กสิณอะไรฝึกง่ายสุดหนอ?

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย lovepyou, 8 กรกฎาคม 2014.

  1. Begin again

    Begin again Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2017
    โพสต์:
    60
    ค่าพลัง:
    +194
    ถ้าจะรบกวนสอบถามคุณ nop สักนิดได้ไหมครับคือผมควรจะเริ่มฝึกกสิณแบบไหนก่อนดีครับ ใจอยากจะลองฝึกแต่ไม่มีผู้แนะครับ และก็เคยอ่านที่คุณ nop เคยเขียนไว้เกี่ยวกับเรื่องจักระ คือผมไม่แน่ใจว่าอย่างผมนี่เป็นเพราะจักระหรือไม่ เพราะ ผมเป็นคนที่ไวต่อประจุไฟฟ้าสะสมมาก เหมือนร่างกายเป็นสื่อนำไฟฟ้าเลย เมื่อก่อนผมทำงานออฟฟิตนี่บางช่วง แทบจะแตะที่จับประตูโครงประตู ที่เป็นโลหะไม่ได้เลย บางที่นี่ได้ยินเสียงดังเปรี๊ยะเลยนิ้วชา เป็นบ่อย จนไม่กล้าจับวัตถุที่เป็นโลหะในออฟฟิต เพื่อนๆจะหาว่าผมวิตกจริต เพราะมันบ่อยมาก และปกติเมื่อก่อนต้องซ่อมคอมหรือทำอะไรที่เป็นอิเล็กทรอนิกคือมีประจุไฟฟ้านี่โดนตลอด คนอื่นไม่โดนคือผลัดกันจับเลยก็โดนแต่เรา จนเค้าว่าผมคิดไปเอง T T ใส่รองเท้ายางก็โดนทุกวิธีแก้คือยังไงก็โดน
     
  2. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,424
    ค่าพลัง:
    +35,040
    ที่ Begin again ว่าจะฝึกแบบไหนน่าจะหมายถึงเริ่ม
    ด้วยกองไหนเนาะ ถ้าจะเริ่ม ในกสิณ กลาง ๕ กอง
    เริ่มด้วย ลม อากาศ ไฟ (เท่ากัน) ตามด้วย ดิน ส่วน
    น้ำไม่ต้องเพราะอ่อนสุด ให้เลือกกองหนึ่ง แต่ไม่แนะนำไฟ

    และอาการทางกายที่เราเป็น ไม่ใช่เรื่องแปลกนะ
    แต่คนส่วนมากจะไม่ค่อยเป็น เค้าก็อาจมองว่าเราแปลก
    เราก็พยายามเนียนๆ พูดเปลี่ยนเรื่องไปเรื่อยเปื่อย
    ให้ออกฮาๆขำๆเอา เช่น พอดีผมเป็นคนไฟแรงครับ (ตัวอย่าง)
    มันขึ้นอยู่กับปริมาณของธาตุเหล็กที่อยู่ในเส้นเลือดดำ
    ที่มันอยู่ด้านขวาฝั่งหลังของร่างกายเรานั่นหละ....
    ยิ่งใครมีมาก จะฝึกได้ยิ่งง่ายกว่าคนปกติทั่วไป
    เพราะจะได้เปรียบในเรื่องของการสัมผัสทางด้านนามธรรม
    นามธรรมในที่นี้ มันรวมถึงเรื่องพลังงานต่างๆภายนอก
    ที่มองไม่เห็นด้วย เช่น ความร้อนมากกว่าปกติ เย็นกว่าปกติ
    ร่วมกับขนลุกตามร่างกาย หรือการจะสัมผัสสิ่ง
    ที่เหนือธรรมชาติต่างๆ อะไรทำนองนี้
    พอเวลาผ่านไป เวลาใครฝึกเรื่องกรรมฐานพวกกสิณนี้
    หรือใครจะใช้งานอะไรทางจิตก็ตามนะ...
    เวลาใช้งาน ส่วนหนึ่งของพลังงานที่มาสนับสนุนพลังงานใช้งาน
    มันก็จะมีแร่เหล็กพวกนี้เป็นส่วนประกอบส่วนหนึ่งเช่นกัน
    คล้าย รถยนต์จะวิ่งได้ ต้องอาศัยน้ำมันเครื่อง
    พวกแร่เหล็กก็เหมือน นำ้มันเบรค
    น้ำมันคลัทซ์ น้ำมันเกียร์นั่นหละ
    เชื่อไหม ในระดับพระเกจิ มีชื่อบางท่าน และหลายท่านเลย
    เวลาใช้งาน แกนกระดูกสันหลังท่าน
    เรียกได้ว่า คุณสมบัติในการถ่ายเทหรือนำพลังงาน
    แทบ ไม่ต่างอะไรกับทองแดง...พอนึกภาพออกไหม
    แค่อยากจะบอกในภาพรวมว่า มันเรื่องปกติมากเลย...
    และไม่ใช่อะไรที่วิเศษวิโสนะ ย้ำว่าเรื่องปกติ

    เพียงแต่ว่า ในเวลาว่างๆ เราเพียงไปเหยียบหญ้า ด้วยเท้าเปล่า
    หรือใส่ถุงเท้าหน่อย ยืนไปซักพัก เด่วพวกประจุอะไรก็หาย
    ไปได้เองนั่นหละ ถ้ามันยังแป๊ะๆอยู่ เราก็หาจังหวะไปเหยียบใหม่

    ส่วนจักระเนี่ย มันเกิดขึ้นโดยธรรมชาติได้ แบบไม่ต้องฝึกเลยก็ได้
    พอดีของเราจิตมันพอมีเชื้อ มีจุดเดียงตรงแถวปาก
    ที่ยังไม่เปิด นอกนั้นที่เหลือมันเปิดเองธรรมชาติ
    มันเลยเป็นเหตุส่วนหนึ่ง
    ให้ดึงเอาพลังงานภายนอกได้ดี แต่เป็นเรื่องปกติ
    ที่คนทั่วไป หรือแม้แต่คนที่ตั้งใจไปฝึกมา
    จะไม่รู้จักการถ่ายเทพลังงานให้ร่างกายสมดุลย์
    แต่สมัยก่อน ท่านเดินเหยียบดิน เหยียบหญ้าปกติไง เข้าใจเนาะ
    และพอไปสัมผัสโน้นนี่นั่นได้หน่อย แล้วไปยึดติด
    ที่นี้หละจะกลับตัวยาก.....

    ทั่วๆไปไม่มีอะไรหรอก แล้วแต่ชอบ แล้วแต่สดวก..
     
