@@..คำครู ผู้ชี้-นำ-อุปถัมภ์ สู่พระโพธิญาณ & เรื่องเล่าจากกัลยาณมิตร.@@

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย นโมพุทธายะ๕, 10 กรกฎาคม 2015.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,526
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,129
    ค่าพลัง:
    +70,497
    กร อนันตกาล


    อารมณ์ขันเรื่อง…กายสิทธิ์…ของหลวงพ่อภาวนาฯ

    หลังจากทำวิชชากับท่านเสร็จ …เมื่อช่วงก่อนปี 2530. พวกผมยังไม่ลงไปหาก๋วยเดี๋ยวกับขนม แถวปากทางเข้าวัดกินกัน กะรออีกสักพัก ค่อยลงไป. เลยหันมาถามหลวงพ่อในเรื่องต่างๆ …กันสารพัด. หลวงพ่อครับ …กายสิทธิ์ อะไรดีที่สุดครับ ………( เงินสด แล้วท่านก็ทำหน้านิ่งๆ ไปพัก. แล้วพูดขึ้นอีกว่า. ทองคำแท่ง …แล้วก็หันหน้าไปทางอื่นเหมือนไม่สนใจ …???) …… พวกผมก็หันมามองหน้ากัน. งงๆๆๆๆ …เอาละซี … ก็ท่านยังว่า หินรัตนะชาติ อยู่นี่หว่า …จุลจักรฯ. มหาจักรฯ บรมจักรฯ …อุดมบรมฯ……… แต่ทำไม เงินสด ทองคำแท่ง มาแนววิชชาอะไรของหลวงพ่อหว่า5555……… ท่านหันมามองหน้า พวกผม แล้วอมยิ้ม …ก็ทนกันไม่ได้ด้วยความสงสัย. …เลยต้องถามท่านว่า. …จริงเหรอครับหลวงพ่อ… ??? ……ท่านเลยพูดว่า จริง ๆ พวกเอ็งไม่เคยได้ยินเค้าพูดกันเหรอว่า เงินสดนี่ละแก้วสารพัดนึก ทองคำเหมือนกัน เอ็งเอาไปร้านทอง หรือโรงจำนำ ปั๊ปเดียว เค้าเอาเงินสดให้เอ็งทันทีเลย …เห็นไหมล่ะ นี่ล่ะกายสิทธิ์ ที่ดีที่สุดอยากได้อะไรก็เอาไปซื้อ ได้ทันทีเลย55555…… เฮ้อ นี่ล่ะหลวงพ่อ ฯ ถามไม่ครบถ้วน ท่านก็ตอบตรง ตามคำถามเลย ………จริงของท่าน 5555 หงายหลังกันไปทั้งฝูง………
    เลยต้องถามกันใหม่……หลวงพ่อครับ แล้วรัตนชาติที่เป็นกายสิทธิ์ อย่างไหนดีที่สุดครับ …ท่านก็เลยสอนให้(เอาพอสรุปนิดหน่อยน่ะครับ) เพชร ถือว่าแข็งสุด ในการทำวิชชา …ในความแข็งที่สุด ก็มีส่วนที่อันตรายที่สุด ผสมอยู่ด้วย …เพราะฉะนั้น ประมาทไม่ได้ ในเรื่องธาตุธรรมทั้งสามฝ่าย …ในเมื่อกายสิทธิ์แข็งที่สุด เร็วแรงที่สุด การปนเป็น ซ่อน ธาตุธรรม ก็ทวีความเร็วไปด้วย. ความแข็งแกร่งของเค้า ก็มีมากทวีคูณ. แต่ถ้าสะสางธาตุ ธรรมเค้าได้ บริสุทธิ์ ก็เป็นประโยชน์มากที่สุด. แต่ถ้าเอ็ง ไม่เร็วแรงทันเค้าจริง อย่าได้ไป ทำส่งเดชน่ะ มันอันตราย ……… อย่างนั้นพวกผมใช้อะไร ดีครับ. ใช้ภาวนา ฯ กับหลวงพ่อ เพชรแพง ไม่มีกะตัง หรอกครับ ท่านว่า จุยเจีย. …ใสๆก็พอ. …ถ้าเอ็งเดินวิชชาได้แข็งแน่นจริง ทับทวีไว้เป็นกายสิทธิ์ ที่ใช้ประจำตัว ทำให้ดีๆ ความแข็งความศักสิทธิ์ของเค้าก็ไม่ได้ยิ่งหย่อนกว่าเพชรน่ะ. มันอยู่ที่เจ้าของด้วย ไม่ได้อยู่ที่ เนื้อของกายสิทธิ์ -รัตนะชาติอย่างเดียว. หยกก็ใช้ดีน่ะ ภาคผู้เลี้ยงดี. อุดมสมบูรณ์ และรักษาธาตุ ภายในให้เจ้าของ ( อื่นๆอีกมากมาย ……… ที่ท่านค่อยสั่งสอนไป ค่อยมาเล่าสู่กันฟัง …… แต่ที่สำคัญ คือ กายสิทธิ์ หยก จุยเจียที่ท่านทำให้เฉพาะส่วนตัว. หรือซ้อนให้เมื่อเราไปขอบารมีจากท่านเจริญวิชชาให้. รวมถึงของวัดฯด้วย ไม่ใช่ของหาง่ายอีกต่อไป ถึงจะไม่สวย เพราะสมัยนั่นเทคโนโลยี การขุด การหา ตัด แกะ ขัดผิว สารพัด. ไม่ได้เหมือนสมัยนี้ ค่อนข้างหายากมากๆ. ไม่เหมือนสมัยนี้ มีเป็นคันรถสิบล้อ. แกะก็สวย ขัดก็งาม ………มีมากมายสารพัดชนิด แต่ขอให้ระลึกไว้เลยว่า. ของที่ท่านทำให้เป็นของวัด ที่เหลืออยู่ ที่วัด. ที่ใครได้รับไว้ครอบครองไว้ ขอให้รักษาไว้ให้ดีเถอะครับ เป็นของสูงค่าจริงๆ. …เพราะการเจริญวิชชาอย่างที่ หลวงพ่อ หลวงป๋า ทำ ลงไปในรัตนะชาติ ที่ให้เป็นของขวัญนั้น. …ท่านต้องเดินวิชชาสะสางธาตุธรรมก่อนให้สะอาด ถึงจะได้ จัดการซ้อนวิชชาตามแนววิชชาที่หลวงปู่สดท่านสอนไว้ ทับทวีเข้าไปอีกทีหนึ่ง เดินเครื่องวิชชา ลงในตัวกายสิทธ์……………ตามนั้นทุกประการ เมื่อท่านสิ้นไป แล้วทำให้ผมและกลุ่มศิษย์เก่าๆน้องๆหันมาปรึกษากันว่า จะหาใครทำได้อย่างนั้น คงไม่มีใครทำได้เทียบเท่ากับครูอาจารย์ทั้งสองท่านนี้เป็นแน่แล้ว. ……สิ่งที่ท่านทำไว้ให้ ขอให้รักษากันไว้ให้ดี. ……คุณจะหาหยก หาจุยเจีย สารพัดขนาด จำนวนมามากเท่าใดก็ได้. แต่คุณจะหาครูอาจารย์ที่มาสะสางธาตุธรรม และเจริญวิชชาฯ ในกายสิทธิ์ได้เหมือนท่านอาจารย์นั้นอย่าได้หวัง ……… ขอให้รักษาสมบัติที่ท่านทำไว้ให้ด้วยความเคารพ และเห็นคุณค่า…ให้ดีๆน่ะครับ …)
     
  2. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,526
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,129
    ค่าพลัง:
    +70,497
    พระอาจารย์กล่าวสอนในเรื่องการงานและการปฏิบัติว่า "เริ่มต้นแล้วถ้าไม่ยังเสร็จ...เลิกไม่ได้ ต้องทำให้เสร็จ การปฏิบัติถ้าหากว่าสำเร็จ จะมีปีติเกิดขึ้น เพราะรู้สึกว่าคุ้มค่ากับที่เราทำ"
    __________________

    คัดลอกข้อความมาจาก : www.watthakhanun.com/

    กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะ เรื่องราวในอดีต และสรรพวิชา > เรื่องธรรมะ และการปฏิบัติ > เล่าสู่กันฟัง ภาค ๓
     
  3. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,526
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,129
    ค่าพลัง:
    +70,497
    OVS-WJYyvtw6r2osFX_6YVmZ3SFCu2W2Vnv6GMSGRHvUKnCaEwOuakwT44xSPEX47ZtMCx3Q&_nc_ht=scontent.fcnx3-1.jpg
    " คนเราทุกวันนี้มีอายุไม่ค่อยยืนยาว อยู่กันไม่ถึง 100 ปีก็ต้องจากกันไปนี้ คือความจริงแท้แน่นอน"

    หลวงปู่สอนให้อดทนข่มใจ

    ใครมีหน้าที่อย่างไรก็ตาม หน้าที่ของตนก็สัมฤทธิผลกิจการนั้นๆ งานสิ่งใดก็ตาม เรามีความตั้งใจมุ่งมั่น
    มีความมุมานะ มีความขยันหมั่นเพียร รู้จักอดออมเก็บความรู้สึกไว้ให้ได้ ผู้นั้นย่อมประสพความสำเร็จในกิจการนั้นๆ

    อีกสิ่งที่สำคัญคือ จิต มีความไวมาก ในการรับรู้สัมผัสหากเราไม่รู้เท่าทัน ตัวจิตนี้แล้ว เราก็ต้องตกเป็นเหยื่อของสิ่งภายนอก ที่เข้ามากระทบทุกๆๆเรื่องไป
    และถ้ายิ่งมีการปะทะ โต้ตอบกันไปมา ไม่รู้จักข่มใจตนเองสิ่งที่จะตามมา คือความเสียหาย

    ดังนั้นขอให้ลูกหลาน อดทน ข่มใจตนเอง ใครเขาจะว่าอย่างไรก็ให้นิ่งเสีย เฉยเสีย เขาว่ามานั้นมิได้เจ็บปวดแต่ประการใด ถ้าจิตใจของเราไม่ไปปรุงแต่งในคำพูดของเขานั้นๆ ว่าเจ็บปวด

    ทุกสิ่งทุกอย่าง ขอให้ทุกคนดูตัวเอง ตำหนิตัวเราเอง จนหาคำว่าตัวเราเองไม่ได้แล้วว่าไม่ดี จึงค่อยว่าคนอื่นเขา ขอให้ระลึกนึกถึงว่า " คนเราทุกวันนี้มีอายุไม่ค่อยยืนยาว อยู่กันไม่ถึง 100 ปีก็ต้องจากกันไปนี้ คือความจริงแท้แน่นอน"

    หลวงปู่หงษ์ ยังเป็นครูบาอาจารย์ที่คอยพูดให้เราเห็น แสดงอาการกระทำ ให้เรารับรู้เป็นตัวอย่างทฤษฎี และทางปฎิบัติด้วยจิตปรมัติ ตั้งมั่นให้ลูกหลานทุกคนสร้างความดี หนีความชั่ว ด้วยการตั้ง "กองทัพศีล๕" ซึ่งตอนนี้หลวงปู่กำลังเปิดรับสมัครกองพลทหารศีล๕ หลักกฎิกาไม่มีอะไรมาก ไม่จำกัดเพศและวัย ใบสมัครไม่ต้องใช้สิ่งที่ต้องตระเตรียมคือ กาย วาจา และ ใจ ด้วยการกรอกข้อมูล

    " ว่าข้าพเจ้าจะรักษาศีลห้าปฎิบัติตามคำสั่งสอนของหลวงปู่อย่างเคร่งครัด "

    เท่านั้นก็เป็นการบันทึกข้อมูลแล้วและหลวงปู่ก็รับเป็นลูกศิษย์ ผลที่จักได้รับ คือบุญกุศลความดีที่ติดตามไป ยามมีเหตุขับขัน

    ให้ภาวนา " นะเมติ" หลวงปู่ครูบาอาจารย์ของท่านจักลงมาช่วยคุ้มครองเอง นึกคิดประสงค์สิ่งใด
    จักสมใจปารถนา ทุกประการ

    หลวงปู่ มักกล่าวเสมอว่า
    "เทวดาครูบาอาจารย์เขาช่วย คนดีตกน้ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้"

    ขออนุญาติ พิมคำสอนของหลวงปู่เพื่อเป็นธรรมทานเผยแผ่บารมีครูอาจารย์
    ที่มา จากหนังสืออัตชีวประวัติ ผลงาน เกียรติคุณ และ วัตถุงคล หน้าที่ 17
     
  4. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,526
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,129
    ค่าพลัง:
    +70,497
    hG9cQAGF8DBXfVQoq8mNFDnpyfLm9yaVXyuObZspr31IJgdBmeffVfz7dO1uKK2-fzSenuAn&_nc_ht=scontent.fcnx3-1.jpg


    "พ่อจะไม่พูดอะไรสักหน่อยหรือครับ ?"

