ขอความรู้ครับ เรื่องเจริญสติ

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย Chabob1, 27 ธันวาคม 2018.

  1. เล่าปัง

    เล่าปัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    4,787
    ค่าพลัง:
    +7,918
    ถ้าไหวๆ จน โคลงตามได้ จะ ไม่ใช่

    ถ้า จี่ๆ เบาๆ เหมือนที่ ปลายนิ้ว จะใช่

    แต่อย่าลืมว่า..กิจคือ ตามเหนความไม่เที่ยง
    ของ จิต

    ไม่ต้อง จี่ตลอด

    หาก พยายาม รู้จี่ตลอด จะ อึดอัด แหลม ตัน
    เรียกว่า เจตนามันแทรกแซงการปฏิบัติ

    ซึ่งตรงนี้ จะเฝ้น ธรรม ที่พ้นเจตนากดข่ม
    กับ ธรรมที่ไม่สามารถเจตนาสร้าง
    ขึ้นได้(อัพยากฤติ)

    พอเฝ้นเหน ความไม่เที่ยว จาก สภาวะธรรม
    ที่พ้นเจตนาได้ ก้จะเปนเรื่อง การตามเหนวิบาก

    หรือ ตามเหนความดับของ อาสวะ ลูกเดียว

    ไม่มีเรื่อง ก่อภพนักปฏิบัติ
     
  2. Chabob1

    Chabob1 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มิถุนายน 2018
    โพสต์:
    40
    ค่าพลัง:
    +22
    แล้วเราจะรู้ได้ยังไงว่าเราต้องเทียบเคียงบ้าง
     
  3. Chabob1

    Chabob1 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มิถุนายน 2018
    โพสต์:
    40
    ค่าพลัง:
    +22
    อ่อ อันนี้เข้าใจ จี่เหมือนปลายนิ้ว เคยมองหาตอนมันจี่ที่มันเกิดขึ้นครั้งแรก มองหาแล้วเครียดเลยปล่อยวาง อยากจี่จี่ไป แต่ความอยากรู้ว่าจี่ทำไม มันต้องดับที่ความอยากรู้ใช่ไหมครับ
     
  4. เล่าปัง

    เล่าปัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    4,787
    ค่าพลัง:
    +7,918
    สำหรับ พระ ที่เทศนา จี่ ตรงนี้เปน หลัก

    จะชื่อ หลวงพ่อเยื้อน ขันติพะโล

    แต่ถ้า จะสดับ เพื่อความหลากหลาย ก้มี
    หลวงพ่อปราโมทย์ ปราโมทโช

    สำหรับ หลวงพ่อปราโมทย์ จะมี การส่งการบ้าน

    การภาวนาต่อหน้า ตอนที่จับไมค์ถามตอบ

    ผมเข้าสมาธิ น้อมสภาวะ จี่กลางอก ส่ง
    ท่านก้เข้ามาเหน แล้ว บอกให้รู้ว่า "จิตมันส่าย"
    ผมก้หน่วงย้ายไปที่ ศรีษะ ..เข้า ออก แล้วฟัง
    ท่านว่าจะพูดอะไร.....ท่านก้ว่า ภาวนาละเอียด
    ละออ ...คือ ตอนส่งจิตไปฟังหลวงพ่อเทศนา
    ว่าการณ์ ผมก้กำหนดรู้การส่งจิตออกด้วย
    แล้วไม่ให้ถึงท่าน หยุดท่ามกลาง แล้วมาเน้น
    ที่สภาวะไม่เกินกาย หนาคืบ กว้างศอก

    พอภาวนาแบบนั้น ธรรมบรรยายหลววพ่อ
    ก้เข้าไม่ถึงจิต เพราะจิตไร้ที่ตั้ง...(สำหรับ
    ผม ผมจะทำได้ชั่วคราว แล้วก้กลับมายัง
    โลก.....ถ้าเปน สาวกภูมิ ก้ ผั๊วะ ไปแล้ว)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 ธันวาคม 2018
  5. เล่าปัง

    เล่าปัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    4,787
    ค่าพลัง:
    +7,918
    นั่นแหละๆ

    ต้อง สิ้นตัณหา สิ้นอุปทาน ไม่ปรุงการปฏิบัติ

    ถึงจะ รู้ถึงฐานจิต

    จิตจะปรกติมนุษย์ แต่ จะมี การยก
    สิกขาอยู่(จิตไม่ห่างจากฌาณ เพราะมี
    อินทรีสังวรณ์)

    ภาวนาไม่เปนก้รู้ได้

    ภาวนาเปนก้รู้ได้

    เจริญ กับ เสื่อม เปนเรื่องของ เดรัจฉานกถา
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 ธันวาคม 2018
  6. เล่าปัง

    เล่าปัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    4,787
    ค่าพลัง:
    +7,918
    แหม ถ้า ผมหยอด ไปสองสามดอก แล้ว พี่ยังไม่เอะ

    อันนี้ ก้ ตัดกังวลไปเลยฮับ

    หน้าที่ วิปัสสนาธุระ มุ่งประโยชนสำเร็จ
    ตนอย่างเดียว ก้ เปนความ กตัญญูได้
    เรียกว่า ปฏิบัติบูชา

    ส่วน คันธุระ จดจำคำบาลี บ้าง ก้จะออก
    แนว อามิสบูชานิดนึง

    นะ

    เน้น ปฏิบัตบูชาไปเลย ...กตัญญุ เหมือนกัน

    เม้มปาก เงียบกริบ ....คนอื่นเขาอาสัย จรนะ
    ก้สำเร็จตามได้ ไม่ต้องพูดสักคำ
     
  7. Chabob1

    Chabob1 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มิถุนายน 2018
    โพสต์:
    40
    ค่าพลัง:
    +22
    ผมอยากไปฟังธรรมกับหลวงพ่อปราโมทช์อยู่นะ หาข้อมูลจะมีรถตู้ไปเป็นรอบๆใช่ไหมครับ แล้วจะขึ้นที่ไหน ค่าใช้จ่ายเท่าไร
     
  8. เล่าปัง

    เล่าปัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    4,787
    ค่าพลัง:
    +7,918
    ค้นหา ด้วยตัวเอง ไปเลยฮับ.....

    มีวาสนา นาไม่น่วม ก้คงได้ไป

    ได้ไปแล้ว วาสนา นาน่วม.ก้จะได้ส่งการบ้าน
    ( อย่าประเมินว่า ภาวนาเก่ง ไปก่อนส่งการบ้าน
    จะกลายเปน ถูกอัด.....ถ้า วางจิตสบายๆ ได้ส่ง
    ก้ดี ไม่ได้ส่งก้ไม่เปนไร ไม่ไดไมค์ แต่หากท่าน
    เหน ท่านก้ จะสอนเข้ามาได้ .....ธรรม เปนของ
    กลาง เกิดจากปัจจัย กระทบ ....เราไม่ต้องเอา
    ตัวเรา ส่งการบ้าน เปนพิธีการ ก้ได้)

    จริงๆ ภาวนาได้แบบนี้ ....ควร อดทน อดกลั้น
    ไม่ต้อง ส่งการบ้าน "ตั้งจิตให้ตรง" ก้ภาวนา
    สำเร็จได้.....โดยลำพัง...(ฆราวาส จะยากนิดนึง
    เอาตรงนี้แหละ วาสนาภาวนา เด็ดเดี่ยวแบบ
    พระย่อมไม่มีใน ฆราวาส---เน้นหมู่คณะ ออกทาง
    ทำตามๆกันไป นำหน้า)
     
