ติดตามสถานะการณ์

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย สุกิจSukit, 8 มิถุนายน 2013.

  1. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,258
    ค่าพลัง:
    +97,150
    สุภาษิต ไม่มีมิตรแท้ และศัตรูที่ถาวร

    ไทยโพสต์


    เปลี่ยนชื่อหมู่บ้านเสื้อแดงเป็น'หมู่บ้านประชาธิปไตย'นัดรวมพล10ธค.ที่อุดรฯปลุกเลือก'พท-ทษช.'เขี่ยพรรคจตุพร


     
  2. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,258
    ค่าพลัง:
    +97,150
    "ประยุทธ์" ตั้งกรรมการสอบวินัยร้ายแรงทุจริต "อควาเรียมหอยสังข์" 10:55 | 7 ธันวาคม 2561 |

    [​IMG]

    นายกรัฐมนตรี ตั้งกรรมการสอบวินัยร้ายแรง ทุจริต "อควาเรียมหอยสังข์" ตามรายชื่อที่ ศธ.เสนอแล้ว โดยประธานเป็นข้าราชการระดับ 11 จากภายนอกกระทรวง

    วันนี้ (7 ธ.ค.2561) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากกระทรวงศึกษาธิการ ลงนามในหนังสือเสนอรายชื่อตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรง กรณีโครงการสร้างศูนย์ศึกษาการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ หรือ อควาเรียมหอยสังข์ ทะเลสาบสงขลา วิทยาลัยประมงติณสูลานนท์ สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา เพื่อเสนอให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พิจารณา

    ล่าสุด พล.อ.ประยุทธ์ ได้ลงนามตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรงแล้ว ตามที่ ศธ.เสนอ โดยมีข้าราชการจาก 6 กระทรวงเป็นผู้ตรวจสอบ สำหรับกรรมการชุดนี้มีหลายคนและมีตัวแทนจากกระทรวงอื่น ได้แก่ สำนักปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี กรมประมงสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ สำนักงานปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม

    ขณะที่กระทรวงศึกษาธิการจะมีข้าราชการระดับ 11 เป็นคนนอกกระทรวงนั่งประธานและเลขานุการ โดยขณะนี้ไม่สามารถบอกชื่อประธานได้ เนื่องจากเกรงว่าอาจมีการข่มขู่ประธาน

    สำหรับโครงการก่อสร้างศูนย์ศึกษาการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำทะเลสาบสงขลา หรือ "อควาเรียมหอยสังข์" ตั้งอยู่ในพื้นที่วิทยาลัยประมงติณสูลานนท์ ต.พะวง อ.เมือง จ.สงขลา ถูกออกแบบให้เป็นสถาปัตยกรรมที่สวยงาม โดดเด่นเป็นรูปหอยสังข์ขนาดใหญ่ ตั้งอยู่ริมทะเลสาบสงขลา โดยมีวัตถุประสงค์ใช้เป็นสถานที่จัดแสดงพันธุ์สัตว์น้ำพันธุ์ไม้น้ำ และการเพาะขยายพันธุ์ที่มีความทันสมัย เป็นสถานที่ศึกษาวิจัยและจำลองระบบนิเวศทะเลสาบสงขลา ดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2551 มีกำหนดแล้วเสร็จในปี 2554

    แต่จนขณะนี้ยังไม่แล้วเสร็จโดยในระยะแรกได้ใช้วงเงินไปแล้วประมาณ 835 ล้านบาท สร้างได้เฉพาะแค่ตัวอาคารในระยะที่ 2 ใช้งบประมาณ 269 ล้านบาท ทำระบบเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ ระยะที่ 3 ใช้งบประมาณอีกกว่า 42 ล้านบาท และระยะที่ 4 ใช้งบประมาณไปกว่า 258 ล้านบาท รวมงบประมาณที่ได้ใช้ไปแล้วทั้งสิ้นกว่า 1,400 ล้านบาท


    http://news.thaipbs.or.th/content/2...Kcx1kJxuvToVuSlnhiR0OrC0qsZSCJVW8ahAsLJHFMSR4
     
  3. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,258
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ประชาชนในยูเครน อุ้ม สส.ลงทิ้งถังขยะ
    IMG_5718.JPG IMG_5719.JPG IMG_5720.JPG
    #เหตุเลือกแล้วไม่ทำตามหน้าที่


     
  4. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,258
    ค่าพลัง:
    +97,150
    สาธารณสุขไทยน่าจะนำมาใช้

     
  5. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,258
    ค่าพลัง:
    +97,150
    La nueva era de la tierra - respaldo


    Wow น้ำตกและบันไดแช่แข็งในไอซ์แลนด์

    04.12.2018

    IMG_5721.JPG IMG_5722.JPG IMG_5723.JPG IMG_5724.JPG

     
  6. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,258
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ชายหาดประเทศจีน
    IMG_5725.JPG

     
  7. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,258
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ข่าวชาวบ้าน - Thai TV Social


    เตรียมรับมือ!! กรมอุตุประกาศเตือนฝนตกทั่วประเทศ ระวังน้ำท่วมฉับพลัน #ข่าวชาวบ้าน #ฝนตก #เตรียมรับมือ


     
  8. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,258
    ค่าพลัง:
    +97,150
    อาวุธยุทโธปกรณ์ และ เทคโนโลยี


    รัสเซียโวย ฟิลิปปินส์จัดหาBlackhawk เพราะกลัวสหรัฐ


    สื่อ Sputnik ของรัสเซีย รายงานว่า การที่ฟิลิปปินส์ตัดสินใจจัดหาBlackhawk จากสหรัฐ16ลำมูลค่า240ล้านเหรียญ นั้นเพราะฟิลิปปินส์กลัวการถูกขึ้นบัญชีดำCAATSAของสหรัฐหากจัดหาMi-171จากรัสเซียแม้ราคาถูกกว่าBlackhawkก็ตาม


    ในขณะที่ประเทศอื่นยังคงยืนยันที่จะจัดหาอาวุธจากรัสเซีย เช่น อินเดีย ตุรกี ที่จะหาระบบป้องกันภัยทางอากาศS400 หรืออินโดนีเซียที่จัดหาSu-35


    https://sputniknews.com/asia/201812071070494524-phillipines-russian-helicopters/


    ทั้งนี้ผมยังงงเหมือนกัน ว่า ดีลKUH-1 ที่ฟิลิปปินส์เจรจากับเกาหลีใต้ ที่จะจัดหาทั้งหมด11ลำนั้นหายไปไหน?


    ที่สำคัญกว่าคือ ถ้าราคา240ล้านเหรียญ และจัดหาBlackhawk ถึง 16ลำ คงไม่ใช่ UH-60M แน่ๆ อาจจะเป็นS-70 มาตราฐานพลเรือนหรืออาจะเป็นUH-60 ตัวเก่าที่ทำการปรับปรุงใหม่ แบบrefurbished


     
  9. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,258
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Jeerachart Jongsomchai


    ... “สงคราม 5G จีนกับอเมริกาแข่งพัฒนาระบบ ใครได้ก่อนคนนั้นชนะและครองโลกคลื่นลูกที่ 4”


    ... โลกของเรากำลังจะเปลี่ยนถ่ายจาก “คลื่นลูกที่3” ไปหา “คลื่นลูกที่4” หรือ “สังคมออนไลน์” โดยสมบูรณ์ในเวลาไม่กี่สิบปี และ ประเด็นของ 5G ก็กำลังเป็นทางสายหลัก หรือพระเอกของเรื่องนี้


    ... เมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 2018 ที่ผ่านมา มีการจับตัวนาง Meng Wanzhou ที่สนามบินในแคนาดา ,ที่เป็นซีเอฟโอ รวมทั้งเป็นลูกสาวของผู้ก่อตั้งบริษัท “หัวเหว่ย”, ซึ่งเป็นผู้ผลิตโทรศัพท์มือถือรายใหญ่อันดับสองของโลก และเป็นผู้ผลิตอุปกรณ์ไฮเทคของเทคโนโลยี่การสื่อสารที่ใหญ่ที่สุดของโลก และหนึ่งในสาเหตุที่ทางไชน่าเดลี่สื่อของทางการ “จีน” ได้บอกเอาไว้ชัดเจนนั้น สาเหตุก็เพราะว่าทาง “อเมริกา” นั้นไม่สามารถแข่งขันในการพัฒนาและหาตลาด “5G” แข่งกับจีนได้


    ... 5G นั้น เป็นเหมือนเครื่องมือพิเศษที่จะทำให้ประเทศมหาอำนาจก้าวไกลแซงประเทศคู่แข่งได้อย่างชัดเจน และตอนนี้ “หัวเหว่ย” และ “ZTE” ของจีนก็เป็นบริษัทในแนวหน้าของโลกในการพัฒนาสิ่งนี้


    ... 5G นั้น สามารถสร้างความเร็วของการดาวน์โหลดของอินเตอร์เน็ตได้มากถึง 20 Gbps+ ในปี 2020 ที่ประมาณว่าเร็วมากกว่า 100 เท่าของระบบ 4G โดยมีการเปรียบเทียบว่า ถ้าในระบบ 3G จะดาวน์โหลดหนังหนึ่งเรื่องจะต้องใช้เวลาประมาณ 26 ชั่วโมง ขณะที่ ระบบ 4G จะใช้เวลาโหลดแค่ 6 นาที แต่เมื่อระบบ 5G มาถึง จะสามารถดาวน์โหลดโดยใช้เวลาเพียง 3.6 วินาที เท่านั้น , ที่ความเร็วแรงแบบนี้สามารถเปลี่ยนพฤติกรรมและความสามารถในการแข่งขันของผู้คนและองค์กรในยุคหน้า 4.0 หรือ “สังคมออนไลน์” ได้อย่างสมบูรณ์ เช่น อีคอมเมิร์ส , อินเตอร์เน็ตแบ็งกิ้ง ,ทำให้การใช้อุปกรณ์ประกอบอินเตอร์เน็ต หรือ IOT ได้อย่างสะดวกมาก เช่น การควบคุมบ้านอัจฉริยะ ทั้งการรักษาความปลอดภัย หรือการสร้างภาพสามมิติแบบ Hologram หรือการรักษาทางการแพทย์ทางไกล หรือ Tele Medicine , การควบคุมเครื่องจักรทางไกล การควบคุมหุ่นยนต์ในโรงงาน การเรียนทางไกล เกมออนไลน์ การควบคุมรถยนตร์อัจฉริยะที่ไร้คนขับ ที่ต้องการการประเมินผลจากการโหลดข้อมูลที่รวดเร็ว หรือจะมีการสร้างเครือข่ายของผู้คนที่นิยมสิ่งเดียวกัน ในสังคมได้ง่ายมากขึ้น เป็นต้น


    ... ข้อมูลที่รั่วจาก NSC หรือ National Security Council ของ “อเมริกา” ได้เคยวิเคราะห์เรื่องนี้ไว้ว่า อนาคตพฤติกรรมของมนุษย์และองค์กรต่างๆจะมุ่งไปที่ระบบ 5G นี้มากขึ้น โดยประเมินว่า ในปี 2025 หรืออีก 6 ปีเศษ ข้างหน้า สังคม “อเมริกา” จะมีการใช้ระบบนี้ 49% ขณะที่ ญี่ปุ่นใช้ 45% , ยุโรป 31% จีนจะใช้25%


