วิชชาที่จะทำให้อยู่รอดจากยุคสมัยแห่งภัยพิบัติ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย kananun, 17 กรกฎาคม 2006.

  1. Nakamura

    Nakamura Moderator ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กันยายน 2005
    โพสต์:
    2,002
    ค่าพลัง:
    +17,625
    ให้พิจารณากายภายในและกายภายนอก กายภายในก็ได้แก่ร่างกายของเราเอง
    กายภายนอกก็ได้แก่ร่างกายของบุคคลอื่น ร่างกายของเราจะมีความสกปรกโสโครกเพียงใด
    ร่างกายคนอื่นก็เต็มไปด้วยความสกปรกโสโครกเพียงนั้น ค่อย ๆ คิด ค่อย ๆ เห็น จะทำ
    ปุ๊บปั๊ปได้น่ะ ไม่ได้แน่ เมื่อคิดไปใคร่ครวญไป ต่อไปปัญญาก็เกิดขึ้น บารมีเต็มขั้น ต่อไป
    นิพพิทาญาณ ก็เกิด นิพพิทาญาณ แปลว่า ความเบื่อหน่าย ความเบื่อหน่ายจาก
    ร่างกายก็เกิด ในเมื่อความเบื่อหน่ายเกิดขึ้นมาจริง ๆ มันมีการทรงตัว ความเบื่อหน่าย
    ตัวนี้เป็นวิปัสสนาญาณ เห็นว่าสกปรกเราก็เริ่มรังเกียจ รังเกียจในสิ่งที่สกปรก นี่เริ่มเป็น
    วิปัสสนาญาณ ต่อไปจนกระทั่งเบื่อจริง ๆ เมื่อเบื่อจริง ๆ แล้ว จิตก็ทรงตัว เมื่อจิตทรงตัว
    ใน นิพพิทาญาณ ตอนนั้นอะไรจะเกิดขึ้น สิ่งที่จะเกิดกับเราก็มี ๒ อย่างคือ
    ๑. ระงับความโกรธ ความโกรธจะไม่เกิดในความรู้สึกของเรา โกรธจริง ๆ นะไม่ใช่
    โกรธหลอก ๆ โกรธหลอก ๆ แกล้งโกรธนั่นประเภทหนึ่ง ต้องทำเป็นโกรธนั่นอีกประเภท
    หนึ่ง แต่โกรธจริง ๆ ไม่มี
    แล้วก็ประการที่ ๒ ความรู้สึกในเพศจะไม่มีกับเรา มันไม่มีทั้งอารมณ์ที่จะประจัญ
    หน้ากันทั้งอารมณ์สงัด จะไม่มีความรู้สึกในเพศตรงกันข้าม อย่างนี้ถือว่า นิพพิทาญาณ เต็มอัตรา

    จากโอวาทหลวงพ่อฯ

    อ่านเต็มๆได้ที่ : http://www.sitluangpor.com/ovat/ovat_3/page12.htm

    ---------------------------------------------------------------

    ถ้าปฎิบัติแล้วรู้สึกเกิดความเบื่อในร่างกายนี้ก็เป็นอันว่าใช้ได้แล้วครับ เป็นจุดเริ่มต้นสำหรับผู้ปฎิบัติ ถ้าปฎิบัติต่อไปจนเกิดปัญญาญาณก็จะรู้ว่าเราต้องจัดการกับชีวิตเราอย่างไร ดำเนินต่อไปอย่างไร

    อนุโมทนาด้วยครับ _/\_
     
  2. Xorce

    Xorce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,369
    ค่าพลัง:
    +4,400
    พิจารณาตัดขันธ์5 ในความคิดของผมนะครับ ไม่รู้ว่าถูกผิดประการใดนะครับ
    คือการที่ทำให้จิตใจของเราเบาจากแรงยึดติดของร่างกาย
    เอาง่ายๆก็คือเมื่อจิตเห็นความเป็นธรรมดาของทุกๆอย่างแล้ว
    จิตจะไม่อยากเข้าไปเกี่ยวข้องกับกามราคะ หรือความอยากได้นู่นอยากได้นี่
    จิตจะไม่โมโห เมื่อเราถูกด่าว่า เพราะมันก็เรื่องธรรมดา
    เราไม่ใช่ร่างกายนี่หว่า เราคือจิตที่เข้ามาอาศัยในร่างกาย
    เมื่อพิจารณามากๆเข้าจนเห็นความเป็นธรรมดาของร่างกาย
    จิตจะคลายความยึดมั่นในร่างกาย และมีความสุขกับธรรมะ กับสมาธิ แทนที่จะมีความสุขกับเรื่องโลกๆ
    ดังนั้นยิ่งพิจารณามากเราจะต้องยิ่งมีความสุขที่ประณีตขึ้นเรื่อยๆ
    ถ้าพิจารณาแล้วทุกข์ หรือเบื่อแบบหดหู่เศร้าหมอง ยังถือว่าผิดอยู่ครับ
    ยิ่งตัดขันธ์5ได้มากเราจะยิ่งมีความเบาสบาย เป็นสุข
    ตัดขันธ์5คือวางเฉยต่อร่างกาย แล้วใจเบาสบาย
    ถ้าใจหดหู่ถือว่ายังไม่ผ่านครับ
    ขอย้ำนะครับว่า ยิ่งพิจารณาจะต้องยิ่งมีความสุขแบบเอิบอิ่มในธรรมะ
    เช่น เขาด่าเราก็เชิญให้เขาด่าไปเถอะนะ เออเขาเกิดมาก็ทุกข์ เราเกิดมาก็ทุกข์ เพราะฉะนั้นเราเป็นที่ระบายให้เขาก็ดีนะ เขาจะได้หายทุกข์ พอเขาหายทุกข์เราก็ดีใจด้วย ยังไงเราก็ต้องตายอยู่แล้วจะสนใจกับคำด่าทำไมเนอะ มารักกันเมตตาปราถนาดีต่อกันดีกว่านะ อย่าทะเลาะกันเลย
    ประมาณนี้ครับ คือทำใจให้เบาสบายให้ได้ทุกๆสถานการณ์ เราจะเป็นคนที่มีจิตใจสงบเยือกเย็นปราถนาดีต่อทุกๆคน เอาให้ถึงระดับที่รักคนที่ด่าเราเหมือนลูกของเราเองเลยก็ยิ่งดีครับ
    พิจารณาตัดขันธ์5แล้ว ก็ควรจะเสริมเมตตาด้วยครับ จะได้ยิ่งมีความสุข

