ติดตามสถานะการณ์

Clima Extremo 24


ชิลี



หลังจากไฟไหม้ป่าพวกเขาประกาศเตือนภัยระดับสีแดง สำหรับชุมชน Valparaíso ประเทศชิลี

 

TCIJ


แพทย์-นักวิชาการเตือน 'เครื่องดื่มชงริมทาง' ทำคนไทยอ้วน


แพทย์-นักวิชาการเตือน เครื่องดื่มชง เช่น กาแฟเย็น ชาเย็น น้ำแดงโซดา 1 แก้วปริมาณน้ำตาลที่เกินความต้องการที่ร่างกายควรได้รับในแต่ละวัน หากดื่มบ่อยจะก่อให้เกิดปัญหาสุขภาพในระยะยาว


https://www.tcijthai.com/news/2018/12/current/8571

 

MOREMOVE


#มอร์มูฟเป็นข่าว ไม่มีเงินให้แจก!!! #แต่รัฐบาลอังกฤษช่วยเหลือคนจนด้วยการติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ ผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ จำนวน 8 แสนครัวเรือน #เป็นการสร้างรายได้จากการขายไฟฟ้าส่วนเกินให้กับทางรัฐบาล คาดแล้วเสร็จภายใน 5 ปี ประกาศเริ่มโครงการแรกในอังกฤษและเวลส์


นโยบายนี้ รัฐบาลอังกฤษร่วมลงทุนกับบริษัท Maas Capital จากเนเธอร์แลนด์ ด้วยเงินลงทุนกว่า 160 ล้านปอนด์ โดยรูปแบบของนโยบายคือ Feed-in Tariff #ภาครัฐจะดำเนินการติดตั้งทั้งหมดให้กับบ้านที่มีรายได้น้อย เมื่อการติดตั้งแล้วเสร็จก็พร้อมรับซื้อไฟฟ้าส่วนเกินที่เกิดขึ้น


Source : https://greennews.agency/?p=15139


โดยเรื่องนี้ Greg Hands รมว.การค้าระหว่างประเทศ (International Trade minister) ของอังกฤษกล่าวถึงจุดประสงค์ของนโยบายดังกล่าวว่า #เป็นไปเพื่อผู้ยากจนในประเทศ รับประกันการจ่ายเงินสำหรับไฟฟ้าที่ผลิตได้ด้วย


โครงการดังกล่าวจะเป็นการเพิ่มการจ้างงานในประเทศในขั้นตอนการติดตั้ง #แรงงานที่ว่าเป็นทหารในประเทศที่ปลดเกษียณแล้ว โดยให้เหตุผลว่า ทหารเหล่านี้เป็นช่างฝีมือที่เชี่ยวชาญ พวกเขาเข้าใจและมีความรู้ในงานติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์


"โครงการนี้จะเป็นประโยชน์กับผู้มีรายได้น้อยในอังกฤษ และจะช่วยเพิ่มการจ้างงานจำนวน 1,000 คน ที่สุดแล้วยังช่วยส่งมอบพลังงานราคาถูกให้กับ 8 แสนครัวเรือนที่เกิดขึ้นอีกด้วย" Greg Hands ประกาศ.

 

คนดีอยู่ยาก! โดนฟ้อง -คุกคาม-ลวนลาม ข้าราชการ “จมทุกข์” เพราะ “ตงฉิน”
เผยแพร่: 16 ธ.ค. 2561 19:13 โดย: ผู้จัดการออนไลน์



อัดอั้น! ข้าราชการน้ำดีขวางผลประโยชน์นายทุน ถูกฟ้อง 5 คดี ต้องต่อสู้เพียงลำพังเกือบ 20 ปี หลังสอบทุจริต เพราะพบผิดอื้อ! ผู้บังคับบัญชาบีบให้ปล่อยผ่านเพื่อแลกถอนฟ้อง วุฒิสภามอบใบประกาศเชิดชูเกียรติ “พลเมืองดี” แต่สุดท้ายครอบครัวติดหล่มทุกข์ เจ็บปวด ไร้เยียวยาคนทุจริตยังลอยนวล สังคมซัดเงินหลวงไม่ได้มีไว้ให้เหลือบในระบบแทะกิน ทนายชี้เป็นคนดีจริงไม่ต้องกลัว ฟ้องมา ฟ้องกลับ! ชี้ผู้บังคับบัญชากลั่นแกล้งลูกน้องติดคุกเยอะแยะ

ข้าราชการดี = โดนหมั่นไส้ กลั่นแกล้ง

แน่นอนปัญหาการทุจริตคอร์รัปชันเป็นปัญหาใหญ่ที่กัดกินประเทศไทยของมาอย่างยาวนาน และทุกวันนี้ก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะจางหาย! เช่นหนุ่มผู้นี้ ที่ต้องทนทุกข์กับความเจ็บปวดเมื่อแม่ของเขาผู้เป็นข้าราชการน้ำดีไปขวางทางคนทุจริต


“ถ้าครอบครัวผมไม่เป็นคนดี ครอบครัวคงมีแต่ความสุข” หนุ่มผู้นี้ขอระบายความรู้สึกอัดอั้นตันใจเล่าประสบการณ์เจ็บปวดผ่านโลกโซเชียลฯ ที่ครอบครัวต้องเผชิญในความอยุติธรรม "ทุกข์" เพราะเป็นแม่เป็น "คนดี" แฉ! แม่ถูกกลั่นแกล้งต่างๆนานาในที่ทำงาน ตำแหน่ง-เงินเดือนถูกดอง แถมคุกคาม-ลวนลาม

ความทุกข์ที่ถาโถมครอบครัวเกิดจากแม่ของเขา เกิดตั้งแต่ปี 2543 หรือเมื่อ 18 ปีก่อน หลังจากที่แม่ของตนเองได้รับการแต่งตั้งให้เป็นคณะกรรมการตรวจจ้างการก่อสร้างอาคารผู้ป่วยนอกของโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง แต่ได้พบว่ามีการทุจริตหลายเรื่อง ที่อาจกระทบต่อความปลอดภัยของอาคาร และการก่อสร้างที่ไม่ตรงตามสัญญาแม่ของเขาจึงได้ทำหนังสือแจ้งผู้บังคับบัญชา แต่ผู้บังคับบัญชากลับส่งหนังสือให้กับต้นสังกัดของผู้ควบคุมการก่อสร้าง ทำให้แม่ต้องโดนฟ้องถึง 5 คดีทั้งแพ่งและอาญา รวมค่าเสียหาย 7 ล้านบาท

ทว่า แม่ของเขา แน่วแน่ต่อสู้ยืนหยัดส่งหนังสือถึงอธิบดีกรม โดยหวังให้เรื่องจะถึงชั้นอัยการ แต่อธิบดีกรมดังกล่าวกลับเพิกเฉยและขอจบเรื่องนี้โดยให้เหตุผลว่า “เป็นเรื่องส่วนตัว” จึงทำให้พ่อและแม่ของเขา ต้องว่าจ้างทนายความมาต่อสู้คดีด้วยตนเองโดยไร้หน่วยงานใดเหลียวแล