  9. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,428
    ค่าพลัง:
    +35,007
    อืม ที่เล่ากิริยามาทั้งหมด คือมาถูกทางแล้วหละ ในส่วนของการแยกรูปแยกนามนะ
    แต่ในส่วนของการเดินปัญญา อยู่ในช่วงจิตกำลังสร้างแนวทางเดินให้จิต
    เพื่อเดินปัญญาอยู่ยังไม่ใช่ปัญญาทางธรรมนะ แต่ถือว่าดีเพราะทั่วไป
    ก็ต้องมาแบบนี้ก่อนทั้งนั้น อย่างเรา เพิ่มทริคอีกนิดเดียว
    เด่วจะบอกให้ฟัง เอาทีละช่วงนะ


    ส่วนนี้เป็นส่วนตอนที่หลับ
    ถ้าได้ยินเสียงกรนตัวเองได้ในขณะหลับไปแล้ว ถือว่า กำลังสติตรงนี้ดีแล้ว
    แต่การที่จะพิจารณาไปด้วยตรงนี้ จะทำอย่างไรถึงจะได้ผล
    จะได้ผลก็ต่อเมื่อ เรื่องที่จะพิจารณามันจะต้องผุดขึ้นมาเอง
    ไม่ใช่เรื่องที่เราระลึกขึ้นมาเอง ณ เวลานั้น เราเรียก ว่า ''การวางอารมย์ระหว่างวัน''
    สำหรับการเอาไว้พิจารณา ซึ่งถ้าทำได้ มันจะไม่เป็นวิปัสสนึกหรือเป็นการดึงสัญญานั่นเอง

    วิธีการ ในระหว่างวัน เช่น เรารู้ว่าไม่พอใจอยู่แล้ว ซึ่งทำให้รู้สึกได้ว่าที่ลิ้นปี่
    มีลมไหวๆคล้ายหมุนได้หรือขยับได้ กิริยา ตรงนี้หละ เค้าเรียกว่า ''จิตกระเพื่อม''

    ให้เรา ระลึกเอาไว้ว่า เอ่อ วันนี้ เราไม่พอใจเรื่องอะไร เราพลาดตรงนี้
    คือ ณ เวลานี้ ตัวเรา ทันอารมย์อยู่แล้ว จากผลการเจริญสติ แต่ให้เพิ่มตรงนี้เข้าไป
    ตัวอย่าง...
    เช่น ๑.รู้สึกทันว่าไม่พอใจ เพราะเรื่อง ก ให้ระลึกว่า อ่อ พลาดเรื่อง ก
    ๒. รู้สึกทันว่าไม่พอใจ เพราะเรื่อง ข ให้ระลึกว่า อ่อ พลาดเรื่อง ข
    ๓. รู้สึกว่าโลภ เพราะเรื่อง ค .......
    ๔.รู้สึกโน้นนี่นั้น เพราะเรื่อง ง .......

    ให้ระลึกไว้ระหว่างวัน ว่าวันนี้พลาด เรื่อง ก ข ค และ ง แล้วก็ให้เฉยๆ
    ไม่ต้องไปสนใจ ไปตามดูอะไรมัน ให้ลืมไปเลย เข้าใจนะ

    ถ้าทำได้ เด่วพอตอนที่หลับ ในสภาวะที่ได้ยินกรนตัวเองได้นั้น
    ถ้าเราไม่ลืมตา เรื่อง ก ข ค และ ง มันจะผุดขึ้นมาได้
    ของมันเองตามลำดับอัตโนมัติของมันเอง ย้ำว่า ผุดขึ้นมาเองอัตโนมัติ
    ทีระเรื่อง เราก็จะอยู่ในโหมด วิปัสสนาได้ แบบไม่เป็นวิปัสสนึก
    นึกออกไหม ถ้าไม่ทำ ตอนที่หลับ เราจะนึกเรื่องอะไรไม่ออก
    พอนึกขึ้นได้ก็กลายเป็นสัญญาไป ซึ่งไม่ได้ผลอีก(ไม่ได้ผลคือยังพบว่า
    ในเวลาใช้ชีวิตปกติ ทำไมเรื่องที่เคยนึกขึ้นมา และที่เราเคยรู้ระหว่างวัน
    ยังส่งผลให้จิตกระเพื่อมได้อีกอยู่นั่นหละ พอเกทไหม)
    จบในส่วน ตอนที่หลับ ซึ่งสามารถประยุกต์ใช้ในขณะทำสมาธิ
    แบบพิธีการได้.........


    จบตรงนี้ก่อน ตรงลิ้นปี่ก็จะไหวเบาๆ
    กิริยา จิตกระเพื่อม หรือ มันเกิดแล้ว รับรู้ได้เป็นเรื่องดี(ยกเว้นคนอายุมากๆ ๕๐ up หรืออายุมาก
    แบบที่พรุ้งนี้น้ำจะท่วมบ้านแต่นอนได้เหมือนคนปกติจะไม่มี)
    ที่ทัน อารมย์(ไม่ว่าจะพอใจ หรือ ไม่พอใจ เป็นฝ่ายอารมย์ เป็นนามธรรมทั้งสิ้น)
    ตัวที่ ทันตรงนี้ คือ ''สติทางธรรม'' นั่นหละ
    และเราอยู่ในช่วงของการเริ่มจะเดินปัญญาได้
    แต่ยังมีอะไรอีกนิด เด่วจะแยกให้ดูดังนี้


    ตรงนี้เป็นส่วนของการเดินปัญญา ในระหว่างวัน ด้วยกำลังสมาธิไม่มาก
    เป็นวิธีการที่ใช้ได้เป็นสากลทั่วไป ซึ่งมันจะต้องเห็นการเกิดดับ
    เกิดดับซ้ำๆบ่อยๆของมันเองแบบนี้หละถูกแล้ว
    อนาคตถ้ามันเกิดปัญญาทางธรรม จิตมันถึงจะวางได้เอง


    อาการที่เราบอกว่า ไม่ได้เป็นคนเฉยชา คือ กิริยาที่จิตมันรับรู้อารมย์อยู่แต่ไม่ยึด
    เป็นเรื่องปกติที่ถือว่าดี...แต่ยังไม่พอ ถ้าจะให้เกิดปัญญาทางธรรมนะ


    .............แต่ปัญหาที่สำคัญ ที่เราควรพึ่งระลึกไว้ว่า กิริยาพวกนี้
    แบบที่เล่าให้ฟังมา ถ้ามันเกิดขึ้น ในขณะที่จิตมี การกระเพื่อมอยู่
    หรือมีการเคลื่อนไหวที่ลิ้นปี่ อยู่แม้แต่นิดเดียว มันจะกลายเป็น
    แนวทางเดินให้จิตเอาไว้ใช้เพื่อเดินปัญญา แต่ยังไม่ใช่ปัญญาทางธรรม
    ถามว่า ดีไหม ดีเพราะว่า มันเป็นเรื่องปกติ ที่จะต้องผ่าน อ่านไว้ก่อน เด่วบอกตอนท้าย
    ว่าถ้าวางแล้ว กิริยาจะเป็นอย่างไร



    กิริยาตรงนี้ เหมือนกับข้างบนเลยคือ
    เป็นลักษณะขั้นตอนของ
    แนวทางเดินให้จิตเอาไว้ใช้เพื่อเดินปัญญา
    แต่ยังไม่ใช่ปัญญาทางธรรม ^_^


    การจะเกิดเป็นปัญญาทางธรรมได้
    ทริคก็คือ ถ้าจิตยังกระเพื่อมอยู่ หรือว่ามันเกิด
    ให้หาอุบายอย่างไรก็ได้ ทำให้มันดับก่อน
    คือ ต้องไม่เกิดเลยแม้แต่นิดเดียวก็ไม่ได้นะ
    ตรงลิ้นปี่ต้องนิ่งๆจริงๆ
    ด้วยวิธีการ ช่วงนี้อ่านดีๆนะ
    เพราะถ้าทำได้ มันจะส่งผลต่อความสำเร็จ
    ความเร็วในการฝึกกรรมฐานกองต่างๆ
    ถ้าหากว่าเราเกิดสนใจที่จะฝึกด้วยนะ.....