    ผมจะขอเล่าเกี่ยวกับวิธีที่ผมแผ่เมตตานะครับ
    ลองทำจิตใจให้รู้สึกว่าเราน่ารักสุดๆแล้วลองพูดหรือคิดว่า
    "เรามีความรัก ความปรารถนาดีต่อเวไนยสัตว์จำนวนไม่มีที่สิ้นสุดไม่มีประมาณ
    เราอยากจะช่วยให้เวไนยสัตว์จำนวนไม่มีที่สิ้นสุดไม่มีประมาณ ให้ได้เข้าถึงซึ่งความดี ได้สำเร็จทั้งสิ้นซึ่งมรรค4ผล4นิพพาน1 ไม่ต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิดยังสถานที่แห่งใดอีก ได้พบกับความสุขชั่วนิจนิรันดรจากพระนิพพาน มีความรักความเมตตาปรารถนาดีต่อกันตลอดไป"
    ลองทำดูนะครับผมทำแล้วอิ่มเอิบใจสุดๆ
    หากผิดพลาดประการใดก็ขอกราบขอขมาด้วยครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 มีนาคม 2008
  3. tam220t

    tam220t ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    67
    ค่าพลัง:
    +537
    ขอสรุป คำสอนของทุกท่านมาเป็นคำพูดของตัวเองว่า อ๋อที่แท้เบื่อหน่าในขันธ์5 ก็คือ เข้าใจว่า ความเปลี่ยนแปลงแปรปรวนของ ขันธ์ทั้ง 5 นั่นแหละที่ทำให้ เดี๋ยวสุขเดี๋ยวทุกข์ ถ้าไม่อยากทุกข์ก็ต้องเข้าใจซะว่าความแปรปรวนกับขันธ์ 5 นั้นเป็นของคู่กัน เหมือนเหรียญเดียวแต่มีสองด้าน ถ้าหยิบมาก็ได้ทั้งสองหน้า ถ้าไม่หยิบซะก็หมดเรื่อง ไม่อยากได้เหรียญแล้ว เบื่อเหรียญแล้ว แบบนี้โอเคไหมครับ
     
  4. Tossaporn K.

    Tossaporn K. เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    1,565
    ค่าพลัง:
    +7,747
    ขันธ์ห้า
    รูป คือ อะไร
    สัญญา คือ อะไร
    เวทนา คือ อะไร
    สังขาร คือ อะไร
    วิญญาน คือ อะไร

    พระอภิธรรม
    จิต(จิ) คือ อะไร
    เจตสิก(เจ) คือ อะไร
    รูป(รุ) คือ อะไร
    นิพพาน(นิ) คือ อะไร

    ผมยังไม่ค่อยเข้าใจนัก ขอความกระจ่างบ้าง เป็นการแลกเปลี่ยนความเห็นกัน

    เบื่อหน่ายขันธ์ห้าต้องเบื่อหน่ายทั้งห้าขันธ์ด้วยหรือเปล่า
     
  5. nuttadet

    nuttadet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    1,892
    ค่าพลัง:
    +6,454
    เรื่องขันธ์ มหาสติปัฏฐานสูตรในกายานุปัสสนาก็ดี เวทนานุปัสสนาหรือว่าจิตตานุปัสสนาถึงข้อนิวรณ์ 5 อันนี้ เป็นสมถกรรมฐาน ตอนที่ว่าด้วยขันธ์นี่เป็นวิปัสสนากรรมฐาน
    ขันธ์ก็แปลว่ากอง ขันธ์ 5 แปลว่า มีอยู่ 5 กอง คือ 1 รูป 2 เวทนา 3 สัญญา 4 สังขาร 5 วิญญาณ คำว่าวิญญาณตัวนี้ไม่ใช่จิต เป็นวิญญาณที่เกาะอยู่กับขันธ์ 5 เรียกว่าประสาท
    การพิจารณาขันธ์ 5 นี่เป็นปัจจัยให้ได้โสดา สกิทา อนาคา อรหันต์ ในอริยสัจ 4 ก็เหมือนกัน อริยสัจ 4 ก็เป็นการพิจารณาขันธ์ 5 คือทุกข์หรือว่าสมุทัยที่เกิดกับขันธ์ 5 ขันธ์ 5
    เป็นปัจจัยแห่งพระนิพพาน คือคนที่จะบรรลุพระโสดา สกิทา อนาคา อรหันต์ อาศัยขันธ์ 5 เป็นปัจจัย