เพื่อแลกกับการถอนฟ้องผู้บังคับบัญชาของแม่เขาได้บีบบังคับให้ปล่อยเรื่องทุจริตนี้ไป แต่แม่เขาปฏิเสธ! พร้อมเดินหน้าร้องเรียนอีกหลายหน่วยงาน ทั้งสำนักงานปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) องค์กรวิชาชีพวิศวกรรม สื่อหลายสำนัก ไปจนถึงสำนักนายกรัฐมนตรี และแม้แต่วุฒิสภา แต่หลายองค์กรกลับนิ่งเฉย มีเพียงแต่วุฒิสภาเท่านั้นที่ตั้งคณะกรรมาธิการชุดหนึ่งขึ้นมาเพื่อสอบสวน และมีบทสรุปออกมาว่า ฝ่ายคู่กรณีทุจริตและมีความผิดจริง

ดองตำแหน่ง จัดฉาก ยัดผิด

อย่างไรก็ดี เรื่องดังกล่าวทำให้แม่ของเขาได้รับประกาศเชิดชูเกียรติจากวุฒิสภาด้วยข้อความอันน่าภูมิใจ



“เป็นผู้กล้าหาญ เสียสละ และมีความรับผิดชอบต่อสังคม สมควรได้รับการเชิดชูให้เป็นเกียรติประวัติยกย่องเป็นพลเมืองดี"

แต่ไม่นานนักพวกทุจริตที่โดนฟันผิดก็ลอยนวล แถมได้เลื่อนตำแหน่ง เนื่องจากปี 2549 เกิดการรัฐประหาร ทำให้คณะกรรมาธิการฟันทุจริตคณะดังกล่าวถูกยกเลิกไปด้วย หนำซ้ำแม่ของเขายังโดนจัดหนัก! ให้ย้ายไปทำงานในหน่วนยงานที่ไม่ชำนาญ ยัดเยียดความผิด ดองตำแหน่ง เงินเดือนไม่เคยถูกปรับมา 20 ปี!

“กลุ่มผู้ทุจริตไม่ถูกลงโทษซ้ำร้ายยังเจริญเติบโตในหน้าที่การงาน เมื่อหัวกระดิกหางย่อมต้องส่าย เพื่อส่งต่อความมุ่งร้าย อคติ ร่วมกันกลั่นแกล้งคุณแม่ของผมเรื่อยมาจวบจนถึงทุกวันนี้มันก็ยังคงดำเนินอยู่หากเล่าแบบสั้นๆ ในเรื่องที่ถูกกลั่นแกล้งก็มีประมาณนี้ ถูกสั่งย้ายหน่วยงานให้ไปทำงานในหน่วยงานที่ไม่มีความชำนาญ ไม่เจริญเติบโตในหน้าที่การงาน ไม่ได้รับการปรับตำแหน่งและเงินเดือนมา 20ปี

สอบเพื่อเลื่อนตำแหน่งผ่านตามเกณฑ์และคุณสมบัติ แต่ไม่ได้รับการแต่งตั้งให้รับตำแหน่ง ถูกขัดขวางและกลั่นแกล้งให้ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความยากลำบาก พยายามยัดเยียดให้รับสินบน เพื่อจัดฉากยัดเยียดความผิดให้ ถูกกดดันให้ทำงานที่ไม่ถูกต้องตามระเบียบและส่อไปในทางทุจริต ผู้บังคับบัญชาจงใจสร้างเรื่องสร้างเหตุ ให้พรรคพวกนำมาฟ้องเป็นคดีหมิ่นประมาท เพื่อให้เป็นคดีความ เสียหาย และได้รับความยากลำบากในการสู้คดี ถูกมอบหมายงาน และถูกตั้งกรรมการสอบในงานต่างๆ ที่มอบหมายเพื่อหาความผิดให้

ถูกกล่าวหาและสั่งสอบในข้อหาร้ายแรง ทั้งๆที่ไม่มีหลักฐานและข้อมูลใดๆรองรับ ถูกคุกคาม ข่มขู่จะทำร้าย ลวนลาม หลายกรณี แต่ผู้บังคับบัญชาเพิกเฉยในคำร้องทุกข์-เรียน ร้องทุกข์ขอความเป็นธรรมใดๆ ก็ถูกเพิกเฉยในทุกกรณี"



ในเวลาต่อมาศาลได้ยกฟ้องคดีที่ผู้ทุจริตได้ฟ้องแม่ของเขา เพราะศาลเห็นว่าแม่ของตนพยายามรักษาผลประโยชน์ของชาติ แต่ความทุกข์ที่ได้รับสะสมมาอย่างยาวนานเกือบ 20 ปี เพราะการเป็นคนดี ไม่เคยถูกเยียวยา

อย่างไรก็ตาม หลังจากเรื่องราวนี่ได้เผยแพร่สู่โลกโซเชียลฯ ก็ได้มีอดีตข้าราชการน้ำดีหลายคนแชร์ประสบการณ์โดนกลั่นแกล้ง ถึงขั้นขู่ฆ่า อัดอั้นระบบราชการ ซัดเงินหลวงไม่ได้มีไว้ให้เหลือบในระบบไว้แทะกิน

“เป็นนิยายเรื่องหนึ่งที่เกิดขึ้นในวงงานราชการ ส่วนนิยายที่เกิดขึ้นกับครอบครัวดิฉันที่มีกันอยู่ 2คนกับลูกได้รับมีมากกว่านี้ โดนถูกขู่ฆ่าทั้งแม่และลูกในขณะนั้นลูกอยู่ ป.6 เท่านั้นจากแก๊งของผู้บริหาร

จนสุดท้ายศาลปกครองตัดสินตามหลักฐานที่ยืนยันถึงกฎระเบียบที่ดิฉันทำนั้นถูกต้องทุกประการ แต่ดิฉันก็อยู่ทำงานในราชการต่อไปไม่ได้เพราะถูกกลั่นแกล้งต่ออีก สุดท้ายก็ต้องลาออก ทุกวันนี้ยังเก็บหลักฐานทุกอย่างไว้เป็นที่ระลึกถึงสิ่งดีๆที่ตัวเองได้ทำไว้ในช่วงที่รับราชการ”

“เคยเป็นข้าราชการครูที่โรงเรียนแห่งหนึ่ง ทำหน้าที่พิเศษคือเป็นเจ้าหน้าที่พัสดุ แต่ตามหลักความเป็นจริงคือเรามีหน้าที่เซ็นทุกอย่างทำหนังสือจัดซื้อจัดจ้าง มีไม่มีโอกาสได้ไปเสนอหน้าที่ร้านที่โรงเรียนไปเอาสินค้า เคยไปครั้งเดียว ผอ.เรียกไปด่าแทบตาย จะลาออกจากหน้าที่ก็ไม่มีใครทำเพราะครูมีน้อย(โรงเรียนขนาดเล็กมีครู 4 คน)

ถึงเวลาทำเรื่องจัดซื้อเพื่อเบิกเงินไปจ่ายเราถามหาใบส่งของก็ไม่ให้ ของบางรายการก็ไม่มี บางรายการก็มากเกินจริง นี่คือความอัดอั้นตันใจบางส่วนที่ทำให้เราอยู่ในระบบราชการไม่ได้ ไม่ได้พูดว่าตัวเองดีแต่เงินหลวงก็คือเงินหลวง ไม่ได้มีไว้ให้เหลือบในระบบไว้แทะกิน”

ต้องสู้! ฟ้องมา ฟ้องกลับ



"ถ้าเราเป็นคนถูก เป็นคนดีจริง ไม่ต้องกลัว สู้คดีไป อะไรที่ไม่เป็นความจริงเราก็ฟ้องกลับ” ทนายเดชา กิตติวิทยานันท์ ทนายชื่อดัง เจ้าของเพจ “ทนายคลายทุกข์” แสดงความคิดเห็นหลังจากทีมข่าว MGR Live ต่อสายตรงถึง แนะต้องสู้เมื่อตกเป็นผู้เสียหาย ชี้ผู้บังคับบัญชากลั่นแกล้งลูกน้องติดคุกเยอะแยะ!

