ไม่อยากตายแล้วศูนย์ ชาตินี้ต้องถึงนิพพาน

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย สุรีย์บุตร, 23 มีนาคม 2008.

  1. สุรีย์บุตร

    สุรีย์บุตร https://youtu.be/8qf8khXqUjU

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    1,561
    ค่าพลัง:
    +2,122
    [​IMG][​IMG]


    อาจเป็นความเข้าใจผิดของผมก็ได้นะครับ คือคิดเรื่องตายบ่อยๆ มันเลยเกิดความคิดแบบนี้หนะครับว่า คนเราเมื่อตายแล้วถ้ายังไม่สามารถเข้านิพพานได้
    ก็ต้องเกิด ตาย เกิดตาย เวียนว่ายไม่รู้จบไช่ไหมครับ

    แต่การเกิดแต่ละครั้ง เราจะไม่ไช่เราแล้วเพราะสมอง ไม่มีความจำตัวเราคนเดิมคนเก่าเมื่อชาติก่อนได้
    ถ้าเราในชาติไหม่นี้เข้านิพพานได้ก็ไม่ไช่เราเข้าได้แต่เป็นคนไหม่ไช่ไหมครับ
    อย่างนี้ ถึงตายแล้วเกิดไหม่ได้ไม่ศูนย์ก็เหมือศูนย์ไช่ไหมครับ

    แต่การเข้านิพพานได้ ไม่ต้องเกิดอีกต่อไปคือ เราก็ยังเป็นเราไช่ไหมครับ
    ผมอาจจะเข้าใจผิดก็ได้ เพื่อนสมาชิกคิดว่ายังไงช่วยแนะนำด้วยนะครับ
     
  2. gitti

    gitti เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    393
    ค่าพลัง:
    +1,035
    คิดเรื่องตายนี่ได้อานิสงฆ์ มรณานุสติ นะคะ สาธุๆ
    เรารู้แต่ว่าจะเกิดอีกกี่ชาติก็ จิตดวงเดิม ส่วนเรื่องความจำสัญญาเก่าๆ ของชาติที่ผ่านๆ มานั้น คงต้องโดนลบไปเป็นเรื่องธรรมดา เคยอ่านเจอมาว่า หากตายปุ๊บแล้วเกิดเลย ก็จะจำอดีตชาติได้มาก ผิดกับคนที่ตายแล้วรอเวลานานๆ กว่าจะได้มาเกิดก็อาจจะจำได้ลำบากหน่อยหรือจำไม่ได้เลย แต่หากตั้งใจจะเข้านิพพานแล้ว ถ้าตั้งใจจะเข้าซะอย่างเรื่องชาติภพ สัญญาเก่าๆ จะเอาไปด้วยทำไมเล่า
    พระอาจารย์เล็กเคยสอนว่า อดีต คือฝันไป อนาคต ยังมาไม่ถึง ทำปัจจุบันให้ดีที่สุดพอ
    หากผิดถูกยังไงก็ต้องกราบขออภัยไว้ด้วยนะคะ
     
  3. นายจั๊บ

    นายจั๊บ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    419
    ค่าพลัง:
    +1,109
    จิตยังเป็นตัวเดิมครับ ไม่ใช่เกิดใหม่แล้วต้องเริ่มใหม่ ดังนั้นถ้าตายแล้วเกิดใหม่ ของเดิมชาติที่แล้วทำไว้เท่าใดเราก็สามารถทำต่อจากนั้นได้อีก คล้ายๆเราเซฟงานไว้ในคอมพิวเตอร์อ่ะครับ ถ้าในคอมพ์ฯมีไวรัส พอเปิดเครื่องทำงานไวรัสก็ยังตามรบกวนได้ ทางที่จะหนีไวรัสคือ ทำงานให้เสร็จแล้วพิมพ์ออกมา เช่นกัน งานที่พิมพ์คือกำลังบุญกุศลที่สั่งสม เมื่อปิดคอมพ์ก็คือหมดชาติ ไวรัสก็คือกรรม เมื่องานเสร็จก็คือนิพพาน ตราบใดที่งานไม่เสร็จ ต้องเปิดๆปิดๆเครื่องอยู่หลายรอบ ไวรัสหรือกรรมมันก็ยังคงรบกวนอยู่หลายรอบ ดังนั้นควรจะรีบทำงานให้เสร็จแล้วรีบหนีไวรัสหรือกรรมเข้านิพพานไปเลยครับ
     
  4. userx

    userx เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กันยายน 2007
    โพสต์:
    635
    ค่าพลัง:
    +1,061
    คล้ายๆกับว่าจิตจะบันทึกคลื่นอารมณ์เป็นหลักหรือเปล่า..สงสัย???
     