    มีพระสูตรหนึ่ง สูตรนี้ก็มีอยู่ในพระธรรมบทขุททกนิกาย หรือว่ามาจากพระไตรปิฎก เรื่องมีอยู่ว่า สมัยหนึ่งบรรดาพระสงฆ์ทั้งหลายที่บวชใหม่ เข้าไปกราบทูลลาองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า
    ตั้งใจจะไปเจริญพระกรรมฐานในป่า หวังให้บรรลุมรรคผล ตอนนั้นองค์สมเด็จพระทศพลจึงได้มีพระพุทธฎีกาตรัสถามว่า "ภิกขเว ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย พวกเธอไปลาพระสารีบุตรแล้วหรือยัง"
    บรรดาพระทั้งหลายเหล่านั้นจึงกราบทูลว่ายังพระพุทธเจ้าข้า พระพุทธจ้าจึงทรงมีพระบัญชาว่า อย่างนั้นก่อนที่เธอจะไปเธอจงไปลาพระสารีบุตรเสียก่อน พระเหล่านั้นก็รับคำแล้วก็ลาพระพุทธเจ้า
    ออกไปจากพระมหาวิหารเข้าไปหาพระสารีบุตร พอเข้าไปถึงพระสารีบุตร พระสารีบุตรให้โอวาทอื่นพอสมควร แล้วพระทั้งหลายเหล่านั้นจึงได้ถามพระสารีบุตรว่า พวกกระผมเป็นปุถุชน
    ถ้าจะปฏิบัติตนให้เป็นพระโสดาบันจะทำยังไงขอรับ พระสารีบุตรก็บอกว่า ถ้าพวกเขาทั้งหลายปรารถนาเป็นพระโสดาบัน ก็จงพิจารณาขันธ์ 5 ว่า รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
    อันนี้มันไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในขันธ์ 5 ขันธ์ 5 ไม่มีในเรา ปลงให้ตกจนกว่าจะเลิกสังโยชน์ 3 ได้ คือ สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพตปรามาส เมื่อปลงขันธ์ 5 อย่างเดียวสังโยชน์ 3 มันจะขาดไปเอง
    เมื่อสังโยชน์ 3 ขาดลงไปแล้ว พวกเธอก็จะได้เป็นพระโสดาบัน พระพวกนั้นก็เลยถามต่อไปว่า เมื่อผมเป็นพระโสดาบันแล้วจะเป็นพระสกิทาคามีจะทำยังไง ท่านก็บอกว่าพิจารณาขันธ์ 5 ตามแบบนั้นแหละ
    พิจารณาละเอียดลงไปก็จะเป็นพระสกิทาคามีเอง พระพวกนั้นก็ถามต่อไปว่า เมื่อพวกกระผมเป็นพระสกิทาคามีแล้ว จะเป็นพระอนาคามีจะทำยังไง ท่านก็บอกว่าปลงขันธ์ 5 นั่นเอง
    ทำอย่างว่านั้นแหละ แล้วกามฉันทะกับปฏิฆะ คือการกระทบกระทั่งจิต การโกรธ ความพยาบาท มันก็จะสิ้นไปเอง ก็จะเป็นพระอนาคามี ท่านพวกนั้นก็ถามต่อไปว่า ถ้าผมเป็นพระอนาคามีแล้ว
    ผมจะเป็นอรหันต์จะต้องทำอย่างไร ท่านบอกว่าพิจารณาขันธ์ 5 ตามที่บอกมานั่นแหละก็เป็นพระอรหันต์ไปเอง สังโยชน์ 10 ก็จะขาดไป พระพวกนั้นก็จะถามว่า เมื่อเป้นพระอรหันต์ละสังโยชน์ 10 ได้แล้ว
    การพิจารณาขันธ์ 5 ไม่ต้องทำต่อไปใช่ไหมขอรับ พระสารีบุตรตอบว่าไม่ใช่ พระอรหันต์นี่แหละทำหนัก ยิ่งพิจารณาหนักเพื่อความอยู่เป็นสุข ขันธ์ 5 ตัวเดียวเท่านั้นแหละเป็นเหตุละกิเลสได้ทุกตัว
    ในขันธวรรคแห่งพระไตรปิฎก พระพุทธเจ้าบอกว่า ธรรมะส่วนหนึ่ง หรือธรรมะอย่างหนึ่ง กองหนึ่ง ที่สามารถทำลายกิเลสได้ทั้งหมด

    เรื่องขันธ์ในมหาสติปัฏฐานสูตร พระพุทธเจ้ากล่าวว่า อีกข้อหนึ่งภิกษุทั้งหลาย คือ ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นธรรมในธรรมทั้งหลาย อันได้แก่อุปาทานขันธ์ 5 อย่างไรเล่า ภิกษุทั้งหลาย
    จึงชื่อว่าภิกษุพิจารณาเห็นธรรมในธรรมทั้งหลายอันได้แก่อุปาทานขันธ์ 5 อย่างนี้คือภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ ย่อมพิจารณาเห็นว่ารูปอย่างนี้ รูปเป็นอย่างนี้ ความเกิดแห่งรูปเป็นอย่างนี้
    ความดับแห่งรูปเป็นอย่างนี้