“ถ้าผู้บังคับบัญชากลั่นแกล้งเราในการเลื่อนตำแหน่งหน้าที่เราก็ไปฟ้องศาลปกครอง สำหรับข้าราชการคนไหนที่โดนกลั่นแกล้งในการทำงาน เราสามารถไปร้องเรียนที่ ป.ป.ช.

ส่วนอันไหนที่กระทบสิทธิของเรา เราตกเป็นผู้เสียหายเอง เช่น ผู้บังคับบัญชากลั่นแกล้ง เราก็ไปศาลอาญาทุจริต ก็ได้ ที่ศาลอาญาทุจริตตัดสินแล้ว ในกรณีกลั่นแกล้งลูกน้องติดคุกเยอะแยะไป

ดังนั้นข้าราชการคนใดก็ตามที่ถูกกลั่นแกล้ง เราสามารถใช้สิทธิ์ฟ้องร้องได้เองเลย หรือเราถูกฟ้อง 5 คดี คดีหมิ่นประมาท เราก็ฟ้องกลับได้ ถ้าเราไม่มีเงินเราก็ไปสภาทนาย ถ้าเรามีเงินก็จ้างทนาย สามารถฟ้องกลับได้เลย เราโดนฟ้องก็ฟ้องสวนกลับไปเลย

ถ้าเขากลั่นแกล้งเรา ฟ้องเรา ทั้งที่ไม่มีมูลความจริง ก็เป็นการละเมิด เราก็เรียกค่าสินไหมทดแทนได้ เยียวยาได้อยู่แล้ว และที่สำคัญคนที่กลั่นแกล้งเราก็มีความผิดทางวินัยอีกด้วย”

……หลายคนตั้งคำถาม ข้าราชการน้ำดีทำไมถึงอยู่ยาก หรือเพราะระบบมันแย่กันแน่!

โดย MGR Live

https://mgronline.com/live/detail/9610000124563

 

ศูนย์สารสนเทศอิสลาม Islamic Information Center


ลูกชายเนทันยาฮู นายกรัฐมนตรีไซออนิสต์ ได้โพสต์ข้อความในเฟสบุคของเขา เรียกร้องให้พลเมืองชาวอาหรับมุสลิมออกไปจากดินแดนปาเลสไตน์ที่ถูกยึดครอง เพื่อสร้างความสงบสุขในดินแดนอิสราเอล....

 

ลุยจีน Shoot2China


หลายโครงการเน้นขายมุ่งขายแต่คนจีน บางเจ้าเป็นทุนจีนเข้ามาสร้างเองขายเอง #ล้นสิครับ

 

วิกฤตศรีลังกาคลี่คลาย! ประธานาธิบดียอม‘เสียหน้า’ แต่งตั้งคนที่เขาปลดมากับมือให้เป็นนายกฯใหม่ เผยแพร่: 17 ธ.ค. 2561 00:19 โดย: ผู้จัดการออนไลน์


รานิล วิกรมสิงเห (กลาง) ไหว้พระภิกษุ ภายหลังกลับเข้าปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรีศรีลังกาอีกครั้งเมื่อวันอาทิตย์ (16 ธ.ค.) ทั้งนี้ประธานาธิบดีของประเทศยอมแต่งตั้งเขาใหม่ ภายหลังสั่งปลดเมื่อเกือบ 2 เดือนก่อน
เอพี/รอยเตอร์/เอเจนซีส์ – ประธานาธิบดีศรีลังกาต้องแต่งตั้ง รานิล วิกรมสิงเห กลับเข้าเป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้งในวันอาทิตย์ (16 ธ.ค.) หลังจากสั่งปลดเขาออกจากตำแหน่งเมื่อเกือบ 2 เดือนก่อน และทำให้เกิดภาวะชะงักงันทางการเมืองขึ้นในประเทศเกาะซึ่งตั้งอยู่ในเอเชียใต้แห่งนี้

ความเคลื่อนไหวคราวนี้เป็นที่คาดหมายกันว่าจะสามารถผ่อนคลายวิกฤตการณ์ที่เกิดขึ้น แต่ขณะเดียวกันก็อาจเป็นการเริ่มต้นการอยู่ร่วมกันอย่างอิหลักอิเหลื่อระหว่างนายกฯวิกรมสิงเห กับประธานาธิบดีไมตรีปาลา สิริเสนา ซึ่งในเวลานี้กลายเป็นผู้อยู่กันคนละค่ายที่เป็นศัตรูกันไปแล้ว

พรรคยูไนเต็ดเนชั่นแนลปาร์ตี้ ของวิกรมสิงเห ระบุในบัญชีทวิตเตอร์อย่างเป็นทางการของตนว่า วิกรมสิงเหได้สาบานตัวต่อหน้าสิริเสนาแล้ว ในพิธีซึ่งจัดขึ้นเป็นการภายใน โดยมีเพียงสมาชิกรัฐสภาไม่กี่คนเข้าร่วม

“ตอนนี้ผมจะกลับเข้าปฏิบัติหน้าที่ต่างๆ ของสำนักนายกรัฐมนตรีต่อไป” วิกรมสิงเหกล่าวท่ามกลางเสียงเชียร์ของพวกผู้สนับสนุนซึ่งไปชุมนุมที่ทำเนียบที่พักประจำตำแหน่งของเขา ภายหลังจากเขาสาบานตัว

“โชคร้ายที่ระหว่างไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา ความก้าวหน้าของประเทศและของโครงการพัฒนาต่างๆ ที่เราดำเนินการอยู่ต้องมีอันหยุดชะงักไป” เขาบอก “ไม่เพียงเท่านั้น ประเทศชาติยังเดินถอยหลังอีกด้วย วันนี้เราให้คำมั่นเป็นอันดับแรกที่จะนำเอาความเป็นปกติกลับคืนมาและฟื้นฟูโครงการด้านการพัฒนาขึ้นมาใหม่”

สิริเสนาได้สั่งปลดวิกรมสิงเหอย่างกะทันหันเมื่อวันที่ 26 สิงหาคม แล้วแต่งตั้ง มหินทรา ราชปักษา อดีตประธานาธิบดีที่ยังมีอิทธิพลบารมีสูงลิ่ว เข้าเป็นนายกรัฐมนตรีแทน ปรากฏว่าวิกรมสิงเหไม่ยินยอมและยืนกรานว่าการถอดเขาเป็นการกระทำที่ขัดรัฐธรรมนูญ เวลาเดียวกัน ราชปักษาก็ล้มเหลวไม่ได้รับการรับรองจากรัฐสภาโดยที่พ่ายแพ้การลงมติไว้วางใจถึง 2 ครั้ง

