี ให้มีความอยู่ดีกินดี พืชสวนไร่ในนาอย่าได้เสียหาย ค้าขายก็ขอให้ได้กำไรดีอีกทั้งแร่ธาตุทองคำ และน้ำมันทั้งหลาย อันเป็นทรัพยากรของชาติ ขอจงได้ปรากฎโดยเร็วพลัน เพื่อเป็นประโยชน์แก่ชาวไทย จนถึงเข้ายุคชาวศรีวิไล แล้วมีความรุ่งเรืองไปในอาณาประเทศ เพื่อจะสืบต่ออายุพระพุทธศาสนา อันจะแผ่ไปในภายภาคหน้า ตามพุทธพยากรณ์ไว้ว่า หลังกึ่งพุทธกาลแล้ว.......... พระศาสนาจะรุ่งเรืองอีกวาระหนึ่ง ขอให้มีผู้ปฎิบัติได้ เพื่อช่วยกันประกาศศาสนา เป็นการขจัดภัยจากอลัชชี คือ ผู้ที่เป็นมิจฉาทิฎฐิทั้งหลายสาธุ... ด้วยอำนาจแห่งสัจจะอธิษฐานนี้ ขอพระบารมีทุกท่านได้โปรดประทานพร ให้ข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ผู้เป็นเผ่าพันธุ์ของพระองค์ อันนับเนื่องอยู่ในศากยวงศ์ ถ้าหากคงไม่เกินวิสัย ขอให้เป็นไปตามนั้น และให้สามารถปฎิบัติตนจนได้ผล ทั้งสุกขวิปัสสโก เตวิชโช ฉฬภิญโญ และปฎิสัมภิทัปปัตโต โดยฉับพลันนั้นเทอญ...” อานิสงส์การกราบไหว้บูชาพระพุทธบาทพระพุทธเจ้าทรงพระมหากรุณาธิคุณ เสด็จไปเผยแผ่ และทรงเหยียบรอยพระพุทธบาท และประดิษฐานพระบรมธาตุไว้บุคคลชายหญิงคฤหัสถ์และนักบวช ที่ได้สักการบูชา พระบรมธาตุและพระพุทธบาท ก็จะได้ผลานิสงส์เป็นอันมาก อันนับประมาณมิได้ กล่าวคือ..1. เป็นบุคคลที่ไม่มีโอกาสไปเกิดในอบายทั้งสี่ แต่จะพุ่งดิ่งตรงต่อพระนิพพาน2. เสมอดังได้พูดได้คุยได้ซึ่งพระพุทธเจ้าทุกวันเวลา3. เสมอดังได้เดินตามหลังพระพุทธเจ้าทุกบาททุกก้าว4. เสมอดังได้ปลูกสร้างพระเจดีย์ พระวิหาร5. เสมอดังได้บำเพ็ญ กุศล ส่วนบุญด้วยปาก ด้วยกาย ด้วยใจทุกเวลาด้วยเดชแห่งผลานิสงส์ดังนี้ จะอุปถัมภ์ค้ำชูอุดหนุนให้ตั้งอยู่ในทางสัมมาปฎิบัติ ประกอบ ด้วยยศศักดิ์ ชื่อเสียงเป็นที่เลื่องลือ เป็นผู้ฉลาด มีญาณปัญญายิ่งกว่าคนทั้งหลาย ภัยอันตรายต่างๆก็ดี โรคภัยไข้เจ็บต่างๆ ก็ดี อุบาทว์และศัตรูต่างๆ ก็ดี ย่อมระงับดับหายไปจะสัมฤทธิ์สมบูรณ์ด้วยทรัพย์สิ่งของ เงินทอง ข้าวเปลือกข้าวสาร ทั้งปศุสัตว์ จักอุดมด้วยฤทธิ์เดชยิ่งนัก จะประสบสุขในชาตินี้และชาติต่อๆไป หากมีบุญสมภารมาก ก็จะได้ถึงพระนิพพาน ในศาสนาของพระพุทธเจ้าโคตมะนั้นแน่นอนแม้นว่าบุญสมภารยังไม่บริบูรณ์เต็มที่ ก็จะได้เห็น พระศรีอริยะเมตไตรย และจะได้มรรคผลในศาสนาของพระองค์อย่างเที่ยงแท้แน่นอน โดยไม่ต้องสงสัย ดังนี้แล ฯ
     
  13. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,414
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,122
    ค่าพลัง:
    +70,471
    ความไม่โลภ คือการบริจาคทาน

    ตา ไม่โลภในรูปแปลกๆสวยๆงามๆก็คือการให้ทานด้วยรูปรัตนะ
    หู ไม่โลภในเสียงเพราะๆคือการให้ทานด้วยเสียงรัตนะ
    จมูก ไม่โลภอยากดมกลิ่นหอมๆ ก็คือการให้ทานด้วยกลิ่นรัตนะ
    ลิ้น ไม่โลภอยากลิ้มรสชาติอาหารอันโอชะทั้งหลายก็คือการให้ทานด้วยรสรัตนะ
    กาย ไม่โลภในอาภรณ์เครื่องประดับเลิศหรู ก็คือการให้ทานด้วย สัมผัสรัตนะ ใจ ไม่โลภในชื่อเสียงในผลประโยชน์ ในความรักความหลงใหล ทางกาม ก็คือการให้ทานด้วยธรรมรัตนะ
    ภาวะเดิม ไม่โลภในความสุขทางโลกียะวิสัย คือการให้ทานด้วย พุทธะรัตนะ


    หากบุคคลใดเห็นแจ้งในการให้ทานด้วยรัตนะ 7 ในกายโดยอิสระ โดยเสรี โดยไม่เป็นทาสกิเลสตัณหาอุปาทาน
    บุญกุศลที่ได้รับจะประเสริฐเลิศล้ำยิ่งกว่าบุญญานิสงค์จากการให้ทานด้วย รัตนะ 7 ในโลกอันได้แก่ แก้ว แหวน เงิน ทอง ซึ่งเปรียบกันไม่ได้เลย แม้เพียง 1 ใน100 ใน1000 ใน10000 เปรียบเทียบกันไม่ได้เลย ด้วยการให้ทานด้วยรัตนะ7 ในกาย
    เมื่อเรารู้จักให้ทานแล้วจิตจะเบื่อหน่ายคลายความยึดติด เมื่อจิตคลายความยึดติด จิตก็พ้นผ่องแผ้ว ญาณทัศนะก็บังเกิด ภพชาติที่เวียนว่ายตายเกิดก็จะสิ้นสุด ฝั่งพระนิพพานทุกคนไปถึงไปได้ด้วยการให้ทานด้วยรัตนะ 7 ในกายของคนเรา
     
  14. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,414
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,122
    ค่าพลัง:
    +70,471
    มหาพรหมไตรวิสุทธิ์

    มหาพรหมเทวะยุคขาวมีพระนามว่า "มหาพรหมไตรวิสุทธิ์"ปกครองภาคฟ้า มนุษย์ และปฐพีเป็นที่มีของคำว่า "ไตร" (ภพ)มหาพรหมไตรวิสุทธิ์

    จอมพรหมแห่ง "สี่ตรง"คือ
    กายตรง วาจาตรง ใจตรง การประพฤติตรง(ตรง = ในฝ่ายสัมมาทิฐิแต่ส่วนเดียว)

    และ "สี่ก้าว" แห่งอริยสัจจ์คือ ก้าวหน้า ก้าวหลัง ก้าวซ้าย และก้าวขวา

    ก้าวซ้าย หมายถึง เดินทางอบายมุข จะไปสู่ความล้มเหลวของชีวิตก้าวหลัง หมายถึง เดินทางสมุทัย จะไปสู่ทุกข์
    ก้าวหน้า หมายถึง เดินทางมรรค จะไปสู่นิโรธ
    ก้าวขวา หมายถึง เดินทางอิทธิบาท จะไปสู่ความสำเร็จของชีวิต

    สำหรับพระสยามเทวาธิราชเมื่อ พ.ศ. 2524 ภาคผู้เลี้ยง ผู้รักษาฝ่ายรักษาประเทศชาติได้ทูลเชิญอดีตพระเจ้ากรุงสยามพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จอมมหาพรหม มุทิตา มหาราชขึ้นดำรงตำแหน่งเป็นพระสยามเทวาธิราชเพราะพระองค์ทรงเปี่ยมล้นด้วยพระเมตตาธรรม ทรงบุญฤทธิ์สูงส่ง ควรแก่การดำรงตำแหน่งพระสยามเทวาธิราชซึ่งต้องทำหน้าที่ดูแลฝ่ายผู้รักษาประเทศชาติขจัดทุกข์ บำรุงสุข แก่ประชาชนและบ้านเมืองในภาคทิพย์ต้องปกป้อง ดูแลรักษา ศาสนจักร อาณาจักรและพุทธจักรแห่งแผ่นดินรัตนะโกสินทร์ มาเป็นเวลา 25 ปีแล้วด้วยมหากรุณาธิคุณที่พระองค์ท่านเกณฑ์เหล่ามุขมนตรีผู้รักษาประเทศชาติมาเพิ่มอีกมากมายโดยเฉพาะในยุค IMFพระองค์ทรงเศร้าหมองและทรงทุกข์ร้อนไปด้วยกับประชาชนที่บ้านเมืองเศรษฐกิจพังพินาจประชาชนไร้อาชีพ เป็นหนี้สินล้นพ้นตัว เงินตราไร้ค่าด้วยพระบารมีปกเกล้าช่วยดับทุกข์ภัยจนพ้นวิกฤตแห่งชาติบัวบารมีแบ่งบานเป็นที่สาธุการทุกพรหมชั้นจึงได้ดำรงตำแหน่งพระสยามเทวาธิราชสืบต่อไป

    คาถาบูชาพระพรหม

    โอม ปะระเมสะนะมัสการัม องการะนิสสะวะรัง พรหมเรสสะยัมภูปัสสะวะวิษณะ ไวยาทานะโมโทติลูกปัม ทะระมา ยิกยานังยะไวยะลาคุมุลัม สะทานันตะระ วิมุสะตินัน นะมัตเต นะมัตเตรจะ อะการัง ตะโถวาจะ เอตามาตาระยัต ตะมัน ตะรามากัตถะนารัมลา จะสะระวะปะติตัม สัมโภพะกลโล ทิวะทิยัม มะตัมยะโอม มหาพรหมา ไตรวิสุทธิ ปฏิพาหายะทุติยัมปิ มหาพรหมา ไตรวิสุทธิ ปฏิพาหายะตะติยัมปิ มหาพรหมา ไตรวิสุทธิ์ ปฏิพาหายะพระสยามมินทร์โธ วะโรอิติ พุทธะสังมิ อิติอะระหังสะหัสสะกายัง วะรัง พุทโธ นะโมพุทธายะชิเนนทะรัง นะมามิหัง ริปุมารัง วะราหะริ ฯ มหาพรัหมาเทวา