    "พูดไปแล้วมีประโยชน์อะไรวะ ? คนที่เชื่อข้าแบบแก ถึงไม่พูดก็เชื่อ ส่วนคนที่ไม่เชื่อข้า พูดไปมันก็ว่าข้าแก้ตัวอยู่ดี เอาเวลาไปทำงานดีกว่าว่ะ..!"

    ที่ว่ามาข้างบนนั้น "พ่อ" กับ "ลูก" คุยกัน เมื่อ ๓๐ ปีที่แล้ว คือ ปี ๒๕๓๒ เนื่องจากมีข่าวอื้อฉาวว่า "พ่อ" มีปัญหาชู้สาว ซึ่งเป็นไปไม่ได้แน่นอน

    ทำไมเชื่อแบบนั้น ? ประการแรก "พ่อ" อายุ ๗๓ ปีเข้าไปแล้ว ประการที่ ๒ ท่านป่วยหนักชนิดแทบจะไม่มีแรงหายใจ โดยเฉพาะเป็นมาลาเรียเช่นเดียวกับ "ลูก" ซึ่งเป็นมาแค่ ๘ ปี ก็หมดสภาพแล้วด้วยฤทธิ์ไข้ป่า

    คนอายุ ๓๐ ปียังหมดสภาพ แล้วคนอายุ ๗๓ ปี มาลาเรียกำเริบ ทุกเย็น ต้องอาเจียนจนตับไตไส้พุงแทบจะหลุดออกมาด้วยเกิน ๒๐ ปี ยังจะเหลืออะไรให้ไปคึกได้ ?

    ประการสุดท้าย หลักการปฏิบัติที่ "พ่อ" สอนมา แค่โลกียสมาธิ ถ้าไม่เผลอขาดสติ ก็ยังกดกามราคะอยู่ อย่าว่าแต่ท่านที่เข้าถึงมรรคผลเลย

    เมื่อ "พ่อ" ออกมาพักผ่อนก่อนฉันเพล อาตมาที่กังวลอยู่ด้วยข่าวอื้อฉาว จึงเข้าไปกราบเรียนถามดังว่ามาแล้วข้างต้น เมื่อได้รับคำตอบและออกจากที่พักของ "พ่อ" มา ครูนนทา อนันตวงษ์ ที่จัดสำรับถวายเพล "พ่อ" อยู่ อุตส่าห์เมตตาบอกว่า "ไม่ต้องห่วงหรอก เรื่องนี้หลวงพ่อโดนมานานแล้ว โดนหนักกว่านี้หลายเท่า เรื่องตอนนี้เล็กมากถ้าเทียบกับที่ท่านผ่านมา"

    ย้อนกลับมาดูตัวเอง ตั้งแต่บวชเข้ามาในพระพุทธศาสนา เรื่องผู้หญิงที่เข้ามาในชีวิต ครั้งแรกเลยก็คือผู้ที่ทำตัวเป็นเจ้าข้าวเจ้าของ มาขอให้สึกอยู่บ่อย ๆ จนเป็นที่ขบขันของพี่น้องหลายท่านที่รู้เห็น ซ้ำยังช่วย "กัน" ให้อีกต่างหาก

    ต่อมาก็เป็นลูกสาวทั้งคู่ของ "แม่เบ็ญ" ที่อาตมาเรียกแม่ด้วยความเกี่ยวเนื่องมาในอดีต แต่มีคนจำนวนหนึ่งเห็นว่า อาตมาเรียกเพราะหวังในตัวลูกสาวทั้งสองคนของแม่ จน "ระยะทางพิสูจน์ม้า กาลเวลาพิสูจน์คน" จากบัดนั้นมาจนถึงบัดนี้ ลูกสาวแม่ทั้งสองคนมีครอบครัว มีลูกโตเป็นสาวเหมือนกับแม่ตอนโน้นแล้ว ก็ยังไม่มีอะไรอย่างที่เขาร่ำลือกัน

    ลำดับต่อมาคือ ๖ ลูกสาวนักเที่ยว ได้แก่ กล้วยไม้ ฟ้ามุ่ย ฟองฝน ลูกบอมบ์ ลูกแบด ลูกกวาด ที่เพิ่งจะโตก็เป็นนักเที่ยวตัวยง เพราะว่าพ่อแม่ให้อิสระเสรีในการดำเนินชีวิต

    บางคนยังเรียนอยู่ชั้นประถมปีที่ ๖ บางคนเพิ่งจะขึ้นชั้นมัธยมปีที่ ๑ แต่เที่ยวผับเที่ยวบาร์ดึก ๆ ดื่น ๆ ทุกคืน

    อาตมาที่สงสารเด็ก ประกอบกับต้องการทดสอบทิพจักขุญาณ จึงใช้วิทยุสื่อสารคุยกัน จนอีกฝ่ายสงสัยว่าอาตมาเป็นนักเที่ยวเหมือนกัน เพราะไม่ว่าพวกเขาจะไปเที่ยวที่ไหนก็รู้ไปหมด

    ทั้งหมดจึงขอ "ว. ๑๕" แล้วก็เพิ่งรู้ว่าอาตมาเป็นพระ แต่ก็ยิ่งทำให้สงสัยหนักเข้าไปอีก ว่ารู้เรื่องของพวกเขาได้อย่างไร ?

    อาตมาจึงสอนทุกคนให้ลดการเที่ยวเตร่ลง ใช้เวลาไปปฏิบัติกรรมฐาน ซักซ้อมการภาวนาไว้ทุกวัน ถ้าเห็นว่าสมควรเมื่อไร จะถ่ายทอดวิธีการใช้ทิพจักขุญาณให้

    ผ่านไปเทอมเดียวเด็กทั้ง ๖ คน ผลการเรียนดีขึ้นอย่างมหาศาล เป็นที่ดีอกดีใจอย่างยิ่งของพ่อแม่ทั้งสองฝ่าย แต่อาตมาโดนคณะกรรมการสงฆ์สอบสวน ข้อหาใช้วิทยุคุยกับผู้หญิงทุกวัน..!

    ออกจากวัดมาผจญภัยในโลกกว้าง มีผู้คอยตามช่วยเหลืองานอยู่หลายคน และเป็นผู้หญิงทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นน้องเก๋ น้องอุ๋ย น้องเล็ก

    แล้วก็ยังมีรุ่นเด็ก อย่างลูกอ้อย ลูกแพร ลูกพลับ ลูกแพรว ลูกพีซ ลูกบัว ที่ทำให้คนเข้าใจผิดได้ง่าย เนื่องจากว่าในแต่ละวัน คนเรานี้จะวนเวียนอยู่รอบตัว

    โดยเฉพาะน้องชายคือพระครูแสง ซึ่งค่อนข้างจะมีทิพจักขุญาณคล่องตัวเป็นพิเศษ มีอยู่คืนหนึ่งขณะที่นอนอยู่ด้วยกันที่บ้านอนุสาวรีย์ชัยฯ พระครูแสงก็ลุกพรวดพราดจะไปเปิดประตูห้องกระจก เมื่อเดินผ่านอาตมาก็อุทานว่า "อะไรวะ ? แล้วไอ้นั่นเป็นใคร ?"

    เมื่ออาตมาลุกขึ้นมาถามจึงได้ความว่า พระครูแสงระแวงเรื่องชู้สาวระหว่างอาตมากับผู้หญิงทั้งหลายที่ว่ามานี้ จึงมาพักอยู่ด้วยเพื่อคอยจับผิด..!

    กลางดึกเห็นอาตมาเปิดประตูเดินขึ้นชั้นบนของบ้านอนุสาวรีย์ชัยฯ ก็มั่นใจว่าอาตมาย่องไปหาน้องเล็กที่พักอยู่ชั้นบนอย่างแน่นอน

    จึงเปิดประตูตามไปเพื่อที่จะจับให้ "คาหนังคาเขา" แต่แล้วกลับเห็นอาตมายังนอนอยู่ที่เดิม แล้วใครกันแน่ที่เป็นคนเปิดประตูเดินขึ้นชั้นบนไป ?

    เรื่องการปรุงแต่งโดยฝีมือมารแบบนี้ ถ้าคนไม่เจอด้วยตนเองจะไม่เชื่ออย่างเด็ดขาด เรื่องนี้ต้องไปถามเอากับพระครูแสง เพราะว่าเป็นคนที่เห็นด้วยตาตัวเอง

    เปลี่ยนจากบ้านอนุสาวรีย์ชัยฯ มาบ้านวิริยบารมี เรื่องแบบนี้ก็ยังอุตส่าห์ตามมาจนได้ แต่คราวนี้หนักกว่าเดิม เพราะว่าต้นเหตุข่าวลือก็คือพี่มุกดา พี่สาวของอาตมาเอง..!

    เนื่องจากน้องเล็กทำงานได้คล่องตัว อาตมาจึงเรียกใช้ใกล้ชิด ทำให้งานหลายอย่างของพี่มุกดาโดนตัดไปให้น้องเล็กทำแทน

    เมื่อเห็นว่าความสำคัญของตัวเองลดลง พี่มุกดาก็ "เอาไฟเผาบ้านเพื่อไล่หนู" ด้วยการปล่อยข่าวลือเสียเองทั้งที่บ้านวิริยบารมีและที่วัดท่าขนุน ว่าอาตมากับน้องเล็กมีเรื่องชู้สาวกัน..!

    ทำให้เกิดความวุ่นวายทั้งที่บ้านวิริยบารมีและที่วัดท่าขนุนอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน โดยที่ไม่ได้คิดเลยว่าสิ่งที่ตัวเองพูดไปนั้นสร้างความเสียหายให้กับอาตมาเท่าไร นอกจากคิดว่าถ้ามีข่าวแบบนี้แล้วน้องเล็กจะอยู่ไม่ได้

    สรุปว่าที่อยู่ไม่ได้กลายเป็นอาตมาเอง เพราะว่าแม่ป๋อมที่ทนความวุ่นวายไม่ไหว เรียกคืนบ้านวิริยบารมีไป จนต้องมาเปิดบ้านเติมบุญอย่างทุกวันนี้

    อาตมาลงโทษพี่สาวตัวเองอย่างหนักเพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่างแก่ผู้อื่น จนทุกวันนี้ค่อยสงบปากสงบคำลงได้บ้าง แต่หลายคนก็ยังสงสัยและติดใจเรื่องนี้อยู่

    สามสิบปีให้หลัง "พ่อ" กับ "ลูก" ต้องมาพูดเรื่องนี้กันอีกครั้ง

    "แกจะไม่พูดอะไรสักหน่อยหรือ ?"

    "แล้วจะมีประโยชน์อะไรละครับ ? คนที่เชื่อมั่นในตัวผมเขาก็ยังคงเชื่อมั่น ส่วนคนที่ไม่เชื่อในตัวผมเขาก็หาว่าผมแก้ตัวอยู่ดี"

    "ไอ้นี่..เดี๋ยวพ่อฟาดกบาลแยก..! ยุคสมัยเปลี่ยนไป ผู้คนเปลี่ยนไป คนรุ่นนี้กำลังศรัทธาไม่แน่นแฟ้นเหมือนกับรุ่นของแก พูดอะไรให้เขารู้เสียหน่อยว่าแกรู้จริง คนที่สงสัยอยู่จะได้คลายใจลงบ้าง ทั้งพระทั้งโยมฟุ้งซ่านใหญ่โตไปยันบนสวรรค์นิพพานแล้ว"

    ทฤษฎีสมคบคิดบวกกับฝีมือของมาร ช่วยพิสูจน์ศรัทธาให้กับบุคคลเป็นจำนวนมาก ว่าสามารถแยกแยะตัวบุคคลออกจากพระรัตนตรัยได้หรือไม่ ? มีความศรัทธาเลื่อมใสที่แน่นแฟ้นจริงจังหรือไม่ ? เป็น "หินลองทอง" ที่แหลมคมที่สุด จะเป็นทองแท้หรือว่าเป็นทองชุบ ก็จะปรากฏขึ้นในระยะเวลาอันรวดเร็ว

    จึงกลายมาเป็นเก็บตกจากบ้านเติมบุญเดือนเมษายน ๒๕๖๓ ด้วยประการฉะนี้

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    (หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน)
    เก็บตกบ้านเติมบุญ ต้นเดือนเมษายน ๒๕๖๓
     
  5. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,526
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,129
    ค่าพลัง:
    +70,497
    “ในเมื่อเรามักง่าย ชีวิตเราก็จะยาก”

    ต้องบอกกับญาติโยมว่า เศรษฐกิจปีนี้ค่อนข้างจะแย่ถึงแย่มาก ดังนั้น..ถ้าพวกเราสามารถที่จะหาสิ่งทดแทน ก็คือการภาวนาพระคาถาเงินล้านเพื่อความคล่องตัวในความเป็นอยู่ ถ้าหากว่าเราไม่รู้จักทำทดแทน ก็อยากจะบอกว่าเสียทีที่เกิดมา..!

