วิชชาที่จะทำให้อยู่รอดจากยุคสมัยแห่งภัยพิบัติ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย kananun, 17 กรกฎาคม 2006.

  1. ชนินทร

    ชนินทร พลังจิตนานาชาติ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,725
    ค่าพลัง:
    +6,384
    ช่วงนี้รู้สึกเป็นกังวลหน่อยๆ... เพราะมีบางท่านที่ปฏิบัติธรรมไปแล้ว จิตเริ่มเป็นทิพย์ สัญญาความจำเก่าๆ จากอดีตชาติเริ่มมาปรากฏในดวงจิต...

    บางท่านก็เป็นเรื่องดี ในขณะที่บางท่านไม่ใช่...

    จึงอยากจะเตือนทุกๆ ท่านสักนิดนะคะ... ว่าการที่เราปฏิบัติธรรม ฝึกจิตฝึกใจเรานี้... เราทำเพื่อละ เลิก วาง ซึ่งอวิชชา ความเลวทั้งหลาย... เมื่อได้รู้ได้เห็นสิ่งใดๆ แล้ว ขออย่าให้ยึด อย่าให้ติดกับสิ่งเหล่านั้นเลยนะคะ... ขอให้ทั้งสิ่งที่พอใจ และไม่พอใจเหล่านั้น... จบลงไปในอดีตอย่างที่มันเป็นจริงๆ เถอะค่ะ... อย่าไปรื้อฟื้นให้มันมารบกวนชีวิตของพวกเราอีกเลย...

    ถ้าสิ่งที่รับรู้ได้เหล่านั้น เป็นเรื่องที่ดี ที่น่าพอใจ... ขอแค่ให้รับรู้... รู้สักแต่ว่ารู้... รู้แล้วก็ปล่อยเสีย... คิดว่าทุกชีวิตที่เกิดมานี้ล้วนเคยได้พบสิ่งดีๆ เหล่านี้กันมาแล้วทั้งสิ้น มันเป็นเรื่องธรรมดา... เพราะทุกชีวิตเกิดกันมาแล้วนับชาติไม่ถ้วน ย่อมมีโอกาสเกิดมาในทุกสถานะ ทุกระดับของชาติตระกูล... อย่าไปยึด ไปติดว่า... ข้าเคยเป็นเจ้า เป็นนาย เป็นคนเหนือคน มีข้าทาสบริวาร มีคนในปกครองนับหมื่นนับแสน... มันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นแล้ว และจบไปแล้ว... อย่าไปพยายามดึงมันกลับมาพัวพันกับชีวิตในชาติปัจจุบัน... มันจะทำให้ชีวิตเราวุ่นวายไม่จบไม่สิ่น... เพราะถ้ามันไม่เป็นไปอย่างที่ใจเราต้องการ... คนที่จะทุกข์ที่สุด คือตัวเราเองและคนที่อยู่รอบๆ ตัวเรา

    สำหรับท่านที่เห็นว่าตัวเองเคยลำบากมาด้วยวิบากกรรมใดๆ ก็ตาม... ขอให้จำไว้เป็นประสบการณ์ชีวิต... ถ้าเราเคยลำบากเพราะเคยผิดศีลผิดธรรม ก็ขอให้ถือศีลเสีย... ถ้าเคยลำบากเพราะเคยเบียดเบียนชีวิตอื่น ก็หยุดเสีย อย่ากระทำอีก...

    แล้วถ้าสิ่งที่เราได้รู้ได้เห็นนั้นเป็นเรื่องที่ไม่พึงปรารถนา... เป็นเรื่องที่ก่อให้เกิดแรงอาฆาตพยาบาทซึ่งกันและกัน... ไม่ว่าเราจะเป็นคนที่โดนกระทำ หรือเป็นผู้ลงมือกระทำกรรมนั้นๆ ด้วยตัวของเราเอง...

    ขอเถอะค่ะ... ขอให้อโหสิกรรมให้แก่กันและกันเสีย... สิ่งนี้มันผ่านไปแล้ว... ตอนนั้นๆ เราโดนอวิชชา โดนกิเลสมันครอบงำ สิงใจอยู่ทำให้เราพลาดไปแบบนั้น...

    ในชาตินี้... เรารู้แล้ว เห็นแล้ว ว่าอะไรดี อะไรไม่ดี... เราเลือกได้
    ขอให้เลือกที่จะเริ่มวงจรชีวิตใหม่ที่ดีๆ เลือกในทางที่เป็นกุศล เป็นสัมมาทิฐิ... ฝังความรู้สึกเคียดแค้น ชิงชัง หวาดระแวงซึ่งกันและกันไปกับอดีตที่มันผ่านไปแล้ว...

    แล้วรอรับสิ่งใหม่ๆ ที่ดีๆ ที่จะเข้ามาในชีวิตแทน...

    ตอนนี้ธรขอให้ทุกคนเลยนะคะ ช่วยกรุณาปฏิบัติตามที่ธรกำลังจะแนะนำนี้ตามไปพร้อมๆ กันด้วยนะคะ...

    ๑. ขอให้ทุกคนจับลมสบายตามวิธีที่แต่ละคนถนัด

    ๒. จับภาพพระให้ใสสว่างเป็นประกายพรึกให้ได้สว่างมากที่สุดเท่าที่จะทำได้... แล้วอธิษฐานขอให้พระบารมีขององค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านมาสถิตเป็นหนึ่งเดียวกับพระพุทธรูปในจิตของเรา...
    ทรงอารมณ์ใจนี้ไว้สักระยะ... พร้อมกับน้อมจิตยอมรับนับถือองค์พระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งสูงสุด ไม่มีที่พึ่งอื่นใดจะประเสริฐไปกว่านี้อีกแล้ว... เสร็จแล้วนึกให้เห็นภาพตัวเองก้มลงกราบที่พระบาทขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ พระธรรม พระอริยสงฆ์ทั้งหลาย อีกทั้งครูบาอาจารย์ทั้งหลายสืบๆ กันมา... มีองค์หลวงปู่ปาน และองค์หลวงพ่อฤาษีเป็นที่สุด... พร้อมๆ กัน

    ๓. จากนั้นอธิษฐานต่อไปว่า ขอให้องค์พระพิชิตมารทรงเมตตามาเป็นประธาน และเป็นพยานให้แก่ข้าพเจ้าในการอธิษฐานดังต่อไปนี้...

    แล้วน้อมนึกถึงศีลที่คุณเองถือปฏิบัติอยู่... ไม่ว่าจะเป็นศีล ๕ หรือ ศีล ๘ ก็ตาม... โดยน้อมนึกว่า...
    "ณ ขณะนี้ ศีล ๕ (๘) ของข้าพเจ้าสมบูรณ์ บริบูรณ์ดีทุกประการ... ข้าพเจ้าไม่ได้ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ไม่ได้ลักขโมยผู้ใด ไม่ได้ผิดลูกผัว - เมียใคร ไม่ได้พูดโกหกมดเท็จใดๆ ไม่ได้เสพสุราของมึนเมา หรือเล่นการพนันแต่อย่างใด... (ไม่ได้ทานอาหารหลังเที่ยง, ไม่ได้ใช้เครื่องไล้ของหอม เว้นจากการฟ้อนรำ ดูสิ่งบันเทิงเริงรมย์ ไม่ได้ใช้เครื่องประดับตกแต่งใดๆ, ไม่ได้นอนบนที่นอนสูงใหญ่)"

    ๔. กราบขอขมากรรมต่อองค์พระรัตนตรัย โดยการอธิษฐานว่า...
    "- ข้าแต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ หากข้าพระพุทธเจ้าได้เคยคิดประมาทพลาดพลั้งล่วงเกินต่อองค์พระรัตนตรัย อันมีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์พระธรรม องค์พระอริยสงฆ์ทั้งหลาย อีกทั้งครูบาอาจารย์ทั้งหลาย พรหมเทพเทวา และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย ด้วยกายกรรมก็ดี วจีกรรมก็ดี มโนกรรมก็ดี... ในชาติปัจจุบันนี้ก็ดี หรือในชาติที่เป็นอดีตก็ดี... ด้วยเจตนาก็ดี ไม่เจตนาก็ดี หรือทำไปด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ก็ดี...
    - ขอองค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า และทุกๆ พระองค์ ทุกๆ องค์ ทุกๆ ท่าน... ได้โปรดอดโทษทั้งหลายเหล่านั้นให้แก่ข้าพเจ้านับแต่บัดเดี๋ยวนี้เป็นต้นไปตราบเท่าเข้าสู่พระนิพพานด้วยเทอญ"
    ก้มลงกราบพระบาทพระองค์ท่านอีกครั้ง

    ๕. เสร็จแล้วจับภาพพระให้ใสสว่างเป็นประกายพรึก... แล้วเพิกภาพพระนั้นออกเสีย... ให้เห็นแต่สภาวะที่เป็นอากาศที่เวิ้งว้าง ว่างเปล่า เป็นที่ที่โล่งขาว ว่างเปล่าไปหมด แล้วกำหนดจิตอธิษฐานว่า...
    "ความเวิ้งว้างว่างเปล่านี้ไม่มีสาระแก่นสารใดๆ ข้าพเจ้าไม่ขอยึดถือ ยึดติดกับความว่างเปล่านี้" เสร็จแล้วทรงอารมณ์นี้ไว้สักพัก...