    ... แต่ปรากฏว่า “จีน” ที่นำโดย “หัวเหว่ย และ ZTEW กลับกำลังทุ่มสุดตัวในการพัฒนาในเรื่องนี้ ที่คาดว่าในปี 2020 หรืออีกสองปีข้างหน้า จะเริ่มมีการใช้บ้างในบางกลุ่มองค์กรหรือเครือข่าย จนกลายเป็นว่า “อเมริกา” กลัวจะแซงตัวเอง ทำให้มีทางการจีนมองว่าที่อเมริกาจับตัวลูกสาวของผู้ก่อตั้งหัวเหว่ยเมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 2018 ที่ผ่านมาก็เพราะว่าอเมริกาไล่ตามจีนไม่ทันในการพัฒนาและขยายตลาดของระบบ 5G นั่นเอง


    ... นักพัฒนาระบบนี้พยากรณ์ว่าในทั่วโลก ระบบ 5G จะค่อยๆพัฒนาเรื่อยๆ ที่เพิ่งเริ่มจริงจังในหลายประเทศในปี 2017 นี่เอง อย่างเร่งรีบ ควบคู่ไปกับการกินส่วนแบ่งการใช้ของ 3G, 4G , 2G ไปเรื่อยๆ จนในปี 2025 พวกเขาระบบ 5G จะได้ส่วนแบ่งการใช้ที่ 14% ขณะที่ในปีนั้น 4G จะยังครองส่วนแบ่งการใช้ที่ 53% ส่วน 3G จะมีคนใช้ที่ 29% และระบบ 2G ยังคงมีบางประเทศที่เปลี่ยนแปลงช้าใช้อยู่ที่ 4% แต่ว่ากว่าที่ระบบ 5G จะครอบครองการใช้ของผู้คนและองค์กรเครือข่ายต่างๆอย่าง 100% แบบสังคมในโลกยุค “คลื่นลูกที่4” อย่างสมบูรณ์ทั่วโลกคงต้องใช้เวลาหลายสิบปี แต่อาจจะแพร่หลายในประเทศที่ร่ำรวยก่อน เพราะต้องมีการสร้างระบบแถบคลื่นความถี่ที่ใหญ่กว่าเดิมที่ต้องเสียค่าใช้จ่ายมากขึ้น


    … โดยเฟสแรกของพัฒนา 5G นั้น จะเสร็จในเดือนมีนาคม ปี 2019 นี้ และเฟสสองก็ในเดือนเดียวกันของปี 2020 ที่ทำให้เรื่องนี้เป็นตัวละครเอก ที่ประเทศมหาอำนาจต้องเร่งสร้างเครื่องมือของตนอย่างเร่งรีบต่อไป ใครถึงเส้นชัยก่อนก็ได้เปรียบและชนะไป


    .


    .


    ... 5G is the fifth generation of cellular mobile communications. It succeeds the 4G (LTE/WiMax), 3G (UMTS) and 2G(GSM) systems. 5G performance targets high data rate, reduced latency, energy saving, cost reduction, higher system capacity, and massive device connectivity. The first phase of 5G specifications in Release-15 will be completed by March 2019, to accommodate the early commercial deployment. The second phase in Release-16 is due completed by March 2020, for submission to the ITU as a candidate of IMT-2020 technology.



    https://th.wikipedia.org/wiki/5_จี

    https://en.wikipedia.org/wiki/5G


     
  10. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,258
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Bank of Thailand Scholarship Students


    (Dec 8) ลูกสาวผู้ก่อตั้ง ‘หัวเว่ย’ อาจโดนคุก 30 ปีในสหรัฐฯ อัยการค้านประกันตัว-ชี้มีความเสี่ยงหลบหนี : อัยการแคนาดาคัดค้านคำร้องขอประกันตัว เมิ่ง หว่านโจว ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน (CFO) และบุตรสาวของผู้ก่อตั้งหัวเว่ย บริษัทโทรคมนาคมยักษ์ใหญ่ของจีน ระหว่างที่รอการส่งตัวไปสหรัฐฯ ในฐานะผู้ร้ายข้ามแดนข้อหาละเมิดมาตรการแซงก์ชั่นที่วอชิงตันประกาศใช้กับอิหร่าน


    เมิ่ง วัย 46 ปี ถูกจับกุมที่เมืองแวนคูเวอร์ ขณะแวะพักเพื่อเปลี่ยนเครื่องบินจากฮ่องกงไปยังเม็กซิโกเมื่อวันที่ 1 ธ.ค. ซึ่งเป็นวันเดียวกับที่ผู้นำสหรัฐฯ และจีนประกาศมาตรการหยุดยิงในสงครามการค้า


    ผู้บริหารหญิงรายนี้ถูกนำตัวไปขึ้นศาลแคนาดาเมื่อวันศุกร์ (7) โดยหลังจากที่อัยการและทนายจำเลยได้เสนอข้อมูลโต้แย้งกันไปมานานเกือบ 6 ชั่วโมง ศาลได้ประกาศเลื่อนการพิจารณาคำร้องขอประกันตัวไปเป็นวันจันทร์ที่ 10 ธ.ค. เวลา 10.00 น. ตามเวลาแปซิฟิก (18.00 GMT) ซึ่งระหว่างนี้ เมิ่ง จะยังคงถูกควบคุมตัวอยู่


    จอห์น กิบบ์-คาร์สลีย์ อัยการแคนาดา เรียกร้องให้ศาลปฏิเสธคำขอประกันตัว โดยอ้างว่า เมิ่ง นั้นตกเป็นผู้ต้องหา “สมคบคิดฉ้อโกงสถาบันการเงินหลายแห่ง” ซึ่งหากผิดจริงก็อาจมีโทษจำคุกนานกว่า 30 ปี


    เมิ่ง ถูกกล่าวหาว่าแจ้งข้อมูลเท็จต่อธนาคาร HSBC เพื่อปกปิดความเชื่อมโยงระหว่าง หัวเว่ย กับบริษัท สกายคอม เทค ในฮ่องกง ซึ่งลักลอบจำหน่ายอุปกรณ์ไฮเทคที่ผลิตในอเมริกาให้แก่อิหร่าน และทำให้ธนาคารเสี่ยงมีความผิดฐานละเมิดกฎหมายคว่ำบาตรไปด้วย โดยมีรายงานว่า สกายคอม ได้ฝ่าฝืนมาตรการแซงก์ชั่นของสหรัฐฯ ระหว่างปี 2009-2014 ส่วนการให้ข้อมูลเท็จของ เมิ่ง นั้นเกิดขึ้นเมื่อปี 2013


    เดวิด มาร์ติน ทนายของเมิ่ง ระบุว่า เธอเคยเป็นบอร์ดบริหารสกายคอมเมื่อราวๆ 10 ปีที่แล้ว ก่อนที่บริษัทดังกล่าวจะถูกขายไป


    อย่างไรก็ตาม สหรัฐฯ เชื่อว่าหัวเว่ยยังควบคุมบริษัทแห่งนี้อยู่ในทางพฤตินัย ขณะที่ กิบบ์-คาร์สลีย์ เปิดเผยว่าลูกจ้างสกายคอมยังคงถือบัตรพนักงานหัวเว่ย และใช้อีเมลของหัวเว่ยด้วย


    อัยการแคนาดาชี้ว่า เมิ่ง หลีกเลี่ยงการเดินทางไปสหรัฐอเมริกาตลอด 1 ปีที่ผ่านมาหลังทราบว่าหัวเว่ยกำลังถูกตรวจสอบ และเห็นสมควรคัดค้านการประกันตัวเนื่องจากมีความเสี่ยงหลบหนี


    หัวเว่ย มีถ้อยแถลงวานนี้ (7) ว่า บริษัทจะเฝ้าติดตามการพิจารณาคำร้องขอประกันตัวซีเอฟโอในสัปดาห์หน้า และ “เชื่อมั่นว่ากระบวนการยุติธรรมของแคนาดาและสหรัฐฯ คงจะได้ข้อสรุปที่ถูกต้อง”


    ปักกิ่งเรียกร้องให้แคนาดาคืนอิสรภาพแก่ เมิ่ง ในทันที โดยระบุว่า เมิ่ง ซึ่งเป็นบุตรสาวของ เริ่น เจิ้งเฟย (Ren Zhengfei) ผู้ก่อตั้งหัวเว่ยและอดีตวิศวกรของกองทัพปลดปล่อยประชาชนจีน ไม่เคยกระทำการฝ่าฝืนกฎหมายทั้งในสหรัฐฯ และแคนาดา


    ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ทวีตข้อความเมื่อวานนี้ (7) ว่า การเจรจาเพื่อคลี่คลายข้อพิพาทการค้ากับจีนยังคง “ดำเนินไปด้วยดี” แม้จะมีข่าวการจับกุมผู้บริหารหัวเว่ยแทรกกลางขึ้นมาก็ตาม


    การไต่สวนโดยศาลสูงบริติชโคลัมเบียที่แวนคูเวอร์ถือเป็นจุดเริ่มต้นของกระบวนการส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดน ซึ่งอาจต้องใช้เวลานานหลายเดือน


    เจ้าหน้าที่ผู้ไม่ประสงค์ออกนามคนหนึ่งให้ข้อมูลกับซีเอ็นเอ็นว่า การจับกุมผู้บริหารหัวเว่ยอาจถูกใช้เป็นเครื่องมือต่อรองเรื่องการค้ากับจีน ขณะที่ ปีเตอร์ นาร์วาโร ที่ปรึกษาฝ่ายพาณิชย์ของทำเนียบขาวยังคงปฏิเสธความเชื่อมโยงนี้


    สื่อรัฐบาลจีนโจมตีการจับกุม เมิ่ง ว่าเป็นแผนของสหรัฐฯ ที่จะบ่อนทำลายอุตสาหกรรมไฮเทคในแดนมังกร


    หนังสือพิมพ์โกลบัลไทม์ชี้ว่า “รัฐบาลจีนควรพิจารณาอย่างจริงจังว่าสหรัฐฯ มีแนวโน้มที่จะละเมิดกระบวนการทางกฎหมายเพื่อกีดกันบริษัทไฮเทคของจีนหรือไม่”


    “เห็นได้ชัดว่าวอชิงตันกำลังเล่นไม่ซื่อ หลังจากไม่สามารถขัดขวางหัวเว่ยในการขยายบริการเครือข่าย 5G เข้าสู่ตลาด”


    ในกรณีที่ศาลให้ประกันตัว เมิ่ง ยินยอมที่จะถูกยึดหนังสือเดินทาง และติดเครื่องควบคุมตัวอิเล็กทรอนิกส์จนกว่าจะพ้นข้อกล่าวหาหรือถูกส่งตัวไปดำเนินคดีต่อในสหรัฐอเมริกา โดยค่าใช้จ่ายด้านความปลอดภัยทั้งหมดเธอจะเป็นผู้รับผิดชอบเอง