กระนั้น ราชปักษายังคงครองตำแหน่งต่อไปด้วยความสนับสนุนของสิริเสนา ขณะที่พวกฝ่ายค้านหันไปพึ่งพาศาล แล้วศาลอุทธรณ์ก็ตัดสินให้ราชปักษาและคณะรัฐมนตรีของเขาหยุดการปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่ง ราชปักษาจึงยื่นขอศาลสูงสุดให้ยกเลิกคำสั่งศาลอุทธรณ์ ปรากฏว่านอกจากศาลสูงสุดปฏิเสธไม่รับคำร้องแล้ว ยังสั่งให้ขยายเวลาห้ามปฏิบัติหน้าที่ไปจนกระทั่งถึงกลางเดือนมกราคม จนกลายเป็นการบังคับให้ราชปักษาต้องยอมลาออกในวันเสาร์ (15)

ศรีลังกาอยู่ในสภาพที่ไม่มีรัฐบาลนับตั้งแต่ตอนที่ราชปักษาถูกศาลอุทธรณ์สั่งยุติการปฏิบัติหน้าที่ และกำลังเผชิญอันตรายที่ภาครัฐจะไม่มีเงินทองใช้จ่ายตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม เนื่องจากไม่มีงบประมาณ รวมทั้งอาจตกอยู่ในภาวะไม่สามารถชำระหนี้ได้ โดยที่รัฐบาลจะถึงกำหนดต้องชำระคืนหนี้ต่างประเทศเป็นจำนวนราว 1,000 ล้านดอลลาร์ในเดือนมกราคม

“เราสามารถที่จะภาคภูมิใจกับวิถีทางที่รัฐสภาของเราและศาลสูงสุดของเราได้ปฏิบัติหน้าที่ต่างๆ ของตนซึ่งเป็นไปตามกฎหมาย” วิกรมสิงเหกล่าวในวันอาทิตย์ (16)



มหินทรา ราชปักษา ยกมือไหว้พระภิกษุในพิธีสวดมนตร์ซึ่งจัดขึ้นภายหลังเขาลงนามในเอกสารลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ที่กรุงโคลัมโบ ประเทศศรีลังกา เมื่อวันเสาร์ (15 ธ.ค.)

สิริเสนาเคยเป็นรัฐมนตรีสาธารณสุขในคณะรัฐมนตรีของราชปักษา เมื่อตอนที่เขาแปรพักตร์หันมาจับมือกับวิกรมสิงเห และท้าทายเป็นคู่แข่งของราชปักษาในการเลือกตั้งประธานาธิบดีเมื่อปี 2015 หลังชนะการเลือกตั้งคราวนั้น เขามอบหมายให้วิกรมสิงหเป็นนายกรัฐมนตรี ทว่านับแต่นั้นผู้นำทั้งสองก็มีปัญหาระหองระแหงกัน โดยที่มีรายงานว่า สิริเสนาทำท่าจะไม่รักษาคำมั่นสัญญาที่จะเป็นประธานาธิบดีสมัยเดียว ขณะที่วิกรมสิงเหก็ดูมีความปรารถนาจะครองตำแหน่งนี้เช่นกัน

สิริเสนายังคัดค้านนโยบายเศรษฐกิจแบบเสรีนิยมของวิกรมสิงเห ตลอดจนความเคลื่อนไหวของเขาในการสอบสวนข้อกล่าวหาเรื่องการล่วงละเมิดและการประพฤติมิชอบต่างๆ ซึ่งเกิดขึ้นระหว่างสงครามกลางเมืองอันยาวนานของศรีลังกา ที่ยุติลงได้เมื่อปี 2009

เขาเคยยืนกรานว่าจะไม่ยอมแต่งตั้งวิกรมสิงเหกลับมาอีก แม้หลังจากราชปักษาปราชัยไม่มีเสียง ส.ส. เพียงพอจะได้รับความไว้วางใจให้เป็นนายกรัฐมนตรี การที่สิริเสนาต้องยอมกลับลำในที่สุดคราวนี้ เห็นกันว่าเหตุผลสำคัญคือเพื่อให้รัฐสภายินยอมผ่านร่างงบประมาณชั่วคราวที่จะมีผลบังคับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม

ทางด้านสำนักข่าวรอยเตอร์ระบุว่า พวกเจ้าหน้าที่รัฐบาลและนักการทูตต่างประเทศได้พูดกันตั้งแต่เมื่อเดือนที่แล้วว่า ความขัดแย้งจำนวนมากระหว่างสิริเสนากับวิกรมสิงเห รวมศูนย์อยู่ที่เรื่องจะรอมชอมผลประโยชน์ของอินเดียกับผลประโยชน์ของจีนในศรีลังกากันอย่างไรดี

ทั้งนี้จีนกำลังดำเนินการลงทุนอย่างมากมายในประเทศเกาะแห่งนี้ ขณะที่อินเดียถือเป็นมหาอำนาจมาแต่ไหนแต่ไรในภูมิภาคแถบนี้

ภายหลังวิกรมสิงเหกลับเข้าเป็นนายกรัฐมนตรี อินเดียก็ได้แถลงแสดงความยินดีกับวิธีการคลี่คลายแก้ไขความปั่นป่วนทางการเมืองในศรีลังกา

“นี่คือการสะท้อนให้เห็นถึงวุฒิภาวะของพลังการเมืองทุกๆ ฝ่าย และยังเป็นการสะท้อนให้เห็นความยืดหยุ่นของระบอบประชาธิปไตยและสถาบันทางประชาธิปไตยของศรีลังกาอีกด้วย” ราวีช กุมาร โฆษกของกระทรวงการต่างประเทศอินเดียบอก

“อินเดียยังคงมุ่งมั่นผูกพันที่จะผลักดันเดินหน้าโครงการพัฒนาต่างๆ ที่มุ่งเน้นไปที่ประชาชน ซึ่งดำเนินการอยู่ในศรีลังกา เรามีความเชื่อมั่นว่าความสัมพันธ์อินเดีย-ศรีลังกาจะดำเนินสืบต่อคืบหน้าไปในวิถีโคจรที่สูงขึ้นเรื่อยๆ”

https://mgronline.com/around/detail/9610000124634

 

เกือบสองร้อยประเทศบรรลุฉันทามติ เห็นพ้องกฏกติกาข้อตกลงลดโลกร้อน เผยแพร่: 16 ธ.ค. 2561 19:41 โดย: ผู้จัดการออนไลน์


รอยเตอร์ – เกือบ 200 ประเทศฝ่าฟันความแตกแยกทางการเมือง เห็นพ้องยอมรับกฎกติกาเพื่อบรรลุข้อตกลงลดโลกร้อน แต่ยังมีเสียงวิจารณ์ว่า ความสำเร็จนี้ยังไม่เพียงพอปกป้องผลกระทบอันตรายจากปัญหานี้การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

ภายหลังการเจรจานาน 2 สัปดาห์ในเมืองคาโทวิซของโปแลนด์ ในที่สุดนานาชาติบรรลุฉันทามติในกรอบโครงที่ละเอียดขึ้นสำหรับข้อตกลงปารีส 2015 ที่ต้องการจำกัดอุณหภูมิเฉลี่ยของโลกให้ต่ำกว่า 2 องศาเซลเซียส (3.6 องศาฟาเรนไฮต์) เหนือระดับก่อนอุตสาหกรรม