  5. สันโดษ

    สันโดษ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    9,940
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +16,870
    จริงๆแล้ว จิตนะคะเป็นส่วนหนึ่ง ส่วนใจก็เป็นอีกส่วนหนึ่ง

    ที่ต้องทำงานคู่กันเสมอ แต่ว่า ทั้งสองอย่าง คือ สิ่งที่มนุษย์ต้องใช้

    เพื่อที่จะได้เรียนรู้ทั้งโลกภายในความคิด หรือ จินตนาการ

    และโลกภายนอกที่เราสัมผัส ด้วย ผัสสะทั้ง 5 ตา หู จมูก ปาก กายคะ

    จิต มีเพื่อที่จะเอาไว้ใช้ ประมวลผล ให้กับ ใจ ว่าอนุมัติหรือเปล่า

    ถ้า จิตที่แข็ง ย่อมไม่สามารถโน้มน้าวให้ใจคล้อยตามได้

    เพราะจิตเป็นปราการณ์ด้านแรกของเราคะ

    ถ้า จิตอ่อน ใจก็จะยอมสิโรราบให้กับศัตรู ที่เข้ามารุกรานใจ

    ถึงขั้น ร้ายแรงที่สุดก็ คือ ฆ่าตัวตายได้เลยนะคะ

    จิตแข็งกับจิตอ่อนเราประมาทไม่ได้ เพราะ จิต คือ จุดอ่อนของมนุษย์

    ไม่ใช่ก้อนนุ่ม กับ น้ำข้นๆที่ เราสามารถสัมผัสได้นะ

    จิตที่ดีมากเท่านั้น ถึงจะพาใจให้กลายเป็น ปัญญา และหลุดพ้นจากทุกข์

    ปัญญา เกิด จากจิต น้อมนำเราไปสู่ที่ๆเราปราถนา

    ดังนั้น หาก ผู้ใด ต้องการสู่มักผลนิพพาน

    จงน้อมนำจิต ต่อ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ทั่วสากลโลกนำทางเราไปสู่มรรคผลนิพพาน

    จิตนะ ถึงเขาไม่มีรูปร่างแต่ถ้าเรามีเเรงอธิษฐานและศรัทธา มากพอ

    นิพพานย่อมได้ไม่เกินเอื้อมแน่นอนคะ เพราะว่า พลังจิตอธิษฐาน

    คือ พลังงาน ดั้งเดิม บริสุทธิ์ ที่เรา ติดตัวมาแต่เกิด

    หรือ เรียกว่า จิต ประภัสสรนะคะ มัน ใสกิ๊งๆเลยน่า

    แต่ถ้าเราขอให้ได้นิพพานอันนี้เรียกกิเลสนะคะ

    ทางที่ดีที่สุด ต้องเดินทางสายกลาง

    ใช้สติ ควบคู่กับศรัทธา (ศรัทธาที่ว่า คือ ศรัทธาในตัวเองนะคะ)

    และ หาคำตอบให้เจอด้วย ปัญญาของตนเองนะคะ..โชคดีคะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 มีนาคม 2008
  6. วิทย์

    วิทย์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    2,036
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,439
    จิตจะบันทึกข้อมูลไว้

    แต่ที่มนุษย์ระลึกชาติไม่ได้เพราะวิบากกรรมปกปิดไว้น่ะครับ

    สมมติว่าใครทำบุญสร้างความดีมากๆ

    ตายไปแล้วไปเกิดเป็นเทวดาได้อัตภาพที่เป็นทิพย์ ก็จะสามารถระลึกชาติย้อนหลังได้เองครับ
     
