ขอเชิญร่วมทำบุญสงเคราะห์พระภิกษุสงฆ์อาพาธ

ในห้อง 'ตลาด พระเครื่องเพื่อการกุศล' ตั้งกระทู้โดย พันวฤทธิ์, 29 พฤศจิกายน 2007.

  1. THANARATH 2010

    THANARATH 2010 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    625
    ค่าพลัง:
    +1,721
    ผมขอร่วมบุญฝากกระแสกับ "ศ. ทุนนิธิสงเคราะห์สงฆ์อาพาธ อ.ประถม อาจสาคร" เพื่อบริจาคเงินบำรุงโรงพยาบาลสงฆ์และโรงพยาบาลอื่นๆ เพื่อประโยชน์ในการรักษาพยาบาลภิกษุสงฆ์หรือสามเณรอาพาธ (24-07-20 โอน 222 บ.) อนุโมทนา สาธุ ครับ
     
  2. ก็มันเป็นอย่างนั้น

    ก็มันเป็นอย่างนั้น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2019
    โพสต์:
    1,834
    ค่าพลัง:
    +2,280
    จิตติมา ติ๊บโท๊ะ และครอบครัว ขอร่วมบุญและขออนุโมทนาบุญกับทุกๆท่านด้วยนะคะ สาธุๆๆ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  3. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,790
    ค่าพลัง:
    +16,105
    รายงานการบริจาคประจำเดือน ก.ค.63 เฉพาะ รพ.ภูมิภาค 8 แห่งครับ (งดกิจกรรมที่ รพ.สงฆ์ จึงทำให้ไม่สามารถไปถวายสังฆทานภัตตาหารเช้าและปัจจัยอื่นๆ ได้)

    รพ.ภูมิภาค

    - รพ.แม่สอด จ.ตาก 4,000.-
    - รพ.สมเด็จพระยุพราชปัว จ.น่าน 4,000.-
    - รพ.ปางมะผ้า จ.แม่ฮ่องสอน 6,000.-
    - รพ.สมเด็จพระยุพราชด่านซ้าย จ.เลย 6,000.-
    - รพ.มหาราช จ.เชียงใหม่ 4,000.-
    - รพ.ศรีนครินทร์ จ.ขอนแก่น 5,000
    - รพ.50 พรรษาฯ จ.อุบล 4,000.-
    - รพ.ปัตตานี จ.ปัตตานี 4,000.-

    รวม 37,000.-

    จึงเรียนมาเพื่อทราบและกราบขออนุโมทนาบุญมายังทุกท่านที่ได้บริจาคผ่านบัญชีของทุนนิธิมาครับ

    ขอขอบคุณ
    พันวฤทธิ์
    28/7/63
     
  4. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,790
    ค่าพลัง:
    +16,105
    การบูชาพระรัตนรตัยด้วยดอกไม้ ธูป เทียน นี้ แต่เดิมบูชาแยกกันดังกล่าว มารวมกันขึ้นเมื่อครั้งพระพุทธองค์เทศน์มหาเวสสันดร ในกลางเดือน4 ณ กรุงกบิลพัสดุ์ ดังว่าครั้งนั้นมีการถวายดอกไม้ถึง 7วัน 7คืน
    ...
    พระพุทธองค์ตรัสว่า " มหาชนทั้งหลายที่บูชาพระรัตนตรัยด้วย ธูป เทียน ดอกไม้ด้วย คนเหล่านั้นเมื่อเตายแล้วจะได้เกิดบนสวรรค์ มีรูปร่างสวยงาม สะอาดเหมือนดอกไม้ มีเสียงไพเราะ ตัวหอม ปากหอม"
    ...
    ด้วยดอกไม้ หรือ บุปผะเป็นของประเสริฐ เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ มีสีต่างๆกัน สวยงามและหอม เมื่อเราพิจารณานำเอาสิ่งที่ดีเช่นนี้ไปบูชาพระนั้น เป็นเจตนาดีเกิดอานิสงค์ที่ดี จึงไม่ควรสงสัย
    ...
    ฉะนั้นการที่เราซื้อดอกไม้ หรือเก็บดอกไม้มาบูชาพระ เราจะเลือกดอกไม้ที่สวยสะอาด ด้วยเจตนาที่สะอาด เพื่อบูชาพระรัตนตรัย กุศลจิตจึงบังเกิดบุญกุศก็เกิด
    ...
    แต่ถ้าเอาดอกไม้ที่จะบูชาพระมาวางทิ้งไว้ให้เหี่ยวเฉา ไม่สวย ไม่สะอาด ผู้ที่พบเห็นก็เสียเจตนา พอเสียเจตนาอะไรๆ ก็เสียไปหมดบุญกุศลจะเกิดได้อย่างไร
    ..
    ครั้นต่อมาเมื่อเกิด "ตติยะสังคายนา" หลังจากที่พระพุทธองค์ได้เสด็จปรินิพพานไปแล้ว คณะพระภิกษุอรหันต์ทั้งหลายได้มาประชุมกันว่า
    "การบูชาพระรัตนตรัย ด้วยธูป เทียน ดอกไม้ ถือเป็นอามิสบูชาหรือไม่" ซึ่งตามจริงแล้วการที่บุคคลนำดอกไม้ ธูป เทียน มาบูชาพระ หรือนำอาหาร หรือเครื่องบูชาใดๆ มาถวายพระนั้นเป็นอามิสบูชาทั้งสิ้น
    ..
    แต่ถ้าพิจารณาถึงเจตนาของบุคคลนั้นๆแล้ว "ไม่ใช่อามิสบูชา" เพราะการบูชาเหล่านั้นไม่ใช่เพื่อให้พระพุทธรักตน หรือให้พระสงฆ์รักตน หรือทำตามอย่างผู้อื่นด้วยเห็นเป็นของสนุก ของทำตามธรรมเนียม กุศลจิตไม่เกิด
    แต่การทำด้วยเจตนาที่จะบูชาพระรัตนตรัยด้วยการตั้งจิตอธิษฐานเพื่อเป็นสิริมงคลแก่ตนเอง
    ..
    ฉะนั้นจึงพิจารณาจาก "เจตนา" เป็นหลัก เมื่อเจตนาทำบุญ เกิดกุศลจิตอย่างเดียวก็ได้บุญ ซึ่งอานิสงค์ของการบูชาด้วยดอกไม้นี้เป็น "บริสุทธิ์เจตนา" คือ เจตนาสะอาด เจตนาไม่มีอามิสะ จึงไม่เป็นอามิสบูชา
    ..
    ดังเช่น พระเจ้าพิมพิสาร นำดอกไม้ทำด้วยเงินแท้ๆ ทองแท้ๆ ไปถวายพระพพุทธองค์ ณ วัดเชตวัน ด้วยเห็นว่าดอกไม้จริงๆ นั้นจะเหี่ยวเฉาไม่คงทนเท่า และเห็นว่าเงินแท้ๆ ทองแท้ๆ นั้นเป็นสิ่งมีค่าสวยงามทนทาน จึงนำมาประดิษฐ์เป็นดอกไม้ถวาพระพุทธองค์
    ..
    ซึ่งพระพุทธองค์ก็ทรงรับด้วยทรงพิจารณาถึงเจตนา เป็นเจตนาดี เจตนาบริสุทธิ์ ถวายไว้เพื่อเป็นสัญลักษณ์ด้วยกลัวว่าจะเหี่ยวสูญไป การถวายดอกไม้ซึ่งทำเด้วยเงินแท้ๆ ทองแท้ๆ ของพระเจ้าพิมพิสารนี้ี้ จึงไม่เป็นอามิสบูชา เพราะพิจารณาจาก "เจตนา" เป็นใหญ่
    ..
    ..
    การบูชาพระรัตนตรัยนั้น ไม่ว่าเป็นสมัยเมื่อพระพุทธองค์ยังมีชีวิตอยู่ หรือปรินิพพานไปแล้ว ก็ยังคงมีพระอรหันต์อยู่ บุคคลผู้ถวายธูปเทียนดอกไม้เหล่านี้ ด้วยอานิสงค์จะไม่ต้องตกอยู่ในอบายภูมิ แม้เมื่อเป็นมนุษย์จะไม่มีทุกข์ จะมีสุข มีสมบัติ มีจิตใจอ่อนโยน มีรูปร่างสวย แม้เมื่อเป็นเทวดาจะได้อยู่ในภูมิจาตุมหาราชบ้าง ดุสิตบ้าง เพราะในการบูชาเราจุดธูป เทียน ตั้งจิตอธิษฐาน คำอธิษฐานนั้นๆ จะสำเร็จได้ด้วย "เจตนา" ของผู้นั้นนั่นเอง
    ..
    ดังเช่นในสมัยพระพุทธองค์มีพระเถระรูปหนึ่ง นามว่า "ยสะกิตเถระ" บิดาไปตายอยู่ในป่าระหว่างการเดินทาง เมื่อท่านทราบได้ไปนำศพกลับมาเพื่อทำพิธีเผา ได้วางศพไว้ในศาลามีผู้คนมากมายนำดอกไม้มาวางบนศพเพื่อแสดงความเสียใจ ท่านได้นำดอกไม้มาร้อยเป็นพวง เกิดเป็นพวงหรีดที่เราใช้กันอยู่ในปัจจุบัน นำไปเคารพศพบิดาด้วยเจตนาจะให้บิดาผู้ล่วงลับนั้นมีจิตสงบสบาย เกิดชาติหน้าจะได้งามสะอาด พร้อมพิจารณาว่า "รูปัง อนิจจัง"
    ด้วยเจตนาของยสะกิตเถระนี้ บิดาจึงได้เกิดในสวรรค์ชั้นจาตุมหาราช มีปราสาทงดงามเป็นพุ่มเหมือนดอกไม้ 3พุ่ม
    ..
    ฉะนั้น จงพิจารณาว่า การที่เรานำพวงหรีดไปเคารพศพนั้นควรตั้งจิตให้ดี มิใช่เป็นการกระทำตามผู้อื่น หรือตามธรรมเนียมเท่านั้น
    ..
    ดังนั้น ทุกเช้า-เย็น เมื่อบูชาพระรัตนตรัยด้วยธูป เทียน ดอกไม้ จงตั้งเจตนาให้ดี ด้วยเจตนาสะอาด และตั้งจิตอธิษฐาน จะตัดเวรตัดกรรมเพื่อไม่ให้มีศัตรูใดๆ และให้อยู่เป็นสุขตลอดไป จะเกิดอานิสงค์ตามนั้นก็ด้วย "เจตนา" เป็นใหญ่
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  5. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,790
    ค่าพลัง:
    +16,105
    "การทำบุญกับพระอริยสงฆ์...สามารถเปลี่ยนภพภูมิ ญาติพี่น้องได้"