  3. [-VaLentine-]

    [-VaLentine-] กระผมสมาธิและกำลังจิตกากสุดในเวปนี้

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กุมภาพันธ์ 2014
    โพสต์:
    159
    ค่าพลัง:
    +486
    เข้ามาศึกษาต่อครับ คำแนะนำพี่นพสุดยอดครับ ปฏิบัติเป็นแนวทางแล้วเห็นผลแล้วก้าวหน้ามากขึ้นจริง ๆ ขอผมก็จะปฏิบัติไปเรื่อย ๆ เหมือนเดิมครับ อนุโมทนา สาธุในธรรมทานครับ
     
  4. Begin again

    Begin again Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2017
    โพสต์:
    60
    ค่าพลัง:
    +194
    ขอบคุณมากครับ คุณ nop
    ตั้งแต่ฝึกปฏิบัติธรรมมาก็พบเจอเหตุการณ์แปลกๆ บางครั้งเราไม่รู้จะอธิบายยังไง คือส่วนตัวเป็นคนชอบหาคำตอบให้กับเหตุการณ์ต่างๆให้ได้ แต่ติดตามอ่านที่คุณ nop คอมเม้นท์หลายๆโพสแล้วรู้สึกเข้าใจอะไรได้มากขึ้นเยอะ โดยเฉพาะเรื่องอย่ายึดติด อะไรเกิดมาถ้าไม่รู้เหตุผล ก็ปล่อยๆไป อย่างเมื่อคืนผมก็นั่งสมาธิปกติ ก็เริ่มหัดได้ไม่นาน ก็ระลึกถึงหน้า ลป ทวด แล้วภาวนาไป เมื่อวานทั้งวันผมจุกๆแน่นๆที่ช่วงลิ้นปี่หายใจได้เหมือนไม่สุด แต่ก็ฝืนๆนั่งพยายามหายใจให้ลึกไปสักพักช่วงไหนรุ้สึกกำลังสมาธิตกจะแผ่ส่วนบุญ แล้วกำหนดจิตต่อสักประมาณครั้งที่สองหลังจากแผ่ส่วนบุญ นั่งไปสักพักดันมีหน้าแปลกๆโผล่มาเป็นผู้หญิงตาโบ๋ๆ ตกใจพยายามนึกหน้า ลป ทวด ก็นึกไม่ออก พยายามไม่นึกถึงหน้านั้นก็ไม่ได้ เลยพยายามให้หน้านั้นตกขอบมากที่สุด ขนมันลุกๆแบบวูบๆๆ ไม่หยุดเลยอุทิศส่วนกุศลไปอีกสองสามครั้ง อาการดีขึ้น ก็จะกำหนดจิตต่อ ปรากฎว่าหายใจโล่งท้องเบาสบายมากไม่แน่นแถมท่าทางการนั่งสมาธิกลับอยู่ในท่าที่สบายตัวมาก ปกติหลังผมจะคล่อมๆหน่อยนี่ดีดมาตั้งตรงเพราะความกลัวด้วยมั้ง แต่ความกลัวในใจหายหมดเลย ก็แบบเออก็ดีนะรู้สึกดีแล้ว ที่ดีขึ้น แต่ก็รู้สึกแปลกใจหน่อยๆ อันนี้เล่าสู่กันฟังครับ
     
  5. Begin again

    Begin again Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2017
    โพสต์:
    60
    ค่าพลัง:
    +194
    แล้วก็น่าจะจริงอย่างที่คุณ nop อธิบายเรื่องเลือดมีธาตุเหล็ก อันนี้ทางวิทยาศาสตร์ ไม่รู้เกี่ยวกันไหมแต่ผมเลือดหนืดมาก บริจาคโลหิตไม่ได้ มันไม่ค่อยไหลออกเท่าไหร่เคยลองบริจาคแล้วนอนไปครึ่ง ชม. เลือดไหลได้แค่ร้อยกว่าซีซี ยิ่งเวลาตรวจเลือดต้องอดน้ำ แทงเข็มเข้าไปพยาบาลเซงเลือดไม่ไหลเพราะจะเหนียวข้นเลยที่ผมดูตอนเค้าดูดสลิงออกมา แต่ก็ดีหลายอย่างเวลาประสบอุบัติเหตุมีแผลถลอกเลือดไม่ค่อยไหลไหลแปบเดียวก็หยุด แผลหายเร็ว
     
  6. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,424
    ค่าพลัง:
    +35,040
    ไอ้ที่มาปรากฎประหลาดๆให้กลัวคือมาขวาง
    แต่ที่แก้ปัญหานะดีแล้ว
    คือก็ต้องรู้จักทนฝืนและอุทิศไป
    ไม่ต้องกลัวนั่งสมาธิไม่มีทางตาย
    แต่จะโดนทดสอบเรื่องความกลัว
    หรือความกลัวตายเป็นปกติ
    และครูบาร์อาจารย์เรามีสิทธิ์เจอ
    ได้ทุกท่านที่สำคัญคืออย่ายึดถือ
    ไม่งั้นเราจะติดขัด
    แต่ให้เคารพนับถือเหมือนกันทุกๆท่าน
    ไม่ว่าจะเป็นท่านใดก็ตาม
    ส่วนเลือดข้อดีคือแห้งเร็วนั่นหละเรื่องปกติ
    บางทีก็หาเส้นเลือดที่จะเจาะไม่เจอ

    ปล.เรื่องแร่เหล็กพูดให้ออกเป็นวิทย์
    เพราะบางคนไม่เข้าใจ
    ไปมองเป็นเรื่องวิเศษ ซึ่งมันไม่มีอะไรเลยเรื่องธรรมชาติ ซึ่งสังเกตุได้ เวลาเข้าห้องน้ำ
    เห็นอากาศเคลื่อนที่ขึ้นบน ลองใช้หน้าฝากบังคับให้หมุนขวาซิ จะง่าย
    ง่ายเพราะธาตุเหล็กด้านขวามันเยอะไง
    เวลาเจอนามธรรมดีๆ ถึงมาแต่ด้านขวา
    เพราะกำลังจะต้องมากถึงอยู่ได้
    ที่มาซ้ายกำลังน้อยหรืออยู่ปลายเท้า เราถึงต้องอุทิศส่วนกุศลให้ไง

    ถ้าหลับตาคือที่ปรากฎตรงๆระดับแนวระนาบคือที่จะมาขวาง
    ส่วนซ้ายสูงคืออดีตญาติ
    ส่วนขวาสูงคืออาจารย์หรือพราะมีชื่อ
    เอาว่าถ้ามีมุมสูงให้เฉยๆก่อน
    นึกออกไหมเวลามาจะมาจากบนเสมอ
    เราถึงเห็นมีมุม ถ้าอยู่ประจำมีเฉียงหน่อย
    ที่พูดข้างบนรู้ได้เอง by กำลังสติ
    เคล็ดลับในการจะรู้คือ ถ้าไม่รู้เลยด้วยตัวเองตอนนั้น
    ให้ลืมไปเลยนึกเสียว่าไม่มีเรื่องนี้ในระบบสุริยะจักรวาล เด่วกำลังสติมากขึ้น
    จะมีเครื่องรู้ได้เอง
    ที่พลาดกันเพราะ มันสงสัย เลยกลายเป็นนิวรณ์ ยิ่งค้น ยิ่งหายิ่งไม่รู้
    เพราะเป็นนามธรรม รู้ได้ด้วย
    สติทางธรรมเท่านั้น(ตัวที่คิดได้ในฝัน)
    ไม่ใช่คิดแบบทางโลกนั่นเอง

    อย่างว่านะ พอพูดเรื่องสติ บ้างเห็น
    ว่าไม่หล่อ ไม่เท่ห์ ดูพื้นๆเลยไม่สนใจ
    แต่ไอ้พื้นๆนี่หละ คือตัวสำคัญในการเข้าใจนามธรรมต่างๆและการเข้าถึงผลสำเร็จของ
    กรรมฐานทุกกอง เพราะกิริยาระหว่างทาง
    จองกรรมฐานทุกกองก็นามธรรมทั้งนั้น
    อารมย์ก็นามธรรม
    ถ้าไม่มีไม่สร้าง ก็อยากที่จะฝึกอะไร
    สำเร็จ เหมือนมีแต่ใจจะไปยอดเขา
    แต่ไม่มีอะไรกินรองท้องนั้นหละ
    มันก็ไม่มีแรงที่จะไปต่อได้นั่นเอง
    ปล ไม่มีไรหรอกทั่วๆไป
     