    ข้าแต่พระมหาพรหมหลักธรรมสี่ชื่อเรืองเดช "มหาพรหมไตรวิสุทธิ์และพระสยามมินทร์โธ วะโรอิติ จอมพรหมมมุทิตามหาราช"อสุรกายเปรตภูติปีศาจสยองฤทธิ์ทรงเปลื้องปลิดเสนียดเบียดเบียนกลีสิ้นสัตว์แผ่นดินปรีดารมย์อยู่ใต้ร่มปารมีข้า ฯ อัญเชิญพระพรหมบดีรับเครื่องบูชาสรรพโภชน์เครื่องเสวยรสโอชารับพวงมาลาข้าวตอกดอกไม้มีเหล่าบริวารนางรำธูปเทียนทองเชิญพระช่วยคุ้มครองประชาสัตว์ผู้โสมนัสจัดเครื่องบวงสรวงบำบวงบาทมาตา ปุตตังวะ โอระสังอ้าองค์มหาพรัหมาอารักษ์อันเรืองฤทธิ์จงมีไมตรีจิตรักษานรากรดังมารดรถนอมลูกในอุราให้เริงรื่นเทวานุกัมปิโต โปโสมวลมนุษย์ในแผ่นดินพื้นพสุธธาราอันเทพยดาเกาะกุมอยู่คุ้มครองสะทา ภัทะรานิ ปัสสะติย่อมจะมองเห็นสรรพศิริสุขสวัสดีจึงจัดเครื่องพลีกรรมนำมาบวงสรวงส่งพรหมเทพทุกองค์ย่อมอิ่มลาภตัสสา นุภาเวนะด้วยอานุภาพพระมหาพรัหมา เทวสุรฤทธิ์จงเกิดชัยสวัสดีพีรเดชให้พูนสุขมั่งมีแด่ผู้บูชาบวงสรวงวันทามะหัง ระตะนัตตะยังอนึ่งข้า ฯ อภิวันท์ไหว้พระไตรรัตน์อันไพโรจน์รุ่งจำรัสล่วงทิวากรปุญญักเขตตังเป็นบ่อบุญบวรของปวงสัตว์ทุกสถานช่วยคุ้มครองทุกท่านทั้งครอบครัวจงสุขสราญทั่วกันทุกวันคืนอายุวัฑฒะโก ให้อายุยืนผิวพรรณชื่นสุขกำลังบ่ร้างโรยธะนะวัฑฒะโก เงินทอง แก้วมณีเนืองนองอย่ารู้ขาดสิริวัฑฒะโก ทรงสิริวิลาสเลื่องชื่อลือเกียรติยศสัพพะทุกขา อุปัททะวาทุกข์โรคโศกกำสรดจงเสื่อมหายอุบาทวอันตรายแรงกลีจงพินาศประชาชาติชื่นสุขสามัคคีพุทธรังสีโชติช่วงชัชชวาลเทอญ
     
  15. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,414
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,122
    ค่าพลัง:
    +70,471
    เลื่อนตัวเองขึ้น แต่ อย่า ลดคนอื่นลง

    อาจารย์สอนยูโดชาวญี่ปุ่นอายุปูนปัจฉิมวัยคนหนึ่งชวนลูกศิษย์หนุ่มชาวอเมริกันเดินทอดน่องไปตามชายหาดยามเย็น ช่วงหนึ่งของการสนทนาอาจารย์ใช้ไม้เท้าขีดเส้นสองเส้นคู่ขนานลงไปบนผืนทรายขาวละเอียด เส้นหนึ่งยาวประมาณ 5 ฟุต อีกเส้นหนึ่งยาวประมาณ 3 ฟุต

    "เธอลองทำให้เส้นที่ยาว 3 ฟุตยาวกว่าเส้นที่ยาว 5 ฟุต ให้อาจารย์ดูหน่อยสิ"

    เสียงอาจารย์บอกเป็นเชิงท้าทายอยู่ในที ลูกศิษย์อเมริกันหยุดคิดพินิจเส้นทั้งสองอยู่ครู่หนึ่ง ก็เผยยิ้มที่ริมฝีปากเหมือนค้นพบคำตอบ

    เธอบรรจงใช้เท้าข้างหนึ่งค่อย ๆ ลบรอยเส้นตรงที่ยาวประมาณ 5 ฟุตนั้นให้สั้นลงจนเหลือนิดเดียว โดยวิธีนี้เส้นที่ยาวราว 3ฟุตจึงโดดเด่นขึ้นมาแทน ลบเสร็จเธอเงยหน้าสบตาอาจารย์พลางขอความเห็น

    "เช่นนี้ใช้ได้หรือยังครับ"

    ผู้เป็นอาจารย์ใช้ไม้เท้าเคาะหัวเธอเบาๆหนึ่งทีก่อนบอกว่า

    "ใช้วิธีนี้ชีวิตเธอก็มีแต่จะล้มเหลว รู้ไหม? คนที่คิดจะยกตัวเองให้สูงขึ้นโดยการทำร้ายคู่แข่งนั้น ไม่สู้ฉลาดเลยทางทีดีจงยกตัวเองขึ้นแต่อย่าลดคนอื่นลง"

    ว่าแล้วอาจารย์ก็ขีดเส้นทั้งสองใหม่ แล้วสาธิตให้ดู โดยการปล่อยเส้นที่ยาว 5 ฟุตไว้อย่างเดิม แต่ขีดเส้นที่ยาว 3 ฟุตให้ยาวขึ้นเป็น10 ฟุต ฝ่ายลูกศิษย์ยังคงกังขา

    "คู่แข่งของเธอ ไม่ใช่ศัตรู แต่คือ ครูของเธอ และเขาคือคนสำคัญที่จะทำให้เธอได้ก้าวไปข้างหน้าอย่างสง่างาม เธอลองคิดดู หากไร้เสียซึ่งคู่แข่ง เธอจะรู้ได้อย่างไรว่าตัวเองมีศักยภาพในการทำงานขนาดไหน

    ไม่มีอัปลักษณ์ เธอจะรู้จักความสวยงามได้อย่างไร คู่แข่งขันของเรายิ่งเก่ง ยิ่งฉลาดล้ำ ก็จะทำให้เรารู้จักขยับตัวเองขึ้นไปให้สูงส่งยิ่งขึ้น นักสู้ที่ดีนั้นเขายืนหยัดอยู่ในสังเวียนได้เพราะมีคู่ต่อสู้ที่เข้มแข็งคู่ต่อสู้

    ที่อ่อนแออาจทำให้เราเป็นผู้ชนะ แต่ชัยชนะนั้นมักไม่ยืนยง"คนที่พยายามจะเลื่อนตัวเองขึ้นไป โดยการฆ่าน้อง ฟ้องนายและขายเพื่อน ถึงแม้จะทำได้สำเร็จ แต่นั่นก็เป็นความสำเร็จที่ปราศจากเกียรติคุณ ไม่อาจเอ่ยอ้างได้อย่างเต็มภาคภูมิ การเลื่อนตัวเองขึ้นไปโดยวิธีที่ไม่ชอบธรรม กับการเลื่อนตัวเองขึ้นไปโดยปล่อยให้คนอื่นได้ก้าวไปตามวิถีทางของเขาอย่างเสรีนั่นมีผลลัพธ์ต่างกันเพียงไร........

    "การเลื่อนตัวเองขี้น พร้อมกับลดคนอื่นลง เธออาจชนะแต่ก็มีศัตรูเป็นของแถม"

    "การเลื่อนตัวเองขึ้นแต่ไม่ลดคนอื่นลง เธออาจเป็นผู้ชนะพร้อมกับมีเพื่อนแท้เพิ่มขึ้นมากมาย วิธีไหนจะดีกว่ากัน?"

    FROM : miho
    WHEN : 11/01/2549 (6:00 pm)
     
  16. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,414
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,122
    ค่าพลัง:
    +70,471
    พระพุทธบาท บุญสัมพันธ์ พุทธสัญญา อจินไตย โลกอุดร

    ขอขอบน้อมแด่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้นๆ ตลอดทั้ง 3 กาล โดยสัจจะเคารพขอแสดงความนอมน้อมแด่ พระอมตะสัจจะพุทธธรรม พระปัจเจกพุทธเจ้า พระอรหันต์สาวก พระอริยสาวก พระมหาโพธิสัตว์อจินไตยวิโมกข์ทั้งปวง ตลอดทั้ง 3 กาลโดยสัจจะเคารพ จะได้แสดงความเป็นมาแห่ง ........................พระพุทธบาท พระพุทธสัญญา บุญสัมพันธ์ อจินไตย โลกอุดร สีทอง

    พระบาทนี้เป็นพระพุทธบาทซ้ายซึ่งเคยประดิษฐานอยู่ ณ เนินฌานลาภีศรีมหาสถาน อันเป็นสถานที่พระพุทธองค์พระศรีศากยมุนีพุทธเจ้าทรงแสดงพระสัจจธรรมแก่ปวงเวนัยนิกรแล้วทรงแนะนำวิธีการบำเพ็ญประโยชน์แก่ปวงสัตว์โลกอย่างเป็นอนันตนัย หลังจากที่พระองค์ทรงพระเมตตาประทานพระพุทธบาทแล้ว เสด็จไปเมืองละโว้เหล่าเทพเจ้าอริยทั้งหลายต่างพากันแวดล้อมอภิบาลรักษาและสืบทอดพุทธประเพณีการสืบทอดและเชื่อมสายสัมพันธ์แห่งพระพุทธวงศ์เพื่อปวงสรรพสัตว์ด้วยดีเสมอมา ในกาลต่อมาอนิจจตาได้ปรากฏโดยพุทธานุภาพเพื่อบ่มบารมีแก่สรรพเวนัย ให้ได้ขวนขวายในบุญญกิริยาวัตถุโดยเป็นอเนกพระพุทธบาทได้เอียงลงใกล้ตกลงจากเนินฌานลาภีเหล่าเทวะมหานิกาย ต่างพากันประชุมสโมสร พร้อมใจกันอัญเชิญมาไว้อีกสถานที่หนึ่ง เพื่อรอกึ่งยุคพุทธกาลผู้สานบุญสัมพันธ์พุทธวงศ์จะมุ่งตรงมารับเสด็จไปประดิษฐานโปรดสรรพเวนัย ณ พุทธสถานอันเป็นบุญเขต เหล่ามหาเทพจึงได้อัญเชิญพระโพธิสัตว์ผู้มีพระหัตถ์ถือวัชระเป็นประธาน พระองค์จึงได้เนรมิตให้พระพุทธบาทนี้คว่ำไว้มิให้ผู้ใดได้ทัศนา นอกจากปวงเทพและพระโพธิสัตว์ผู้จะมาสานพุทธกิจนี้เท่านั้น

    กาลต่อมาถึงยุคกึ่งพุทธกาลหลัง พระโพธิสัตว์ผู้มีกฤชเพชรในมือได้มาแสดงให้เห็นถึงตำแหน่งสำคัญ และเรื่องราวความเป็นมาตั้งแต่เบื้องต้น ท่ามกลาง ที่สุดด้วยดีโดยย้ำว่า ที่คว่ำอยู่ใต้ดินสีทองตำแหน่งสำคัญนี้เป็นพระพุทธบาทเธออย่าได้ปรามาส จงสักการบูชาด้วยชีวิตและตั้งจิตขอพรพระพุทธานุภาพแล้วอัญเชิญขึ้นด้วยความเคารพครั้นทราบถึงเรื่องราวความเป็นไปคณะศรัทธาชาวจีนจึงดั้นด้นเข้าป่าไปอัญเชิญพบก้อนหินกลิ้งตกลงมาเปิดขึ้น แลเห็นรอยพระพุทธบาทจึงใช้แม่โคจักรตักขึ้นมาเป็น 2 คราไม่สำเร็จคณะศรัทธา ฯ จึงต้องอาราธนามนต์หัวใจพระยูไลปรากฎว่า

    พระพุทธบาทได้กลิ้งขึ้นบนเครื่องจักรและเสด็จขึ้นจากดินสีทองอย่างง่ายดายโดยอัศจรรย์ศิริสัณฐานงดงาม มิมีสิ่งเปรียบเมื่อคณะพระสงฆ์ทำการสักการะ ทำความสะอาดปรากฎพระบรมธาตุของพระพุทธองค์ พระปัจเจก พระอรหันต์ และพระโพธิสัตว์ มากมายเหลือคณานับประดิษฐานเกาะเป็นทิวอยู่เต็มพระพุทธบาทในเวลาวันเดียวกันขณะที่พระสงฆ์กำลังทำพิธีสวดสังวัธยายพระพุทธวัจนะอยู่ พระโพธิสัตว์พระองค์นั้นได้บอกว่าผู้ที่รับการสืบทอด และเชื่อมสายสัมพันธ์แห่งพระพุทธวงศ์ได้โปรดปิติยินดีในพุทธกิจนี้ ให้ความกระจ่างในมรรคผล ความเจริญในธรรมชีพแก่เวนัย และชี้ทางแห่งพระนฤพานแก่เขาด้วยเถิดเพราะเหล่าเวนัยเหล่านั้นมีบุญสัมพันธ์ใหญ่จะพากันสืบสายสัมพันธ์พระพุทธวงศ์ตราบถึงองค์พระศรีอาริย์

