"มนุษย์มาจากไหน"

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย paang, 9 สิงหาคม 2005.

  1. paang

    paang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2005
    โพสต์:
    9,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +34,326
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>

    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=bottom align=right width=1 height=1>[​IMG]</TD><TD vAlign=bottom align=middle background=/images/linedot_hori.gif height=1>[​IMG]</TD><TD vAlign=bottom align=left width=1 height=1>[​IMG]</TD></TR><TR><TD vAlign=center align=middle width=1 background=/images/linedot_vert.gif>[​IMG]</TD><TD><TABLE cellSpacing=5 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD vAlign=center align=middle width=1 background=/images/linedot_vert.gif>[​IMG]</TD></TR><TR><TD vAlign=top align=right width=1 height=1>[​IMG]</TD><TD vAlign=top align=middle background=/images/linedot_hori.gif height=1>[​IMG]</TD><TD vAlign=top align=left width=1 height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=middle>โกแกง (บน) กับภาพ "มนุษย์มาจากไหน" (ล่าง)</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>

    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=bottom align=left height=12>[​IMG]</TD></TR><TR><TD bgColor=#cccccc><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle bgColor=#ffffff><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=200><TABLE cellSpacing=4 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=middle>คลิกที่ภาพเพื่อดูขนาดใหญ่ขึ้น</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR><TR><TD vAlign=baseline align=middle>ภาพสองสาวตาฮิเตียน โดยโกแกง</TD></TR></TBODY></TABLE>

    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR><TR><TD vAlign=baseline align=middle>มนุษย์อพยพออกจากแอฟริกา โดยใช้สองเส้นทาง</TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle width=165 height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD width=4 background=/images/linedot_vert3.gif>[​IMG]</TD><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=7 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>เพราะปี พ.ศ. 2546 เป็นปีครบศตวรรษแห่งการจากไปของ Paul Gauguin พิพิธภัณฑ์ Galeries Nationales du Grand Palais ที่กรุงปารีสจึงจัดงานแสดงภาพวาดของ Gauguin เป็นเวลานาน 14 สัปดาห์ และจุดสนใจของงานแสดงคือภาพวาดชื่อ D'o sommes-nous (มนุษย์มาจากไหน) ซึ่งเป็นผลงานที่ Gauguin ภูมิใจที่สุด และปัจจุบันภาพนี้เป็นสมบัติของพิพิธภัณฑ์แห่งเมือง Boston ในสหรัฐอเมริกา


    พอล โกแกง เกิดที่กรุงปารีส เมื่อวันที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2391 บิดามารดามีอาชีพเป็นนักหนังสือพิมพ์ที่มีฐานะปานกลาง เมื่อพระเจ้าหลุยส์นโปเลียน (ผู้เป็นพระราชนัดดาของจักรพรรดินโปเลียน) ขึ้นครองราชย์ บิดาของโกแกงได้อพยพครอบครัวหนีภัยการเมืองเพื่อไปประเทศเปรู แต่ขณะเดินทางบิดาได้เสียชีวิต เด็กชายโกแกงจึงใช้ชีวิตอยู่ที่กรุง Lima นานประมาณ 4 ปี แล้วอพยพกลับฝรั่งเศสอีก เพื่อเข้าศึกษาต่อที่เมือง Orllans กับ Paris เมื่ออายุได้ 17 ปี โกแกงได้สมัครเป็นทหารเรือ และใช้ชีวิตร่อนเร่ในทะเลนาน 6 ปี จึงได้กลับฝั่ง และมีอาชีพค้าหุ้น และเขาได้พบว่า เขาเริ่มสนใจศิลปะภาพวาด โดยเฉพาะภาพประเภท Impressionism ของ Pizzaro มาก และเมื่อเห็นว่าผู้คนสนใจซื้อภาพที่เขาวาด เขาจึงเลิกงานหุ้นมาดำรงชีวิตเป็นจิตรกรสมัครเล่นแทน

    ในปี พ.ศ. 2426 ฝรั่งเศสประสบปัญหาเศรษฐกิจตกต่ำ Gauguin จึงตัดสินใจใช้ชีวิตเป็นจิตรกรเต็มตัว โดยได้ไปฝึกวาดเพิ่มเติมที่ห้องภาพของ Pizzaro แต่เมื่อเขานำภาพไปขายที่ Copenhagen ในเดนมาร์ก เขาขายภาพไม่ได้เลย จึงตัดสินใจเดินทางกลับฝรั่งเศส และในช่วงเวลานี้สไตล์การวาดภาพของ Paul Cezanne และ Edgar Degas ได้เข้ามามีอิทธิพลต่อ Gauguin มากขึ้นๆ และเวลาอากาศในกรุงปารีสหนาว Gauguin มักคิดถึงอากาศที่อบอุ่นใน Lima ที่เขาเคยใช้ชีวิตในวัยเด็ก ด้วยเหตุนี้เขาจึงระบายภาพโดยใช้สีสด และวาดภาพต่างๆ โดยให้มีขอบภาพ แต่ไม่มีเงาใดๆ ซึ่งสไตล์การวาดภาพเช่นนี้เรียก Synthetism หรือ Piclorial Symbolism

    ในวัยหนุ่ม Gauguin เคยเป็นเพื่อนกับ Vincent van Gogh แต่จิตรกรทั้งสองคนมีสไตล์การวาดภาพที่แตกต่างกัน ดังนั้น จึงมีปากเสียงเกี่ยวกับวิธีวาดภาพบ่อย จนในที่สุด Gauguin ได้ทิ้ง van Gogh ไป ทำให้ van Gogh ตกอยู่ในสภาพเศร้าซึม จนต้องฆ่าตัวตายในที่สุด

    เมื่อโกแกงมีอายุได้ 41 ปี ผลงานของเขาเริ่มเป็นที่ยอมรับ โดยได้นำผลงานออกแสดงที่ Paris World Exhibition และเขาเริ่มสนใจชีวิตกับศิลปะของชาวตะวันออก จึงได้เดินทางไป Tahiti และได้สมรสกับสตรีชาวเกาะชื่อ Tehura เพราะชีวิตและวัฒนธรรมของชาว Tahiti ประทับใจเขามาก ดังนั้น ภาพที่วาดในช่วงเวลานี้ จึงมีสีสดใสและเกี่ยวกับชีวิตบนเกาะเป็นส่วนใหญ่ แต่เขาได้ล้มป่วยหนักจึงต้องเดินทางกลับฝรั่งเศสเพื่อเข้ารับการรักษาตัว การได้รับมรดกจากลุงทำให้โกแกงมีฐานะดีขึ้น แต่เมื่อห้องภาพถูกอันธพาลบุกทำลาย เขาจึงได้หวนกลับ Tahiti อีก และได้เข้าพิธีสมรสกับสาวชาวเกาะคนใหม่

    ในปี พ.ศ. 2440 Gauguin วาดภาพ "มนุษย์มาจากไหน" เสร็จ โดยได้รวบรวมความรู้สึกนึกคิด อารมณ์และสภาพแวดล้อมอย่างลงตัว ภาพมีคนชาติต่างๆ เช่น คนเปอร์เซีย อียิปต์ กรีก และเอเชีย ที่มีรูปแบบง่ายเสมือนเป็นภาพวาดฝีมือเด็ก ทั้งนี้เพราะ Gauguin คิดว่าศิลปะเป็นนามธรรมที่ไม่มีความจำเป็นต้องเหมือนธรรมชาติจริงๆ