    Source: ผู้จัดการออนไลน์

    https://mgronline.com/around/detail/9610000122072


    *****************************

    ผู้บริหาร หัวเว่ย ขึ้นศาลแคนาดา ถูกตั้งข้อหาจงใจละเมิดมาตรการคว่ำบาตรอิหร่าน:


    นางเหม็ง ว่านโจว ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงินของบริษัทหัวเว่ย เทคโนโลยี่ ได้ถูกนำตัวขึ้นศาลเมืองแวนคูเวอร์ ประเทศแคนาดา เมื่อวานนี้ตามเวลาท้องถิ่น

    CBC/Radio-Canada ซึ่งเป็นสื่อท้องถิ่นของแคนาดารายงานว่า นางเหม็งถูกตั้งข้อกล่าวหาว่ามีพฤติกรรมหลอกลวงในกรณีลักลอบทำข้อตกลงทางธุรกิจกับอิหร่าน โดยนางเหม็งถูกระบุว่าได้ใช้บริษัทสกายคอม ซึ่งเป็นบริษัทที่ถูกจัดตั้งขึ้นเพื่อบังหน้า (shell company) ในการทำธุรกิจกับอิหร่าน ซึ่งถือเป็นการละเมิดมาตรการคว่ำบาตรที่สหรัฐบังคับใช้ต่ออิหร่าน ในช่วงปี 2552-2557


    นอกจากนี้ นางเหม็ง วัย 46 ปี ยังถูกตั้งข้อกล่าวหาว่าหลอกลวงสาธารณชนให้เข้าใจผิดเกี่ยวกับสถานะของบริษัทสกายคอม โดยเมื่อครั้งที่สหรัฐระบุว่าสกายคอมและหัวเว่ยเป็นบริษัทเดียวกันนั้น นางเหม็งยืนยันว่า สกายคอมได้แยกตัวออกจากหัวเว่ยแล้ว


    ทั้งนี้ ศาลแคนาดาได้รับฟังข้อกล่าวหาดังกล่าวหลังจากที่ทางการแคนาดาได้จับกุมตัวนางเหม็งเมื่อวันที่ 1 ธ.ค.ที่ผ่านมา ตามคำขอของกระทรวงยุติธรรมสหรัฐ เนื่องจากคาดว่าทางบริษัทอาจลักลอบขายสินค้าให้กับอิหร่าน ซึ่งถูกสหรัฐคว่ำบาตร


    รายงานระบุว่า แคนาดาอาจส่งตัวนางเหม็งไปยังสหรัฐเพื่อรับการพิจารณาคดีต่อไป


    Source: อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย รัตนา พงศ์ทวิช


    - Huawei CFO could face sentence of up to 30 years per charge if extradited to US: https://www.cnbc.com/2018/12/07/us-wants-huawei-cfo-to-face-charges-over-iran-sanctions.html
     
  11. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,258
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Bank of Thailand Scholarship Students


    (Dec 8)สิ่งที่คุณต้องรู้ กรณีผู้บริหาร Huawei โดนจับที่แคนาดา มีความสำคัญกับเรื่องสงครามการค้ายังไง: Brand Inside รวบรวมสิ่งที่คุณต้องรู้ถึงเรื่องผู้บริหารระดับสูงของหัวเว่ยโดนจับ ว่าทำไมต่างชาติถึงเริ่มกลัวหัวเว่ยว่าจะเป็นภัยความมั่นคงมากขึ้น รวมไปถึงสหรัฐต้องการตัวทำไม


    กรณีหลังจากที่ Meng Wanzhou หรือ เหมิง หวันโจว ซึ่งเป็นผู้บริหารสูงสุดทางด้านการเงินของ Huawei หรือ หัวเว่ย โดนจับที่ประเทศแคนาดาในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา และทางการสหรัฐฯ ร้องขอให้ส่งตัวเป็นผู้ร้ายข้ามแดนเพื่อไปดำเนินคดีต่อในศาลสหรัฐฯ อีกด้วย


    สาเหตุสำคัญที่สื่อคาดเดาไว้สำหรับการจับกุม เหมิง หวันโจว ในครั้งนี้คือหัวเว่ยได้ละเมิดมาตรการของสหรัฐที่คว่ำบาตรอิหร่าน โดยการส่งออกสินค้าที่พัฒนาเทคโนโลยีจากสหรัฐไปยังอิหร่าน และรวมไปถึงความเป็นไปได้ที่จะมีการส่งสินค้าของหัวเว่ยไปประเทศเกาหลีเหนือ รวมไปถึงซีเรีย ที่สหรัฐคว่ำบาตรอยู่ด้วย


    Brand Inside รวบรวมประเด็นสำคัญของเรื่องการจับเหมิง หวันโจว ว่ามีความสำคัญยังไง


    เหมิง หวันโจว คือใคร


    เหมิง หวันโจว เป็นผู้บริหารสูงสุดทางด้านการเงิน รวมไปถึงเป็นรองประธานบริษัทของหัวเว่ยโดยเธอเป็นลูกสาวของ Ren Zhengfei หรือ เหริน เจิ้งเฟย ซึ่งเป็นผู้ก่อตั้งหัวเว่ยและเป็นอดีตวิศวกรของกองทัพปลดปล่อยประชาชนจีน หรือ PLA


    เธอได้เริ่มงานที่หัวเว่ยในปี 1993 และได้พัฒนาบทบาทด้านการเงินของบริษัทไม่ว่าจะเป็นมาตรฐานบัญชีที่เข้ากับระบบสากล หรือการพัฒนาโครงสร้างองค์กร รวมไปถึงระบบไอทีสำหรับองค์กร


    นอกจากนี้เธออาจเป็นตัวเก็งสำหรับ CEO ของหัวเว่ยคนต่อไปอีกด้วย


    อาณาจักรหัวเว่ยใหญ่แค่ไหน


    ปัจจุบันอาณาจักรของหัวเว่ยไม่ใช่มีเพียงแค่โทรศัพท์มือถือเท่านั้น แต่ความยิ่งใหญ่ของอาณาจักรนี้คือสินค้าที่อยู่ในโลกของระบบโทรคมนาคม ไม่ว่าจะเป็นระบบที่เกี่ยวข้องกับเคเบิลใยแก้วนำแสง ระบบเน็ตเวิร์คขนาดใหญ่ การรับวางระบบเคเบิลใต้น้ำ อุปกรณ์ส่งสัญญาณโทรศัพท์มือถือ รวมไปถึงอุปกรณ์อื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ในราคาถูกกว่าคู่แข่งชื่อดังมหาศาล


    ลูกค้าของหัวเว่ยในไทยคือบริษัทโทรคมนาคมของไทย “แทบทุกราย” เช่น AIS 3BB หรือแม้แต่ True ส่วนทางต่างประเทศก็ไม่ว่าจะเป็น SoftBank หรือแม้แต่ Vodafone เป็นต้น โดยลูกค้าของหัวเว่ยมีอยู่ทั่วโลกตั้งแต่อเมริกาใต้จนถึงยุโรป เอเชีย แอฟริกา ฯลฯ


    นอกจากนี้หัวเว่ยยังเป็นความภาคภูมิใจของประเทศจีน เนื่องจากสิทธิบัตรตั้งแต่หลังยุค 3G เป็นต้นมา บริษัทอย่างหัวเว่ยมีสิทธิบัตรที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีไม่ว่าจะเป็น 4G TDD หรือแม้แต่มาตรฐานใหม่อย่าง 5G ก็มีหัวเว่ยเป็นโต้โผหลักสำหรับเทคโนโลยีนี้ด้วย


    ยังรวมไปถึงการที่บริษัทเป็นหนึ่งในบริษัทที่จะพาจีนก้าวไปสู่ Made in China 2025 อีกด้วย


    ความกังวลของนานาชาติ


    ในช่วงที่ผ่านมานานาชาติเริ่มมีความกังวลเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับระบบโทรคมนาคมจากจีนว่าจะทำให้เกิดปัญหาทางด้านความมั่นคง ซึ่งในช่วงที่ผ่ามาบริษัทจีนที่โดนในกรณีนี้ไปแล้วคือ กรณีของ ZTE ที่โดนรัฐบาลสหรัฐปรับเป็นจำนวนมหาศาลมาแล้ว


    แต่ของกรณีหัวเว่ยอาจใหญ่กว่านั้น เพราะว่าบริษัทโทรคมนาคมทั่วโลกกำลังที่จะเตรียมตัวติดตั้งระบบ 5G แน่นอนว่าผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือหลายๆ รายต่างเลือกใช้อุปกรณ์ของหัวเว่ย อย่างเช่นในกรณีที่ประเทศอังกฤษ BT ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ให้บริการกำลังที่จะเตรียมถอดอุปกรณ์เครือข่ายของหัวเว่ยออกจากระบบ หลังมีคำเตือนจากหน่วยงานความมั่นคงของอังกฤษ


    ไม่ใช่แค่นั้นยังมีกรณีอื่นๆ เช่น ประเทศออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ได้ประกาศห้ามใช้อุปกรณ์ของหัวเว่ยในการให้บริการ 5G เนื่องจากความกังวลในเรื่องของความมั่นคง และล่าสุดประเทศญี่ปุ่นกำลังอาจห้ามใช้อุปกรณ์จากหัวเว่ยด้วยอีกเช่นกัน


    สำหรับความกังวลของสหรัฐอาจไม่ใช่แค่ความมั่นคงอย่างเดียว ยังรวมไปถึง เรื่องของการขโมยเทคโนโลยีของบริษัทจีน และการถ่ายทอดเทคโนโลยีที่ไม่เต็มใจจากบริษัทต่างชาติ รวมไปถึงการขายผลิตภัณฑ์ที่ตัดราคามากกว่าผลิตภัณฑ์ของประเทศอื่นๆ ด้วย


    อาจทำให้การเจรจาสงครามการค้าสะดุด?