    บัดนี้คือช่วงกาล.....วารสานสายงานแห่งสัจจะสัญญาวันอาทิตย์ที่ 25 ธันวาคม 2548 พระอาจารย์ชัยวัฒน์ อติวัฒโณและชาวพุทธสถานมงคลธัญร่วมสโมสรกันมาอัญเชิญพระพุทธบาทพระพุทธบาท บุญสัมพันธ์ พุทธสัญญา อจินไตย โลกอุดร เป็นพระพุทธบาท ชนิดสีทอง

    มีตำนาน ความเป็นมา โดยละเอียดลออ อย่างน่าอัศจรรย์ขอพระพุทธานุภาพ โปรดคุ้มครองปวงสรรพสัตว์ทั้งหลายขอเหล่าพระโพธิสัตว์ โปรดโอบอุ้มปวงสรรพสัตว์ทั้งหลายให้มีความยินดีโดยทั่วหน้ากันเทอญ กลิ่นอวลสุคนธา ซ่านนภา จบแดนดิน สรวมทรวงปวงดวงจิต น้อมชีวิต เพื่อบูชา แสงเทียนเวียนทักษิณ รื่นรวยริน กลิ่นมาลา ธูปทิพย์ประดิษฐ์มา น้อมวันทา พุทธองค์ น้อมเศียรศิริเกล้า สุคตเจ้า บาทบงสุ์ พระศรีสรรเพชรองค์ มุนีนาถ ศาสดา กรานกราบธรรมคุณ คุณาหนุน อุ่นอุรา ทุกธรรมขันธา ชี้มรรคา ลาทุกข์ทน ตติยะกาลวาร สรวมสักการ สานกมล สังฆาริย์ปุคคล นำเนื่องชน พ้นอบาย ปูชาโพธิสัตว์ อันจักตรัส มโนหมาย โลกเกศธรรมกาย พรรณราย สายแสงธรรม คือ...วารตามสัจจา พุทธสัญญา บุญสัมพันธ์ล้ำ เพ็ญพิศพริ้ง อำ- ไพเพริด อจินไตยโลกอุดร ล่วงลุ ฉ วโรกาส อันข้าบาทปวงนิกร น้อมจิตสโมสร ยอยกกร รำลึกคุณ
     
  17. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,414
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,122
    ค่าพลัง:
    +70,471
    ภิกษุ ก็ได้เพียรสร้างบารมีต่อไป
    แล้วเวียนเกิดเวียนตายอยู่หลายชาติ นับได้หนึ่งพุทธันดร ...........

    สมัยพระสุชาตะสัมมาสัมพุทธเจ้า(2)
    ในคราวนั้น พระนิยตโพธิสัตว์ได้ถือกำเนิดเป็น พระบรมจักรพรรดิ
    ทรงมีอำนาจแผ่ไปใน 4 ทวีป เมื่อได้ฟังข่าวว่าพระสุชาตะพุทธเจ้าอุบัติขึ้นแล้วในโลก
    ทรงมีปีติยินดีเป็นยิ่งหนัก เมื่อทรงได้สดับพระธรรมเทศนาจากพระพุทธองค์
    ทรงมีศรัทธาเป็นอย่างยิ่ง ได้ทรงถวายทานอันยิ่งใหญ่ และเป็นเลิศแก่พระภิกษุ
    โดยมีพระสุชาตะสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นประธานเป็นนิจ
    แล้วหลังจากนั้นพระองค์ ทรงสละราชสมบัติออกบวชเป็นพระภิกษุ
    ดังนั้นชาวเมื่องต่าง นำเครื่องราชบรรณาการต่างๆ ถวายพระองค์ให้เป็นของสงฆ์
    สร้างเป็นอารามใหญ่ แล้วทำการฉลองถวายทานอย่างยิ่งใหญ่
    ชึ่งมีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน
    ในคราหนึ่งพระสุชาตะสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสพุทธพยากรณ์ว่า

    "พระบรมจักรพรรดิภิกษุนี้ ต่อไปในอนาคต จะได้ตรัสเป็นพระพุทธเจ้า
    พระองค์หนึ่ง ทรงพระนามว่า พระศรีศากยมุนีโคดมพุทธเจ้า"

    หลังจากนั้นพระบรมจักรพรรดิภิกษุโพธิสัตว์ ก็หมั่นเพียรสร้างบารมีให้ยิ่งขึ้น
    ศึกษาในพระปริยัติธรรม และบำเพ็ญพระกรรมฐาน จนสิ้นสวรรคต
    ก็เวียนเกิดเวียนตายอีกนานแสนนาน ----------------

    เป็นสูญกัปไปอีกนาน ถึง 60,000 กว่ากัป ที่ไม่มีพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้น
    จนถึง วรกัป เกิดขึ้น มีพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้น 3 พระองค์
    พระปียทัสสีสัมมาสัมพุทธเจ้า พระอัตถทัสสีสัมมาสัมพุทธเจ้า
    พระธรรมทัสสีสัมมาสัมพุทธเจ้า

    สมัยพระปิยทัสสีสัมมาสัมพุทธเจ้า(1) ในสมัยนั้นพระนิยตโพธิสัตว์
    ได้กำเนิดในตระกุลพราหมณ์ มีนามว่า กัสสปะมานพ เมื่อได้พบพระพุทธเจ้า
    และฟังพระธรรมเทศนา ก็มีความศรัทธาเลื่อมใสเป็นอันมาก
    หลังจากนั้นได้ถวายทานและสร้างอารามแด่พระภิกษุสงฆ์
    โดยมีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน ด้วยทรัพย์สินจำนวนมากมาย
    บัดนั้นพระปิยทัสสีสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงตรัสพุทธพยากรณ์ว่า

    "กัสสะปะมานพผู้นี้ ต่อไปในอนาคต จะได้ตรัสเป็นพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่ง
    ทรงพระนามว่า พระศรีศากยมุนีโคดมพุทธเจ้า"

    กัสสะปะมานพมีความยินดีเป็นอย่างยิ่ง ก็หมั่นเพียรสร้างสมบารมียิ่งขึ้น
    จนสิ้นอายุขัย ก็เวียนเกิดตายอีกหลายชาติ ในหนึ่งพุทธันดร ----------------

    สมัยพระอัตถทัสสีสัมมาสัมพุทธเจ้า(2) ในคราวนั้นพระนิยตโพธิสัตว์กำเนิด
    ในตะกุลพราหมณ์มหาศาล นามว่า สุสิมะพราหมณ์ ในภายหลังมีใจที่จะออกบวช
    จึงสละทรัพย์ที่มีอยู่ออกบวช เป็นดาษส บำเพ็ญพรตจนบรรลุอภิญญาสมาบัติ
    มีมหิทธาศักดานุภาพมาก ท่องเที่ยวไปในสวรรค์สองชั้นฟ้า
    คือชั้น จาตุ และดาวดึงส์ และได้นำเอาลายลักษณ์พระพุทธบาทมาทำเป็น
    พระพุทธบาทเจดีย์ เป็นที่บูชาของ ของปวงชน
    เมื่อพระอัตถทัสสีพุทธเจ้าอุบัติขึ้น วันหนึ่ง สุสิมะมหาฤาษีได้มีโอกาศฟังธรรม
    จากพระพุทธองค์ แล้วเกิดศรัทธาอย่างยิ่ง จึงได้เหาะไปยังเทวโลก
    เอาดอกไม้ทิพย์ต่างๆ มาโปรยให้ตกลงมาเป็นการบูชา
    แล้วเอาดอกไม้ทิพย์ดอกใหญ่ ถือทำเป็นฉัตรบูชาพระพุทธองค์
    ที่ทรงแสดงพระธรรมเทศนาอยู่ เมื่อพระพุทธองค์ทรงเทศนาจบลง
    จึงตรัสพุทธพยากรณ์แก่สุสิมะฤาษีว่า

    "สุสิมะมหาฤาษีผู้นี้ ต่อไปในอนาคต จักได้ตรัสเป็นพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่ง
    ทรงพระนามว่า พระศรีศากยมนุโคดม ในภัทรกัปหนึ่ง"

    สุสิมะมหาฤาษีมีจิตปีติยินดีเป็นอย่างยิ่ง จึงเพียรสร้างสมบารมีให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น
    เมื่อสิ้นอายุไขยก็ไปเกิดบนพรหมโลก ------------------------------

    สมัยพระธรรมทัสสีสัมมาสัมพุทธเจ้า(3) ในกาลนั้นพระนิยตโพธิสัตว์ได้ถือกำเนิดเป็น
    องค์อัมรินทราธิราช หรือ พระอินทร์ พระองค์ได้นำเทพบริวาร
    เสด็จลงจากวิมาน มาบูชาสมเด็จพระธรรมทัศสีพุทธเจ้า ในสมัยประชุมใหญ่
    แห่งปวงเทวดา ใน ณ ที่นั้นพระธรรมทัสสีพุทธเจ้าทรงตรัสพยากรณ์ว่า
    </B>
    "สมเด็จพระอัมรินทรเทวาราชนี้ นานไปในอนาคต
    จะตรัสเป็นพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่ง ทรงพระนามว่า พระศรีศากยมุนีโคดม" </B>
    พระอินทร์ได้ทราบดังนั้นก็มีจิตใจยินดีเป็นล้นพ้น แล้วเพียรสร้างบารมีให้สมบูรณ์ขึ้น
    หลังจากนั้นก็เวียนเกิดตายอีกนานแสนนาน -----------------

    กาลเวลา เป็นสูญกัป ถึง 24 กัป ที่ไม่มีพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้น แล้วก็บังเกิดเป็น
    สารกัป คือมีพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้น 1 พระองค์
    สมัยพระสิทธัตถะสัมมาสัมพุทธเจ้า ในกาลนั้นพระโพธิสัตว์ถือกำเนิด
    ในตระกุลพราหมณ์มหาศาล มีนามว่า มังคะมาณพ
    ภายหลังได้สละทรัพย์สมบัติจนหมดสิ้น ออกบวชเป็น ดาษส
    ก็ได้สำเร็จอภิญญาฌานสมาบัติ วันหนึงได้เหาะไปฟังธรรม
    ในสำนักพระสิทธัตถะพุทธเจ้า ด้วยมีความศรัทธาเป็นอันมาก
    จึงได้เหาะไปในป่าหิมพานต์ แล้วเลือกเอาผลชมพู่ลูกหว้า
    มาถวายพระพุทธองค์และเหล่าพระภิกษุสงฆ์
    คราวนั้นพระสิทธัตถะพุทธเจ้าทรงตรัสพุทธพยากรณ์ว่า

    "ท่านมังคะดาบสนี้ นานไปในอนาคต 94 มหากัปต่อจากนี้ไป
    จักได้ตรัสเป็นพระพุทธเจ้าองค์หนึ่ง พระนามว่า
    พระศรีศากยมุนีโคดม ในภัทรกัปหนึ่ง"

    เมื่อมังคะดาษสได้รับทราบดังนั้นจึงมีความปีติยินดีเป็นอย่างยิ่ง
    เพียรสร้างบารมีต่อไป แล้วเกิดตายอีกหลายชาติ ----------------------

