ร่วมทำบุญบูชา ตะกรุดพ่อสมหวังบรรจุธาตุพระปัจเจก(ขอทรัพย์พระปัจเจก) พ่ออาจารย์พล

ในห้อง 'พระเครื่อง วัตถุมงคล' ตั้งกระทู้โดย คุรุปาละ, 12 ตุลาคม 2014.

  1. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    6,100
    ค่าพลัง:
    +16,525
    พรุ่งนี้ติดตามกันนะครับ :)
     
  2. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    6,100
    ค่าพลัง:
    +16,525
    ร่วมทำบุญบูชา ตะกรุดพิชัยสมบัติ จักพรรดินาคา (เคลือบเหล็กไหลบาดาลแก้วอำพัน)

    เนื่องจากพ่ออาจารย์ท่านมีดำริเปิดให้บูชาตะกรุดตะกั่วขอมโบราณลงถม ซึ่งเป็นตะกรุดที่มีวิธีการสร้างซับซ้อนยุ่งยากโดยท่านจะนำก้อนตะกั่วที่ขุดได้จากบริเวณประสาทขอมยุคอารยธรรมโบราณ ซึ่งตะกั่วก้อนเหล่านี้เชื่อว่ามีความศักดิ์สิทธิ์มากเนื่องจากได้ซึมซับพระเวทย์และผ่านพิธีพราหมณ์มายาวนาน ท่านนำมาหลอมรีดและทำการลงอักขระลบถมด้วยหินสะบ้าซ้ำแล้วซ้ำอีก ตามวิธีการทำตะกั่วลงถมที่บูรพาจารย์แต่โบราณนิยมกระทำและหาคนที่จะทำมิได้แล้ว ก่อนจะนำไปหลอมรีดเป็นแผ่นตะกรุดในตอนท้ายนั่นเอง


    ซึ่งตะกรุดพิชัยสมบัติ จักรพรรดินาคานี้ เกิดจากดำริของพ่ออาจารย์ท่านที่จะทำสุดยอดวิชาจากตำราพระพิชัยสงคราม นั่นคือวิชาพิชัยสมบัติ ซึ่งหาผู้รู้จริงทำจริงที่จะทำได้ยาก ท่านว่าวิชานี้ไม่ใช่วิชาชนชั้นทั่วไป แต่เป็นวิชาโชคลาภโภคทรัพย์ตำรับพิชัยสงคราม เป็นวิชาที่ทำถวายเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดิน พ่ออาจารย์ท่านให้ความสำคัญกับวิชานี้มาก ด้วยว่าเป็นวิชาที่มีอานุภาพค่าควรเมืองตำรับหนึ่ง พ่ออาจารย์ท่านให้ความสำคัญกับวิชาพิชัยสมบัติมากท่านว่าถึงกาลควรแก่เวลาแล้วที่คนจะได้เปิดดวงเบิกบุญปรับหนุนโชคชะตากันเสียที วิชานี้พ่ออาจารย์ท่านต้องลงอักขระเลขยันต์ตามตำรับ หนุนด้วยสี่เทวราชที่คุมมหาทิศทั้งสี่นั่นคือท้าวจตุโลกบาลท่านว่าเพราะแบบนี้ไม่ว่าอยู่ทิศไหนที่ไหนก็รวยเพราะเป็นอาญาสิทธิ์ของจตุโลกบาล ไม่เพียงเท่านั้นวิชานี้ยังเป็นวิชาที่เสริมส่งคนใช้ด้วยคุณของสิบสองพระโพธิสัตว์อีกด้วย พ่ออาจารย์ท่านว่าพระโพธิสัตว์ทุกองค์นั้นล้วนมีจิตเมตตาเปี่ยมด้วยมหากรุณาอันยิ่ง แน่นอนว่าทุกพระองค์ย่อมโปรดสัตว์ให้พ้นจากความทุกข์ยากได้ด้วยจิตมหากรุณานี้ แต่ท่านว่านี่ยิ่งแล้วใหญ่เลยเพราะไม่ใช่มีกำลังเพียงหนึ่งแต่นี่มีถึงสิบสอง