    ๖. เสร็จแล้วจับภาพพระให้ใสสว่างเป็นประกายพรึกอีกครั้ง... แล้วเพิกภาพพระนั้นออกเสีย... ให้เห็นว่าจิตของเราลอยอยู่ในจักรวาลที่มีดาวเคราะห์น้อยใหญ่มากมาย แล้วดึงภาพของดาวโลกเข้ามาใกล้ๆ ให้เห็นตึกรามบ้านช่อง วัตถุสิ่งของต่างๆ... แล้วนึกให้เห็นว่าทั้งดวงจิตของเรา ดาวเคราะห์น้อยใหญ่นั้น และวัตถุธาตุทั้งหลาย สลายตัวลงเป็นฝุ่นผง จนมลายหายไปในที่สุด... จนเหลือแต่ความเวิ้งว้างว่างเปล่าของจักรวาลที่ขาวโพลนไปหมด โดยหาขอบจักรวาลไม่ได้... แล้วกำหนดจิตว่า...
    "วัตถุธาตุทั้งหลาย หรือแม้กระทั่งดวงจิตของเราเองล้วนไม่เที่ยงแท้แท้แน่นอน... หาสาระใดๆ ไม่ได้ ข้าพเจ้าไม่ขอยึดถือวัตถุธาตุทั้งหลายเหล่านี้เป็นสาระแก่นสารใดๆ ทั้งสิ้น" ทรงอารมณ์นี้ไว้สักพัก...

    ๗. กลับมาจับภาพพระให้ใสสว่างเป็นประกายพรึก... แล้วเพิกภาพพระนั้นออกเสีย... ให้เห็นว่าอายตนะทั้ง 6 นั้นล้วนไม่เที่ยงแท้แน่นอน... ไม่ว่าจะเป็นตาที่เห็นรูป จมูกที่ได้กลิ่น หูที่ได้ยินเสียง ลิ้นที่รับรสอาหาร กายที่รับสัมผัสต่างๆ และใจที่ต้องกระทบกระทั่งกับสิ่งทั้งปวง... แล้วนึกให้สัมผัสอันเกิดจากอายตนะทั้ง 6 นั้นสลายตัวไปเหลือแต่ความเวิ้งว้างว่างเปล่า... แล้วกำหนดจิตว่า...
    "อายตนะทั้ง 6 ล้วนไม่เที่ยงแท้แน่นอน เดี๋ยวสุข เดี๋ยวทุกข์ เปลี่ยนแปล รวนเรไปมา หาสาระแก่นสารใดๆ ไม่ได้สักอย่าง ข้าพเจ้าไม่ขอยึดถือ ยึดติดกับสิ่งทั้งปวงที่เกิดจากอายตนะทั้ง 6 นี้อีกต่อไป" ทรงอารมณ์นี้ไว้สักพัก...

    ๘. จับภาพพระให้ใสสว่างเป็นประกายพรึกอีกครั้ง... แล้วเพิกภาพพระนั้นออกเสีย... ให้เห็นว่าสัญญาความจำได้หมายรู้ ความรัก โลภ โกรธ หลง ความอาฆาตแค้นพยาบาท ชิงชัง ความหวาดระแวง หวาดกลัวสิ่งต่างๆ ความทุกข์ และความสุขต่างๆ ที่เป็นสัญญาความจำทั้งในอดีตชาติ ตั้งแต่ปฐมชาติ มาจนกระทั่งในชาติปัจจุบันนี้... ล้วนนำมาซึ่งความทุกข์กาย ทุกข์ใจ เป็นสิ่งที่หาประโยชน์ใดๆ ไม่ได้... แล้วนึกให้สัญญาความจำทั้งหลายทั้งมวลนั้นสลายตัวไปไม่เหลืออะไรติดค้างอยู่ในดวงจิตอีกเลย มีแต่ความว่างเปล่าเท่านั้น... กำหนดจิตอธิษฐานว่า...
    "ข้าพเจ้าขอน้อมจิตสลายสัญญาความจำได้หมายรู้ทั้งหมดทั้งสิ้นที่เกิดขึ้นตั้งแต่ปฐมชาติมาจนกระทั่งปัจจุบันนี้ ความรัก โลภ โกรธ หลง ความอาฆาตแค้นพยาบาท ชิงชัง ความหวาดระแวง หวาดกลัวสิ่งต่างๆ ความทุกข์ และความสุขต่างๆ ที่เป็นสัญญาความจำทั้งหลายทั้งมวลนั้น... สัญญาความจำเหล่านั้นล้วนหาสาระแก่นสารใดๆ ไม่ได้ ข้าพเจ้าไม่ขอยึด ขอติดอีกต่อไปนับแต่บัดนี้ตราบเท่าเข้าสู่พระนิพพาน" แล้วประคองจิตนั้นไว้สักพัก...

    ๙. อธิษฐานต่อว่า... "ข้าพเจ้าไม่ปรารถนาการเวียนว่ายตายเกิดใดๆ อีกทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นในอบายภูมิก็ดี มนุษย์ภูมิก็ดี เทวภูมิ รูปพรหมภูมิ หรืออรูปพรหมภูมิก็ดี... ทุกภพภูมินั้นมีทั้งความทุกข์และความสุข... ถึงจะมีความสุข แต่ก็เพียงแค่ชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้น หมดบุญหมดวาสนาเมื่อใดก็ต้องลงมาพบกับความทุกข์โศกอีกไม่จบไม่สิ้น ดังนั้นตายจากชาตินี้ ภพนี้เมื่อใด ขอให้ดวงจิตของข้าพเจ้าพุ่งตรงสู่พระนิพพาน เพื่อจะได้กราบพระบาทองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่บนพระนิพพานนั้นในทันทีด้วยเถิด" ทรงอารมณ์นี้ไว้จนกว่าจะพอใจ ตอนนี้อารมณ์ใจของท่านจะสว่าง โล่ง โปร่ง เบา สบาย ไร้ความทุกข์ ความกังวลใดๆ ทั้งสิ้น...

    ให้ท่านอธิษฐานกำกับอีกครั้งว่า...
    "ขอให้ข้าพเจ้าประสบพบ และเข้าถึงซึ่งอารมณ์จิตนี้ได้ทุกที่ทุกสถาน ทุกกาลเวลา ทั้งยามหลับ ยามตื่น ทั้งยามที่รู้สึก และไม่รู้สึกตัว ตามแต่ที่ข้าพเจ้าปรารถนา นับแต่บัดเดี๋ยวนี้ไปตราบจนกว่าจะเข้าสู่พระนิพพานด้วยเทอญ"

    ๑๐. จากบนพระนิพพานนั้น... ให้น้อมนึกถึงกุศลผลบุญ อีกทั้งความดีงามทั้งหลายที่เคยสร้างมาดีแล้วให้มารวมตัวกันที่ดวงจิต (นึกให้เห็นดวงจิตของคุณสว่างไสวแพรวพราว) พร้อมกับอธิษฐานขออโหสิกรรมต่อเจ้ากรรมนายเวรดังนี้...
    "- ข้าพเจ้าขอน้อมอุทิศส่วนกุศลผลบุญที่ข้าพเจ้าได้เคยกระทำมาตั้งแต่ต้นกัปต้นกัลป์ จนมาถึงปัจจุบันนี้ และที่จะทำต่อไปในอนาคต... ให้แก่ท่านเจ้ากรรมนายเวรทั้งหลาย... ขอให้ทุกๆ ท่านมาร่วมกันอนุโมทนาและได้รับซึ่งกุศลผลบุญเหล่านี้นับแต่บัดเดี๋ยวนี้เป็นต้นไป ตราบเท่าเข้าสู่พระนิพพาน...
    (ตอนนี้ให้นึกเห็นรัศมีความสว่างของกุศลผลบุญ ความดีงามทั้งหลายจากดวงจิตของเราแผ่ออกไปคลุมร่างของเจ้ากรรมนายเวรทั้งหลายที่รายล้อมอยู่รอบตัวเรา)
    - และข้าพเจ้าขออโหสิกรรมต่อท่านเจ้ากรรมนายเวรทั้งหลายที่ข้าพเจ้าได้เคยล่วงเกินพวกท่านไปด้วยกายกรรมก็ดี วจีกรรมก็ดี มโนกรรมก็ดี... ในชาติปัจจุบันนี้ก็ดี หรือในชาติที่เป็นอดีตก็ดี... ด้วยเจตนาก็ดี ไม่เจตนาก็ดี หรือทำไปด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ก็ดี...
    - ขอให้พวกท่านทั้งหลายได้โปรดอโหสิกรรมทั้งหลายเหล่านั้นให้แก่ข้าพเจ้านับแต่บัดเดี๋ยวนี้เป็นต้นไปตราบเท่าเข้าสู่พระนิพพานเทอญ"