    เมื่อเริ่มกัปใหม่ก็เป็นสูญญกัป แต่กัปต่อมานับว่าเป็นบุญของหมู่ประชาสัตว์
    เป็น มัณฑกัป ซึงมีพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้น 2 พระองค์
    พระติสสะสัมมาสัมพุทธเจ้า พระมหาปุสสะสัมมาสัมพุทธเจ้า

    สมัยพระติสสะสัมมาสัมพุทธเจ้า(1)
    ในกาลนั้น พระนิยตโพธิสัตว์กำเนิดในตรกูลกษัตริย์
    ได้ครองราชย์ ทรงพระนามว่า พระเจ้าสุชาตะมหาราช ภายหลังพระองค์ทรง
    เบื่อหน่ายราชสมบัติ จึงได้สละราชสมบัติ ออกบวชเป็น ดาบส อยู่ในป่าใหญ่
    ทรงบรรลุถึงฝั่ง อภิญญา วันหนึ่งสุชาตะดาบส ได้มีโอกาส
    ฟังพระธรรมเทศนาจากพระพุทธองค์ ด้วยความศรัทธาเลื่อมใสเป็นอย่างมาก
    จึงเหาะไปยังสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เก็บดอกไม้ทิยพ์อันมากมาย
    ด้วยอำนาจฌานวิสัย แล้วทำการสักระบูชาแด่องค์พระติสสะพุทธเจ้า
    ซึ่งกำลังเทศนาอยู่ เมื่อพระองค์ทรงเทศนาจบ ทรงตรัสพุทธพยากรณ์ว่า

    "พระสุชาตะดาบสนี้ ต่อไปในอนาคต 92 มหากัป
    ต่อจากนี้ไป จะตรัสเป็นพระพุทธเจ้าองค์หนึ่งในภัทรกัป
    มีพระนามว่า พระศรีศากยมุนีโคดม"

    พระสุชาตะดาบส เมื่อทราบดังนั้นก็มีความปีติยินดีเป็นอย่างยิ่ง
    ก็ทรงสร้างบารมีให้ยิ่งขึ้น จนสิ้นอายุขัย ก็เวียนเกิดตายอยู่ หนึ่งพุทธันดร ------------

    สมัยพระมหาปุสสะสัมมาสัมพุทธเจ้า(2) ในกาลนั้นพระนิยตโพธิสัตว์
    กำเนิดในตระกุลกษัตริย์ ได้ครองราชทรงพระนามว่า พระเจ้าวิชิตราชา
    วันหนึ่งเมื่อพระองค์ได้ทรงทราบว่า พระมหาปุสสะพุทธเจ้าตรงอุบัติขึ้น
    พระองค์ทรงเสด็จเข้าเฝ้า พระพุทธเจ้า เมื่อได้ทรงสดับพระธรรมจากพุทธองค์
    พระวิชิตราชา ก็ทรงสละราชสมบัติทังหมด ออกบวชเป็นพระภิกษุ
    ทรงศึกษาพระไตรปีฏกจนแตกฉาน แสดงธรรมได้คล่องแคล้วยิ่งนัก
    ในครานั้น พรมหาปุสสะพุทธเจ้าทรงตรัสพุทธพยากรณ์ว่า

    "พระวิชิตภิกษุพระองค์นี้ ต่อไปในอนาคต 92 มหากัป
    ต่อจากนี้ไป จะตรัสเป็นพระพุทธเจ้าองค์หนึ่งในภัทรกัป
    มีพระนามว่า พระศรีศากยมุนีโคดม"

    พระวิชิตภิกษุ ก็สร้างบามีต่อไป แล้วเวียนเกิดตาย ไปอีกนาน ....

    สมัยพระวิปัสสีสัมมาสัมพุทธเจ้า ในกาลนั้นพระโพธิสัตว์กำเนิดเป็นาคราช
    ทรงพระนามว่า ภุชงคนาคราช มีนาคบริวารมากมาย เมื่อได้ทราบข่าวว่า
    พระวิปัสสีสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงอุบัติขึ้นในโลก ก็มีความเลื่อมใส
    จึงพาเหล่าบริวาร และเนรมิตมณฑปใหญ่ อาราธนา
    พระพุทธเจ้าและเหล่าพระสาวก มาอาศัยแล้วถวายภัตตาหาร
    หลังจากนั้นพระวิปัสสีสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสพุทธพยากรณ์ว่า

    "พญาภุชงนาคราชนี้ นานไป 91 มหากัป แต่กาลนี้ไป
    จักได้ตรัสเป็นพระพุทธเจ้าองค์หนึ่งมีพระนามว่า พระศรีศากยมุนีโคดม"

    ภุชงนาคราช เมื่อได้สดับฟัง ก็มีใจยินดีศรัทธาเป็นยิ่งนัก
    สร้างสมอบรมบารมีต่อไป เวียนเกิดตาย อีกนานแสนนาน....

    หลังจากนั้นกาลเวลาเป็นสูญกัปถึง 60 มหากัปที่ไม่มีพระพุทธเจ้าบังเกิดขึ้น
    แล้วก็ปรากฏเป็น มัณฑกัป ซึ่งมีพระพุทธเจ้า อุบัติขึ้น 2 พระองค์
    พระสิขีสัมมาสัมพุทธเจ้า พระเวสสภูสัมมาสัมพุทธเจ้า

    สมัยพระสิขีสัมมาสัมพุทธเจ้า(1)
    ในกาลนั้นพระนิยตโพธิสัตว์ กำเนิดเป็น พระเจ้าอรินทมะราชาธิราช
    ปกครองราชสมบัติ วันหนึ่งทรงมีโอกาศ ได้พบกับพระสิขีพุทธเจ้า
    พระเจ้าอรินทมะราชา ทรงศรัทธาเป็นอย่างมาก จึงทรงบริจาคมหาทาน
    แด่เหล่าพระภิกษุสงฆ์ มีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน
    ในครานั้น พระสิขีพุทธเจ้า ทรงตรัสพุทธพยากรณ์ว่า

    "พระเจ้าอรินทมะมหาราชนี้ นานไปในอนาคตกำหนดได้ 31 มหากัป
    จะได้ตรัสเป็นพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่ง
    ทรงพระนามว่า พระศรีศากยมุนีโคดม"

    พระเจ้าอรินทมะมหาราช เมื่อได้สดับฟัง ก็เกิดความยินดีปรีดาเป็นนักหนา
    ตั้งพระทัยอุตสาหะสร้างสมอบรมบ่มบารมีต่อไป
    เกิดตายอีกหลายชาติ ไปหนึ่งพุทธันดร -----------------------------

    สมัยพระเวสสภูสัมมาสัมพุทธเจ้า(2)
    ในกาลนั้น พระนิยตโพธิสัตว์ ได้เสวายราชสมบัติ ทรงพระนามว่า
    พระเจ้าสุทัสสนะมหาราช เมื่อพระองค์ได้ข่าวว่า
    พระเวสสภูสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงบังเกิดขึ้นในโลก พระองค์ทรงปีติ
    ยินดีเป็นอย่างยิ่ง ทรงดำเนินไปเฝ้าพระพุทธเจ้าบังเกิดศรัทธา
    เป็นอย่างมาก หลังจากนั้นพระองค์ทรงประกอบมหาทานเป็นอย่างมาก
    แล้วทรงสละราชสมบัติ ออกบวชเป็นพระภิกษุ ศึกษาพระไตรปิฏก
    จนแตกฉาน ในครานั้นพระเวสสภูสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงตรัสพุทธพยากรณ์ว่า

    "พระสุทัสสนะภิกษุ นานไปในอนาคติอีก 31 มหากัป
    จะได้เป็นพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่ง
    ทรงพระนามว่า พระศรีศากยมุนีโคดม ในภัทรกัปนั้น"

    หลังจากนันพระสุทัสสนะภิกษุก็ เพียรสร้างบารมีในพุทธภูมิ
    ให้เต็มเปลียมบริบูรณ์ขึ้น แล้วเวียนเกิดตายอีกนานแสนนาน ----------------------

    ต่อจากมหากัปนั้นมาก็เป็น สูญกัป ถึง 30 มหากัป แล้วก็มาถึงกัปที่สำคัญ
    ของพระนิยตโพธิสัตว์ของพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน และเป็นภัทรกัป
    คือมีพระพุทธเจ้าถึง 5 พระองค์ ซึ่งเป็นกัปที่มีพระพุทธเจ้ามากที่สุด
    เพราะตั้งแต่ 4 อสงไขย กับเศษแสนมหากัป
    ก็มีเพี่ยงกัปนี้กัปเดียวที่มีพระพุทธเจ้า 5 พระองค์ คือ
    พระกกุสันธะสัมมาสัมพุทธเจ้า พระโกนาคมสัมมาสัมพุทธเจ้า
    พระกัสสปะสัมมาสัมพุทธเจ้า พระศรีศากยมุนีโคดมสัมมาสัมพุทธเจ้า
    คือพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันนี้ และที่กล่าวถึงนี้คือ
    พระโพธิสัตว์อดีดชาติของพระองค์ และพระศรีอริยเมตไตรย
    สัมมาสัมพุทธเจ้า ที่จะตรัสรู้ในอนาคตในกัปนี้

    สมัยพระกกุสันธะสัมมาสัมพุทธเจ้า(1)
    ครั้งนั้นพระนิยตโพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็น พระเจ้าเขมะราชาธิราช
    เป็นพระราชาปกครองประเทศ เมื่อพระองค์ได้ทรงพบ พระกกุสันธะพุทธเจ้า
    พระองค์ทรงศรัทธาอย่างยิ่ง ทรงหมั่นฟังธรรมถวายมหาทานเป็นประจำ
    ในที่สุดพระองค์ทรงออกบวชในพระพุทธศาสนา ศึกษาจนแตกฉาน
    ในพระธรรม เป็นที่เลื่อมใสของชาวประชา
    กาลวันหนึ่งพระกกุสันธะพุทธเจ้าทรงตรัสพุทธพยากรณ์ว่า

    "พระเขมราชภิกษุนี้ จะได้ตรัสเป็นสัมมาสัมพุทธเจ้าในภัทรกัปนี้
    เป็นลำดับองค์ที่ 4 มีพระนามว่า พระศรีศากยมุนีโคดม"

    หลังจากนั้นพระโพธิสัตว์ก็สร้างสมบารมีให้สมบูรณ์ขึ้น
    จนอายุขัยประมาณ 40,000 ปี ก็ เวียนเกิดตาย อยู่ 1 พุทธันดร -----------

    พระโกนาคมสัมมาสัมพุทธเจ้า(2) ครั้งนั้นพระนิยตโพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็น
    พระเจ้าบรรพตบรมราชา เป็นพระราชาปกครองประเทศ เมื่อพระองค์ได้ทรงพบ
    พระโกนาคมพุทธเจ้า พระองค์ทรงเลื่อมใสศรัทธาเป็นอย่างมาก
    ทรงสละราชสมบัติออกบวชเป็นพระภิกษุในพุทธศาสนา
    ทรงศึกษาพระไตรปีฏกจนแตกฉาน เป็นที่เลื่อมใสของชาวประชา
    กาลวันหนึ่งพระโกนาคมพุทธเจ้าทรงตรัสพุทธพยากรณ์ว่า

    "พระบรรพตบรมราชาภิกษุนี้ จะได้ตรัสเป็นสัมมาสัมพุทธเจ้า
    ในภัทรกัปนี้ เป็นลำดับองค์ที่ 4 หลังจากตถาคตไปองค์ที่ 2
    มีพระนามว่า พระศรีศากยมุนีโคดม"

    หลังจากนั้นพระโพธิสัตว์ก็สร้างสมบารมีให้สมบูรณ์ขึ้น
    จนอายุขัยประมาณ 30,000 ปี ก็ เวียนเกิดตาย อยู่ 1 พุทธันดร ----------------