    วิชาพิชัยสมบัตินั้นจึงเป็นวิชาสำคัญที่พลิกชีวิตคนได้แบบฉับพลันทันที เป็นวิชาชั้นสูงตามตำรับพิชัยสงคราม มีคุณอันหาค่ามิได้ ท่านว่าหากได้ไว้ผูกตัวหรือนำติดกายบูชา คนผู้นั้นจะเจริญรุ่งเรืองยกฐานะตนเองได้ แม้อยู่กับตัวก็ยกฐานะตัว แม้นำไปฝังในบ้านก็ยกฐานะเพิ่มทรัพย์สมบัติให้แก่เรือน หากบ้านไหนมีพระภูมิเทวดา นำตะกรุดนี้ไปฝังที่บริเวณพระภูมิ พ่ออาจารย์ท่านว่านี่ดีวันดีคืนทีเดียว เป็นอาญาสิทธิ์ท้าวจตุโลกบาลและสิบสองพระโพธิสัตว์ให้พระภูมิเจ้าที่รีบหาสมบัติมาให้ตรงไหนพร่องก็ต้องเติมให้เต็มอยู่เฉยมิได้เลย หากตั้งใจบูชาแล้วพ่ออาจารย์ท่านว่าไม่ว่าจะทำอาชีพอะไร ล้วนแต่ผลิดอกออกผลงอกเงย ที่จะได้ชั่วหรือเสมอตัวนั้นหามีไม่ด้วยเป็นวิชาที่สืบมาแต่บูรพาจารย์มีคุณด้านโชคลาภสูงส่ง เชื่อถือกันมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานีแล้วว่าเป็นสุดยอดวิชาทางด้านเรียกโชคลาภให้หลั่งไหลมาไม่ขาดสาย ชีวิตใครไม่เคยมีโชคหากจับพิชัยสมบัติขึ้นมาจะพลิกเปลี่ยนวาสนาได้ฉับพลันทันที ด้วยว่าพิชัยสมบัตินั้นคือปรับชีวิตให้มีชัยชนะเหรือทรัพย์สมบัตินั้นเอง ให้ผู้ใช้เป็นเจ้าแห่งทรัพย์สมบัติทั้งหลาย นี่จึงไม่ใช่วิชาโชคลาภโภคทรัพย์ธรรมดา สิ่งใดที่เป็นไปไม่ได้ก็จะบังเกิดขึ้น พ่ออาจารย์ท่านว่าแม้ความปรารถนาใดที่ต้องใช้ความอุตสาหะมาก ใช้ความเพียรมาก ทำให้ชีวิตเรายากเย็นแสนเข็ญเหลือเกิน สิ่งเหล่านั้นล้วนแต่จะสำเร็จสมปรารถนาดั่งตั้งจิตมุ่งหวังไว้ไม่เคลื่อนคลาย นี่คือพิชัยสมบัติตามตำรับพิชัยสงครามอย่างแท้จริง


    พ่ออาจารย์ท่านเมตตาปลุกเสกแผ่นตะกั่วขอมโบราณลงถมโดยการนำมาแช่น้ำทิพย์มนต์ ท่านว่าคายมนต์อมฤตลงไปชุบแช่ตัวแผ่นตะกรุด ท่านว่าต่อไปคนใช้เค้าจะได้ผลิดอกออกผลไม่เหี่ยวเฉาฟื้นคืนชีวิตได้ฉับพลันทันที ต่อจากนั้นท่านจึงนำมาลงวิชาพิชัยสมบัติ เสริมด้วยมหามนต์บทสำคัญต่างหลายสิบพระคาถาที่ให้คุณสำคัญด้านต่างๆเช่นสิริกิระนะบทเต็ม ช่วยหนุนดวง อุ้มดวง ค้ำชูดวง เสริมแต่งสิริมงคลทั้งยังเป็นเมตตามหานิยมอย่างยิ่ง อยู่ที่ไหนทำอะไรท่านว่าไม่มีตกต่ำ นอกจากนั้นยังใส่หัวใจนางกวักทรัพย์หัวใจเทวดา และสุดยอดพระคาถาวิชาของพระอนุรุทธเถระเจ้าที่อยู่ที่ใดจะหนุนเสริมคนให้ไม่รู้จักคำว่าไม่ได้และไม่มี และเสริมด้วยพรหมสี่หน้า เมตตาสี่ทิศ ตลอดจนพระคาถาสำคัญต่างๆ