    เนื่องจากว่าปัจจุบันนี้ที่อาตมาพบเห็นมา ส่วนใหญ่แล้วญาติโยมมักง่าย ติดสบายจนเกินเหตุ ไม่ยอมลงทุนลงแรงอะไรทั้งนั้น พอชีวิตลำบากก็ไปหาหมอดูเปลี่ยนชื่อ ถามว่าใช่หรือ ? มีอะไรที่เราขวนขวายด้วยตัวเราเองบ้างไหมที่จะให้ชีวิตนี้ดีขึ้น ?

    แม้กระทั่งการสวดมนต์ภาวนาที่ทำแล้วมีแต่คุณประโยชน์ เราก็ไม่ทำกัน เพราะว่าทำแล้วลำบาก ต้องบังคับตัวเอง ต้องทำทุกวัน สู้เปลี่ยนชื่อไม่ได้..ง่ายดี สู้ไปหาร่างทรงไม่ได้ ไปไหว้ไอ้ไข่ยิ่งง่ายเข้าไปใหญ่..!

    ในเมื่อเรามักง่าย ชีวิตเราก็จะยาก แต่ถ้าเรายอมทนลำบาก ก็จะเป็นอย่างที่โบราณท่านว่า “ลำบากก่อนแล้วสบายเมื่อปลายมือ” บรรดาเพื่อนพระสังฆาธิการก็ดี ผู้บังคับบัญชาก็ดี ท่านถามว่า “ทำไมอาจารย์เล็กทำอะไรสะดวกคล่องตัวไปหมด ?” ก็กราบเรียนถวายไปว่า “ก่อนที่ผมจะสะดวกคล่องตัวแบบนี้ ผมทุ่มเทปฏิบัติมาชนิดที่แทบจะไม่ได้กินไม่ได้นอนมาเป็นสิบปีครับ”

    เก็บตกงานสวดพระคาถาเงินล้าน วันอาทิตย์ที่ ๑๙ มกราคม ๒๕๖๓
    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    พระอาจารย์เล็ก วัดท่าขนุน จ.กาญจนบุรี
     
  6. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,526
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,129
    ค่าพลัง:
    +70,497
    ถาม : หลายปีที่ผ่านมา กระผมเคยหลงด่าพระสงฆ์หลายท่านโดยความไม่รู้ ด้วยความคิดที่ว่าท่านประพฤติตัวไม่ดี โดยฟังมาจากคนอื่น ทั้ง ๆ ที่ยังไม่เคยแม้แต่จะเห็นตัวท่าน แต่ต่อมา กระผมมารู้ทีหลังว่า แท้จริงแล้วมีพระสงฆ์หลายท่านด้วยกันที่กระผมได้เคยหลงปรามาสไปนั้น ท่านเป็นพระสุปฏิปันโน เป็นผู้ทรงศีลบริสุทธิ์ ซึ่งตอนนี้บางท่านก็มรณภาพไปแล้ว ทำให้ไม่สามารถเข้าไปกราบขอขมาโทษจากท่านได้อีกแล้ว ไม่ทราบว่า กระผมจะกราบขอขมาโทษจากพระพุทธรูปที่บ้านแทนได้หรือเปล่าครับ ?
    ตอบ : ถ้าเป็นไปได้ควรที่จะขอขมาโดยตรงกับท่าน เมื่อทราบว่าท่านมรณภาพแล้วไปอยู่ที่ไหนก็ตามไปขอขมาท่านที่นั่นก่อน หลังจากนั้นค่อยไปขอขมากับพระพุทธเจ้า ถ้าทำไม่ได้จริง ๆ ขอขมากับพระพุทธรูปที่บ้านเราก็ได้ แต่ว่าเป็นการแก้ปลายเหตุไปแล้ว

    ถาม : แล้วจำเป็นต้องจัดขันธ์ ๕ ในการกราบขอขมาโทษทุกครั้งไหมครับ ?
    ตอบ : การขอขมาโทษ ถ้างบน้อยก็ใช้แค่ธูปเทียนแพ ถ้างบมากหน่อยก็ทำบายศรีไปเลย

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    (หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน)
    เก็บตกจากบ้านเติมบุญ ต้นเดือนมกราคม ๒๕๖๑
     
  7. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,526
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,129
    ค่าพลัง:
    +70,497
    XU-K7GpFOsHMkrR_2ynkVbi4SuM4_I0PSaJXHQqGLRP0H4ZSoAXcWFccaPne5n7Sya0Gbvyx&_nc_ht=scontent.fcnx3-1.jpg
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  8. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,526
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,129
    ค่าพลัง:
    +70,497
    iSQbZkPaZvnWHBInoTagDnTQjF6savaQusAhhcf8LcAQ33nW88Asa-mJgkcdlcf0C8pAkpHg&_nc_ht=scontent.fcnx3-1.jpg
    ถาม : #ทำบุญอย่างไรจึงจะไม่ให้คนที่เสียชีวิตไปแล้วโดนหมอผีมารังแก ?

    ตอบ : #ถวายสังฆทานให้ไป ถ้ารับสังฆทานไปแล้วเขาจะมีกำลังเท่ากับเทวดา หมอผีที่ไหนก็เล่นเทวดาไม่ได้หรอก มีแต่จะโดน "ตื้บ"

    มีอยู่จำพวกหนึ่งประเภทถึงเวลาก็จะเรียกไปใช้งาน พวกนั้นต้องสั่งสอนให้เข็ด รีบ ๆ ถวายสังฆทานให้คนตายไปเยอะ ๆ เลย

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    ( หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ )
    วัดท่าขนุน จังหวัดกาญจนบุรี

    คัดลอกจากเก็บตกเดือนมิถุนายน ๒๕๖๒
    เครดิตภาพ : คุณชยาคมน์ ธรรมปรีชา
     
  9. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,526
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,129
    ค่าพลัง:
    +70,497
    ms_NQwxXTdF_HG_uKTsEwhjDzVV13VCw4lUBEWfEkh8x7qmBX9t6iBGrJxrWo2qFlLS_V-cx&_nc_ht=scontent.fcnx3-1.jpg
    ==#อยากได้วัตถุมงคลที่มีพลังสูง==

    ผู้ถาม: หลวงพ่อคะอ่านประวัติหลวงพ่อปานแล้วมีความรู้สึกว่า ถ้าเรามีวัตถุมงคลที่มีพลังสูง เช่น ยันต์เกราะเพชร ก็ดีนะคะ ตอนที่ลาวปล่อยของมาแล้ว ของอื่นแตกหมด แต่ยันต์เกราะเพชรนี้อยู่ไม่เป็นไร ทำให้นึกอยากได้ของที่แจ๋วๆอย่างนั้นคะ

    หลวงพ่อ: จะเอาเพชรสีอะไรล่ะ สีน้ำมันก๊าด จะไปยากอะไร ยันต์เกราะเพชรบทเสกกับบทเขียนก็มี พระพุทธคุณ คือ อิติปิโส บทต้น แล้วทุกวันก็ต้องบูชาด้วย อิติปิโส ๑ จบ มีพระองค์ไหนก็เหมือนกัน หรือ มีพระคล้องคอ เวลาสวด อิติปิโส ก็นึกถึง บารมีของพระพุทธเจ้า ห้องที่สองนึกถึง บารมีพระธรรม ห้องที่สามนึกถึง บารมีพระอรหันต์ทั้งหลาย #พวกบูชายันต์เกราะเพชรก็ต้องใช้บทนี้เป็นประจำถ้าไม่ใช้ประจำฉันก็ไม่แน่ใจว่าคุ้มครองได้นะ

    ผู้ถาม : แสดงว่ายังมีวัตถุมงคลที่มีพลังสูงจริง

    หลวงพ่อ: มันอยู่ที่เราด้วย ทำมาให้ดีแล้ว เราดีเท่าของหรือเปล่า ถ้าเรามีความเข้มแข็งแล้วเราก็ดีเท่าของ อย่างเขาเอารถยนต์มาให้เรา เราใช้ไม่เป็น รถยนต์ก็ไม่เกิดประโยชน์อะไรเลยใช่ไหม เขาให้มาแล้วเราก็ใช้ให้ถูกทางด้วย ก่อนที่จะใช้ต้องหาน้ำมันเครื่อง น้ำมันเกียร์ น้ำมันเผาอะไรพวกนี้ ใช่ไหม .....ก็เหมือนกัน เมื่อได้พระมาแล้ว นึกน้อมความดีของพระ นึกถึงความดีของพระ ไม่มีอะไรมาก อิติปิโส บทเดียวพอ ทุกๆวัน ตอนเช้าตื่อนขึ้นมานึกถึงบารมี นึกถึงพระที่เรามีอยู่

    ผู้ถาม : บางคนห้อยพระราคาเป็นแสนก็ตาย

    หลวงพ่อ : ถ้าถึงวาระก็ต้องตาย ความจริงที่ให้มีพระคล้องคอท่านมีความหมาย ให้ทำใจให้เป็นพระ ว่าเราเป็นสาวกขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าทรงสอนในหลักใหญ่ ๓ ประการ
    ๑ .สัพพะปาปัสสะ อะกะระณัง พวกเธอทั้งหลายจงอย่าทำความชั่วทุกอย่าง.

    ๒. กุสะลัสสูปะสัมปะทา จะสร้างแต่ความดี

    ๓. สะจิตตะปริโยทะปะนัง จงทำจิตให้ผ่องใสจากกิเลส แล้วก็ลงท้ายว่า

    เอตัง พุทธานะสาสะนัง เราขอยืนยันว่าพระพุทธเจ้าทุกองค์สอนอย่างนี้เหมือนกันหมด

    นี่ท่านต้องการทำจิตให้เป็นพระ ไม่ใช่เอาพระไปตีกับชาวบ้าน บางทีพาพระไปขโมยเขาเสียอีก พระขโมยของตั้งแต่ ๑ บาทขึ้นไป ศิลขาดหมดแล้ว พาพระไปกินเหล้าเป็นปาจิตตีย์ พาพระไปเล่นการพนัน พระก็ถูกสึก ไม่ไหว ใช่ไหมคุณ

    หลวงพ่อพระราชพรหมยาน
     
  10. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,526
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,129
    ค่าพลัง:
    +70,497
    QSgz_g11t9A6E2sb4haDYsQd_cp46ZAXAdJFMg6tIK_z0HXC58_Agm96eVjv29dsM614BrDH&_nc_ht=scontent.fcnx3-1.jpg
    กองบุญจิปาถะ เพื่อพระนิพพาน ได้เพิ่มรูปภาพใหม่ลงในอัลบั้ม: ธรรมทาน

    ผมเองตั้งใจบวชแค่ ๗ วัน ปรากฏว่าอยู่มา ๓๔ ปี ถ้าตั้งใจบวชนานกว่านั้นจะอยู่นานแค่ไหนก็ไม่รู้ ? #คือไปฝึกมโนมยิทธิ #แล้วเห็นนรกตั้งแต่อายุยังไม่ทันจะครบ ๒๐ ปี ก็เลยกลัวมาก..ไม่กล้าบวช เพราะว่าในนรกที่เห็นนั้น #นักบวชแน่นขนัดไปหมด ถึงเวลาโยมแม่ขอให้บวชจึงผัดผ่อนไปเรื่อย ไม่กล้าบอกตรง ๆ ว่ากลัวตกนรก..!