    ๑๑. ขอให้ทุกคนประคองจิตจับภาพพระด้วยใจที่เบาสบาย โล่งโปร่งต่อไป... หลังจากนั้นให้น้อมนึก อโหสิกรรม - ให้อภัย -ให้แก่ผู้ที่เคยล่วงเกินทุกๆ ท่านมา อธิษฐานว่า...
    "- นับแต่บัดเดี๋ยวนี้เป็นต้นไป ข้าพเจ้าจะมีแต่จิตใจที่ใสสะอาด บริสุทธิ์ เต็มไปด้วยความดีงาม เปี่ยมไปด้วยความเมตตาต่อสรรพสัตว์ทั้งหลาย... ข้าพเจ้าอโหสิกรรม ยกโทษให้แก่ พรหม-เทพเทวา สรรพสัตว์สิ่งมีชีวิต มนุษย์ อมนุษย์ สัตว์เดรัจฉาน ภูติผีปีศาจ ดวงจิตดวงวิญญาณทั้งหลายที่เคยล่วงเกินข้าพเจ้ามาด้วยกายกรรมก็ดี วจีกรรมก็ดี มโนกรรมก็ดี... ในชาติปัจจุบันนี้ก็ดี หรือในชาติที่เป็นอดีตก็ดี... ด้วยเจตนาก็ดี ไม่เจตนาก็ดี หรือทำไปด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ก็ดี...
    - ข้าพเจ้าไม่ถือโทษโกรธเคืองใดๆ ทั้งสิ้น ไม่ขอเป็นเจ้ากรรมนายเวรของผู้ใด และขอให้พวกท่านทั้งหลายมีความสุขกาย สุขใจ เป็นสัมมาทิฐิ พ้นจากความทุกข์ทั้งหลายทั้งมวล มีดวงตาเห็นธรรม เข้าถึงที่สุดแห่งธรรม และมีพระนิพพานเป็นที่สุดด้วยเทอญ"



    ๑๒. ท้ายที่สุดให้คุณน้อมนึกถึงความสุข สดชื่น ความอิ่มเอม เปรมปรีด์ ความชุ่มชื่นใจ... ความรักที่บริสุทธิ์ที่ไม่หวังสิ่งใดตอบแทน... ความสุขที่สุดที่เมื่อเรานึกถึงครั้งใดก็ตามจะสามารถเรียกรอยยิ้มให้เราได้ ทำให้เรารู้สึกว่าโลกนี้ยิ้มไปกับเราด้วย ทำให้โลกนี้สว่างไสวมีแต่ความเบิกบาน ... ความดีงามทั้งหลายที่เคยสร้างมาดีแล้ว อีกทั้งกุศลผลบุญทั้งหลาย พรหมวิหารสี่ และอภัยทานที่มีอยู่เต็มเปี่ยมในดวงจิตของคุณให้มารวมตัวกัน (นึกให้เห็นดวงจิตของคุณสว่างไสวแพรวพราว) พร้อมกับอธิษฐานแผ่เมตตาอัปปมาณฌานว่า...
    "- บุญ คือ ความสุขที่ปรากฏ ณ บัดนี้ ข้าพเจ้าขอน้อมถวาย ความสุข ส่วนกุศลผลบุญ อีกทั้งพรหมวิหารสี่ อันมี เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา พร้อมอภัยทาน แด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ องค์พระธรรม องค์พระอริยสงฆ์ ครูบาอาจารย์ทั้งหลายสืบๆ ต่อกันมาโดยมีองค์หลวงปู่ปาน และองค์หลวงพ่อฤาษีเป็นที่สุด อีกทั้งท่านพ่อ ท่านแม่ ท่านผู้มีพระคุณทั้งหลาย บูรพกษัตริย์ไทย บรรพชนไทย นักรบไทยทุกๆ พระองค์ ทุกๆ องค์ ทุกๆ ท่าน... พรหมเทพเทวา และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย โดยมีท่านท้าวจตุมหาราช และท่านพญายมราชเป็นที่สุด...
    - ขอทุกๆ พระองค์ ทุกๆ องค์ ทุกๆ ท่าน ได้โปรดมาร่วมกัน รับและอนุโมทนาในส่วนกุศลผลบุญทั้งหลายเหล่านี้ และขอได้โปรดมาเป็นสักขีพยานในการบำเพ็ญกุศลผลบุญในครั้งนี้ของข้าพเจ้าด้วยเทอญ...
    (น้อมนึกให้เห็นว่าในมือคุณมีดอกบัวแก้วสว่างไสวแพรวพราว ซึ่งเกิดจากกุศลผลบุญของคุณมารวมตัวกันเป็นดอกบัวนั้น... แล้วน้อมถวายแด่ทุกๆ พระองค์ ทุกๆ องค์ ทุกๆ ท่าน) พร้อมกับอธิษฐานต่อว่า...
    - และข้าพเจ้าขอน้อมอุทิศความสุข ส่วนกุศลผลบุญ อีกทั้งพรหมวิหารสี่ อันมี เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา พร้อมอภัยทานนี้ ให้แก่เหล่าสรรพสัตว์สิ่งมีชีวิต มนุษย์ อมนุษย์ สัตว์เดรัจฉาน ภูติผีปีศาจ ดวงจิตดวงวิญญาณทั้งหลายทั่วสากลจักรวาล อนันตจักรวาลนี้... ที่เสวยความสุขอยู่ก็ดี เสวยความทุกข์อยู่ก็ดี เป็นญาติก็ดี มิใช่ญาติก็ดี... ขอให้ทุกๆ ท่านจงมาร่วมกันอนุโมทนาและรับซึ่งส่วนกุศลผลบุญทั้งหลายเหล่านี้เฉกเช่นเดียวกับที่ข้าพเจ้าจะพึงได้รับนับแต่บัดเดี๋ยวนี้เป็นต้นไปตราบเท่าเข้าสู่พระนิพพาน... ขอให้ทุกๆ ท่าน เป็นสัมมาทิฐิ ประสบแต่ความสุข พ้นจากความทุกข์ พ้นภัยจากวัฏฏสงสาร มีดวงตาเห็นธรรม เข้าถึงที่สุดแห่งธรรมโดยฉับพลัน ได้สัมผัสและมีพระนิพพานอันเป็นบรมสุขเป็นหลักชัยโดยถ้วนทั่วกันด้วยเทอญ"

    แล้วน้อมนึกให้เห็น หรือให้รู้สึกว่าตัวของเราเองสว่างไสวมีแสงรัศมีสีทองเป็นประกาย อันเป็นรัศมีแห่งความรัก ความสุข ความเมตตา ที่เรามีให้แก่สรรพสัตว์ไม่มีวันจบวันสิ้น ไม่มีประมาณ... นึกให้แสงแห่งความเมตตานี้ค่อยๆ แผ่ปกคลุมอาณาบริเวณที่เราอยู่ให้สว่างไสวเรืองรอง เมื่อจิตของสรรพสัตว์ดวงใดได้สัมผัสกับรัศมีนี้ก็ขอให้มีความสุข ความสงบ ความชุ่มเย็นไปด้วย จิตเรายิ่งเปล่งรัศมีมากเท่าไหร่ จิตเราก็จะยิ่งมีความชุ่มเย็นมากยิ่งขึ้นไปเท่านั้น... ขยายอาณาเขตของการแผ่รัศมีสีทองเป็นประกายระยิบระยับนี้ให้ค่อยๆ ขยายวงกว้างออกเรื่อยๆ ให้ปกคลุมไปทั่วสากลจักรวาล อนันตจักรวาลนี้โดยไม่มีประมาณ ไม่มีขอบ ไม่มีที่สุด... เมื่อจิตเรายิ่งแผ่รัศมีออกไปได้กว้างไกลและครอบคลุมมากเท่าไหร่ จิตของเราก็จะยิ่งอิ่มเอิบ แย้มยิ้มมากเท่านั้น...
    ยิ่งให้มากเท่าไหร่ จิตเราก็จะยิ่งมีความสุขมากขึ้นไปเท่านั้น ประคองอารมณ์ใจที่แสนจะปิตินี้เอาไว้ให้นานที่สุดจนกว่าจิตจะพอใจ...

    เสร็จแล้วให้น้อมนึกเอาอทิสมานกายของเราเองไปกราบองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าท่าน และถอนจิตออกจากสมาธิช้าๆ โดยการหายใจเข้าลึกๆ ช้าๆ 3 ครั้ง พร้อมภาวนา พุทโธ ธัมโม สังโฆ...


    ด้วยพระบารมีแห่งองค์พระรัตนตรัย และกุศลผลบุญที่บังเกิดขึ้นนี้... ขอได้โปรดมารวมตัวกันและส่งผลให้ทุกๆ ท่านมีดวงจิตที่เต็มเปี่ยมไปด้วยเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา อภัยทาน มีความสุขทั้งทางโลก ทางธรรม เป็นสัมมาทิฐิ... มีดวงตาเห็นธรรม... เจริญในธรรมยิ่งๆ ขึ้นไป... เข้าถึงที่สุดแห่งธรรมโดยฉับพลัน... และมีพระนิพพานเป็นหลักชัยโดยถ้วนทั่วกันด้วยเทอญ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 เมษายน 2008
  2. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    สาธุ ขอให้ทุกคนเจริญกันในธรรมให้ยิ่งๆขึ้นไปครับ

    โชคดีที่พวกเราทุกคนมีกัลยาณมิตรที่ดี ที่ล้วนแล้วแต่ปรารถนาให้เพื่อนๆทุกคนเข้าถึงซึ่งความดี มีพระนิพพานเป็นที่สุด

    แบ่งปันความดี โมทนาในความดี ความสุขและกุศล ให้กันและกันครับ
     
  3. ปูเเว่น

    ปูเเว่น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    1,614
    ค่าพลัง:
    +6,697
    ขออนุโมทนาค่ะพี่ธร ขอขอบคุณพี่ที่สอนในเมตตาอัปมาณฌาณน้องลอง
    ทำตามแล้ว มีความรู้สึกดีมากๆเลยค่ะ สามารถทรงอารมณ์ได้นานกว่าทุกครั้ง
    ที่แผ่ออกไปค่ะ และแผ่ได้อารมณ์ที่เบาสบายมากๆค่ะ ขอบคุณค่ะ(y)
     
  4. Forever In LoVE

    Forever In LoVE เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    1,349
    ค่าพลัง:
    +3,864
    ขออนุญาตนำไฟล์เสียงของอาจารย์คณานันท์ ในช่วงสอนการแผ่เมตตาอัปมาณฌาณ มาแปะไว้ที่บอร์ดวิชชาฯนี้ค่ะ

    สามารถโหลดไฟล์เต็มทั้งหมด ได้ที่
    http://palungjit.org/showthread.php?t=116869


    [music]http://palungjit.org/attachments/a.306621/[/music]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  5. ชนินทร

    ชนินทร พลังจิตนานาชาติ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,725
    ค่าพลัง:
    +6,384
    ตอนนี้เห็นว่ากำลังข้าวยากหมากแพงไปทั่ว... จึงขอนำเอาพระคาถาที่หลวงพ่อฤาษีท่านมอบไว้ให้ท่อง เพื่อช่วยบรรเทาความทุกข์ยากของลูกหลานของท่านในเรื่องนี้มาลงไว้ให้ใช้นำไปสวดกันค่ะ...