    พ่ออาจารย์ท่านว่าลำพังวิชาพิชัยสมบัตินั้นก็นับเป็นยอดของวิชาแล้ว แต่ท่านยังเมตตานำวิชาจักรพรรดินาคา และพระยันต์สำคัญสายเจ้าปู่สำเร็จลุนมาลงประทับหลังไว้ด้วย ท่านว่านี่เปิดบาดาลเปิดทางทรัพย์กันทีเดียว ด้วยว่าสำคัญนักเพราะมหาสมบัติทั้งหลายนั้นไม่ได้ลอยมาจากทิพย์สถานวิมานในอากาศ หากแต่อุบัติขึ้นจากในแดนบาดาล แม้ทรัพย์สมบัติเมืองฟ้าของเทพยดาทั้งหลายก็ย่อมมาจากพิภพบาดาลทั้งสิ้น พ่ออาจารย์ท่านว่าเมืองบาดาลนั้นคือขุมทรัพย์ที่ใหญ่ที่สุดเหนือสวรรค์ชั้นฟ้าใดๆทั้งสิ้น ท่านจึงลงวิชาสำคัญด้วยจักรพรรดิบาดาล หรือจะเรียกจักรพรรดิบันดาลก็ได้ เริ่มจากลงวิชาเปิดบาดาล เปิดนาคพิภพ หนุนส่งด้วยวิชามหาคงคา จากนั้นจึงลงหัวใจจักรพรรดินาคา ผูกกับยันต์แก้วมณีโชติและยันต์ขุมทรัพย์ ท่านว่านี่สำคัญนักเพราะเป็นสิ่งเชื่อมต่อญานบารมีของจักรพรรดินาคาหรือองค์พญาอนันตนาคราชโดยตรง ท่านว่าวิชาสายพญานาคนี้สำคัญเพราะพญานาคนั้นเป็นเทพเดรัจฉานสามารถช่วยเหลือคนได้มาก ยิ่งพญาอนันต์ที่มีศักดิ์สูงสุดอยู่ในหมู่มหานาคดึกดำบรรพ์ที่เป็นบรรพชนของเผ่านาคายิ่งไม่ต้องพูดถึง พ่ออาจารย์ท่านว่านอกจากดึงดูดโชคลาภ ปกป้องคุ้มครองแล้ว ยังดึงดูดคู่ครองอีกด้วย ท่านว่าหากใช้วิชาพญานาคนี่มันเปิดทางทรัพย์เปิดทางคู่รักเปิดทางชีวิตทุกสิ่งที่เดียว ด้วยท่านลงวิชาสำคัญไว้ดุจพญาอนันต์นาคราชนี้ถือครองแก้วมณีโชติที่จะบันดาลได้ทุกสิ่งเสมอความคิดผู้บูชานั่นเอง ท่านว่าขุมทรัพย์บาดาลอยู่ตรงนี้ท่านพูดได้เท่านี้ ตะกรุดนี้ดีด้านชุ่มเย็น เป็นมหาอุดมเสริมส่งคนอย่างที่สุด เมื่อจะทำจะเสกนั้นท่านเชิญองค์อนันต์นาคราชมาช่วยทำด้วย ท่านว่าพญาอนันต์นั้นบอกว่าตะกรุดนี้สำคัญนัก ด้วยวิชาจักรพรรดินาคานั้น สามารถใช้เชื่อมต่อญานเข้ากับกษัตริย์นาคและจักรพรรดิบาดาลได้ทุกพระองค์ ท่านว่าสุดแล้วแต่ใจเราจะปรารถนาเอ่ยนามมหานาคพระองค์ใดเลยทีเดียว ไม่ว่าอยู่ที่ไหนย่อมรับรู้และเต็มใจช่วยเหลือเราทุกองค์ ไม่ว่าจะท้าววาสุกรี ท้าวมหากาล ท้าวมุจลินทร์ ท้าวนันโทปนันทะ ท้าวเอรกปัตต ท้าววิรูปักษ์ เป็นต้น ท่านว่าครอบคลุมทั้งหมดตั้งแต่มหานาคดึกดำบรรพ์ตลอดจนจอมกษัตริย์นาคาทั้งหลายในสี่ตระกูลไม่ว่าจะวิรูปักษ์ เอราปถ ฉัพยาปุตต กัณหาโคตมะ ด้วยว่าจะเป็นถลชะหรือชลชะตระกูลใดก็ดี ตระกรุดนี้มีอานุภาพไปถึงทั้งสิ้น

    เมื่อท่านลงพระยันต์และปลุกเสกแล้ว ท่านยังต้องเชิญเจ้าของวิชาอันเป็นบูรพาจารย์ของท่านมาร่วมเสกแผ่นยันต์นี้ด้วยอีกวาระหนึ่ง นั่นคือเจ้าปู่สำเร็จลุนนั่นเอง ท่านว่าทำแล้วก็ต้องทำให้ดีที่สุดจะครึ่งๆกลางๆอย่าไปทำ เมื่อปลุกเสกเสร็จแล้วท่านจึงนำมาม้วนและอธิษฐานจิตต่อไปแรมปีก่อนจะนำมาคลุกด้วยผงกายสิทธิ์วิเศษสมบัติเมืองบาดาล