มิชาล คูร์ติกา รัฐมนตรีต่างประเทศโปแลนด์และประธานการประชุม กล่าวเมื่อวันเสาร์ (15 ธ.ค.) ว่าการหาข้อตกลงในประเด็นทางเทคนิคที่เฉพาะเจาะจงไม่ใช่เรื่องง่าย และแม้ข้อตกลงล่าสุดดูเหมือนเป็นแค่ขั้นตอนเล็กๆ น้อยๆ แต่ก็ควรที่นานาชาติจะภูมิใจ

ก่อนการหารือเริ่มต้น หลายฝ่ายคาดว่า ข้อตกลงนี้คงไม่เข้มแข็งอย่างที่ต้องการ เนื่องจากเอกภาพในการเจรจาที่ปารีสแตกออกเป็นเสี่ยง ที่สำคัญประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ยังประกาศนำอเมริกา ซึ่งเป็นหนึ่งในประเทศที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากที่สุด ถอนตัวจากข้อตกลง

อย่างไรก็ตาม ในชั่วโมงที่ 11 ของการหารือ บรรดารัฐมนตรีสามารถผ่าทางตันระหว่างบราซิลกับประเทศอื่นๆ เกี่ยวกับกฎการจัดทำบัญชีเพื่อตรวจสอบคาร์บอนเครดิตหรือสิ่งทดแทนการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ โดยขยายเวลาการเจรจาไปเป็นปีหน้า รวมทั้งแก้ไขความคิดเห็นที่แตกต่างเกี่ยวกับการกำหนดการจัดทำบัญชีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่แบ่งออกเป็นหัวข้อต่างๆ เช่น วิธีที่ประเทศต่างๆ จะรายงานและตรวจสอบข้อผูกมัดของตนในการจำกัดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และการปรับปรุงแผนการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้ทันสมัย

อัลเดน เมเยอร์ จากสหภาพนักวิทยาศาสตร์ผู้ห่วงใย แสดงทัศนะว่า แม้ยังต้องหารือองค์ประกอบบางอย่างกันต่อ แต่ต้องยอมรับว่า ข้อกำหนดการจัดทำบัญชีถือเป็นรากฐานที่จะเสริมสร้างข้อตกลงปารีส และอาจช่วยให้คณะบริหารในอนาคตของอเมริกาตัดสินใจกลับมาเป็นภาคีข้อตกลงอีกครั้ง

อย่างไรก็ตาม บางประเทศและกลุ่มอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมบางกลุ่มวิจารณ์ว่า ข้อตกลงล่าสุดล้มเหลวในการเรียกร้องให้มีการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เพียงพอในการป้องกันไม่ให้อุณหภูมิโลกสูงขึ้น นอกจากนั้นประเทศยากจนที่เสี่ยงเป็นเหยื่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศยังต้องการความชัดเจนเกี่ยวกับการอุดหนุนงบประมาณเพื่อแก้ปัญหาโลกร้อนมูลค่า 100,000 ล้านดอลลาร์ต่อปีนับจากปี 2020 ที่ตกลงกันไว้ก่อนหน้านี้ และความพยายามในการแก้ไขโลกร้อนจากกองทุนดังกล่าวนับจากสิ้นทศวรรษ

แถลงการณ์จากแอนโตนิโอ กูเตอร์เรส เลขาธิการสหประชาชาติ (ยูเอ็น) ที่เดินทางออกจากที่ประชุมเมื่อวันพฤหัสบดี (13 ธ.ค.) ย้ำถึงความจำเป็นที่ชาติสมาชิกทั้งหมดจะต้องร่วมมือกันต่อไป รวมทั้งเตรียมพร้อมสำหรับแผนลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในปี 2020 เพื่อหยุดยั้งการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอย่างรวดเร็ว

เมื่อเดือนตุลาคม คณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (ไอพีซีซี) ได้เปิดเผยรายงานที่จัดทำขึ้นตามคำสั่งของยูเอ็นซึ่งเตือนว่า การควบคุมอุณหภูมิโลกไม่ให้เพิ่มขึ้นถึง 1.5 องศาเซลเซียส ต้องการการเปลี่ยนแปลงอย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในทุกภาคส่วนของสังคม

คำแถลงของที่ประชุมแสดงความซาบซึ้งต่อการจัดทำรายงานดังกล่าว แทนที่จะใช้คำว่า “ยินดี” หลังถูกคัดค้านจากซาอุดีอาระเบีย อเมริกา รัสเซีย และคูเวต รวมทั้งยินดีที่รายงานเสร็จสมบูรณ์ทันเวลาและเชิญชวนภาคีต่างๆ นำข้อมูลในรายงานไปใช้ ซึ่งแม้ไม่ใช่ถ้อยคำที่หนักแน่นเพียงพอสำหรับประเทศและหมู่เกาะที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ต่ำและเสี่ยงต่อการเพิ่มขึ้นของระดับน้ำทะเล แต่ประเทศและหมู่เกาะเหล่านั้นก็จำเป็นต้องยอมรับเพื่อแลกเปลี่ยนกับเงื่อนไขอื่นๆ

ขณะเดียวกัน ในช่วง 2 สัปดาห์ของการเจรจา ได้โฟกัสเกี่ยวกับอุตสาหกรรมเชื้อเพลิงฟอสซิลถูกเบี่ยงเบนความสนใจชนิดขัดใจบางประเทศและกลุ่มอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ที่น่าสังเกตคือการเลือกจัดการประชุมในโปแลนด์ซึ่งพึ่งพิงถ่านหินและพยายามปกป้องอุตสาหกรรมเหมืองของตน รวมถึงการที่อเมริกาพยายามใช้ที่ประชุมนี้เพื่อล้างภาพลักษณ์ถ่านหินให้เป็นแหล่งพลังงานสะอาด

https://mgronline.com/around/detail/9610000124591

 

ที่ประชุมใหญ่ศาสนจักรออร์โธด็อกซ์ในยูเครนลงมติเลือก “พระอัครบิดร” ของตัวเองครั้งแรก ตัดขาด “รัสเซียนออร์โธด็อกซ์” สิ้นเชิง
เผยแพร่: 16 ธ.ค. 2561 12:40 โดย: ผู้จัดการออนไลน์


เอเจนซีส์ - สภาคริสตจักรนิกายคริสเตียนออร์โธด็อกซ์ในยูเครนได้ลงมติเลิอกผู้นำคนใหม่ที่จะมาเป็นผู้นำนิกายออร์โธด็อกซ์แห่งยูเครนซึ่งถูกตั้งขึ้นใหม่ และมีพระอัครบิดรของตนเองเป็นครั้งแรกเมื่อวานนี้(15 ธ.ค) สิ้นสุดการขึ้นตรงต่อศาสนจักรคริสเตียนรัสเซียนออร์โธดอกซ์

DW สื่อเยอรมันรายงานเมื่อวานนี้(15 ธ.ค)ว่า การประกาศตัดขาดกับศาสนจักรนิกายคริสเตียนออร์โธด็อกซ์รัสเซียเกิดขึ้นอย่างเป็นทางการในวันเสาร์(15) เมื่อที่ประชุมใหญ่ของสภาคริสตจักรคริสเตียนออร์โธด็อกซ์ในยูเครนได้ลงมติเลือกพระอักครบิดร(Patriarch) ของตัวเองขึ้นในการประชุมที่มหาวิหารเซนต์ โซเฟีย (Saint Sophia Cathedral) เป็นครั้งแรก