    จนกระทั่งท้ายสุด หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านถามว่า ต้องการพระบวชแก้บน ๓ รูป จะบวชให้ท่านได้ไหม ? ปกติของท่านแล้ว ได้ก็คือได้ ไม่ได้ก็คือไม่ได้ แต่ผมกราบเรียนไปว่า “ขออนุญาตคิดดูก่อนครับ” โดยปกติถ้าตอบแบบนั้นนี่โดนแน่ ๆ..! แต่วันนั้นท่านใจดีอย่างไรก็ไม่รู้ ท่านบอกว่า “ไม่เป็นไร เดี๋ยวรอหลวงพ่อกลับจากนิวซีแลนด์แล้วค่อยให้คำตอบก็ได้” เพราะว่าตอนนั้นอาตมาไปส่งท่านไปนิวซีแลนด์
    __________________
    ........................
    ก็มานั่งคิดอยู่หลายวัน คิดไปคิดมาว่า พระสงฆ์สมัยพุทธกาล มีศีล ๒๒๗ ข้อเต็ม ๆ ท่านยังเป็นพระอรหันต์กันมานับไม่ถ้วน สมัยนี้ศีลเหลือแค่ไม่กี่ข้อเอง ถามว่าแล้วที่เหลือหายไปไหน ? ก็ไม่ได้หายหรอก อย่างโอวาทวรรค ในปาจิตติยกัณฑ์ เกี่ยวกับการให้โอวาทภิกษุณี จะไปให้ที่ไหน ? ภิกษุณีไม่มีแล้ว แล้วศีลพระเกี่ยวกับการสร้างสิ่งของต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นกุฏิ วิหาร อาสนะ ที่เรียกว่า “สันถัต”

    หล่อสันถัต สมัยนี้หล่อกันเป็นไหม ? จะเป็นกระบะไม้ ใหญ่เท่าที่เราต้องการนั่ง เอากาวหนังสัตว์ที่เคี่ยวเอาไว้ทาลงไปบาง ๆ แล้วก็เอาขนสัตว์ที่เรียกว่า “ขนเจียม” โรยลงไปจนทั่ว ทิ้งไว้ให้แห้ง แล้วก็ทากาวอีกชั้นหนึ่ง แล้วก็โรยอีก ทากาวอีกชั้นหนึ่ง โรยอีก จนได้หนาขนาดที่ต้องการ ไม่ใช่การตัด ไม่ใช่การเย็บ เขาถึงได้เรียกว่าหล่อ ของพวกนี้เราก็ไม่ต้องทำเอง ทำจีวรเท่าพระสุคต ก็ไม่ต้องทำเอง ไปขอด้ายจากผู้ที่ไม่ใช่ญาติ ไม่ใช่ปวารณา ก็ไม่ต้องขอ จีวรสมัยนี้สำเร็จรูปหมดแล้ว

    กำไรศีลไปตั้ง ๓๐-๔๐ ข้อแบบนี้แล้ว ถ้าบวชแล้วมึงยังลงนรกอีกก็ลง ๆ ไปเถอะ..!
    __________________

    ถึงเวลาไปรับหลวงพ่อท่านกลับจากนิวซีแลนด์ ก็กราบเรียนท่านว่า “ตกลงว่าผมจะบวชครับ แล้วหลวงพ่อจะให้ผมไปวัดวันไหน ?” ท่านบอกว่า “พร้อมวันไหนก็ไปวันนั้นแหละ” ผมก็เลยโดดขึ้นรถไปกับท่านเลย เสื้อผ้าติดตัวไปชุดเดียว สตางค์อีกสองร้อย อยู่วัดวันที่ ๕ โยมแม่ตามไป ปกติแล้วผมอยู่วัดไม่เคยเกิน ๔ วัน พอถึงวันที่ ๕ โยมแม่ไปพร้อมกับอัฐบริขาร เรื่องรู้ใจลูกนี่ไม่มีใครเกินแม่จริง ๆ หายไปเกิน ๔ วัน แปลว่าตั้งใจบวชแน่ ก็เลยเอาบาตร เอาจีวรอะไรไปให้

    ไปหาหลวงพ่อวัดท่าซุง โยมแม่กราบเรียนว่า “#ขออนุญาตบวชลูกชายเจ้าค่ะ” หลวงพ่อท่านบอกว่า “#อย่าตั้งใจแบบนั้น #งวดนี้เป็นการบวชหมู่ #ถ้าบวชลูกชายโยมได้คนเดียว #ให้ตั้งใจว่า #ฉันบวชกี่รูป #โยมเอาทั้งหมด” รุ่นผมบวช ๓๖ รูป เหลืออยู่หนึ่งเดียว คนที่อึดที่สุด อยู่กับผมมา ๘ พรรษาก็สึก
    __________________
    ........................
    ก็ไม่ได้คิดว่าจะอยู่ได้นะ กะว่า ๗ วันกูเผ่นแน่ แต่ปรากฏว่าแค่ไม่กี่วันหลวงพ่อท่านให้ไปตั้ง #ที่บูชาหลวงปู่ขนมจีน ไปเจอทีเด็ดทางนั้นเข้า ก็เลยตกลงกันว่า #ถ้าท่านสามารถให้ผมรับรู้ได้ว่า #อารมณ์พระอรหันต์เป็นอย่างไร ผมก็จะบวชนานกว่า ๗ วัน ท่านถามว่า “ต้องการสักเท่าไร ?” กราบเรียนท่านว่า “ถ้าเป็นไปได้ก็เอาพรรษาหนึ่งเลยครับ ผมจะได้บวชเข้าพรรษาไปด้วย”

    #ท่านให้ได้จริง ๆ ทันทีที่ท่านรับปาก ผมนึกว่าผมเป็นพระอรหันต์ไปแล้ว #สติสมบูรณ์รู้รอบไปหมด #อะไรเกิดขึ้นรู้เลยว่า ถ้าคิดอย่างนี้จะเป็นโทษ ถ้าคิดอย่างนี้จะเป็นประโยชน์ ถ้าตัดกำลังใจลงตรงนี้ โทษต่าง ๆ จะไม่เกิดขึ้น แล้วก็ตัดตั้งแต่ต้น รัก โลภ โกรธ หลง จึงเกิดไม่ได้เลย
    __________________
    #ตอนนั้นคิดว่าตัวเองเป็นพระอรหันต์ไปแล้ว #พอออกพรรษาก็หล่นพลั่กลงมาเป็นหมาเหมือนเดิม..! แต่คราวนี้คนที่กินอาหารสุดยอด ๕ ดาวมิชลินมาตลอดพรรษา อย่างไรกูต้องทำกินเองให้ได้ ก็เลยทนอยู่มาจนป่านนี้ กะว่าถ้าทำได้เมื่อไรผมก็จะสึกแล้ว..!

    ถามว่ารู้ได้อย่างไร ? ปัญญานี่สุดยอดจริง ๆ ทั้งสติทั้งปัญญา อะไรมากระทบ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ สติปัญญารู้รอบไปหมด รู้ว่าคิดแล้วจะเกิดโทษอย่างไร ก็เลยตัดตั้งแต่แรก อารมณ์การปรุงแต่งไม่มี ผมถึงได้เข้าใจว่า #สังขารุเปกขาญาณ #เครื่องรู้จากการวางเฉยในการปรุงแต่งเป็นอย่างนี้เอง
    __________________
    ........................

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    โอวาทก่อนวันงานหล่อหลวงพ่อทองคำ วันศุกร์ที่ ๘ มีนาคม ๒๕๖๒
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  11. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,526
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,129
    ค่าพลัง:
    +70,497
    belPNXBvSS0roQCiHXcq3fuyj6mDqh7AJ6UEJwEaeOqaZzq2-OMCbWDyC0bWAwsY-KnZLjjr&_nc_ht=scontent.fcnx3-1.jpg
    "ในส่วนตัวของพวกเรานั้น การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส covid-๑๙ ในครั้งนี้ ทำให้ทุกคนได้เห็นความเป็นจริงหลายอย่างด้วยกัน คือ

    ๑. ต่อให้ระบบ iBanking ดีขนาดไหนก็ตาม เราก็ต้องมีเงินสดติดตัวไว้บ้าง และในขณะเดียวกันทรัพย์สินบางอย่าง เช่น ทองคำแท่งหรือทองคํารูปพรรณ ที่สามารถเปลี่ยนเป็นเงินสดได้โดยเร็ว ก็ควรที่จะมีเก็บออมไว้บ้าง

    ๒. หน้าที่การงานของเรา ซึ่งหลายคนไม่เห็นความสำคัญ เปลี่ยนงานเป็นว่าเล่น โดยอ้างว่าเพื่อหาประสบการณ์ ทั้งที่จริงแล้วก็คือขาดความอดทน เมื่อถึงเวลาฉุกเฉินขึ้นมา บุคคลที่ยอมทุ่มเทให้กับที่ทำงาน ก็จะได้รับการคัดเลือกให้คงอยู่ ขณะที่บุคคลประเภทที่จับจด ก็จะโดนระบบคัดออกไปเองเพื่อตัดรายจ่าย หลังการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสในครั้งนี้ คงจะทำให้หลายท่านได้คิดว่า เราควรที่จะปฏิบัติตนอย่างไรในการทำงาน

    ๓. "เงินทองเป็นของมายา ข้าวปลาเป็นของจริง" คำกล่าวของหม่อมเจ้าสิทธิพร กฤดากร บิดาแห่งระบบสหกรณ์ของประเทศไทย ยังเป็นความจริงเสมอ มีเงินแต่ซื้ออาหารไม่ได้ มีเงินแต่ไม่สามารถที่จะหาหมอมารักษาตนเองได้ จนกระทั่งบางประเทศ ต้องเอาเงินมาโปรยทิ้ง เพราะไม่เห็นประโยชน์ว่าจะเก็บเงินไว้ทำอะไร ในเมื่อตนเองต้องตายอยู่แล้ว เป็นบทเรียนอย่างชัดเจนที่สุดว่า ความมั่นคงทางอาหาร เป็นความมั่นคงของตนเองและครอบครัวอย่างแท้จริง"

    "๔. ระบบเกษตรทฤษฎีใหม่ ตามทฤษฎีเศรษฐกิจพอเพียงของในหลวงรัชกาลที่ ๙ ซึ่งแบ่งพื้นที่สมมติว่า ๑๐ ไร่ ออกเป็น ๑ : ๓ : ๓ : ๓ นั้นสามารถช่วยให้เราอยู่รอดได้ทุกสถานการณ์

    ๑ ส่วน สำหรับสร้างบ้านเรือนและปลูกผักสวนครัวรั้วกินได้ ๓ ส่วน ขุดบ่อน้ำซึ่งสามารถเลี้ยงปลาได้ ใช้น้ำในการเกษตรได้ เลี้ยงไก่บนบ่อปลาได้

    ๓ ส่วนต่อมา ปลูกข้าวซึ่งเป็นอาหารหลักของเรา บนคันนาก็สามารถแซมไม้ใช้สอย เอาไว้สำหรับสร้างบ้านหรือสำหรับใช้ทำเป็นเชื้อเพลิง

    ๓ ส่วนสุดท้าย ปลูกพืชผลไม้แบบสวนสมรม คือมีหลายอย่าง สามารถหมุนเวียนเปลี่ยนกันออกสู่ตลาดได้ เป็นการประกันความเสี่ยงว่า ถ้าอย่างใดอย่างหนึ่งราคาตก อย่างอื่นก็จะขายได้ราคา

    รอบบ้านและพื้นที่ปลูกผักสวนครัวนั้น ก็ให้ปลูกพวกมะละกอ กล้วย ซึ่งมีระยะการให้ผลยาวนานกว่าพืชผักสวนครัวอื่น ๆ ทำให้ใช้สับเปลี่ยนหมุนเวียนเป็นพืชอาหาร หรือว่าสามารถนำออกสู่ตลาดได้โดยที่ทุกอย่างไม่ต้องไปประดังกันทีเดียวทำให้ราคาตก"

    "๕. สุขภาพอนามัยเป็นเรื่องสำคัญที่สุด ถ้าเราสุขภาพดี ร่างกายแข็งแรง โอกาสที่จะติดเชื้อก็น้อยลง หลายท่านทุ่มเทกับการงานทั้งชีวิต โดยไม่ใส่ใจกับสุขภาพของตน แล้วก็ต้องเอาเงินเก็บทั้งหมด ไปใช้ในการรักษาร่างกายที่ชำรุดทรุดโทรมทีหลัง ซึ่งถ้าไม่มีการประกันสุขภาพไว้ ก็อาจจะใช้จ่ายเกินเงินที่เก็บไว้อีกต่างหาก เราจึงควรที่จะบริหารร่างกาย ออกกำลังกาย เพื่อให้ร่างกายแข็งแรง เป็นเครื่องประกันว่า เราจะไม่ต้องใช้เงินเก็บของเราไปในการซ่อมสุขภาพจนหมด

    ๖. สุขภาพจิตที่ดีช่วยให้สุขภาพร่างกายแข็งแรง และช่วยให้คนรอบข้างมีความมั่นคงทางจิตใจไปด้วย คนที่มีสุขภาพจิตดีจากการฝึกฝนตนเอง ตามหลัก ศีล สมาธิ ปัญญา ย่อมมีสติในทุกเมื่อ มีความมั่นคงทางจิตใจที่ผู้อื่นต้องอาศัยเป็นที่พึ่งพา มีปัญญาหาช่องทางให้พ้นจากวิกฤตการณ์ได้เร็วกว่าคนอื่นเขา