    ๑.จะรู้ทันมัน แล้วไม่สนใจมัน ปล่อยให้รับรู้แต่อารมย์
    แบบที่เราทำอยู่ ณ ปัจจุบันก็ได้ แล้วแยกมันออกเป็น
    กุศลหรืออกุศล ก็พอ
    แล้วก็เฉยๆไป
    ๒.จะกำหนดดับมันเลยก็ได้
    แต่ต้องอาศัยกำลังสมาธิเล็กน้อย(ถ้าทำได้) แล้วก็เฉยๆไป
    ๓.จะเปลี่ยนไปคิดเรื่องอื่นๆแทนก็ได้ พอเรื่องนี้ดับ ก็เฉยๆไป
    ๔. จะเปลี่ยนมาระลึกรู้ลมหายใจเข้าและออกหยุดที่ปลายจมูกก็ได้ แล้วก็เฉยๆไป
    หรือ ๕.จะเปลี่ยนอริยบท มาเป็นการเดินนับก้าวแทนก็ได้แล้วก็เฉยๆไป
    ทั้ง ๕ วิธีนี้ได้หมด เลือกเอาตามความเหมาะสม


    หลังจากที่เราเฉยๆ ได้แล้ว ที่นี้มันจะมีความคิดประเภทหนึ่ง
    ที่จะจรเข้ามา ซึ่งเป็นสัญญาในอดีต เอกลักษณ์ของมันคือ
    ถ้าเราไปรู้ ไปเห็นมัน มันจะดับทันที ย้ำว่า ดับทันที
    และมันจะเปลี่ยนเป็นเรื่องอื่นแทน

    กรณีถ้ามีความคิดแบบนี้เข้ามา นั่นหละครับ
    อย่าพึ่งไปดู ไปรู้ และไปดับมัน...คือให้เฉยๆ

    (การที่เราเหมือนส่งตัวสติไปรู้กิริยาต่างๆของมัน
    ในขณะที่จิตกระเพื่อมหรือเกิดไปแล้วนั้น
    มันไม่ใช่การรู้อะไรนะครับ คนหลงกันมาเยอะ
    แต่มันเป็นการที่จิตส่งตัววิญญาน
    ไปรับรู้กระบวณการที่มันได้เกิดไปแล้ว ซึ่งถือว่า
    เป็นการส่งออกอย่างหนึ่งไปแล้ว เหมือนเราเข้าไปมี
    ส่วนร่วมในการเล่นละครบทหนึ่ง แน่นอนว่า
    เราจะรู้หมดว่าใครเล่นเป็นอะไร มันไม่มีประโยชน์
    อาจจะหลงตัวเองได้ ซึ่งจิตจะไม่ได้รู้เห็นในกระบวน
    การทั้งหมดที่มันเกิดจริง แต่มันคือการที่เราเผลอเข้าไปร่วมกับ
    กระบวณการที่มันเกิดไปแล้วเหล่านั้น ซึ่งมันจะไม่ได้ผล
    จนกระทั่งย้อนไปสู่เหตุแห่งการเกิดดับได้ในอนาคต
    มันจะรู้แค่ส่วนที่เกิดไปแล้ว จะทำให้หลงว่า
    การไปเห็นกระบวณการเหล่านั้น
    เป็นผู้รู้ เป็นการรู้อย่างหนึ่ง
    จะทำให้เราเสียเวลาและพลาดอย่างแรง เพราะเราจะไม่เห็นในกระบวณการทั้งหมด
    คือ ไม่รู้ว่า ใครเขียนบท ไม่รู้ว่า ใครเป็นผู้กำกับ ใครเป็นตากล้อง จะรู้แค่
    เรื่องการแสดงของนักแสดงแต่ละคน
    เราต้องเสหมือนแค่เป็นคนดู การเล่นละครต่างๆเหล่านั้น
    จิตมันถึงจะรู้ว่า เป็นแค่การแสดงเป็นละครโดยยังมี
    ผู้อยู่เบื้องหลังละครเหล่านั้นอยู่ พอนึกภาพออกนะ)

    และให้มาดูว่า จิตเรากระเพื่อมหรือไม่....
    ถ้าไม่ ก็ให้เราเฉยๆ ไม่ต้องสนใจอะไร
    การที่เฉยๆและไม่อะไรๆกับมันนี่หละ
    มันจะเป็นไปของมันเอง

    (คือกิริยาที่ ปล่อยให้จิตว่างรับรู้ โดยมีสติทางธรรม
    คอยกำกับไม่ให้ จิตเข้าไปปรุงร่วม หรือ ปล่อยให้จิต
    ดูของเค้าอยู่อย่างนั้น หรือเป็นเสมือนแค่ผู้ดู คอยมองเฉย
    แต่มันจะทำอย่างนี้ของมันเอง)

    กรณีนี้คือ กิริยาปล่อยให้จิตว่างรับรู้ภายในอยู่อย่างนั้น
    หรือเปรียบได้เสมือนเรากำลังดู การเล่นละครอยู่

    เด่วพอจิต มันเข้าใจว่า เอะพวกที่ กำลังเล่นละครให้เราดูอยู่นั้น
    มันเป็นเพียงแค่การแสดง มันก็จะปล่อยวางได้ของมันเอง
    เหมือนๆ ที่ตอนแรกเรากำลังดูละครอยู่ พอดูไปจนจบ
    เราก็รู้ว่า เอ้า เป็นการแสดงอย่างหนึ่งนี่เอง ดูเสร็จแล้วก็จบไป

    ถ้าเป็นอย่างนี้ได้ กิริยาที่จะเกิดก็คือ กิริยาที่จิตปล่อยวาง
    เคยไปทำบุญไหม ที่เรารู้สึกเย็นๆสบายๆบริเวณลิ้นปี่
    นั่นหละ กิริยาคล้ายกัน ถ้าจิตมันมันปล่อยวาง
    เพียงแต่มันจะเกิดขึ้นหลังจาก เราได้ผ่านกิริยา
    ที่ได้เล่าให้ฟังมาข้างบน คือ หลังจากจิตไม่กระเพื่อม
    และเราเฉยๆไม่อะไรๆกับมัน ช่วงนี้เราจะรู้สึกเหมือน
    เรานิ่งๆไม่อะไร เด่วจิตเราจะคลาย จะวาง จะรู้สึกโพล่งได้
    ของมันเองอัตโนมัติ กิริยาแบบนี้ บอกได้ว่า
    จิตมีปัญญาทางธรรมมากพอ ที่จะตัดและคลายเรื่องที่จร
    เข้ามานั้นๆได้นั่นเอง.....

    แรกๆมันจะเป็นแค่หลักวินาที นานๆทีจะเกิด จะเป็นเรื่องธรรมดา
    มันจะพัฒนาจากหลักเดือนครั้ง มาสัปดาห์ ครั้ง มาวันละครั้ง
    และมาวันละหลายๆครั้ง....ซึ่งมันเป็นเรื่องธรรมดาของการปฏิบัติตามลำดับ

    ให้ทำไปเรื่อยๆ จนกระทั่ง จะเกิดกิริยา คล้ายๆเราไปทำบุญได้
    ในวันหนึ่งหลายๆครั้ง ค่อยมาว่ากันอีกทีหากต้องการฝึกกรรมฐานต่างๆ
    หรือถ้าจะต้องการพัฒนาไประดับปัญญาญาน....