ถือเป็นการจัดตั้งคริสตจักรยูเครนเนียนออร์โธด็อกซ์เป็นครั้งแรกจากแต่เดิมทางยูเครนได้อยู่ร่วมอยู่กับนิกายคริสเตียนออร์โธด็อกซ์รัสเซียมาอย่างยาวนาน

สื่อเยอรมันชี้ว่า การตัดสินใจแยกศาสนจักรออกจากของรัสเซียได้รับการสนับสนุนจากประธานาธิบดียูเครน เปโตร โปโรเชนโก ซึ่งเป็นผู้กำหนดให้มีการประชุมที่มหาวิหารเซนต์ โซเฟีย ในวันเสาร์(15) นอกจากนี้ การประกาศตัดขาดยังได้รับการสนับสนุนจากทางโบสถ์คริสตจักรคริสเตียนออร์โธด็อกซ์แห่งคอนสแตนติโนเปิลในนครอิสตันบูล ตุรกี ซึ่งเป็นต้นแบบศาสนคริสต์แห่งโบสถ์คอนสแตนติโนเปิลตะวันออกทั่วโลกนับตั้งแต่มีการแยกตัวจากฝั่งตะวันตก

โดยในครั้งนั้นพระอัครบิดร บาร์โธโลมิว (Ecumenical Patriarch Bartholomew) แห่งอิสตันบูลได้ทรงประทานอนุญาตตามคำขอของยูเครนเมื่อตุลาคมให้แยกตัวออกจากรัสเซีย และได้ทรงยกเลิกคำสั่งที่ถูกใช้ยาวนานร่วม 332 ปีในการให้ยูเครนขึ้นตรงต่อพระอัครบิดรแห่งคริสตจักรรัสเซีย

ในการลงมติ โปโรเชนโก ได้ร่วมอยู่ในการประชุมนี้ด้วยในฐานะ “ผู้สังเกตการณ์ที่ไม่ได้รับการออกเสียง” และพบว่า ประธานาธิบดีรัสเซียได้กล่าวต่อหน้าพระออร์โธด็อกซ์ชั้นผู้ใหญ่ในที่ประชุมว่า โบสถ์คริสตจักรยูเครนที่กำลังจะถูกตั้งขึ้นใหม่นั้นถือเป็นความมั่นคงประเทศ และความเป็นรัฐชาติยูเครน

อ้างอิงจาก spzh.news ซึ่งในการออกเสียง 2 รอบพบว่าสภาได้เลือก “Metropolitan Epiphany” แห่ง UOC KP อายุ 39 ปี ซึ่งตำแหน่งนี้เทียบเท่ากับตำแหน่งบิชอปตามของทางคริสตจักรคาทอลิก (โบสถ์คอนสแตนติโนเปิลตะวันตก)ในฐานะพระอัครบิดรแห่งกรุงเคียฟ

โดยผู้นำยูเครนได้ประกาศต่อฝูงชนที่เฝ้าฟังรอข่าวถึงการแต่งตั้งสมเด็จพระอัครบิดรพระองค์ใหม่แห่งยูเครนว่า

“ตะวันรุ่งแห่งวันพรุ่งนี้ได้เกิดขึ้นแล้วในประวัติศาสตร์ในฐานะเป็นวันแห่งความศักดิสิทธิ์.....ซึ่งถือว่าสิ้นสุดลงในท้ายที่สุดที่สามารถเป็นอิสระจากรัสเซีย”

DW ชี้ว่า การเริ่มดำเนินการจัดตั้งศาสนจักรของตัวเอง เคียฟเริ่มมาตั้งแต่ปี 2014 หลังจากมอสโกได้ควบรวมแหลมไครเมีย และสนับสนุนกลุ่มแบ่งแยกดินแดนยูเครนให้แยกพื้นที่เขตยูเครนตะวันออกออกจากเคียฟ

อย่างไรก็ตาม การประกาศแยกตัวครั้งนี้ใช่จะราบรื่นเพราะแม้จะได้รับการสนับสนุนจาก 3 สาขาของโบสถ์ในยูเครน แต่คริสตจักรออร์โธด็อกซ์ในยูเครนที่ขึ้นตรงกับพระอัครบิดรแห่งรัสเซียประกอบไปด้วย พระ (priest) โบสถ์ (church)และอาราม(monastery) ทำการบอยคอตการประชุมครั้งนี้ และยังประกาศจะยังคงอยู่ใต้การควบคุมของพระอัครบิดรแห่งรัสเซียต่อไป โดยทางคริสตรจักรแห่งรัสเซียยังคงถือว่ายูเครนเป็นส่วนหนึ่งของดินแดนรัสเซีย

ทั้งนี้พบว่า 67% ของประชากรชาวยูเครนทั้งหมด45 ล้านคนประกาศตัวเป็นชาวออร์โธด็อกซ์

https://mgronline.com/around/detail/9610000124462

 

‘เยอรมนี’เรียกร้องขอดู‘หลักฐาน’ หากจะให้ร่วมบอยคอตต์‘หัวเว่ย’
เผยแพร่: 15 ธ.ค. 2561 18:08 โดย: กองบรรณาธิการเอเชียไทมส์


(เก็บความจากเอเชียไทมส์ www.atimes.com)

German authority not sold on Huawei boycott
By Asia Times staff
15/12/2018

‘For such serious decisions as a ban you need evidence’
ผู้มีอำนาจสูงสุดของเยอรมนีในการกำกับดูแลความมั่นคงปลอดภัยสารสนเทศ บอกว่าจำเป็นต้องมีหลักฐานยืนยัน จึงจะสามารถตัดสินใจเรื่องที่มีความสำคัญมากๆ อย่างเช่นการห้ามใช้อุปกรณ์ของบริษัทหัวเว่ย

ขณะที่สหรัฐฯกำลังออกรณรงค์อย่างต่อเนื่อง เพื่อรบเร้าเหล่าพันธมิตรว่า อย่าใช้อุปกรณ์ของหัวเว่ย ในเครือข่ายสื่อสารไร้สายระบบ 5จีของพวกเขา ก็ใช่ว่าทุกๆ คนต่างเชื่อถือเออออกันไปหมด

ตัวอย่างเช่น ผู้มีอำนาจสูงสุดของเยอรมนี ในการกำกับดูแลความมั่นคงปลอดภัยทางคอมพิวเตอร์และการสื่อสารโทรคมนาคม กำลังออกมาแสดงความไม่เชื่อถือในข้อกล่าวอ้างต่างๆ ที่ว่า บริษัทจีนแห่งนี้เป็นภัยคุกคามและสร้างความเสี่ยงด้านความมั่นคงปลอดภัย

“การตัดสินใจในเรื่องที่จริงจังมากๆ อย่างเรื่องการสั่งห้ามเช่นนี้ คุณจำเป็นต้องมีหลักฐาน” อาร์เนอ ชืนโบห์ม (Arne Schönbohm) ประธานของสำนักงานสหพันธรัฐเพื่อความมั่นคงปลอดภัยสารสนเทศ (Federal Office for Information Security ใช้อักษรย่อว่า BSI) บอก ทั้งนี้ตามการอ้างอิงของบทความชิ้นหนึ่งซึ่งเผยแพร่ทาง แดร์ ชปีเกล (Der Spiegel) นิตยสารข่าวรายสัปดาห์ชื่อดังของเยอรมนี เมื่อวันศุกร์ (15 ก.ย.) (ดูรายละเอียดได้ที่ http://www.spiegel.de/netzwelt/netz...-sich-gegen-huawei-boykott-aus-a-1243708.html)