    ดังนั้น..การปฏิบัติธรรมที่คนจำนวนมากในยุคก่อนไวรัส covid - ๑๙ ระบาด เห็นเป็นเรื่องงมงายเหลวไหล เป็นเรื่องของคนแก่ เป็นเรื่องของพวกไดโนเสาร์เต่าล้านปี มาในสถานการณ์เช่นนี้จะเห็นได้ชัดว่า หลักธรรมของพระพุทธเจ้านั้น ถ้ารู้จักนำมาประยุกต์ใช้ สามารถช่วยเราและคนรอบข้างได้ในทุกสถานการณ์"

    "เรื่องทั้งหลายเหล่านี้เป็นข้อคิดบางส่วนที่ได้จากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส covid-๑๙ ในครั้งนี้ ทำให้ท่านทั้งหลายได้มีโอกาสใช้บทเรียนเหล่านี้ เตรียมตัวในการรับสถานการณ์ที่ย่ำแย่แบบนี้ในคราวหน้า โดยเฉพาะความมีระเบียบวินัย เชื่อฟังผู้นำ เห็นแก่ส่วนรวมมากกว่าประโยชน์ส่วนตน จะช่วยให้ท่านทั้งหลายมีโอกาสหลุดพ้นจากสถานการณ์วิกฤตได้เร็วกว่าผู้อื่นเขา"

    "เราทั้งหลายพึงพิจารณาเนือง ๆ ว่า "กาย วาจา ใจ ที่ดีกว่านี้ยังมีอยู่อีก เราต้องทำ กาย วาจา ใจ เหล่านั้นให้ได้"

    ขอคุณพระศรีรัตนตรัยคุ้มครองป้องกัน ให้ทุกท่านผ่านพ้นจากสถานการณ์นี้ไปได้โดยเร็ว และนำเอาประสบการณ์ชีวิตในช่วงนี้ ไปปรับใช้ในการดำเนินชีวิตของตน เป็นการพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาส ได้แก้ไขปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ทั้งทางกาย ทางวาจา และทางใจของเรา ให้ดียิ่ง ๆ ขึ้นไป โดยมีเป้าหมายสูงสุดคือพระนิพพาน เป็นที่ไปในเบื้องหน้ากันทุกท่านทุกคนเทอญ"

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เก็บตกบ้านเติมบุญ ต้นเดือนเมษายน ๒๕๖๓
    ที่มา : www.watthakhanun.com

    #ชุมชนคุณธรรม #วัดท่าขนุน
    #ชุมชนคุณธรรมฯวัดท่าขนุน
    #ชุมชนคุณธรรมน้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงขับเคลื่อนด้วยพลังบวร
     
  12. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,526
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,129
    ค่าพลัง:
    +70,497
    zzTPwK4X6nomQpIAv6HVBVPNmZC9rKhdS8phGYDwM0DZ0W4qr1QZlQvfOtMfUyoxJaAjUDR7&_nc_ht=scontent.fcnx3-1.jpg
     
  13. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,526
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,129
    ค่าพลัง:
    +70,497
    LGvVbJ5IoTAeUv_4NrstDqMpLJTIgpZhMyZOvKMshI00D281_MnR04HjqQ4h4NzIRUtgvdIy&_nc_ht=scontent.fcnx3-1.jpg
    อย่าทำตัวเป็นคนท้อแท้ง่าย


    พระอาจารย์กล่าวว่า "ใช้ความพยายามให้มากกว่านี้ อย่าทำตัวเป็นคนท้อแท้ง่าย เผชิญอุปสรรคเล็กน้อยก็ไม่ไหวแล้ว การจะก้าวข้ามกองทุกข์ต้องทุ่มเท ทั้งกาย ทั้งวาจา ทั้งใจ อย่างชนิดเกิน ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ ไม่อย่างนั้นเราไม่สามารถที่จะสู้กระแสแรงกิเลสได้ ไม่สามารถจะต้านกำลังของวัฏสงสารได้ เพราะฉะนั้น..ไม่ใช่ทำแบบคนทั่ว ๆ ไป คนที่ปฏิบัติเพื่อความหลุดพ้นต้องบ้าเลย..!

    คนบ้ามักจะทำอะไรแบบไม่อาลัยไยดีกับชีวิต การไม่อาลัยไยดีกับชีวิตก็คือการตัดร่างกาย ซึ่งเป็นสังโยชน์ตัวใหญ่ คือสักกายทิฐิ ซึ่งเป็นที่อาศัยของกิเลสทุกประเภท ราคะ โลภะ โทสะ โมหะ อาศัยร่างกายนี้ทั้งนั้นถึงสามารถที่จะเกิดขึ้นได้ ในเมื่อเราเห็นแล้วแค่อย่าไปยุ่งด้วย กิเลสก็ไปไหนไม่รอดแล้ว นั่งดูเฉย ๆ ดูว่าจะทำอย่างไร ? โลภอยากได้ เราไม่ไปเอาเสียอย่าง กิเลสจะทำอะไรได้ ? รัก..ต้องการ เราไม่ตะเกียกตะกายไปหา กิเลสจะทำอะไรเราได้ ? โกรธก็นั่งมอง อยากโกรธก็โกรธไป ยิ่งเส้นเลือดในสมองแตกตายไปได้ยิ่งดี จะได้จบกันแค่นี้

    เพราะฉะนั้น รัก โลภ โกรธ หลง เป็นคุณสมบัติของร่างกาย ในเมื่อเป็นคุณสมบัติของร่างกาย เราปฏิเสธเขาไม่ได้หรอก แต่อย่าไปปรุงแต่งให้เขา การปรุงแต่งคือไปคิดเพิ่ม คนนี้สวย ไม่สวย หล่อ ไม่หล่อ เป็นแฟนเราดีไหม ? ควงไปดูหนังฟังเพลงต้องมีความสุขอย่างนั้นอย่างนี้แน่เลย ปรุงเท่าไรก็ยิ่งยึดติดมากขึ้นเรื่อย ๆ

    แต่ถ้าเราหยุดปรุง สักแต่ว่าเห็นเท่านั้น ก็แค่คนเหมือนกัน ดีไม่ดีไม่ได้นึกเสียด้วยซ้ำว่าผู้หญิงหรือผู้ชาย สักแต่ว่าเป็นรูป สักแต่ว่าเป็นธาตุ ถ้าเจอหน้ากันก็แสดงว่ากระแสกรรมยังไม่พ้นกัน ก็สงเคราะห์กันไปตามหน้าที่ แต่พยายามระมัดระวังกาย วาจา ใจของเราไว้ แล้วอย่าไปสร้างกรรมอะไรที่ไปผูกพันกันขึ้นมา ถ้าเราทำอย่างนี้ ของใหม่ไม่มี กรรมเก่าก็ค่อย ๆ เช็ด ค่อย ๆ ล้างไป เดี๋ยวก็หมด เหมือนกับเก็บบ้าน สมมติหลังนี้เป็นบ้าน ใหญ่เบ้อเร่อเลย เก็บทีเดียวไม่เสร็จหรอก ต้องเก็บกวาดไปทีละมุม ถูไปทีละแผ่น เดี๋ยวก็ทั่วทั้งหลัง

    เหมือนกับเราจะพิมพ์หนังสือ ก่อนที่จะเป็นหน้า ต้องพิมพ์ทีละตัว ประสมสระ ใส่วรรณยุกต์ มีตัวสะกด ออกมาถึงจะเป็นคำ จากคำก็เป็นประโยค จากประโยคก็เป็นบรรทัด จากบรรทัดก็เป็นย่อหน้า จากย่อหน้าก็เป็นครึ่งหน้า เป็นหนึ่งหน้า ไปจากอักษรตัวเดียวทั้งนั้น

    อย่ารีบ..ค่อย ๆ ไป ใจเย็น ๆ แต่อย่าหยุด เลียนแบบเต่า เต่าเดินไปเรื่อย ก๊อกแก๊ก ๆ ไปเรื่อย เคยเห็นเต่าถอยหลังไหม ? ไม่มีหรอก ต่อให้ไปชนอุปสรรคก็เดินอ้อม เต่าไม่มีเกียร์ถอย ถึงเวลาเจอศัตรูปุ๊บหดปั๊บ ใครจะไปทำอะไรได้ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เก็บเกลี้ยงเลย ในเมื่อเก็บเกลี้ยง ไม่ยอมรับอารมณ์ภายนอกเข้ามา ใจตัวเองก็ผ่องใส พอพ้นภาวะนั้นขึ้นมา ยืดหัวยืดขาออกมาได้ก็เดินต่อ เพราะฉะนั้น..ให้เอาอย่างเต่า ไปช้า ๆ ไปเรื่อย ๆ แต่ไม่หยุด ขึ้นหน้าอย่างเดียว ไม่มีถอยหลัง"

    ก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนมิถุนายน ๒๕๕๘
    สนทนากับพระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    (พระอาจารย์เล็ก สุธมฺมปญฺโญ)
    เจ้าอาวาสวัดท่าขนุน จ.กาญจนบุรี
     
  14. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,526
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,129
    ค่าพลัง:
    +70,497
    UfartN75ZdNX6mwCJ4De4w2jFfG-qSfRckxDUBPx-PW9plnK9WQXN89ORZpnym3Bk3sNdPXe&_nc_ht=scontent.fcnx3-1.jpg

    การปฏิบัติธรรมต้องมีไฟสม่ำเสมอ เพราะว่าการปฏิบัติธรรมเป็นเรื่องของบุคคลที่เข้าถึงปรมัตถบารมี กำลังใจสูงสุด ปรมัตถบารมีต้องจริงจัง จริงใจ แน่วแน่ ไม่แปรผัน ทำอะไรไม่สำเร็จไม่เลิก
    แต่ถ้ารู้ว่าทำแบบโง่ ๆ ก็รีบเลิกเสียนะ

    กำลังใจต้องจดจ่ออยู่กับภาระหน้าที่การงานของตน สมัยฝึกปฏิบัติกรรมฐานใหม่ ๆ อาตมาทำไม่เลือกเวลา ไม่เลือกว่ากลางวัน ไม่เลือกว่ากลางคืน บางทีอย่างช่วงธุดงค์ก็ปฏิบัติตั้งแต่ตีสาม ฉันอาหารมื้อเดียว ๑๕ นาที แล้วว่ายาวต่อไปถึงหนึ่งทุ่มค่อยเลิกไปพักผ่อน ตอนนั้นเดินจงกรมจนพื้นเป็นร่อง แต่ก่อนก็สงสัยว่าเดินจงกรมจนเท้าแตก เดินจนพื้นเป็นร่องนั้นเดินกันอย่างไร ? พอเดินได้สองเดือนพื้นเป็นร่องจริง ๆ เดินไปเดินมาพอจะขึ้นเดือนที่สามฝ่าเท้าเริ่มแตก เลือดออกซิบ ๆ

    ลองให้คะแนนตัวเองว่าเราสอบได้หรือสอบตก ในเวลา ๒๔ ชั่วโมงเราสอบได้กี่ชั่วโมง..? เวลาที่จิตว่างจากกิเลส กับช่วงเวลาที่กิเลสท่วมทับจิต พอสมควรกันไหม..? คาดว่าถ้าให้คะแนนก็คงจะได้ดีกันหมดทุกคน ดีในที่นี้คือดีภาษาอังกฤษ เกรด A B C D..!