    เพราะปัญญาทางธรรมแม้ว่า มันจะวางเรื่องนั้นๆที่จรเข้ามาได้
    แต่อีกไม่นาน อาจจะหลายเดือนหรือเป็นปี มันจะยังสามารถย้อน
    ขึ้นมาได้อีก ไม่เหมือนกับปัญญาญาน ที่จะค้นเหตุแห่งการเกิดดับได้เลย

    ตัวอย่าง เพื่อความง่ายในการเข้าใจ

    ระหว่าง ปัญญาทางธรรม กับปัญญาญาน
    เช่น เห็นภาพผี A ถ้ามีปัญญาทางธรรม จิตจะเฉยๆ ไม่ยึด ไม่กลัว ไม่ได้สนใจอะไร
    และถ้ามีสติทางธรรมร่วมด้วย จะรู้ด้วยว่า วัตถุประสงค์อะไร เช่น เป็น นาย A มาให้เห็น
    เพื่ออะไร เป็นใคร ญาติใคร ทำไมเราถึงเห็นได้
    และต่อมา
    ก็มีการทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้ แล้วก็ไม่ยึดอะไร นี่คือ ปัญญาทางธรรม
    และอนาคตก็จะเห็น ภาพผีอื่นๆได้อีก แต่จะเข้าใจคล้ายๆกัน



    ปัญญาญาน เช่น เห็นภาพผีเดียวกัน จิตจะเฉยๆไม่ยึด ไม่กลัว ไม่ได้สนใจ
    และถ้ามีสติทางธรรมร่วมด้วย แม้รู้ว่า เป็น ภาพผี A
    สติจะตัดภาพ และจิตจะย้อนค้น ภาพนั้นๆไปเรื่อยๆ
    ย้อนค้น คือ จะได้เห็นภาพ A นั้นเปลี่ยนไปเป็นภาพอื่นๆ
    อีกหลายๆภาพ จนจิตหายสงสัยว่า
    ทำไปถึงได้เห็นเป็น ภาพ A ได้ ณ ปัจจุบัน
    นี่คือ ลักษณะปัญญาญาน ที่เล่าให้ฟังว่า ค้นได้ถึงต้นตอแห่งการเกิด
    จิตต้องได้ประมาณนี้นะ ในเบื้องต้น


    เรื่องอารมย์ต่างๆ อะไรก็คล้ายๆกัน จากตัวอย่าง คงพอจะเห็นภาพกว้างๆได้

    ปล. ค่อยๆเป็นค่อยๆไป ถ้าเราปฏิบัติเข้าถึงเมื่อไร เราจะเข้าใจได้ของเราเองนั่นหละ
    ถ้ามีโอกาสได้พบ ลพ.ท่านดังกล่าว ลองถามท่านดูก็ได้ว่า
    ถ้าจิตยังแยกรูปแยกนามไม่ได้ ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องวิปัสสนาใช่ไหมครับ
    รอฟังที่ท่านตอบ
    แล้วจะเข้าใจอะไรได้อีกเยอะ
     
  10. Chabob1

    Chabob1 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มิถุนายน 2018
    โพสต์:
    40
    ค่าพลัง:
    +22
    ปัญญาทางธรรมผมว่า ผมยังไม่มี เพราะผมไม่รู้ว่ามาทำไม ผมไม่เคยเห็นผีด้วยตาเนื้อนะ สมาธิก็ไม่เคยเห็น แต่ปัญญาญานผมก็อาจจะใกล้เคียงนิดนึง อาการของผม ช่วงที่ผมนั่งสมาธิผมจะเห็นใครก็ไม่รู้ ขึ้นมาเป็นนิมิตรให้เห็น แรกๆก็เอะใจ คล้ายจิตทุลนทุลายเกิดการอยากรู้ คิดเป็นตัวตนขึ้นมาแล้วจับสิ่งที่เห็นมายึด พอเราเห็นนิมิตรที่ใครก็ไม่รู้เข้ามาหาเราบ่อยๆ จากอาการที่ยินดีจะได้เห็นกลายเป็นทุกข์ ทุกข์เพราะสงสัย เหมือนมันแบกอะไรก็ไม่รู้ที่ไร้สาระ ที่มันเตะต้องในความจริงไม่ได้เลย ผมลองปล่อยให้จิตตัวเนี่ยให้เบาดู มันคิดมันทุกข์ปล่อยมันตามธรรมชาติ มันเห็นก็ปล่อยมัน ในระหว่างที่ปล่อย ผมดูจิตที่เคลื่อนไปกับเรื่องไร้สาระ สติจะอยู่ที่จิตจะไม่อยู่ที่ภาพอีกต่อไป ในขณะที่เราดูจิตมันแล่นไป มันได้คำตอบว่า เราก็คือเรา ปัจจุบันเราใช้ชื่อนี้ เราเกิดเป็นแบบนี้ ต่อให้เคยเกิดเป็นหมาหรือนักรบ สุดท้ายปัจจุบันเราคือคนนี้ มันไม่มีประโยชน์ที่จะยึดอะไร เพราะปัจจุบันมันยังทุกข์ งั้นเราควรจะดับทุกข์แบบมักง่ายไปก่อน ถ้านั่งแล้วเห็นทุกข์ พักการนั่งสมาธิ ให้จิตมันคลายบ้าง ใช้ชีวิตอย่างสนุกๆดู แล้วมีสติตอนลืมตา หลังจากนั้นก็เดินสติมาตลอด ผมไม่รู้ว่าเรียกว่าปัญญาญานไหม พอกลับมานั่งใหม่จากที่เห็นแล้วเคยยึด กลายเป็นเห็นก็คือเห็น มันเป็นของธรรมดา เดี๋ยวมันก็ดับ เดี๋ยวมันก็ฉายภาพให้เราดูใหม่ ไม่เห็นก็คือไม่เห็น จากที่เคยติดสมาธิก็ไม่ติดเลย

    แต่ผมจะไปปฎิบัติตามที่พี่บอกนะครับขอบคุณมากๆครับ ที่ชี้แนะ เป็นประโยชน์มากๆครับ
     
  11. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,428
    ค่าพลัง:
    +35,007
    อ่านดีๆเพราะ
    พูดตรงๆไม่อ้อมนะ
    ตัวอย่างที่พี่ยกให้อ่านนั้น
    คือให้เราพอเห็นภาพ
    เผื่อว่าจะพอเทียบเคียงได้
    แต่อย่าเข้าตัวเอง
    เพราะถ้าเป็นอย่างที่เราเข้าใจ
    คนที่จะถามต้องเป็นพี่
    รวมทั้งเรื่องพิเศษอื่นๆด้วย
    ถ้ายังตอบไม่ได้ว่า
    ทำไมเราถึงเห็นภาพแบบนี้
    และภาพแบบนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร
    อย่าพึ่งเข้าใจว่าเป็นปัญญาญาน
    เป็นอันขาด
    เข้าใจเนาะ

    แต่อย่างว่าคนปฎิบัติเข้าถึงมัก
    ไม่รู้ว่าตนเองเข้าถึงหรือยัง
    เพราะเราจะนึกภาษาสมมุติมาเทียบ
    กิริยาที่เป็นนามธรรมที่เราเข้าถึงไม่ออก
    เค้าเรียกว่าเข้าถึงสภาวะ นั่นหละ
    แต่จะเข้าถึงแบบไหน
    ของน้องพอเข้าถึงวิถีปัญญาทางธรรมได้ แม้ว่ากำลังสติช่วงนั้นจะยังไม่พอ
    ให้เราทราบวัตถุประสงค์ หรือทราบอะไร
    แต่แนวทางปฎิบัติมันข้ามไปทาง
    ให้เกิดปัญญาทางธรรมขึ้นมาได้
    จริงๆมันได้มาจากความคิดทางกุศล
    บวกกับสัมผัสภายใน สองอย่างนี้มาช่วย
    หนุนนะ ขาดอย่างใดอย่างหนึ่ง
    จะไม่เกิดแนวทางความคิดทาง
    ปฎิบัติแบบน้อง