    สมัยพระกัสสปะสัมมาสัมพุทธเจ้า(3)
    ครั้งนั้นพระนิยตโพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็น บุตรของพราหมณ์มหาศาล
    มีนามว่า โชติปาลมานพ
    ได้ศึกษาจบไตรเภท มีสหายนามว่า
    ฆฏิการมานพ เป็นนายช่างทำหม้อ ฆฏิการมานพกล่าวชวน
    โชติปาลมานพ ไปฟังธรรมจากพระพุทธองค์ ถึง 3 ครั้ง 2 ครั้งแรก
    โชติปาลมานพไม่ยอมไป แล้วกล่าวทำนองว่า

    "การตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าเป็นของยาก และการที่มีผู้อวดอ้างว่า
    เป็นพระพุทธเจ้า เราหาเชื่อไม่"

    ในครั้งที่ 3 ฆฏิการมานพซึ่งบรรลุเป็นพระอนาคามี
    จำเป็นต้องจับศรีษะโชติปาลมานพ แล้วกล่าวชวนอีกครั้ง
    โชติปาลมานพมีความแปลกใจ ในพฤติกรรมของเพื่อน จึงยอมไปดู
    เมื่อได้ฟังธรรมจากพระกัสสปะพุทธเจ้า จึงมีศรัทธาเลื่อมใสเป็นอย่างมาก
    ออกบวชในพุทธศาสนาทันที ศึกษาพระไตรปิฏกจนแตกฉาน
    เป็นที่เลื่อมใสของชาวประชา
    ครานั้น พระกัสสปะสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสพุทธพยากรณ์ว่า

    "พระโชติปาลภิกขุนี้ จะได้ตรัสเป็นสัมมาสัมพุทธเจ้าในภัทรกัปนี้
    เป็นลำดับองคที่ 4 หลังจากตถาคต ในเบื้องหน้า
    มีพระนามว่า พระศรีศากยมุนีโคดม"

    หลังจากนั้นพระโชติปาลภิกษุ ก็อบรมบ่มบารมีจนอายุขัย
    ประมาณ 20,000 ปี ก็สิ้นอายุขัย ไปจุติเป็นเทพยดkบนดาวดึงส
    เทวโลก เป็นองค์อมรินทร์ปกครองเหล่าเทวดา ดาวดึงส์เทวโลก
    แล้วทรงทำนุบำรุงพุทธศาสนาเมื่อมีความจำเป็น จนสิ้นศาสนา
    ของพระกัสสปะพุทธเจ้า อายุไขยของมนุษย์ลดลง 1 ปีในทุก 100 ปี
    จากอายุ 20,000 ปี จนอายุไขยมนุษย์อยู่ที่ 120 ปี พระอินทร์โพธิสัตว์
    ก็ลงมาจุติบนโลกมนุษย์ มีพระนามว่า พระเวสสันดรโพธิสัตว์
    ทรงบำเพ็ญ มหาทานเป็นชาติสุดท้าย หลังจากสิ้นพระชนม์
    ก็ได้ไปจุติเป็นเทพยดา บนชั้นดุสิตเทวโลก มีพระนามว่า
    พระเสตุเกตุเพพบุตร เสวยทิย์สมบัติ จนพระชนมายุได้ 4,000 ปีทิพย์
    อันเป็นประเพณีของพระมหาโพธิสัตว์
    ก่อนที่จุติบนโลกมนุษย์ตรัสเป็นพระพุทธเจ้า ขณะที่เสวยสุขบนดุสิตเทวโลก
    ต้องเสวยสุข จนครบ อายุไขย คือ 4,000 ปีทิพย์ นับได้ 576 ล้านปีโลกมนุษย์
    แล้วเหล่าเทพเทวดาทั่งทั้งหมื่นโลกธาตุ ก็ทรงอัญเชิญพระองค์ ให้จุติเป็นมนุษย์
    เพื่อตรัสเป็นพระพุทธเจ้า ที่ทรงคุณอันมหาศาล รื้อขนสัตว์ทั้งหลายออกจากวัฏฎะสงสาร


    FROM : ว่าง
    WHEN : 28/07/2548 (3:01 pm)
     
  18. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,414
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,122
    ค่าพลัง:
    +70,471
    โอษฐ์ภัย
    ภาษิตว่า เป็นคำกล่าวที่ถูกต้องโดยแท้

    เพราะการเจ็บไข้ได้ป่วยของมนุษย์ สาเหตุส่วนใหญ่เป็นเพราะไม่ระมัดระวังการกิน การดื่ม ไม่จำกัดปริมาณการกิน ไม่พิถีพิถันเรื่องอนามัยความไม่สะอาดจึงง่ายต่อการติดโรค เพราะเชื้อโรคล้วนเข้าทางปาก และการไม่ประมาณการกินก็นำมาซึ่งโรคอ้วน โรคความดัน เป็นต้น

    ภัยพิบัติของคน ส่วนใหญ่มักเนื่องจากการไม่ระมัดระวังคำพูด การพูดมากก็เป็นโรค การพูดส่อเสียด หรือชอบวิพากษ์วิจารณ์ผู้อื่น การพูดเพ้อ่จ้อ การพูดเหลวไหลไร้สาระ เหล่านี้เป็น วจีกรรม วจีกรรม คือกรรมที่เกิดจากปาก วจีกรรมมีทั้งเจตนาและไม่เจตนา วจีกรรมคือการพูด การพูดคือเสียงจากใจ ใจตรงก็พูดตรง ใจไม่ตรงก็พูดไม่ตรง การชอบนินทาว่าร้ายผู้อื่น เสกสรรปั้นแต่งเรื่องราว การพูดกระทบกระทั่งเหล่านี้คือวจีกรรมเจตนา ถ้าพูดเรื่องบกพร่องของคนอื่นโดยไม่ตั้งใจก็เป็นวจีกรรมไม่เจตนา แต่ก็เป็นวจีกรรมทั้งสิ้น เจตนามากก็กรรมมาก เจตนาน้อยก็กรรมน้อย ไม่เจตนาก็เกิดกรรมเช่นกัน ถ้าผู้อื่นมีความผิดพลาด จักต้องชี้ถึงส่วนดีของเขาก่อน จากนั้นจึงค่อยค่อยชี้แจงถึงส่วนบกพร่องของเขา ทำให้เขาได้สติ ถ้าเอาแต่พูดถึงส่วนบกพร่องของผู้อื่นอย่างสนุกปาก มักทำให้คนไม่พอใจจนเกิดความแค้นเคือง ผู้พูดยังไม่ได้ตรวจสอบความจริง ผู้ฟังก็เชื่อว่าเป็นจริง จากปากหนึ่งแพร่สู่อีกปากหนึ่งถ่ายทอดกันเป็นสิบ เป็นร้อย เป็นพัน เป็นหมื่นผู้ถูกนินทา แม้มีปากก็ไม่อาจโต้แย้ง ก่อให้เกิดความไม่เป็นธรรม วจีกรรมของผู้พูด บาปจึงหนักหนามาก ถึงแม้เป็นเรื่องจริง ก็ไม่ควรไปพูดเรื่องของคนอื่น เพราะเป็นการก่อวจีกรรมโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ผู้ที่ปากคอจัดจ้าน ชอบนินทาว่าร้าย วิพากษ์วิจารณ์ ทำให้ผู้อื่นเสื่อมเสียชื่อเสียง ล้วนแต่เป็นบาปแห่งวจีกรรมทั้งสิ้น

    แม้ว่าผูพูดแต่เดิมเป็นคนมีบุญวาสนามาก เมื่อทำผิดทางวจีกรรมต้องถูกตัดทอนบุญวาสนา ที่กล่าวทั้งหมดนี้เป็น โอษฐ์ภัย ภัยทางปาก ผลแห่งกรรมทำลายสุขภาพทางไต ปากคือชลธีเข้าสู่มหาสมุทรเป็นธาตุน้ำอวัยวะของธาตุน้ำคือ ไต ผู้รับผลทางวจีกรรมมักป่วยด้วยโรคไตตับอ่อน เป็นเบาหวาน ความดันสูง เพราะคำพูดที่ทำร้ายผู้คนทำให้เกิดอารมณ์พลุ่งพล่าน เดือดดาล ผลสนองแห่งกรรมก็คือ ความดันเลือดสูง และถ้าผลกรรมทางวจีกรรมมีมากหนักหนาบั้นปลายต้องประสบภัยพิบัติเพราะปากแน่แท้ ตายแล้วตกสู่นรกขุมตัดลิ้นเสวยทุกข์เวทนา เมื่อพ้นจากขุมนรกต้องมาเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน คือ นกไปอวดปากตัวเอง ไปคุ้ยเขี่ย จิกตีปากเพราะผลกรรมจากภัยทางปากนั่นเอง ดังนั้นคำกล่าวที่ว่า โรคเข้าทางปาก ภัยออกจากปาก จึงเป็นคำกล่าวที่ถูกต้อง ต่อไปให้มนุษย์ทุกคนบำเพ็ญวจีกรรมให้ดี ปากมีไว้พูดแต่สิ่งดีๆ สิ่งที่เป็นสาระ ปากมีไว้สวดมนต์ พูดธรรมมะ เวลาจะพูดอะไรควรคิดก่อน พูดแต่น้อย ไม่พูดส่อเสียดนินทาผู้อื่น ไม่พูดถึงข้อเสียของผู้อื่น ไม่พูดวิพากษ์วิจารณ์ผู้อาวุโสกว่า ควรเปิดเผยแต่เรื่องดีๆ ไม่พูดเรื่องที่จะก่อความเจ็บแค้นแก่ผู้อื่น ข้อเสียที่สุดของนักบำเพ็ญธรรมก็คือ การพูดโดยไม่คิด การพูดว่าร้ายศาสนาอื่น การจ้วงจาบผู้ทรงธรรม ผู้รู้ตัวว่าบกพร่องข้อนี้ จงรีบปรับปรุงตัวเสียใหม่ขอให้ลูกๆทั้งหลายจงพึงสังวร มีปากไว้สวดมนต์-ภาวนา สาธุ
     
  19. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,414
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,122
    ค่าพลัง:
    +70,471
    ธุดงค์ร่วมกัน
    หลวงพ่อเกรียง กิตติธัมโม แห่งวัดหินหักใหญ่ จังหวัดลพบุรี
    ได้กรุณาเล่าให้ฟังว่า ..........
    ครั้งหนึ่งเมื่อคราวที่ท่านท่องจาริกธุดงค์ไปทางภาคเหนือ
    [​IMG]

    ลุถึงเมืองลับแล พระแท่นศิลาอาสน์ จังหวัดอุตรดิตถ์
    ได้พบกับภิกษุ 2 รูป คือ หลวงพ่อสด จันทสโร
    แห่งวัดปากน้ำ(ภาษีเจริญ) กรุงเทพ ฯ และหลวงปู่บุดดา ถาวโร
    ซึ่งต่างองค์ก็ออกจาริกธุดงค์กรรมฐานเพื่อฝึกฝนอบรมจิต
    และปลีกวิเวกเพื่อฝึกวิชชาเยี่ยงครูบาอาจารย์ทั้งในอดีตและปัจจุบัน
    [​IMG]