  7. Begin again

    Begin again Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2017
    โพสต์:
    60
    ค่าพลัง:
    +194
    ขอบคุณครับ คุณ nop
    เอาจริงๆเลยเมื่อก่อนนี่กลัวมากแต่ไม่แสดงออกมาก ไม่กล้านั่งสมาธิเลย ก็ได้เข้ามาอ่านในเวปนี้ จากประสบการณ์ของหลายๆคน และที่คุณ nop อธิบาย เลยรู้สึกมันปกตินี่หว่าคนอื่นเค้าก็เจอกัน ยิ่งบางคนนี่ถ้าเป็นเราคงอยู่ไม่ได้แล้วละ รู้สึกตัวเองโชคดีกว่าเยอะมาก แหะๆๆ แต่เมื่อก่อนจะรู้สึกตัวเองแปลกกว่าเพื่อนๆหรือคนรู้จักเพราะโดยคนที่แวดล้อมเราไม่มีใครรู้สึกได้ ผมเคยเห็นเป็นรูปร่างครั้งนึงตอนเรียนมหาลัยมันเป็นบ้านร้างเดินผ่านทุกวันวันนั้นได้ยินเสียง คราง ฮือๆ เลยหันไปมองเห็นเหมือนแสงเทียนเลยเดินไปดูใครทำไรในนั้นประตูมันแง้มได้นิดเดียวพอมองเห็นข้างใน พอเข้าไปเพ่งดูเท่านั้นแหละไม่ใช่เทียนนี่หว่า ไม่มีแหล่งกำเนิดแสง มองไม่เห็นรอบๆ ทั้งๆที่มันน่าจะสว่างมันสว่างแค่ดวงกลมๆ คิดได้ดังเดินหนีเลย แล้วคิดว่าตัวเองคงหลอนเอง
     
  8. Begin again

    Begin again Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2017
    โพสต์:
    60
    ค่าพลัง:
    +194
    คุณ nop ครับ รบกวนสอบถามเพิ่มเติมเพื่อความเข้าใจนะครับ ผมขออนุญาตถามเป็นข้อๆนะครับ
    1.อ่านจากที่ผ่านๆมาที่คุณ nop บอกว่ามองโดยไม่ใช่ตาเนื้อแต่เป็นการมองโดยใช้จุดที่อยู่ระหว่างคิ้วให้เห็นภาพ นี่เป็นอย่างไรเหรอครับ มันเหมือนกับเวลาที่เรามองภาพปกติโดยใช้ตาเนื้อแล้วเรานึกภาพอะไรขึ้นมาซ้อนภาพที่ตาเนื้อมองเห็นอยู่ แล้วมันรู้สึกเหมือนตาเนื้อเห็นด้วยแต่จริงๆแล้วมันเกิดขึ้นจากจิตที่สร้างภาพขึ้นมา อารมย์ประมาณเหมือนคนอินเลิฟ ที่เวลามองอะไรแล้วมักมีหน้าคนที่แอบปิ้งลอยมาให้เห็นตลอดไหมครับ
    2. ตอนนี้ผมก็เริ่มฝึกกสิณลม ตามที่คุณ nop แนะนำ โดยวิธีการฝึกของผมคือจะใช้วิธีเป่าพัดลมแล้วกำหนดรู้ความรู้สึกที่ลมผ่าน ผมอยากทราบว่าคือบางครั้งสะดวกนั่งมองท้องฟ้าแล้วภาวนา คือถ้าทำสลับกันตามช่วงเวลาสถานะการณ์ที่สะดวกนี่ได้ไหมครับ หรือว่าได้แต่ไม่ควร ควรจะทำอย่างใดอย่างนึงไปเลยครับ
     
  9. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,424
    ค่าพลัง:
    +35,040
    ตอบ อ่านดีๆนะ ๑. จุดเหนือระหว่างคิ้ว ทำไมถึงต้องจุดนั้น
    เพราะตำแหน่งนั้น ในขณะที่มีกายและจิตหรือใน
    เวลาที่เราใช้ชีวิตปกตินี่หละ มันเป็นจุด
    ที่ตัวจิตที่สร้างภาพจากตัวจิตเอง จะส่งภาพที่จิตมันสร้าง
    ผ่านช่องทางนี้ พูดง่ายๆเหมือนช่องทางที่ให้ภาพไปปรากฏ
    และก็ไปปรากฏอยู่บนอากาศภายนอก เหมือนโปรเจกเตอร์
    ภาพอยู่ในเครื่อง แต่จะแสดงให้เห็นก็ต้องส่งออกจากเครื่อง
    ไปถึงจุดกระทบที่เป็นผ้าขาวๆนั้นๆหละ จิตเป็นนามธรรม
    จิตมันสร้างภาพได้แล้ว แต่ถ้ามันจะแสดงภาพ มันก็จะส่ง
    ภาพนั้นออกไปกระทบจุดกระทบเพื่อให้เกิดภาพ
    โดยอาศัยอากาศภายนอกคล้ายๆผ้าขาวของจอโปรเจกเตอร์
    เป็นจุดกระทบเพื่อแสดงภาพนั่นหละ. .....
    ถามว่า ทำไมต้องภายนอก ทำไมส่วนตัวไม่แนะนำแบบ
    รู้สึกว่า มีภาพอยู่ภายในศรีษะ หรือมีภาพอยู่ในกาย
    หรือแนะนำอะไรที่อยู่ในกายเลย ก็เพราะว่า ตราบใดที่
    ภาพเหล่านี้ยังอยู่ภายในร่างกายเราได้ ไม่ว่าส่วนใด
    นั่นหมายความว่า มันมีโอกาศที่จะไปเกี่ยวกับกระแสความคิด
    ที่สร้างจากสมองของเราได้อยู่นั้นเอง และกระแสความคิด
    ที่สร้างจากสมองเรานี้ บางครั้งสมองมันก็ไปดึงภาพอื่นๆ
    หรือสัญญาอื่นๆที่ฝั่งอยู่ในจิตเรา ที่เราเรียกว่า อนุสัย จริต
    และพวกขันธ์ ๕ ส่วนนามธรรม
    ของเราดึงขึ้นมาปรุ่งร่วมได้อยู่ ดังนั้นการที่ผลักภาพในพ้น
    กายจึงถือว่า จะปลอดภัย จากการแอบสอดแทรกจากสิ่ง
    ต่างๆเหล่านี้ ซึ่งมันจะเนียนมาก หากเราไม่เจริญสติ
    ไม่เดินปัญญาให้มาก เราจะไม่ทัน การสอดแทรกพวกนี้เลย....