    รูปนี่เราสามารถจะเห็นได้ด้วยตาเนื้อ เกิดขึ้นด้วยอำนาจของธาตุ 4 มีอาการ 32 มหาสติปัฏฐานต้องมองย้อนไปย้อนมาว่า คือรูปมันก็มีหนังกำพร้ามีเนื้อมีรูป มีตับไตพังผืดไส้ปอด ไม่ต้องพรรณนาอาการ 32 ครบถ้วน
    เป็นรูป ทีนี้รูปร่างนี้มันเกิดขึ้นได้ยังไงก็ต้องไปดูธาตุ 4 อาศัยธาตุ 4 มาประชุมกัน ตั้งขึ้นมาตั้งแต่เล็กแล้วก็โตมาทีละน้อย ๆ อาศัยอาการเปลี่ยนแปลงเจริญเติบโตขึ้น การเจริญขึ้น ก็หมายถึงการเสื่อมลงนั่นเอง
    เดินไปหาความพังของมันแล้วในที่สุด ก็เต็มไปด้วยโรคภัยไข้เจ็บ ร่างกายเป็นโรคะนิทัง เป็นรังของโรค คำว่าโรคะหรือโรค แปลว่าอาการเสียดแทง ทำให้ไม่สบายกายไม่สบายใจ แล้วในที่สุดมันก็เสื่อมลง ๆ
    แล้วก็สลายตัว คือตาย

    ว่าด้วยเรื่องรูป ในอาการ 32 ที่ว่าด้วยปฏิกูลบรรพพิจารณาอาการ 32 มาแล้ว พิจารณาธาตุ 4 รูป คือกายคตานุสติกรรมฐาน คืออาการ 32 เป็น อนิจจังไม่เที่ยง ทุกขัง เต็มไปด้วยความทุกข์ อนัตตา มีความสลายตัวไปในที่สุด

    เวทนาก็คืออารมณ์ อารมณ์ที่เป็นสุข อารมณ์ที่เป็นทุกข์ อารมณ์ที่ไม่สุขไม่ทุกข์ อาการเกิดของเวทนาเป็นยังไง ความหนาว ความร้อน ความหิว ความกระหาย มันเป็นเวทนาทั้งนั้น เป็นทุกขเวทนา
    การอยากได้ของที่ชอบใจเป็นสุขเวทนา รู้ว่าเวทนามันเกิดขึ้นแล้วก็สลายตัวไป ไม่มีอะไรคงที่ มันเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาเหมือนกัน

    สังขาร คือสภาพที่ปรุงแต่งจิต หมายความถึงอารมณ์ของจิต อารมณ์ที่เข้ามาแทรกจิต ท่านกล่าวว่า อปุญญาภิสังขาร อเนญชาภิสังขาร สังขารมี 3 ปุญญาภิสังขาร คือ อารมณ์ที่มีความสุข
    อปุญญาภิสังขาร ได้แก่อารมณ์ที่มีความทุกข์ อารมณ์ที่มีความสุขก็คือบุญ อารมณ์ที่มีความทุกข์ก็คือบาป ความชั่ว และอเนญชาภิสังขาร คืออารมณ์ที่วางเฉยเป็นอารมณ์กลางได้แก่อุเบกขารมณ์
    เป็นอารมณ์ว่างจากกิเลส ว่างจากความสุขหรือความทุกข์ อันนี้เป็นอารมณ์ที่ปรารถนาพระนิพพาน ถ้าเป็นอารมณ์ฝ่ายกุศลก็มีความสุขใจ ถ้าเป็นอารมณ์ฝ่ายอกุศลก็มีความทุกข์ใจกลัดกลุ้มใจ
    ถ้าเป็นอารมณ์พระนิพพานก็มีแต่ความเยือกเย็น อารมณ์อย่างนี้มันเกิดขึ้นแล้วมันก็ดับไป มันไม่คงสภาพ เดี๋ยวเกิด เดี๋ยวดับ ไม่คงที่ เดี๋ยวมีอารมณ์อย่างนี้ เดี๋ยวมีอารมณ์อย่างนั้น
    ข้อนี้เป็นวิปัสสนาญาณ ให้พิจารณาว่ามันเป็นอนัตตา ไม่มีอะไรทรงตัว

    สัญญา คือความจำ จำได้บ้าง จำไม่ได้บ้าง จำได้นิด ๆ หน่อย ๆ แล้วก็สลายไป ตั้งอยู่ไม่ได้นาน