  7. คีตเสวี

    คีตเสวี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มกราคม 2007
    โพสต์:
    980
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +750
    <O:p</O:p
    สิ่งที่เราอุปาทานเข้าไปยึดกันก็คือ ขันธ์ ๕ ซึ่งประกอบด้วย รูป คือ ร่างกายที่เราเห็นว่าเป็นเรา ที่เรามองเห็นจับต้องได้ และนาม อีก ๔ คือ เวทนา สังขาร วิญญาณ และสัญญา<O:p</O:p
    เวทนาหมายถึงความยินดียินร้าย สุข ทุกข์ <O:p</O:p
    สังขารหมายถึงการปรุงแต่ง การคิดของจิต<O:p</O:p
    วิญญาญหมายถึงธรรมชาติรับรู้อารมณ์มีลักษณะเป็นธาตุรู้ หรือที่เรารู้จักกันในนามของจิต หรือมโน ก็อันเดียวกันนี้<O:p</O:p
    สุดท้าย สัญญาคือความจำได้หมายรู้<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    ดวงจิตของเรานี้มีการเกิดดับนับครั้งไม่ถ้วนในชั่วเวลาแค่ ๑ วินาที ไม่ว่าขณะที่เรากำลังมีชีวิตหรือขณะใกล้ตาย กำลังตาย กำลังเกิดใหม่ ดูเหมือนว่าจะเป็นดวงจิตใหม่ ๆ เกิดขึ้นใช่ไหมครับ แต่ถ้าเราดูให้ชัดอีกนิดนะครับว่า ดวงจิตที่เกิดใหม่แต่ละดวงนั้น ล้วนมีความต่อเนื่อง สืบต่อ รับมาจาก จิตดวงก่อนหน้าทั้งสิ้น ไม่ใช่จะเกิดขึ้นแบบลอย ๆ ก็เพราะอาหารของจิตคือกิเลศ ตัญหา อุปาทานนี้แหละที่เราได้จำเอา(สัญญา) ปรุงเอา(สังขาร) ที่เรานึกโลภอยู่ เกลียดชังอยู่ หลงอยู่นี้ แล้วก็ทึกทักเอาว่าเป็นเรา ยกตัวอย่างง่าย ๆ เช่นวินาทที่แล้วผมเป็นคีตเสวี วินาทีนี้ผมจึงเป็นคีตเสวี วินาทีต่อจากนี้ไปผมก็ต่อเนื่องความเป็นคีตเสวีต่อไป สืบต่อหรือเรียกว่าสันตติ มันสืบเนื่องกันอย่างนี้เพราะมันหลงยึดเอา อุปาทานเอาอย่างนี้ แต่ในความจริงคีตเสวีคนวินาทีที่แล้วได้ดับไปแล้ว แต่เรายังต่อเนื่องความจำ ความหลง โมหะ ต่อจนมาเป็นคีตเสวีคนในปัจจุบันและต่อ ๆ ไปไม่สิ้นสุด ครับ ไม่สิ้นสุด ตราบเท่าที่ยังถือเอาขันธ์ ๕ เป็นเรา มันเหมือนเป็นแรงเหวี่ยงที่มีแรงฉุดลากเหมือนแรงเฉื่อยของล้อรถไฟแบบนั้น ทางธรรมเรียกว่าวัฏฏะ วัฏฏะสงสาร อันประกอบด้วย กิเลศ ฉุดให้ก่อกรรม แล้วก็เป็นวิบากกรรม กิเลศ กรรม วิบาก .. แล้วเมื่อไหร่ที่วัฏฏนี้จะหยุดหมุนเสียที มีใครทีหยุดวัฏฏะนี้ได้บ้างไหม ... ท่านมีคำตอบในใจกันแล้ว ครับ พระอรหันต์<O:p</O:p
     
  8. คีตเสวี

    คีตเสวี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มกราคม 2007
    โพสต์:
    980
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +750
    แล้วถ้าเราตายล่ะ จะศูนย์ไหม<O:p</O:p

    อย่างที่ได้อธิบายไปจะเห็นได้ว่าถึงเป็นจิตดวงใหม่ ๆ แต่ก็มีสันตติ ความต่อเนื่องมาจากจิตดวงก่อน ๆ นั่นเอง ดังนั้น ถึงจิตที่เกิดต่อเนื่องใหม่ ๆ ไม่ใช่ดวงเดิมแต่ก็ได้รับภาวะต่อเนื่องเดิม ๆ จากจิตดวงเดิม ก็มีอุปาทานว่าเป็นจิตของคนเดิมไงครับ สรุปว่าถึงไม่ใช่ดวงเดิมแต่ก็เหมือนดวงเดิมด้วยความเห็นผิดน่ะครับ เมื่อเราเกิดใหม่แน่นอน เราไม่ได้นำเอา(ก้อน)สมองเก่าไปเกิดด้วยแน่ คือ ขันธ์ ๕ ที่ติดจิตเราไปเกิดได้ก็มีแต่นาม คือ จิตวิญญาณ สังขาร เวทนา สัญญา ส่วนรูปหรือร่างกายนั้นก็ทิ้งไว้ในภพเดิม การที่เราไม่สามารถระลึกชาติได้ทำให้เราหลงคิดไปว่าการเวียนว่ายตายเกิดไม่มีอยู่จริง เหมือนเป็นการปิดกั้นความรู้ในสิ่งที่เราควรรู้ หรือจำเป็นต้องรู้ แต่มันก็เป็นข้อจำกัดที่เกิดขึ้นจริง พระพุทธองค์เองก็มาระลึกชาติได้หลังจากพระองค์ถึงปุพเพนิวาสานุสติญาณ แต่ก็มีฝรั่งชื่อ เอียน สตีเวนสันได้ศึกษากรณีของการระลึกชาติของชาวศรีลังกา ชาวไทยไว้หลายกรณี เป็นการพิสูจน์เชิงวิทยาศาสตร์ได้ น่าสนใจมาก เป็นเครื่องพิสูจน์เรื่องเวียนว่ายตายเกิดได้ดีทีเดียว</O:p
     