    อันกายสิทธิ์นี้พ่ออาจารย์ท่านเรียกว่าเหล็กไหลบาดาลแก้วอำพันซึ่งท่านมีโอกาสได้รับมาแต่หลวงปู่คำคะนิงผู้เคยเดินเข้าออกพิภพบาดาลมาแล้ว หลังจากนั้นท่านก็พบเจอเหล็กไหลชนิดนี้อีกครั้งหนึ่งในถ้ำที่ท่านตรวจสอบด้วยญานแล้วว่าเป็นที่เชื่อมต่อทั้งสองโลกท่านจึงบอกกล่าวเจ้าของและขออนุญาตินำออกมา ซึ่งเหล็กไหลนี้จะมีวรรณะดุจแก้วเป็นสีอำพัน ดุจอำพันที่มีอายุนับสิบล้านร้อยล้านปี พ่ออาจารย์ท่านว่านี่เป็นยิ่งกว่าสมบัติบาดาลธรรมดา เพราะมีญานของจักรพรรดินาคาแฝงอยู่ทุกอณู เป็นของกายสิทธิ์มีฤทธิ์มาก อยู่นอกเหนือกฏธรรมชาติ สามารถช่วยเหลือและพลิกชีวิตผู้บูชาได้จริง ท่านนำมากระเทาะและตำนำมาเคลือบตะกรุดนี้ ท่านว่ามีคุณทุกทางตั้งแต่ปรับธาตุ ช่วยดูดซึมโรคร้ายและอวิชชาต่างๆ กรองสิ่งต่างๆที่จะเข้ามาถูกร่างกายเราให้เป็นพลังงานที่ดี ท่านว่าพกไว้กับตัวเถิดชีวิตห่างไกลโรคระบาดและภัยพิบัติตลอดจนสงครามทั้งปวง แม้เกิดขึ้นก็ไม่ส่งผลกระทบกับเราเอาชีวิตหรือทำให้เราถึงแก่อันตรายไม่ได้ ซ้ำยังเป็นเมตตามหานิยมอย่างเอกท่านว่าแรงนักไม่รู้จะบอกว่าอย่างไรดีท่านว่าพวกชอบใช้ปั้นเหน่งน้ำมันพรายทั้งหลายนี่ไม่ได้ใกล้เลย เหล็กไหลอำพันนี่มีคุณทางเมตตา มหานิยม มหาเสน่ห์แรงกว่านั้นเยอะ คงเพราะเป็นของพญานาคเป็นกายสิทธิ์ในพิภพบาดาลจึงให้คุณหลายทาง นอกจากนี้ยังดึงดูดทรัพย์สมบัติได้อย่างดีอีกด้วย ท่านว่าลองได้เลย วันไหนมีธาตุเหล็กไหลอำพันนี้อยู่กับตัวจะรู้สึกว่าแปลก วันนี้เราจะโชคดีทั้งวัน ทำไมมีคนยิ้มให้ ทำไมมีคนรักผิดหูผิดตา ซ้ำวันไหนจะเสี่ยงโชคหรือทำอะไรที่ต้องเสี่ยงดวงหรือแข่งขันก็ตาม ท่านว่าพกเอาไว้เถิดวันนั้นดวงเปิดแน่นอน ไม่ว่าจะติดกรรมอะไรจะดวงปิดวันไหน แต่เวลาที่เราอาราธนาแร่กายสิทธิ์นี้วันนั้นจะเป็นวันของเราท่านว่าพูดได้เท่านี้นะ ให้นำไปอัดกรอบพลาสติกกันน้ำให้ดีเวลาจะอาบน้ำให้อาราธนาบอกกล่าวเจ้าปู่สำเร็จลุน หลวงปู่คำคะนิง และพญานาคทั้งสี่ตระกูลเป็นที่สุดนำตะกรุดแช่น้ำไว้ พ่ออาจารย์ท่านว่าน้ำนั้นจะอาบจะกินก็สุดแล้วแต่ใจเราเถิด เพราะอานุภาพรังสีที่แผ่ออกมาจากตะกรุดคุณวิชาและธาตุกายสิทธิ์นั้นจะซึมซับเข้าไปในร่างกายเรา ดีอย่างไรท่านว่าท่านพูดไม่ได้ เอาว่าดีและจงรู้เห็นด้วยตนเองเท่านั้นพอ


    พ่ออาจารย์ท่านว่าตะกรุดนี้เป็นสมบัติของเมืองบาดาลมีเจ้าของเป็นของเฉพาะคนทุกดอก ด้วยว่ามีแต่ผู้ที่เคยผูกพันธุ์กับเมืองบาดาลเท่านั้นจะรู้สึกผูกพันธุ์กับตะกรุดนี้ ท่านทำการจารและอธิษฐานจิตไว้ได้ทั้งหมดแปดดอก