    จับภาพพระให้ใสปิ๊งก่อน... จับลมสบาย... แล้วค่อยๆ สวดไปเรื่อยๆ ค่ะ...


    คาถาเงินล้าน
    นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
    ( ๓ จบ )

    สัมปจิตฉามิ
    นาสังสิโม
    พรหมา จะ มะหาเทวา สัพเพยักขา ปะรายันติ ,
    พรหมา จะ มะหาเทวา อะภิลาภา ภะวันตุ เม ,
    มะหาปุญโญ มะหาลาโภ ภะวันตุ เม ,
    มิเตพาหุหะติ,
    พุทธะมะอะอุ นะโมพุทธายะ วิระทะโย วิระโคนายัง วิระหิงสา วิระทาสี วิระทาสา วิระอิตถิโย พุทธัสสะ มานีมามะ พุทธัสสะ สวาโหม
    สัมปะติจฉามิ
    เพ็ง ๆ พา ๆ หา ๆ ฤา ๆ ๆ
     
  6. pat3112

    pat3112 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    373
    ค่าพลัง:
    +2,904
    การใช้พระคาถาเงินล้าน โดยหลวงพี่เล็กครับ
    <hr style="color: rgb(255, 255, 255);" size="1"> <!-- / icon and title --><!-- message --> ดังนั้น ขอให้ทุกคนยึดคุณพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งให้มั่นคงเอาไว้ สิ่งใดสิ่งหนึ่งที่หลวงพ่อมอบให้แก่เรามา โดยเฉพาะพระคาถาเงินล้าน ขอให้ทุกคนท่องบ่นภาวนาไว้เป็นประจำ ๆ จะสร้างความคล่องตัวให้แก่เราอย่างคิดไม่ถึง ใครจะว่างมงาย ใครจะว่าเหลวไหล อาตมายืนยันว่าไม่งมงาย ไม่เหลวไหล เพราะอาตมาใช้มาเอง มีใครบ้างที่สามารถสร้างวัด ๆ หนึ่งเสร็จได้ภายในปีเดียว โดยที่ ๒ มือเปล่า ๆ มีแต่คาถาบทเดียว จะไม่ให้ยืนยันอย่างนี้ก็ไม่ได้ แล้วขณะเดียวกัน ไปช่วยเขาที่อื่นไปช่วยเขาที่ไหนก็ตามขึ้นชื่อว่าการสะดุดหยุดยั้งผิดจังหวะไม่มี มีแต่ความสะดวกคล่องตัวอยู่เสมอ



    ดังนั้น ขอย้ำว่าถ้าเราใช้คาถาเป็น ส่วนใหญ่ทำไมใช้ไม่เป็นใช้ไม่ถูกกัน การใช้คาถาเป็นก็คือต้องวางกำลังใจให้เป็น การวางกำลังใจให้เป็นก็คือตั้งใจว่า คาถานี้คือสมบัติวิเศษที่พ่อให้มา หน้าที่เราคือรักษาไว้ให้ดีที่สุดเท่าที่จะพึงดีได้ ด้วยการเป็นคนที่ขยันท่องบ่นเป็นพุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา อย่างสม่ำเสมอและจริงจังทุกวัน เรื่องของความสม่ำเสมอจริงจังเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดส่วนใหญ่มันทำ ๆ ทิ้ง ๆ กัน ในเมื่อเราตั้งใจทำถวายบูชาต่อท่านอย่างสม่ำเสมอและจริงจัง ผลพิเศษต่าง ๆ มันจะเกิดขึ้นเอง แต่ถ้าเราทำเพื่อจะหวังผลพิเศษนั้น ตัวอยากที่บังหน้ามันจะตัดไปเกือบหมด อยากได้ ไม่ใช่ความผิด แต่พออยากตั้งใจว่าต้องการอะไรแล้วลืมความอยากนั้นเสียแล้วตั้งหน้าตั้งตาภาวนาไป นี่คือการใช้คาถาที่ถูก การปฏิบัติทุกอย่างเหมือนกัน อยากมันถึงทำ แต่ตัวอยากตัวนี้เป็นฉันทะ หลวงพ่อเรียกว่าธรรมฉันทะ คือ ความพอใจในธรรม ไม่ใช่ตัวตัณหา ตัวตัณหาเป็นการอยากได้ใคร่มีในลักษณะที่เรียกว่าถ้าไม่ได้มาผิดศีลผิดธรรมก็ยังเอา ตัวอยาก มีอยู่ในทุกธรรมะ แต่ว่าตัวอยากนี้เป็นตัวธรรมฉันทะคือพอใจในการปฏิบัติ ขณะเดียวกันการปฏิบัติทุกอย่างอารมณ์อุเบกขาสำคัญที่สุด

    การปฏิบัติไม่ว่าจะทาน ศีล ภาวนา ถ้าขาดตัวอุเบกขาการปฏิบัตินั้น ๆ เข้าไม่ถึงจุดสุดท้าย การให้ทานถ้าไม่รู้จักอุเบกขาปล่อยวางก็นั่งกลุ้มใจ ขอทานมันขอสตางค์ก็ให้มันไป ให้แล้วก็แล้วกันเรารู้ว่าเขาต้องการก็ให้เขาไป เป็นการตัดความโลภของเราให้มันจบลงตรงนั้นนี่คือตัวอุเบกขา แต่ว่าให้แล้วก็ไปนั่งคิดต่อว่า เอ๊...มันจะหลอกเราหรือเปล่าหว่า มันเป็นแก๊งค์ขอทานประเภทที่เรียกว่าเดี๋ยวถึงเวลาก็เอาคนมาปล่อย ๆๆ ตามจุดแล้วก็ขอสตางค์เขาไปวัน ๆ หนึ่ง ถึงเวลามันกินดีอยู่ดีกว่าเราอีกหรือเปล่า

    ไอ้อย่างนี้ขาดอุเบกขา การรักษาศีลก็เช่นกัน ถ้าหากว่าขาดอุเบกขาขาดการปล่อยวางจริง ๆ การรักษาศีลมันก็รักษาไม่ได้ตลอด ไม่ฆ่าสัตว์ แต่อีคราวน้โกรธมันขึ้นมาก็อัดมันตุ้บเข้าให้ ไม่ตายหรอกแต่เจ็บ ดีไม่ดีก็สาหัสไปเลย ขาดอุเบกขา การภาวนายิ่งหนักเข้าไปใหญ่ถ้าขาดตัวอุเบกขาคือการปล่อยวางไม่รู้จักวาระของมันจะก้าวหน้าได้ยากมาก เราต้องทำใจว่าเรามีหน้าที่ภาวนา ผลพิเศษต่าง ๆ จะเกิดขึ้นเมื่อไหร่เป็นเรื่องของเขา นี่คือการปล่อยในตัวอุเบกขา แต่ถ้าไปภาวนาตั้งใจอยากให้มันได้อยากให้มันเป็น มันจะไม่ได้มันจะไม่เป็น มันเหมือนกับเราปลูกต้นไม้เรามีหน้าที่รดน้ำพรวนดินจับหนอนจับแมลงใส่ปุ๋ยดูแลก็ทำมันไป เราไม่มีหน้าที่ไปบังคับเขาออกดอกออกผล ลองไปจับมันดึงยอดดูสิมันจะออกมั๊ย .. เฉาตายซะก่อน แต่ถ้าเรามีหน้าที่ทำของเราไปเรื่อยด้วยการปล่อยวางและเชื่อมั่นในคุณพระรัตนตรัย