    เอาว่ากิริยาที่น้องเล่าให้พี่ฟังมาทั้งหมด
    นั้นหละเค้าเรียก เส้นทางในการเกิดปัญญาทางธรรม มันคือโหมด
    ปัญญาทางธรรมนั่นหละ
    ที่เป็นไปเพื่อให้จิต ละคลายจากสิ่งนั้น
    แต่ไม่ใช่ปัญญาญานนะ


    เพราะถ้าปัญญาญานมัน
    จะรู้เหตุแห่งการเกิดดับ รู้ยังไง ?
    เอาตัวอย่างเรื่องภาพนี่หละ ง่ายดี

    Exe.
    ยกตัวอย่าง สมมุติถ้าเป็น
    ปัญญาญานนะ กรณีเรา
    สมมุติเห็นภาพ พระสงฆ์นั่งสมาธิ
    ตอนนั่งสมาธิ แต่เราไม่รู้จัก(ไม่แปลก)

    ถ้าจิตเริ่มเข้าวิถีปัญญาญาน
    กำลังสติจะทำหน้าที่ในการระลึกรู้
    และปัญญาทางธรรมจะทำหน้าที่ตัด
    ภาพนั้นทันทีภายในเสี้ยววินาที
    คือไม่สนใจภาพเลย ไม่ว่าจะภาพอะไร

    และมันจะเปลี่ยนเป็นภาพใหม่สภาพแวดล้อมอาจใหม่ หรือสภาพแวดล้อมเดิม
    แต่ชุดแต่งกายใหม่
    หรือสภาพแวดล้อมใหม่
    การแต่ชุดแบบใหม่ อาจมีเราอยู่ในนั้น
    เป็นที่นั่งใหม่ ท่าเดิม
    แบบไหนก็ได้ แล้วแต่สัญญาในจิตเรา
    ซึ่งภาพเหล่านี้ก็จะขึ้นมาภายในเสี้ยว
    วินาทีเช่นกัน

    และสติกับปัญญาทางธรรม
    ก็จะทำหน้าที่แบบนี้วนไปเรื่อยๆ
    แล้วแต่สัญญาใครสัญญามัน
    คนอื่นอาจเปลี่ยนจากภาพพระ
    เป็นภาพโน้นนี่นั้น ไปเรื่อยๆ

    ของเราอาจจะเปลี่ยนไป ๗ ถึง ๘ รอบ
    กลับพบว่าก็ยังเป็นภาพเดิมๆต่างที่สภาพแวดล้อม

    จนสุดท้ายก็จะไม่มีภาพอีก และถ้ายังอยู่
    ในอารมย์นั้น จิตมันจะอ้อขึ้นมาว่า
    มี่เกิดเป็นภาพให้เราเห็นได้ เพราะว่า
    มันเป็นสัญญาของจิตนี้ ที่ได้เคยข้องเกี่ยว
    กับภาพพระที่เห็นตอนแรกนั้น
    ภาพชุดสองคือเหตุแรกของสัญญาในชาติ
    ล่าสุด ภาพชุดต่อมาคือสัญญาในชาติ
    ย้อนไปสองชาติ ภาพชุดสามย้อนไปสามชาติ คือจำนวนภาพจะหมดเมื่อจิตมันค้น
    ถึงต้นตอจนมันรู้เหตุและหายสงสัย

    ดังนั้นจำนวนภาพที่ปรากฎจึงแล้วแต่ภาพ
    แล้วแต่ดวงจิต พอจิตค้นถึงเหตุ
    สมมุติย้อนไปแปดชาติ และไม่มีภาพ
    แสดงว่าเพียงพอที่จิตจะรู้เหตุแล้ว

    เราก็จะรู้ได้เองว่า. อ้ออออ
    ที่เห็นเป็นภาพนี้ เพราะว่า
    เราเคยมีสัมพันธ์โน้นนี่นั้นกับ
    ท่านนี้ ตอนชาติโน้นนี่นั้น
    เพราะเราเคยเป็นโน้นนี่นั้น
    และได้พบเจอท่านมาตลอด
    จึงฝั่งไว้เป็นสัญญาในจิต
    และเหตุที่เกิดภาพนี้ให้เราเห็นนั้น
    เกิดจากภายในเราเอง
    หรือภายนอกส่งเข้ามา
    หรือทั้งสองส่วนร่วมกัน
    คือมันจะมีเครื่องรู้ของมันเอง
    นี่คือการรู้แบบปัญญาญาน
    และมันจะเกิดขึ้นภายในไม่กี่วินาที
    แบบอัตโนมัติถ้าจิตเราเริ่มเดินมาถึง
    ปัญญาญาน. พอเห็นภาพแบบกว้างๆนะ
    พวกนี้เราจะรู้เองแบบสิวๆ
    ถ้าจิตมาทางวิถีปัญญาญาน

    กรณีภาพ ถ้าสติและปัญญาทางธรรม
    ไม่เร็วพอและตัดได้เร็วพอจะขึ้นภาพในก๊อก
    ต่อมาและก๊อกอื่นๆได้
    จิตจะยังไม่ถึงวิถีแห่งปัญญาญาน
    หรือถึงต้นตอเรื่องนั้นๆจนจิตหายสงสัยได้
    จนไม่เหลือเชื้อให้ภาพหรือเหตุนั้นเกิดได้อีก
    ต่อไปในอนาคตเลย

    คล้ายเราเห็นเชือกเส้นหนึ่งอยู่(ภาพแรก
    ตอนนี้ปัญญาทางธรรมทำให้ไม่ยึดภาพซึ่งถือว่าดีแล้ว)
    แต่เรายังไม่สามารถคล้ายปม
    เชือกเส้นเล็กๆที่มัดรวมเป็นเชือกเส้นเดียว
    ที่เราเห็น(ปมคือภาพอื่นๆ
    ที่ปรากฏเรื่อยจนไม่มีภาพอีก
    คือคลายปมเชือกหมด)


    ปล หวังว่าจะพอเข้าใจ
    การปฎิบัติมันจะค่อยๆ
    เป็นค่อยๆไปตามลำดับนะครับ

    ตำราอ่านได้แต่อย่ายึด
    เพราะมันดัดแปลงผลิกได้
    บันทึกได้ตามแต่สภาวะผู้เรียบเรียง

    แต่สภาวะธรรมเป็นนามธรรม
    ใครก็เปลี่ยนแปลงไม่ได้
    เพราะมันอาศัยการปฎิบัติในการเข้าถึง
    และจะมา คิด วิเคราะห์ แยกแยะ
    ตีความเอาก็ไม่ได้
    ไม่งั้นมันมักจะตีความ
    เข้าข้างตัวเองได้มันจะ
    เหมือนเราขับรถเครื่องยนต์
    ๑๕๐ cc. แต่ชอบพูดถึงคุยให้คนอื่นๆ
    ฟังเรื่องย่านความเร็ว
    และอารมณ์ในช่วงความเร็ว
    ๒๐๐ เกือบ ๓๐๐ กิโลของรถเครื่องยนต์
    ๑,๐๐๐ cc. ซึ่งพูดอย่างไร
    มันก็ไม่ใช่ เพราะเครื่องยนต์เราตอนนี้
    วิ่งอย่างไรก็ไม่เกิน๑๙๐ กม.
    พอนึกออกไหม