    วิญญาณ ที่รับรู้สภาพของอากาศ ดินฟ้าอากาศ ความร้อน ความหนาว ความหิว ความกระหาย ความเจ็บ ความปวด ความอ่อน ความแข็ง นี่เป็นอาการของวิญญาณ คือประสาท สัมผัสรู้ว่าอ่อน
    รู้ว่าแข็ง รู้ว่าเย็น รู้ว่าร้อน แล้วก็เลิกสัมผัส ไม่มีอะไรแน่นอน การที่มาพิจารณาเรื่องขันธ์ 5 ก็เพื่อละ อุปาทานขันธ์ 5 อุปาทาน แปลว่าเข้าไปยึดถือ ขันธ์ 5 ว่าเป็นเรา ว่าเป็นของเรา เรามีขันธ์ 5 ขันธ์ 5 มีในเรา
    การที่เราจะเป็นใคร มียศฐาบรรดาศักดิ์ใหญ่ขนาดไหน ก็ไม่มีความมั่นคงแน่นอน เราต้องทุกข์เพราะขันธ์ 5 เป็นอย่างมาก ไม่ว่าในเรื่องของการปวดท้อง หิวข้าว มีเวทนาต่าง ๆ การปวดเมื่อย เราไปห้ามไม่ได้
    และสิ่งต่าง ๆ ก็สลายไปในที่สุด ไปยึดถืออะไรไม่ได้ ไม่มีความจีรังยั่งยืน เราคือ จิต จิตเราชั่ว เราก็ต้องหาที่เกิดต่อไป นี้คือ วิปัสสนาญาณ และสมถะ ก็อย่าทิ้ง ถ้าทิ้งก็ตายเพราะเป็นลมหายใจเข้าออก เป็นการทรงสติสัมปชัญญะ

    ที่มา http://www.larnbuddhism.com/grammathan/sati12.html
     
  6. พัฒนาตน

    พัฒนาตน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    202
    ค่าพลัง:
    +1,282
    เมื่อเราพิจารณาขันธ์5 แบบว่าเข้าใจสภาวะนั้นจริงๆ แล้ว เราอาจจะรู้สึกว่า เราอยู่ในสิ่งแปลกปลอม เราไม่อยากอยู่ในนี้ เราเพียงแค่อาศัยมันอยู่ เราจะบำรุงรักษาเพื่อที่เราจะสามารถอยู่เพื่อทำความดีต่อโลกและพระพุทธศาสนาต่อไป และอีกอย่างนึง คือว่า กาย กับจิตของเรา จะรู้สึกว่ามันไม่ใช่ส่วนเดียวกัน มันจะแยกออกจากันอย่างเห็นได้ชัด ในที่นี้ไม่ได้หมายถึงการถอดกายทิพย์ แต่ก็ใช่ความรู้สึกนี้เช่นกัน ผมเล่าตามประสบการณ์อันน้อยนิดของผมที่ได้ปฏิบัติมาครับ พี่ๆ เพื่อน เสริมอีกได้เลยครับ
     
  7. ชนินทร

    ชนินทร พลังจิตนานาชาติ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,725
    ค่าพลัง:
    +6,384
    [​IMG][​IMG][​IMG]
     
  8. ชนินทร

    ชนินทร พลังจิตนานาชาติ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,725
    ค่าพลัง:
    +6,384

    [​IMG][​IMG][​IMG]
     
  9. Tossaporn K.

    Tossaporn K. เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    1,565
    ค่าพลัง:
    +7,747
    น้องNuttadetครับ เทวดา ไม่มีกายเนื้อ แสดงว่าเทวดาไม่มีรูปหรือเปล่าครับ
     
  10. nuttadet

    nuttadet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    1,892
    ค่าพลัง:
    +6,454
    เอ่อ ผมก็ไม่แน่ใจนะครับ อาจจะมีรูป แต่เป็นกายที่ละเอียดก็ได้

    ที่บอกไม่ได้ 100% เพราะผมก็ไม่เคยเห็นครับ ถึงเคยเห็นก็ไม่อาจยืนยันได้ว่าที่เห็นนั้นของจริง เลยไม่สามารถบอกได้ครับ
     
  11. ju ju

    ju ju Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    100
    ค่าพลัง:
    +87
    ขอขอบพระคุณทุกๆๆท่านเป็นอย่างมากนะค่ะ ที่ช่วยแนะนำวิธีปฎิบัติ และเป็นกำลังใจให้ข้าพเจ้าต่อไปไม่ท้อไม่ว่าจะเป็นคุณ pat31132 คุณหลับตา k.Chdhorn k.nuttadet k.kananun คุณภาวิโต และ ท่านๆๆอื่นที่เป็นกัลยาณมิตรธธรรม ทุกๆท่านมากๆๆน่ะค่ะ วิธิที่คุณChdhorn แนะนำเรานั้นเรากำลังใช้ปฏิบัติอยู่ ในด้านจับภาพพระพุทธรูปก็เห็นเป็นภาพของท่านแต่ยังไม่ใสนะค่ะ (เราใช้พระพุทธรูปหลวงพ่อโสธร ของเห็นเป็นรูปเหมือนตั้งอยู่ในห้องพระ เป็นทองเหลืองก็ยังเป็นทองเหลืองไม่ใส อย่างนี้ผิดหรือเปล่าค่ะ เราเห็นชัดเจนนะ สามารถนึกในจิตได้เลยว่ามีสี ท่านั่ง พระเนตร) ดิฉันควรทำอย่างไรต่อไปค่ะ
     