    ขณะนั้นหลวงพ่อสดมีอายุประมาณ 60 กว่าปี
    ส่วนหลวงปู่บุดดามีอายุประมาณ 50 กว่าปี
    เมื่อต่างองค์ต่างมาพบกันโดยบังเอิญ ณ วัดพระแท่นศิลาอาสน์
    ต่างก็ทำความเคารพซึ่งกันและกัน ตามหลักธรรมวินัย
    ตามลำดับอาวุโสภันเต ฯ ถามสารทุกข์สุขดิบ และการเดินทางว่าเป็นอย่างไร
    ได้รับความทุกข์ยากลำบากในการเดินทาง การบริโภคขบฉันอย่างไร
    ทุกองค์ก็ตอบว่าได้รับความสะดวกสบายดีตามอัตภาพ ไม่ลำบากอะไร
    สนทนากันต่อไป อีกสักครู่ต่อมาต่างก็แยกกันไปทำกิจส่วนตัว
    ตกตอนเย็นก็พากันมาทำวัตรสวดมนต์พร้อมกัน 3 องค์ เกือบทุกวัน
    หลังจากที่ได้พักอยู่ที่พระแท่นศิลาอาสน์ ประมาณ 1 อาทิตย์
    ก็ชวนกันพาท่องจาริกขึ้นเหนือไปเรื่อย ๆ จุดหมายปลายทางคือ "พระธาตุดอยสุเทพ"

    หลวงพ่อเกรียงได้เล่าต่อไปว่า หลวงพ่อสด หลวงปู่บุดดา และตัวท่าน
    ค่อย ๆ เดินทางจาริกธุดงค์ไปเรื่อย ๆ ค่ำไหนก็นอนนั่น ไม่รีบร้อน
    พักตามที่ต่าง ๆ ใกล้หมู่บ้าน ตามชายป่า ชายเขา และในถ้ำ
    ห่างไกลบ้านเรือนพอสมควร พอตอนเช้าก็ออกบิณฑบาตโปรดญาติโยม
    ตามแบบอย่างพระธุดงค์ผู้มุ่งมั่นฝึกฝนจิตใจ เพื่อความสะอาดหมดจด
    สว่าง สงบ จนเกิดวิมุติหลุดพ้นเต็มบารมีของแต่ละองค์

    ขณะท่องจาริกไปนั้นได้มีโอกาสแวะพักบำเพ็ญตามศาสนสถานที่สำคัญ
    ต่าง ๆ มี
    [​IMG]

    พระธาตุช่อแฮ
    พระธาตุลำปางหลวง
    พระธาตุหริภุญไชย

    กว่าจะลุเข้าเมืองเชียงใหม่ก็ใช้เวลาเป็นแรมเดือน แล้วพากันขึ้นไปบำเพ็ญ
    สมณธรรมที่พระธาตุดอยสุเทพตามอัธยาศัย อาศัยบิณฑบาตตามหมู่บ้าน
    ชาวเขาเลี้ยงชีพพอเป็นไปไม่มากน้อยตามกำลังบุญวาสนาของแต่ละองค์

    ส่วนหลวงปู่บุดดาได้อธิษฐานอดอาหารอยู่ 15 วัน ด้วยอิริยาบถ 2 คือ
    ยืน และ นั่ง พอครบ 15 วัน ท่านเป็นลมเลย เพราะไม่มีอาหารมา
    เลี้ยงร่างกายก็เลยอ่อนเพลีย หลวงพ่อสดกับหลวงพ่อเกรียงและคณะ
    ศรัทธาญาติโยม ก็เลยพาหลวงปู่บุดดาลงจากดอยสุเทพมาพักรักษาตัว
    ที่โรงพยาบาลสวนดอก จังหวัดเชียงใหม่

    หลังจากที่หลวงปู่บุดดาพักรักษาสุขภาพจนดีขึ้นแล้ว ก็อำลาแยกทางกันเพราะ
    หลวงพ่อสดและหลวงพ่อเกรียงตั้งใจจะเดินธุดงค์ไปยังพม่า - อินเดีย
    และว่าจะเลยไปจนถึงธิเบต
    เพื่อนมัสการชมปูชนียสถาน
    ตามภูมิประเทศต่าง ๆ เพราะสมัยนั้นไปได้สะดวก
    ไม่ต้องทำหนังสือเดินทาง ขออนุญาตอย่างใดเหมือนสมัยนี้
    [​IMG]

    ส่วนหลวงปู่บุดดาก็พักพำนักสมณธรรมตามอัธยาศัยของท่านไปเรื่อย ๆ
    ในเขตเมืองเชียงใหม่ เพราะอัธยาศัยของท่านมักชอบไปแต่ผู้เดียว

    ทั้งหลวงพ่อสดและหลวงปู่บุดดา มีความรักและเคารพกันมาก
    ส่วนหลวงพ่อเกรียงในสมัยนั้นยังคงเป็นพระอ่อนพรรษากว่า
    ทำหน้าที่คอยช่วยเหลือท่านทั้งสองตามสมควร

    (FROM : 1 ศตวรรษ ของ หลวงปู่บุดดา ถาวโร)
     
  20. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,414
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,122
    ค่าพลัง:
    +70,471
    การคำนวณวิชชาพระปริตร

    ขอความนอบน้อมจงมีแด่พระรัตนตรัย
    ขอความเจริญในธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
    จงบังเกิดมีแก่ท่านสาธุชนทุกท่าน
    พระปริตรใดๆ อันเราสวดแล้วเพื่อประโยชน์แก่มงคลแห่งเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย
    และอานุภาพแห่งพระปริตรนั้นๆ ขอความสวัสดีจงมีแด่สรรพสัตว์ทั้งหลาย
    ผู้เป็นเพื่อนทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ขอสรรพสัตว์ทั้งหลายเหล่านั้น
    จงเป็นผู้ไม่มีภัย ไม่มีทุกข์ ไม่มีอุปัทวะแห่งกรรมทั้งหลายอันหาโทษมิได้
    อนึ่งกรรมอันมีโทษอย่ามาพ้องพานสัตว์เหล่านั้น
    ขอคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
    อันแสดงมรรคาแก่สัตว์ผู้มีโสตวิญญาณธาตุ เพื่อความหมดจดแก่สัตว์
    จงดำรงอยู่ในโลกจวบสิ้นกาลนานเทอญ

    ต่อแต่นี้ไปให้ท่านสาธุชนทั้งหลาย นั่งขัดสมาธิกันนั่งเอาเท้าขวาวางทับเท้าซ้าย
    เอามือขวาวางทับมือซ้าย ให้ปลายนิ้วชี้มือด้านขวาจรดหัวแม่มือด้านซ้าย
    แล้วตั้งกายให้ตรงดำรงสติให้มั่น ตั้งใจของเราให้ดีกลั่นใจของเราให้ใส
    นึกศูนย์กลางกายของเราให้ใสบริสุทธิ์ นึกให้สว่าง และน้อมใจของเราไปตั้งไว้
    ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ 7 เหนือสะดือขึ้นมาประมาณ 2 นิ้ว ตั้งใจของเราให้แน่วแน่
    ตั้งใจของเราให้มั่นคง ต่อแต่นี้เป็นต้นไปเป็นการเดินวิชชาธรรมกายพระปริตร
    กลั่นกาย กลั่นธาตุธรรม เห็น จำ คิด รู้ พร้อมทั้งภาคผู้เลี้ยงรัตนะ 7
    จักรพรรดิ์ที่หล่อเลี้ยงทุก ๆ กาย และเหล่ากายสิทธิ์ทั้งหมด
    ที่ใช้ร่วมในการเดินวิชชา ให้สะอาดบริสุทธิ์ทั้งปลายธาตุ กลางธาตุ
    ต้นธาตุพระนิพพาน ทุกดวงธรรม ดวงศีล ดวงสมาธิ ดวงปัญญา
    ดวงวิมุติ ดวงวิมุติญาณทัสนะ ตลอดสุดหยาบสุดละเอียด
    เถา ชุด ชั้น ตอน รวมเข้าเป็นจุดเดียวกัน นับเป็นหนึ่งกาย
    แล้วทับทวีต่อไปจนนับอสงไขยไม่ถ้วน ตลอดธาตุ ตลอดธรรม
    เครื่องธาตุ เครื่องธรรม คำนวณเป็นหนึ่งแล้วทับทวีเข้าไปอีก ทั้งผู้สอด ผู้ส่ง
    ผู้บังคับ ผู้ปกครองย่อย ผู้ปกครองใหญ่ เซฟทะเล เหตุทะเล
    จนตลอดทุกสี ทุกสาย ทุกกาย ทุกวงศ์ ทุกองค์
    สุดหยาบ สุดละเอียด นับอสงขัยชั้นตอนเข้าไปไม่ถ้วน

    ผ่านเหตุ 19 เข้าไปนับชั้นตอนไม่ถ้วน จนเข้าถึงธาตุธรรมล้วน ผังล้วน
    ทับทวีให้เป็นวิชชาเป็น หนักเข้าไปอีกเป็นธาตุเป็น ธรรมเป็น ผังเป็นกายเป็น
    เข้าไปถึงธาตุเดิม ผังเดิม กายเดิม จนถึงต้นธาตุที่แก่ไกล
    จนเข้าไปสุดต้นไม่มีต้นต่อไป ซ้อนเข้าไปในเครื่องรวมใหญ่ในที่สุดรู้ สุดญาณ
    สุดรู้ของตรัสรู้ ในนิโรธของต้นธาตุ แล้วเดินทับทวีเข้าไปให้ถึงหัวใจเครื่อง
    เข้าไปให้ถึงอาญาสิทธิเฉียบขาดของหัวใจเครื่อง ให้สนิทเป็นอันเดียวกับเรา

    การที่จะซ้อนเข้าไปถึง อาญาสิทธิเฉียบขาดของหัวใจเครื่องได้นั้น
    จิตจะประกอบไปด้วยมรรคผล สะอาดด้วยธรรมที่เป็นกุศล ที่คลาดเคลื่อน
    จะนำอำนาจสิทธิความสำเร็จมาใช้ให้เกิดความศักดิ์สิทธิของวิชชาได้
    ถ้าเดินกลั่นกายกลั่นธาตุธรรมเห็นจำคิดรู้ จิตวิญญาณของตนยังไม่สะอาดพอ
    ก็จะถูกมารร้อยไส้ปนเป็นอยู่ในจิต มีความเป็นมิจฉาทิฐิ
    ใจยังประกอบด้วยอกุศล ยังไม่บริสุทธิด้วยศีล สมาธิ และปัญญาแล้ว
    ห้ามเดินวิชชานี้เด็ดขาดเพราะเครื่องจะทำการเซฟ ย่อยแยกธาตุธรรมทันที


    เมื่อซ้อนสนิทเป็นอันเดียวกับหัวใจเครื่องได้แล้ว
    ในกลางว่างกำเนิดของหัวใจเครื่อง ก็จะมีดวงธรรม ดวงศีล ดวงสมาธิ
    ดวงปัญญา ดวงวิมุติ ดวงวิมุติญาณทัสนะ กลางดวงวิมุติญาณทัสนะเรา
    ก็จะพบองค์ต้นธาตุต้นธรรม ทั้งอายตนะล้วนทั้งลับ ทั้งเปิดเผย เราก็ซ้อนเข้าไป
    ในสุดรู้สุดญาณของพระองค์ จนถึงเครื่องรวมใหญ่ของพระนิพพาน
    เราจะเห็นถึงกายร้อยรวมเป็นหนึ่งเดียวกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
    พระปัจเจกพุทธเจ้า พระอรหันต์ขีณาสพเจ้าทั้งหลาย
    พร้อมทั้งภาคผู้เลี้ยงจักรพรรดิ์ ทั้งอดีต ปัจจุบัน และต่อไปในอนาคต
    ว่ามิได้แยกออกจากกันเลย มิได้คลาดเคลื่อนออกจากกันเลย
    รู้ญาณก็เป็นหนึ่งเดียวกันหมด ตลอดจนธาตุธรรม บารมี รัศมี
    กำลังฤทธิ์ อำนาจ สิทธิ สิทธิเฉียบขาด ความตรัสรู้
    และทุกสิ่งล้วนเป็นหนึ่งเดียวกันหมด นี่เป็นรัตนะอันประณีตในพระพุทธเจ้า
    ด้วยความสัจนี้ขอความสวัสดี จงมีแด่เราธาตุธรรมทั้งหลายทั้งปวง