    เมื่อถึงเวลาดอกผลมันจะเกิดของมันเอง ถึงวาระ ถึงฤดูกาลของมัน ๆ ก็ออกดอกออกผลให้ชื่นใจ อีตอนที่มันยังไม่ถึงวาระไม่ถึงเวลาอยากเท่าไหร่มันก็ไม่ได้อยากเท่าไหร่มันก็ไม่เป็น ตัวอยาก คือ การไม่รู้จักวางอุเบกขา ตัวรู้ว่าเรามีหน้าที่อย่างไรเราทำให้ดีที่สุด ผลของหน้าที่นั้นจะเป็นอย่างไรช่างมัน นั่นคือตัวอุเบกขา นะ เบรคให้เป็นเบรคขา เบรคแขน เบรคปากเอาไว้ด้ว ไม่อย่างนั้นจะไปทะเลาะกับคนอื่นเขา ถ้าอุเบกขาเป็นทุกอย่างก็ดีหมด ไม่มีการกระทบกระทั่งกับใคร ทุกอย่างเป็นธรรมดาหมด ปกติของโลกมันเป็นอย่างนั้น ไม้ตายท่าสุดท้ายแล้ว อุเบกขา ถ้าเต็มที่มันจะเป็นสังขารุเปกขาญาณ รู้็จักปล่อยวางในการปรุงแต่ง การปรุงแต่งการนึกคิดเพิ่มเติมทุกอย่างไอ้ตัวฟุ้งซ่านขนาดหนักเลย ทุกอย่างถ้าหยุดการปรุงแต่งลงได้มันก็หยุดหมดมันก็ดับหมด ใครเคยตามดูความคิดตัวเองบ้าง หยุดความคิดตัวเองเป็นมั๊ย หยุดเป็นเมื่อไหร่ก็เย็นเมื่อนั้นแหละ จิตสังขารคือตัวปรุงแต่งของใจสำคัญมาก

    เกิดมันก็ตรงเนี้ย แก่มันก็ตรงเนี้ย เจ็บมันก็ตรงเนี้ย ตายมันก็ตรงเนี้ย อนิจจังไม่เที่ยงก็เพราะมัน ทุกขังเป็นเพราะมัน อนัตตาก็เป็นเพราะมัน ก็เพราะจิตตัวปรุงแต่งนี้ตัวเดียว หยุดปรุงแต่งเมื่อไหร่พระท่นเรียกว่านิโรธ คือ เข้าถึงความดับ ความร่มเย็น ความสงบอย่างแท้จริง การหยุดมันท่่านเรียกว่า มรรค สาเหตุที่มันปรุงมันแต่งมันทำให้เกิดทุกข์ท่านเรียกว่า สมุทัย ปรุงแต่งมันเมื่อไหร่มันก็เป็นทุกข์ อริยสัจ ๔ มันก็อยู่ตรงนี้นั่นแหละ อยู่ที่จิตตัวเดียว ไม่ได้อยู่ที่อื่นเลย

    ดังนั้น ท่านถึงให้ัดูภายใน ดูที่ตัว แก้ที่ตัว ดูที่คนอื่นไม่สำเร็จ แก้ที่คนอื่นไม่สำเร็จ ทุกอย่างเป็นเรื่องของโลก เราไม่สามารถแก้ไขโลกได้ แต่เราแก้ไขตัวเราเองได้ ภาระทุกอย่างถ้าเราแบกโลกไว้มันหนักเหลือเกิน แต่ถ้าเราวางลงตัวเรามันมีภาระอยู่นิดเีดียวเท่านั้น ยิ่งฟังก็ยิ่งง่ายเนาะ ฟังง่ายใช่มั๊ย?

    เหลืออีกครึ่งชั่วโมง หรือ...มันพูดมากขนาดนี้เชียวหรือ...ว่าไปเรื่อยเปื่อยนะ ยิ่งอีตอนบรรยายให้ ชาวบ้านเขาฟังยิ่งหนักเข้าไปใหญ่ วิทยากรต่าง ๆ จะพูดด้วยภาษาราชการ แต่ชาวบ้านฟังไม่รู้เรื่อง ไปถึงก็อุปโภคอยา่งนั้น บริโภคอย่างนี้ กะเหรี่ยงมันฟังรู้เรื่องไหมล่ะ เอออุปโภคบริโภค มันรู้แต่ ออหมี่ออที กินข้าวกินน้ำ อาตมาก็ต้องไปเป็นล่ามแปลไทยเป็นไทยให้เขาฟังอีกทีหนึ่ง ว่าไปว่ามาวิทยากรก็นิมนต์อาจารย์ว่าไปเรื่อย ๆ เลยครับ ตกลงบรรยาย ๖ ชั่วโมง พระว่าไป ๕ ชั่วโมงครึ่ง จริง ๆ ไม่ใช่เขาไม่เก่งนะ เขาเก่งแต่เขาลดระดับตัวเองลงมาไม่เป็น ต้องพูดภาษาชาวบ้านให้ชาวบ้านเขาฟัง นี่อาตมาก็พูดมากจนเกินไปเหมือนกัน ตกลงมีใครเก็บเอาไว้ได้บ้าง เข้าหูซ้ายทะลุหูขวาหมด นักปฏิบัติที่ดีเมื่อกี้บอกแล้วการจดบันทึกสำคัญมากเป็นการซ้อมอตีตังสญาณด้วย

    ขณะเดียวกันก็กันลืม หัวใจนักปราชญ์จำได้มั๊ย สุ จิ ปุ ลิ สุ มาจาก สุตะ แปลว่า ฟัง จิ ก็มาจากจิตติ ปลว่าคิด ปุ ก็มาจากปุจฉา แปลว่าถาม ลิ ก็มาจากลิขิต เขียน ฟัง-คิด-ถาม-เขียน ไอ้เขียนนี่ท่านบอกไว้ว่ากันลืม สุตตะจงฟัง เขาอย่าขี้เกียจ จิตตะคิดให้ละเอียดที่สงสัย ปุจฉาหลงจงถามอย่าเกรงใจ ลิขิตเขียนไว้ได้จะดีเอย เก่งกันทุกคนจำได้หมดเลยไม่มีใครจดสักคนหนึ่ง อย่าเชียวนะไอ้ประเภทพึ่งเทคโนโลยีน่ะ เจ๊งมาเยอะต่อเยอะแล้ว

    อาตมาอยู่วัดท่าซุงถือสมุดบันทึกเข้าโบสถ์อยู่องค์เดียว ถึงเวลาก็จดยิก ๆ พี่น้องไอ้ ๔๐ กว่าคนไปพึ่งไอ้เครื่องบันทึกเสียงอยู่ ปรากฏว่าวันนั้นหลวงพ่อพูดเรื่องที่สำคัญที่สุด เครื่องบันทึกเสียงเจ๊ง อีคราวนี้มันทึ้งอาตมาซะเป็นชิ้น ๆ เลย จดอยู่คนเดียว สิ่งที่เราฟัง จะจำได้ก็ต่อเมื่อสิ่งนั้นกระทบใจของเรา ไอ้ตัวกระทบใจก็คือมันตรงกับใจของเรา ตรงกับการปฏิบัติของเราตอนนั้น แต่สิ่งที่เป็นโยชน์มหาศาลสำหรับเราในอนาคตมันจะผ่านเลยไปเฉย ๆ เพราะฉะนั้นจดซะบ้างโดยเฉพาะนักปฏิบัติ หลวงพ่อท่านบอกว่านักปฏิบัติที่ดีกระดาษปากกกาห้ามห่างมือเด็ดขาด ยิ่งเวลากลางคืนที่พระท่านสงเคราะห์ อาตมาพลิกตัวมาได้ มืดก็มืดแล้วเขี่ยนไว้ก่อนอ่านออกอ่านไม่ออกให้มันมีนัยเอาไว้ถึงเวลามันก็นึกได้เอง แต่ถ้าไม่จดรอให้เวลาผ่านไปพักเดียวเท่านั้นแหละ...ลืม มีอยู่วันหนึ่งหลวงพ่อท่านมาตอนเช้ามืด บอกให้ทำอย่างนั้น ๆๆ สั่งมา ๓ ข้อ ไอ้เราโอ๊ย...สบาย ๓๐๐ ข้อยังจำได้เลย ๓ ข้อ แค่นี้หมูมาก ปรากฏว่าพออรุณขึ้น มัเนหลือแค่ข้อเดียว อีก ๒ ข้อ มันหายขาด ชนิดคิดหัวแทบแตกก็เค้นไม่ออก ถ้าจดไว้ก่อนมันมีเค้าอยู่เราก็จะนึกขึ้นมาได้
     
  7. kjk

    kjk สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 เมษายน 2008
    โพสต์:
    8
    ค่าพลัง:
    +2
    ข่าวสารจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์

    ดิฉันขอเล่าสู่ฟังถึงนิมิตครั้งที่ชัดเจนที่สุดตั้งแต่ได้ปฏิบัติมา
    (โปรดใช้วิจารณญาณ)

    ขณะที่ปฏิบัติหมู่ พุทธลีลามหาปัญญา ร่วมกับกลุ่มนักเรียน รร.หาดใหญ่วิทยาลัย หลังเกิดสึนามิประมาณ 2 วัน (ขอออกตัวก่อน ว่าไม่เก่งเรื่องฌานอะไรเลยค่ะ) ที่พุทธธรรมหาดแก้ว จ.สงขลา

    ไม่ใช่ความฝัน แต่ เป้นสิ่งที่เห็นด้วยตาเนื้อ ทุกคนในเหตุการณ์ที่ถูกสะกิดให้สังเกตจะเห็นได้หมด

    ดิฉันนั่งกรรมฐานพุทธลีลา-เดินจงกรมดอกบัว ๗ ดอก อธิษฐานปฏิบัติข้ามคืน (แต่แอบหลับไป2-3ชม.)แล้วทำต่อเนื่องถึงกลางวันอีกวันหนึ่ง ถามสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในที่นั้น ว่าน้ำท่วมโลก จะมีดังพุทธทำนาย ศาสนทำนาย และนอสตราดามุส ในช่วงไม่กี่ปีนี้หรือไม่
    (ดิฉันมีความเชื่อส่วนตัวว่า กรรมฐานนี้ จะนำตัวเองสู่บุญเก่า-ใหม่ได้เร็ว สิ่งศักดิ์สิทธิ์ มีอิทธิพลสูง ดังปรากฏตนเอง ญาติธรรม และกับเด็กนักเรียน รร.หาดใหญ่วิทยาลัยจำนวนหนึ่งด้วย)