ชืนโบห์ม ชี้ว่าหัวเว่ยนั้นไปไกลกว่าและไปเหนือกว่าสิ่งที่บริษัทอื่นๆ ได้กระทำ โดยที่กำลังเปิด “แล็ปความปลอดภัย” (security lab) ขึ้นในเมืองบอนน์ (Bonn) เมืองหลวงเก่าของเยอรมันตะวันตกซึ่งเป็นที่ตั้งสำนักงานของ BSI สถานที่แห่งนี้อนุญาตให้พวกลูกค้าเข้าตรวจสอบผลิตภัณฑ์ต่างๆ ของหัวเว่ย รวมไปถึงซอร์ซโคด (source code) ของซอฟต์แวร์

ก่อนหน้านี้ คือในเดือนมีนาคมปีนี้ เมื่อถูกถามว่าทางการผู้รับผิดชอบของเยอรมนี มีความวิตกกังวลเช่นเดียวกับพวกหน่วยงานด้านความมั่นคงปลอดภัยของสหรัฐฯหรือไม่ ชืนโบห์ม ตอบว่า “ในปัจจุบันยังไม่มีการค้นพบที่น่าเชื่อถือใดๆ เลย” ซึ่งสนับสนุนการกล่าวอ้างดังกล่าว

อย่างไรก็ดี การรณรงค์ของสหรัฐฯเพื่อกีดกันไม่ให้เหล่าชาติพันธมิตรของตนใช้อุปกรณ์ของหัวเว่ย ในเครือข่ายสื่อสารไร้สายระบบ 5 จี ก็ได้ทำให้เกิดกระแสโมเมนตัมขึ้นมาในระยะไม่กี่เดือนหลังๆ นี้ และพวกบริษัทเอกชนของเยอรมนีอาจจะไม่มีภูมิคุ้มกันเพียงพอที่จะต่อต้านแรงกดดันเช่นนี้

ดอยเชอ เทเลคอม (Deutsche Telekom) แถลงเมื่อวันพฤหัสบดี (13 ธ.ค.) ว่า บริษัท “กำลังประเมินทบทวนอีกครั้ง” เกี่ยวกับยุทธศาสตร์การจัดซื้อของบริษัท สืบเนื่องจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับเครื่องมืออุปกรณ์ซึ่งจีนเป็นผู้ผลิต

“กระนั้นก็ตาม เวลานี้เรากำลังประเมินทบทวนอีกครั้งเกี่ยวกับยุทธศาสตร์การจัดซื้อของเรา” รายงานของสำนักข่าวบลูมเบิร์กอ้างอิงอีเมลของบริษัทสื่อสารเยอรมันยักษ์ใหญ่แห่งนี้ซึ่งส่งมาให้บลูมเบิร์ก “ดอยเชอ เทเลคอม ให้ความใส่ใจอย่างจริงจังมากเกี่ยวกับการอภิปรายถกเถียงกันในระดับโลกในเรื่องความมั่นคงปลอดภัยของส่วนประกอบต่างๆ ของเครือข่าย ซึ่งมาจากโรงงานผู้ผลิตชาวจีน”

ออสเตรเลียกับนิวซีแลนด์ได้ประกาศนโยบายต่างๆ ในช่วงฤดูร้อนที่ผ่านมา ซึ่งส่งผลเท่ากับเป็นการห้ามใช้อุปกรณ์ของหัวเว่ย สำหรับใช้ในการดำเนินการเครือข่ายสื่อสารไร้สายรุ่นหน้า ญี่ปุ่นก็เพิ่งเปิดเผยการเปลี่ยนแปลงทางนโยบายเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งอาจกลายเป็นการขัดขวางไม่ให้รัฐบาลซื้อหาอุปกรณ์จากหัวเว่ย และจาก แซดทีอี (ZTE) ยักษ์ใหญ่สื่อสารโทรคมนาคมสัญชาติจีนอีกรายหนึ่ง

บีที (BT) ผู้ให้บริการสื่อสารไร้สายรายใหญ่ที่สุดของสหราชอาณาจักร ประกาศเมื่อ 2 สัปดาห์ที่แล้วว่า พวกเขาจะถอดอุปกรณ์หัวเว่ยออกจากพวกเครือข่ายที่กำลังดำเนินงานอยู่แล้วในปัจจุบัน และก็จะไม่ใช้อุปกรณ์ของบริษัทนี้สำหรับเครือข่าย 5 จีของตน

https://mgronline.com/around/detail/9610000124359

 

APPLE สั่งลดการผลิต IPHONE ใหม่ทุกรุ่น
by Phongsak, 21 พฤศจิกายน 2561

วอลล์สตรีท เจอร์นัล รายงานว่า บริษัทแอปเปิล อิงค์ ได้ประกาศปรับลดคำสั่งผลิต iPhone ใหม่ทั้ง 3 รุ่น ที่เพิ่งมีการเปิดตัวในเดือนกันยายน

iPhone ที่ได้รับผลกระทบจากการปรับลดคำสั่งผลิตดังกล่าว ได้แก่ iPhone XR, iPhone XS และ iPhone XS Max วอลล์สตรีท เจอร์นัลระบุว่า อุปสงค์ที่ต่ำกว่าคาดของ iPhone รุ่นใหม่ และการที่แอปเปิลตัดสินใจเสนอขาย iPhone ที่มีจำนวนรุ่นมากขึ้น ได้สร้างความยากลำบากในการประเมินจำนวนชิ้นส่วน และจำนวนเครื่อง iPhone ที่บริษัทต้องการ

สร้างความตื่นตระหนกต่อนักลงทุนก่อนหน้านี้ด้วยการประกาศปรับลดตัวเลขคาดการณ์ยอดขาย iPhone สำหรับช่วงเทศกาลคริสต์มาส ส่งผลให้ซัพพลายเออร์บางรายออกคำเตือนเกี่ยวกับยอดขาย iPhone ที่อ่อนแอ แอปเปิลได้ปรับลดแผนการผลิต iPhone XR ลงถึง 33% จากตัวเลข 70 ล้านเครื่องที่เดิมมีการสั่งซัพพลายเออร์ให้เตรียมผลิตชิ้นส่วนสำหรับในช่วงเดือน กันยายน 61-กุมภาพันธ์ 62

ส่วนสาเหตุของเรื่องนี้คาดว่ามาจาก ความหลากหลายของรุ่นที่วางจำหน่ายพร้อมกัน ราคา iPhone ที่แพงขึ้น และยอดขาย iPhone ในต่างประเทศได้รับผลกระทบจากการแข็งค่าของดอลลาร์
https://www.smartsme.co.th/content/...45MLaPfOAXG1chbeVq5rgd4iGPBp_oPCXj6623bj5EQgc

 

Noticias 507 y el mundo

ตะวันออกกลาง

ฝนตกยังอยู่ในทะเลทรายของซาอุดีอาระเบีย

 

Noticias 507 y el mundo

หิมะที่รุนแรง ❄❄❄❄ ใน #kinloch #rannoch #สก็อตแลนด์

 