    เราก็เดินนิโรธในสมาบัติ สมาบัติในนิโรธ จากหยาบไปหาละเอียด
    ผ่านเหตุ 19 เข้าไปนับอสงขัยชั้นตอนเข้าไปไม่ถ้วน จนถึงอมฤตธรรม
    อันเป็นธรรมที่ประกอบขึ้น ให้เป็นพระนิพพานและอายาตนะนิพพาน
    อันจะหาสิ่งใดเสมอเหมือนพระนิพพานไม่มี เมื่อรู้ญาณของเรา
    สลักเข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกับอมฤตธรรมนั้น ให้เป็นหนังธรรม เนื้อธรรม
    กระดูกธรรม และพลิกรู้ พลิกญาณ เข้าไปในกลางรู้กลางญาณ ของเรา
    เดินนิโรธสมาบัติในรู้ในญาณเข้าไปอีก จนเกิดปฐมมรรค มรรคจิต มรรคปัญญา
    ของมรรคผลที่แท้จริง ในฝ่ายสัมมาทิฐิแต่ส่วนเดียวขึ้นมา
    นี่เป็นสมาธิธรรมที่สะอาด บริสุทธิ์ หมดจด
    อันพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลายสรรเสริญ
    อันจะหาสมาธิใดมาเสมอเหมือนมิได้ นี่เป็นรัตนะอันประณีตในพระธรรม
    ด้วยความสัจนี้ขอความสวัสดีจงมีแด่เหล่าธาตุธรรมทั้งหลายทั้งปวง


    เมื่อเดินถึงมรรคจิต มรรคปัญญาแล้ว เราก็ต่อมรรคผลเข้าไปอีก
    คือเดินเข้าไปสู่โคตรภู โสดาบัน สกิทาคา อนาคา อรหัตน์
    ทั้งหยาบทั้งละเอียด ในกลางว่างของมรรคผลที่สุดละเอียดของมรรคผล
    ที่เราเดินต่อเข้ามานี้ ก็จะมีดวงศีล ดวงสมาธิ ดวงปัญญา ดวงวิมุติ
    ดวงวิมุติญาณทัสนะ ที่ประกอบขึ้นให้เป็นมรรคผลนิพพาน
    เราก็สลักเข้าไปในกลางว่าง ของมรรคผลเข้าไปสุดละเอียด
    จนถึงหัวแก๊สเซฟทะเล เหตุทะเล วิชชามรรคผลจึงจะพบหัวใจเครื่อง
    ที่ทรงความศักดิ์สิทธิ์ความเฉียบขาดของหัวใจเครื่อง
    นี่แหละที่ส่งผลให้เกิดบุญศักดิ์สิทธิ์ความสำเร็จในปัจจุบัน

    ผู้ใดได้ถวายทานแก่พระอริยะบุคคล ย่อมได้บุญใหญ่ อานิสงส์ใหญ่
    เพราะเครื่องนี้เป็นผู้ประกอบเหตุแล้วก็ซ้อนเดินเข้าไปในกลางหัวใจเครื่อง
    เข้าไปถึงธาตุธรรมที่ประกอบขึ้น ให้เป็นหัวใจเครื่อง
    เป็นธาตุธรรมของมรรคผลล้วน เป็นวิราคธาตุ วิราคธรรม ล้วนๆ
    แล้วเอาธาตุธรรมเป็นสมาบัติ ธรรมเป็นกสิน
    แล้วเดินสมาบัติในกสิน ชำระมณทินแห่งองค์กสินให้บริสุทธิ์
    กำลังของสมาบัติแนบแน่นแล้วให้กำลังของสมาบัติและองค์กสินนี้
    เป็นเครื่องต่อรู้ต่อญาณเข้าไปอีกเข้าไปในเครื่องธาตุเครื่องธรรม
    เขตธาตุ เขตธรรม ของวิชชามรรคผล ทรงเป็นบุปเพนิวาสานุสติญาณ
    จุโตปาตญาณ สู่หัวใจเซฟทะเล เหตุทะเล
    เป็นสถานที่เก็บเหตุแห่งการทำบุญศักดิ์สิทธิ์
    ผู้ใดบำเพ็ญบุญบารมีไว้กับพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า
    พระอรหันต์ขีณาสพเจ้าทั้งหลาย บุคคลใดนานมาแล้วสักเท่าไร
    มีอานิสงส์มากนักสักเท่าไร กี่อสงไขยกัป เราก็เดินซ้อนเครื่องรวมใหญ่
    ในเครื่องรวมใหญ่รวมซ้อนเอาบุญบารมีทั้งหลายเหล่านั้น
    เข้ามาเป็นจุดเดียวกันทั้งอดีต ปัจจุบัน อนาคต แล้วอนุโมทนาบุญบารมี
    ทั้งหลายเหล่านั้นกลั่นให้เป็นบุญศักดิ์สิทธิ์ นี่เป็นรัตนะอันปราณีตในพระสงฆ์
    ด้วยความสัจนี้ขอความสวัสดีจงมีแด่เหล่าธาตุธรรมทั้งหลายทั้งปวง


    เมื่อสุดละเอียดแล้วซ้อนในยากออกมาให้เห็นตลอดคือการสแกนเนอร์
    ภพน้อย ภพใหญ่ ภพลับ ภพเปิดเผย นิพพาน ภพสาม ภพโลกันต์ ขันธ์โลก
    โลกทั้งหมดมีมากน้อยเท่าไร เซฟ ปราสาท เขตธาตุ เขตธรรม
    ตลอดจนแสนโกฏิจักรวาล อนันตจักรวาลทั้ง 10 ทิศ
    ผู้สอด ผู้ส่ง ผู้สั่ง ผู้บังคับ ผู้ปกครองในเครื่องรวมย่อย
    ผู้ปกครองในเครื่องรวมใหญ่ จักรวาลผู้หล่อเลี้ยงรักษาเหล่ากายสิทธิทั้งหลาย
    ทั้งภพสาม อรูปภพ มนุษย์ เปรต อสูรกาย สัตว์โลกของเหล่าประเทศชาติ
    ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ เมฆ หมอก ลม ฤดูกาล หนาว ร้อน ไม่หนาว ไม่ร้อน
    ท้องฟ้า แสงสว่าง เหตุว่าง ดวงปกครองทั้งหมดเครื่องไขขึ้นไขลง
    ความเกิด แก่ เจ็บ ตาย ความเจริญ ความเสื่อมถอยต่างๆ
    เดินเครื่องให้รวมเป็นจุดเดียวกันแล้วกลั่นแยกธาตุธรรม เก็บวินาศด้วยธาตุ 6
    ตั้งเซฟไว้รอบตัวกลั่นให้สะอาดชัดใส เข้าไปเป็นลำดับ ด้วยเหตุแห่งอริยสัจ 4
    เข้าสู่เครื่อง ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค เห็นอาการของธาตุธรรมทั้งหมดว่า
    ประกอบด้วย เย็น ร้อน อ่อน แข็ง หยาบ ละเอียด กระด้าง และนุ่มนวล

    ศูนย์หน้าธาตุน้ำมีกำลังเครื่อง 32 อสงไขย
    ขวาธาตุดินมีกำลังเครื่อง 8 อสงไขย
    หลังธาตุไฟมีกำลังเครื่อง 16 อสงไขย
    ซ้ายธาตุลมมีกำลังเครื่อง 4 อสงไขย
    กลางอากาศธาตุมีกำลังเครื่อง 48 อสงไขย
    รวมเป็น 108 อสงไขย

    วิญญาณธาตุมีกำลังเครื่องประมาณมิได้ นี่คือส่วนของธาตุธรรมเป็น
    ในส่วนของธาตุธรรมตายนั้น ในธาตุธรรมตายมีธาตุธรรมเป็น
    ตลอดสุดหยาบ สุดละเอียด เราต้องเดินธาตุธรรมเป็น ธาตุธรรมตายทั้งหมด
    กลั่นผ่านเข้าไปในอริยสัจ 4 ค้นหาให้พบว่าเขาส่งกัปป์วินาศ เหตุวิบัติ
    บาปศักดิ์สิทธิ์ เข้ามาไว้ในที่ใด เขาส่งธาตุธรรมเข้ามาร้อยไส้
    ปนเป็นไว้ ณ จุดตำแหน่งใด ส่งวิชามารสกัดขัดขวาง
    สายบุญ สายสมบัติ คุณสมบัติ ตลอดจน บารมี รัศมี กำลังฤทธิ์
    บุญศักดิ์สิทธิ์ อำนาจสิทธิ สิทธิเฉียบขาด
    ทั้งมนุษย์สมบัติ สวรรค์สมบัติ นิพพานสมบัติ
    ค้นหาให้พบเก็บกินละลายให้หมดให้สะอาดชัดใส ด้วยวิชามรรคผล
    ในฝ่ายสัมมาทิฐิแต่ส่วนเดียว นี่เป็นรัตนะอันปราณีตในพระสงฆ์
    ด้วยความสัจนี้ขอความสวัสดีจงมีแด่เหล่าธาตุธรรมทั้งหลายทั้งปวง

    ธาตุธรรมทั้งหมดตกศูนย์ เข้าสู่ปฐมมรรค มรรคจิต มรรคปัญญา
    ประกอบขึ้นเป็นดวงธรรม ดวงศีล ดวงสมาธิ ดวงปัญญา ดวงวิมุติ
    และดวงวิมุติญาณทัสนะ เข้าสู่โสดาปัติมรรค โสดาปัติผล
    แล้วเอาญาณของพระโสดาเจริญอริยสัจ 4 ทำมรรคผลเข้าไปอีกเข้าไป
    ทำลายสังโยชน์ 3 ในธาตุในธรรมของอากาศโลก ขันธโลก โลกจนตกศูนย์
    เกิดเป็นกายพระสกิทาคามีทั้งหยาบทั้งละเอียด
    เอาญาณพระสกิทาคามีเจริญอริยสัจ 4 ทำมรรคผลเข้าไปอีกเข้าไป
    ทำลายกามราคา ปฏิฆะในธาตุในธรรมของอากาศโลก ขันธโลก โลกจนตกศูนย์
    เกิดเป็นกายพระอนาคามีทั้งหยาบ ทั้งละเอียด แล้วเอาญาณของพระอนาคามี
    เจริญอริยสัจ 4 ทำมรรคผลเข้าไปอีกเข้าไปทำลาย รูปราคะ อรูปราคะ
    มานะ อุทจะ อวิชชา ในธาตุในธรรมของอากาศโลก ขันธโลก
    สัตว์โลก จนตกศูนย์ เกิดเป็นกายพระอรหัตน์ทั้งหยาบทั้งละเอียด

    นี่เป็นการเจริญมรรคผลเพื่อยกธาตุธรรมของฝ่ายบุญของเราให้สูงขึ้น
    เป็นการตั้งธาตุธรรมใหม่ด้วยวิชชามรรคผล ทับทวีเข้าไปเรื่อยๆ
    จนศาสนจักร อาณาจักร พุทธจักร ของเราพ้นจากเหตุวิบัติ
    บาปศักดิ์สิทธิ์ ภัยสงคราม ภัยธรรมชาติ โรคา พยาธิต่างๆ
    ภัยเศรษฐกิจ ข้าวยากหมากแพง ภัยจากมนุษย์ทั้งหลายเหล่านี้

    นี่เป็นรัตนะอันปราณีตในพระสงฆ์
    ด้วยความสัจนี้ขอความสวัสดีจงมีแด่เหล่าธาตุธรรมทั้งหลายทั้งปวง