    ถ้าจะเอาดีหรือไปได้เร็วทางปฎิบัตินั้น
    ต้องระวังเรื่องการเข้าข้างตัวเอง
    เหมือนตัวอย่างที่ยกให้ฟัง
    เรื่อง cc.เครื่องยนต์ ให้ดีๆ

    เพราะโทสะ โมหะ โลภะ ในจิต
    มันมีหลายระดับ มันแอบแทรกผุดขึ้นมาได้
    เสมอ ดังนั้นถ้า คิดอะไร
    ปฎิบัติไปแล้ว ให้คอยดูว่า
    เราเผลอได้ดึงเอา. ตัว ลาภ ยศ สุข
    สรรเสริญ อย่างใดอย่างหนึ่งเข้ามา
    จนกลายเป็นตัวเองไหม ถ้าเผลอมี
    โดยเฉพาะการอยากได้รับการยอมรับ
    จากสังคมด้วยให้เห็นว่า เรามีอะไรเหนือใคร
    ดีกว่าเก่งกว่าใครนั้น ให้ระวัง

    ดวงจิตที่จะมีคุณวิเศษในตัวเองได้นั้น
    ต้องไม่ยินดีและชื่นชมในกามคุณและกามอารมณ์ ไม่ว่าจะเป็นรูปธรรมก็ดี(วัตถุสิ่งของต่างๆ)หรือ
    นามธรรมก็ดี(ภาพนิมิตโน้นนี่นั้น อารมย์ต่างๆ พลังงาน การรับรู้ สัมผัส โน้นนั่นนี่ ฯลฯ) ดังเช่น ท่านที่เหาะไปเอา
    บาตรไม้จันทร์ ตั้งแต่สมัยพุทธกาลโน้น

    ปล ค่อยๆเป็นค่อยๆไป
    Happy new เมีย เห้ย!
    New Years 2019 โชดดี. ^_^
     
  12. Chabob1

    Chabob1 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มิถุนายน 2018
    โพสต์:
    40
    ค่าพลัง:
    +22
    ถ้าHAPPY NEW เมีย มันจะไม่มีปีต่อไปอีกครับ55555

    สุขสรรค์วันปีใหม่ ขอให้มีความสุขครับ

    ขอบคุณนะครับที่เตือนกัน
     
  13. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    +++ คำว่า "พิจารณา" เป็นคำศัพท์ที่เป็น "อันตราย" เพราะในยุคปัจจุบัณนี้ คำว่า "พิจารณา = ปรุงแต่ง/คิด/มโน"
    +++ ควรหลีกเลี่ยง การใช้คำศัพท์ที่เบี่ยงเบนไปได้ใน หลาย ๆ ทาง และควร "ใช้ภาษาตามอาการ แบบ ตรงไปตรงมา"

    +++ เช่นในกรณี "ฟังเสียงกรนตัวเองในระหว่างนอนหลับ" นี้ เอาจริง ๆ แล้ว มันเป็นขั้นตอน ดังนี้

    +++ วิธีทำ
    +++ 1. พอได้ยินเสียงกรน
    +++ 2. ก็นอน "ได้ยิน" มันเฉย ๆ
    +++ 3. ปล่อยให้ "เสียงกรน" มันมีอยู่อย่างนั้น
    +++ 4. จนกว่า มันจะกลายสภาพมาเป็น "มันกรนของมัน ส่วน เรานอนของเรา"
    +++ 5. เสียงกรนมีอยู่ และ เราก็มีอยู่ขณะเดียวกัน แต่ เสียงกรน ไม่ได้เป็น ของเรา (ไม่ใช่ ตัวกู/ของกู)
    +++ 6. เกิดอาการ "แยกเป็น 2 ส่วน" ระหว่าง กรนกับเรา

    +++ ให้รู้ไว้ว่า อาการนี้ "ไม่มีการพิจารณา" อะไรแม้แต่แอ๊ะเดียว
    +++ ขืนมีการ "พิจารณา" เข้ามาสอดแทรก รับประกันว่า "อาการแยก" จะไม่มีวันเกิดขึ้นมาได้เลย

    +++ อาการ "แยกออกจากกัน" ที่กล่าวมานี้ ภาษาบาลีเรียก "วิมุติญาณทัศนะ" ส่วนภาษาทั่วไปเรียกว่า "แยกรูป/นาม"

    +++ อาการที่ "แยก" ออกจากกัน หากละเอียดมากกว่านี้ จะสามารถ "เห็น ไอ้ตัวหลับ" มันแยกตัว ไปเป็นคนละส่วนกับตัวเราได้เลย
    +++ ตรงนี้เรียก "หลับอยู่ส่วนหลับ ตื่นอยู่ส่วนตื่น" ตรงนี้ พระในสาย "หลวงปู่เทสก์ เทสก์รังสี" มักกล่าวว่า "หลวงปู่บอกว่า ควรทำกันให้ได้"
    +++ สติในระดับคุณ Chabob1 น่าจะ "เห็น" อาการ "ขยับไหวตัว" ที่กล่าวมานี้ "เป็นปกติ" จนได้นิสัย
    +++ อาการนี้ เป็นที่รู้กันในสายพระป่าที่เรียกว่า "กิริยาจิต" อันชี้ไปที่ "กิริยาอาการอันเป็นส่วนของจิต"

    +++ หากต้องการ "รู้แจ้ง" ในเรื่องนี้ ก็ให้ "ปล่อย" อาการให้มัน "ปริวัติกลายตัวของมันไปเอง จนจบกระบวนการ"
    +++ การปล่อยจนจบกระบวนการ ตั้งแต่ กิริยาจิตเกิดขึ้น การปล่อยปริวัติในขณะที่มันตั้งอยู่ จนจบกระบวนการดับไป

    +++ ตรงนี้เท่านั้น ที่เรียกว่า "พิจารณา เห็น เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ครบไตรลักษณ์"
    +++ ไม่ใช่ "พิจารณา = ปรุงแต่ง/คิด/มโน" อย่างที่ทั่ว ๆ ไปพูดถึงกัน
    +++ ตรงนี้ก็แล้วแต่ "การใช้ภาษา" ของคุณ
    +++ หากตรงกันกับ "อาการเห็นไตรลักษณ์" ตามที่กล่าวมา ก็ถือว่า "ถูกทาง" นั่นแหละ
    +++ คำว่า "ตัวจิต" ของคุณ Chabob1 ตรงนี้ คือ อาการไหน ระหว่าง "จิตคิด = รูป" หรือเป็นอาการ "จิตทุกข์/สุข = นาม" กันแน่
    +++ ตามที่คุณ Chabob1 กล่าวมาตรงนี้ "เหมือนฉายหนังให้เราดูซ้ำๆ" เป็นการระบุอยู่ในวงจรของ "จิตคิด = รูป" เท่านั้น

    +++ สำหรับผมแล้ว ตรงนี้ยังเรียกว่า "เห็นรูป จากมโน" เท่านั้น จะเรียกว่า "แยก รูป/นาม" ยังไม่ได้
    +++ เหตุเพราะ "นาม = จิตทุกข์/สุข" มันยังไม่แยก ออกจากความเป็น "ตน/ตัวกู" แม้แต่นิดเดียว

    +++ การแยก นาม ให้ย้อยไปอ่านที่ "หลับ แยกจาก ตื่น" ตรงนั้น คือ "แยกนาม" ออกจาก ตัวกู/ของกู