Noticias 507 y el mundo

ออสเตรีย

หิมะสดในเทือกเขาแอลป์มากขนาดนี้ เพิ่มภัยของหิมะถล่ม, saalbach, ออสเตรีย

 

Noticias 507 y el mundo

ออสเตรเลีย

น้ำท่วมรุนแรงอโดยไซโคลนโอเว่นอในอเมลเบิร์นอออสเตรเลีย

 

Noticias 507 y el mundo

แอฟริกา

น้ำท่วมกระทันหันในแอลจีเรีย

 

Noticias 507 y el mundo

อินเดีย

หิมะตกอยู่ใน shimla ทางเหนือของอินเดีย

 

ไม่ต้องพกใบขับขี่แล้ว! ขบ.เปิดให้โหลดใส่มือถือกลาง ม.ค.62
เขียนวันที่ วันเสาร์ ที่ 15 ธันวาคม 2561 เวลา 23:13 น. เขียนโดย ผู้จัดการ

นายพีระพล ถาวรสุภเจริญ อธิบดีกรมการขนส่งทางบก (ขบ.) เปิดเผยว่า กรมขนส่งฯ ได้ดำเนินโครงการใบขับขี่ดิจิตอล ที่โดยมีแผนที่จะพัฒนาเพื่อรองรับความสะดวกให้กับผู้ที่มีใบขับขี่ทั้งตลอดชีพ และใบขับขี่ชั่วคราว รวมถึงประชาชนที่ต้องการจะสอบใบขับขี่ ทั้งใบขับขี่รถยนต์และรถจักรยานยนต์

โดยให้สามารถโหลดแอพพลิเคชั่น ผ่านมือถือโดยใบขับขี่ 1บัตร ต่อ 1 หมายเลขโทรศัพท์ ซึ่งจะสามารถทดแทนการพกพาใบขับขี่ที่ใช้ในปัจจุบันได้ โดยทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ สามารถตรวจสอบรายละเอียดของบุคคลนั้น ผ่านข้อมูลทางโทรศัพท์มือถือได้เช่นกัน

อย่างไรก็ตาม โครงการดังกล่าวกรมการขนส่งทางบกมีแผนที่จะเปิดตัวในช่วงกลางเดือนมกราคม 2562 และ ถือว่าเป็นของขวัญปีใหม่ให้กับประชาชนด้วย

“กลางเดือนมกราคม 2562 โดยจะดำเนินการทั่วประเทศพร้อมกัน ซึ่งเบื้องต้นจะใช้ควบคู่กับใบขับขี่ที่เป็น QR Codeปัจจุบัน เพื่อเป็นทดสอบระบบใช้ช่วงแรก ซึ่งขณะนี้กรมการขนส่งทางบกก็ได้เริ่มดำเนินการทดสอบระบบในการตรวจข้อมูลว่าระบบเสถียรหรือไม่ หากระบบสมบูรณ์แล้ว ในอนาคตก็จะปรับเปลี่ยนมาใช้ระบบดิจิตอลทั้งหมด สำหรับค่าใช้จ่ายในการทำใบขับขี่ดิจิตอลนั้น จะเป็นอัตราในปัจจุบัน” นายพีระพล กล่าว

สำหรับใบขับขี่ขับรถยนต์ชนิดชั่วคราว อายุ 2ปี ค่าธรรมเนียม 200 บาท ใบอนุญาตขับรถจักรยานยนต์ส่วนบุคคลอายุ 2ปี ค่าธรรมเนียม 200 บาท ส่วนใบอนุญาตขับรถยนต์ส่วนบุคคล อายุ5ปี ค่าธรรมเนียม 500 บาท ใบอนุญาตขับรถจักรยานยนต์ส่วนบุคคล อายุ5ปี ค่าธรรมเนียม 250 บาท

นอกจากนี้ นายพีระพล กล่าวว่า กระทรวงคมนาคม โดยกรมการขนส่งทางบก ได้มีเป้าหมายเพื่อพัฒนาให้นักเรียน และเยาวชนที่ยังไม่มีใบขับขี่รถจักรยานยนต์ทั่วประเทศสามารถอบรมและสอบเพื่อขอใบขับขี่ได้ โดยกรมการขนส่งทางบกมีแผนที่จะดำเนินการในทุกจังหวัด อย่างน้อยจังหวัดละ 5โรงเรียน รวมจังหวัดละ 200-300คนต่อปี ซึ่งเฉลี่ยนแล้วจะมีผู้ผ่านการอบรมประมาณ 21,900 คนต่อปีทั่วประเทศ ที่ผ่านมา กระทรวงก็ได้ให้ความสำคัญกับเรื่องดังกล่าว เนื่องจากเพื่อเป็นการลดอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นเป็นจำนวนมาก และเพื่อให้เยาวชนสามารถเรียนรู้กฎจราจรอย่างถูกต้อง ซึ่งขั้นตอนต่อจากนี้ได้มอบหมายให้จังหวัดต่างๆ สอบถามความต้องการต่อไป เพื่อจะได้ดำเนินการหาสัมพันธ์มิตรอบรมนักเรียนรุ่นใหม่ที่ต้องการมีใบขับขี่

นายเกียรติศักดิ์ ตรงศิริ รองผู้ว่าการจังหวัดสระบุรี กล่าวว่า ในปี 2562 จังหวัดสระบุรีมีเป้าหมายที่จะอบรมเยาวชนที่ต้องการมีใบขับขี่รถจักรยานยนต์ 12รุ่น โดยแบ่งเป็น 150คน 4รุ่น / 100คน 8รุ่น ทั้งนี้ ถือเป็นเป้าหมายที่มากกว่ากระทรวงคมนาคมตั้งไว้ 3-4เท่า ซึ่งจังหวัดสระบุรีมียอดอุบัติเหตุสูงสุด โดยเฉพาะช่วงเทศกาล เนื่องจากจังหวัดสระบุรีเป็นทางผ่านสู่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยรุ่นแรกจะเริ่มดำเนินการภายในเดือนมกราคม 2562

ที่มา:https://mgronline.com/business/detail/9610000124383




https://www.isranews.org/isranews-o...fZgsZzzLimDCcuZva1JKnILLznnYv9qUR5E9QEnQIhA4U

 

สำนักข่าวอิศรา

“…นายธาริต ในฐานะอธิบดีดีเอสไอขณะนั้น เห็นชอบกับการถอนอายัดที่ดินของพนักงานสอบสวนดีเอสไอ ตามมติที่ประชุมคณะทำงานประสานงานในการดำเนินการคุ้มครองสิทธิของผู้เสียหายที่ตั้งขึ้นโดย พ.ต.อ.สีหนาท โดยไม่ตรวจสอบ ควบคุม กำกับดูแล ต่อมาปรากฏว่า พ.ต.หญิง นาฏยา และ พ.ท.อมร ได้รับเงินจากการขายที่ดินดังกล่าวบางส่วน และนำเงินดังกล่าวมาเข้าบัญชีของตนเอง อันเป็นการฟอกเงิน…”

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม :https://www.isranews.org/isranews/72013-isranews-72013.html

 

Manuel Barrera

ช่วงเวลาที่น่าตกใจของการตกของ #รูปแบบของพลังงานที่แผ่กระจายไปในเส้นตรงใด ๆ ใน #ซิดนีย์ #ออสเตรเลีย (16 ธันวาคม 2561)