    ข้อสังเกตุ เคยพบครูบาร์อาจารย์เก่งๆไหม ทำไมท่านถึงมอง
    ข้ามศรีษะเรา หรือทำไมท่านเหมือนมองไปบนอากาศ ?
    เคยพบเห็นบางคนที่มาทางวิชาพิเศษไหม ที่ชอบบอกว่า
    รู้สึกได้เหมือนตาเห็น เป็นความรู้สึกภายใน มีภาพปรากฏ
    อยู่ในศรีษะ ทำไปบุคคลเหล่านี้ เกือบร้อยละ ๙๙ ถึงได้มี
    อาการเฝื่อ (คือเอาไปเอามา การเห็นชักจะออกไปในแนว
    ทำให้ยึดติด กลายเป็นผู้วิเศษ กลายเป็นอะไรที่ไม่ส่งเสริม
    ในด้าน การลด ละ คลาย กิเลส) และกลายเป็นบุคคลที่
    ขาดกำลังจิต แต่สามารถทำอะไรได้เกือบหมด
    แต่ว่าทำได้แต่ในนิมิต แต่ไม่สามารถแสดงให้บุคคลอื่นๆ
    รับรู้ได้ หรือไม่สามารถนำมาใช้งานได้เป็นรูปธรรม
    พูดง่ายๆ เก่งทุกอย่าง ทำได้ทุกอย่าง แต่ทำได้แต่ในฝัน
    หรือในนิมิตนั่นหละ


    เคยเห็นไหม ทำไมบางคน ถึงกลายเป็นคนเหมือนวิกลจริต
    มีสองบุคคลิก พูดอะไรไป จำไม่ได้ว่าตนเคยพูด หลงตัวเอง
    ว่าเป็นผู้วิเศษ แต่กลับภูมิต้านทานทางจิตต่ำ โดนกระทำโน้น
    นี่นั้นได้ง่าย แต่ก็ยังคิดว่าตนเอง มีสมาธิสูงส่ง เป็นผู้วิเศษ
    คิดว่าตนบรรลุ แต่ให้สอนธรรม บรรยายธรรม หรือให้
    แนะนำกรรมฐานอะไรก็ไม่ได้นั่นหละ......
    เห็นไหมว่า มันอันตรายแค่ไหน หากมองข้ามพื้นฐาน
    ตรงนี้ไป.....เกทนะ

    ไอ้นึกนึกใครแล้วแอบปิ๊งเป็นแค่ กิริยาเบื้องต้น
    แต่ไม่ใช่ในลักษณะการใช้งานได้
    เป็นกิริยาที่จะทำให้เราหลงได้
    ว่าจิตเราเริ่มสร้างภาพได้ เรียกว่า ตัวหลอกอย่างหนึ่ง
    ให้เลิกสนใจไปเลย นอกจากว่า
    จะลองผลักภาพออกไปให้อยู่บนอากาศ
    นั่นหละ จะพบว่าความจริงเป็นอย่างไร
    ถึงแม้จะทำได้ แต่ก็ต้องทิ้งไม่ต้องสนใจ
    เพราะเป็นแค่เรื่องปกติอย่างหนึ่ง

    ตอบข้อ ๒ ความรู้สึกนั้น มันเป็นลักษณะที่เราเริ่ม
    เพื่อที่จะไปในแนวทางเพื่อใช้เดินปัญญา ซึ่งไม่เหมาะ
    สำหรับการที่จะสร้างให้เกิดกำลังจิตเพื่อใช้งาน
    เด่วจะไปได้ในลักษณะใช้งานได้ แบบภายใน
    คือตัวเองรู้สึกได้ แต่แสดงไม่ได้ ซึ่งไม่ใช่แนว
    ที่ส่วนตัวแนะนำนะ

    เพราะกำลังจิตเกิดจาก ให้ตัวจิตสร้างภาพให้ตัวเอง
    แล้วไปปั่นภาพที่สร้างจากตัวเองให้ได้
    ในกำลังสมาธิระดับสูงนั่นหละ....

    ให้ใช้หลักในการ มองผ่านเหนือระหว่างคิ้วไปเลย
    ภาพที่สร้างจากจิตมันจะค่อยๆเกิด ไม่เหมือนสร้าง
    จากความคิด มันจะเกิดง่าย แต่ไปต่อไม่ได้
    เผลอๆจะปวดศรีษะเอาง่ายๆ
    ถ้าลองมองไปในอากาศ ภาพยังไม่เกิด
    ให้ใช้คำภาวนาเฉพาะทางไปก่อนซักพัก
    พอเริ่มเกิดแล้ว ไม่ว่าภาวนาอะไร
    หรือแค่คิด มันก็จะเกิดได้เอง
    ย้ำว่า ไม่ว่า สถานที่ เวลาใด สถานะการณ์ใด
    ภาพก็จะเกิดได้ ภายในเวลาไม่กี่วินาที
    ตรงนี้คือจุดเริ่มต้น.....
    ยกเว้นว่า จะใช้เป็นแนวทางเดินปัญญา
    ต้องหัดมาสังเกตุ การเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อม
    ของนิมิตเอา ว่ามันมีอะไรเปลี่ยนแปลงได้
    แล้วมาต่อยอด ด้วยการพิจารณาว่า วันนี้เราพลาดอะไร
    ในเวลาก่อนนอน และก่อนจะลืมตาตื่น
    นั่นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง และเป็นอีกคนละแนวทางการฝึกกัน

    สาเหตุที่ฝึกกันไม่สำเร็จ แต่เข้าใจว่าตนเองมีสัมผัส
    อลังการเลิศหรูงานสร้าง ส่วนตัวเคยเจอมาแล้ว
    แต่กว่าจะใช้งานได้ ต้องนั่งหลับตาเรียกเป็นนาที
    ในทางปฏิบัติ เค้าเรียกว่า ไม่ต้องทำมาหารับประทานหรอก

    สำคัญนะ แบบที่สัมผัสภายใน เลิศหรูอลังการ
    ไปฟังเค้าบรรยา ประหนึ่งป่านเป็นผู้วิเศษ แต่ๆๆๆ
    พอให้แสดง ให้เรียก ให้ดูหน่อยหรือ
    ให้ทำให้ปรากฏ ให้สอน ทำกันไม่ได้
    แถมยังออกนอกแนว ไปทางดูดวง หมอดู ซะงั้น
    แถมไปยึด ในกิริยาสัมผัสระหว่างทาง ซะงั้น

    เพราะ เริ่มต้นพลาดนี่หละ
    ต้องเลือกเอา ว่าจะเอากำลังจิต หรือ เอาไปแนวทาง
    ด้านปัญญา ไปเริ่มด้านปัญญาแล้วจะไปให้ได้กำลังจิต
    เพื่อใช้งานพิเศษ ฝึกทั้งชาติมันก็ไม่ได้หรอก
    มันก็จะเป็นได้แค่ หลงสภาวะ หลงตัวเองไปวันๆ
    จะด้านปัญญาก็ด้านปัญญาไปเลย
    แล้วไม่ต้องไปสนใจด้านกำลังจิตอะไรเลย....เลือกเอา

    ยกเว้นว่า เกิดกำลังจิตก่อน แล้วเอากำลังตรงนี้
    ไปเพื่อหนุนด้านปัญญามันถึงจะไปได้พร้อมกันทั้งด้าน
    พิเศษและด้านปัญญา เพราะมันจะเห็นอะไร
    ได้ชัดเจนกว่า ภูมิต้านทางภายนอกเราจะดีกว่า
    จะเป็นหมอผี หมอธรรม หรือแอบอ้างว่าตนเป็นผู้วิเศษ
    มีพลังงานโน้นนี่นั้น อ้างอิงแต่ระดับดังๆเพื่อยกตน
    หรืออ้างว่าตนเป็นระดับโลก ระดับจักรวาลอะไร รับรองแค่สิวๆ
    ได้แต่โม้ไปวันๆ ถ้าจะวัดกำลังจิตกัน ในระดับใช้งาน
    แบบพิสูจน์ได้ หรือให้มาแนะ มาสอนก็ทำแบบ
    กรณีที่เราฝึกเอง ฝึกจนสร้างกำลังจิตให้ตัวเองไม่ได้หรอก
    มันคนละแนวทางกัน...