  12. ju ju

    ju ju Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    100
    ค่าพลัง:
    +87
    อย่างที่คุณchdhorn กล่าวว่า มันเป็นกรรม คงจะจริงแหละค่ะ วันก่อนก็เข้าไปนั่งสมาธิ(แบบดั้งเดิม เพราะชินและชำนาญ) ก็เห็นตัวเองในภพก่อน ว่าเคยเกิดเป็นแม่ชีพรามณ์ แล้วมีผู้ชายคนหนึ่งมาทำบุญ ก็เลยเกิดเสน่หา จนถึงขั้นหนีตามกันไปเลย โดยที่เราก็ยังไม่ลาศีลด้วย มีเพื่อนธรรมคัดค้านก็ไม่ฟังยังไปว่าพวกเขาเหล่านั้นอีก ไม่เรียกว่าชั่วร้าย ก็ไม่รู้จะเรียกว่าอะไรแล้วล่ะค่ะ (คงไม่สามารถเล่าให้ละเอียดได้กว่านี้แล้วค่ะ) ถึงว่าทำไมทุกวันนี้ถึงมีแต่เรื่องเจ็บปวดใจ เดี๋ยวนี้ปลงได้เยอะแล้วค่ะ อยากบอกว่า ทำกรรมกับศาสนา นี่ผลที่ได้รับอาจจะช้า อาจจะเร็ว แต่เจ็บและทรมานเป็นที่สุด ขอเตือนเพื่อนๆๆน่ะค่ะ อย่าได้ทำเลย แม้เพียงคิดก็ผิดแล้ว
     
  13. ju ju

    ju ju Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    100
    ค่าพลัง:
    +87
    ดิฉันดีใจมากๆๆ ที่ได้มารู้จักกับเพื่อนธรรมที่นี้ เมื่อก่อนเราไม่รู้จะพูดกับใคร กับเรื่องแบบนี้ เรารู้สึกหรือสัมผัสอะไรได้ บอกกับใครๆ เขาก็ว่าเรางมงาย เพ้อเจอ พอเราได้อ่านบทความจากเพื่อนๆๆที่มีประสบการณ์ในการปฏิบัติจึงรู้ได้เลยว่าทุกคนที่ปฏิบัติก็เจอหรือสัมผัสได้เหมือนๆกันจิงๆๆ อย่างนี้เราก็ไม่ได้บ้า ไม่คิดไปเอง อยากบอกว่าเป็นคนเดียวในตระกูล(คนจีน)ที่ชอบด้านนี้ สมาชิกในครอบครัวไม่เคยเห็นด้วยเลย โดนด่าเป็นประจำ ตอนนี้เหมือนเราได้เจอแสงสว่างในชีวิตอีกทางหนึ่ง เมื่อก่อน เราชอบคุยกับพระพุทธรูป ถามท่านประจำว่าทำไมเราต้องเป็นแบบนี้(ร้องไห้ด้วย จะบาปไหมเนี่ยะ) เดี๋ยวนี้หายล่ะ ทุกอย่างเป็นสัจธรรม เป็นกฎแห่งกรรม จริงๆๆ แต่ถึงอย่างไร ก็ยังไม่เก่งอยู่ดี ยังมีเรื่องที่ติดขัดในการปฎิบัติเช่นกัน ยังคงต้องขอความอนุเคราะห์จากผู้รู้ช่วยแนะนำส่งเสริมอีกในโอกาสต่อๆไปนะค่ะ
     
  14. พุทธันดร

    พุทธันดร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    565
    ค่าพลัง:
    +3,969
    ฝากให้ทุกท่านไว้เจริญพุทธานุสสติค่ะ กราบขอบพระคุณและอนุโมทนาท่านที่ทำรูปต้นฉบับนี้นะคะ


    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 มีนาคม 2008
  15. ๑กุหว่าใจ๋๑

    ๑กุหว่าใจ๋๑ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2006
    โพสต์:
    371
    ค่าพลัง:
    +2,730
    พุทธัง สรณัง คัจฉามิ
    ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ
    สังฆัง สรณัง คัจฉามิ
    กราบ กราบ กราบ...
     
  16. sutatip_b

    sutatip_b เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    3,197
    ค่าพลัง:
    +26,189
    เรียนถามคุณธรค่ะ

    ผู้ใหญ่ที่เคารพท่านหนึ่ง อาชีพแพทย์ เป็นมะเร็ง รักษาแล้วดีขึ้น แล้วกลับมาเป็นอีก จากนี้คงอยู่ได้อีกไม่นาน แต่กำลังใจดีมากค่ะ อยู่โรงพยาบาลดีที่สุด แต่กายเนื้อทรมานเหลือเกินเพราะเนื้อร้ายอุดทางเดินอาหาร พอกลืนแค่น้ำก็เจ็บมากแล้ว

    คือหมอเป็นคนดี กรรมมะเร็งนี้ข้ามภพชาติหรือเปล่าคะ จะอธิบายกับคนทั่วไปว่าทำไมคนดียังทุกข์ได้ขนาดนี้เลย

    ขอบคุณค่ะ
     
  17. mead

    mead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2005
    โพสต์:
    8,116
    ค่าพลัง:
    +62,425
    "ภาวะของการมีโรคและปลอดโรค"

    ฉันจะกล่าวถึงโดยทั่วไปในที่นี้ และหวังว่าเธอจะตระหนักได้ว่าความเชื่อ-ความ
    คิดและอารมณ์ของเธอแต่ละคนสร้างโลกแห่งความเป็นจริงของเธอไม่มีบุคคล
    ใดตายก่อนเวลาอันควรแต่ละบุคคลเลือกเวลาตายของตนเอง มันเป็นความจริง
    ที่ว่าโรคมะเร็งหรือภาวะโรคเอดส์ เกิดจากการที่ระบบภูมิคุ้มกันถูกรบกวน หรือ
    เสียหายจนกระทั่งร่างกายไม่ยินยอมที่จะคล้อยตามกระบวนการที่ทำให้มันสม
    ดุลย์ แต่ไม่มีบุคคลใดตายด้วยโรคมะเร็งหรือโรคเอดส์หรือภาวะอื่นๆจนกว่าเขา
    จะกำหนดเวลาตายของตนเอง