    ไม่ว่าจะการปฏิบัติธรรม หรือการทำงานทางโลก ต้องทุ่มเทจริงจังเกิน ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ อาจารย์ถ่ายทอดเก่งอย่างไร ลูกศิษย์ก็ได้ไม่เกิน ๘๐ เปอร์เซ็นต์ แล้วถ้าลูกศิษย์เอาไปถ่ายทอดต่อ หลานศิษย์ก็ได้ไม่เกิน ๘๐ เปอร์เซ็นต์ของลูกศิษย์ หลานศิษย์เอาไปถ่ายทอดต่อ เหลนศิษย์ก็ได้ไม่เกิน ๘๐ เปอร์เซ็นต์ ของหลานศิษย์ ได้น้อยลงไปเรื่อย ๆ

    อยากประสบความสำเร็จในชีวิต อยากเก่งเหมือนอาจารย์ ต้องทุ่มเท ๒๐๐ เปอร์เซ็นต์ เพราะว่าถ้าพวกเราทุ่มเท ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ เราจะได้แค่ ๘๐ เปอร์เซ็นต์ของอาจารย์

    พระอนุรุทธหลังจากบรรลุมรรคผลแล้ว ตลอด ๕๕ พรรษาไม่เคยนอนหลังแตะพื้นเลย ท่านใช้วิธีนั่งหลับ

    พระอานนท์เป็นบุคคลผู้อัศจรรย์ คนอื่น ๆ ท่านเป็นพระอรหันต์ หมดกิเลส พระอานนท์เป็นแค่พระโสดาบัน พระโสดาบันมี รัก โลภ โกรธ หลง เต็มตัว แต่ว่าเป็นบุคคลชั้นดี เพราะว่าอย่างไรก็ไม่ยอมละเมิดศีล พระอานนท์ท่านบอกว่า ตลอดระยะเวลาอันยาวนานที่ทำหน้าที่พุทธอุปัฏฐากมา แม้แต่กามสัญญาก็ไม่เคยเกิดขึ้นเลย ใจที่จะไปประหวัดถึงเรื่องเพศแม้แต่นิดเดียวก็ไม่มี ประวัติของท่านในเถราปทาน ขุททกนิกาย ธรรมบทบอกเอาไว้ว่า

    ปฐมยาม (หกโมงเย็นถึงสามทุ่ม) มีมืออันถือคบไฟดวงใหญ่ เดินจงกรมรอบคันธกุฎี เผื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะทรงเรียกใช้ เมื่อเห็นว่าไม่มีการเรียกใช้ ก็เข้าที่ ขัดสมาธิคู้บัลลังก์ ก็คือนั่งภาวนา

    มัชฌิมยาม (สามทุ่มถึงเที่ยงคืน) มีมืออันถือคบไฟดวงใหญ่ เดินจงกรมรอบคันธกุฎี เผื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะทรงเรียกใช้ เมื่อไม่มีก็เข้าสู่ที่ นั่งคู้บัลลังก์ นั่งสมาธิต่อ

    ปัจฉิมยาม (เที่ยงคืนถึงตีสาม) มีมืออันถือคบไฟดวงใหญ่ เดินจงกรมรอบคันธกุฎี เผื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะเรียกใช้ เมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่เรียกใช้ ก็เตรียมน้ำใช้ น้ำฉัน เตรียมไม้สีฟัน เตรียมบาตร เตรียมผ้าซับพระพักตร์ ให้พระองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าใช้เมื่อตื่นจากบรรทมแล้ว

    พระอานนท์มีเวลานอนหรือไม่..? ท่านถวายการรับใช้พระพุทธเจ้าแบบนี้อยู่ ๒๕ ปีเต็ม ๆ..!

    องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายิ่งกว่านั้นอีก

    ปุพฺพณฺเห ปิณฺฑปาตญฺจ เช้าขึ้นมาเสด็จออกบิณฑบาต

    สายณฺเห ธมฺมเทสนํ ตอนเย็นแสดงธรรมโปรดญาติโยม เช้ากับเย็นอย่าคิดว่าห่างกันหลายชั่วโมง พระองค์เสด็จบิณฑบาตบางทีไปตั้งครึ่งโลก..! อยู่ชมพูทวีปเสด็จมาโปรดที่เชียงแสน เป็นต้น

    ปโทเส ภิกฺขุโอวาทํ ค่ำลงมาให้โอวาทภิกษุ ภิกษุณี สามเณร สามเณรี นางสิกขมานา แก้ไขปัญหาการปกครองคณะสงฆ์ ตำหนิบุคคลที่กระทำผิดพลาด ออกกฎป้องกันไม่ให้กระทำผิดพลาดอีก

    อฑฺฒรตฺเต เทวปญฺหนํ ครึ่งคืนไปแล้วแก้ปัญหาให้พรหม เทวดา ครึ่งคืนนี้คือเที่ยงคืน สมมติว่าแก้ปัญหาสัก ๒ ชั่วโมง

    ปจฺจูเสว คเต กาเล ภพฺพาภพฺเพ วิโลกนํ ใกล้รุ่งตรวจดูอุปนิสัยสัตว์โลกเพื่อเตรียมจะไปโปรดในวันพรุ่งนี้ สมมติว่าใกล้รุ่งคือตีห้า ก็แปลว่าจากตีสองถึงตีห้า ได้บรรทมคืนละ ๓ ชั่วโมง ในขณะที่พวกเรานอน ๖ ชั่วโมง ได้ ๘ ชั่วโมงก็ยิ่งดี ถ้าวันไหนวันหยุดขอตื่นสักบ่ายสองโมง..! นี่คือสิ่งที่พวกเราทำกัน

    ดังนั้น...ไม่ต้องแปลกใจว่าทำไมพระท่านบรรลุอรหันต์ ทำไมพระพุทธเจ้าท่านบรรลุเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วทำไมพวกเรายังอยู่แค่นี้

    ที่เตือนพวกเราก็เพราะว่า พวกเราทุ่มเท เอาเวลาที่คนอื่นไปเที่ยวมาปฏิบัติธรรม ดังนั้น..ต้องทำให้คุ้มกับที่ตั้งใจมาแล้ว
    ........................................
    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    ผู้ก่อตั้งสำนักสงฆ์เกาะพระฤๅษี

    ........................................
    ขอเชิญร่วมสวดพระคาถาเงินล้านและเจริญพระกรรมฐานใน เวลา ๑๙.๐๐ น. เพื่อถวายเป็นพุทธบูชา ธรรมบูชา และสังฆบูชา
    และท่านสามารถร่วมสวดพระคาถาเงินล้านและเจริญพระกรรมฐานพร้อมกับคณะพระภิกษุสงฆ์ได้ในเวลา ๑๙.๐๐ น. ของทุกวันโดยผ่านทางเพจสำนักสงฆ์เกาะพระฤๅษีแห่งนี้
    ....................................
    #สร้างสรรค์กิจกรรมโดย #ชุมชนคุณธรรมสำนักสงฆ์เกาะพระฤๅษี
    #ถ่ายทอดสัญญาณจาก #กองเงินกองทองสตูดิโอ
     
  15. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,526
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,129
    ค่าพลัง:
    +70,497
    _66wfknQODcc-HKtoQFPYyNOxoG7z8OVFs15HKbkC_BztbaWXx4cxAxZorvWuKgcD4sjHLK6&_nc_ht=scontent.fcnx3-1.jpg
    Peera Jittaweero อยู่ที่ พระธาตุเจ้าจอมไทย
    · แม่อาย, จังหวัดเชียงใหม่
    นิทาน ยายผู้ห่อข้าวต้มมัดขายสร้างโบสถ์

    มียายคนหนึ่งอาศัยอยู่ในเมืองเชียงใหม่ เป็นผู้มีความเลื่อมใสศรัทธาในพระพุทธศาสนาอย่างหนักแน่น แต่เป็นผู้มีฐานะยากจน ยายมีอาชีพทำข้าวต้มมัดขาย เมื่อวันพระมาถึงยายก็จะไปอยู่วัดถืออุโบสถศีลมิได้ขาด ในปีนั้นที่วัดแห่งนี้ซึ่งเป็นวัดฝ่ายกรรมฐานที่เพิ่งสร้างใหม่โดยครูบาอาจารย์ในสายหลวงปู่มั่น ในตัวเมืองเชียงใหม่ ได้มีการดำริสร้างอุโบสถขึ้น ยายมีความปีติใจอยากที่จะมีส่วนร่วม จึงปวารณาในใจว่า ส่วนหนึ่งแห่งรายได้จากการทำข้าวต้มมัดนี้จะเอาเข้าร่วมในการสร้างครั้งนี้ ยายไปขายทุกวันก็หักเงินส่วนนึงแบ่งไว้ พอถึงวันพระก็เอามาถวายรวบรวมไว้ จนถึงวันที่อุโบสถแล้วเสร็จ ยายก็ได้มากราบอธิษฐานถวายต่อหน้าพระประธาน

    ✨ด้วยอานิสงส์นี้ในภายหลังครอบครัวของลูกหลานยายก็ได้ดิบได้ดีมีฐานะในขั้นมหาเศรษฐีของประเทศ เป็นที่รู้จักไปทั่ว นี้เป็นเพียงสิ่งภายนอก แต่เชื่อว่าด้วยผลบุญนี้ ดวงจิตวิญญาณของยายจะได้ไปในสถานที่อันสงบสุขตามฐานะที่ยายได้สร้างสมบุญไว้

    ( จากเค้าโครงจากเรื่องจริงมีตัวบุคคลสถานที่จริง)
     
  16. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,526
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,129
    ค่าพลัง:
    +70,497
    ?temp_hash=95a0de0817e155d645f3b1bffa74bf43.jpg
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  17. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,526
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,129
    ค่าพลัง:
    +70,497
    . #ครูผึ้งผู้เป็นปฐมอาจารย์คาถาพระปัจเจกโพธิ์

    สำหรับประวัติของครูผึ้งสมัยนั้นแปลกดีมาก ครูผึ้งคนนี้มีคติว่าร้อยบาท ใครเขาจะแต่งงานไปบอกแกแกให้หนึ่งร้อยบาท งานโกนจุกหนึ่งร้อย บวชพระหนึ่งร้อย แกมีคติแบบนี้ ใครไปบอกบุญแก แกขอทำบุญด้วยร้อยบาท

    อย่าลืมนะว่าสมัยนั้นเงินครึ่งสตางค์ หนึ่งสตางค์มีค่ามาก
    เงินร้อยบาทสมัยนั้นมันมากกว่าเงินเดือนของร้อยตรีอันดับหนึ่ง
    ถ้าใครมีเงินร้อยบาทละก็เริ่มรวยแล้ว แต่แกทำบุญครั้งละร้อยบาท ก็เป็นที่น่าแปลกใจเหมือนกัน

    หลวงพ่อปานท่านไปพบเข้า คุยกันรู้เรื่อง แต่ว่าท่านพบของท่านอย่างไรก็ไม่ทราบนะ วันนั้นหลวงพ่อปานท่านจำวัดอยู่ ฉันนั่งข้างนอก ตอนเย็นมีคนใส่เสื้อราชปะแต็น นุ่งผ้าม่วง สวมถุงเท้า ใส่รองเท้าแบบชั้นดีเลย ถือไม้เลี่ยม เดินเข้ามาหาหลวงพ่อปาน

    มาถึงก็ถามว่า "หลวงพ่อปานอยู่ไหม?"
    ไอ้เราก็บอกว่าอยู่ "อยู่ แต่ว่ากำลังจำวัด"
    แกก็บอกว่า "ฮึ จำวัดอย่างไร ก็สั่งให้ฉันมาพบ ไปตามฉันมาที่นี่"

    แล้วกัน หลวงพ่อปานท่านนอนอยู่กับเรา หาว่าท่านไปตามมาได้ เราก็แปลกใจ แต่ก็บอกแกให้รออยู่ข้างนอกก่อน จะเข้าไปดูให้ พอเข้าไปก็เห็นว่าหลวงพ่อท่าน เตรียมตัวจะออกมาแล้ว เลยถามท่าน

    "หลวงพ่อครับ เขาบอกว่าหลวงพ่อไปตามเขามาหรือ ?"
    หลวงพ่อปานบอก "ฮื่อ...แกไม่ต้องรู้หรอก"

    เอาอีกแล้ว ท่านบอกแกไม่ต้องรู้หรอก เป็นความลับ เออ...แปลกดี
    พอออกมาเจอกันแล้ว ท่านก็คุยถึงเรื่องประวัติ คุยไปคุยมา ครูผึ้งก็บอกว่า....