    อย่างที่ได้กล่าวไปว่าเหมิง หวันโจว เป็นคนสำคัญที่รัฐบาลจีนดูแลเป็นอย่างดี การที่เธอโดนจับที่ประเทศแคนาดา และสหรัฐขอให้ส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดนไปดำเนินคดีในสหรัฐ ย่อมสร้างความขุ่นเคืองให้กับรัฐบาลจีนไม่น้อย เพราะถือว่าเป็นการตบหน้าอย่างจัง ล่าสุดสถานทูตจีนในแคนาดาได้ออกประกาศมาว่าให้ปล่อยตัวเหมิงทันที ยังรวมไปถึงการประนามสหรัฐในเรื่องนี้ว่าทำตัวเหมือน “อันธพาล”


    ในช่วงที่ผ่านมาสหรัฐพึ่งตกลงกับจีนที่จะไม่ขึ้นเพดานภาษีนำเข้าสินค้าภายใน 90 วัน แต่สำหรับการจับตัวเหมิง อาจเป็นชะนวนทำให้เกิดความกังวลว่าจีนอาจหาทางจับผู้บริหารของบริษัทสหรัฐในจีน เป็นการยื่นหมูยื่นแมวอีกทาง


    นอกจากนี้เรื่องการจับตัวเหมิงอาจสร้างความยุ่งยากให้กับสหรัฐในการเจรจากับจีนเพิ่ม ก่อนหน้านี้ประธานาธิบดี สี จิ้นผิง ได้ออกมากล่าวว่าการเจรจาเรื่องของการขโมยเทคโนโลยีของบริษัทจีนกับสหรัฐแน่นอนภายใน 90 วันที่ได้ประกาศไปแล้ว ซึ่งเราจะเห็นดัชนีหุ้นทั่วโลกตกลงเนื่องจากความกังวลในเรื่องนี้


    อย่างไรก็ดีถ้าหากสหรัฐจะได้ตัวของเหมิงอาจต้องใช้เวลายาวกว่าที่คิด เนื่องจากกระบวนการยุติธรรมของ 2 ประเทศ และต้องเปิดเผยสาเหตุที่แท้จริงด้วย


    โดย Wattanapong Jaiwat


    Source: BoTSS


    https://brandinside.asia/bi-knowledge-about-meng-arrested-at-canada-and-whats-connect-to-trade-war/
     
  12. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,258
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Bank of Thailand Scholarship Students


    (Dec 8) ปารีสคุมเข้มขั้นสูงสุดรับมือ "ม็อบเสื้อกั๊กเหลือง": รัฐบาลฝรั่งเศสเตรียมพร้อมขั้นสูงสุดโดยเฉพาะในกรุงปารีส เพื่อรับมือกับการประท้วงครั้งใหม่ของ "แนวร่วมเสื้อกั๊กสีเหลือง" ในวันเสาร์ที่ 8 ธ.ค. นี้


    สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส เมื่อวันที่ 8 ธ.ค. ว่านายคริสตอฟ คาสตาเนอร์ รมว.กระทรวงมหาดไทยของฝรั่งเศส แถลงเมื่อวันศุกร์ ประกาศ "14 จุดอันตราย" ในกรุงปารีส ซึ่งมีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดเหตุรุนแรงตลอดทั้งวันเสาร์ที่ 8 ธ.ค. นี้ ระหว่างกลุ่มผู้ประท้วงต่อต้านรัฐบาลในนาม "แนวร่วมเสื้อกั๊กสีเหลือง" กับตำรวจปราบจลาจล โดยยืนยันว่ารัฐบาลวางกำลังตำรวจมากกว่า 8,000 นายเฉพาะในเมืองหลวง ซึ่งสถานที่สำคัญทุกแห่งปิดให้บริการตลอดทั้งวันเสาร์นี้ "เป็นอย่างน้อย"


    นายคริสตอฟ คาสตาเนอร์ รมว.กระทรวงมหาดไทยของฝรั่งเศส ตรวจสภาพของหนึ่งใน "ยานยนต์หุ้มเกราะ" ที่เจ้าหน้าที่จะใช้ควบคุมฝูงชน


    ขณะที่จำนวนเจ้าหน้าที่ซึ่งจะปฏิบัติการทั่วประเทศอยู่ที่ประมาณ 89,000 นาย มากที่สุดเป็นประวัติการณ์ และจะมีการเตรียมใช้ยานยนต์หุ้มเกราะในกรุงปารีสเป็นครั้งแรกในรอบ 50 ปี "หากสถานการณ์บานปลาย" พร้อมทั้งเตือนว่าเจ้าหน้าที่จะใช้ "มาตรการขั้นเด็ดขาด" หากกลุ่มผู้ประท้วงพยายามบุกรุกเข้าสู่อาณาเขตของทำเนียบเลลีเซ ซึ่งเป็นสถานที่ทำงานและสถานที่พำนักของประธานาธิบดีเอมมานูเอล มาครง แต่ยืนยันว่ารัฐบาลยังคงพร้อมเสมอสำหรับการเจรจา


    ด้านบรรยากาศในกรุงปารีสโดยเฉพาะชุมชนซึ่งตั้งอยู่ใกล้กับช็องเซลีเซเข้าสู่ความเงียบสงบจนแทบกลายเป็น "เมืองร้าง" เมื่อประชาชนและบรรดาผู้ประกอบธุรกิจในพื้นที่ปฏิบัติตามคำสั่งของเจ้าหน้าที่ ด้วยการเก็บสินค้าราคาแพงออกจากชั้นวางหน้าร้านทั้งหมด ใช้แผ่นไม้หลายชั้นทำเป็นเครื่องป้องกันอาคารเพื่อลดความเสียหาย และช่วยกันเก็บสิ่งของทุกอย่างที่อาจกลายเป็น "อาวุธ" ออกจากพื้นที่ ในเวลาเดียวกัน มีรายงานว่าตำรวจเริ่มปิดการจราจรบางส่วนรอบช็องเซลีเซ และตั้งด่านตรวจแล้ว


    กลุ่มมนักศึกษาเริ่มเดินขบวนประท้วงบ้างแล้วในกรุงปารีส


    สถานการณ์ที่เกิดขึ้นถือเป็นวิกฤติการเมืองครั้งใหญ่ที่สุดของประธานาธิบดีเอมมานูเอล มาครง นับตั้งแต่รับตำแหน่งจากชับชนะด้วยคะแนนเสียงสนับสนุนท่วมท้นเมื่อเดือนพ.ค. ปีที่แล้ว แม้ชนวนเหตุของการประท้วงครั้งนี้ที่มีผู้เสียชีวิตแล้ว 4 คน ปะทุเมื่อกลางเดือนพ.ย. ที่ผ่านมา เป็นผลจากการเตรียมขึ้นภาษีเชื้อเพลิง ซึ่งรัฐบาลยอมนำออกจากงบประมาณปี 2562 แล้ว แต่ดูเหมือนแทบไม่ได้บรรเทาความไม่พอใจของประชาชน โดยความไม่พอใจขยายวงกว้างไปถึงนโยบายปฏิรูปการศึกษา การจัดการระบบบำนาญ และการเรียกร้องให้มาครงลาออกจากตำแหน่ง แต่ผู้สันทัดกรณีเชื่อว่ามาครงจะยังคงอยู่ได้ครบวาระคือจนถึงปี 2565 กระนั้นผู้นำหนุ่มวัย 40 ปีต้องปรับหลายเรื่อง โดยเฉพาะ "การเข้าใจและเข้าถึงประชาชน" .


    Source: เดลินิวส์ออนไลน์


    https://www.france24.com/en/reporte...low-vest-protests-riot-anger-taxes-protesters
     
  13. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,258
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Bank of Thailand Scholarship Students


    (Dec 8 ) ทรัมป์เสนอชื่อนาย William Barr เป็นอัยการสูงสุดคนใหม่: สำนักข่าว Reuters รายงานว่า ประธานาธิบดี Trump ตัดสินใจเสนอชื่อนาย William Barr ขึ้นรับตำแหน่งอัยการสูงสุดคนใหม่แทนที่นาย Jeff Sessions ซึ่งลาออกจากตำแหน่งตามความต้องการของประธานาธิบดี Trump เมื่อเดือนที่ผ่านมา


    นอกจากนี้ สำหรับตำแหน่งเอกอัคราชทูตสหรัฐฯ ประจำสหประชาชาติคนใหม่แทนที่นาง Nikki Haley นั้น ประธานาธิบดี Trump กล่าวว่า ตนต้องการให้นาง Heather Nauert, โฆษกประจำ State Department ขึ้นมารับตำแหน่งแทน


    ทั้งนี้ บุคคลที่ได้รับการเสนอชื่อทั้งสองท่าน ยังต้องขึ้นให้การต่อสมาชิกวุฒิสภา ซึ่งสมาชิกพรรค Democrats บางส่วนเห็นว่า นาง Nauert มีคุณสมบัติไม่เหมาะสม และมีความกังวลต่อความเป็นอิสระของนาย Barr อนึ่ง ประธานาธิบดี Trump ระบุว่า จะเปิดเผยผู้ที่จะขึ้นรับตำแหน่ง Joint Chiefs of Staff ของกระทรวงกลาโหมในวันเสาร์นี้ ซึ่งคาดว่า นายพล Mark Milley จะได้รับการแต่งตั้งเข้ามาดำรงในตำแหน่งดังกล่าว


    Source: BoTSS


    - Trump picks attorney general and UN envoy in fresh staff shake-up

    https://af.reuters.com/article/worldNews/idAFKBN1O61YV
     
  14. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,258
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Bank of Thailand Scholarship Students


    (Dec 8 ) กรรมเฟดเริ่มเห็นว่าเฟดควรปรับอัตราดอกเบี้ยแบบค่อยเป็นค่อยไป: นาง Lael Brainard, Federal Reserve Governor ให้ความเห็นว่า แนวทางการปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยอย่างค่อยเป็นค่อยไป ยังคงเหมาะสมในระยะข้างหน้า ‘near term’ และการตัดสินใจจะขึ้นอยู่กับภาวะทางเศรษฐกิจมากขึ้น


    นอกจากนี้ นาง Brainard คาดว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังสามารถเติบโตได้ดีในปี 2019 ท่ามกลางตลาดแรงงานที่แข็งแกร่งและอัตราเงินเฟ้อเข้าใกล้เป้าหมาย แม้ตลาดการเงินในสหรัฐฯ จะตึงตัวขึ้นเล็กน้อยในช่วงที่ผ่านมา โดยคาดว่าความเสี่ยงหลักจะมาจากความไม่แน่นอนของนโยบายการค้า สถานการณ์ Brexit และภาวะหนี้ในประเทศอิตาลี นอกจากนี้ นาง Brainard เห็นว่าสถาบันการเงินควรเพิ่ม capital buffer โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในช่วงที่ cyclical pressure ยังคงเป็นปัจจัยสนับสนุนต่อผลกำไร


    อย่างไรก็ดี นาย James Bullard, Federal Reserve Bank of St. Louis President (Non–voter) ไม่เห็นด้วยกับการปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบายในเดือน ธ.ค. นี้ โดยกล่าวว่า คณะกรรมการนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ และนักลงทุน ยังคงมีมุมมองต่ออัตราเงินเฟ้อและอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ ที่ไม่สอดคล้องกัน (ซึ่งคณะกรรมการมีมุมมองเชิง hawkish มากกว่า) ส่งผลให้ yield curve มีแนวโน้ม inverted หากธนาคารสหรัฐฯ ยังคงปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบายอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ นาย Bullard คาดว่าการมี press conference ทุกครั้งหลังการประชุมจะช่วยเพิ่มความโปร่งใสในการดำเนินนโยบาย พร้อมส่งเสริมให้การสื่อสารจากธนาคารกลางสหรัฐฯ ที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น ส่งผลให้เกิดความยืดหยุ่นในการดำเนินนโยบายมากขึ้น


    Source: BoTSS


    - Fed policymakers signal turning point on U.S. rate-hike path

    https://www.reuters.com/article/us-...ing-point-on-u-s-rate-hike-path-idUSKBN1O623Q
     