    คาถาบูชา(พ่ออาจารย์ท่านว่าใช้หายใจเข้าออก ท่องนาโคๆ เอาก็ได้)
    สุมะโน สุมะนะจะโล อะระวาเฬระปัตตะโก จัมเปยโย มุจะลินโท จะ กัมพะโล ภุชะคิสสะโร สุมนะนาโค สุมนจละนาโค อรวาฬะนาโค กาละนาโค มะหากาโฬ สังขะปาโล มะโหทะโร มะณิกัณโฐ มะณิอักขิ นันทะนาโคปะนันทะโก วะรุโณ ธะตะรัฏโฐ จะ กุงคุวิโลปะลาละโก จิตระนาโค มะหาวีโร ฉัพยาปุตโต จะ วาสุกี กัณหาโคตะโม ภุชะคินโท อัคคิธูมะสิโข ตะถา จูโฬทะโร อะหัจฉัตโต นาคา เอราปะถาทะโย อาสีวิสา โฆระวิสา เย สัพเพ นะยะนาวุธา ชะลัฏฐา วา ถะลัฏฐาวา ปัพพะเตยยา นะทีจะรา กะโรนตุ โน มะหาโสตถิง อายุมาโรคิยัง สะทา มะหันตา นาคะสา นาคา เวสาลา สะหะ ตัจฉะกา กัมพะลัสสะตะรา จาปิ เมรุปาทะสิตา พะลา ยามุนา ธะตะรัฏฐา จะ สัพเพ นาคา ยะสัสสิโน เอราวันโณ มะหานาโค โน กะโรนตุ อะนามะยัง


    ตะกรุดตะกรุดพิชัยสมบัติ จักพรรดินาคานั้น พ่ออาจารย์ท่านว่าทำยากและเสกได้ยากเพราะเป็นที่สุดของวิชาโภคทรัพย์ตามตำรับพิชัยสงคราม ซึ่งแต่โบราณนั้นอย่าหวังว่าคนธรรมดาสามัญจะมีไว้ในครอบครอง ยิ่งการเสกด้วยวิชาพิชัยสมบัตินั้นยิ่งยากเข้าไปอีก ท่านว่าท่านขอเสด็จพระใหญ่อยู่นานเมื่อจะทำตะกรุดนี้เพราะพิชัยสมบัตินั้นเป็นวิชาที่จะเปิดดวงคนให้มีชัยชนะเหนือทรัพย์ทั้งหลายโดยไม่สนชะตาชีวิตหรือสิ่งที่ผ่านมานั้นเอง เมื่อจะอธิษฐานจิตท่านจึงนำตะกรุดนี้มาปลุกเสกเก็บมาเรื่อยๆให้ตรงฤกษ์วันพระเจ้าเปิดโลกทุกครั้งตอนออกพรรษาท่านจะเชิญเสด็จพระใหญ่มาทำวิชาสงคราะห์ให้เฉพาะทีละดอกๆจนครบทุกดอก ท่านว่านี่เป็นตะกรุดสำคัญนักให้บูชากันให้ดี เพราะเสด็จท่านทำวิชาพิชัยสมบัติให้เอง เชื่อเถิดว่าชีวิตเปลี่ยนและพลิกกลับแน่นอน


    * สำหรับผู้ที่สั่งจองตะกรุดพิชัยสมบัตินี้ พ่ออาจารย์ท่านจะแถมตะกรุดพิชัยสมบัติดอกน้อยให้อีกหนึ่งดอกเป็นตะกรุดที่ท่านลงด้วยวิชาจักรพรรดินาคา ท่านว่าเผื่อดอกใหญ่เค้าจะได้นำไปบูชาในบ้าน ดอกเล็กจะได้นำติดตัวได้มีคุณเสมอกันเพราะเสกพร้อมกันทำมาให้เป็นคู่กัน ก็เลือกเอาว่าจะใช้ดอกไหน แต่ว่าหากอยู่ด้วยกันได้สองดอก สามารถนำมาติดตัวได้ทั้งสองดอกพร้อมกันแล้วท่านว่าจะเร็วและแรงมาก ดุจว่ามีของหนุนส่งกันทั้งตะกรุดดอกใหญ่ตัวแม่และดอกเล็กตัวลูกนั่นทีเดียว ท่านว่าสุดแล้วแต่ความสะดวกตามใจของผู้ใช้นั่นเลย ลองเอามาติดตัวพร้อมกันทั้งสองดอกก็ได้หากเห็นว่าแรงมากไป มีคนเมตตาเยอะเกินไป มีงานล้นมือเกินไปจนตัวเองเริ่มลำบากใจค่อยลดลงเหลือดอกเดียว

    * ตะกรุดพิชัยสมบัติ จักพรรดินาคานี้ เปิดให้จองเฉพาะทาง PM โดยให้แจ้งชื่อนามสกุลไว้ด้วย พ่ออาจารย์ท่านจะเดินมนต์ทำการบอกกล่าวธาตุกายสิทธิ์และพญานาคทั้งสี่ตระกูลให้ผู้บูชาอีกคำรบหนึ่ง