    "คาถาบทนี้เป็นของพระธุดงค์ พระธุดงค์ท่านบอกว่า
    คาถาบทนี้เป็นคาถาของพระปัจเจกพุทธเจ้า ท่านมาปักกลดอยู่หลังบ้าน ๗ วัน ฉันก็เอาของไปถวายท่านทั้ง ๗ วัน"

    #ตามปกติครูผึ้งท่านรักษาศีลอยู่แล้ว ก่อนที่พระธุดงค์จะไป
    ท่านได้ให้คาถาบทนี้และบอกว่า

    ตอนเช้าทุกวันควรใส่บาตรทุกวัน ก่อนจะใส่บาตร ก็ให้ว่าคาถาบทนี้หนึ่งจบ แล้ววิธีใส่บาตรมีอยู่ ๒ อย่าง ถ้าไม่มีพระจะมา ให้ใช้ข้าวสารตักแทนก็ได้ แต่ว่าเดี๋ยวนี้เราใช้สตางค์ใส่บาตรแทนก็ได้ (หมายถึงบาตรวิระทะโย)

    เงินนั้นให้ใช้เป็นค่าอาหาร มากน้อยตามกำลัง ไม่จำเป็นต้องไปรอพระมา ถ้าเห็นว่ามันมากพอสมควรก็เอาไปถวายพระ บอกท่านว่าเป็นค่าอาหาร แล้วท่านจะนำไปใช้เป็นค่าอาหาร หรือเอาไปใช้ก่อสร้างก็เป็นเรื่องของท่าน แต่เรามีเจตนาเป็นค่าอาหารก็แล้วกัน เท่านั้นก็พอ

    แล้วท่านก็บอกอีกว่า ก่อนปลูกผัก ปลูกต้นไม้ หว่านข้าว ตำข้าว ก็ว่าคาถาบทนี้หนึ่งจบตามวิธีการของท่าน

    เวลาบูชาพระกลางคืน ให้ว่า ๓ จบ หรือ ๕ จบ หรือ ๗ จบ หรือ ๙ จบก็ได้ นอกจากนั้นก็ควรจะเจริญเป็นสมาธิ

    #แต่บูชาพระกับว่าตอนใส่บาตรท่านว่ามีสภาพเป็นเบี้ยต่อไส้
    หมายความว่า #ถ้าจะหมดตัวจริงๆก็จะหาได้ทัน

    ฉันเคยโดนมาบ่อยๆ ในระยะต้นๆ โดนเองจึงรู้ แต่พอจวนตัว ก็จะมีมาทุกครั้งไป #ถ้าภาวนาให้จิตเป็นฌานก็จะมีผลมาก แล้วท่านก็เล่าความเป็นมาให้ฟัง

    หลวงพ่อปานท่านถามว่า "เดิมทีเดียวน่ะท่านมีฐานะอย่างไร"
    ครูผึ้งบอกว่า "ผมอันดับหนึ่งครับ"
    พอท่านพูดอย่างนั้น เราหูผึ่งเลย คิดว่าท่านเป็นมหาเศรษฐี
    ท่านบอกว่า "อันดับหนึ่งน่ะไม่ใช่เศรษฐี ฉันจนอันดับหนึ่งต่างหาก"

    คิดผิดถนัด ท่านบอกอีกว่า "กางเกงไม่ขาดผมไม่เคยนุ่งกับเขาเลย มันหาไม่ได้จริงๆ ครับ #กางเกงที่ดีที่สุดมันมีอยู่ตัวเดียว #เก็บไว้ใช้เวลาไปทำบุญที่วัด กลับมาก็ต้องรีบเก็บ นอกจากนั้นกลีบมันแย่งกันขึ้นเลย รอยขาดแย่งกันโผล่"

    ท่านเล่าให้ฟังอีกเยอะ สนุก ความจริงอายุของท่านตั้ง ๙๙ ปีแล้ว แต่ร่างกายยังแข็งแรงดีมาก ต่อมาเมื่อได้คาถาบทนี้มาแล้ว #ด้วยความจนบีบบังคับ #ท่านก็เริ่มทำสมาธิ ตอนเริ่มทำสมาธิ พอจิตเริ่มเข้าถึงอุปจารสมาธิ ซึ่งจะสังเกตได้ตามนี้

    ถ้าสภาพเดิมมันมืดอยู่ พอจิตเข้าถึงอุปจารสมาธิ ก็จะมีสภาพเกิดแสงสว่างขึ้นบ้าง หรือไม่อย่างนั้นก็จะปรากฎแสงสีขึ้น เห็นเป็นภาพหรือภาพอะไรก็ตามแวบๆ #อันนี้แหละคืออุปจารสมาธิ

    #นับตั้งแต่ตอนนั้นเป็นต้นมา เงินมันเริ่มขังตัว การหากินคล่องขึ้น บางทีถ้าต้องการอะไรที่มันไม่เกินวิสัยที่จะหาได้ แต่ว่ามันอยากได้ เพียงไม่กี่วันหรอก อย่างดี ๓ - ๔ วัน จะต้องมีสตางค์พอหาซื้อของอย่างนั้นได้ #และต่อมาเมื่อทำเป็นฌาน #เงินก็เริ่มมากขึ้น

    ท่านเล่าว่า มีวิธีปฏิบัติเพื่อเจริญสมาธิอีกอย่างหนึ่ง #แต่ว่าห้ามพูดนะถ้ารู้ว่าเงินเกิน เวลาที่เราบูชาพระด้วยคาถาบทนี้กี่จบ #เวลาที่จะเก็บสตางค์ให้ถือสตางค์ไว้
    #แล้วยื่นลงไปในที่สำหรับเก็บ มือมันกำสตางค์อยู่แล้ว #ว่าคาถาบทนี้จบ #ว่าเสร็จแล้วปล่อยมือออก เป็นอันว่าใช้ได้

    ทีนี้เวลาที่จะนำสตางค์ที่ใช้ ท่านให้หยิบสตางค์อันนั้น #แต่ว่าห้ามนับเงิน #แล้วว่าคาถาตามจำนวนที่เราบูชาพระ #ดึงเอาเงินนั้นออกมา ถ้าเกินกว่าจำนวนที่เราต้องการ #เวลาที่เราจะเก็บก็ว่าคาถาแบบนี้เหมือนกัน

    #ถ้าทำแบบนี้ท่านบอกว่าเงินจะขาดที่นั้นไม่ได้เลย

    ถ้าบางครั้งปริมาณเงินที่เราเก็บไว้ สมมุติว่าเป็นเงิน ๑,๐๐๐ บาท มันเป็นปึก เราดึงมาทั้งปึก (๑,๐๐๐ บาท) แต่ปรากฎว่าเงินมันมีอีก #ห้ามนำไปพูดกับคนอื่น ถ้าพูดเงินจะหด #ท่านห้ามอวด

    (ตั้ง นะโม 3 จบ )

    สัมปะจิตฉามิ นาสังสิโม
    พรหมา จะ มหาเทวา สัพเพยักขา ปะรายันติ (คาถาปัดอุปสรรค)
    พรหมา จะ มหาเทวา อภิลาภา ภะวันตุ เม (คาถาเงินแสน )
    มหาปุญโญ มหาลาโภ ภะวันต ุเม (คาถาลาภไม่ขาดสาย)
    มิเตภาหุหะติ (คาถาเงินล้าน)
    พุทธะมะอะอุ นะโมพุทธายะ วิระทะโย วิระโคนายัง วิระหิงสา
    วิระทาสี วิระทาสา วิระอิทถิโย พุทธัสสะ มานีมามะ พุทธัสสะ สวาโหม (คาถาพระปัจเจกพุทธเจ้า)
    สัมปะติจฉามิ (คาถาเร่งลาภให้ได้เร็วขึ้น)
    เพ็ง ๆ พา ๆ หา ๆ ฤา ๆ

    ( บูชา 9 จบ ตัวคาถาต้องว่าทั้งหมด)

    1L8HqPKVauojKgsW_-f-Twxw4abSqFSLG5XjGYa7QdFyXVQAN1XvoO7zzG8O9hYTs4ixnqk2&_nc_ht=scontent.fcnx3-1.jpg
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  18. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,526
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,129
    ค่าพลัง:
    +70,497
    mY1-tJ3vAZRSWzmOE4q7kHpcb1nznP9VRZwwXRSTqTyr8gH-KIO2g8BLJPv_obaB-VtWXxJG&_nc_ht=scontent.fcnx3-1.jpg
    700VqZTKykEc31fpkp3KFwBOylfnry0-csgJHvDnmU3fy2F914s39Gj_z7JgHYX6z27lq_2I&_nc_ht=scontent.fcnx3-1.jpg

    วันพฤหัสบดีที่ ๓๐ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๖๓
    ณ มณฑลพิธี วัดบ้านห้วยน้ำขาว จังหวัดกาญจนบุรี

    "หลวงพ่อครับ นำเรียนก่อนครับ วันนี้มีตะกรุดโสฬส มีตะกรุดคู่ชีวิต มีธงมหาระงับ มีตะกรุดและธงนารายณ์พลิกแผ่นดิน มี...ฯลฯ"

    "เออ..ตั้งแต่เรียนวิธีสร้างธงมหาระงับและตะกรุดคู่ชีวิตมา ตูยังไม่กล้าทำเลย"

    "พอดีพวกนักเรียนนายร้อยเขาอยากได้ครับ"

    นักเรียนนายร้อยตำรวจของเอ็ง ปัจจุบันนี้ติดยศพันตำรวจตรี พันตำรวจโทกันหมดแล้ว ยังติดปากเรียกนักเรียนนายร้อยอยู่นั่นแหละ..!

    "แล้วนารายณ์พลิกแผ่นดินทำไมไม่เขียนมือวะ ?" คำถามนี้ทำเอาปลัดเอกลักษณ์ของเรายิ้มแห้ง ๆ

    "ถ้าเขียนมือก็คงได้แต่หัวใจเท่านั้นแหละครับ"

    ความจริงปลัดเอกลักษณ์เขียนยันต์ต่าง ๆ ได้สวยงามมาก อาตมาเห็นแล้วยังอยากได้ แต่เวลาสร้างมาก ๆ แบบนี้ ขืนไปนั่งเขียนทีละแผ่น มีหวังได้แจกตอนอายุ ๘๐ ปีเป็นแน่แท้..!

    จัดการตรวจสอบว่าวัตถุมงคลต่าง ๆ ลงอักขระเลขยันต์ได้ถูกต้องหรือไม่ ?
    "ท่านอาจารย์บ๊ะเมตตาตรวจสอบธงมหาระงับให้แล้วครับ ส่วนตะกรุดมหาโสฬส หลวงพี่ปิงตรวจสอบให้ครับ"

    "แล้วโน่นล่ะ ?" อาตมาชี้ไปที่ตะโพนซึ่งตั้งเด่นเป็นสง่า และหน้ากากอนามัยที่กองพะเนินอยู่
    "หน้ากากหลวงพี่เอกลักษณ์เขียนยันต์ให้ครับ ส่วนตะโพนต้องอาศัยหลวงพ่อแล้วครับ" หากินง่ายดีนี่หว่า..!

    กราบนิมนต์หลวงพ่อใจ (พระครูสมุทรพิทยาคม) วัดพระยาญาติ เข้าที่แล้ว
    อาตมาก็ส่งใจขึ้นไปกราบพระ กราบครูบาอาจารย์ เชิญท่านปู่ท้าวสหัมบดีพรหม ท่านปู่พระอินทร์ ท้าวมหาราชทั้ง ๔ มาร่วมในพิธีครั้งนี้ด้วย
    พร้อมกับสารภาพแต่โดยดีว่า "ของบางอย่างผมยังไม่เคยทำเลยครับ"

    กราบอาราธนาบารมีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกพระองค์เป็นประธาน
    องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน ชี้ไปที่พระอัครสาวกเบื้องซ้าย ตรัสว่า "ให้ผู้เลิศไปด้วยฤทธิ์ บอกวิธีการให้ก็แล้วกัน"

    พระมหาโมคคัลลานะ ถูไม้ถูมือแบบมันเขี้ยว บอกให้น้อมจิตระลึกถึงคุณพระรัตนตรัย แล้วภาวนาอิติปิโส ๓ ห้อง ๓ จบ
    "จำไว้ว่าพุทธศาสตร์ ต้องขึ้นด้วยคุณพระรัตนตรัยเป็นอันดับแรก"

    รัศมีสีเหลืองทองสว่างไสว ที่พวกเราเรียกกันติดปากว่า คุณพระศรีรัตนตรัย แผ่คลุมลงมาทั่วทั้งบริเวณ รู้สึกสดชื่น โปร่งเบา สบายจนบอกไม่ถูก
    เมื่อภาวนาครบแล้ว คำสั่งต่อไปก็คือ "เดินธาตุ ๔ แล้วลงอาการ ๓๒"

    ตรงนี้ถ้าเป็นสายอื่นก็แทบตายเลย เพราะว่าต้องกำหนดภาวนาพระคาถานะมะพะทะ เดินธาตุทีละตัว ซึ่งแต่ละตัวประกอบด้วยคาถาและวิธีการเยอะมาก

    แต่ในเมื่อผู้บัญชาการเป็นพระมหาเถระผู้เลิศด้วยฤทธิ์ ขืนไปใช้วิธีการแบบนั้นมีหวังโดนเขกหัวบวม
    ก็ต้องตั้งดวงกสิณทั้งสี่ คือ ดิน (มหาอุตม์ คงกระพัน) น้ำ (เมตตามหานิยม) ลม (แคล้วคลาดปลอดภัย) ไฟ (ทำลายไสยเวทย์อาคม)

    มหาภูตรูปต้นกำเนิดทั้ง ๔ หมุนวนเข้ามาทั้ง ๔ ทิศ ประกอบรวมเข้าด้วยกัน ประหนึ่งจะสร้างจักรวาลใหม่ขึ้นมาทั้งจักรวาล
    แล้วแทนที่จะเดินอาการ ๓๒ ด้วยการภาวนากำหนด "อัตถิ อิมัสมิง กาเยฯ" ทีละอย่างแบบสายอื่น


    หลวงพ่อจอมยุทธท่านกลับให้เพิ่มอากาสกสิณ ต่อด้วยวิญญาณัญจายตนฌาน
    ประกบรวมเข้าไปจนกลายเป็นกระแสพลังขุมมหึมาที่หมุนเวียนเชี่ยวกราก ประหนึ่งแกแล็กซี่กำเนิดขึ้นในห้วงอวกาศ ครอบคลุมลงมาในบริเวณพิธี