    ระหว่างนั้น ก็พูดกับภาพเจ้าแม่กวนอิมว่า "ท่านโปรดทำภาพท่านให้ชัดเจน เป็นขวัญตาให้เด็กนักเรียนเถิดค่ะ" ภาพที่เห็นข้างหน้าเปลี่ยน ผืนน้ำเปลี่ยน สัตว์ทรงของท่านเปลี่ยน

    เช่นเดียวกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์พระองค์อื่นๆ

    ดิฉัน: สมเด็จพ่อ (พระพุทธเจ้า) เจ้าขา กาลของพระองค์จักเป็นเช่นไร
    สมเด็จพ่อปางปรินิพพาน: สรรพสิ่งล้วนเปลี่ยนไปตามกาลลูก ภาพพระพักต์พระองค์ เริ่มหมองดำ มือที่รองพระเศียร โบกมือมาเหมือนโบกมือลา
    ดิฉัน-สะกิดน้องมัธยม-เห็นอะไร
    น้อง-ท่านโบกมือลา หน้าก็หมองคล้ำ

    รูปสาวกสาวิกาในรูป -จากของตาปกติ กลับตาแดง
    ดิฉันปลอบพวกเขา - สมเด็จพ่อว่า สรรพสิ่ง ย่อมเปลี่ยนไปตามกาล
    เหล่าผู้ชาย คลายตัวจากเศร้าบ้าง
    เหล่าสาวิกา-ปลอบเท่าไรไม่หายเศร้า

    ในระหว่างคืนนั้น สร้อยที่คล้องคอพระศรีอารย์ ขนาดสูงประมาณ 130-140 ซม. ที่เป็นสีทอง ค่อยๆเปลี่ยนทีสีน้อยๆ ทีละเม็ดๆ สีทองกลายเป็นสีมุก ที่แข็ง ก็นุ่มลง พระพุทธรูปกลับมีแววตา

    ดิฉัน (พูดกับพระพุทธรูปในขณะนั้น)-สมเด็จป๋า(พระศรีอารย์) เจ้าคะ น้ำจะท่วมโลกจริงหรือ์
    พระองค์-ฮ่าๆๆๆ (รับว่าเช่นนั้น)
    ดิฉัน-ธรรมชาติจะโหดร้ายกับคนเพียงนั้นหรือเจ้าคะ
    พระองค์-ฮื่อ (หัวเราะต่อ มันก็เป็นไปตามธรรม ตามหน้าที่)
    ดิฉัน-ที่เราทำอยู่ ใช่ทางรอดน้ำท่วมโลกหรือคะ
    พระองค์-เอ็งก็รู้อยู่แล้ว ยังมาถามอีก ฮ่าๆๆ
    ดิฉัน-พระองค์จะมาโปรดต่อเหรอคะ
    พระองค์-เอ้อ..


    หลวงปู่ทวด เสด็จ จีวรที่ดูแข็ง ดูนิ่มลง เอ็นบนพระพุทธรูปโลหะดูปูดโปน ปากย่น อกย่น ตามธรรมดาผิวหนังคนแก่
    ดิฉัน-หลวงปู่เจ้าขา ในท่ามกลางตรงนั้น เวลาที่น้ำท่วมโลกนั้น เหล่าพระโพธิสัตว์..หลวงปู่ สมเด็จท่าน พระโพธิสัตว์กวนอิม และองค์อื่นๆ..จะร่วมกันเสด็จมาโปรดช่วยเหล่ามนุษย์ ที่อยู่ในศีลธรรมทั้ง๕ อย่างสมเด็จโตว่าไว้หรือไม่คะ
    หลวงปู่-พยักหน้า พระพุทธรูปสีสุก ถ่ายรูปติดญาณ
    ดิฉัน-ในเวลาที่ทุกข์ท่วมท้นเช่นนั้นหรือคะ คนจึงจะเรียกหาธรรมะ ยอมรับและเข้าใจกรรมฐานของเรา ที่ลัดสั้นตรง แต่กลับไม่ถูกใจ เหตุเพียงเพราะขัดกับความรู้สึก
    หลวงปู่- พยักหน้า-ตอนนั้น พระโพธิสัตว์จะเข้ามาช่วยกัน คนจะทุกข์มากหลาย คนอิ่มทุกข์แล้ว จึงเปิดใจให้ธรรมะเยียยา

    ดิฉัน-หลวงพ่อคะ(อ.กรรมฐาน) วันนี้เราช่างได้รับความเมตตาจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ท่านลงมาโปรดหลายพระองค์จริง
    หลวงพ่อ-ท่านมาประชุมรวมกัน พอดีมาประชุมที่นี่ เราอยากรู้อะไรก็ถาม ท่านก็ตอบเรื่องที่เราสงสัย บนกรรมฐานของเรานี้

    ประมาณ 3 ปีครึ่งผ่านไป ดิฉันอาจจำคำพูดได้ไม่ครบถ้วนนัก แต่ยังจำภาพต่างๆได้ดี และถ่ายรูปเก็บไว้ด้วย

    อีกครั้งค่ะ...โปรดใช้วิจารณญาณ..ดิฉันหาได้มีเจตนามุสา-เพียงต้องการเพ่งประโยชน์ ต้องการส่งสารที่ได้รับมา เพื่อให้ท่านได้เตรียมตัว เตรียมจิต เตรียมองค์วิปัสสนาที่ถนัด ไว้รับมือความโหดร้ายของธรรมชาติ ขอท่านโปรดงดเพ่งโทษด้วยเถิดค่ะ อนุโมทนา
     
  8. kjk

    kjk สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 เมษายน 2008
    โพสต์:
    8
    ค่าพลัง:
    +2
    หนังสือเกี่ยวกับกรรมฐานข้างต้นค่ะ

    มีหนังสือกรรมฐาน ที่กล่าวถึงกรรมฐานข้างต้นแจก
    โดยเพื่อนๆสามารถ load หนังสือทั้งเล่มได้ที่

    www.gmail.com

    แล้วเข้าไปเปิด mail ที ที่อยู่ jaja7lotus@gmail.com

    รหัสผ่าน 76543210 ค่ะ

    เมลล์บรรจุพุทธลีลามหาปัญญาไว้ (คือเรื่องที่กำลังนำเสนอนี้)
    และพุทธลีลามหาสติ (คืออีกเรื่องหนึ่ง ที่ท่าทางการทำเหมือนกัน แต่วิธีทำความรู้สึกต่างกัน)

    (คุณจาจาเธอเปิดไว้เป็นเมลล์สาธารณะ สำหรับเพื่อนๆที่ต้องการหนังสือทุกคนค่ะ)

    อนุโมทนาค่ะ
     
  9. tam220t

    tam220t ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    67
    ค่าพลัง:
    +537
    ขอถามนอกเรื่อง นิดครับ ว่าคำขอบวข แบบธรรมยุต กับ แบบมหานิกาย แบบ ไหนเป็นแบบที่สมัยพุทธกาลใช้ครับ แล้วแตกต่างกันยังไงครับ
     
  10. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    ขออนุญาตตอบครับ

    การบวชสมัยพุทธกาลนั้น ท่านผู้บวช "ส่วนใหญ่ "ได้รับฟังธรรมโดยตรงจากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จนบรรลุถึงซึ่งความเป็นพระอริยเจ้าเบื้องสูง คือพระอรหันต์ก่อน

    จากนั้นจึงกราบบังคมทูลขอบวชโดยตรงต่อพระพุทธเจ้า

    ซึ่งพระองค์ทรงตรัส ว่า "เอหิ ภิกขุ อุปสัมปทา" เธอจงเข้าสู่เพศแห่งภิกษุ เถิด

    จากนั้น เครื่องบริขาร อันเป็นทิพย์จึงปรากฏ แล เพศแห่งความเป็นพระอริยสงฆ์ของท่านก้ปรากฏ ณ กาลบัดนั้น

    (ท่านเหล่านั้น ล้วนแล้วแต่ได้เคยทำทานถวายผ้าไตรจีวรเอาไว้ในพระพุทธศาสนา)

    ส่วนพิธีกรรมในการบวช ยุคปัจจุบันนี้

    ความสำคัญอยู่ที่

    ความตั้งใจ และเจตนา ว่าบวชเพื่อ "ทำพระนิพพานให้แจ้ง "หรือ"การบวชเพื่อความดี "

    พิธีกรรมถูกต้อง ก็จริงหาก วางกำลังใจผิด การบวชก็นับว่าเป็นอันตรายต่อตนเองอย่างยิ่ง ยิ่งเข้ามาทำกรรมในพระพุทธศาสนา ทำลายศรัทธาของมหาชนนั้น มีอเวจี เป็นที่ไปแทนที่จะได้บุญได้กุศล

    ดังนั้น การ บวช จะ สายใด พิธีกรรมแบบใด หากเราตั้งใจเป็นลูกพระพุทธเจ้า จิตเข้าถึงซึ่งพระนิพพานแล้ว ก็ล้วนแต่เป็นมหากุศลด้วยกันทั้งสิ้นครับ