    มีภาวะอื่นๆ อีกหลายภาวะที่ควรจะนำมาพิจารณาเพราะโรคภัยเหล่านั้นบาง
    ชนิดเกี่ยวพันกับสังคมเป็นอย่างมาก และเป็นโรคภัยที่เกิดขึ้นเพียงแต่เฉพาะผู้มี
    เผ่าพันธุ์ที่มีสังคม ทั้งนี้ ไม่ได้หมายความว่าโรคภัยเหล่านี้เป็นโรคติดต่อเสมอ
    ไป แต่มันมีความสัมพันธ์โดยรวมกับการให้ การรับ ระหว่างบุคคลกับโครงสร้าง
    ของสังคมและโครงสร้างธรรมชาติ

    เธอทั้งหลายไม่ได้ตกเป็นเหยื่อของโรคร้ายหรือได้รับไวรัส
    แต่ความรู้สึกนึกคิดและความเชื่อของเธอ
    เหนี่ยวนำให้ร่างกายของเธอเจ็บป่วย


    จากจิตวิญญาณประสานกาย โนวา อนาลัย
    http://palungjit.org/showthread.php?t=85791
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 มีนาคม 2008
  18. mead

    mead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2005
    โพสต์:
    8,116
    ค่าพลัง:
    +62,425
    บทที่ ๑๑ หน้าที่ ๑๗๐ คัดเฉพาะส่วน "วิบากกรรมในอดีตและโรคปัจจุบัน"


    ฉันขอเตือนความจำเธอว่าตามธรรมชาติแห่งความเป็นจริงของเวลา ชาติภพใน
    อดีต ปัจจุบัน อนาคต เกิดขึ้นพร้อมกันทั้งหมด ดังนั้น ความเชื่อที่ว่าเธอถูกลง
    โทษในปัจจุบันชาติเพราะผลของการกระทำในอดีตชาติจึงเป็นสิ่งที่ปราศจาก
    เป้าหมายและความหมาย เพราะการกระทำในทุกชาติภพเกิดขึ้นพร้อมกันทั้ง
    หมดในปัจจุบัน

    ในชาติภพอื่นเธออาจมีสุขภาพที่แข็งแรงมีชีวิตชีวาและอีกชาติภพหนึ่ง เธอ
    อาจอุทิศชีวิตของเธอเพื่อการรักษาโรค แม้นว่าสถานการณ์ของกลุ่มชนที่เกิด
    ในถิ่นฐานที่ประชาชนส่วนใหญ่ยากจนและด้อยโอกาสที่จะทำให้เธอมองเห็น
    ความเจ็บป่วยกับชาติภพที่เกี่ยวพันกัน แต่ในภาพรวมทั้งหมดแล้วมีพวกเธอ
    เพียงจำนวนน้อยที่มีปัญหาสุขภาพซ้ำซ้อนต่อเนื่องในหลายชาติภพ

    หากเธอมีปัญหาสุขภาพ เธอควรจะมองหาเหตุผลจากประสบการณ์ในปัจจุบัน
    มากกว่าที่จะยกเหตุในอดีตชาติ เหตุแห่งปัญหาสุขภาพกาย สุขภาพใจปรากฏ
    อยู่ในประสบการณ์ในวัยเด็กที่จะกระตุ้นให้เกิดพฤติกรรมที่ไม่ดีต่อสุขภาพ แต่
    ความเชื่อในปัจจุบันเป็นสาเหตุที่เอื้ออำนวยให้แบบแผนของพฤติกรรมดังกล่าว
    มีผลต่อสุขภาพ
     
  19. mead

    mead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2005
    โพสต์:
    8,116
    ค่าพลัง:
    +62,425
    เนื้อหาน่าสนใจครับ..เลยขอเอามาฝากอาจารย์ไก่ก่อนคุณธร
    น่าจะได้ข้อคิดว่า หากอดีตมีอยู่ในอนาคต ปัจจุบันคือพลังอำนาจสูงสุด
    หากเป็นมะเร็งหรือโรคร้ายใดๆต้องทำใจให้เป็นเพื่อนกับมะเร็งไว้ดีที่สุด เค้ามาอาศัยเราอยู่ ก็อยู่กับเค้าอย่างกลมกลืน
    เซลล์มะเร็งจะไม่ลุกลามต่อไป กลับกันหากเกิดความเครียดกับมะเร็งเค้าก็จะลุกลามขยายตัวไปอีก..ต้องจดจ่อในทิศทางด้านบวกครับ เค้าส่งมะเร็งให้มาให้เป็นบทเรียนให้เราได้รู้จักที่จะคิดปรับความคิด เติมเต็มประสบการณ์ใหม่ๆ (แม้จะรู้สึกว่าไม่ต้องการเค้าก็ตามที..) ชิวิตก็มักพบเจอเรื่องราวที่ไม่คาดฝันเสมอๆครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 มีนาคม 2008
  20. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    <TABLE class=tborder id=post1067232 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR vAlign=top><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 0px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 0px solid" width=175>รัศมีดารา<SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_1067232", true); </SCRIPT>
    สมาชิก