    พลังงานสารพัดสีพุ่งเข้าสู่วัตถุมงคล เหมือนสายน้ำโดนดูดซับด้วยฟองน้ำก็ไม่ปาน
    เมื่อเต็มเปี่ยมดีแล้วก็แผ่ขยายสว่างไสวรุ่งโรจน์ ดุจดาวฤกษ์ประดับฟ้ายามราตรี

    คิดว่าเสร็จพิธีแล้ว ที่ไหนได้...หลวงพ่อท่านให้ต่อด้วย พระคาถาชินบัญชร พระคาถาเงินล้าน ตามมาด้วยพระคาถามหาโสฬส (โสฬะสะมังคะลัญเจวะฯ)
    ตรีนิสิงเห (ตรีนิสิงเห สัตตะนาเค ปัญจะเพชรฉลูกัญเจวะฯ) จตุโรบังเกิดทรัพย์ (จะตุโร นะวะโม ทะเวโชฯ)

    ตามมาด้วยของที่เรียนแต่ไม่เคยทำ อย่างพระคาถาตะกรุดคู่ชีวิต (อะสิสัตติธะนูเจวะฯ) พระคาถาปลุกธงมหาระงับ (โอมมะหาระงับ หลับสิ้นทั้งบ้านฯ)
    พระคาถานารายณ์พลิกแผ่นดิน (วาโธโนอะมะมะวา) พระคาถาเสกตะโพน (นะเฮ นะฮา นะเหาะฯ) ฯลฯ

    ทุกอย่างต้องกำหนดจากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผ่านครูบาอาจารย์ ลงไปยังกองวัตถุมงคล
    แล้วหลวงพ่อพระมหาโมคคัลลานะก็ให้ปิดท้ายด้วย พระคาถาไตรสรณาคมน์ (พุทธัง สะระณัง คัจฉามิฯ) พระคาถาบารมี ๓๐ ทัศ พระคาถาพระพุทธเจ้า ๕ พระองค์

    เมื่อท่านบอกว่าทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยแล้วและกลับเข้าสู่เถรอาสน์ อาตมภาพก็น้อมกราบในพระมหากรุณาธิคุณของทุกท่าน แล้วลืมตาขึ้นมาทำน้ำมนต์

    จำได้ว่าเริ่มต้นประมาณเก้าโมงเช้า ลืมตาขึ้นมาดูนาฬิกา เห็นว่าอีกสิบนาทีจะเพล นาน ๆ จะเจออะไรยาว ๆ แบบนี้สักที
    แล้วอย่าคิดว่าครั้งต่อไปจะเป็นแบบนี้อีกนะ บางอย่างก็เหมือนเดิม บางอย่างก็เปลี่ยนไป แล้วแต่ท่านจะเมตตาสงเคราะห์

    จัดการพรมน้ำมนต์ โปรยข้าวตอกดอกไม้ถวายเป็นพุทธบูชา รอจนหลวงพ่อใจ และปลัดเอกลักษณ์ พรมน้ำมนต์เสร็จแล้ว อาตมาก็อธิษฐานจิตดับเทียนสัตตบริภัณฑ์รอบพิธี

    รับไทยธรรมจาก ดร.พระครูโรจน์ ญาติโยมที่เป็นเจ้าภาพถวายตะกรุดมหาโสฬสทองคำ ๑ ดอก ตะกรุดนารายณ์แปลงรูปทองคำ ๑ ดอก ตะกรุดคู่ชีวิตและตะกรุดนารายณ์พลิกแผ่นดินเนื้ออื่นอีกหลายถุง

    "ตะกรุดทองคำผมขอราคาต่ำสุดที่ ๒๕,๐๐๐ บาทนะครับ คราวที่แล้วหลวงพ่อออกเนื้อทองคำไป ๓,๐๐๐ บาท ผมเสียดายใจจะขาด เพราะว่าจองไม่ทัน"
    ดร.พระครูโรจน์ขอร้องแกมบังคับ

    ฉันเพลแล้วกราบลาทุกท่าน เดินทางกลับวัดท่าขนุน ปกติขึ้นรถได้อาตมาก็พักผ่อน แต่วันนี้เจอพลังงานล้นเกิน จึงนั่งส่งงานทางไลน์ให้กับทีมงานวัดท่าขนุน นำลงในกลุ่มไลน์ต่าง ๆ
    ทั้งของทางราชการและส่วนตัว แล้วเข้าไปติดตามงานจากผู้บังคับบัญชา จนไปถึงวัดท่าขนุนแบบไม่รู้ตัว

    ที่มา : เก็บตกบ้านเติมบุญ เดือนพฤษภาคม ๒๕๖๓
     
  19. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,526
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,129
    ค่าพลัง:
    +70,497
    ?temp_hash=67bdb4a628ab7f9274ca668dd606cb69.jpg

    การอาราธนาใช้คาถาพระบารมี ๓๐ ทัศ

    ก็ขอพึ่งพระบารมีนะขององค์สมเด็จพระชินสีห์ ทรงเป็นประธานในบารมีทั้ง ๓๐ ทัศ ที่ขึ้นต้นว่า

    อิติปารมิตาติงสา อิติสัพพัญญูมาคตา
    อิติโพธิมนุปปัตโต อิติปิโส จะเตนะโม

    ขอให้เธอจงขยันบริกรรม ระลึกนึกถึงบารมี ๓๐ ทัศของพระพุทธเจ้า เพราะเป็นสิ่งที่พระองค์สร้างขึ้นมาด้วยกำลังใจที่หวังผล ก็คือ ความหลุดพ้น ทั้งพระองค์เองแล้วก็สรรพสัตว์ทั้งหลาย

    มันจึงเป็นเหตุที่คุ้มครองเหมือนบารมีคุ้มครองพระองค์มาตั้งแต่สมัยทรงบำเพ็ญบารมีเพื่อพระโพธิสัตว์ ไม่ว่าทรงอุบัติเกิดทั้งเป็นมนุษย์แล้วก็เป็นสัตว์เดรัจฉาน

    ก็ทรงลั่นเป็นสัตยาธิษฐาน อ้างถึงบารมีที่พระองค์ได้กระทำมา เป็นเครื่องปกป้องคุ้มครองพระองค์มาโดยตลอด ไม่ได้อ้างสิ่งใดนะ

    อ้างในความตั้งใจที่พระองค์มีสัจจะ ก็ทรงอ้างสัจจะ
    อ้างถึงฌานที่พระองค์ทรงทำ ก็อ้างถึงฌานที่ได้กระทำมา
    ศีลที่พระองค์ทรงรักษา ก็ทรงอ้างถึงศีลที่พระองค์ทรงตั้งใจรักษา

    ในบารมีที่พระองค์ทรงสร้างมาถึง ๓๐ ทัศนี้แล จะเป็นกำลังให้ใจของเราน่ะถูกคุ้มครองปกป้องจากสิ่งชั่วร้ายและเลวร้ายทั้งหลาย ไม่ว่าจะเกิดขึ้นเพราะเหตุเภทภัยแห่งกฎของความเป็นธรรมดาของโลก ซึ่งเราก้าวล่วงไปยุ่งไม่ได้

    หรือแม้แต่สิ่งที่เป็นดาวพระเคราะห์ทั้งปวงที่ให้ร้าย ให้โทษก็ดี หรือกระทั่งพวกผีปีศาจผู้ที่ไม่มีจิตหวังดีก็ตามที

    การที่เราจะก้าวเท้าย่างเดินไป ณ สถานที่ใดหรือกระทำกิจอะไร

    เธอก็จงอ้างถึงพระบารมีทั้ง ๓๐ ทัศ ของพระพุทธเจ้า ตั้งแต่ของสมเด็จพ่อองค์แรกจนมาถึงองค์ปัจจุบัน ขอให้คุ้มครองเรานะ คุ้มครองครอบครัวของเรา คุ้มครองสมบัติของเรา ให้สิ่งเหล่านี้ได้ปราศจากโทษและอันตรายทั้งปวง อย่างนี้

    เราก็ท่องว่า

    อิติปารมิตาติงสา อิติสัพพัญญูมาคตา
    อิติโพธิมนุปปัตโต อิติปิโส จะเตนะโม

    อย่างนี้นะ ไม่ว่าเราจะอยู่ที่ไหน เขตไหน ตรงไหน เธอจงอ้างถึงกำลังพระบารมีของพระองค์เป็นที่ตั้ง แล้วก็กำลังใจที่เรามีความตั้งใจทำสิ่งใดก็เป็นเครื่องรองรับ

    ๑.ก็คือว่า เรามีศรัทธา คือ มีความเชื่อในความดีที่พระพุทธเจ้าทรงมี แล้วก็น้ำพระทัยพระเมตตาที่พระองค์ทรงมีต่อเรา อย่างนี้เป็นต้น

    แล้วเราก็ตั้งใจทำความดีเช่นนี้ เพื่อเป็นการสนองที่พระองค์ได้ทรงสร้างบารมีมายาวนานถึง ๓๐ ทัศ ว่าสิ่งที่พระองค์ทรงได้กระทำมา ลูกคนหนึ่งล่ะได้รับประโยชน์ ผลจากที่พระองค์ทรงได้สะสมบุญบารมีมายาวนาน

    เวลาเราตั้งจิตอธิษฐานปรารถนาสิ่งใดนี่ ไม่เกินวิสัย ก็จะเป็นไปตามนั้น

    เราก็ขอถึงซึ่งคุณพระพุทธ พระธรรมและพระอริยะเป็นกำลัง ขอให้สัตยวาจาหรือสัตยาธิษฐานที่เธอตั้งจิตที่แน่วแน่ อันประกอบแล้วด้วยความไม่ขาดซึ่งความเมตตา ไม่ขาดซึ่งความกรุณา

    ก็ขอผลแห่งใจที่เธอมีความบริสุทธิ์ที่ว่าไว้ ดั่งกล่าวมา จงเป็นเครื่องค้ำจุนให้คำตรัสหรือคำกล่าว หรือความตั้งใจของเธอในครั้งใด ก็จงได้สัมฤทธิ์เป็นผลในครั้งนั้นโดยพลันทันทีทุกคน จนกว่าจะพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดในชาตินี้ทุกคนเทอญ

    ๐๖ ธันวาคม ๒๕๕๒
    คำสอนของครูบาอาจารย์⚜️ท่านจิตโต⚜️
    ถอดความเสียง By Dhipya
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  20. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,526
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,129
    ค่าพลัง:
    +70,497
    JcFf0J4VxYDnx9-SVoahoylaSuoYai1WVuSoDhA0ZSL7RBC1Q6vdthXD3NxaE7XVT3Ztvl-H&_nc_ht=scontent.fcnx3-1.jpg
    ถาม :
    เวลาที่ผู้ป่วยนอนโรงพยาบาลให้ออกซิเจน แต่จิตเขาออกไปแล้ว ?
    ตอบ : ไปก็คือไป ร่างกายโดนหล่อเลี้ยงไว้ด้วยเครื่องไม้เครื่องมือของหมอ ตามวิชาการทางการแพทย์เขาเอาการหยุดทำงานของสมองเป็นหลัก ถึงปอดหรือหัวใจจะทำงาน แต่ถ้าสมองไม่ทำงานก็ถือว่าตายแล้ว

    ถาม : (ไม่ชัด) ?
    ตอบ : จิตส่วนจิต ถ้าออกจากร่างไป ก็ไปตามบุญตามกรรมของตัวเอง แต่สภาพร่างกายเหมือนกับรถ ดับเครื่องแล้วแต่แรงเฉื่อยยังมีอยู่ ก็ยังไหลต่อไปได้เรื่อย ๆ จนกว่าจะหมดแรงเฉื่อย ฉะนั้น...เรื่องนี้เป็นเรื่องที่อันตรายมาก ใครที่เห็นว่าเห็นพ่อแม่ตัวเองทรมานมาก แล้วสั่งหมอให้เอาออกซิเจนออก นั่นเท่ากับฆ่าพ่อฆ่าแม่เลย ถ้าไม่อยากทำอย่างนั้น ก็อย่าให้ใส่ตั้งแต่แรก

    ถาม : แต่ถ้าพ่อแม่สั่งว่าให้เอาออกละครับ ?
    ตอบ : สั่งไว้ก่อนก็รอให้คนอื่นทำ แต่อย่าไปทำด้วยตัวเอง บางทีสภาพร่างกายอยู่ด้วยออกซิเจน อยู่ด้วยเครื่องมือ แต่จิตไปถึงไหนแล้วก็ไม่รู้ ? แต่บางทีก็ทนทรมานอยู่ด้วยแรงกรรม

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    (หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน)
    เก็บตกจากบ้านเติมบุญ ต้นเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๖๑
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...