    ร่วมทำบุญบูชา ตะกรุดพิชัยสมบัติ จักพรรดินาคา (เคลือบเหล็กไหลบาดาลแก้วอำพัน) บูชา 4,000 บาท


    image.jpg 035.jpg image.jpg 1_282.jpg SAM_5347.jpg SAM_5349.jpg SAM_5350.jpg SAM_5351.jpg image.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 กรกฎาคม 2017
  3. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    6,100
    ค่าพลัง:
    +16,525
    พรุ่งนี้จะจัดส่งตะกรุดที่ร่วมกิจกรรมรอบสองให้นะครับ
     
  4. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    6,100
    ค่าพลัง:
    +16,525
    สาเหตุที่ทำให้ไม่เจริญและรวยได้ในชาตินี้
    อ่านแล้วได้ข้อคิดดีๆ ก็จะลงให้อ่านกันเรื่อยๆ อ่านให้จบได้ประโยชน์แน่นอน เป็นงานเขียนของ ธ.ธรรมรักษ์

    เมื่อพูดถึงกรรมหนักหรือครุกรรม 5 ประการที่จะส่งผลและปิดทาง ความเจริญ ความร่ำรวยไปแล้ว ก็จะมาพูดถึงสาเหตุหลักๆ อีกหลายสาเหตุที่ควรรู้ เพราะจะเป็นสิ่งที่จะสกัดกั้นไม่ให้คนที่ทำนั้นพบกับความเจริญ ความร่ำรวย ซึ่งมีความสำคัญไม่แพ้กัน

    1. สาเหตุมาจากการไม่เชื่อกฎแห่งกรรมและยอมจำนนกรรมเก่า
    เป็นเรื่องที่น่าเศร้าใจและน่าสงสารมากสำหรับคนที่ไม่เชื่อในเรื่องกฎแห่งกรรมนี้ ยิ่งในยุคปัจจุบัน วิทยาศาสตร์เจริญก้าวหน้า ก็ยิ่งทำให้คนเรามองไม่เห็นเรื่องบุญเรื่องบาป

    กลายเป็นผู้ที่ไม่มี ความละอายต่อบาป ไม่เกรงกลัวบาปเพราะไม่เชื่อว่ามีจริง จึงสร้างบาปก่อกรรมทำเข็ญอย่างไม่สะทกสะท้านสร้างความเดือดร้อนให้ตนเองและคนอื่น อย่างเราได้เห็นกันอยู่ นี้ก็เป็นผลจากการที่เราไม่เชื่อในเรื่องของกฎแห่งกรรมนั่นเอง


    ทั้งๆ ที่เรื่องกฎแห่งกรรมนี้ถือว่าเป็นเรื่องสำคัญมากๆ เป็นอันดับหนึ่งเลยสำหรับทุกคนในโลกนี้

    เพราะกรรมจะเป็นผู้กำหนดชีวิตของผู้กระทำ หมุนเวียนไปสู่ความสุขบ้างทุกข์บ้าง สุดแล้วแต่อย่างไหนเกิดขึ้น

    กรรมจึงเป็นกุญแจสำคัญของการแก้ไขปัญหาของชีวิต ถ้าเราเชื่อและเข้าใจกรรมอย่างถ่องแท้ก็จักมองเห็นเหตุผลอย่างแจ่มแจ้งว่า ความสุข ความทุกข์ ความดี ความชั่ว ความเสื่อมเจริญทั้งมวล เป็นสิ่งเนื่องมาจากกรรมของตนเองทั้งนั้น

    เราเองเป็นผู้สร้างโชคชะตาของชีวิตให้แก่ตนเอง อนาคตข้างหน้าของชีวิตขึ้นอยู่กับการกระทำของเราในปัจจุบัน

    คนที่มีความเชื่อในเรื่องกรรม เมื่อเวลาเกิดปัญหาชีวิตขึ้นมา ก็ย่อมไม่มีการปัดความรับผิดชอบหรือโยนความผิดไปให้ผู้อื่น แต่จะพิจารณาจากภายในจากการกระทำของตนเองเท่านั้น สิ่งอื่นภายนอกนั้นเป็นแต่เพียงตัวประกอบ หาใช่ตัวการสำคัญไม่

    การแก้ไขปัญหาชีวิตที่ถูกต้องคือ การหันมาแก้การกระทำของตนเอง ไม่เที่ยวแก้ไขเหตุการณ์ภายนอก ดังนั้นคนที่เชื่อกรรมจะมีชีวิตสะอาดและสดชื่นสมหวังเสมอ เพราะเขาตระหนักในผลของกรรม และระมัดระวังการกระทำอยู่ตลอดเวลา

