เรื่องเด่น กรรมที่ให้ผลแล้ว กลับมาให้ผลได้อีก..!

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย ธรรมวิวัฒน์, 29 เมษายน 2018.

  1. ธรรมวิวัฒน์

    ธรรมวิวัฒน์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    26,428
    กระทู้เรื่องเด่น:
    82
    ค่าพลัง:
    +115,444
    31168700_995048950660915_621554112160333824_n.jpg

    กรรมที่ให้ผลแล้ว กลับมาให้ผลได้อีก..!

    ถาม : กรรมที่ให้ผลแล้ว จะกลับมาให้ผลอีกไหมครับ ?
    ตอบ : กรรมที่ให้ผลไปแล้ว ถ้าหากว่ายังไม่หมดแรงกรรมนั้น ๆ ถึงวาระก็จะให้ผลอีก แต่ถ้าหากว่าให้ผลหมดแล้ว ก็เป็นอันว่าผ่านไปเลย

    กรรมจะมีบางประเภทที่ให้ผลแบบฉับพลัน อย่างที่เขาเรียกว่า ครุกรรมทั้งฝ่ายกุศลและอกุศล อย่างครุกรรมฝ่ายอกุศล คือ ฆ่าพ่อ ฆ่าแม่ ฆ่าพระอรหันต์ ทำร้ายพระพุทธเจ้าถึงห้อพระโลหิต ทำสังฆเภท ก็จะเห็นผลทันตาในปัจจุบัน ตายเมื่อไรคุณลงอเวจีมหานรกแน่นอน

    ขณะเดียวกัน ครุกรรมฝ่ายกุศล คือฝ่ายดี ที่คุณทำเอาไว้อย่างเช่นว่า ได้ฌาน ๔ ได้สมาบัติ ๘ ถึงเวลาคุณก็ไปเป็นพรหมหรืออรูปพรหมไปเลย หรือถ้าหากมีโอกาสได้ทำบุญกับพระอริยเจ้าที่ออกนิโรธสมาบัติ ก็จะเป็นเศรษฐีในวันนั้นเลย

    ฉะนั้น..ลักษณะแบบนี้จะให้ผลฉับพลัน แต่ว่าให้แล้วให้เลย จบกันไปเลย เหมือนอย่างกับเราปลูกผักปลูกหญ้าให้ผลเร็วมาก ไม่กี่วันก็เก็บกินได้แล้ว..ใช่ไหม ? แต่ว่าเมื่อได้แล้วก็หมดไปเลย

    แต่ว่ากรรมบางอย่างจะให้ผลช้ามาก อย่างเช่น อุปัชชเวทนียกรรม อปราปรเวทนียกรรม ให้ผลในชาติที่ ๒ ชาติที่ ๓ ชาติที่ ๔ ไปเรื่อย ๆ เหมือนกับปลูกไม้ผล กว่าจะให้ผลช้ามากเหมือนกับตามไม่ทัน ลักษณะแบบเดียวกับรถสิบล้อวิ่งช้า..ใช่ไหม ? แต่ถึงเวลาถ้ารถชนเราจะเป็นอย่างไร ? รถใหญ่อาการเราก็หนัก เจ็บจริง เจ็บนาน ฉะนั้น..กรรมพวกนี้จะให้ผลต่อเนื่อง ยาวนาน ลักษณะเหมือนกับปลูกไม้ผล ระยะเวลา ๕ ปีขึ้นไปจึงจะเริ่มให้ผล แล้วก็จะให้ผลไปเรื่อย ๆ

    กรรมนั้นมีทั้งให้ผลตามกาล ให้ผลตามลักษณะ บางอย่างก็มาหนุนเสริม บางอย่างก็มาบีบคั้น บางอย่างก็มาตัดรอน ให้ผลตามกาลก็คือ ให้ผลช้า-เร็ว ก่อน-หลังกันไป รวม ๆ แล้ว กรรมน่ากลัวมาก ตามทันเมื่อไร เราก็แย่เมื่อนั้น

    ยิ่งศึกษาไปจะยิ่งเห็นความน่ากลัวของกรรม ตราบใดที่ยังมีกรรมคือการกระทำอยู่ ตราบนั้นการเวียนว่ายตายเกิดก็ยังมีอยู่ จนกว่าเราจะหยุดการกระทำนั้นลงได้อย่างสิ้นเชิง คือต้องเป็นพระอรหันต์แล้วเท่านั้น ถึงจะหยุดการเวียนว่ายตายเกิดได้

    กรรมนั้นน่ากลัวมาก พระพุทธเจ้าถึงได้ตรัสว่า "อย่าประมาทเห็นว่าเป็นความชั่วเพียงเล็กน้อยแล้วทำ และอย่าประมาทเพราะเห็นว่าเป็นความดีเพียงเล็กน้อยแล้วไม่ทำ" ทุกอย่างที่ทำให้ผลทั้งนั้น ต้องการหรือไม่ต้องการผลนั้นก็เกิด เราลงมือทำเมื่อไรก็ได้เรื่องเมื่อนั้น ฉะนั้น..เราต้องหยุดการกระทำให้ได้ โดยเฉพาะการทำชั่ว

    ของพระอรหันต์ท่านก็มีการกระทำ แล้วกระแสกรรมนั้นขาดได้อย่างไร ? คำตอบคือ ของท่านจะเป็นการกระทำที่เหลือเพียงกิริยาเท่านั้น ตัวมายาไม่มี

    ขนาดศีลของพระ พระพุทธเจ้าท่านยังให้สติวินัยกับพระอรหันต์ว่าเป็น "ปาปมุติ" คือ เป็นผู้ที่พ้นจากบาปแล้ว เจตนาที่จะล่วงศีลใหญ่ของท่านไม่มี แต่จริยาเล็ก ๆ น้อย ๆ ด้วยความเคยชินเดิมของท่านนั้นยังมีอยู่

    จึงต้องให้สงฆ์สวดประกาศสมมติให้กับผู้เป็นพระอรหันต์ว่า ให้เป็นผู้ทรงสติวินัย จะได้ไม่ต้องให้ใครไปโจทย์ว่าท่านต้องอาบัติ ท่านทำโดยกิริยาเฉย ๆ ตัวจิตที่จะไปปรุงแต่งให้เป็นทุกข์เป็นโทษ เป็นบุญเป็นบาปนั้นไม่มีแล้ว ท่านอยู่เหนือบุญเหนือบาปไปแล้ว ฟังแล้วเข้าใจไหม ? ถึงเวลาให้ไปคลำเองก็หาคงจะไม่เจอหรอก..!

    สนทนากับพระอาจารย์เล็ก สุธมฺมปญฺโญ
    ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ เดือนเมษายน พุทธศักราช ๒๕๔๕
     
  2. ืืnorawonrwon

    ืืnorawonrwon สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2018
    โพสต์:
    52
    ค่าพลัง:
    +42
    อนุโมทนาสาธุครับ
     
  3. mrmos

    mrmos Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 ตุลาคม 2016
    โพสต์:
    1,190
    ค่าพลัง:
    +1,101
    sa115.jpg
     

แชร์หน้านี้

Loading...