  9. คีตเสวี

    คีตเสวี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มกราคม 2007
    โพสต์:
    980
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +750
    เรื่องนิพพานนี่ผมไม่ค่อยอยากจะตอบ เพราะมันเป็นภาวะที่ปุถุชนเข้าใจยาก จะกลายเป็นถกเถียงกันเปล่า ๆ อันว่าจะมีตัวเราหรือเปล่าเมื่อเข้านิพพานนั้นขออย่าเพิ่งไปสนใจ เมื่อใดแจ้งในพระนิพพานแล้วจะเข้าใจเอง เอาเป็นเลียบเคียงให้ฟังได้ว่าภาวะนิพพาน เป็นภาวะที่หมดกิเลศสิ้นเชิง หมดการฉุดรั้งของวัฏฏะแล้ว ไม่มีอวิชชาปรุงสังขารอีกแล้ว ไม่มีกิจที่ต้องทำอีกแล้ว อยู่เพียงปัจจุบันธรรมก็พอแล้ว อยู่กับปัสสัทธิที่ลมหายใจเข้าออกก็พออยู่แล้ว แม้อยู่ในภาวะนี้แล้วอันจะมีเราหรือไม่มีเราไม่ใช่สิ่งสำคัญอีกแล้ว<O:p</O:p
    ขอให้ท่านเจริญในธรรมยิ่ง ๆ ขึ้นไปนะครับ<O:p</O:p
    <O:p</O:p
     
  10. s_arch

    s_arch Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    28
    ค่าพลัง:
    +90
    กายกับจิตไม่ใช่เราเพราะมันเป็นอนัตตา สิ่งทั้งปวงเกิดแต่เหตุ หมดเหตุก็ดับไป
     
  11. jinny95

    jinny95 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    6,074
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +9,666
    ถ้าเราในชาติไหม่นี้เข้านิพพานได้ก็ไม่ไช่เราเข้าได้แต่เป็นคนไหม่ไช่ไหมครับ
    อย่างนี้ ถึงตายแล้วเกิดไหม่ได้ไม่ศูนย์ก็เหมือศูนย์ไช่ไหมครับ



    ไม่สูญหรอกคับ กรรมติดไปทั้งหมด บานเลย ทั้งกรรมดี กรรมชั่ว กรรมที่ส่งผลข้ามชาติภพ

    ถ้าเราบำเพ็ญจนได้ระดับหนึ่งแล้วตาย ชาติต่อไป ก็มาเริ่มต่อได้เลย หรือ อาจแค่ทบทวนเล็กน้อย ไม่ถึงกับ เริ่มจากไม่รู้อะไรเลย
     
  12. สุรีย์บุตร

    สุรีย์บุตร https://youtu.be/8qf8khXqUjU

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    1,561
    ค่าพลัง:
    +2,122
    อยากไปจังนิพพาน !! ลืมไป อยากไปก็กิเลสหนะสิ
    งั้นไม่อยากไปหรอกนิพพาน!! ลืมอีกไม่อยากไปก็กิเลสเหมือนกันนิ
    งั้น ไปก็ได้ ไม่ไปก็ได้ละกันนะ เฉยๆจังนิพพาน - - งั้นก็ถึงนิพพานแล้วสิ!!
    + +"
     
  13. บัวใต้น้ำ

    บัวใต้น้ำ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กันยายน 2004
    โพสต์:
    891
    ค่าพลัง:
    +1,937
    ตรงนี้เป็นเรื่องของ ปฎิจสมุทบาท ลองไป search ค้นหาทำความเข้าใจดู ก็อาจจะคลายสงสัยหรือสงสัยมากกว่าเดิมก็เป็นไปได้ทั้งนั้น เพราะความสงสัยมันไม่มีวันหมดหรอก ตราบใดที่ยังเป็นปุถุชนอยู่ครับ