    +++ การ "แยก รูป/นาม" ที่แท้จริง คือ "รูป" แยกออกไปส่วนหนึ่ง และ "นาม" แยกออกไปอีกส่วนหนึ่ง
    +++ ทั้ง "รูป + นาม" ล้วน แยกออกไปจากความเป็น "ตน" เรียกว่า "พ้นตัวกูของกู" โดยสิ้นเชิง

    +++ ให้อ่านในกระทู้ ตามลิ้งค์ข้างล่างนี้ เทียบเคียงไปด้วย ก็จะเข้าใจในอาการได้มากขึ้น ถึงอาการ "แยก รูป/นาม" ได้เอง
    https://palungjit.org/threads/การฝึ...ม่ต้องการนิพพานทำได้ไหม.661823/#post-10871608
    +++ คำพูดที่ว่า "ห้ามยึดติด" นั้น แท้จริงมันเป็นการ "เตือนสติ" จากผู้ที่ทำการ "แยกออกจากกัน" ได้แล้ว แต่ "เผลอให้มัน รวม กลับมาอีก"
    +++ ไม่ใช่คำพูดของ "ผู้ที่ทำไม่ได้ ไม่เคยแยก" แล้วนำมาพูด ซึ่งตรงนี้จะกลายเป็นการ "ขวางมรรคผล ของผู้อื่น (มาร)" ไปโดยปริยาย

    +++ ให้ทราบไว้อย่างหนึ่งว่า หากจิตมันยังไม่รู้แจ้ง ในระดับ "สิ้นสงสัย" แล้ว จะมา "บังคับให้มัน ไม่รู้เรื่องต่อไปนั้น" แน่ใจหรือว่า "เป็นการสอนที่ถูกต้อง"

    +++ หาก "สติ" ของคุณ Chabob1 อยู่ในระดับที่ ตัวคุณเองระบุมาทุกประการ
    +++ ก็จะ รู้/เข้าใจ ได้เองว่า คำสอนเหล่านั้น มัน "สวนทางกับ ธรรมชาติของการ รู้แจ้งในสภาวะธรรม"

    +++ ให้เข้าใจ "การใช้ภาษา" ให้ดี ๆ ด้วยก็แล้วกัน ผมจะยกตัวอย่าง เพียงแค่ คำ ๆ เดียวให้เป็นตัวอย่างนะ
    +++ คำ ๆ นั้น คือคำว่า "ราคา" มีรากศัพท์มาจากภาษาบาลีว่า "ราค" ("กำหนัด, ยินดี")

    https://th.wiktionary.org/wiki/ราคา

    +++ หากคุณใช้ภาษา เทียบเคียงบาลี "โดยไม่ระบุอาการตามความเป็นจริง ในยุคนี้" ของมัน คุณ จะได้ความเข้าใจที่ "เพี้ยน ๆ" แบบนี้

    +++ ของนี้ขายได้ราคาดี = ของนี้ขายได้ "ราคะ" ดี
    +++ ราคาอันนี้เชื่อถือได้ = "ราคะ" อันนี้เชื่อถือได้
    +++ นี่มีคุณค่าสูงมีราคาสูง = นี่มีคุณค่าสูงมี "ราคะ" สูง
    +++ มีราคาสมฐานะ = มี "ราคะ" สมฐานะ

    +++ ของแย่ ๆ แบบนี้ไม่มีราคา = ของแย่ ๆ แบบนี้ไม่มี "ราคะ"
    +++ เอาของไร้ค่าไม่มีราคามาขาย = เอาของไร้ค่าไม่มี "ราคะ" มาขาย
    +++ ไอ้คนนี้ไม่มีราคาเอาเสียเลย = ไอ้คนนี้ไม่มี "ราคะ" เอาเสียเลย
    +++ ฐานะดีมีราคา = ฐานะดีมี "ราคะ"

    +++ เอาละ ผมปล่อยให้คุณ Chabob1 ซึมซาบกับการ "เล่นบาลี (คำแสลง)" ไปเรื่อย ๆ ก่อนก็แล้วกัน
    +++ เมื่อยามใดที่ "สติ" ของคุณเริ่มเข้ามาเป็น "พี่เลี้ยงอบรมจิต" ได้จริง ๆ แล้ว
    +++ ก็จะทราบได้เองว่า "การเล่นบาลีให้มากเข้าไว้นั้น มันจะ เพี้ยน ได้ง่าย ๆ" ด้วยตัวของมันเอง
    +++ เพราะ "การใช้ภาษา ผิดไปจากอาการตามความเป็นจริง ณ สมัยนั้น ๆ" เป็น "ทุกฏ/ทุกข์กฏ" ชนิดหนึ่ง

    +++ ทุ = เลว ทำให้เกิด ทุกข์
    +++ กฏ = เอามาปฏิบัติ
    +++ ตรงนี้ไม่เกี่ยวกับ "ทุกกฏ" แต่อย่างใดทั้งสิ้น
    +++ วางเอาไว้แค่นี้ก่อน ก็แล้วกัน

    +++ โชคดีปีใหม่ นะครับ
     
  14. Chabob1

    Chabob1 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มิถุนายน 2018
    โพสต์:
    40
    ค่าพลัง:
    +22
    ขอบคุณพี่มากครับ เรื่องฟังกรนแรกๆที่เกิดขึ้น ก็พิจารณาครับแต่ดันหายเหมือนคนปลุก พอมีบ่อยๆนอนฟังโง่ๆไป บางทีก็คิดทำถูกไหมนอนฟังโง่ๆ ทุกวันนี้ก็นอนฟังโง่ พูดตรงๆบางทีที่ฟังเสียงกรนก็มีพิจารณา สมองมันยังคิดออกแต่คิดได้ไม่นาน เสียงกรนจะรวบรวมมาเป็นเราใช้เวลาไม่ถึง10วินาที คือคิดโอ้ร่างกาย อ้าวรวมแล้ว ทุกวันนี้ก็ฟังแบบโง่ๆ เรียกแบบหยาบๆ ปฎิบัติแบบมั่วๆนั่นแหละ ฟังโง่บ้าง พิจารณาบ้าง

    ส่วนจิตไหวๆลิ้นปี่ อาการนั่นเป็นตอนแรกๆ ตอนนี้ก็เข้าใจได้เยอะ ก็คือเรื่องที่ผ่านมา ที่เล่าไปข้างบน ผ่านมาได้หลายเดือน แต่ที่เป็นอยู่คือช็อตปลายนิ้ว ผมก็ต้องไปเรียนรู้ภาษาใช่ไหมครับ ผมบอกตรงๆ ผมเป็นคนใช้ภาษาไม่รู้เรื่องจริงๆ เพื่อนชอบว่าผมพูดไม่เข้าใจ คือต้องมีล่ามแปลให้ตลอดไทยเป็นไทย55555