    หลังจากวาดภาพมนุษย์มาจากไหนเสร็จอีกหนึ่งปีต่อมา Gauguin ได้พยายามฆ่าตัวตาย แต่ไม่สำเร็จ เขาจึงอพยพไปอาศัยบนเกาะ Marquesas และได้ยุยงชาวเกาะให้ต่อต้านการเข้ายึดครองของคนยุโรป ทำให้เขาถูกเจ้าหน้าที่เกาะเพ่งเล็งมาก

    ชีวิตในบั้นปลายของโกแกงลำบากมาก เพราะตาบอด และป่วยด้วยโรคซิฟิลิสจึงได้เสียชีวิต เมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2446 ขณะมีอายุ 54 ปี และศพของเขาได้ถูกนำไปฝังที่หมู่บ้าน Hiva Oa บนเกาะ Tahiti เพราะนั่นเป็นสถานที่ที่เขารักมากที่สุด

    ณ วันนี้ โลกยอมรับแล้วว่า Gauguin เป็นจิตรกรผู้ยิ่งใหญ่คนหนึ่งที่ได้ทิ้งแสงสีและความศิวิไลซ์ไปวาดภาพชาวเกาะ ต้นมะพร้าวและคลื่นในทะเลใต้ เขาจึงเป็นคนที่ปฏิเสธ "อารยธรรม" ตามแนวคิดของคนทั่วไป

    ในหนังสือ The Way to Paradise ที่ Mario Vargas Llosa นักประพันธ์ชาวเปรูได้เรียบเรียงนั้น Llosa ได้ชี้ให้เห็นว่า Gauguin เป็นคนที่มีคุณธรรมแต่ไม่ยึดติดศาสนาหนึ่งศาสนาใด และชอบใช้ศิลปะเป็นทางออกในการปลดทุกข์ และเหตุผลนี้เองที่ทำให้เขาหนีปารีสไปสู่เกาะ Tahiti แต่ชีวิตของโกแกงบนเกาะ ก็ใช่ว่าจะเป็นสุข 100% ทั้งนี้เพราะชาวเกาะได้รับวัฒนธรรมของฝรั่งเศสไปมาก Gauguin จึงหนีเกาะ Tahiti ไปอยู่ที่เกาะ Marquesas และเสียชีวิตที่นั่น โดยได้ทิ้งภาพวาดไว้มากมายให้เราทุกวันนี้ได้เห็น " สวรรค์" ที่ Gauguin ในขณะที่มีชีวิตอยู่ไม่เคยเห็น

    ไม่เพียงแต่ Gauguin เท่านั้นที่สนใจถามว่า "คนเรามาจากไหน?" เพราะนักวิทยาศาสตร์ก็สนใจใคร่รู้เช่นกัน

    ซึ่งความรู้ปัจจุบันนั้นก็แน่ชัดแล้วว่า มนุษย์ถือกำเนิดเป็นครั้งแรกในแอฟริกา แต่นักมานุษยวิทยาก็ใคร่รู้เพิ่มเติมว่า จากแอฟริกามนุษย์ได้ใช้เส้นทางใดในการแพร่พันธุ์ทั่วโลก และคนในแต่ละชาติมีความเกี่ยวข้องทางพันธุกรรมกันอย่างไร

    Vincent Macaulay แห่งมหาวิทยาลัย Glasgow ในอังกฤษเชื่อว่า จาก Eritrea ในแอฟริกา มนุษย์ได้อพยพผ่านทะเลแดง อินเดีย มาเลเซียสู่ออสเตรเลีย เพราะทีมวิจัยของ Macaulay ได้วิเคราะห์ mitochondrial DNA (mt DNA) ของมนุษย์พื้นเมืองในท้องถิ่นต่างๆ เช่น ใน Eurasia และ Australia จนพบว่า หากถือว่าปริมาณการกลายพันธุ์ของ DNA ขึ้นกับเวลา มนุษย์คนแรกได้เดินทางถึงมาเลเซียเมื่อ 65,000 ปีก่อนนี้ และการที่มนุษย์จากแอฟริกาเดินทางลงใต้โดยไม่ผ่านแหลม Sinai หรือข้าม Arabia นั้น ก็เพราะดินแดนแถบนั้นเป็นทะเลทราย และมนุษย์กลุ่มนี้ได้เดินทางถึงออสเตรเลียในอีก 2,000 ปีต่อมา ทั้งนี้เพราะได้มีการขุดพบกระดูกของมนุษย์อายุ 46,000-50,000 ปีที่ทะเลสาบ Mungo ในออสเตรเลีย

    ส่วนมนุษย์ที่อพยพสู่ยุโรปนั้น ก็มีเช่นกัน เพราะได้มีการขุดพบกระดูกคนอายุ 31,000 ปี ที่ถ้ำ Mladec ในสาธารณรัฐเช็ก ดังรายงานที่ปรากฏในวารสาร Nature ฉบับที่ 435 หน้า 332 เมื่อเดือนพฤษภาคม ที่ผ่านมานี้

    และเมื่อวันที่ 1 พฤษภาคมปีนี้ องค์การ National Geographic Society กับบริษัท IBM ของสหรัฐฯ ได้อนุมัติโครงการ Genographic Project มูลค่า 1,600 ล้านบาท เพื่อแสวงหาคำตอบว่ามนุษย์กระจายเผ่าพันธุ์อย่างไร และเกี่ยวพันกันเช่นไร

    โครงการนี้คาดหวังจะค้นหาตัวอย่าง DNA จากชนเผ่าต่างๆ ทั่วโลก เพื่อจะประกอบกันเข้าให้รู้ลำดับความเป็นมาของชนเผ่าต่างๆ ทั่วโลกด้วย

    สุทัศน์ ยกส้าน ภาคีสมาชิก ราชบัณฑิตยสถาน

    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 สิงหาคม 2005
  2. ๙๙๙๙๙๙๙๙๙

    ๙๙๙๙๙๙๙๙๙ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    1,752
    ค่าพลัง:
    +2,808
    เท่าที่เคยฟังมานะครับ มนุษเกิดมาจาก พรม เพราะว่าในช้วงล่างโลก ไฟได้เผาโลกของเราจนไม่เหลืออะไรและพอไฟได้มอดลง กลิ่นดินที่ถูกเผาไม้ มีกลิ่นหอม ลอยไปถึงชั้นของพรม และพรมได้ลงมา ว่ากลิ่นอะไรที่หอมและได้ ชิม ดิน และพอจะกลับขึ้นไปก็ไม่สามารถ กลับไปได้เพราะได้กิน ธาติ หนักเข้าไป ย่อๆละกัน นะ ที่จริงมันยาว มากๆๆ อันนี้ในส่วน หนึ่ง ยุค หนึ่ง
     
  3. ชัย

    ชัย Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    93
    ค่าพลัง:
    +32
    ก็ว่างั้น....เเหละ
     
  4. Golf_Kung

    Golf_Kung เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2005
    โพสต์:
    104
    ค่าพลัง:
    +146
    ฅนค้นคน
     
  5. now

    now สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6
    ค่าพลัง:
    +4
    มนุษย์น่าจะเป็นการรับรู้ของจักรวารนะ ก็คงเหมื่อนก้อนหิน ต้นไม้ ดวงดาว ที่มีอยู่แต่มนุษย์มีการรับรู้ที่สูงกว่า ก็คงเกิดมาจากจักรวาลนี้เอง
     
  6. อักขรสั จร

    อักขรสั จร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    220
    ค่าพลัง:
    +343
    มนุษย์มาจากท้องแม่
     
  7. Khundeaw

    Khundeaw เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    339
    ค่าพลัง:
    +706
    อจิณไตยคืออะไร
     