    เข้ามาครั้งสุดท้ายเมื่อ: วันนี้ 02:34 PM
    วันที่สมัคร: Mar 2008
    ข้อความ: 16 <!-- Start Post Thank You Hack -->
    ได้ให้อนุโมทนา 9 ครั้ง
    ได้รับอนุโมทนา 77 ครั้ง ใน 10 โพส <!-- End Post Thank You Hack -->
    พลังการให้คะแนน: 0 [​IMG]


    </TD><TD class=alt1 id=td_post_1067232 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid"><!-- message -->อย่างที่คุณchdhorn กล่าวว่า มันเป็นกรรม คงจะจริงแหละค่ะ วันก่อนก็เข้าไปนั่งสมาธิ(แบบดั้งเดิม เพราะชินและชำนาญ) ก็เห็นตัวเองในภพก่อน ว่าเคยเกิดเป็นแม่ชีพรามณ์ แล้วมีผู้ชายคนหนึ่งมาทำบุญ ก็เลยเกิดเสน่หา จนถึงขั้นหนีตามกันไปเลย โดยที่เราก็ยังไม่ลาศีลด้วย มีเพื่อนธรรมคัดค้านก็ไม่ฟังยังไปว่าพวกเขาเหล่านั้นอีก ไม่เรียกว่าชั่วร้าย ก็ไม่รู้จะเรียกว่าอะไรแล้วล่ะค่ะ (คงไม่สามารถเล่าให้ละเอียดได้กว่านี้แล้วค่ะ) ถึงว่าทำไมทุกวันนี้ถึงมีแต่เรื่องเจ็บปวดใจ เดี๋ยวนี้ปลงได้เยอะแล้วค่ะ อยากบอกว่า ทำกรรมกับศาสนา นี่ผลที่ได้รับอาจจะช้า อาจจะเร็ว แต่เจ็บและทรมานเป็นที่สุด ขอเตือนเพื่อนๆๆน่ะค่ะ อย่าได้ทำเลย แม้เพียงคิดก็ผิดแล้ว
    <!-- / message --></TD></TR></TBODY></TABLE>
    ข้อนี้นั้นสิ่งที่ปรากฏอดีตชาติในจิตนั้น หากพิจารณากันจริงๆ ต้องสาวย้อนไปในอดีตชาติไปอีก

    เนื่องจากสิ่งที่เกิดในชาตินั้น เป็นเพราะบุพพกรรม ที่คุณได้ร่วมกระทำกันมาก่อน ดังนั้น แรงผูกพันย่อมรุนแรงเป็นธรรมดา ประกอบกับอกุศลกรรมเข้าสิงจิตในขณะนั้นพอดี จึงทำให้คุณกระทำไปแบบนั้น

    ผมเองก็เคยประสบเหตุการณ์แบบนี้ ทำนองนี้มาก่อน เคยผิดพลาดมาก่อนเช่นกัน เรื่องแบบนี้ว่ากันไม่ได้


    แต่สิ่งสำคัญจริงๆก็คือ เมื่อเราเองได้รับรู้รับทราบเรื่องราวในอดีตชาติมาแล้วเราจะทำอย่างไรกับมัน



    -จะไปยึด ไปถือ ให้เกิดความเศร้าหมองในจิต เพื่อค้นหาบุคคลนั้นแล้วกลับไปย้อนกรรม กระทำแบบเดิมอีก

    -หรือจะ รู้เพื่อละ รู้เพื่อวาง รู้เพื่อให้ขออโหสิกรรมให้กัน ทั้งฝ่ายชายท่านนั้น แม่ชีผู้หวังดีปรารถนาดีตักเตือนเรา ให้เป็นอโหสิกรรม โมฆะกรรมกันไป แล้วยกดวงจิตของเราเองให้พัฒนาขึ้น ไปอีก

    เอาอดีตเป็นครูเพื่อ นำบทเรียนมาสอนใจเราเอง ทั้งเราเอง
    ก็สามารถนำประสพการณ์ของท่านอื่น ทั้งที่ดีงามถูกต้องมาเป็นแบบอย่าง ความผิดพลาดของท่านอื่นเป็นบทเรียน เพื่อย่นระยะเวลาการเรียนรู้ได้

    สิ่งสำคัญก็คือทุกสิ่งที่เรารู้ด้วยญาณทัศนะนั้น เป็นการรู้เพื่อละ เพื่อวาง เพื่อให้เข้าใจถึงความเป็นธรรมดา อันเป็นอนิจจังไม่เที่ยงแท้

    เราเริ่มต้นใหม่ได้เสมอ สิ่งสำคัญก็คือเมื่อเราเองได้อยู่ได้อาศัยอยู่ภายใต้ร่มเงาของพระบวรพุทธศาสนาแล้วเราเองก็ต้อง รู้คุณ ช่วยทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาอย่างเต็มกำลังความสามารถสติปัญญาของเรา

    เมื่อพระพุทธศาสนารุ่งเรืองก็ย่อมก่อศานติ ร่มเย็นแก่ทุกดวงจิตได้มากมาย ไม่เว้นแม้แต่มนุษย์
     

แชร์หน้านี้

Loading...