    ขอบคุณพี่มากๆเลยนะครับ สุขสรรค์วันปีใหม่มีความสุขมากๆครับ
     
  15. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    +++ ตรง "เสียงกรนจะรวบรวมมาเป็นเรา" ตรงนี้ "ใช้ได้ทีเดียว"
    +++ เมื่อเจอ "ตนเกิดขึ้น ตนตั้งอยู่ และ ตนดับไป" เมื่อไรตามความเป็นจริง ตรงนี้ก็ "เริ่มอนุโมทนา" ได้แล้ว
    +++ ต่อไปก็ "เหตุที่" ตนเกิดขึ้น ตนตั้งอยู่ และ ตนดับไป เมื่อเจอ "เหตุทั้ง 3" นี้ก็ "อนุโมทนา" เสียงดังขึ้นไปอีก
    +++ และเมื่อ "ดับเหตุทั้ง 3 ได้ ณ ทุกขณะจิต" ก็จะได้ "อนุโมทนา" ระดับเต็มอัฒจันทร์ ลั่นเลื่อนกันเลยทีเดียว
    +++ คงเคยได้ยินคำว่า "กิเลส คือ สิ่งลวงจิต" มาก่อนนะ
    +++ ดังนั้น อาการของมันที่มาจากลิ้นปี่ นี่แหละ "กิเลสผุด" เจอแล้วนะ
    +++ หากใครบอกว่า "ต้องตัดต้นตอที่กิเลส" แล้วละก็ อย่าเผลอไปตัดลิ้นปี่เอาก็แล้วกันนะ
    ==========================================
    +++ ณ ขณะที่ผุด จะสัมผัสได้ (ผัสสะ) เมื่อ ดู/เพ่ง/สนใจ ในอาการของ "ต่อติด" กับมัน
    +++ มันจะ "รู้/เข้าใจ" แบบ 1 ขณะจิต (บาลีเรียก เจโตปริยะญาณ ภาษาธรรมดา เรียก "รู้วูป ๆ")
    +++ เมื่อ "สนในต่อติด" เข้ากับมัน นอกจากจะ "รู้/เข้าใจ" แล้ว มันจะแสดงออกมาเป็น "เสียงในฟิลม์" ด้วย
    +++ ตรง "เสียงในฟิลม์" นี่แหละ ในส่วน "ภาพ/เสียง นับเป็น รูป" ส่วนความรู้สึก "ชอบ/ไม่ชอบ นับเป็นนาม"
    +++ และแล้ว "ความเป็น ตน นั่นแล..." เป็นผู้เสพ
    ==========================================
    +++ ผัสสะ
    +++ ท่อนนี้ ไล่ตาม "ปฏิจสมุปบาท" ขึ้นมา ตรง "จิตผุด เป็น ผัสสะ" ซึ่งเป็น "เจโตปริยญาณ" ณ ขณะนั้น ๆ

    +++ สฬายตนะ
    +++ การรับรู้ ณ ขณะนั้น เป็น การรับรู้ทาง "ใจ/ธรรมารมณ์" ก่อนที่จะกลายตัวมาเป็น "รูป/เสียง/กลิ่น/รส/สัมผัส"
    +++ ซึ่งเป็นการรับทาง "ตา/หู/จมูก/ลิ้น/กาย" ตรงนี้เรียกเล่น ๆ ว่า "เสียงในฟิลม์" ก็ได้
    +++ ท่อนนี้แหละ คือ "สฬายตนะ" หรือ "สัมผัสทั้ง 6" ซึ่งเป็น "ตัวกลาง" ระหว่าง "กิเลส กับ ความเป็นตน"

    +++ นาม/รูป
    +++ เมื่อ การ ต่อติด เกิดแล้ว มันก็จะผลิต "เสียงในฟิลม์" ออกมา ตรงนี้เป็นส่วนของ นาม/รูป ในปฏิจสมุปบาท

    +++ วิญญาณ
    +++ และเมื่อ ความเป็น "ตน" เสพเข้าไป "ตัวกู/ของกู" ก็เกิดขึ้น ท่อนนี้เป็น วิญญาณ ในปฏิจสมุปบาท
    ==========================================
    +++ อาการที่กล่าวมาตั้งแต่ "ผัสสะ จนถึง วิญญาณ" นั้น "สัมมาสติ มรรคตัวที่ 7" ส่งผลให้ได้
    +++ แต่โดยหลัก ๆ จาก "วิญญาณ-สังขารา-อวิชชา" นั้น การจะ รู้/เห็น ได้ ต้องเป็น "สัมมาสมาธิ มรรคตัวที่ 8" เท่านั้น
    +++ ซึ่งตรงนี้เป็นเรื่องของ "ตนเกิดขึ้น ตนตั้งอยู่ และ ตนดับไป" ดังที่กล่าวมาแล้ว ข้างบนนี้
    +++ ตรงนี้แล... ให้กลับไปอ่าน หน้า 1 โพสท์ที่ 3 อีกครั้ง
    +++ "สัมมาสติ" ของคุณ ส่งผลมาถึงตรงนี้แล้ว ก็ควรต่อด้วย "สัมมาสมาธิ" ต่อไป
    +++ ซึ่งขึ้นต้นด้วย "สัมปชัญญะ 4 ปิติ 5 ของ สัมโพชฌงค์" ดังที่กล่าวมาแล้ว ในหน้าแรก
    +++ มันเป็นเรื่อง "ภาษาในกระทู้นี้" แหละ ที่ภาษาบางส่วนในกระทู้ "สื่อไม่รู้เรื่อง" อ่านดูก็จะ รู้ ได้เอง

    +++ "ภาษา" เป็นอุปกรณ์ในการ "สื่อความเข้าใจ" โดยเฉพาะในเรื่องของ "การปฏิบัติธรรม"
    +++ หากสื่อ ผิด/ไม่รู้เรื่อง แล้วปฏิบัติตามเข้าไป แทนที่จะเป็นคุณ มันจะกลายเป็นโทษ
    +++ ทำให้กลายเป็น "มิจฉาทิษฐิ" ไปโดยอัตโนมัติ แม้ว่าจะ "ไร้เจตนา" ก็ตาม

    +++ ในการปฏิบัติธรรม "ภาษา" หากผู้สื่อ "สื่อไม่รู้เรื่อง" ผู้รับการสื่อ จะไดรับ "ผลจากการสื่อ" อย่างไร
    +++ ในการปฏิบัติธรรม "ภาษา" หากผู้รับการสื่อ "ไม่รู้เรื่อง" ด้วยตนเอง "ผลจาก แปล การสื่อผิด" จะเป็นอย่างไร
    +++ ในการปฏิบัติธรรม "ภาษา" จะต้องเป็น "ทั้งผู้รับ และ ผู้สื่อ" พูดภาษาเดียวกันเท่านั้น "ผลลัพธ์ที่ดี" จึงเกิดขึ้นได้

    +++ ในการปฏิบัติธรรม "ภาษา" หากผู้สื่อ "สื่อไม่รู้เรื่อง ในการปฏิบัติธรรม"
    +++ โดยเฉพาะ "สื่อให้ คิด/ฟุ้งซ่าน" อัตราเสื่ยง จะสูงแค่ไหน ต่อการปฏิบัติธรรม

    +++ การใช้ภาษา "ไม่ปกติ" จะต้องไล่เที่ยว "แปลความ" อุตลุต โดยไม่ใส่อิงวงเล็บ (ระบุชี้เจตนา) ไว้ด้วย
    +++ ตรงนี้เป็นการ "สร้างความฟุ้งซ่าน" ให้ผู้รับ โดยอัตโนมัติ ภาษาแสลงอย่างสุภาพเรียกว่า "เล่นบาลี"
    +++ จะเจตนาอย่างไรก็ตาม แต่ผลที่เกิดขึ้น คือ "ฟุ้งซ่าน สมาธิแตก" ตรงนี้ แน่นอน
    +++ ดังนั้น การสื่อภาษาที่ ยากต่อการ ระบุชี้อาการตามความเป็นจริง "ให้ตัดทิ้งไปเลย"

    +++ ดังนั้นให้เห็น "คุณ/โทษ ของการสื่อภาษา" ซึ่งมี "คุณอนันต์ โทษมหันต์" เอาไว้ด้วย
    +++ ให้ "เจริญรุดหน้า ในทางธรรม" ไปตลอดปี 2562 นะครับ
     
  16. raphiphan

    raphiphan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    511
    ค่าพลัง:
    +425
    โมทนา สาธุ ครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...