    และถ้าจิตเรามีกำลังจิตบ้าง
    และถ้าไม่หลงตัวเอง ไม่ติดหล่อ ติดเท่ห์
    ไม่ติดในลาภ ในยศ ในสุข ในสรรเสริญ
    และคิดว่าตัวเองเป็นผู้วิเศษก่อน
    เส้นทางนี้ มันจะง่าย ในการ ละลดคลายกิเลสในใจตนเอง
    เพราะมันจะค่อยๆมีการพัฒนา ขึ้นได้เรื่อยๆ ตามลำดับ
    โดยไม่มีเสื่อม ตามแต่ระดับความสามารถ
    ในการละ คลาย สิ่งที่เกาะในจิตเรา
    ที่จะไปดึง พวกภายนอกต่างๆ
    ที่ทำให้เรา ยึดติด ในลาภ ยศ สุข สรรเสริญเหล่านั้นแล
    พอนึกภาพออกไหม

    ปล.แค่เพียงแต่เล่าให้ฟังนะ
     
  10. Begin again

    Begin again Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2017
    โพสต์:
    60
    ค่าพลัง:
    +194
    ขอบคุณครับ คุณ nop สำหรับ แนวทางและคำอธิบายก็ยังไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ยังอึนๆบ้าง แต่จะพยายามฝึกให้รู้ได้ด้วยตัวเองครับ
     
  11. Begin again

    Begin again Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2017
    โพสต์:
    60
    ค่าพลัง:
    +194
    เรียนสอบถามคุณ nop เพิ่มเติมนะครับอาจจะดูน่ารำคาญแต่อยากให้สงเคราะห์ลูกหมาตาดำๆสักหน่อย งื้ดๆ

    ด้วยความที่ผมเป็นมือใหม่มากๆ ไม่มีพื้นฐานทั้งทางสมาธิและเรื่องสภาพจิต เลย ที่ตอนนี้อยากเริ่มปฏิบัติเพราะเริ่มจะอยู่กับตัวเองไม่ได้ ประมาณบางทีเหมือนเป็นคนไม่ใส่ใจ ไม่ว่ากัน แต่เหมือนอารมมันสะสม พอถึงเวลาแล้วระเบิดดีๆนี่เอง สติไม่ต้องพูดถึง ยังดีที่เหมือนมีอะไรมาฉุดสติไว้ ทั้งคำสอนของแม่ และศีลธรรมที่ยังหลงเหลืออยู่ ไม่ให้มันไปถึงขีดสุด จนเผลอพลั้งมือฆ่าคน ในช่วงแรกจะว่ามาพึ่งพระรัตนตรัยก็ไม่เชิง เมื่อสักสอวเดือนก่อนเริ่มไปวัด ไปแล้วใจค่อยๆสงบ ไปครั้งแรกนี่ถึงกับแน่นหน้าอกหายใจไม่ออกกันเลยแหละ 55555 แล้วก็เริ่มสวดๆมนต์ มันก็ดีขึ้นนะในความรู้สึก แล้วก็ไปๆมาเลยสนใจการทำสมาธิ พอเริ่มทำมันก็ดีขึ้นเยอะเลยรู้สึก เมื่อก่อนกินเหล้าทุกวัน ทุกวันจริงๆ เกือบปี ก่อนหน้านั้น ไม่ทุกวันแต่บ่อย คือต้องเมาถึงจะหลับ ไม่งั้นฟุ้งมาก ตอนนี้ก็เลิกมาได้ประมาณเดือนนึงละ ตอนแรกสวดมนต์แล้วมีอารธนาศีล 5 เกิดอายตัวเองด้วยแหละ สุดท้ายไปๆมาๆเลยอยากทำอยากปฏิบัติให้มันสุดไปเลย แต่ส่วนตัวเป็นคนเข้าใจอะไรค่อนข้างยาก T T ร่ายซะยาวเลย

    1. สมาธิสะสมระหว่างวัน หมายความว่า ระหว่างวันถ้ามีเวลาทำสมาธิสัก 10-15 นาทีเป็นประจำ จะทำให้นั่งสมาธิได้นานขึ้นรึป่าวครับ แต่สังเกตจากตัวเองเริ่มแรกจะได้ 15-20 นาที หลังๆจะทำได้นานขึ้น แล้วเหมือนพอถึงจุดนึงจะทำต่อไม่ได้ แต่ไม่สะดวกเดินจงกลม ก็จะใช้นอนพักแทนแต่จะกำหนดจิตต่อด้วย ไม่รู้ว่าจะแทนกันได้ไหมครับ
    2. ก็ได้ลองฝึกกสินลมตามที่คุณ nop แนะนำ คือ เพ่งท้องฟ้า แล้วภาวนา คือประเด็นหลักๆ เลยพอมองไปนานๆ มันจะเป็นสีชมพู แบบมองแดดนานๆ กรณีนี้ต้องเพ่งต่อหรือพักครับ แล้วก็มีข้อสังเกตนิดนึงคือบางทีมันไม่ชมพูทั้งหมดมันจะมีเว้นว่างเป็นลักษณะกลมบริเวณจุดที่เพ่งที่มันจะไม่เปลี่ยนสีคือเป็นภาพสีปกติ ลองหลับตาสังเกตภาพ negative ติดตามันไม่มีวงกลมลักษณะนี้ คือตาผมไปแล้วใช่ไหมครับ แค่วันเดียวเอง T T คือตอนมองนี่ใส่แว่นกันแดดได้ไหมครับ หรือมองผ่านกระจกที่มันมีฟิมล์กันแสงได้ไหมครับ แล้วการเพ่งของผมไม่รู้ว่าถูกต้องไหมคือผมจะมองเป็นจุดๆเดียว เลยเกิดปัญหาตามันเลื่อนตามเมฆ ที่ลอย บางทีมันก็จะเป็นเองหลังจากพักสายตาเหมือนๆสายตามันจะไม่ลอยตามหรือเหมือนแค่มองไม่ได้เพ่ง ไม่รู้ว่าอย่างไหนดีกว่าหรือผิดทั้งสอง คือผมต้องถามเพราะกลัวหลงทางครับ
    3. ช่วงนี้ก่อนนอนนะครับช่วงที่พอหลับตาไปไม่นานมันจะมีอาการหวิวๆวูบๆบริเวณหน้าอก เคยถามพี่ชายผมเค้าบอกว่ามันอาจเกิดจากการนั่งสมาธิก่อนนอน เมื่อคืนผมไม่ได้นั่งสมาธิมันก็ยังเป็นครับ แล้วมีความรู้สึกแปลบเหมือนมีกระแสไฟฟ้าอ่อนๆ วิ่งผ่านหัวไปตามแนวสันหลัง มันอันตรายกับร่างกายไหมครับ คืออันนี้กลัวเลยสอบถาม กลัวจะเป็นความผิดปกติทางร่างกาย
    ปล. เพราะมันเป็นอาการที่มันจะเกิดขึ้นเวลาผมจะขยับร่างกายไม่ได้ คล้ายๆผีอำ และมันเป็นได้ตลอดถึงจะอยู่ในอิริยาบถใดๆก็ตาม ไม่ว่านั่ง นอน ไม่เลือกสถานที่ด้วย และไม่เลือกจำนวนคนในเหตุการณ์
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 ตุลาคม 2017
  12. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,424
    ค่าพลัง:
    +35,040
    ตอบ ข้อ ๑ นะใช่เข้าใจถูกแล้ว จะกำหนดจิตเอาก็ได้
    และไม่ต้องนานขนาดนั้น ย้ำว่า เน้นแค่จิตสงบพอ
    กี่นาทีก็ได้ จะ นาที สองนาทีก็ว่าไป แต่สำคัญคือ ทำบ่อยๆ