    ขอได้บวชเอาแก่น คือความดี มีพระนิพพานเป็นที่สุดเป็นสำคัญครับ
     
  11. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    เนื่องจากขณะนี้ มี พี่ๆน้องๆหลายท่าน ซึ่งได้ปฏิบัติธรรม ได้สอบถามในเรื่องการปฏิบัติ โดยทางโทรศัพท์บ้าง ทางพีเอ็มบ้าง

    ซึ่งต้องขออนุญาตนำมาตอบใน กระทู้เพื่อให้เป็นประโยชน์ต่อเพื่อนๆท่านอื่นๆได้เป็นธรรมทานด้วยครับ บางท่าน ขอให้ไม่ออกชื่อ เพื่อไม่ให้เป็นทิษฐิมานะ ความทะนงหลงตน ก็จะไม่ลงชื่อต่อสาธารณะชนครับ และต้องโมทนาบุญในความก้าวหน้าและกำลังใจ ตลอดจนการวางตัว นอบน้อมถ่อมตนของท่านด้วยครับ
     
  12. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    สำหรับเรื่องแรก

    เป็นเรื่องความก้าวหน้าในการปฏิบัติของหลายๆท่านที่ได้ ญาณทัศนะพร้อมกันหลายๆท่านในเวลาไล่เลี่ยกัน

    ซึ่งข้อนี้ เป็นเรื่องของการฝึกสมาธิแล้วจิตสงบระงับลงไปจน ปรากฏ อดีตังสญาณ การระลึกชาติได้

    เรื่องนี้จำเป็นต้องขอเตือนกันก่อน ว่า

    -ก่อนอื่นเมื่อทำได้ก็ขอจงตั้งกำลังใจว่า เป็นเรื่องปกติ ของการปฏิบัติสมาธิ ให้วางกำลังใจให้เป็นอุเบกขา พิจารณาเรื่องราวที่เรารู้เราเห็น ประหนึ่งเรื่องราวของคนอื่น ที่ไม่เกี่ยวกับเรา มองด้วยใจเป็นกลาง อย่าได้ไปปรุงแต่ง จนเกิดการยึดติด กับอดีตเข้าไปอีก

    -ให้ใช้วิปัสนาญาณเข้าไปจับ ไปกำกับในทุกเหตุการณ์ที่เราได้รู้ได้เห็นจากญาณทัศนะทั้งหลาย ให้เห็นทุกข์ จนเกิดการเบื่อหน่ายและการปล่อยวางจากการเวียนว่ายตายเกิด ซึ่งข้อนี้เป็นแก่นที่แท้จริง ที่พระท่านทรงมีพุทธประสงค์ เพื่อให้เราเกิดความ ก้าวหน้าในธรรม และเป็นการใช้อภิญญาเพื่อการหลุดพ้นอย่างแท้จริง

    เนื่องจากในขณะที่ปรากฏญาณทัศนะนั้น เรา ทรงฌานสี่อยู่เมื่อประกอบกับการเจริญวิปัสนาญาณด้วยแล้ว กำลังในการพิจารณาธรรมจะมีสูงดังนั้นจึงมีอานิสงค์ในการบรรลุธรรมสูงกว่า ดังนั้นขอให้ใช้สิ่งนี้ให้เกิดประโยชน์

    -หากเราเองวางกำลังใจ เช่น ทำได้แล้วหลงว่าเราเก่ง เราวิเศษ อันเป็นมานะทิษฐิ กิเลสละเอียด ไม่ช้า ญาณที่ได้ก็จะค่อยๆเสื่อมจนผิดเพี้ยนเฝือไปเป็นผู้พลาดจากความดีในที่สุด ท้ายสุดก็ถูกมารสิงใจ มารคุมจิตไปไม่รู้ตัว

    หากเราเอาจิตไปยึดกับนิมิตรในญาณทัศนะ ไปยึด ไปถือ ไปผูก ไปพันกับเรื่องราว บุคคลในอดีตชาติ ก็นับว่าเราไปหาเรื่องทุกทับเท่าทวีคูณ ให้เราเพิ่มทุกข์จากการยึดมั่นถือมั่น เพิ่มจากชาติปัจจุบันแล้ว ยังไปเพิ่มความยึดมั่นถือมั่นกับเรื่องเก่าในอดีตอันสิ้นไปแล้ว จบไปแล้ว เข้าไปอีก เข้าทำนองที่ว่า ยิ่งปฏิบัตฺธรรมแล้วยิ่งเพิ่มทุกข์เข้าไปอีก

    จงอย่าลืมว่า "เราปฏิบัติธรรมเพื่อการดับทุกข์" อันเป้น"สัมมาปฏิบัติ"

    ดังนั้นการปฏิบัติแล้วเพิ่มความทุกข์ความกังวล จัดเป็น"มิจฉาปฏิบัติ"


    สรุปรวมแล้ว เมื่อญาณทัศนะใดบังเกิดขึ้น ไม่ว่า จะเป็นการปรากฏของภาพกรรม ในอดีตก็ดี การระลึกชาติได้ก็ดี ขอให้วางกำลังใจให้ถูกพิจารณา ด้วยจิตอันเป็นอุเบกขา และนำวิปัสนาญาณเข้ามาจับเข้ามาพิจารณาเพื่อให้เกิด การปล่อยวาง จากกาย จากการติดชาติภพ จนที่สุด ก็เพื่อพระนิพพาน มีการดับกิเลสไม่เหลือเชื้อในที่สุด

    ขอน้อมอัญเชิญพุทธานุภาพแห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเมตตาคุ้มครอง จิตของทุกๆท่านตั้งมั่นต่อสัมมาทิษฐิ ทรงพรหมวิหารสี่เป็นปกติ มีวิปัสนาญาณอันพิสุทธิ์ จิตตั้งมั่นในพระนิพพานด้วยเทอญ
     
  13. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    ส่วนเรื่องต่อมา ก็คือ

    ช่วงนี้มีหลายๆท่านที่ พระพุทธเจ้า และครูบาอาจารย์ท่านเมตตามาสอนกรรมฐานในสมาธิจิต

    ตรงจุดนี้ ก็ต้องขอให้เราต้องตั้งกำลังใจให้ดี ให้ถูกสมกับที่พระจอมไตรศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านได้ทรงเมตตากับตัวเรา

    ท่านเมตตาสั่งสอนก็ จงพิจารณา ไตร่ตรอง ใคร่ครวญ และนำไปประพฤติปฏิบัติ เพื่อความดี มีพระนิพพานเป็นที่สุดเป็นสำคัญ

    เมื่อเวลาที่พระท่านคุมนั้น เราเองจะทรงในมหาสติปัฐฐานสี่ เต็มอารมณ์พร้อมทรงฌานอยู่พร้อมๆกัน

    ตัวธรรมมานุปัฐสนาสติปัฐฐาน จะปรากฏ ละเอียด แง่มุม ที่เกินกว่าตัวเราเองจะคิดพิจารณาได้ด้วยตนเอง

    วิปัสสนาญาณ คือ การพิจารณาธรรมในฌาน จนจิตยอมรับความเป็นจริงในกฏไตรลักษณ์ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป เกิดนิพพิทาญาณ ความเบื่อหน่ายในสังสารวัฏฏ์ จนตั้งจิตมั่นมีพระนิพพานเป็นที่สุด

    การคิด ในหัวข้อธรรมจึงมีความแตกต่างจากวิปัสสนาอย่างมากมาย

    การคิด เป็นการรู้ ที่สักแต่ว่ารู้ รู้แบบลอยๆ แต่ไม่ฝังลงไปในจิต

    วิปัสสนา เป็นการรู้ ด้วยตัวรู้ของ "จิต" ด้วยกำลังของฌาน ที่ทำให้จิตน้อมยอมรับตามความเป็นจริง จนกระทั่ง ความรู้ในธรรมนั้นฝังติดอยู่ในจิตอนุสัย จน ละลาย สำรอก กิเลส ออกไปจากจิต ของเราได้

    ด้วยเหตุนี้ สมถะ และวิปัสสนา จึงคู่กัน

    ขอกราบโมทนาในความก้าวหน้าในการปฏิบัติธรรมของทุกๆท่าน ที่เข้าถึงซึ่งความดี จนปรากฏผล

    มีพระ มีครูบาอาจารย์ท่านเมตตามาสอน ในสมาธิจิต เป็นการยืนยันในธรรมของพระพุทธองค์ ว่าสามารถรู้และสัมผัสได้ด้วยตนเอง

    ขอจงรักษาความดี คุณธรรมที่มีเอาไว้ ตราบเท่าเข้าถึงซึ่งพระนิพพานด้วยเทอญ
     
  14. khomeraya

    khomeraya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    1,833
    ค่าพลัง:
    +21,369
    ปกติไม่ค่อยได้เข้ามาหมวดนี้เท่าไหร่นะครับ เพียงแต่เห็นโครงการของคุณ Kananun ที่หวังดีต่อเพื่อนร่วมโลก ก็เลยคิดจะขอแบ่งปันความรู้บ้าง

    โดยเฉพาะวันสองวันนี้อยากเข้ามาโพสต์ในกระทู้ที่เกี่ยวกับภัยพิบัติ คิดว่าคงเป็นประโยชน์ไม่มากก็น้อย หากท่านใดทราบสิ่งที่ผมจะบอกดีอยู่แล้ว ก็ขอให้นึกเสียว่าผมนำมะพร้าวห้าวมาขายสวนแล้วกันครับ