  15. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,258
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Bank of Thailand Scholarship Students
    IMG_5733.JPG
    (Dec 8 )นาง Annegret Kramp-Karrenbauer ได้รับเลือกให้ขึ้นดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรค Christian Democrats Union (CDU) คนใหม่ ต่อจาก นาง Angela Merkel: นาง Annegret Kramp-Karrenbauer ได้รับเลือกให้ขึ้นดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรค CDU คนใหม่ หลังได้รับชัยชนะเหนือ นาย Friedrich Merz ด้วยคะแนนเสียง 517 ต่อ 482 โดย นาง Kramp-Karrenbauer มีจุดยืนทางการเมืองที่ใกล้เคียงกับ นาง Angela Merkel นายกรัฐมนตรีเยอรมนีและหัวหน้าพรรค CDU คนปัจจุบัน ซึ่งชัยชนะของ นาง Kramp-Karrenbauer ถือเป็นสัญลักษณ์ของความต่อเนื่องและมุ่งมั่นในจุดยืนแบบ Centrist ตามแนวทางของ นาง Merkel ต่อไป ขณะที่ นาย Merz ซึ่งเป็นนักกฎหมายและเคยดำรงตำแหน่ง Chairman of CDU/CSU parliamentary group มีจุดยืนทางการเมืองที่โน้มเอียงไปทางฝั่งขวาหรือมีความเป็นอนุรักษ์นิยมมากกว่า

    ในช่วงสุนทรพจน์ นาง Kramp-Karrenbauer กล่าวปฏิเสธการถูกขนานนามว่าเป็น “mini-Merkel” และเป็นตัวแทนแบบ “business-as-usual” พร้อมทั้งระบุว่าตนไม่ได้เป็นตัวแทนของใครและรู้ดีว่าจะต้องนำพาพรรคให้ไปถึงจุดหมายอย่างไร ทั้งนี้ ตำแหน่งหัวหน้าพรรค CDU ถือเป็นก้าวสำคัญที่อาจนำทางให้ นาง Kramp-Karrenbauer ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเยอรมนีซึ่งเป็นตำแหน่งผู้นำที่ทรงอิทธิพลมากที่สุดของยุโรป

    Source: BoTSS
    https://www.bbc.com/news/world-europe-46487246
     
  16. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,258
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Bank of Thailand Scholarship Students


    (Dec 7) อินเดียล้ำ จ่อใช้ “โดรน” เดลิเวอรี่อาหารตามบ้าน – รับน้ำหนักได้ 5 กก. : อินเดียไทม์ส รายงาน “Zomato” แอปพลิเคชั่นสั่งอาหารออนไลน์วางแผนเตรียมใช้ “โดรน” ส่งอาหารตามบ้าน โดยร่วมมือกับ “TechEagle” บริษัทสตาร์ทอัพด้านไอทีซึ่งก่อตั้งเมื่อปี 2015 โดยโดรนสามารถรับน้ำหนักได้สูงสุด 5 กิโลกรัม


    “พวกเรากำลังอยู่ในขั้นแรกของนวัตกรรมทางอากาศและค่อยๆ พัฒนาไป เพื่ออนาคตที่เราจะสามารถให้บริการสั่งอาหารผ่านทางออนไลน์และส่งผ่านโดรนให้กับลูกค้า” ซีอีโอและผู้ก่อตั้ง Zomato กล่าว


    “Zomato” เป็นพันธมิตรกับร้านอาหารสำหรับบริการส่งอาหารถึงบ้านกว่า 75,000 ร้าน ใน 100 เมืองทั่วประเทศอินเดีย


    นอกเหนือจาก “Zomato” แล้ว “Swiggy” คือ แอปพลิเคชั่นเดลิเวอรี่อาหารชื่อดังในอินเดีย คู่แข่งที่ต่างกำลังทุ่มตัวแข่งขันกันอย่างดุเดือดในตลาดอินเดีย


    Source: ประชาชาติธุรกิจออนไลน์


    https://qz.com/india/1485939/zomato-eyes-drone-delivery-in-india-with-techeagle-acquisition/
     
  17. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,258
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Bank of Thailand Scholarship Students


    (Dec 7) ปิดดีล! “โอเปก-นอนโอเปก” จับมือลดการผลิตน้ำมัน 1.2 ล้านบาร์เรลต่อ/วัน: วอลล์สตรีทเจอร์นัล รายงานว่า การประชุมของกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) ร่วมกับประเทศส่งออกน้ำมันที่ไม่ใช่สมาชิก (นอน-โอเปก) นำโดย “รัสเซีย” ล่าสุด ผลสรุปการประชุมในวันนี้ (7 ธ.ค.) มีข้อตกลงที่จะลดการผลิตน้ำมันลงร่วมกัน เพื่อช่วยบรรเทาปริมาณน้ำมันดิบที่กำลังล้นตลาดโลกอยู่ในขณะนี้


    โดยโอเปกจะปรับลดกำลังการผลิตน้ำมัน 800,000 บาร์เรล/วัน ขณะที่ผู้ผลิตน้ำมันนอกกลุ่มโอเปกจะปรับลดกำลังการผลิต 400,000 บาร์เรล/วัน ซึ่งจะส่งผลทำให้มีการปรับลดกำลังการผลิตนเำมันดิบรวมกันที่ 1.2 ล้านบาร์เรล/วัน โดยกำหนดจะเริ่มมีผลบังคับใช้ในเดือนม.ค.ปี 2019


    ทั้งนี้ ทางด้านรัสเซียเห็นพ้องที่จะปรับลดการผลิตน้ำมัน 200,000 บาร์เรล/วัน โดยเพิ่มขึ้นจากระดับ 150,000 บาร์เรล/วันที่มีการเปิดเผยก่อนหน้านี้


    ขณะที่ นาย เอ็มมา นูเอล ไอเบ คาชิควู รัฐมนตรีน้ำมันของไนจีเรีย กล่าวในฐานะหนึ่งในประเทศสมาชิกโอเปกว่า “การบรรลุข้อตกลงเกิดจากความยินยอมของกลุ่มประเทศนอกโอเปกเป็นส่วนใหญ่ โดยเฉพาะรัสเซีย ซึ่งมีส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนข้อตกลงนี้”


    นอกจากนี้ “สตีเฟ่น เบรนน็อค” นักวิเคราะห์จาก PVM Oil ระบุว่า การประชุมครั้งล่าสุดนี้เห็นได้ชัดว่า ซาอุดิอาระเบียยกย่องให้รัสเซียมีอำนาจมากขึ้นในการร่วมกำหนดชะตากรรมของตลาดน้ำมันโลกในปัจจุบัน


    Source: ประชาชาติธุรกิจออนไลน์


    https://www.bloomberg.com/news/arti...e-larger-than-expected-output-cut-with-allies
     
  18. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,258
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Bank of Thailand Scholarship Students


    (Dec 7) สหรัฐเผยจ้างงานนอกภาคเกษตรเพิ่มน้อยกว่าคาด ขณะว่างงานต่ำสุดรอบ 49 ปี: กระทรวงแรงงานสหรัฐรายงานว่า ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรเพิ่มขึ้นน้อยกว่าคาดในเดือนพ.ย. โดยเพิ่มขึ้นเพียง 155,000 ตำแหน่ง ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 200,000 ตำแหน่ง


    ส่วนอัตราการว่างงานทรงตัวที่ระดับ 3.7% ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนธ.ค.2512 และสอดคล้องกับที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้

    ขณะเดียวกัน ตัวเลขค่าจ้างรายชั่วโมงโดยเฉลี่ยของแรงงาน เพิ่มขึ้น 6 เซนต์ หรือ 0.2% ในเดือนพ.ย. ต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ที่ระดับ 0.3% หลังจากเพิ่มขึ้น 0.1% ในเดือนต.ค.


    เมื่อเทียบรายปี ตัวเลขค่าจ้างรายชั่วโมงโดยเฉลี่ยของแรงงานเพิ่มขึ้น 3.1% เช่นเดียวกับในเดือนต.ค.


    ทั้งนี้ ตัวเลขค่าจ้างรายชั่วโมงนับเป็นข้อมูลที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ให้ความสำคัญเพื่อหาสัญญาณบ่งชี้ภาวะเงินเฟ้อ


    กระทรวงแรงงานสหรัฐยังได้ทบทวนปรับเพิ่มตัวเลขการจ้างงานในเดือนก.ย. โดยปรับเป็นเพิ่มขึ้น 119,000 ตำแหน่ง จากเดิมที่รายงานว่าเพิ่มขึ้น 118,000 ตำแหน่ง และทบทวนปรับลดตัวเลขจ้างงานในเดือนต.ค. โดยปรับเป็นเพิ่มขึ้น 237,000 ตำแหน่ง จากเดิมที่รายงานว่าเพิ่มขึ้น 250,000 ตำแหน่ง


    กระทรวงแรงงานสหรัฐระบุว่าในเดือนพ.ย. ภาคเอกชนมีการจ้างงานเพิ่มขึ้น 161,000 ตำแหน่ง ขณะที่ภาครัฐจ้างงานลดลง 6,000 ตำแหน่ง


    ส่วนตัวเลขอัตราการเข้าสู่ตลาดแรงงานของสหรัฐ ซึ่งแสดงสัดส่วนของกำลังแรงงานต่อจำนวนประชากรทั้งหมด ทรงตัวที่ระดับ 62.9%


    Source: อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย ก้องเกียรติ กอวีรกิติ


    https://www.cnbc.com/2018/12/07/us-created-155000-jobs-in-november-vs-198000-expected.html
     
  19. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,258
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Bank of Thailand Scholarship Students


    (Dec 7) คอลัมน์ พลวัตปี2018: พิษภัยของสัญญามาร : กรณีความคืบหน้าการที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) กำลังเร่งตรวจสอบกรณีที่ผู้บริหารของ โกลด์แมน แซคส์ ได้ฉ้อโกงมาเลเซียในกรณีออกพันธบัตรเพื่อระดมทุนมูลค่าหลาย 600 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และกรณี อดีตกรรมการระดับสูงสุด 2 คน ของบริษัทรถยนต์ นิสสัน-เรโนลต์-มิตซูบิชิ ซึ่งเป็นค่ายรถยนต์อันดับสองของโลกถัดจากโฟล์กสวาเกน นายคาร์ลอส โกน และนายเกร็ก เคลลี่ ถูกทางการญี่ปุ่นจับกุมในข้อหาหนีภาษี และแจ้งเท็จเรื่องรายได้ อาจจะแตกต่างกันในรายละเอียด แต่เหมือนกันตรงที่ ทั้งคู่เข้าข่ายทำสัญญามารกับปีศาจ



    เฉกเช่นเดียวกัน ก็มีคำเปรียบเปรยอีกว่า ดัชนีตลาดที่พุ่งแรงเพราะข่าวดีชั่วคราวของสหรัฐอเมริกาและจีนที่ยืดความเครียดสงครามการค้าออกไป 90 วัน ก็ไม่ต่างอะไรกันกับการทำข้อตกลงกับปีศาจ