    ๒.คือ มันจะขึ้นสีอะไรช่างมัน ถ้าล้าสายตาให้พัก
    มองอยู่ในร่มนะ ย้ำว่า มองผ่านเหนือระหว่างคิ้ว
    จนกว่าจะเห็นว่า อากาศที่มองมันมีความแตกต่าง
    กับอากาศด้านข้าง เด่วมันจะเป็นวงกลมได้เอง
    ค่อยๆเป็นค่อยๆไป ช่วงนี้ ถ้าไม่ใช่เห็นแบบนี้
    ห้ามสนใจทุกๆกรณี ไม่ว่าจะเห็นอะไร
    ๓.เรื่องปกติมากถึงมากที่สุด เป็นสภาวะที่จิตมัน
    รับรู้เรื่องทางพลังงาน ซึ่งปกติทางพลังงานมันจะอยู่
    ในแนวกระดูกสันหลังอยู่แล้ว (คนจะใช้งานได้ต่อไป
    ปกติจะประกอบด้วยพลังงานสองส่วนคือ ๑.ตามแนวจักระด้านหน้าขึ้นไปเชื่อมบน และ ๒ แนวกระดูกสันหลังขึ้นไปเชื่อมบนและท้ายสุด ๒ สายนี้รวมกันก็จะใช้งานทางจิตได้)
    ซึ่งเป็นปกติถ้าจะมาทางกรรมฐานกองต่างๆ ที่ต้องใช้จิตหรือกรรมฐานกองนี้ด้วย แต่กิริยา ที่เราเป็นมันฟ้องว่า
    กำลังสมาธิสะสมเรายังไม่พอเฉยๆ
    ถึงรู้สึกทางกายอย่างที่เป็น เด่วทำไปเรื่อยๆ ก็ไม่รู้สึกอะไร
    หรอกทางกาย แม้ว่าจะอยู่สภาวะนั้นก็ตาม ....
     
  13. Begin again

    Begin again Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2017
    โพสต์:
    60
    ค่าพลัง:
    +194
    ขอบคุณมากครับคุณ nop
    พอจะเข้าใจคำว่ามองผ่านเหนือระหว่างคิ้วแล้ว คล้ายๆมองผ่านหางตาใช่ไหมครับประมาณมองตรงแต่โฟกัสไปทางเหนือหว่างคิ้ว รู้สึกสายตาล้าน้อยลง สังเกตตัวเองว่าทำเพ่งกสิณจะคล้ายทำสมาธิแบบลืมตา เมื่อเทียบกับการนั่งสมาธิแบบหลับตา จะรู้สึกใจสงบกว่าพอสมควร คือเพ่งกสิณแล้วใจสงบกว่า เพราะเมื่อก่อนจะนั่งสมาธิช่วงเช้าแต่ระหว่างวันใจจะไม่ค่อยสงบ เท่าเพ่งกสิณ รู้สึกดีที่ได้ปฏิบัติ จะพยายามทำต่อไปให้สัมฤทธิ์ผล ขอบคุณคุณ nop อีกครั้งครับ แล้วก็อนุโมทนา บุญ ครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 ตุลาคม 2017
  14. Begin again

    Begin again Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2017
    โพสต์:
    60
    ค่าพลัง:
    +194
    คุณ nop ครับ อันนี้ขอเป็นความรู้ความเข้าใจเพิ่มเติมนะครับ
    .. คือผมสังเกตุว่า ระหว่างนั่งสมาธิ กับ การเพ่งกสิณที่ฝึกด้านกำลังจิต สำหรับตัวผมเองที่รู้สึกคือจะเหมือนกันอยู่อย่างคือ ทำไปสักพักถึงจุดนึงแล้วมันจะหมด คือ ทำต่อไม่ได้ต้องพักก่อน เติมพลัง สำหรับสมาธิคือสามารถทำสมาธิสะสมระหว่างวันได้ สำหรับกำลังจิตนี่มีวิธีไหมครับ หรือแค่พักก็พอ และสำหรับตัวผมรู้สึกต่างกันมากคือ เพ่งกสิณ แล้วแน่นหน้าอกจุก ตรงลิ้นปี่ อันนี้สังเกตจากวันก่อนตอนยังไม่ฝึกกสิณเคยเพ่งรูปพระแล้วแน่นหน้าอก พอหยุดแล้วไปนั่งสมาธิแบบฝืนๆหายใจเพราะจุกสักพักจึงหาย ไม่รู้ว่าเกี่ยวไหม แล้วการฝึกเพ่งกสิณเพื่อฝึกกำลังจิตนี่การทำเป็นระยะเวลานานๆติดต่อกัน กับ การทำสักพักประมาณ 10-15 นาทีแล้วหยุดพัก แล้วทำใหม่ไปเรื่อยๆให้ผลต่างกันไหมครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 ตุลาคม 2017
  15. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,424
    ค่าพลัง:
    +35,040
    ๑.สมาธิคือการข่ม หรือกด
    ทางคลื่นคือ การลดระดับคลื่นความถี่ลง
    ทางกิริยา คือ มันยังเป็นการกระทำเพื่อให้ลดลง ให้สงบอยู่
    เปรียบได้เหมือนเราออกแรงเอามือ กดก้อนพลาสติกกลมๆนิ่มๆ
    ที่มีน้ำอยู่ภายในก้อนหนึ่งอยู่
    แม้ว่าเราจะกดมันได้สบายๆ
    แต่ถ้าจะกดให้ก้อนพลาสติกมันแบนและน้ำพุ้งออกมาเลย
    มันก็ต้องใช้แรงอย่างมากอยู่