    คืออย่างนี้ครับ ทุกท่านคงทำบุญไว้เยอะ และคงจะแผ่ส่วนกุศลเป็นกันนะครับ แต่ผมอยากให้แผ่ส่วนกุศลให้จำเพาะเจาะจงลงไปอีกดังนี้ คือ

    ขอให้แผ่ส่วนกุศล หรือถวายส่วนกุศลให้เทวดาและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ดูแลรักษาประเทศไทย หรือจะขยายไปเป็นเทวดาและสิ่งศักดิสิทธิ์ที่ดูแลรักษาโลกก็ได้

    และอีกข้อหนึ่ง อันนี้เป็นความเชื่อของผมเอง เมื่อมีผู้สร้าง มีผู้ดูแล ก็ต้องมีผู้ทำลาย ดังนั้น

    ขอให้แผ่ส่วนกุศล หรือถวายส่วนกุศลให้เทวดาและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่มีหน้าที่ทำลายประเทศไทย หรือจะขยายไปเป็นเทวดาและสิ่งศักดิสิทธิ์ที่มีหน้าที่ทำลายโลกก็ได้ และขอให้ท่านอย่าทำลายหรือก่อให้เกิดอันตรายต่อประเทศไทย ต่อโลกเลย

    ในทางโลก การป้องกันภัยพิบัติก็คือ การสร้างสมดุลของสิ่งแวดล้อม และเหตุปัจจัยอื่นๆทางวิทยาศาสตร์ ทางอาวุธ ทางการเมือง การหาสถานที่หลบภัย

    ในทางธรรม การป้องกันภัยพิบัติก็คือ การไม่ประมาทต่อความตาย การระลึกถึงสิ่งที่ควรระลึก และการทำความดี โดยเฉพาะการทำความดีของมนุษย์นั้น เป็นสิ่งที่โลกทิพย์ใช้เจรจาต่อรองกับผู้มีหน้าที่ทำลายล้าง เพื่อไม่ให้เกิดภัยพิบัติ หรือเกิดขึ้น แต่ให้มีผลในวงแคบได้ (อันนี้ความเชื่อส่วนตัว)

    และเมื่อทำความดีแล้ว ก็ขอแผ่ส่วนกุศลนั้นให้สรรพสัตว์ทั้งหลายและให้กับเทวดารวมทั้งโอปาติกะตามที่ผมกล่าวไว้ข้างต้น

    หมายเหตุ จะใช้คำว่า "ถวาย" ส่วนกุศลก็ได้ คำว่า "ถวาย" ใช้กับผู้ที่สูงศักดิ์กว่าเรา คำว่า "อุทิศ" ใช้กับผู้ที่มีฐานะเท่าเทียมกันหรือต่ำกว่า อย่างไรก็ดี คำว่า "แผ่" "ถวาย" หรือ "อุทิศ" เป็นเพียงการเลือกสรรคำ ไม่ใช่เนื้อแท้ของปัตติทานมัย หรือแปลว่า บุญอันสำเร็จด้วยการให้ส่วนบุญ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 เมษายน 2008
  15. kjk

    kjk สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 เมษายน 2008
    โพสต์:
    8
    ค่าพลัง:
    +2
    ขอถามท่านผู้รู้ อันยิ่งกว่าค่ะ

    ข้อความในกระทู้ 1951 ปฏิบัติแล้วพระพุทธรูปเปลี่ยน ภาพเปลี่ยน มีแสงออกมาจากภาพ ถ้ายภาพติดออร่า เป็นเพราะอะไรคะ อยู่ตรงไหน ของแผนที่การปฏิบัติแล้วคะ

    [​IMG]ขอขอบคุณในความกระจ่างค่ะค่ะ[​IMG]
     
  16. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    ธรรมมะนั้นการตั้งกำลังใจในการปฏิบัติ นั้นเป็นสิ่งสำคัญ

    เพื่อความเก่งหรือ เพื่อความหลุดพ้น

    การให้ธรรมทานก็เช่นกัน

    ปรารถนาให้ผู้อื่นได้เข้าถึงซึ่งความดี หรือ เพื่อให้ผู้อื่นมายกย่องสรรเสริญว่าเราเก่ง

    การระลึกถึงคุณครูบาอาจารย์ก็เช่นกัน

    เราได้ดีมา เราบอกว่าเรารู้เอง เราเก่งเอง บิดคำสอนเป็น ของเราเอง หรือเรากตัญญูรู้คุณ ยกครูบาอาจารย์โดยเฉพาะพระพุทธเจ้าเอาไว้เหนือเศียรเกล้า

    จิตที่พลิกผิดเพียงนิดเดียวเท่านั้น พลาดจากความดีกันมามากแล้ว ชนิด จากฟ้าเป็นเหวเลยทีเดียว

    ดังนั้นขอให้ตั้งจิตไว้ในสัมมาทิษฐิ ตั้งกำลังใจเพื่อส่วนรวม เป็นสำคัญ ปรารถนาให้คนอื่นได้ความดี เจริญในธรรมเป็นสำคัญ
     
  17. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    แผนก็คือ

    มีไตรสรณะคมม์เป็นที่พึ่ง ที่อาศัยสูง
    สุด

    มีสัมมาทิษฐิตั้งมั่น

    จับลมสบายเป็นปกติ

    ทรงพรหมวิหารสี่ครบถ้วนทุกลมหายใจ

    ทรงภาพพระและพระนิพพานเป็นอารมณ์

    มีวิปัสสนาญาณกำกับในอายตนะทั้งปวง

    และที่สำคัญคือ การวางอุเบกขาใน นิมิตรทั้งปวง และระมัดระวัง มานะทิษฐิ (ตัวเก่ง) ไม่ให้จิตฟูขึ้น จนเป็นอหังการ์

    ประคองจิต ให้ ใส สะอาด ชุ่มเย็น ถ่อมตน แต่อบอุ่นและเป็นกัลยาณมิตรต่อทุกคน ทุกดวงจิต

    ให้คนก็ดี สัตว์ก็ดี วิญญาน ทั้งหลายก็ดี รู้สึกถึงกระแสแห่งความสงบ เย็นจากจิตของเราได้เป็นปกติ

    บางสิ่ง "บางอย่างเราไม่จำเป็นต้องเห็นได้ด้วยตา แต่พึงพิสูจน์สัมผัสได้ด้วยใจ"

    อินดิเคเตอร์ที่ดีที่สุดในการปฏิบัติธรรมก็คือ เมื่อไปไหนมาไหน คนก็ดี สัตว์น้อยใหญ่ก็ดี มาเข้าใกล้เรา มาหา เรา มาคลอเคลียเรา เพราะสัมผัสจิตใจที่ดีงามของเราได้ รู้สึกถึงความสงบเย็นของเราได้ นั่นนับว่าพอใช้ได้บ้างไม่เสียแรงที่ปฏิบัติธรรม
     
  18. ชนินทร

    ชนินทร พลังจิตนานาชาติ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,725
    ค่าพลัง:
    +6,384
    ธรไม่แน่ใจนะคะว่าธรได้แจ้งให้เพื่อนๆ ทุกคนได้ทราบเกี่ยวกับการเปิดตู้ ปณ. ของกระทู้วิชชาฯ หรือยัง... ถ้ายังไงขอแจ้งตรงนี้เลยนะคะ...

    ถ้าเพื่อนๆ ท่านใด อยากจะสอบถามเกี่ยวกับการปฏิบัติธรรม สามารถส่งจดหมายมาตามที่อยู่นี้ได้เลยนะคะ...

    ตู้ปณ. 45
    ปณฝ. สันติสุข
    กทม. 10113

    และถ้าเนื้อหาสาระในจดหมายฉบับใดมีเนื้อหาที่เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม พวกเราขออนุญาตกันตรงนี้เลยนะคะ... ที่จะนำคำถาม - คำตอบนั้นมาตอบในกระทู้เลยค่ะ... ดังนั้นถ้าท่านใดไม่อยากให้เปิดเผยชื่อจริง ขอให้บอกมาด้วยนะคะ... หรือจะใช้เป็นนามปากกาก็ได้ค่ะ...

    แล้วอย่างไรช่วยกรุณาใส่ซอง ติดแสตมป์ แล้วจ่าหน้าซองถึงตัวของเพื่อนๆ เอง มาในซองคำถามด้วยเลยนะคะ...
     
  19. พัฒนาตน

    พัฒนาตน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    202
    ค่าพลัง:
    +1,282
    ดีครับพี่ๆเพื่อน ทุกท่าน เห็นทุกคนก้าวหน้าในธรรมแล้ว รู้สึกดีมากๆเลย ขออนุโมทนากับทุกท่านๆด้วยครับ หากทุกคนมีใจใฝ่ในธรรมสัก 50 เปอร์เซ็นต์ของคนในโลกก็คงจะดี ความเดือดร้อนทั้งหลายคงเบาบางไปมาก ผมเองปฏิบัติธรรมมาก็หลายเดือนแล้ว การทดสอบหลายอย่างก็มีมาก แต่อย่างที่พี่ๆเพื่อนๆบอก คือให้วางเฉยไว้ก่อน อย่าเอาอารมณ์มายึดติดให้เกิดความทุกข์ แค่พิจารณาให้เห็นซึ่งอริยสัจ4 และกฏไตรลักษณ์ เท่านี้ก็โล่งแล้วครับ
     
  20. ปูเเว่น

    ปูเเว่น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    1,614
    ค่าพลัง:
    +6,697
    อนุโมทนาด้วยจ้า(y)
     

แชร์หน้านี้

Loading...