    (หลวงปู่พวง สุวีโร วัดป่าปูลูสันติวัฒนา อ.หนองหาน จ.อุดรธานี ลูกศิษย์รูปหนึ่ง ของ หลวงปู่ขาว อนาลโย วัดถ้ำกลองเพล อ.เมือง จ.หนองบัวลำภู)

    ท่านเล่าว่า ท่านเอง ได้มีโอกาสปฏิบัติธรรมอยู่กับ หลวงปู่ขาว อนาลโย วันหนึ่ง นั่งสมาธิ เห็นโยมแม่ที่ตายแล้ว ได้เป็นอยู่อย่างอัตคัด ไม่มีผ้านุ่งผ้าห่ม ไม่มีที่อยู่ที่อาศัย จึงอธิษฐานกับพระประธานว่า

    “ช่วงเช้า ไปบิณฑบาต ขอให้ มีคนมาถวายผ้า”

    ครั้นไปบิณฑบาต ก็มีคนมาถวายผ้าขาวจริงๆ ท่านจึงนำผ้าขาว ไปย้อมด้วยหินสีแดง แล้วนำไปซักตาก พอแห้ง ก็นำมาย้อมแล้วซักตากอีกรอบ จากนั้นก็นำไปพับ ถวายหลวงปู่ขาว กราบเรียนท่านว่า

    “ขอโอกาส พ่อแม่ครูอาจารย์ บังสกุลแหน่ อุทิศให้แม่”

    หลวงปู่ขาว จึงชักผ้าบังสุกุลให้ คืนนั้นหลวงปู่พวง นั่งภาวนาเห็นโยมแม่ มีผ้านุ่งผ้าห่มผืนใหม่ แล้วยังมีผ้าอีกหลายผืน ห้อยเต็มไปหมด

    จากนั้น หลวงปู่พวง จึงคิดว่าทำอย่างไร โยมแม่ จึงมีที่อยู่ที่อาศัย หลายวันต่อมา มีโยมนิมนต์หลวงปู่ขาว กับพระที่วัด ไปสวดมนต์ที่บ้าน หลวงปู่พวง จึงได้มีโอกาสตามไปด้วย ญาติโยมได้ถวายปัจจัย หลวงปู่ขาว จึงบอกกับพระสงฆ์ว่า

    "อัฐบริขารเรา ก็มีอยู่พร้อมแล้ว ให้นำปัจจัยนี้ ไปสร้างกุฏิ และถาน(ส้วม)ตามที่ท่านพวง...อธิษฐานไว้"

    ครั้นเมื่อสร้างเสร็จ หลวงปู่พวง จึงได้น้อมถวายกุฏิ และถาน(ส้วม)แก่หลวงปู่ขาว อนาลโย

    จากนั้น ตกกลางคืน หลวงปู่พวงได้นั่งสมาธิ มองหาแม่ ออกตามหาทั้งคืน ก็ไม่เห็น ผ่านไป ๔ วัน จึงไปกราบเรียน หลวงปู่ขาว ว่า

    “ขอโอกาส พ่อแม่ครูอาจารย์ หาแม่ บ่เห็น”