  8. NARKA

    NARKA เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    1,572
    ค่าพลัง:
    +4,560
    ในทางวิทยาศาสตร์ โลกมีอายุ14000ล้านปี สิ่งมีชีวิตแรกเริ่มมาถึงปัจจุบัน มีอายุ4000ล้านปี
    สิ่งมีชีวิตแรกเริ่ม เริ่มจากทะเล พัฒนาขึ้นบก จนถึงยุคไดโนเสา โดนอุกาบาต ทำลายลง เหลือพวกสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม พัฒนามาเป็นสัตว์หลายๆอย่าง เช่น ลิง จากนั้น ก็พัฒนามาเป็นมนุษย์
    ในทางพุทธ เกิดจาก การมีรูป และมี เวทนา สัญญา สังขาร วิญญา เข้าเกาะ เกิด ภพ เกิดชาติ หมุนเวียนกันไปตามพัฒนาการ(กรรม)
     
  9. arinrum

    arinrum เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มกราคม 2009
    โพสต์:
    137
    ค่าพลัง:
    +179

    มนุษย์ไม่ได้พัฒนามาจากลิงครับ เขาแค่สันนิษฐานว่ามาจากลิง เพราะมันเป็นสัตว์ใกล้เคียงมนุษย์ยังไม่มีใครยืนยันจิงๆว่าวิวัฒมาจากลิง ดูสารคดียัง
     
  10. maxgatod

    maxgatod เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    120
    ค่าพลัง:
    +228
    มนุษย์มาจากไหน.... คุณก็ไม่รู้ ผมก็ไม่รู้ เพราะมันนานเกินไป เป็นอดีตที่นานมากๆ

    แค่ตอนเป็นเด็กทารก ผมนอนท่าไหนบ้าง ผมยังลืมหมดและ จำไม่ได้

    แต่อนาคตผมอยู่อีก ไม่ถึงร้อยปี ก็ตายแน่ๆ ตายแน่ๆ ผมท่องไว้เสมอ

    ก็พยายาม กระมำความดีไห้มากที่สุด เท่าที่จะทำได้ ความเป็นจริง ก็

    เป็นแบบนี้............................................................
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 พฤศจิกายน 2009
  11. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,681
    ค่าพลัง:
    +51,931
    สังข์ทอง...สองแสนล้านปี

    - " หนุมาน ผู้นำสาร "
     
  12. lamb of god

    lamb of god เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กันยายน 2009
    โพสต์:
    543
    ค่าพลัง:
    +436
    วิวัฒนาการแบบก้าวกระโดด...ช่วงเวลาทีหายไปของรหัสพันธุกรรมระหว่าง
    มนุษย์ยุคหินกับมนุษย์ปัจจุบัน ยังเป็นปริศนาอยู่ ชะเอิงเอย
     
  13. โอซารัน

    โอซารัน Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2008
    โพสต์:
    873
    ค่าพลัง:
    +91
    อย่าไปเชื่อ ชาร์ล ดาวิ่น
     
  14. ไฟสว่าง

    ไฟสว่าง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    81
    ค่าพลัง:
    +283
    มนุษย์มาจาก ..การทดลองและโคลนนิ่ง...จากมนุษย์ต่างดาว...เมื่อหลายแสนปีมาแล้ว ก็คง...ไม่พ้นดาวนิบุรุ ที่เชื่อว่า ..มนุษย์ที่อยู่บนดาวดวงนั้น เป็นบรรพบุรุษ..ของมนุษย์บนโลกนี้...ปี2012 ถ้าทุกอย่างเป็นจริงที่ตำนานเล่ามา เราคง จะได้เห็น ในไม่กี่ปีนี้ ข้อมูลก็ได้ จาก เว็ป นี้แหละ.....ครับท่าน
     
  15. ผู้พันจุ่น

    ผู้พันจุ่น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    1,396
    ค่าพลัง:
    +2,983
    ใครตอบได้ ให้รางวัล...................
     
  16. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ต้นกำเนิดของมนุษย์ มาจากไหน ?
    ผู้เขียน: ปลายจีวร


    อ่าน "อัคคัญญสูตร" เลยอยากนำบทความนี้มาฝากท่านผู้รู้ เนื้อหาก็ว่าตามพระไตรปิฎก แต่มีการปรับภาษาให้เข้าใจง่ายมากขึ้น ลองอ่านดูนะครับ.........เป็นความรู้ก็แล้วกัน ว่ามีพระสูตรท่านว่าเรื่องนี้ไว้อย่างนี้ ......................

    ในพระสูตรบทนี้มีข้อความว่า พระพุทธเจ้าได้สนทนากับสองพราหมณ์ที่เป็นสามเณร ชื่อวาเสฏฐะกับภารทวาชะเพื่อเตรียมตัวจะบวชเป็นภิกษุเกี่ยวกับวรรณะพราหมณ์ที่สามเณรทั้งสองถือกำเนิดมา และถูกพวกพราหมณ์ด้วยกันกล่าวประณามเพราะถือว่ามีวรรณะสูงกว่าวรรณะอื่นด้วยเกิดจากอวัยวะเบื้องบนของพระพรหม ส่วนวรรณะอื่นเกิดจากส่วนเบื้องต่ำของพระพรหม พระพุทธองค์ทรงสอนสามเณรทั้งสองว่า คำกล่าวอ้างของพวกพราหมณ์ดังกล่าวนั้น ไม่เป็นความจริงแต่อย่างไร คนทุกวรรณะเกิดมาโดยอาศัยพ่อแม่ของตน พวกพราหมณ์ก็อาศัยพ่อแม่ในวรรณะของตนเป็นผู้ให้กำเนิด โดยผ่านกระบวนการตั้งครรภ์แล้วจึงคลอดลูกตามลำดับ และเมื่อคลอดลูกแล้วก็ต้องเลี้ยงลูกด้วยน้ำนม จึงเป็นเรื่องเท็จที่อ้างว่า พวกพราหมณ์เกิดจากพระพรหมและตรัสสรุปว่า ท่านทั้งหลายมาบวช จากโคตร จากสกุลต่างๆ เมื่อมีผู้ถามว่าเป็นใครก็จงกล่าวตอบว่า เป็นสมณะศากยบุตร ผู้ใดมีศรัทธาตั้งมั่นในตถาคต ผู้นั้นย่อมควรที่จะกล่าวว่า เราเป็นบุตรเกิดจากอุระเกิดจากพระโอฐของพระผู้มีพระภาค เป็นผู้เกิดจากธรรม เป็นผู้ที่ธรรมเนรมิตขึ้น เป็นผู้รับมรดกพระธรรม เพราะคำว่าธรรมกาย พรหมกาย ธรรมภูต พรหมภูต เป็นชื่อของพระพุทธองค์ ธรรมเท่านั้นเป็นของประเสริฐที่สุดในหมู่ชน ทั้งในปัจจุบันและอนาคต