    ถ้ายังมีกิเลสอยู่ ก็หมายถึงการที่เราจะต้องถุกกิเลสเหล่านั้นนำพาไปให้เกิดในภพภูมิใดที่ดีและไม่ดีก็ได้ตามแรงของกิเลสนั้นๆ เพราะกิเลสก็มีทั้งฝ่ายบุญและฝ่ายบาป

    อธิบายให้ง่ายต้องแยกออกมาเป็นขันธ์ ๕ วิญญาณตัวที่ไปเกิดภพภูมิใหม่ก็ยังได้รับวิบากจากรรมดีและไม่ดีที่ทำให้อดีตอยู่ครับ ส่วนสมองมันได้แค่ความจำ มันไม่ทนหรอก ลองมองตัวเองดูก็ได้บางเรื่อง อ่านตอนเช้า ตกเย็นก็ลืมแล้ว เบอร์โทรศัพท์หลายๆเบอร์เด็กๆจำได้ ตอนนี้จำไมได้แล้ว ดังนั้นสัญญาหรือความจำได้หมายรู้ก็จะติดไปบ้างเฉพาะที่เด่นๆในชาตินั้น ส่วนกรรมที่ทำประจำทั้งดีและชั่ว ไปชาติต่อไปก็จะกลายไปเป็นอุปนิสัยต่างๆนาๆ


    คือการเกิดมันคล้ายๆกับห่วงโซ่กลมๆน่ะครับ ตราบใดที่มันยังไม่ขาด มันก็ยังมีทางวนเวียนเชื่อมติดต่อกัน เกิดตายวนเวียนอยู่อย่างนั้น แต่ถ้าไม่ว่าจุดใดในห่วงโซ่ขาดลง ก็จะทำให้วงจรของการเกิดขาดลงเช่นกัน ไม่ต้องไปเกิดแล้ว แต่ยังมีวิญญาณบริสุทธ์เหลืออยู่ไม่ต้องไปเกิดแล้ว แต่ไม่เรียกว่า"เรา" เพราะพ้นอำนาจการปรุงแต่งทั้งหมด ดับการเกิด การตายได้แล้ว ตรงนี้พวกครูบาอาจารย์ถึงยืนยันตรงกันว่า "พอนิพพานแล้ว ไม่สูญ แต่ก็ไม่ต้องมาเกิดตายแล้ว"

    อย่าไปมั่วแต่ค้นคิด ค้นคว้าเลย เพราะการพ้นทุกข์ไม่สามารถพ้นได้ด้วยการคิด พิจารณา แต่เกิดขึ้นได้จากจิตถึงสภาวะ ที่สามารถปล่อยวางขันธ์ ๕ ลงได้จริงๆ คิดๆนึกๆปล่อยไม่ได้หรอก ได้แค่ความรู้ ความเข้าใจ เต็มที่ก็เอาไว้คุยกับคนอื่นแค่นั้น
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 มีนาคม 2008
  14. ยายทองประสา

    ยายทองประสา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    805
    ค่าพลัง:
    +3,069
    คิดมากน่า......
     
  15. เด็กอนุบาล

    เด็กอนุบาล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    689
    ค่าพลัง:
    +4,156
    ความต้องการไปพระนิพพาน เพื่อการพ้นทุกข์ถาวรนั้น พระท่านว่าเป็นธรรมฉันทะครับ ในขณะที่ชาวโลกบอกว่าคือกิเลสตัณหา ลองอ่านที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง ท่านสอนลูกหลานไว้เถิดครับ โดยอ้างอิงการตอบปัญหาธรรมในข้อที่ 4 ตาม link ด้านล่าง

    http://www.watthummuangna.com/board/showthread.php?t=1987

    4. คนอยากไปพระนิพพานเป็นตัณหาไหม?
    ตอบ
    คนที่ต้องการพระนิพพานเป็นธรรมฉันทะ มีความพอใจในโลกุตรธรรม เป็นจิตที่ทรงไว้ซึ่งความดีเป็นความอยากพ้นทุกข์ไม่ใช่ตัณหา คนต้องการสมบัติโลก เป็นโลกียธรรม ยังเป็นตัณหาเพราะไม่พ้นทุกข์ ต้องเวียนว่ายตายเกิดต่อไป
    <!-- / message --><!-- sig --><!-- / message --><!-- sig -->
     

แชร์หน้านี้

Loading...