    หลวงปู่ขาว บอกให้ “ขึ้นสูงๆ” หลวงปู่พวง จึงนั่งสมาธิหาตามยอดไม้ ก็ไม่เห็น หรือจะเป็นที่สวรรค์กันแน่ ท่านจึงรวบรวมพลังจิตทั้งหมด ขึ้นไปดู จึงเห็นวิมานของโยมแม่ บนสวรรค์ เห็นร่างกายที่เป็นทิพย์ ของโยมแม่ จึงสบายใจขึ้นว่า โยมแม่ พ้นทุกข์แล้ว ก็เพราะด้วยบารมีธรรมของ พระผู้มีศีลอันบริสุทธิ์

    หากเรา ได้ถวายทานแก่ พระภิกษุผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบแล้ว อานิสงส์ย่อมส่งผล ไปถึงญาติของเรา แม้นอยู่ปรโลก ก็สามารถให้พ้นทุกข์ พ้นโทษภัยได้ อย่างองค์หลวงปู่ขาว อนาลโย ท่านเป็นเนื้อนาบุญเอกของโลก

    Cr : พระกรรมฐาน สายหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  6. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,790
    ค่าพลัง:
    +16,105
    ทาน ศีล ภาวนา พื้นฐานการบรรลุธรรมขั้นสูง

    ธรรมเทศนาเรื่อง “อภิญญา” จากหนังสือแก่นพระพุทธศาสนา โดยหลวงปู่คำดี ปภาโส วัดถ้ำผาปู่

    เมื่อได้ฌานแล้วบางครั้งก็จะได้ถึงขั้นอภิญญา ซึ่งเป็นความรู้พิเศษ ผู้ที่เวลาปฎิบัติเกิดนิมิตมากๆมักจะได้อภิญญา
    เมื่อมีเหตุการณ์ใดๆที่จะเกิดขึ้น ท่านมักจะรู้ล่วงหน้าก่อนเสมอ เช่น จะรู้ล่วงหน้าว่าวันนี้จะมีผู้มาหา เป็นต้น
    อภิญญาเกิดจากฌานสมาธิ อภิญญานี้ไม่แน่นอนมักจะเสื่อมได้ หรืออาจจะเป็นวิปลาสจะพูดไม่ตรงต่อธรรมวินัย
    เมื่อผู้ที่ได้อภิญญาแล้ว ถ้าไม่รู้ทัน ก็จะทำให้เกิดความหลงได้
    ในสายของหลวงปู่มั่นนี้ ท่านที่ได้อภิญญาที่สำคัญ คือ ท่านอาจารย์ฝั้น อาจาโร
    ท่านสามารถที่จะพูดกันได้กับท่านหลวงปู่มั่นเวลาท่านไปเยี่ยมกัน
    ท่านมักถามเป็นปัญหาว่า “เมื่อคืนรับแขกมากไหม”
    คำว่า “แขก” ในที่นี้ก็หมายถึงพวกเทพยดาในสวรรค์ชั้นต่างๆตลอดจนถึงพรอินทร์ที่ลงมากราบมาเยี่ยม
    สำหรับท่านพระอาจารย์ฝั้น ท่านประสบเหตุมามาก ท่านเคยเล่าให้อาตมาหลายเรื่อง ถ้าเขียนเป็นหนังสือ ก็จะได้เล่มหนาทีเดียว
    ท่านอาจารย์อ่อน ญาณสิริ วัดป่านิโครธาราม ท่านเคยอยู่กับท่านอาจารย์ฝั้นหลายปี
    ท่านเคยเล่าให้อาตมาฟังว่า มีนกฮูกตัวหนึ่งมันร้องกุ๊กๆกู้ฮูก จับอยู่ที่ต้นไม้ใกล้กับที่พักของท่าน
    เมื่อได้เวลาประมาณ 2 ทุ่ม มันก็ร้องอยู่อย่างนั้นทุกคืน
    ท่านมีฌาน ท่านเลยเพ่งนกฮูก ปรากฏว่าพอท่านเพ่งไปเท่านั้นแหละ
    ขนของนกฮูกก็หลุดกระจุยเลย และก็มีเสียงตกลงดิน
    ท่านก็คิดว่ามันจะเป็นหรือตายอย่างไรหนอ ท่านกลัวจะเป็นโทษ ท่านเดินไปค้นหาซากของมัน ก็ไม่ปรากฏเห็น

    หลวงปู่มั่นท่านก็ประสบเหตุทำนองนี้เหมือนกัน คือมีบ่างใหญ่ตัวหนึ่งมาร้องอยู่บนต้นไม้ใกล้ๆกับท่านทุกวัน
    พอท่านเพ่งไปที่บ่าง บ่างก็ตกดินเลย แต่ปรากฏว่าไม่ตาย
    หลวงปู่มั่นท่านว่า หลังจากที่ผมเพ่งวันนั้นแล้ว ไม่ปรากฏเห็นบ่างตัวนั้นมาร้องอีก
    แสดงว่านกหรือบ่างอาจจะกระเทือนจิตใจของมันเหมือนกัน

    พระอาจารย์มหาบัว ญาณสัมปันโน วัดป่าบ้านตาด ก็เป็นอีกองค์หนึ่งที่แตกฉานในธัมมปฏิสัมภิทา
    แตกฉานในการพูด การแสดงธรรม การแต่งหนังสือ
    โดยเฉพาะการแต่งหนังสือนั้น ท่านได้เขียนเกี่ยวกับประวัติของหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ไว้ได้อย่างละเอียดมาก ตลอดทั้งหนังสือที่เกี่ยวกับธรรมปฎิบัติอีกหลายเล่ม

    อย่างท่านเจ้าคุณนิโรธ ฯ (พระอาจารย์เทสก์ เทสรังสี) ก็เคยได้ไปกราบเยี่ยมท่าน
    พักอยู่กับท่านครั้งละหลายๆวัน ท่านให้เคยให้นโยบายเทศน์ให้ฟัง แต่ท่านไม่ได้เล่าเกี่ยวกับอภิญญา
    โดยท่านมักจะปกปิด ไม่เล่าให้ฟังทั่วๆไป

    ท่านหลวงปู่มั่น หรือท่านอาจารย์ฝั้นก็เช่นเดียวกัน ท่านก็จะพูดให้ผู้ที่ไว้ใจได้ฟังเท่านั้น
    ในขณะที่มีพระเณรญาติโยมมากๆ ท่านก็จะไม่พูด เพราะท่านว่าถ้าพูดไปเขาไม่เชื่อ
    เกรงว่าเขาจะหลบหลู่ดูหมิ่น จะเป็นบาปเป็นกรรมแก่พวกเขา
    หลวงปู่มั่นท่านจะหลบหลีกหมู่(เพื่อน) ไปธุดงค์องค์เดียวหรือสองสามองค์เป็นอย่างมาก
    บรรดาหมู่คณะหรือผู้ปฎิบัติเกิดความรู้ต่างๆหรือมีปัญหาที่จะต้องกราบเรียนถาม ก็จะต้องออกตามหาท่านเอง
    ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะตามท่านพบเสียด้วย