    พระพุทธองค์ได้ตรัสเรื่องการอุบัติขึ้นมาของสรรพสิ่งในโลก และวิวัฒนาการของสัตว์มนุษย์และสังคม ว่า ในอดีตกาลนานมาแล้ว โลกนี้ได้พินาศ สัตว์ทั้งหลายไปเกิดในชั้นอาภัสสรพรหมกันโดยมาก และเมื่อโลกอุบัติขึ้นมาใหม่ สัตว์เหล่านั้นก็จุติมาสู่โลกนี้ เป็นผู้เกิดขึ้นจากใจ กินปีติเป็นอาหาร (ยังมีอำนาจฌานอยู่) มีแสงสว่างในตัว ไปได้ในอากาศ มีสภาพเหมือนเช่นในชั้นอาภัสสรพรหม ในขณะที่โลกวิวัฒนาการขึ้นมาใหม่ๆนั้น จักรวาลทั้งจักรวาล มีแต่น้ำ มีแต่ความมืด ไม่มีดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ ไม่มีดาวนักษัตรทุกชนิด ไม่มีกลางวันและกลางคืน ไม่ปรากฏเวลาเป็นเดือน เป็นปี มนุษย์ที่จุติจากอาภัสสรพรหม อาศัยอยู่ในโลกตอนนั้น ไม่ปรากฏเพศชาย และเพศหญิง แต่ก็รู้ตัวว่าเป็นสัตว์มนุษย์

    เมื่อเวลาผ่านพ้นนานไป จึงเกิดมีง้วนดินลอยอยู่บนน้ำ ง้วนดินนั้นมีลักษณะเหมือนนมสดที่เคี่ยวให้งวด มีกลิ่น รส สี คล้ายเนยใสมีรสดุจน้ำผึ้ง สัตว์พวกนี้จึงลองชิมดูก็ชอบใจ เลยหมดแสงสว่างในตัว เมื่อแสงสว่างหายไป ก็มีพระจันทร์พระอาทิตย์ มีดาวนักษัตร มีคืนวัน มีเดือน มีกึ่งเดือน มีฤดูและปี เมื่อกินง้วนดินเป็นอาหาร กายก็หยาบกระด้าง ความทรามของผิวพรรณก็ปรากฏ พวกมีผิวพรรณดี ก็ดูหมิ่นพวกมีผิวพรรณทราม เพราะดูหมิ่นผู้อื่นผู้อื่นเรื่องผิวพรรณ เพราะความถือตัวและดูหมิ่นผู้อื่น ง้วนดินก็หายไป ต่างก็พากันบ่นเสียดาย

    แล้วก็เกิดกระบิดินที่คล้ายเห็ดสมบูรณ์ด้วยสี กลิ่น และรสขึ้นแทนใช้เป็นอาหารได้ แต่เมื่อกินเข้าไปแล้วร่างกายก็หยาบกระด้างยิ่งขึ้น ความทรามของผิวพรรณก็ปรากฏชัดขึ้น เกิดการดูหมิ่นถือตัว เพราะเหตุผิวพรรณนั้นมากขึ้น กระบิดินก็หายไป จึงเกิดเครือดินคล้ายผลมะพร้าวสมบูรณ์ด้วย สี กลิ่น รสขึ้นแทน ใช้กินเป็นอาหารได้ ความหยาบกระด้างของกาย และความทรามของผิวพรรณก็ปรากฏมากขึ้น เกิดการดูหมิ่นถือตัว เพราะเหตุผิวพรรณนั้นมากขึ้น

    เครือดินก็หายไป เกิดข้าวสาลีไม่มีเปลือก มีกลิ่นหอมมีเมล็ดเป็นข้าวสุกขึ้นแทน ใช้เป็นอาหารได้ ข้าวนี้เก็บเย็นเช้าก็สุกแทนที่ขึ้นมาอีก เก็บเช้าเย็นก็สุกแทนที่ขึ้นมาอีก ไม่มีพร่อง ความหยาบกระด้างของกาย ความทรามของผิวพรรณก็ปรากฏมากขึ้น จึงปรากฏเพศหญิงและเพศชาย เมื่อต่างเพศเพ่งกันและกันก็เกิดความกำหนัดเร่าร้อน เกิดเพศสัมพันธ์กันขึ้น การร่วมเพศเป็นสิ่งที่น่ารังเกียจ จึงพากันเอาสิ่งของขว้างปา เพราะในสมัยนั้นถือว่าเป็นอธรรม เมื่ออยากเสพต้องไปกระทำนอกชุมชน เช่นกับที่สมัยนี้ถือว่าเป็นสิ่งถูกต้อง

    ต่อมาจึงรู้จักสร้างบ้านเรือน ปกปิดซ่อนเร้น ต่อมามีผู้เกียจคร้านที่จะนำข้าวสาลีมาตอนเช้าเพื่ออาหารเช้า นำมาตอนเย็นเพื่ออาหารเย็น จึงนำมาครั้งเดียวให้พอทั้งเช้าทั้งเย็น ต่อมาก็นำมาครั้งเดียวให้พอสำหรับ ๒ วัน ๔ วัน ๘ วัน มีการสะสมอาหาร จึงเกิดมีเปลือกห่อหุ้มข้าวสาลี ที่เกี่ยวแล้วก็ไม่งอกขึ้นแทน มีการขาดแคลนเป็นตอนๆ ตั้งแต่นั้นมา ข้าวสาลีจึงมีเฉพาะเป็นบางแห่ง

    สัตว์มนุษย์เหล่านั้นจึงประชุมกันปรารภความเสื่อมลงโดยลำดับ แล้วมีการแบ่งข้าวสาลีและปักปันเขตแดนกัน ต่อมาบางคนรักษาส่วนตน ขโมยของคนอื่นมาบริโภค เมื่อถูกจับได้ ก็เพียงแต่สั่งสอนกันไม่ให้ทำอีก เขาก็รับคำ ต่อมาขโมยอีก ถูกจับได้ถึงครั้งที่ ๓ ก็สั่งสอนเช่นเดิมอีก แต่บางคนก็ลงโทษ ตบด้วยมือ ขว้างด้วยก้อนดิน ตีด้วยไม้

    ต่อมาสัตว์ระดับผู้ใหญ่จึงประชุมกันปรารภว่า การลักทรัพย์ การติเตียน การพูดปด การจับท่อนไม้เกิดขึ้น ควรจะแต่งตั้งสัตว์ผู้หนึ่งขึ้นให้ทำหน้าที่ติผู้ที่ควรติ ขับไล่ผู้ที่ควรขับไล่ โดยพวกที่เหลือจะแบ่งส่วนข้าวสาลีให้ จึงเลือกคนที่งดงาม น่าเลื่อมใส น่าเกรงขาม แต่งตั้งเป็นหัวหน้า เพื่อปกครองคนติและขับไล่คนที่ทำผิด คำว่า มหาชนสมมติ (ผู้ที่มหาชนแต่งตั้ง) กษัตริย์ (ผู้ใหญ่ยิ่งแห่งเขต) ราชา (ยังชนอื่นให้สุขใจโดยธรรม) กษัตริย์จึงเกิดขึ้น ซึ่งมาจากสัตว์พวกเดียวกัน เกิดขึ้นโดยธรรม มิใช่โดยอธรรม ธรรมะจึงเป็นสิ่งประเสริฐสุดในหมู่ชน ทั้งในปัจจุบันและอนาคต


    ต่อมามีสัตว์บางกลุ่มออกบวชมุ่งลอยธรรมที่ชั่ว ที่เป็นอกุศล จึงมีนามว่า พราหมณ์ (ผู้ลอยบาป) สร้างกุฎีหญ้าขึ้น เพ่งในกุฎีนั้น จึงมีนามว่า ฌายกะ (ผู้เพ่ง) สัตว์บางคนไปอยู่รอบหมู่บ้านรอบนิคม แต่งคัมภีร์ จึงถูกเรียกว่า อัชฌายกะ (ผู้ไม่เพ่ง) การทรงจำ การสอน การบอกมนต์ เกิดจากการไม่เพ่ง เดิมมีความหมายเลว แต่บัดนี้มีความหมายทางดี