    กรรมที่เรากระทำ สร้างเราให้เป็นคนดีหรือเป็นคนชั่วได้ ถ้าเราทำบาปชีวิตเราก็เศร้าหมอง ตกต่ำ ถ้าเราทำบุญเราก็มีความสุข บริสุทธิ์เบิกบาน จึงควรสร้างความเห็นชอบในเรื่องการทำกรรมดีไว้เสมอ เพราะความดีที่ทำจะได้ให้ความคุ้มครองตนเองได้ทุกกาล ทุกสถานที่
    สำหรับคนที่ไม่เชื่อต่อให้มีบุญเก่ามากขนาดไหนในภพชาติที่ผ่านมา ชาตินี้ก็คงได้รับผลบุญทำให้มีชีวิตเป็นสุขสบายได้ในระยะที่บุญที่มีส่งผลเท่านั้น เมื่อใช้บุญเก่าจนหมด ก็คงถึงเวลาที่กรรมไม่ดีได้ส่งผลบ้าง ซึ่งอาจจะเลวร้ายจนเกินคาดและรับมือได้


    เหมือนฝากเงินเก็บไว้ในธนาคารแล้วเบิกออกมาใช้จนหมดเกลี้ยง โดยไม่มีการฝากเงินต่อเอาไว้เลย มีชีวิตด้วยความประมาทเมื่อเวลามีเรื่องเดือดร้อนอย่างรุนแรง ต้องการใช้เงินมาแก้ปัญหา ก็ไม่สามารถจะแก้ไขปัญหาอะไรได้อีกแล้ว เพราะไม่มีทุนรอนไม่มีปัจจัยที่จะไปแก้ได้

    การไม่เชื่อในเรื่องของกรรมและกฎแห่งกรรมนี้ เป็นสาเหตุที่ทำให้หลงผิด คิดว่าทำดีไม่ดี จึงไม่อยากทำดี ทำแต่ความชั่วเพราะไม่เข้าใจจึงมุ่งเอาแต่ความสุขเฉพาะหน้าไม่หักห้ามฝืนใจประพฤติตนไปในทางที่ดี

    อันความชั่วหรือกิเลสนั้นเป็นความสุขจอมปลอม ไม่ใช่สุขที่แท้จริง มันเป็นแค่ผิวหน้าที่ฉาบไว้เต็มไปด้วยความทุกข์ที่หลายคนหลงพาลคิดว่าเป็นสุข หากคนใดรู้ไม่เท่าทัน ชีวิตทั้งชีวิตก็ตกอยู่ในความทุกข์ไปตลอดกาล

    เหมือนการกินเหล้าเมายานั้น หลายคนอ้างว่ากินเพื่อสนุก กินเพื่อคลายทุกข์ ขอให้พิจารณาว่ามันสนุกหรือแก้ทุกข์ได้ตรงไหน เพราะเหตุมันอยู่ใดกันเล่า ทำไมไม่ไปแก้ที่เหตุ ทุกข์ตรงไหนก็ต้องไปดับตรงนั้น การทำชีวิตให้สนุกนั้นมีตั้งหลายกิจกรรมที่สนุกแล้วให้ผลดีต่อร่างกาย ไม่เสียเงินไม่เสียสุขภาพไม่มีการทะเลาะเบาะแว้งเพราะขาดสติ

    เพราะไม่เชื่อว่าทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว จึงปล่อยตัวปล่อยใจไปตามโลก กอบโกยทุกอย่างเข้าหาตัวเองแทนที่จะเอาส่วนที่เหลือผลักออกเพื่อช่วยเหลือและแบ่งปัน ไร้ความเมตตาปราณีในหัวใจ ไม่รู้จักบาปบุญคุณโทษ เห็นเรื่องกรรมเป็นเรื่องขบขันหรือเรื่องหลอกเด็ก จึงไม่สนใจที่จะทำความดีใส่ตัว


    เมื่อเกิดเหตุการณ์ร้ายๆ กับชีวิต ไม่ว่าจะเป็นอุบัติเหตุ การเจ็บป่วย หรือเรื่องเดือดร้อนอะไร คนเหล่านี้ก็มักจะโทษโชคชะตา บางครั้งก็พาลโทษไปถึงเทวดา โทษพรหมลิขิต โทษคนอื่นสิ่งอื่นเสมอหรือมักจะพูดว่ามันเป็นเหตุบังเอิญ

    บอกแล้วในบทก่อนว่า ในโลกนี้ไม่มีเรื่องบังเอิญ เรื่องที่เกิดขึ้นต้องมาจากเหตุทั้งนั้น เมื่อไม่รู้จักและไม่เชื่อกฎแห่งกรรมจึงไม่คิดที่จะหาต้นเหตุที่ทำให้เกิด มันจึงไปหาหนทางดับเรื่องทุกข์ร้อนที่เกิดขึ้นไม่ได้

    ประเภทบังเอิญเกิดมารวย หรือบังเอิญโชคดีนั้นมีแต่นิยาย

    ท้าให้ไปลองคนรวยทุกคนในโลกใบนี้รับรองว่าจะตอบเป็นเสียงเดียวว่า เป็นเพราะทำขึ้นมากับมือทั้งนั้น ไม่ได้ลอยมาจากฟากฟ้าทั้งนั้น แบบอยู่ดีๆ นั่งๆ นอนไม่ทำอะไรเลยแล้วรวยขึ้นมาได้