    ตีความได้หลายนัย ขึ้นกับปูมหลัง



    ตำนานว่าด้วยข้อตกลงกับปีศาจ เริ่มต้นมาตั้งแต่ยุคกลางของยุโรป ซึ่งศาสนาคริสต์มีอำนาจนำเหนือจิตวิญญาณของผู้คน โดยเอาเรื่องหลากหลายมาผสมปนเปกันไป โดยโยงใยเข้ากับตำนานเก่าแก่ของยิวว่าด้วย 72 ปีศาจ ซึ่งปรากฏในตำรา Ars Goetia ซึ่งมีการแปลและตีความหลากหลาย จนกลายเป็นส่วนหนึ่งในเรื่องราวที่โยงเข้ากับคริสต์ศาสนาบางส่วน ว่าด้วยเรื่องของพฤติกรรมแบบเดียรถีย์ หรือคนนอกรีต



    ต่อมา ตำนานดังกล่าว ขยายความเพิ่มเติมให้เลวร้ายเพื่อเตือนใจ โดยต่อยอดไปถึงบุคคลที่มีความสามารถพิเศษเหนือมนุษย์ธรรมดา อย่าง ธีโอฟีลัส และ เฟ้าส์ตัส ซึ่งดิ้นรนเกินความสามารถของตนเองโดยยอมขายวิญญาณให้กับปีศาจ และเป็นที่มาของการพยายามควบคุมหรือกำจัดคนที่มีความสามารถพวกนี้ โดยถือว่าเป็นพ่อมด หรือแม่มดในสังคมยุโรปมายาวนาน



    ตามความเชื่อดั้งเดิมในแม่มดของชาวคริสต์ สัญญากับมารเป็นสัญญาระหว่างมนุษย์ ซึ่งเรียก "ผู้ต่อรอง" (wagerer) ฝ่ายหนึ่ง กับซาตาน (Satan) หรือมารอื่น ๆ อีกฝ่ายหนึ่ง ซึ่งมนุษย์เสนอจะยกวิญญาณของตนให้แก่มาร เพื่อแลกกับการที่มารจะกระทำบางสิ่งบางอย่างให้ การตอบแทนของมารนี้ว่ากันว่าแตกต่างกันไปแล้วแต่ความเชื่อ อาทิ ความเยาว์วัย ความมั่งมี ความรู้ หรืออำนาจวาสนา ยังเชื่อกันด้วยว่า บางคนทำสัญญาเช่นนี้เพียงเพื่อเป็นสัญลักษณ์ว่าจะนับถือมารเป็นนาย และไม่ต้องการสิ่งใดแลกเปลี่ยนเลย อย่างไรก็ดี การต่อรองเช่นนี้นับเป็นสิ่งอันตรายมากสิ่งหนึ่ง ด้วยว่าค่าตอบแทนแรงงานของมารนั้น คือวิญญาณของผู้ต่อรองเอง



    เรื่องเล่ามักจบแบบสอนใจว่า นักเสี่ยงโชคผู้บ้าระห่ำ มักพบความวิบัติชั่วกัลปาวสาน หรือในทางตรงกันข้าม อาจจบแบบตลกขบขันว่า ไพร่ที่หลักแหลมเอาชนะมารด้วยอุบายอันแยบยล



    สัญญากับมาร จะทำด้วยวาจาหรือเป็นลายลักษณ์อักษรก็ได้ สัญญาที่เป็นวาจามักกระทำด้วยวิธีเรียกมาร โดยวิธีวิงวอนถึง (invocation) สังวัธยายมนตร์ (conjuration) หรือพิธีกรรมอย่างอื่นอันเรียกมารได้ โดยเมื่อบุคคลนั้น ๆ คิดว่า มารมาอยู่เบื้องหน้าแล้ว เขาจะร้องขอให้มารช่วยเหลือ และสัญญาจะยกวิญญาณของเขาให้เป็นการแลกเปลี่ยน การพิจารณาคดีและไต่สวนแม่มดได้ความว่า มารจะทำร่องรอยไว้บนร่างกายของคู่สัญญา เป็นรอยที่ลบไม่ออก เรียกว่า "รอยมาร" (diabolical mark) สำหรับใช้อ้างว่ามีสัญญาต่อกัน และว่ากันว่า บุคคลผู้มีรอยมารอยู่บนร่างกายจะไม่รู้สึกเจ็บปวดในรอยนี้เลย ส่วนสัญญาที่ทำเป็นลายลักษณ์อักษรนั้น ก็ใช้วิธีเรียกมารอย่างเดียวกัน แต่จะมีการทำลายลักษณ์อักษร โดยมนุษย์ที่เป็นคู่สัญญาจะลงลายมือชื่อของตนด้วยเลือดของตน



    บางทีก็ว่ากันว่า ลายลักษณ์อักษรทั้งฉบับนั้นเขียนด้วยเลือด ขณะที่นักมารวิทยา (demonologist) ว่ามีการใช้หมึกแดงแทนเลือด ที่ว่าใช้เลือดสัตว์เขียนแทนเลือดมนุษย์ก็มี



    จากนั้น ก็มีการขยายความเพิ่มเติมไปถึงตำนานบุคคลในนิทานพื้นบ้าน เช่น คนเป่าขลุ่ยแห่งเมืองเฮมลินในยุคกาฬโรคระบาดหนักของยุโรปคริสต์ศตวรรษที่ 14-15 และเรื่องของ ฟลายดิ้ง ดัตช์แมน ปีศาจชาวดัตช์กลางทะเลลึกในแหลมกู๊ดโฮปคริสต์สตวรรษที่ 18



    การทำข้อตกลงกับปีศาจ จึงกลายเป็นตำนานเล่าขานไปทั่วทุกสังคม โดยเฉพาะเมื่อมีการตั้งข้อกล่าวหาบุคคลที่มีชื่อเสียงที่เก่งฉกาจและมีความคิดแหกคอกจากจารีตของสังคม ว่าเป็นพวกทำข้อตกลงกับปีศาจ


    แม้กระทั่งงานวิศวกรรมที่โดดเด่นในยุคมืด อย่างเช่น สะพานปีศาจ หรือ Devil's Bridges ก็ยังคงมีตำนานหลอกนักท่องเที่ยวปัจจุบันให้ไปเยือนได้เรื่อย ๆ


    ความเพี้ยนของตำนานและนิทานเกี่ยวกับข้อตกลงปีศาจ ที่ต่อเนื่องมาถึงปัจจุบัน มักจะใช้อธิบาย คนที่ถูกกล่าวหาคบคิดกับปีศาจว่าจะเป็นคนที่มีความสามารถผิดธรรมดา และมีลักษณะคุกคามผู้มีอำนาจเดิมในสังคมอย่างไร้เหตุผลในฐานะ “ผู้ร้าย” แบบตัวละคร “โจ๊กเกอร์” ในการ์ตูนชื่อดังมนุษย์ค้างคาวของอเมริกันที่เอามาผลิตซ้ำเป็นเวอร์ชันใหม่ ๆ หลอกเอาเงินตามโรงภาพยนตร์นับครั้งไม่ถ้วน


    ในยุควิทยาศาสตร์เฟื่องฟูแทนที่ศาสนา การคิดนอกกรอบ กลายเป็นสัจธรรมใหม่ ที่ทำให้ข้อกล่าวว่าทำข้อตกลงกับปีศาจเบาบางลงไป แต่ยังคงดำรงอยู่ในเชิงเปรียบเปรย


    กรณี โกลด์แมน แซคส์ วาณิชธนากรอันดับหนึ่งของโลก มีชื่อโยงใยเข้ากับกรณีนี้นับแต่เดือนมกราคม 2560 เมื่ออัยการสวิตเซอร์แลนด์ ตรวจสอบพบว่าเงินสดราว 4,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ได้ถูกยักยอกออกไปจาก 1MDB อย่างเป็นปริศนา และเงินบางส่วน ถูกโอนจากสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ไปยังบัญชีเงินฝากในสวิตเซอร์แลนด์ของเจ้าหน้าที่รัฐบาลมาเลเซียทั้งในอดีตและปัจจุบัน


    ครั้งนั้น ทิม ไลสเนอร์ ประธานกรรมการบริหาร โกลด์แมน แซคส์ ของสหรัฐอเมริกาประจำภูมิภาคอาเซียน ต้องเผ่นออกจากสิงคโปร์ไปกบดานในมุมมืดชั่วคราว เพราะเป็นคนสำคัญที่ใกล้ชิดกับเจ้าหน้าที่ด้านการเงินและการธนาคาร และนักการเมืองชั้นนำ เกี่ยวกับการควบรวมกิจการ (M&A) ที่มีมูลค่าสูงถึง 18.8 พันล้านดอลลาร์ ในช่วง 5 ปี จนโกลด์แมน แซคส์ กลายเป็นธนาคารต่างชาติติดอันดับที่มีส่วนแบ่งทางตลาดในหลักทรัพย์ที่ออกโดยมาเลเซีย สูงถึง 20.3% นับตั้งแต่ปี 2010 เป็นต้นมา


    โกลด์แมน แซคส์ อยู่เบื้องหลังจัดการขายตราสารหนี้ 3 ครั้งของ 1MDB มูลค่าสูงถึง 6.5 พันล้านดอลลาร์ ในช่วงปี 2012-2013 โดยที่ โกลด์แมน แซคส์ ได้รับเงินค่าธรรมเนียมและจัดการมากถึง 593 ล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นตัวเลขที่สูงเกินจริง โดยค่าธรรมเนียมบางส่วน ถูกโอนเข้ากระเป๋าส่วนตัวใครบางคนรอบ ๆ ตัวนาจิบ ราซัค ถูกตั้งขึ้นมา และไม่มีคำตอบ


    ส่วนกรณีของคาร์ลอส โกน คือ การเข้าพลิกฟื้นบริษัทนิสสันที่ยี่สิบปีก่อนใกล้ล้มละลายจากหนี้ที่มีมากถึง 2 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ และขาดทุนปีละ 6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เขาทำได้โดยการสร้างความเข้าใจกับพนักงานและผู้บริหารญี่ปุ่นว่า นิสสันจะอยู่ได้ก็ต่อเมื่อวิธีการทำงานแบบญี่ปุ่นต้องเปลี่ยน ไม่มีแล้วการจ้างงานตลอดชีพ เขาปลดคนงานออกกว่า 21,000 คน ปิดโรงงาน 5 แห่ง ยกเลิกการเลื่อนตำแหน่งตามระบบอาวุโส จ้างผู้บริหารที่มีฝีมือจากต่างประเทศเข้ามาร่วมงาน และใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาในการทำธุรกิจของบริษัท ที่สำคัญ เขาให้คำมั่นสัญญากับพนักงานว่า ถ้าเขาไม่สามารถแก้ไขปัญหาของนิสสันได้ตามแผนสามปี เขาและทีมผู้บริหารจะลาออก ผลคือ เขาสามารถแก้ไขปัญหาได้ก่อนสามปี