    บุคคลที่มีปัญญาแก่กล้า ไตรลักษณ์จะเกิดในปฐมฌานหรือทุติยฌาน
    ส่วนบุคคลที่มีปัญญาขนาดกลาง ไตรลักษณ์จะเกิดเมื่อสำเร็จฌาน 4 แล้ว
    บุคคลใดที่สามารถสำเร็จฌาน 4 ก็มักจะไม่เกิดความกำหนัดหรือที่เรียกว่า จิตตกกระแสธรรม
    มันจะเป็นของมันเอง เรียกว่าเป็นผลของฌานสมาธิก็ได้
    ไตรลักษณ์ นี้จะเป็นเครื่องตัดสินถูกหรือผิด จะเป็นสัมมาสมาธิหรือมิจฉาสมาธิ
    ถึงแม้ว่าบุคคลใดจะทำสมาธิได้ดี จะได้รับความสุขขนาดไหนก็ตามหรือจะได้อภิญญาเพียงใดก็ตาม
    ถ้าไตรลักษณญาณยังไม่เกิดแล้ว ก็ยังนับว่าเป็นมิจฉาสมาธิ ยังอยู่ในวงเขตที่ผิด

    เมื่อพิจารณาขันธ์ 5 ธาตุ 4 เห็นเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาแล้ว
    จนเกิดญาณ ความรู้พิเศษ เมื่อเกิดความรู้พิเศษแล้ว วิปัสสนูกิเลสหรือวิปลาส ก็เกิดขึ้นไม่ได้
    เมื่อสิ่งใดหรือความรู้ใดเกิดขึ้นก็จะเอาไตรลักษณ์เป็นเครื่องตัดสิน

    การพิจารณาให้ถือเอารู้รูปกายตามความเป็นจริง รู้เวทนาตามความเป็นจริง รู้จิตตามความเป็นจริง
    ให้ยึดถือความรู้นี้เป็นหลัก ความรู้อย่างอื่นไม่สำคัญ
    ถึงจะเกิดอภิญญารู้ในเหตุผลต่างๆ ครั้งแรก ๆ ก็อาจเป็นจริง
    แต่ถ้าเรายึดถือในสิ่งเหล่านั้นต่อไป ก็จะกลายเป็นเรื่องหลอกลวงเรา ท่านจึงห้ามไม่ให้ถือเอานิมิตเป็นสิ่งสำคัญ
    ท่านจึงว่า ถ้าไตรลักษณญาณยังไม่เกิด ก็ยังเป็นมิจฉาสมาธิต้องทำการศึกษาและเร่งความเพียรยิ่งขึ้นไป

    พระภิกษุรูปใดเด็ดเดี่ยว ชอบไปบำเพ็ญภาวนารูปเดียว มักจะได้อภิญญารู้เหตุผลต่างๆแม้แต่ในครั้งพุทธกาล
    พระภิกษุที่สำเร็จเป็นพระอรหันต์ก็ยังมีคุณสมบัติไม่เสมอเหมือนกัน
    ตัวอย่างเช่นพระอรหันต์ที่สำเร็จอย่างแห้งแล้ง แสดงธรรมสอนผู้อื่นไม่ได้ไม่มีปฎิภาณโวหาร
    แต่ก็สามารถสิ้นอาสวะกิเลส เรียกพระอรหันต์จำพวกนี้ว่า “สุกขวิปัสสโก”
    ถ้าพูดถึงความสุขของผู้ที่สิ้นอาสวะกิเลสแล้ว ก็เหมือนกันหมด มีความสุขความสบายเท่าเทียมกัน
    เป็นพระนิพพานเหมือนกันหมด
    การที่ท่านผู้ใดจะได้วิชชา 3 อภิญญา 6 ปฏิสัมภิทา 4 นั้นก็จะต้องขึ้นอยู่กับบุญวาสนาของแต่ละท่านด้วย

    ผู้ที่ปฎิบัติเพียง2-3 ครั้ง ก็สามารถที่ทำจิตให้สงบได้ มีความรู้บาป บุญคุณโทษ
    ทำให้เพิ่มความเชื่อความเลื่อมใส จิตใจเยือกเย็นได้รับความสุข นี่ก็เป็นเพราะอำนาจบารมีเก่าที่ได้สะสมมา

    สิ่งที่ควรตั้งความปรารถนาให้เป็นอุปนิสัย คือ ทาน ศีล ภาวนา

    ถ้าบุคคลใดมีอุปนิสัยครบทั้ง 3 ประการนี้แล้ว หากเกิดภพชาติใดๆได้พบพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่ง
    หรือสาวกของพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่งแล้ว เมื่อได้ยินได้ฟังธรรมพระเทศนาก็มักจะได้บรรลุผลในการฟัง
    ในครั้งพุทธกาล มีท่านที่สำเร็จจากการฟังเป็นพระโสดาบันบ้าง พระสกทาคามีบ้าง พระอนาคามีบ้าง
    แสดงว่าท่านเหล่านี้เคยบำเพ็ญสร้างสมอบรมมา ตั้งแต่หนึ่งชาติขึ้นไป
    ส่วนผู้ที่ปรารถนาใหญ่ เช่นปรารถนาเป็นอัครสาวก ต้องเกิดเป็นมนุษย์เพื่อที่จะสร้างสมบารมีถึงแสนชาติ
    อย่างพระโมคคัลลาน์ พระสารีบุตร เป็นต้น
    ไม่ว่าจะเป็นหญิงหรือชาย ถ้าได้บำเพ็ญติดต่อกัน 1-3 ชาติ ก็จะเป็นอุปนิสัย
    ถ้าได้มีโอกาสพบครูบาอาจารย์ ก็จะทำสมาธิได้ง่าย หรือเจริญฌานได้ง่าย
    ขอให้พวกท่านจงทำกัน ไม่ว่าจะอยู่ที่ใดก็สามารถปฎิบัติได้เหมือนกัน เมื่อตั้งใจทำแล้ว
    จะไร้ผลเสียเลยก็ไม่มี อย่างต่ำก็เป็นการเพิ่มบุญวาสนาบารมีของเราให้แก่กล้าขึ้น
    พูดมาก็สมควรแก่เวลา........
     