    แล้วก็ต่อแว่น ต่อกล้อง ต่อญาณ ต่อนิโรธ ต่อมรรคผลนิพพานเข้าไปอีก
    จนสะอาดเป็นธาตุล้วน ธรรมล้วน ผังล้วน กายล้วน เป็นฝ่ายบุญล้วนๆ
    เอาธาตุธรรมที่สะอาดล้วนๆ นี้ประกอบเข้าในเครื่องธาตุ เครื่องธรรม
    หล่อเลี้ยงด้วยบุญศักดิ์สิทธิ์ เดินเครื่องทับทวี
    ประกอบเครื่องเป็นดวงปฐมมรรค ดวงศีล ดวงสมาธิ ดวงปัญญา
    ดวงวิมุติ ดวงวิมุติญาณทัสนะ ของประเทศชาติ ศาสนา
    ของกามภพ รูปภพ อรูปภพ มนุษย์ เปรต อสูรกาย
    สัตว์เดรัจฉาน สัตว์นรก ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ เมฆ หมอก ลม ฝน หนาว ร้อน
    ไม่หนาว ไม่ร้อน ฤดูกาลต่างๆ ท้องฟ้า แสงสว่าง เหตุว่าง ดวงปกครอง
    ในเครื่องไขขึ้น ไขลง ตลอดทั้งภพน้อยภพใหญ่ นิพพาน ภพสาม โลกันต์
    เซฟ ปราสาท เครื่องเขตธาตุ เขตธรรม ตลอดทั้งแสนโกฎิจักรวาล อนันตจักรวาล
    ทั้งอากาศโลก ขันธโลก สัตว์โลก ทั้งผู้สอด ผู้สั่ง ผู้ส่ง ผู้บังคับ ผู้ปกครองย่อย
    ผู้ปกครองใหญ่ เครื่องหัวใจเซฟทะเล เหตุทะเลทั้งหมด

    แล้วต่อมรรคผลพิศดารมรรคผลเข้าไปอีก ต่อแว่น ต่อกล้อง ต่อญาณ ต่อนิโรธ
    เข้าไปอีก ทับทวีซ้ำๆ เข้าไปจนเป็นวิชชาเป็น เป็นธาตุเป็น ธรรมเป็น
    ผังเป็น กายเป็น ทับทวีเข้าไปจนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับ
    ธาตุเดิม ธรรมเดิม ผังเดิม กายเดิม ต้นธาตุที่แก่ๆ
    แล้วซ้อนทับทวีเข้าไปในต้นธาตุในต้น ในต้น จนไม่มีต้นต่อไป
    ซ้อนเข้าไปในเครื่องอาญาสิทธิเฉียบขาด ขององค์ต้นธาตุพระศาสนา
    ศูนย์เครื่องรวมใหญ่ของพระนิพพาน ดวงธรรม ดวงศีล ดวงสมาธิ ดวงปัญญา
    ดวงวิมุติ ดวงวิมุติญาณทัสนะ เข้าสู่เครื่องปกครองธาตุธรรม
    ทั้งหมด 84,000 พระธรรมขันธ์ อาราธนาพระองค์ ให้ทรงความศักดิ์สิทธิ์
    หล่อเลี้ยง เป็นอยู่ มาหล่อเลี้ยง รักษา ไม่ซ้ำธาตุ ซ้ำธรรม
    ทั้งอดีต ปัจจุบัน อนาคต เป็นรบ เป็นตรวจงาน
    ผ่านเข้าเหตุ 19 ทับทวีให้สิ้นสุดจนสะอาดชัดใส เครื่องธาตุ เครื่องธรรม
    ทั้งหมดเร็วแรงเต็มที่ นี่เป็นรัตนะอันปราณีตในพระพุทธเจ้า
    ด้วยความสัจนี้ขอความสวัสดีจงมีแด่เหล่าธาตุธรรม ทั้งหลาย ทั้งปวง

    แล้วส่งกำลัง ของพระธรรมขันธ์ทั้ง 84,000 นี้ผ่านตลอดทั้งผู้สอด ผู้ส่ง
    ผู้บังคับ ผู้ปกครองย่อย ผู้ปกครองใหญ่ อากาศโลก ขันธโลก สัตว์โลกทั้งหลาย
    คำนวณรวมเป็นหนึ่งเดียวกันหมดให้สะอาดชัดใส เหมือนกันหมด
    นี่เป็นรัตนะอันปราณีตในพระธรรม
    ด้วยความสัจนี้ขอความสวัสดีจงมีแด่เหล่าธาตุธรรมทั้งหลาย ทั้งปวง

    แล้วทับทวีต่อไปไม่หยุดจนเป็นวิราคธาตุ วิราคธรรม ปราณียธาตุ ปราณียธรรม
    เป็นธาตุธรรมที่สะอาดหมดจด ปราณีตของพระนิพพาน
    ทั้งพุทธรัตนะ ธรรมรัตนะ สังฆรัตนะ นี่เป็นรัตนะอันปราณีตในพระสงฆ์
    ด้วยความสัจนี้ขอความสวัสดีจงมีแด่เหล่าธาตุธรรม ทั้งหลาย ทั้งปวง

    ด้วยอานุภาพ แห่งการเจริญวิชชาธรรมกายพระปริตรนี้
    ขอความสวัสดีจงมีแด่สรรพสัตว์ทั้งหลายผู้เป็นเพื่อนทุกข์ เกิดแก่เจ็บตาย
    ขอสรรพสัตว์ทั้งหลายเหล่านั้น จงเป็นผู้ไม่มีเวร ไม่มีทุกข์ ไม่มีอุปัทว
    เห็นกรรมทั้งหลายอันหาโทษมิได้ อนึ่งกรรมอันมีโทษ
    อย่ามาพ้องพานสัตว์เหล่านั้น ขอความศักดิ์สิทธิ์แห่งวิชามีอานุภาพ ...........
    ดุจพระอาทิตย์ประชุมกัน 7 ดวง ขึ้นมาในโลกาวินาศ
    มีอานุภาพเหมือนมุ่งเหล็กสามารถป้องกันภัยจากเทวดา นาค ครุฑ ยักษ์ เป็นต้น
    มีอานุภาพประหารศัตรูทั้งหลาย มีอานุภาพให้พ้นจากกัปป์วินาศ จากโรคาพยาธิ
    สามารถได้สมบัติที่ยังไม่ได้ สมบัติที่ได้มาแล้วก็จะเจริญขึ้น
    สามารถประหารความมืด แล้วได้ความสว่าง แม้เซลที่ตายก็จะฟื้นคืนชีพ
    อาวุธต่างๆ ไม่สามารถทำอันตรายได้ และสามารถหลุดพ้นจากเครื่องผูกมัด
    ด้วยอำนาจแห่งสัจวาจานี้ ขอความสวัสดีจงมีแก่ท่านทั้งหลาย

    ให้ท่านสาธุชนทั้งหลายน้อมใจเข้าศูนย์กลางกาย นึกศูนย์กลางกายให้สะอาด
    ให้สว่าง ให้บริสุทธิ์ กลั่นใจของเราให้ใสสะอาดบริสุทธิ์ น้อมใจของเรา
    ตั้งไว้ที่ศูนย์กลางกาย ให้น้อมใจนึกถึงพระพุทธเจ้า
    ให้น้อมใจนึกถึงพระธรรม ให้น้อมใจนึกถึงพระสงฆ์
    น้อมใจนึกถึงบารมีธรรมของพระเดชพระคุณหลวงพ่อพระมงคลเทพมุนี
    พร้อมทั้งบุญกุศลที่ท่านทั้งหลายได้มาประพฤติ มาปฏิบัติ
    น้อมเข้าไปในศูนย์กลางกายของเรากลั่นให้ใสสะอาดบริสุทธิ์
    บุญที่เกิดจากการเจริญสมาธิภาวนา เป็นบุญศักดิ์สิทธิ์
    บุญที่เกิดขึ้นจากการเจริญภาวนาเปรียบเสมือนแก้วสารพัดนึก
    วันนี้เราได้มาสร้างบุญศักดิ์สิทธิ์ สร้างแก้วสารพัดนึกให้เกิดขึ้นในจิตใจของตน
    เมื่อเรามีบุญศักดิ์สิทธิ์ มีแก้วสารพัดนึกอยู่ในตัวเอง
    ต่อแต่นี้ไปเราจะได้ตั้งจิตอธิษฐาน
    ตั้งความปรารถนาอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลพร้อมกัน

    ข้าพเจ้าขอน้อมบุญบารมีที่ข้าพเจ้าทั้งหลายได้กระทำแล้วในวันนี้
    ถวายเป็นพุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา ขออุทิศส่วนบุญส่วนกุศล
    ให้คุณครูอุปัชฌา อาจารย์ คุณมารดา บิดา เจ้าที่นายทาง
    เทวดาอารักษ์ ศัตรู หมู่มาร ญาติพี่น้องและท่านผู้มีพระคุณทั้งหลาย
    โดยเฉพาะอย่างยิ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระบรมราชินีนาถ
    ข้าราชบริพารทั้งหลาย และสรรพสัตว์ทั้งหลาย
    ที่เป็นเพื่อนทุกข์เกิดแก่เจ็บตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น
    จงเป็นสุขเป็นสุขเถิดอย่าได้เบียดเบียนซึ่งกันและกันเลย
    จงมีความสุขกายสุขใจ รักษาตนให้พ้นจากทุกข์ภัยอันตรายทั้งสิ้นเถิด
    รวมทั้งตัวของข้าพเจ้าเองด้วย ขอให้พ้นจากภัยพิบัติ ภัยสงคราม ภัยธรรมชาติ
    กิเลส อวิชชา เครื่องเศร้าหมองทั้งหลาย
    (ขอให้ได้ศึกษาสมถะกรรมฐาน วิปัสนากรรมฐาน และวิชชาธรรมกายได้สำเร็จ)
    ตราบใดที่ข้าพเจ้ายังเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในวัฏสงสารนี้
    ให้ได้แต่มนุษย์สมบัติ สวรรค์สมบัติ นิพพานสมบัติ
    ให้ได้เกิดในฤกษ์สร้างบารมี ในตระกูลสัมมาทิฐิแต่ฝ่ายเดียว
    ให้ได้อำนาจสิทธิ ความสำเร็จกิจทุกประการ

    ท้ายที่สุดนี้ขออาราธนาคุณของพระพุทธ คุณของพระธรรม คุณของพระสงฆ์
    บารมีธรรมของหลวงพ่อวัดปากน้ำ อานุภาพของวิชชาธรรมกาย
    พร้อมทั้งบุญกุศลที่เราทั้งหลายได้มาบำเพ็ญให้เป็นไปแล้วในวันนี้
    จงมารวมกันเป็นตบะ เป็นเดชะ เป็นพลวะ เป็นปัจจัย
    ส่งผลดลบันดาลให้ท่านทั้งหลาย
    ตลอดจนครอบครัวและสัมพันธชน จงเป็นผู้เจริญรุ่งเรือง
    ในพระธรรมวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
    (เป็นผู้เข้าถึงซึ่งวิชชาธรรมกาย ผู้ใดเข้าถึงแล้วก็ขอให้เข้าถึงยิ่งๆ ขึ้นไป)
    แล้วจงเจริญด้วยอายุ ขอให้มีอายุยืนยาวนาน
    วรรณะ ขอให้มีผิวพรรณผุดผ่องใส
    สุขะ ขอให้มีความสุขกายสบายใจ
    พละ ก็ขอให้พลานามัยแข็งแรง
    ปฏิภาณ ก็ขอให้มีปัญญารู้แจ้งทั้งทางโลกและทางธรรม
    คิดสิ่งหนึ่งประการใดอันเป็นไปในทางที่ชอบประกอบแล้วโดยธรรม
    ขอให้มีความสำเร็จในสิ่งนั้นๆ จงทุกประการโดยถ้วนหน้าทุกท่านทุกคนเทอญ
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...