    วิธีการเดียวกันไปพลิกฟื้นธุรกิจของบริษัทเรโนลต์และมิตซูบิชิจนเครือข่ายสามบริษัทใหญ่เป็นที่สองของโลก ทำให้นายคาร์ลอสเป็นผู้บริหารที่ได้รับการยกย่องมาก แต่ความสามารถดุจเทวดาร่วมสมัยมลายไปทันทีที่ถูกจับกุมพร้อมกับมือขวาชาวเอมริกันเคลลี่ เจ้าของฉายา "ผู้กระซิบข่าวของโกน" ในข้อหาหนีภาษี และสำแดงเท็จรายได้ต่ำเกินจริง


    วิธีการหลบเลี่ยงภาษีของ โกน และเคลลี่ ถูกออกแบบอย่างเป็นระบบแนบเนียนชนิดนักบัญชีได้อาย จากเหตุปัจจัย 3 ประการคือ


    - บริษัทนิสสัน-เรโนลต์-มิตซูบิชิ มีประธานบริษัทและซีอีโอ เป็นบุคคลคนเดียวกัน นั่งควบ 2 ตำแหน่ง ทำให้ "คนชงเรื่อง" และ "คนตรวจสอบ" เป็นคนเดียวกัน การถ่วงดุลก็เกิดขึ้นยาก


    - บริษัทนิสสัน-เรโนลต์-มิตซูบิชิ มีซีอีโอที่เป็นผู้ที่ประสบความสำเร็จมากในธุรกิจที่มีอิทธิพล สามารถเป็นผู้เสนอชื่อแต่งตั้งกรรมการอิสระ ทำให้เกิดความเกรงใจไม่มีตรวจการสอบจริงจัง


    - โครงสร้างคณะกรรมการบริษัท นิสสัน-เรโนลต์-มิตซูบิถูกทำให้อ่อนแออย่างตั้งใจ


    ส่วนกรณีของตลาดหุ้นที่ดัชนียังไม่ผ่านแนวต้านสำคัญ 1,680 และ 1,700 จุด ก็ยังคงต้องพิสูจน์กันต่อไปว่าเป็นสัญญามาร หรือข้อตกลงกับปีศาจหรือไม่


    ส่วนใครจะเป็นปีศาจ ใครจะขายวิญญาณ คงไม่ต้องถกเถียงกัน

    Source: ข่าวหุ้น

    เพิ่มเติม

    - Goldman Sachs likely to boost legal reserves for 1MDB: analysts

    https://www.reuters.com/article/us-...egal-reserves-for-1mdb-analysts-idUSKBN1O42C8
     
  20. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,258
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Bank of Thailand Scholarship Students
    IMG_5734.JPG
    (Dec 7) เร่งขาย'หุ้นกู้'หนีดบ.ขาขึ้น : ธุรกิจดิ้นเร่งขาย "หุ้นกู้" ช่วงโค้งท้ายปี หลบดอกเบี้ยขาขึ้น เฉพาะ 2 เดือนสุดท้ายทะลุแสนล้าน ส.ตราสารหนี้ไทยเผยปี'62 ต้นทุนหุ้นกู้พุ่ง จับตาบริษัทกลาง-เล็กเจอปัญหาระดมทุนลำบาก หวั่นกระทบหุ้นกู้ครบดีลปีหน้ากว่า 5.6 แสนล้าน ยักษ์ใหญ่ "ไมเนอร์-บางจาก-เสนา-เพอร์เฟค-เอสซี แอสเซท-ทรูมูฟ เอช" พาเหรดเข้าคิวขายหุ้นกู้ล็อกต้นทุน

    2 เดือนสุดท้าย หุ้นกู้ร้อนแรง

    ผู้สื่อข่าว "ประชาชาติธุรกิจ" รายงานว่า จากแนวโน้มทิศทางดอกเบี้ยขาขึ้นที่ชัดเจนในปีหน้า ทำให้ขณะนี้ภาคธุรกิจมีความเคลื่อนไหวในการระดมทุนก่อนที่อัตราดอกเบี้ยจะปรับเพิ่มขึ้น ทั้งนี้ พบว่าในช่วงเดือน พ.ย.-ธ.ค. 2561 มีบริษัทที่เสนอออกตราสารหนี้ใหม่ ทั้งในส่วนหุ้นกู้และตั๋วบี/อี รวมมูลค่ากว่า 1.1 แสนล้านบาท รวมทั้งยังมีหลายบริษัทที่ยื่นไฟลิ่งกับ กลต.แล้ว แต่ยังไม่ระบุวงเงินระดมทุน อาทิ ทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์และสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ไทคอน (ของตระกูลสิริวัฒนภักดี), บมจ.แผ่นดินทอง พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเมนท์ เป็นต้น

    ในส่วนของบริษัทที่ยื่นขออนุมัติขายหุ้นกู้ในช่วง 2 เดือนสุดท้ายมีกว่า 30 บริษัท รวมมูลค่ากว่า 1 แสนล้านบาท ส่วนที่ยื่นขอขายตั๋วบี/อี มีเกือบ 20 บริษัท วงเงินรวมประมาณ 10,000 ล้านบาท

    ทั้งนี้ พบว่าอัตราผลตอบแทนการขายตราสารหนี้ปัจจุบันขยับขึ้นมาอย่างมีนัยสำคัญ อาทิ หุ้นกู้ของพร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค อายุ 3 ปี 6เดือน อัตราดอกเบี้ย 6% ต่อปี, หุ้นกู้ของ บมจ.ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล อายุ 3 ปี ดอกเบี้ย 4.661% ต่อปี, เสนาดีเวลลอปเม้นท์ อายุ 3 ปี 2 เดือน ดอกเบี้ย 4.6% ต่อปี และทรูมูฟ เอช ยูนิเวอร์แซล คอมมิวนิเคชั่น อายุ 9 เดือน ดอกเบี้ย 3.20% ต่อปี ขณะที่ บมจ.ออลล์ อินสไปร์ ดีเวลลอปเม้นท์ อสังหาฯน้องใหม่มาแรง ออกหุ้นกู้ 9 เดือน ดอกเบี้ย 7% ต่อปี เป็นต้น

    บริษัทกลาง-เล็กระดมทุนยาก

    นางสาวอริยา ติรณะประกิจ รองกรรมการผู้จัดการ สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า ในปี 2562 จะเข้าสู่ภาวะที่ดอกเบี้ยนโยบายปรับขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้ต้นทุนการออกหุ้นกู้สูงขึ้นตามไปด้วย อย่างไรก็ตาม คาดว่าบริษัทส่วนใหญ่จะยังตัดสินใจออกหุ้นกู้ โดยเฉพาะบริษัทที่มีความน่าเชื่อถือ หรือบริษัทขนาดใหญ่ เนื่องจากดอกเบี้ยในการออกหุ้นกู้ยังต่ำกว่าดอกเบี้ยจากการกู้เงินธนาคาร นอกจากนี้ เสนอขายหุ้นกู้จะระดมทุนได้มากกว่าการไปขอกู้เงินจากธนาคาร ทำให้มองภาพปีหน้าว่าบริษัทส่วนใหญ่จะยังระดมทุนผ่านตลาดทุนอยู่

    ขณะที่ในส่วนของการต่ออายุหุ้นกู้ (roll over) บริษัทขนาดกลางถึงเล็กอาจได้รับผลกระทบจากภาวะดอกเบี้ยขาขึ้นในปีหน้า เพราะจะมีต้นทุนดอกเบี้ยที่สูงขึ้นตามไปด้วย และกรณีบริษัทที่มีอันดับความน่าเชื่อถือน้อยอาจทำให้หุ้นกู้ที่ออกมาขายได้ยาก และอาจส่งผล ให้ไม่มีเงินทุนพอที่จะไปโรลโอเวอร์หุ้นกู้ที่ครบอายุได้ ซึ่งในกรณีที่บริษัทไม่สามารถชำระหนี้ หรือขาดเงินทุนที่จะนำไปไถ่ถอนหุ้นกู้ได้ บริษัทก็อาจจะต้องหันไปใช้เงินกู้จากธนาคาร ซึ่งมีดอกเบี้ย ที่สูงกว่า ทั้งยังมีเงื่อนไขอื่น ๆ เช่น ต้องมีหลักทรัพย์มาค้ำประกัน เป็นต้น โดยปีหน้าจะมีหุ้นกู้ที่ครบกำหนดอายุราว 5.6 แสนล้านบาท

    นางอริยากล่าวว่า ปีหน้าการออกหุ้นกู้ที่ไม่จัดอันดับความน่าเชื่อถือ (nonrated bond) หรือบริษัทที่ไม่เป็นที่รู้จัก มีแนวโน้มจะระดมทุนลำบากขึ้น ขายยาก หรือขายหุ้นกู้ไม่หมด ซึ่งอาจต้องมีการนำหลักทรัพย์มาค้ำประกัน คล้ายกับการกู้เงินผ่านธนาคาร จึงจะทำให้นักลงทุนเชื่อมั่น

    สำหรับการออกตั๋วแลกเงิน หรือตั๋ว บี/อี ปัจจุบันมีจำนวนลดลงกว่า 50% หลังผู้ลงทุนยังมีประสบการณ์ไม่ดีจากกรณีผิดนัดชำระหนี้ของ บมจ.อินเตอร์ ฟาร์อีสท์ เอ็นเนอร์ยี่ คอร์ปอเรชั่น (IFEC) และ บมจ.เอ็นเนอร์ยี่ เอิร์ธ (EARTH) ที่ปัญหายังไม่สามารถคลี่คลายได้ โดยเกณฑ์ใหม่ ผู้ที่ออกตั๋วบี/อีได้ คือ สถาบันการเงิน ส่วนบริษัทกลางถึงเล็กแทบจะไม่มีการออกตั๋วบี/อีแล้ว ยกเว้นการออกเพื่อขายในวงจำกัดไม่เกิน 10 ราย เช่น บุคคลรู้จัก ผู้ถือหุ้น กรรมการบริษัท และ ผู้ลงทุนรายใหญ่ (HNW) เป็นต้น

    ต้นทุนหุ้นกู้ขยับขึ้น 0.60%

    แหล่งข่าวจากสมาคมตลาดตราสารหนี้เปิดเผยว่า ปี 2562 จะมีหุ้นกู้ภาคเอกชนที่ครบอายุไถ่ถอนราว 5.6 แสนล้านบาท ซึ่งน่าจะเห็นการออกตราสารหนี้เพื่อต่ออายุในส่วนนี้ และต้องเผชิญกับต้นทุนทางการเงินที่เพิ่มขึ้นตามทิศทางดอกเบี้ยขาขึ้น โดยปัจจุบันก็เริ่มเห็นต้นทุนการออกหุ้นกู้ขยับขึ้นต่อเนื่องตั้งแต่ต้นปี อาทิ หุ้นกู้ที่มีเครดิตเรตติ้ง A ระยะเวลา 3 ปี ปัจจุบันเครดิตสเปรด (ส่วนต่างอัตราผลตอบแทนจากพันธบัตรรัฐบาล) อยู่ที่ 0.75% ส่วนระยะ 5 ปี เครดิตสเปรดอยู่ราว 1%