    และถ้าเรายังพาลซื่อ คิดว่ากดมันไปนานๆเด่วมันจะแตกเอง
    (เปรียบเหมือนการไปพยายามเกร๊งกล้ามตะ ระ รูด
    นั่งสมาธินานๆ)
    มือเราเองที่จะเกิดอาการล้า ล้าคือการจะกลับไปใช้
    แรงเท่าเดิมที่มีที่ใช้ในการกดครั้งแรกจะต้องมีการฟื้นฟู
    ลองถือ วัตถุอะไรก็ได้ ที่เบาๆ พอมีน้ำหนักไว้นานๆจะเข้าใจ
    (ล้าเปรียบได้กับความรู้สึกว่าเห้ย กำลังสมาธิถดถอย)
    ดังนั้นจึงหาอุบาย คือ ค่อยๆกดก้อนพลาสติกนั่นแล้วปล่อย
    ค่อยๆกดแล้วปล่อย(เปรียบได้กับการสะสมสมาธิในระหว่างวัน)
    เพื่อที่ไปทำให้ก้อนพลาสติก สร้างและ
    เกิดคุณสมบัติในการคลายตัวของมันเองเพิ่มขึ้น
    พูดง่ายๆว่า ทำให้ก้อนพลาสติกมันล้าและเริ่มขยายตัว
    ซึ่งการขยายยืดตัว มันจะมีจุดที่ยืดไปแล้วไม่หดกลับ
    (เหมือนหนังยาง ถ้าเราดึงมันมาก มันจะยืด ถ้าดึงพอดี
    มันจะหดกลับเท่าเดิมพอนึกออกไหม)
    และการที่เรา ไปกดมันบ่อยๆ ด้วยแรงเท่าๆเดิมนั้น
    สิ่งที่เราจะได้ ก็คือ ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ
    บริเวณนั้น ที่ร่างกายมันจะค่อยๆสร้างขึ้นมาของมันเอง
    (เปรียบได้ กับการเข้าสมาธิระดับสงบบ่อยๆ จิตจะคุ้นชิน)
    เมื่อร่างกายมีกำลังความแข็งแรงเพียงพอ
    บวกกับพลาสติกที่ถูกกระตุ้นจนล้า
    ต่อไป เมื่อเรากดมันอีก มันก็มีโอกาส
    ที่จะแตกได้นั้นเอง(เปรียบได้กับสมาธิยกระดับ หรือ ร่างกาย
    มีความแข็งแรงเพิ่มขึ้น นั่นเอง)


    ๒. ก็ถ้ายังเกิดความรู้สึก ทางกายได้อยู่
    มันฟ้องว่า กำลังสมาธิสะสมเราไม่พอ
    ถ้าเราไปทำอะไรก็ตาม ที่เป็นการสร้างสมาธิ
    สะสม ถ้ามันมากพอ ความรู้สึกที่ส่งถึงกายก็จะไม่เป็นอีก
    พอเข้าใจหรือยัง ประเด็นแรก
    ๓.การลืมตามองและจดจ่ออย่างเดียวในขณะที่สภาพแวดล้อมอื่นๆยังมีเป็นปกติ สมาธิจะดีกว่า
    การหลับตา เพื่อที่จะจดจ่อสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ที่สภาพแวดล้อมมืดๆ
    เพราะถ้า มืดโอกาศที่จิตจะสร้างสัญญาขึ้นมาประกอบ
    เนื่องจากสภาพแวดล้อมที่มืดจะสูงกว่า
    *** หากหลับตาฝึก ให้ทำตามองลงไปที่ลิ้นปี่ เหมือนสายตา
    พระพุทธรูป ถึงจะตัดความคิดปรุงแต่งพวกนี้ได้เอง
    และจะเหมือนมีตาเดียวมองผ่านเหนือคิ้วได้เองตามธรรมชาติ **

    ๔.กสิณในระดับเริ่มต้น เป็นกรรมฐานที่ถือว่าหยาบ.....
    จึงดูเหมือนเข้าถึงง่าย....แต่การจะสร้าง ให้จิตเกิดกำลังจิตได้
    ก็คือ การที่เราจะต้องออกกำลังกายให้กับตัวจิต

    นั่นคือ การที่ให้จิต สร้างภาพขึ้นมาด้วยตัวจิต
    และปั่นภาพปฏิภาคนิมิตนั้นให้ได้ ในกำลังสมาธิระดับสูง
    จิตถึงจะแข็งแรง มีกำลัง เรียกกันง่ายๆว่า กำลังจิต

    ทำไมต้องปฏิภาคนิมิต ระดับสูง เพราะในระดับอุปจารสมาธิ
    จิตมันก็จะสามารถเห็นภาพ สร้างภาพได้ ปั่นได้ เช่นกัน
    ซึ่งมันเป็นสภาวะปกติที่เกิดได้ ปกติในช่วงนี้
    ไม่ได้เกิดจากการ ลดคลื่นความถี่ หรือข่มมันแล้วสร้างภาพ
    ขึ้นมาใหม่...

    และมันไม่ได้อยู่ในคลื่นความถี่ที่ต่ำมาก(สมาธิไม่สูง) มันจึงไม่มี
    กำลังมาหนุน(จากระดับสมาธิที่เพิ่มขึ้น)
    ในการสร้างภาพนั้น ภาพนั้นเกิดได้เพียง
    เพราะสภาวะปกติของมันในช่วงคลื่นนั้น...
    (ช่วงนี้ เราถึงฝันได้ อะไรได้ นั่นเอง คือมีภาพ
    แต่ไร้กำลัง มีแต่เหนื่อย ถ้าสมาธิเราไม่พอ เพราะ
    มันเหมือนกำลังใช้งาน ในสภาวะที่มีภาพเกิดขึ้นได้อยู่แล้ว)
    ดังนั้น ในระดับกำลังอุปจารสมาธินี้
    ต่อให้ปั่น ชาตินี้ยันชาติหน้า จิตก็ไม่เกิดกำลังจิต
    แต่เอาไว้ซ้อมปั่นได้อยู่

    กำลังจิตเป็นฝ่านนามธรรม ถ้าได้เกิดแล้วมันไม่เสื่อมนะ
    เพราะมันไม่ได้ยึดเกี่ยวกับร่างกายตั้งแต่ตอนสร้าง
    (เหตุจากเราข่มมัน
    ลงให้เกิดภาพในกำลังระดับสูง นั่นคือ มันไม่เกาะกาย
    ตอนที่จะสร้างแล้ว มันแยกเป็นเอกเทศของมัน
    ไม่เหมือนอุปจารฯ ที่ยังมีการเหนี่ยวกายอยู่
    คือใจไปแต่กายรูปธรรมไม่ไปตาม)
    เราจึงได้เห็น ครูบาร์ อาจารย์ อายุมากๆ
    มีกำลังจิตสูงๆกันนั่นหละ....

    และสมาธิเช่นกัน ถ้าได้แล้วคือมันจบ
    จบในที่นี้คือ ไม่ต้องมาตั้งเกร๊งกล้ามตะรูด
    เพื่อเข้าถึงสภาวะนั้นอีก แค่เสี้ยววินาที
    ถ้าจะใช้งาน ก็เข้าถึงแล้ว
    นี่คือ นัยยะ สมาธิได้แล้วมันจบ

    แต่มีความจำเป็นที่จะต้องสร้างความแข็งแรง
    ให้กล้ามเนื้อมือก่อน จนมันสร้างกล้ามเนื้อขึ้นมา
    จนเกิดความเสถียรนั่นแล......
    ปล.พอเข้าใจภาพรวมเนาะ...
     