  7. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,790
    ค่าพลัง:
    +16,105
    ประวัติพระสมเด็จเขียว (สมเด็จปีระกา) หรือสมเด็จกรุวัดยางน้ำชน

    พระสมเด็จ ตระกูลนี้มีชื่อเรียกหลายชื่อ "สมเด็จปีระกา" ,"สมเด็จปีระกาป่วงใหญ่" "สมเด็จเขียว"
    เมื่อเกิดโรคป่วงหรืออหิวาห์ตกโรคขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2416 หลังจากที่ท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯ(โต)ถึงแก่ชีพิตักษัย(มรณภาพ)เมื่อปี พ.ศ.2415แล้วโรคป่วงหรืออหิวาห์ตกโรคได้คร่าชีวิตผู้คนไปจำนวนมากมายเป็นหมื่นคนโรคนี้ระบาดอยู่ถึง 30 วัน นับเป็นโศกนาฏกรรมที่รุนแรงจนต้องลงบันทึกในประวัตศาสตร์
    เมื่อปีระกา พ.ศ.2416 เกิดโรคอหิวาต์(โรคป่วง) ครั้งใหญ่ ผู้คนล้มตายกันมาก กล่าวในจดหมายเหตุบัญชีน้ำฝนของสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ (เล่ม3) ดังนี้
    "ระกาความไข้ คนตายนับได้ เกือบใกล้สี่พัน เบาน้อยกว่าเก่า หาเท่าลดกันมะโรงก่อนนั้น แสนหนึ่งบัญชี เขาจดหมายไว้ในสมุดปูนมีมากกว่าดังนี้เป็นไป
    (เดือน 8 ข้างขึ้น)
    เกิดไข้ในวัดม้วย วันละคน
    ตั้งแต่สองค่ำดล หกเว้น
    ศิษย์พระวอดวายชนม์ ถึงสี่ เทียวนา
    บางพวกไกลโรคเร้น ชีพตั้ง ยังเหลือ
    จบเสร็จเผด็จสิ้น ปีระกา
    โรคป่วงเกิดมีมา ทั่วดาน
    น้ำน้อยไม่เข้านา เสียมาก เทียวแฮ
    ในทุ่งรวงข้าวม้าน ไค่กล้า นาเสีย"
    ท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯ(โต)ได้มาเข้าฝันชาวบ้านบางช้างให้เอาพระพิมพ์ของท่านทำน้ำมนต์ดื่มกินเพื่อแก้โรคร้ายซึ่ง เมื่อคนกินแล้ว หายข่าวแพร่สะพัดเข้าพระกรรณ พระพุทธเจ้าหลวง

    กล่าวกันว่า ในคราวนั้นสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวง ทรงพระราชทานแจกสมเด็จ (ชนิดปรกเมล็ดโพธิ์ ที่เรียกกันว่า "สมเด็จเขียว")จึงทรงนำพระสมเด็จที่ทรงเก็บไว้ แจกข้าราชการเป็นการใหญ่ ทำให้โรคระบาดสงบลงอย่างรวดเร็ว ว่าคนเป็นอันมากได้รอดตายเพราะพระสมเด็จนั้น จึงเกิดกิตติศัพท์เลื่องลือกันแพร่หลายสืบมา

    “ พระสมเด็จเขียว ” หรือ “ พระสมเด็จปีระกา ” ที่ประชาชนโดยทั่วไปเรียกเป็นชื่อและกล่าวขานถึง นั่นคือพระสมเด็จวัดระฆังที่สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังสี ท่านได้จัดสร้างไว้ ส่วนพระสมเด็จชุดนี้จะสร้างที่วัดระฆัง หรือ วัดบวรสถานสุทธาวาส (วัดพระแก้ววังหน้า) ก็มิอาจทราบได้ แต่ถ้าให้วิเคราะห์ก็น่าจะสร้างที่วัดระฆังและนำไปบรรจุกรุที่วัดพระแก้ววังหน้า เพราะในเวลานั้น (ปี พ.ศ. ๒๔๐๘ – ๒๔๑๒) เจ้าพระยาทิพากรวงศ์มหาโกษาธิบดี (ขำ บุนนาค) เจ้าคุณกรมท่าในสมัยรัชกาลที่ ๔ เจ้าพระยาภานุวงศ์มหาโกษาธิบดี (ท้วม บุนนาค) เจ้าคุณกรมท่าในสมัยรัชกาลที่ ๕ อันเป็นตำแหน่งที่ประชาชนในสมัยนั้นเรียกขาน (แต่ตำแหน่งทางราชการที่แท้จริงทั้งเจ้าพระยาทิพากรวงศ์มหาโกษาธิบดี (ขำ บุนนาค) และเจ้าพระยาภาณุวงศ์มหาโกษาธิบดี (ท้วม บุนนาค) คือตำแหน่งเสนาบดีกรมคลังซึ่งในขณะนั้นดูแลกรมท่าด้วย เพิ่งมาแยกใน ปี พ.ศ. ๒๔๑๘ เป็นกระทรวงการต่างประเทศ) และกรมพระราชวังบวรวิไชยชาญสถานมงคล (วังหน้า) ได้ร่วมกันสร้างพระสมเด็จวัดพระแก้ว แต่ที่น่าแปลกก็เพราะว่ามีพระสมเด็จสกุลนี้ส่วนหนึ่งถูกเก็บไว้ในวิหารน้อยที่วัดระฆังฯ ด้วยเช่นกัน พระสมเด็จเขียวชุดนี้จะมีพุทธศิลป์ เนื้อมวลสารถึงยุคคือ องค์พระสวยงามได้สัดส่วนพบทั้งแบบพิมพ์สมัยใหม่ และแบบพิมพ์โบราณของวัดระฆัง คือพิมพ์ชิ้นเดียว และพิมพ์สองชิ้นแบบถอดยก ส่วนเนื้อมวลสารมีความละเอียดแก่ปูนแข็งแกร่งแต่หนึกนุ่มดูซึ้งเมื่อผ่านการใช้ในระยะเวลาหนึ่ง (บางท่านอาจคิดว่าเป็นพระสมเด็จบางขุนพรหม) สีขององค์พระออกเป็นสีเขียวเข้ม และสีเขียวก้านมะลิ อันเนื่องมาจากการสร้างที่มีการพัฒนาทรงพิมพ์เนื้อมวลสาร แต่กลับปรากฏคราบไขสวยงามอันเป็นเอกลักษณ์ที่สำคัญประการหนึ่งของพระสมเด็จวัดระฆัง ส่วนที่มาของสีเขียวนั้น ในสมัยยุคแรกๆก็ได้มีการสร้างพระสมเด็จวัดระฆังที่มีวรรณะสีเขียวเหมือนกันแต่ต่างกันตรงสีที่ใช้นั้นมาจากพืช โดยการใช้ต้นตำลึง และต้นคระไคร้นำมาคั้นจนได้น้ำสีเขียวนำมาผสมกับส่วนผสมตามสูตร สร้างเป็นพระสมเด็จวรรณะสีเขียวซึ่งสามารถนำมาแช่ทำน้ำมนต์รักษาโรคได้ โดยเฉพาะโรคอหิวา (โรคห่า) จากนั้นก็จะมีการสร้างจากหินลับมีดโกนที่สึกกร่อนจากการลับมีดที่ใช้ปลงผมพระ นำมาย่อยสลายด้วยการตำบดให้ละเอียดจัดสร้างเป็นพระสมเด็จวัดระฆังเนื้อหินลับมีดโกนขึ้น พระชุดนี้ (พระสมเด็จเขียว หรือ พระสมเด็จปีระกา) มีทั้งหมดหกพิมพ์ ได้แก่ พิมพ์ประธาน พิมพ์ทรงเจดีย์ พิมพ์ปรกโพธิ์ (ปรกโพธิ์เม็ดและปรกโพธิ์บาย) พิมพ์สังฆาฏิ (มีหูและไม่มีหู) พิมพ์ฐานคู่ และพิมพ์ฐานแซม จำนวนการสร้างประมาณหนึ่งหมื่นองค์