    "บริษัทที่ออกหุ้นกู้ตอนนี้เทียบกับต้นปี ต้นทุนก็ห่างกันเยอะแล้ว โดยหุ้นกู้เรตติ้ง A ระยะ 3 ปี yield (อัตราผลตอบแทน) ต้นปีอยู่ที่ 2.28% แต่ตอนนี้อยู่ที่ 2.8% ต้นทุนดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นราว 60 bps (0.60%) ถ้าเป็นระยะ 5 ปี ยีลด์ต้นปีอยู่ที่ 2.71% ตอนนี้อยู่ที่ 3.28% เพิ่มขึ้นราว 57 bps (0.57%) และถ้าดอกเบี้ย กนง.ปรับขึ้น 0.25% ผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลระยะสั้นก็ต้องปรับเพิ่มตามอย่างน้อย 0.25% ซึ่งก็จะกระทบต้นทุนการออกหุ้นกู้เพิ่มขึ้นอีก ขณะที่ตลาดมีการประเมินว่า สภาพคล่องตลาดเพิ่มขึ้นไม่มาก เนื่องจากเห็นว่ารัฐบาลจะมีการลงทุนโครงการใหญ่ก็จะต้องใช้เงินกู้เยอะเช่นกัน ฝั่งเอกชนจะมีการไถ่ถอนหุ้นกู้ที่ครบอายุอีก หากหุ้นกู้บริษัทที่มีผลประกอบการดี ก็ไม่มีปัญหาการโรลโอเวอร์ แต่บริษัทไหนที่มีปัญหาผลประกอบการ ก็อาจมีประเด็นเรื่องความสามารถในการชำระหนี้ที่ต้องติดตาม" แหล่งข่าวกล่าว

    สำหรับการออกตราสารหนี้ปีนี้ คาดว่าจะถึงราว 8.8-9 แสนล้านบาท โดยช่วง 10 เดือนที่ผ่านมา ออกมาแล้ว 7.7 แสนล้านบาท ภาคธุรกิจที่ออกหุ้นกู้มากสุด 3 อันดับแรก คือ กลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม นำโดย บมจ.ไทยเบฟเวอเรจ, บมจ.เจริญโภคภัณฑ์อาหาร กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ นำโดย บมจ.แสนสิริ บ.เอฟ แอนด์ เอ็น ของเจ้าสัวเจริญ และกลุ่มไอซีที และในช่วง 2 เดือนสุดท้าย มีหุ้นกู้ที่จ่อออกอีกจำนวนมาก ทำให้คาดว่าจะได้ยอดเป็นไปตามเป้าหมายแน่นอน

    ปีหน้าหุ้นกู้ครบอายุ 5.6 แสน ล.

    ทั้งนี้ ข้อมูลจากสมาคมตราสารหนี้ไทย (ThaiBMA) เปิดเผยว่า ในปีหน้าจะมีหุ้นกู้ครบกำหนดไถ่ถอนมูลค่ารวม 565,583 ล้านบาท โดย 5 อุตสาหกรรมแรกที่มีกำหนดชำระสูงสุด ได้แก่ กลุ่มเงินทุนและหลักทรัพย์ 1.02 แสนล้านบาท กลุ่มพลังงานและสาธารณูปโภค 8.72 หมื่นล้านบาท กลุ่มพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ 8.32 หมื่นล้านบาท กลุ่มธนาคาร 7.51 หมื่นล้านบาท และกลุ่มพาณิชย์ 6.94 ล้านบาท ส่วนในปี 2563 จะมีหุ้นกู้ที่ครบกำหนดชำระอีก 548,236 ล้านบาท โดยกลุ่มเงินทุนและหลักทรัพย์ มีมูลค่าสูงสุดที่ 1.08 แสนล้านบาท กลุ่มพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ 1.05 แสนล้านบาท กลุ่มวัสดุก่อสร้าง 6.12 หมื่นล้านบาท กลุ่มพลังงานและสาธารณูปโภค 5.6 หมื่นล้านบาท และกลุ่มธนาคาร 5.39 หมื่นล้านบาท

    หนีดอกเบี้ยขาขึ้นปีหน้า

    นายวิน อุดมรัชตวนิชย์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์เคทีบี (ประเทศไทย) กล่าวว่า แนวโน้มการออกตราสารหนี้ปีหน้าจะใกล้เคียงกับปีนี้ เนื่องจากในช่วง 2 เดือนสุดท้ายของปีนี้ ภาคธุรกิจมีการเร่งออกหุ้นกู้กันก่อนที่จะเห็น กนง.ขยับขึ้นดอกเบี้ยในการประชุมรอบสุดท้ายของปีนี้ (19 ธ.ค. 2561) อีก 0.25% มาอยู่ที่ 1.75% โดยต้นทุนที่ออกช่วงนี้ก็อาจขยับขึ้นบ้าง แต่ส่วนใหญ่ก็คิดว่าดีกว่าจะมาออก ตอนหลังปรับขึ้นดอกเบี้ย อีกอย่างภาคธุรกิจก็ยังจำเป็นต้องออกหุ้นกู้กันอยู่ แม้ว่าต้นทุนดอกเบี้ยจะสูงขึ้นก็ตาม

    "อย่างไรก็ตาม เรามองว่าดอกเบี้ย กนง. ที่ขยับขึ้น 0.25% ไม่ได้เป็นนัยมากนัก ส่วนตั๋วบี/อีที่ออกกันเยอะในปีนี้ ผู้ออก ก็ยังเป็นกลุ่มที่ไม่ได้เข้าจัดเครดิตเรตติ้ง ยอมจ่ายดอกเบี้ยที่สูงกว่าหุ้นกู้ แต่ก็ยัง ถือว่าถูกกว่าดอกเบี้ยแบงก์ขณะที่ผู้ที่ ออกตั๋วบี/อีก็เป็นบริษัทที่มีกระแสเงินสดและกิจการมีกำไร ปีหน้าแม้ดอกเบี้ยจะขึ้น แต่เนื่องจากเศรษฐกิจไม่ได้แย่ แค่ชะลอตัว ซึ่งคาดว่าเศรษฐกิจยังโตได้ถึง 3-4% ธุรกิจก็ไม่น่าจะแย่ โอกาสการผิดนัดชำระหนี้ก็มีน้อย"

    นายวินประเมินว่า น่าจะเห็นการปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายในเดือน ธ.ค. 61 นี้ ส่วนปีหน้ามองว่า กนง.จะขึ้นดอกเบี้ย 0.25% เท่านั้น หรืออาจไม่ขึ้นก็เป็นได้ เพราะสถานการณ์ราคาน้ำมันดิบ WTI ที่ลดลงมา โดยประเมินว่าจะอยู่ที่ 50 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ซึ่งอาจทำให้เงินเฟ้อทั่วไปลงต่ำกว่ารอบเป้าหมายเงินเฟ้อได้ จากก่อนหน้านี้ เคทีบีคาดการณ์ปีหน้าจะเห็น กนง.ปรับขึ้นดอกเบี้ย 1-2 ครั้ง ภายใต้ราคาน้ำมันดิบ 70 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ซึ่งเป็นหนึ่งในปัจจัยการพิจารณาของ กนง.

    เอกชนเร่งออกหุ้นกู้เร็วขึ้น

    นายธนาวุฒิ พรโรจนางกูร หัวหน้าสายงานบริหารการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) บางกอกแคปปิตอล กล่าวว่า ช่วง 2 เดือนสุดท้ายของปีนี้ เห็นบริษัทเอกชนเร่งการออก หุ้นกู้มาก แม้ว่าดอกเบี้ยที่เสนอขายจะขยับขึ้นสูงบ้างก็ตาม เพราะตลาดประเมินกันว่า มีแนวโน้มสูงที่ กนง.จะปรับขึ้นดอกเบี้ย 0.25% ในปลายปีนี้ และอาจจะเห็นการปรับขึ้นดอกเบี้ยอีกครั้งในระยะ 6 เดือนถัดไป ช่วงไตรมาสแรกปีหน้าเทรนด์การออกหุ้นกู้ซาลง และหลังจากนั้นจะมีบริษัทกลับมาออกหุ้นกู้มากขึ้นอีกครั้ง

    "คนที่เร่งออกหุ้นกู้ช่วงนี้ก็จะเป็นการเลื่อนมาจากแผนจะออกในปีหน้า เพราะเขารู้อยู่แล้วว่าจะต้องใช้เงินทำอะไรบ้าง ไม่ว่าจะเป็นการใช้เพื่อโรลโอเวอร์ตัวเก่า หรือใช้เพื่อลงทุนใหม่ ๆ โดยตอนนี้ยอมถือเงินสดไว้ก่อน แม้ว่าจะใช้เงินจริง ๆ ในปีหน้า แต่ในส่วนของตั๋วบี/อีจะมีความเสี่ยงปีหน้าที่ต้นทุนอาจสูงมาก เพราะเป็นที่รู้กันว่าแบงก์ชาติอยากขึ้นดอกเบี้ย เพราะที่ผ่านมาดอกเบี้ยต่ำนาน จนเกิด search for yield (แสวงหาผลตอบแทนสูง) เยอะมาก และการลงทุน ตั๋วบี/อีก็เป็นตัวหนึ่งที่คนเข้ามา search for yield ดังนั้น การโรลโอเวอร์ตั๋วบี/อีก็อาจมีความเสี่ยงอยู่ แต่ไม่มาก" นายธนาวุฒิกล่าว

    สำหรับฝั่งของผู้ลงทุน นายธนาวุฒิ กล่าวว่า นักลงทุนไทยก็ยังมีความต้องการลงทุนหุ้นกู้อย่างต่อเนื่องในปีหน้า เพราะหุ้นกู้เก่าที่ถือครบอายุก็อยากจะถือต่อในเวลาที่ดอกเบี้ยขาขึ้น โดยปกติแต่ละปีจะมีการออกหุ้นกู้เพื่อโรลโอเวอร์ สัดส่วนราว 75% และเป็นหุ้นกู้ใหม่เพื่อลงทุนไม่ถึง 25% ในส่วนของนักลงทุนต่างชาติจะไหลเข้าน้อยลง หลังจากที่เมื่อกลางเดือน พ.ย. ธนาคารกลางของสหรัฐ (เฟด) ส่งสัญญาณว่าจะปรับขึ้นดอกเบี้ยเฟดลดลง โดยอาจเหลือ 1-2 ครั้งในปีหน้า จะส่งผลต่อเงินดอลลาร์ แข็งค่าช้าลง ช่วยลดความกังวลปัญหาค่าเงินของตลาดเกิดใหม่ นักลงทุนต่างชาติจะไปลงทุนในตลาดเกิดใหม่ทำให้เห็นเงินต่างชาติไหลออกจากไทย เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ กนง.ปรับขึ้นดอกเบี้ย

    ทั้งนี้ นักลงทุนต่างชาติถือครองตราสารหนี้ไทย ณ สิ้น พ.ย. 61 อยู่ที่ 9.86 แสนล้านบาท จากสิ้นปีที่แล้วอยู่ที่ 8.51 แสนล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้นราว 1.34 แสนล้านบาท หรือ 15%

    Source: ประชาชาติธุรกิจ
     

แชร์หน้านี้

Loading...