  16. Begin again

    Begin again Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2017
    โพสต์:
    60
    ค่าพลัง:
    +194
    ขอบพระคุณอย่างสูงครับ คุณ nop
    พอจะเกทละครับว่าอะไรคืออะไร และรู้ตัวแล้วว่ากระผมกำลังสมาธิช่างต่ำเตี้ยเรี่ยดินเสียนี่กะไร สังเกตมานานละทั้งการนั่งสมาธิและการเพ่ง ทำไปได้กำลังจะดี เหมือนอีกนิดนึงแต่ก็วูบเอาซะดื้อๆไปต่อไม่ได้ซะเฉยๆ ก็คิดๆไว้แล้วว่าน่าจะเป็นเพราะอะไรสักอย่าง ทีนี้ถึงบางอ้อแล้ว แหะๆๆ ขอบพระคุณหลายๆรอบเลยครับ
    ...... อนุโมทนา สาธุ จ๊ะ
     
  17. Begin again

    Begin again Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2017
    โพสต์:
    60
    ค่าพลัง:
    +194
    มีเรื่องมารบกวนคุณ nop อีกแล้วครับ เป็นรายวันเลย 555555

    จากคำแนะนำของคุณ nop ในการนั่งสมาธิช่วยให้การนั่งดีขึ้นมาก และการเพ่งกสิณด้วย อันนี้ต้องขอขอบพระคุณอีกครั้งครับ

    ประเด็นคือเมื่อตะกี้ นั้งสมาธิแล้ว คิดว่าจิตนิ่งแล้วพอสมควรก็ประคองอารมณ์ไว้ แต่ดันอยู่ๆเกิดรู้สึกเหมือนที่ท้ายทอยมันหมุนๆ ไม่รู้คิดไปเองไหม ก็จำได้ว่าถ้าไม่แน่ใจก็เลิกสนใจ แต่ความรู้สึกดันยังเป็นอยู่ จากที่อ่านที่คุณ nop เคยกล่าวถึงจุดที่ท้ายทอยมันจะดึงดูดอะไรสักอย่าง แหะๆ อาการของผมใช่ไม่ใช่ไม่รู้ เลยพยายามลองนึกให้มันเคลื่อนขึ้นมาที่ส่วนบนของศรีษะแทน ปรากฎมันหายจากท้ายทอย แต่ดันมาหยุดที่ช่วงบริเวณขมับ ที่นี้เหมือนขมับถูกกดแล้วรู้สึกในหัวเหมือนถูกปั่นมันเหมือนส่ายๆสั่นๆ ทนสักพักเลยหยุด ตอนที่พิมนี่ยังรู้สึกเหมือนถูกกดที่ขมับอยู่ อารมแบบถูกนวดกดจุด แบบนี้มันเป็นเพราะอะไรครับ มีวิธีแก้ไหมครับ
     
  18. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,424
    ค่าพลัง:
    +35,040
    คนมาทางกรรมฐานสายนี้
    มันจะเกี่ยวข้องกับเรื่องพลังงานภายนอก
    และภายในเป็นปกติ
    อาการที่เป็น นั่นมันฟ้องว่า
    กำลังสมาธิสะสมยังไม่พออีกนั่นหละ ๕๕๕๕

    ไม่ต้องกลัว พวกกิริยาระหว่างทางอะไรเลย
    ไม่ว่าจะเกี่ยวกับทางกายหรือทางจิต

    ปั่นปฏิภาคนิมิต ให้ได้ในกำลังระดับสูง เป็นประเด็นหลัก
    ในระหว่างทาง จะเกิดอะไรก็ตาม ทางกายและจิต
    ไม่ต้องไปสนใจทุกๆกรณี ย้ำว่า ห้ามสนใจ
    แม้ไม่เข้าใจอะไรก็ช่างมัน เอาอย่างเดียว
    คือ เกรงกล้านตูด ปั่นปฏิภาคนิมิตให้ได้พอ
    อย่าง ไม่สน....และถ้าทำได้
    แล้วจะเข้าใจได้ด้วยตัวเอง และกิริยา
    พวกนั้น จะเปรียบผลกระทบได้
    เหมือนประมาณเปิดพัดลมใส่ตัว
    แค่ปิด หรือต่อไป แค่ตัด ก็สิวๆแล้ว.....
    และมันจะย้อนรู้ได้ ทุกๆกิริยาที่ผ่านมาแล้ว
    ด้วยตัวเองทั้งหมด ทุกกิริยา
    จะเล่าได้เป็นฉากๆ ไม่ต้องห่วง
    พูดจนแมวหลับได้แล้วกัน...

    ที่ถามๆมาคล้าย เหมือนจะบอกให้คนรู้ว่า
    กำลังสมาธิผมยังไม่พอนั่นเอง ๕๕๕๕
     
  19. ice_jade

    ice_jade เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กันยายน 2005
    โพสต์:
    68
    ค่าพลัง:
    +311
    ขอถามเรื่องฝึกกสิณด้วยคนค่ะ

    รบกวนขอถามคุณนพค่ะ ว่าถ้าดิฉันอยากจะฝึกกสิณบ้าง สามารถฝึกได้หรือไม่ และควรฝึกกองไหนจึงจะเหมาะกับตัวเอง หรือว่าเดินทางสายปัญญาจะดีกว่าคะ ส่วนตัวเคยฝึกแบบอานาปานสติมาก่อน แต่นั่งแล้วจิตมันไม่สงบเท่าที่ควร เคยอ่านเจอ(จากที่ไหนจำบ่ได้แล้ว) ว่าการฝึกกสิณช่วยสร้างกำลังให้จิต ทำให้นั่งสมาธิได้ดีขึ้น เลยไปหาข้อมูลการฝึกกสิณ ฟังคำสอนของหลวงพ่อฤาษีฯเรื่องวิธีการปฎิบัติบ้าง ของท่านอื่นๆบ้าง แต่ฝึกแล้ว(กสิณสี) ไม่ค่อยติดตา เลยไม่แน่ใจว่าฝึกกสิณถูกกองหรือฝึกผิดวิธีหรือเปล่า(หรือเราใจร้อนเอง?) ต่อมาก็มาค้นเจอกระทู้นี้ค่ะ

    อ่านตั้งแต่ต้นกระทู้มาเรื่อยๆ ก็มาหัดฝึกนั่งเองบ้างตามที่คุณนพแนะนำ (กสิณน้ำ) รู้สึกว่าช่วยดับความคิดและอารมณ์ฟุ้งซ่านที่เกิดขึ้นบ่อยๆได้ดีขึ้น แต่ไม่ค่อยเข้าใจเรื่องการทำภาพกสิณให้เกิดขึ้นในจิตโดยไม่ใช้ความคิด ไม่ทราบฝึกกสิณกองนี้เหมาะกับตัวเองไม๊คะ ถ้าคุณนพจะช่วยชี้แนะแนวทางให้ จักเป็นพระคุณยิ่ง

    ขอบคุณจ้า
     
  20. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,424
    ค่าพลัง:
    +35,040
    ฝึกได้ทุกกองครับ ปัญหาอยู่ที่ยังมีระบบความคิดเข้ามาแทรกตอน
    ที่ฝึกเฉยๆครับ ให้ปรับระบบหายใจใหม่ วิธีการฝึกแบบหลับตา และลืมตา คิดว่า คงเคยอ่านๆผ่าน เอาตรงนี้พอครับ เด่วมันจะไปได้ของมันเองในกองที่ฝึกอยู่นั่นหละครับ แล้วค่อยเอากำลังตรงนี้ ไปเพื่อเดินปัญญาต่อครับ...
    นึกภาพออกไหม เหมือนเรามีรถสวยๆพร้อมใช้ แต่ดันยางแบนซะงั้น เติมลมก่อนนะครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...