    เหตุแห่งความเลื่อมใสศรัทธาของประชาชนเป็นอย่างยิ่งต่อพระสมเด็จชุดนี้ก็เมื่อครั้งเกิด อหิวา หรือโรคห่าระบาดใหญ่ ในวันเสาร์ เดือน ๗ ปี พ.ศ. ๒๔๑๖ ในสมัยต้นรัชกาลที่ ๕ เกิดระบาดนานถึง ๓๐ วัน มีผู้คนล้มตาย เป็นอันมากไม่ว่าเจ้าไม่ว่านาย บ่าวไพร่ และประชาชนโดยทั่วไป ตามพระราชพงศาวดารบันทึกไว้ว่ามีคนตายด้วยโรคนี้เป็นจำนวนถึงหลายหมื่นคน จนมีเรื่องเล่ากันว่าสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังสี ได้ไปเข้าฝันประชาชนให้อาราธนาพระสมเด็จฯมาทำน้ำมนต์ดื่มกิน และด้วยความศักดิ์สิทธิ์ผู้ที่ดื่มน้ำมนต์นี้หายจากโรคอหิวาได้อย่างน่าอัศจรรย์ยิ่ง จึงมีชาวบ้านจากทั่วทุกสารทิศมาที่วัดระฆังเป็นจำนวนมาก พระสมเด็จที่ถูกเก็บไว้ที่วิหารน้อยจำนวนหลายพันองค์ถูกแจกจ่ายให้กับประชาชนโดยทั่วไปจนหมด จึงเกิดการซื้อขายขึ้นกล่าวกันว่าราคาขายในขณะนั้นเพียงองค์ละหนึ่งถึงสามตำลึงเท่านั้น นอกจากนั้นยังมีอาจารย์และผู้รู้อีกหลายท่านได้เขียนไว้ในหนังสือหลายเล่ม รวมทั้งกล่าวด้วยประสบการณ์ว่าหลังจากที่โรคอหิวานี้สงบลง พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ ได้มอบพระสมเด็จชุดนี้จำนวนหนึ่งให้แก่พระบรมวงศานุวงศ์ ข้าราชการ ประชาชนโดยทั่วไปเพื่อไว้ป้องกันโรค และอีกส่วนหนึ่งนำไปบรรจุกรุไว้ที่วัดบางน้ำชน เขตธนบุรี กรุงเทพฯ นี่คือที่มาของพระสมเด็จเขียวที่แสดงอิทธิคุณ และพุทธคุณในทางรักษาโรคภัยไข้เจ็บ
    อีกข้อมูลที่ได้มาจาก อ.ประถม อาจสาคร
    พระสมเด็จกรุบางน้ำชน (ปีระกาป่วงใหญ่) นี้มีชื่อเรียกหลายชื่อ "สมเด็จปีระกา" ,"สมเด็จปีระกาป่วงใหญ่" ,"สมเด็จเขียว" , "สมเด็จกรุบางน้ำชน" เป็นพระสมเด็จที่สร้างขึ้นที่วัดบวรสถานสุทธาวาส(วัดพระแก้ววังหน้า)และทันท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯ(โต)ปลุกเสกและที่ถือว่าเป็นรุ่นพี่สมเด็จกรุบางขุนพรหมเพราะสร้างก่อน
    อหิวาตกโรคเป็นโรคระบาดร้ายแรงชนิดหนึ่ง คนสมัยก่อนหาสมุฏฐานไม่ได้เข้าใจกันว่าผีห่ากินตายกันจนหยุดไปเอง ปรากฏประวัติว่าสมัยแผ่นดินพระเจ้าอู่ทองเกิดโรคห่าลง คนตายจนเมืองอู่ทองร้าง ตำนานอำเภอสัตหีบว่า พระเจ้าอู่ทองหนีภัยผีห่ามาทางทะเลจนถึงชายทะเลฝั่งตะวันออก เรือนั้นบรรทุกหีบขนาดใหญ่มาถึง 7 ใบ พระเจ้าอู่ทองลงซ่อนตัวในหีบเพื่อหนีผีห่า เมื่อโรคห่าซาลงแล้วเสด็จกลับไปสร้างเมืองอยุธยาเมื่อวันที่ 7 เมษายน พ.ศ.1893 และในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์เกิดการแพร่ระบาดของโรคห่าถึง 3 ครั้ง คือในสมัย ร.2 ร.3 และในสมัย ร.5 เรื่องของสมเด็จปีระกาป่วงใหญ่สมัย ร.5 โรคอหิวาต์เกิดการระบาดขึ้นในวันแรก ณ วันเสาร์แรม 11 ค่ำ เดือน 7 ปี พ.ศ. 2416 ถึงวันอาทิตย์แรม 11 ค่ำ เดือน 8 อหิวาต์ก็สงบ เป็นอยู่ประมาณ 30 วัน ผู้คนล้มตายกันเป็นจำนวนหมื่น เจ้าประคุณสมเด็จมาเข้าฝันคนเรือและคนตามบ้านให้นำพระพิมพ์ของท่านทำน้ำมนต์มาดื่มกินแก้โรคอหิวาต์ หลังจากนั้นโรคอหิวาต์ก็หายภายใน 7 วัน นับว่า เป็นการ์ช่วยเหลือประชาราษฏร์ไว้มิใช่น้อย ในหลวง ร.5 ทรงบรรลุนิติภาวะในปีนั้น ทรงนำพระพิมพ์สมเด็จที่เหลือจากการบรรจุกรุที่วัดบางน้ำชนจำนวนหนึ่ง ทรงพระราชทานแก่ประชาราษฏร์และข้าราชการในสำนัก
    พระพิมพ์สมเด็จดังกล่าวนี้ได้จัดการสร้างและเสกที่วัดบวรสถานสุทธาวาสหรือวัดพระแก้ววังหน้า มิได้สร้างจากวัดระฆัง มีอยู่หลายพิมพ้ด้วยกันที่แพร่หลายมากก็คือ พิมพ์ปรกโพธิ์เม็ด ชาวบ้านชาวเมืองในสมัยนั้น พากันกล่าวขานว่า "พระสมเด็จปีระกา" หรือ "พระสมเด็จเขียว" อันเนื่องมาจากพระพิมพ์สมเด็จนี้ปรากฏวรรณะสีเขียวอ่อนๆ ทรงพิมพ์กระเดียดไปทางพระสมเด็จกรุวัดใหม่อมตรสหรือวัดบางขุนพรหม ส่วนที่ฝากกรุก็มีอยู่บ้าง แต่ก็เป็นจำนวนน้อยและยังพบซ่อนอยู่บนเพดานโบสถ์วัดพระศรีรัตนศาสดาราม (วัดพระแก้ว) ก็มีอยู่ ที่พบมากก็คือการแตกกรุของเจดีย์วัดบางน้ำชนใกล้สะพานกรุงเทพฯ เป็นพระสมเด็จแท้ คราบกรุพอสวย ไม่หนาเหมือนพระสมเด็จบางขุนพรหมกรุใหม่ เนื้อพระแห้งสนิทหากใช้แขวนตามธรรมชาติไม่เลี่ยมปิด ผิวเนื้อพรจะหนึกนุ่มผู้ที่ไม่จัดเจนเคยเสนอราคาให้จำนวนเงินเป็นล้าน แต่เจ้าของพระไม่ยอมออกตัวเพราะได้รับประสบการณืมาแล้ว บางคนเอาตราวัดบางขุนพรหมปลอมมาประทับด้านหลัง หลอกลวงว่าเป็นพระสมเด็จบางขุนพรหมกรุใหม่