    ยังมีสัตว์บางกลุ่ม ถือการเสพเมถุนธรรม ประกอบการงานเป็นแผนกๆ จึงมีชื่อว่า เวสสะ (ประกอบการค้า) และยังมีสัตว์บางกลุ่ม ประกอบการล่าสัตว์ อาศัยการล่าสัตว์เลี้ยงชีพ จึงมีชื่อว่าศูทร

    ครั้นแล้วตรัสสรุปว่า ทั้งพราหมณ์ แพศย์ ศูทร ก็เกิดจากสัตว์พวกนั้น มิใช่เกิดจากสัตว์พวกอื่น เกิดจากสัตว์ที่เสมอกัน เกิดขึ้นโดยธรรม มิใช่อธรรม แล้วตรัสต่อไปว่า มีสมัยซึ่งบุคคลในพวกทั้ง ๔ มีกษัตริย์เป็นต้น ไม่พอใจธรรมะของตนออกบวช ไม่ครองเรือน จึงเกิด สมณมณฑล ซึ่งมาจากพวกสัตว์ทั้ง ๔ กลุ่มนั่นเอง จะแตกต่างกันเพราะธรรม

    ครั้นแล้วสรุปว่า ทั้งกษัตริย์ พราหมณ์ แพศย์ ศูทร และสมณะ ถ้าประพฤติทุจริตทางกาย วาจา ใจ มีความเห็นผิด ประกอบกรรมซึ่งเกิดจากความเห็นผิด เมื่อตายไปก็จะเข้าถึง อบาย ทุคติ วินิบาต นรก เหมือนกัน ถ้าตรงกันข้าม คือ ประพฤติสุจริต ทางกาย วาจา ใจ มีความเห็นชอบ ประกอบกรรมซึ่งเกดจากความเห็นชอบ เมื่อตายไป ก็จะเข้าถึง สุคติโลกสวรรค์ เหมือนกัน หรือถ้าทำทั้งสองอย่าง ก็จะได้รับทั้งสุขทั้งทุกข์เหมือนกัน ถ้าทั้ง ๔ พวกนี้สำรวม กาย วาจา ใจ อาศัยการเจริญโพธิปักขิยธรรมทั้ง ๗ ก็จะปรินิพพานได้ในปัจจุบันเหมือนกัน และวรรณะทั้ง ๔ เหล่านี้ ผู้ใดเป็นภิกษุ สิ้นอาสวะแล้ว มีพรหมจรรย์อยู่จบแล้ว หมดกิจ ปลงภาระ หลุดพ้นเพราะรู้โดยชอบ ผู้นั้นก็นับว่าเป็นยอดแห่งวรรณะเหล่านั้นโดยธรรมมิใช่โดยอธรรม เพราะธรรมเป็นสิ่งประเสริฐสุดในหมู่ชนทั้งในปัจจุบันและอนาคต

    ในที่สุดตรัสย้ำถึงภาษิตของ สนังกุมารพรหมและของพระองค์ ที่ตรงกันว่า กษัตริย์เป็นผู้ประเสริฐสุดในหมู่ชนผู้ถือโคตร แต่ผู้ใดมีวิชาและจรณะ (ความรู้และความประพฤติ) ผู้นั้นเป็นผู้ประเสริฐสุดในเทวดาและมนุษย์ ฯ

    ต้นกำเนิดของมนุษย์ มาจากไหน?
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 พฤศจิกายน 2009
  17. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ถาม-ตอบ หลวงพ่อฤาษีลิงดำ
    มนุษย์จริงๆ แล้วมาจากไหน และอะไรเป็นเหตุให้เกิดภัยพิบัติ?



    หลวงพ่อ "ที่ว่าจะมีไฟบรรลัยกัลป์มา เพราะว่าคนมีจิตบาปมาก ศีล ๕ ทำไม่ค่อยจะครบ เช่นปาณาติบาตเป็นต้น อายุมันจะน้อยลงทุกที จนกระทั่งอายุถึง ๑๐ ปี เป็นอายุขัย ตอนนี้เกิด "มิคสัญญี" ไม่มีการเคารพสิทธิซึ่งกันและกัน จะรบราฆ่าฟันกันมากพระอาทิตย์ท่านรำคาญเต็มที่ โผล่มาทีละ ๒ ดวง ๓ ดวง ๔ ดวง ตายหมด ทีนี้ถึง ๗ ดวง น้ำในมหาสมุทรก็แห้ง ต้นไม้แห้งกรอบจัด ผลที่สุดเป็นไฟลุก ไฟไม่ได้ไหม้มาจากไหน อาศัยน้ำแห้ง ต้นไม้แห้งกรอบเต็มที่ ความร้อนหนัก ก็เกิดไฟลุกขึ้นก็ล้างกันเสียทีหนึ่ง เมื่ออารมณ์สงสัยเกิดขึ้น ฉันก็อดที่จะอยากรู้ตามความเป็นจริงไม่ได้ ในที่สุดคืนวันหนึ่ง ฉันนั่งคุมกรรมฐานอยู่ความสงสัยเรื่องรู้เลยธงเกิดขึ้นมาขวางจิต จึงถามท่านผู้รู้ที่เป็นสัพพัญญวิสัย ท่านทรงพยากรณ์ให้ทราบดังนี้



    หลังจากกึ่งพุทธกาลไปแล้ว ๔,๐๐๐ ปี จะมีไฟล้างโลกล้างแต่โลกมนุษย์เท่านั้น ไม่ลุกลามไปถึงเทวดา ท่านบอกว่ามันเริ่มความเร่าร้อนตั้งแต่ก่อนกึ่งพุทธกาล ๑๕ ปี แล้วจากนั้นไปพวกอธรรมเกิดมาก มีอำนาจวาสนามาก ทำให้ความสงบสุขไม่มี เพราะพวกอธรรม เป็นพวกเห็นแก่ตัวมากกว่าเห็นแก่ส่วนรวม



    โลกจะร้างไม่มีต้นหญ้ากอไม้ แม้แต่น้ำในมหาสมุทรก็ไม่มีไปครบ ๑,๐๐๐ ปี หลังจากนั้นแล้วจะมีฝนใหญ่ตกลงในมนุษยโลกแม่น้ำและมหาสมุทรจะเต็มไปด้วยน้ำ พื้นโลกจะชุ่มชื่น ต้นหญ้าต้นไม้ จะเริ่มงอกงามขึ้นเป็นลำดับ จนโลกทั้งโลกกลายเป็นป่าไม้


    หลังจากโลกที่เขียวชอุ่มไปด้วยต้นหญ้าใบไม้นั้นทิ้งระยะนาน ๑ หมื่นปี สัตว์โลกเริ่มเกิดสัตว์และคนที่มาเกิดยุคต้นนั้นไม่ได้อาศัยบิดามารดาเป็นแดนเกิด มาเกิดแบบโอปปาติกะ คือ มาเกิดด้วยอำนาจกรรม คือเป็นตัวตนขึ้น จะยังไม่มีพระอาทิตย์พระจันทร์ส่องแสง มีแสงสว่างเกิดจากอำนาจบุญของแต่ละบุคคล คือมีแสงสว่างออกจากตัวเองเป็นสำคัญ


    เรื่องอาหารนั้น ในระยะแรกยังไม่ต้องการอาหาร มีความอิ่มด้วยธรรมปีติ เพราะแต่ละคนที่มาเกิด ล้วนแล้วแต่มาจากเทวดาหรือพรหมทั้งนั้น ไม่มีสัตว์นรกหรือเปรตเจือปน โลกจึงเต็มไปด้วยความสุข หาความทุกข์ไม่ได้ นอกจากกฎธรรมดา คือความเสื่อมของสังขาร