    พระสมเด็จชุดนี้ปัจจุบันหายากมาก ในวงการไม่ค่อยให้ความสนใจและอาจตีเป็นพระไม่แท้ดังเช่นพระสมเด็จพิมพ์อื่นๆอีกหลายร้อยพิมพ์ ตรงนี้ถือเป็นโอกาสของพวกเราที่เคารพบูชาสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังสี ด้วยจิตรบูชาหาใช่การใช้ราคาเป็นสรณะ ทำให้เรามีโอกาสได้ครอบครองพระสมเด็จได้ง่ายขึ้น...
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  8. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,790
    ค่าพลัง:
    +16,105
    วันนี้ได้ดำเนินการบริจาคไปยัง รพ.ต่างๆ เรียบร้อยแล้ว ตามสลิปแนบท้ายครับ


    รพ.ภูมิภาค

    - รพ.แม่สอด จ.ตาก 4,000.-
    - รพ.สมเด็จพระยุพราชปัว จ.น่าน 4,000.-
    - รพ.ปางมะผ้า จ.แม่ฮ่องสอน 6,000.-
    - รพ.สมเด็จพระยุพราชด่านซ้าย จ.เลย 6,000.-
    - รพ.มหาราช จ.เชียงใหม่ 4,000.-
    - รพ.ศรีนครินทร์ จ.ขอนแก่น 5,000
    - รพ.50 พรรษาฯ จ.อุบล 4,000.-
    - รพ.ปัตตานี จ.ปัตตานี 4,000.-

    รวม 37,000.-

    พันวฤทธิ์
    30/7/63
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  9. นายสติ

    นายสติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    918
    ค่าพลัง:
    +4,293
    สรุปรายชื่อทำบุญเมื่อเดือนกรกฎาคม 2563 OK_Page_1.png
    สรุปรายชื่อทำบุญเมื่อเดือนกรกฎาคม 2563 OK_Page_2.png สรุปรายชื่อทำบุญเมื่อเดือนกรกฎาคม 2563 OK_Page_3.png
     
  10. นายสติ

    นายสติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    918
    ค่าพลัง:
    +4,293
  11. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,790
    ค่าพลัง:
    +16,105
    รายงานการบริจาคประจำเดือน ส.ค. 63 เฉพาะ รพ.ภูมิภาค 8 แห่งเหมือนเดิม (ยังไม่สามารถ
    ทำกิจกรรมถวายสังฆทานและบริจาคเงินที่ รพ.สงฆ์ได้เนื่องจากทาง รพ.ยังไม่อนุญาตให้จัดกิจกรรมภายในตึกกัลยาฯ)

    รพ.ภูมิภาค

    - รพ.แม่สอด จ.ตาก 4,000.-
    - รพ.สมเด็จพระยุพราชปัว จ.น่าน 4,000.-
    - รพ.ปางมะผ้า จ.แม่ฮ่องสอน 6,000.-
    - รพ.สมเด็จพระยุพราชด่านซ้าย จ.เลย 6,000.-
    - รพ.มหาราช จ.เชียงใหม่ 4,000.-
    - รพ.ศรีนครินทร์ จ.ขอนแก่น 5,000
    - รพ.50 พรรษาฯ จ.อุบล 4,000.-
    - รพ.ปัตตานี จ.ปัตตานี 4,000.-

    รวม 37,000.-

    ขอขอบพระคุณทุกท่านที่ได้บริจาคผ่านบัญชีทุนนิธิฯ นี้มา
    โดยรายชื่อที่ปรากฏในไฟล์ pdf.ข้างต้น ได้รวบรวมมาจากห้องไลน์ของทุนนิธิฯ ทั้งนี้ ยังไม่ได้รวมกับการบริจาคในเวบพลังจิตนี้ครับ

    จึงเรียนมาเพื่อทราบ

    พันวฤทธิ์
    24/8/63

    เอกสารแนบเป็นรายงานการใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลพระสงฆ์ฯ อาพาธ ที่ รพ.สมเด็จพระยุพราชด่านซ้าย จ.เลย ครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 กันยายน 2020
  12. suwin01

    suwin01 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มกราคม 2016
    โพสต์:
    199
    ค่าพลัง:
    +2,990
    08.57 น. แจ้งโอนร่วมบุญ 200 บาท โมทนาบุญด้วยครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 สิงหาคม 2020
  13. ธรา จิวจินดา

    ธรา จิวจินดา สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2020
    โพสต์:
    355
    ค่าพลัง:
    +653
    ร่วมทำบุญสงเคราะห์พระภิกษุสงฆ์อาพาธ
    จำนวน 10 บาท 26 สค 2563 เวลา 9.35

    ข้าพเจ้าขออัญเชิญ สมเด็จขององค์ปฐม ฯ ทรงเป็นประธาน

    ขออำนาจ บารมี คุณพระพุธ คุณพระธรรม คุณพระสงฆ์ ขอบุญกุศลที่ข้าพเจ้าทำในวันนี้ และในอดีตชาติก็ดี จงได้แก่ นางกิมหงษ์ จิวจินดา นายกิตติพงศ์ จิวจินดา เทวดาทุกชั้น ทุกพระองค์ เจ้ากรรมนายเวร ทั้งหลาย พญายมราช พระแม่ธรณี พระแม่คงคา ท่านท้าวเวสสุวรรณ พระยาครุฑ พระยานาค ยักษ์ คนธรรพ์ และเทวดาประจำตัว ของข้าพเจ้า นก กี่วี กีต้าร์ (ในครอบครัวของข้าพเจ้า ) สรรพสัตว์ทั้งหลาย และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย ในสากลโลก ขอให้ท่านทั้งหลาย ร่วมกัน อนุโมทนาสาธุในผลบุญครั้งนี้. และ เป็นพยานให้ข้าพเจ้าด้วยเทอญ

    และขออนุโมทนาสาธุ กับทุกท่านที่ร่วมทำบุญในครั้งนี้ ด้วยครับ



     
  14. THANARATH 2010

    THANARATH 2010 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    625
    ค่าพลัง:
    +1,721
    ผมขอร่วมบุญฝากกระแสกับ "ศ. ทุนนิธิสงเคราะห์สงฆ์อาพาธ อ.ประถม อาจสาคร" เพื่อบริจาคเงินบำรุงโรงพยาบาลสงฆ์และโรงพยาบาลอื่นๆ เพื่อประโยชน์ในการรักษาพยาบาลภิกษุสงฆ์หรือสามเณรอาพาธ (31-08-20 โอน 300 บ.) อนุโมทนา สาธุ ครับ
     
  15. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,790
    ค่าพลัง:
    +16,105
    รายงานการบริจาคประจเดือน ส.ค.63 ตามสลิปแนบท้ายครับ

    ขอขอบคุณและอนุโมทนาทนาบุญมายังผู้บริจาคทุกท่านอีกครั้งด้วยครับ

    พันวฤทธิ์
    1/9/63
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  16. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,790
    ค่าพลัง:
    +16,105
    บทนี้คาถาอริยผลแล ๛๛๛
    (เอกาทะสะมะปะทัง) ยอดพระกัณฑ์ไตรปิฏก บทที่๑๑ ดังนี้ ฯ๛๛๛


    อิติปิ โส ภะคะวา โสตาอะระหัตตะ ปะฏิผะละธาตุ สัมมาทิยานะ สัมปันโน
    อิติปิ โส ภะคะวา สะกิทาคาอะระหัตตะ ปะฏิผะละธาตุ สัมมาทิยานะ สัมปันโน
    อิติปิ โส ภะคะวา อะนาคาอะระหัตตะ ปะฏิผะละธาตุ สัมมาทิยานะ สัมปันโน ฯ

    **อานุภาพพระคาถาบทนี้สมณพราหมณ์ชี แลผู้มีศีล สวดภาวนาเช้า-ค่ำ เพิ่มพูนบุญวาสนา ปฏิบัติสมาธิภาวนาแจ่มใส เทพเทวดาชื่นชมรักใคร่ เป็นวาสนานักแล ผู้ใดมีศีลธรรม หมั่นสวดภาวนา โชคลาภวาสนาเพิ่มพูน ฯ

    เพจ:ตำนานเล่าขานพระผู้ทรงฌานอภิญญาครูบาอาจารย์ผู้เรืองวิชาอาคม
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 กันยายน 2020
  17. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,790
    ค่าพลัง:
    +16,105
    #เมตตาภาวนา_ข้าศึกของความพยาบาท

    อนึ่ง เมื่อจะเจริญเมตตา พึงเจริญดังนี้ก็ได้ว่า

    "สัพเพ สัตตา" สัตว์ทั้งหลายที่เป็นเพื่อนทุกข์ เกิดแก่เจ็บตายด้วยกันหมดทั้งสิ้น อะเวรา จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด อย่าได้มีเวรแก่กันและกันเลย

    "สัพเพ สัตตา" สัตว์ทั้งหลายที่เป็นเพื่อนทุกข์ เกิดแก่เจ็บตายด้วยกันหมดทั้งสิ้น อะพยาปัชยา จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด อย่าได้มีความเจ็บไข้ลำบากกายลำบากใจเลย

    "สัพเพ สัตตา" สัตว์ทั้งหลายที่เป็นเพื่อนทุกข์ เกิดแก่เจ็บตายด้วยกันหมดทั้งสิ้น อะนีฆา จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด อย่าได้มีความทุกข์กาย ทุกข์ใจเลย

    "สัพเพ สัตตา" สัตว์ทั้งหลายที่เป็นเพื่อนทุกข์ เกิดแก่เจ็บตายด้วยกันหมดทั้งสิ้น สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ จงมีความสุขกายสุขใจ รักษาตนพ้นจากทุกข์ภัยทั้งสิ้น

    เมตตาภาวนานี้ เป็นข้าศึกแก่พยาบาทโดยตรง เมื่อเจริญเมตตานี้ ย่อมละพยาบาทเสียได้ด้วยดี เมตตานี้เชื่อว่า เจโตวิมุต เพราะเป็นเครื่องหลุดพ้นจากพยาบาทของใจ มีอานิสงส์ยิ่งใหญ่กว่าทานและศีลหมดทั้งสิ้น เหตุนั้น เราทั้งหลาย จงอย่าประมาทในเมตตาภาวนานี้เลย อุตสาห์เจริญเถิด จะได้ประสบอานิสงส์วิเศษต่างๆ ซึ่งว่ามานี้ เทอญฯ

    #พระอาจารย์เสาร์_กนฺตสีโล
    วัดเลียบ อ.เมือง จ.อุบลราชธานี
    จากหนังสือ จตุรารักขกัมมัฏฐาน
    ของหลวงปู่เสาร์โดย พระราชสังวรญาณ (หลวงพ่อพุธ ฐานิโย)
    *******************************************
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 กันยายน 2020
  18. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,790
    ค่าพลัง:
    +16,105
    แนะนำของดีราคาโคตรถูกให้อย่างนึงครับ ถ้าเชื่อกันก็รีบไปหาไว้ ของดีนั้นก็คือท่านท้าวเวสสุวรรณของวัดสุวรรณเจดีย์องค์ละ 200 บาทเอง ทางวัดสร้างท่านขึ้นมาเพื่อหารายได้ปรับปรุงวิหารเก่าที่ประดิษฐานพระพุทธรูปของวัดที่ชำรุดขาดปัจจัยในการปรับปรุง
    โดยในการเทโลหะเพื่อเป็นมงคลฤกษ์นั้นได้กำหนดในมหัทธโนฤกษ์และพิธีอธิษฐานจิตนั้นได้กำหนดในเพชรฆาตฤกษ์ ดังนั้นท่านท้าวฯ ชุดนี้จึงมีท้้งบู๊และบุ๋นในตัวครบเครื่อง ในชนวนโลหะผมยังได้มอบเงินพดด้วงสมัยอยุธยาขนาด 1 บาท สมัย ร.1 ขนาด 1 บาท และพูดด้วงเฟื้องใบมะตูม ร.3 ที่ผ่านการอธิษฐานฤทธิ์จากครูอาจารย์ใส่ไปด้วย เรื่องพลังงงานไม่ต้องพูดถึงมันส์มาก องค์ท่านท้าวฯ มีขนาดเท่าเหรียญ 5 บาท ถ้าสนใจหาเช่าในเฟสฯ ได้เลย ไม่ต้องไปถึงวัด นั่งยันและยืนยันอีกครั้งว่าของดีครับ ของดี ทางวัดทำแค่พันองค์เอง งานกฐินนี้คงหมดแน่ๆ เอาตามนี้ครับ รีบหน่อยก็แล้วกัน เดี๋ยวจะว่าไม่เตือน

    พันวฤทธิ์
    1/9/63

     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 กันยายน 2020
  19. นายสติ

    นายสติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    918
    ค่าพลัง:
    +4,293
    สรุปรายชื่อทำบุญเมื่อเดือนสิงหาคม 2563 2_Page_1.png สรุปรายชื่อทำบุญเมื่อเดือนสิงหาคม 2563 2_Page_2.png สรุปรายชื่อทำบุญเมื่อเดือนสิงหาคม 2563 2_Page_3.png
     
  20. นายสติ

    นายสติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    918
    ค่าพลัง:
    +4,293

แชร์หน้านี้

Loading...