    เรื่องการทะเลาะยื้อแย่งไม่มี คนทุกคนเป็นคนสวยหมด มีผิวขาวเหลือง เนื้อละเอียดทั้งหญิงและชาย มีแต่คนรวย ไม่มีใคนจน มีแต่คนใจบุญ ไม่มีใครใจบาป เมื่อโลกมีมนุษย์และสัตว์บริบูรณ์ มีดวงจันทร์ มีดวงอาทิตย์ ระยะเวลานับแต่มีสัตว์โลก เกิดในโลก เวลาล่วงมาได้ล้านปี


    คนสมัยนั้นมีอายุครองตนเองได้ ๔ หมื่นปี เป็นอายุขัย ท่านว่าตอนนั้น พระศรีอาริย์จะมาตรัสเป็นพระพุทธเจ้า เขตที่ท่านลงมาตรัส สมัยปัจจุบันเรียกว่า เขตเมืองพม่า พูดถึงไฟบรรลัยกัลป์แล้วน่ากลัวจริงๆ นะ แต่ถ้าคนชั่วมีมาก ก็ควรล้างกันเสียที"







    บทสรุป



    เรื่องนี้ชี้ให้เห็นว่าสรรพสิ่งเกิดขึ้นจากจิตใจของคน ถ้ามีคนดีมีศีลธรรมมาก โลกก็ร่มเย็น ถ้ามีคนผิดศีลผิดธรรมมาก โลกก็จะเร่าร้อน เหมือนปัจจุบัน อากาศจะร้อนมาก และดูคนสมัยนี้ ผิดศีลผิดธรรมกันมาก เรื่องกามราคะ เรื่องสุราเมรัย คนบางคนไม่เคยมีศีลไม่เคยรักษาศีลเลย สร้างแต่กรรมชั่ว ป้านิภาเคยบอกตอนนี้พระอาทิตย์ขึ้น ๒ ดวง ถึงเราจะมองเห็นดวงเดียว แต่ความร้อนเหมือนพระอาทิตย์ ๒ ดวงจริงๆ ครับ

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 พฤศจิกายน 2009
  18. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    เสียงจากสุขาวดี

    หน้า: 14/55
    (10383 คำในบทความ)
    (10191 ครั้ง) [​IMG] [​IMG]




    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="93%" border=0><TBODY><TR><TD>มนุษย์มาจากไหน? ตายแล้วไปไหน?

    </TD></TR><TR><TD>เทพกวน : ค่ำคืนนี้ สมเด็จพระมารดา จะทรงเสด็จมาประทับทรงที่สำนักแห่งนี้ ขอให้เจ้าหน้าที่ทุกคนคอยรับเสด็จด้วยอาการสำรวม ห้ามส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าว
    เทพเล่งกัว: สมเด็จพระมารดาทรงเสด็จจวนถึงแล้วทุกคนจุดธูปคนละดอก คุกเข่าแล้วไหว้ไปทางหน้าสำนักโดยพร้อมเพรียงกัน เสร็จแล้วยืนรับเสด็จด้วยอาการสำรวม
    เทพงักฮุย: สมเด็จพระมารดาทรงเสด็จแล้ว เจ้าเขตต่างไปรับเสด็จที่หน้าสำนัก
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD align=middle>สมเด็จพระมารดา ประทับทรง</TD></TR></TBODY></TABLE>
    แม่มาเยี่ยม ผองบุตร สุดอาลัย จำใส่ใจบรมธรรมเลิศล้ำหนา
    หากพากเพียรบำเพ็ญ แก่นธรรมา บ่ต้องห่วง เรื่องบรรลุสุขาวดี
    วัฒธรรมอันดีแต่เดิม มาบัดนี้ ใกล้จะสูญพันธุ์ ยังดีที่มีสำนักธรรมได้เพียรพยายามที่จะฟื้นฟู แต่จิตใจผู้คนส่วนใหญ่ก็ยังไม่ดีขึ้น แล้วไฉนจะไม่ให้แม่สลดใจได้อย่างไร?
    แม้เหล่าเทพ พรหม จะได้เพียรลงมาโลกมนุษย์เพื่อโปรดสัตว์ ครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ลูกทั้งหลายก็ยังลืมสิ้นจิตเดิมแท้ ลืมการกลับสุขาวดีมาหาแม่ ขอให้ลูกทั้งหลาย จงทราบถึงความปวดร้าวใจของแม่ที่เฝ้ารอคอยการกลับมาของลูกๆอยู่ทุกวันคืน
    ขอให้ลูกทั้งหลาย จงรีบบำเพ็ญมนุษยธรรม(คุณธรรม 10 ) ก่อน จึงจะเข้าถึงธรรม การมาโลกมนุษย์ลิขิตเรื่อง “เสียงจากสุขาวดี” ของแม่ครั้งนี้ เพื่อให้ผู้บำเพ็ญธรรมสามารถก้าวไปอีกขั้น แห่งการรู้แจ้งอมตธรรมอันลึกล้ำอมตธรรม หรืออนุตตรธรรม จุติสู่โลกมนุษย์มานานแล้ว แต่ผู้ที่สามารถเข้าใจรู้ซึ้งอย่างถ่องแท้นั้นนับว่าน้อยมากถ้าหากบำเพ็ญธรรม โดยไม่มีคุณธรรมประกอบก็ไร้ผล จักต้องบำเพ็ญทั้งทางจิต (ทำฌานสมาธิ) และทางนอกจิต (ทำความดี ทำบุญให้ทาน) ร่วมกันถึงจะได้ผลสมบูรณ์ เมื่อนั้นก็ไม่ต้องห่วงว่าจะไม่บรรลุธรรม หรือไม่ได้กลับสุขาวดี
    แม่มาที่นี่ในครั้งนี้ รู้สึกปลาบปลื้มยินดีที่เห็นลูกๆ รอรับเสด็จด้วยความเคารพเลื่อมใส ความรักที่มีต่อบุตร เป็นสัญชาตญาณแห่งความเป็นแม่ ไฉนพวกลูกพอมาสู่โลกมนุษย์ จิตพุทธะจึงถูกครอบงำด้วยรูป เสียง กลิ่น รส ลาภยศ สรรเสริญเล่า ถ้าเข้าใจดวงจิตของแม่ ก็ขอให้ลูกทั้งหลายแต่นี้ไปจงรีบบำเพ็ญธรรมก็ยังไม่สายนัก เรื่องที่แม่จะแสดงในค่ำคืนนี้คือ..
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD align=middle>มนุษย์มาจากไหน? ตายแล้วไปไหน?</TD></TR></TBODY></TABLE>
    มนุษย์ในโลกยุคแรก แม่เป็นผู้นำมาปล่อยไว้เอง เพื่อให้มาสร้างสังคมมนุษย์ พวกเขาจะต้องมาเกิดๆ ตายๆ ไม่มีหยุด จนกว่าจะสามารถบรรลุมรรคผล คิดไม่ถึงว่าเมื่อมาจุติแล้ว กลับลืมจิตเดิมแท้เสียหมด จนไม่รู้หนทางกลับสวรรค์ไม่ยอมปฏิบัติธรรม ขัดเกลากายและใจรู้แต่จะเสพสุขจากวัตถุธาตุที่เห็นด้วยตา หารู้ไม่ว่าสิ่งเหล่านี้ล้วนแต่เป็นภาพลวงตา เอาแต่หลงไหลคลั่งไคล้อย่างไม่ลืมหูลืมตา ที่ได้สตินั้นนับว่ามีน้อยมาก ดังนั้น ผู้ที่บำเพ็ญธรรมจบบรรลุมรรคผลมีเป็นส่วนน้อยส่วนใหญ่ยังคงดำผุดดำโผล่อยู่ในวังวนแห่งทะเลทุกข์อันเวิ้งว้าง ไฉนจะไม่ให้แม่เศร้าสลดได้อย่างไร? ดังนั้น ผู้จะขัดเกลาจิต จำต้องละทิ้งเล่ห์เหลี่ยมกลโกงต่างๆ ขอแต่เพียงซื่อตรงเท่านั้น ไม่ว่าชายหญิง หรือเด็กหรือคนชราหากทำได้ดังกล่าว ย่อมสามารถบำเพ็ญธรรมได้ ถึงจะไม่เสียชาติเกิด
    มนุษย์เป็นหนึ่งในสามสิ่งประเสริฐ คือ ฟ้า ดิน มนุษย์ ดังนั้น ถ้ามนุษย์สามารถขัดเกลาจิตจนรู้แจ้งเห็นธรรมก็จักสามารถอยู่คู่ฟ้าดินได้ตลอดกาล แต่ถ้าหากจิตวิญญาณเดิมถูกบดบัง ละทิ้งความดี เหลือแต่ความชั่วร้ายย่อมห่างไกลอนุตตรธรรม
    ลูกๆ ทั้งหลาย ถ้าหากทราบว่า มนุษย์นั้นเกิดตามกรรมก็ควรที่จะรีบเร่งบำเพ็ญธรรม เพื่อขัดเกลาจิตให้คืนสู่สภาวะจิตเดิมแท้ (จิตบริสุทธิ์ดุจจิตทารก) มิเช่นนั้น คงไม่อาจหนีพ้นนรกอบายภูมิ วนเวียนอยู่ในหกภูมิกำหนดสี่ (สัตว์สี่เท้า สัตว์ปีก สัตว์น้ำ มด แมลง) ตลอดไป ไม่มีวันได้กลับสวรรค์ถิ่นเดิม ซึ่งเป็นเรื่องน่าสลดใจอย่างยิ่ง เมื่อมีโอกาสได้เกิดเป็นคน ควรทำคุณประโยชน์แก่สังคมส่วนรวมประเทศชาติ แสดงออกถึงจิตอันดีมีคุณธรรมอันเป็นจิตดั้งเดิมอายุขัยของคนยืนยาวไม่กี่สิบปี ถ้าปล่อยให้วันเวลาล่วงไปโดยไม่ได้สร้างกุศลไว้ในโลก ย่อมไม่เป็นการปฏิบัติธรรมอย่างแท้จริง ก็จักไม่สามารถกลับสวรรค์ การมีโอกาสเกิดเป็นคนก็จะสูญเปล่าอย่างน่าเสียดาย เมื่อที่มาของมนุษย์เป็นเช่นนี้ หลังจากตายแล้ววิญญาณไปไหนเล่า?
    มนุษย์ในโลก เมื่อเกิดมาไม่รู้จักสร้างสมบุญญาบารมีขัดเกลาอบรมบ่มจิต แต่กลับก่อกรรมทำชั่วมากหลาย จึงต้องชดใช้หนี้กรรม เมื่อใดสิ้นลมหายใจ บุตรหลานก็ไม่รู้จักสร้างบุญกุศลไถ่บาปผู้ตาย คิดแต่จะจัดงานศพใหญ่โตฆ่าสัตว์เล็กสัตว์ใหญ่ เซ่นไหว้ แท้จริงเป็นการเพิ่มบาปกรรมแก่ผู้ตายเพราะพวกสัตว์ก็มีชีวิตจิตใจเช่นกัน ชาติก่อนมันอาจเคยเกิดเป็นคนแต่ทำบาปมากจึงต้องเกิดเป็นสัตว์ ดังนั้น สัตบุรุษเห็นมันเกิด ย่อมไม่อาจทนดูมันตาย ได้ยินเสียงมันร้องย่อมไม่อาจทนกินเนื้อมัน ไฉนจึงต้องไปฆ่าสัตว์เป็น เพื่อเซ่นไหว้คนตาย
    ปกติคนหลังจากตายเจ็ดวัน จึงรู้ว่าตนตายแล้ว ก็เริ่มรู้สึกเสียใจต่อสิ่งที่ตนได้กระทำเมื่อครั้งมีชีวิตอยู่ตลอด 49 วันแรก วิญญาณของเขาจะต้องถูกกักอยู่ในนรก เพื่อรอการพิจารณาตัดสินคดี และเพื่อดูว่าในช่วงระหว่าง 49 วันนั้น บุตรหลานในเมืองมนุษย์ ได้สร้างกุศลหรือสร้างบาปกรรมเพิ่มให้แก่เขาหรือไม่ เมื่อรอจนครบ 49 วันแล้วทางยมบาลจึงจะดำเนินการพิจารณาไต่สวนโดยจะรวบรวมบาปและบุญที่เขาสร้างสมทั้งหมดมาหักลบกัน ถ้าฝ่ายบุญกุศลมีมากกว่า ก็จะให้ไปเกิดเป็นคนอีก ถ้าฝ่ายบาปอกุศลมีมากกว่า ก็จะส่งไปที่นรกแต่ละขุมจัดการชำระตามโทษาณุโทษของเขาต่อไป คนจำพวกที่ไม่ยอมบำเพ็ญธรรม(ปฏิบัติธรรม)สร้างกุศลเมื่อตายแล้วจะต้องผ่านกระบวนการตามที่กล่าวนี้
    ดังนั้นผู้ที่มีปัญญา เจริญพากเพียรบำเพ็ญธรรมหมั่นสร้างสมบุญกุศลเมื่อตายลง ก็จะแตกต่างจากวิญญาณทั่วไป เพราะเมื่อจิตวิญญาณของเขามีการขัดเกลา ก็จักสว่างผ่องใส แม้กายเนื้อเขาจะตายแต่กายทิพย์ (จิตวิญญาณ)เขายังคงอยู่ ดังนั้นจึงไม่ต้องตกสู่นรกอันมืดมิด
    เมื่อทางยมโลกได้รับการรายงานตัวจากผู้บำเพ็ญธรรม ก็จะรีบส่งให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายบัญชีบาปบุญตรวจสอบการประพฤติธรรมของเขา ถ้าหากมีกุศลผลบุญมาก ก็จักสามารถสู่สวรรค์ไม่ต้องถูกกักตัว 49 วัน นี่เป็นผลดีแห่งการบำเพ็ญธรรม ทว่าชาวโลกไม่เข้าใจหลักการข้อนี้ เห็นการบำเพ็ญธรรมสร้างบุญกุศลว่าเป็นการหลงเชื่องมงาย ซึ่งตามความเป็นจริง การไม่บำเพ็ญธรรม ไม่สร้างสมบุญญาบารมี เป็นการบดบังจิตเดิมอันดีงาม ต่อเมื่อตายลงจึงสำนึกได้แต่ก็สายเสียแล้ว ขอให้ลูกๆ ทั้งหลาย จงรู้แจ้งวิธีเกิดและตายของคน แล้วรีบเร่งบำเพ็ญธรรมแต่เนิ่นๆ แสดงออกถึงจิตพุทธะดั้งเดิม ลูกๆ พึงตระหนักว่า พวกที่ตกอยู่ในหกภูมิกำเนิดสี่ ล้วนแต่จิตวิญญาณทั้งสิ้น แต่เป็นเพราะจิตวิญญาณเดิมถูกบดบัง จึงต้องวนเวียนอยู่ท่ามกลางทะเลทุกข์อันเวิ้งว้าง โดยไม่สามารถฉุดช่วยตนเองได้ เป็นเรื่องที่แม่ปวดร้าวใจยิ่งนัก ไม่มาเปิดชี้แนะหนทางสว่าง จะกระตุ้นให้จิตดีงามของลูกๆ กลับคืนมาได้อย่างไร
    ด้วยเหตุผลดังกล่าว จึงเป็นที่มาของการลิขิตเรื่อง “เสียงจากสุขาวดี” นี้ ขอให้ลูกทั้งหลายจงอ่านให้เข้าใจแล้วประพฤติปฏิบัติตามก็จักบรรลุผล เมื่อนั้นหนทางสวรรค์ก็จักเปิดกว้าง และวันแห่งการพบกันอีกครั้งของเราแม่ลูกก็อยู่ไม่ไกล ลูกๆ พึงตระหนักว่า การบำเพ็ญธรรม ถ้าขาดเมตตาจิตย่อมไม่อาจเรียกว่าบำเพ็ญธรรม
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD align=right>พระมารดา(เหลาหมู่)
    14 กุมภาพันธ์ 2522 เวลา 20.00 น.
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    mindcyber.com!
     
  19. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    เรื่อง มนุษย์มาจากไหน

    เมื่อเราเกิดมาเราจะมีหน้าตาเหมือนพ่อแม่ของเราและเราก็รู้เรื่องของการถ่ายทอดทางพันธุกรรมบางอย่าง เมื่อเราโตขึ้นและได้เรียนรู้อะไรบางอย่างให้วิชาวิทยาศาสตร์แล้วเราจึงร้อง อ๋อ! เรามาจากลิงนี่เอง และผมก็เป็นคนหนึ่งที่คิดเช่นนั้น ดูเหมือนว่ามีอะไรหลายอย่างที่สนับสุนนในเรื่องนี้ และผมจะชี้ให้ทุกท่านได้เห็นความจริงบางประการและความจริงนี้อยู่ในหนังสือเล่มนี้

    ในหนังสือที่พวกคริสเตียนเรียกว่า”พระคัมภีร์”เราอาจจะสงสัยว่า แล้วหนังสือนี้เชื่อได้แค่ไหน บางประการที่เราต้องรู้ คือว่ามนุษย์เป็นสิ่งที่ประเสริฐและฉลาดและที่เรามักจะเรียกว่าสัตว์ประเสริฐ มนุษย์มีความคิดและจะเลือกสิ่งที่ดีสำหรับตนเองเสมอ เมื่อสองพันกว่าปีหนังสือเล่นนี้ถูกทำลาย ถูกเผ่าและห้ามเผยแผ่ ห้ามอ่านและถ้าใครขัดขืนจะถูกฆ่า วันนี้ด้วยเหตุใดก็ตามหนังสือเล่นนี้จึงอยู่ในมือผม ด้วยเหตุที่ว่าหนังสือเล่นนี้เป็นความจริง และความจริงเป็นสิ่งที่ไม่ตาย และไม่สามารถจะทำลายได้หมด พี่น้องครับหนังสือเล่มที่ผมถืออยู่นี้เป็นหนังสือที่ขายดีที่สุดในโลก มีการแปลหลายภาษามากที่สุด มีคนอ่านมากที่สุดในโลก และมียอดขายเป็นอันดับหนึ่งตลอดการ ต้องขอโทษที่ผมกำลังพาพี่น้องอ้อมไปซักนิดแต่ผมกำลังจะบอกว่าเราสามารถเชื่อถือหนังสือนี้ได้

    และผมจะอ่านข้อความในหนังสือเล่มนี้ให้ฟังปฐมกาล 1:27 พระเจ้าจึงทรงสร้างมนุษย์ขึ้นตามพระฉายาของพระองค์ ตามพระฉายาของพระเจ้านั้น พระองค์ทรงสร้างมนุษย์ขึ้น และได้ทรงสร้างให้เป็นชายและหญิง และความจริงในตอนนี้เองบอกไว้อย่างชัดเจนว่าพระเจ้าได้สร้างเรามาและให้เราเป็นเหมือนพระองค์คือให้เรามีความฉลาดนั้นเองและถ้าหากเรายังไม่มั่นใจอีก และถ้าเรายังเชื่อในเรื่องของวิทยาศาสตร์ เรื่องนี้ยิ่งชัดเจนเข้าไปใหญ่เลย คือว่าเมื่อที่ผ่านมาหลายปีมานี้ นักวิทยาศาสตร์ต้องแก้ไขเรื่องมนุษย์มาจากลิง เพราะได้นำเลือดของลิงและมนุษย์มาเปรียบเทียบกัน ไม่มีส่วนคล้ายกันแม้แต่นิดเดียว ไม่สามารถใช่แทนกันได้เลย

    มีเด็กชายคนหนึ่งเป็นคริสเตียนได้เรียนวิชาวิทยาศาสตร์ และอาจารย์ก็บอกว่าเรามาจากลิงแต่เด็กคนนั้นได้บอกอาจารย์ว่า ปู่ ย่า ตา ยาย อาจารย์เป็นลิง แต่ ปู่ ย่า ตา ยาย ของผมเป็นมนุษย์ คงไม่มีใครอยากมีต้นตระกลูเป็นลิงใช่ไหมครับ

    วันนี้พระคัมภีร์บอกเอาไว้อย่างชัดเจนว่าพระเจ้าได้สร้างเราและพระองค์ก็ต้องการให้เรารู้ว่าใครสร้างเรา และเราต้องรู้ว่าเราต้องรักพระองค์ กลับมาหาพระองค์กลับมาเป็นลูกของพระองค์ ไม่มีอะไรที่ดีไปกว่าการที่เราได้รู้จักว่าพ่อเราเป็นใคร เราไม่ได้เป็นลูกกำพร้าอีกต่อไปยังไม่สายที่เราจะเข้าไปกอดพ่อของเรา>>

    พี่น้องที่รักทั้งหลายเมื่อพระเจ้าสร้างเราพระองค์รู้จักเราเป็นอย่างดี พระองค์รู้ในความต้องการของเรา รู้ปัญหาที่มากมายของเรา รู้การเจ็บป่วยของเรา เพราะพระองค์เป็นเจ้าของชีวิตของเรา

    :: ʶҺѹ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 พฤศจิกายน 2009
  20. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    คุณคิดว่าพระเจ้า มนุษย์ต่างดาว และไดโนเสาร์ มาจากไหน

    ผมคิดว่าพระเจ้า(ในความเชื่อของยุคเก่า)คือ มนุษย์ต่างดาว(สำหรับเราในยุคนี้)
    และผมก็คิดว่ามนุษย์ต่างดาวคือบรรพบุรุษของพวกเรา ที่นำพวกเรามาไว้ที่โลก(อันนี้เทียบจากคนชอบเดินทางและมักมาสร้างสิ่งต่างๆ ไว้ เช่น กัปตัน คุก นำนักโทษมาที่ ออสเตรเลีย)

    ส่วนไดโนเสาร์ก็ คือ สัตว์เลี้ยงตัวเล็กๆ ที่ผ่านการทดลองอย่างผิดพลาด จึงได้เอามาทิ้งไว้ที่โลกครับ

    ทฤษฏีนี้จะสนับสนุนการเดินทางอพยพ ไปยังดาวอังคารครับ อิอิ

     

แชร์หน้านี้

Loading...