    แม้แต่สามล้อถูกหวยรางวัลที่หนึ่ง ถ้าไม่ซื้อหวยแล้วจะถูกไหม ที่เขาถูกเพราะมีกรรมดีมาตัดรอนมาพลิกชีวิตเขาจากจนให้เป็นรวยในพริบตา เรื่องแบบนี้มาจากการกระทำของเขาในชาติก่อนทั้งสิ้น ถ้าย้อนกลับไปดูได้รับรองว่า เขาต้องเคยทำกรรมดีที่มีกำลังมากมาก่อนแน่นอน เรื่องแบบนี้มีในพระไตรปิฎกมากมายบันทึกเอาไว้กว่า 2,500 ปีมาแล้ว

    เรื่องของกฎแห่งกรรมนั้นที่พระพุทธองค์สอนไว้นั้น จุดมุ่งหมายก็เพื่อให้ทุกคนได้อยู่กับโลกแห่งความเป็นจริง ดำรงชีวิตอยู่ด้วยเหตุและผล อยู่ในความเป็นจริง

    ที่มาและที่ไปของกรรมเก่านั้นสอนคนให้ได้มีโอกาสพัฒนาศักยภาพของตัวเองให้เจริญขึ้นทุกวินาที ไม่งอมืองอเท้า ไม่หยุดอยู่ที่ ไม่ติดยืดกับอดีตที่ผ่านมา ถ้าทุกคนเข้าใจชีวิตของตนก็จะพบสุขส่งผลให้สังคมส่วนรวมนั้นมีความสุข ความเจริญไปด้วย


    กฎแห่งกรรมสอนชีวิตให้เรารู้ว่าเราเกิดมาทำไม ตายแล้วไปไหน มีอะไรเป็นเป้าหมายที่แท้จริงของชีวิตเป็นความจำเป็นอย่างยิ่งในการเกิดมาเป็นมนุษย์ เพราะความรู้แจ้งเห็นจริงในชีวิตนั้น จะทำให้เราดำรงชีวิตอยู่อย่างไม่ประมาท

    หลายคนที่คดโกงผู้อื่น โดยที่นึกว่าไม่มีใครรู้ เมื่อวันหนึ่งเมื่อถึงเวลาที่กรรมนั้นส่งผลก็ต้องส่งคืนทรัพย์สินที่ตนเองโกงมาคืนไปพร้อมกับดอกเบี้ยคือ ความอัปยศอดสูและถูกลงโทษจากกรรมที่ทำมา หลายคนข่มเหงผู้อื่นทั้งทางร่างกาย วาจา ใจ เมื่อโดนคนอื่นเขาทำแบบนั้นกับตนเองจึงถึงจะรู้ว่ากรรมนั้นมีจริง

    แต่หลายคนเมื่อเกิดอะไรขึ้นกับชีวิต ก็ก้มหน้ายอมรับสภาพไม่คิดจะแก้ไข บอกว่าเป็นเป็นเรื่องของกรรมเก่า

    จริงอยู่ที่ถึงแม้จะมีกรรมเก่าเป็นผู้ลิขิตให้มาเกิดในสภาพต่างๆ กันยากดีมีจน สวยหล่อหรือพิการ เกิดเรื่องเดือดร้อนแต่ทว่าไม่ใช่ความจริงทั้งหมดของชีวิตนี้ เพราะกรรมใหม่ที่เพียรทำในชาติปัจจุบันจะเป็นผู้กำหนดชะตาชีวิตให้เราแบบที่เราสัมผัสได้ รับรู้ได้ด้วยตัวเอง และได้รับผลจากการกระทำนั้นด้วยตัวเองแน่นอน


    คำว่า “ฟ้าลิขิตหรือจะสู้มานะตน” นั้นเป็นเรื่องจริงเมื่อกระทำความดีทุกอย่างด้วยความพากเพียรไม่ย่อท้อ กระทำด้วยสติปัญญา คิดชอบ ทำชอบ รู้จักการให้ รับรองว่าชาตินี้ไม่มีทางจน ไม่มีอำนาจของฟ้าหรืออำนาจอื่นใดมาเบี่ยงเบนไม่ให้เกิดผลดีได้ เพราะเป็นกฎแห่งกรรมอย่างแท้จริง

    คนที่ป่วยเป็นโรคภัยไข้เจ็บต้องรู้ว่าป่วยเพราะจากสาเหตุใด มาจากการบริโภค การใช้ร่างกายจนเกินกำลังหรือไม่ เพราะการไม่สบายเจ็บป่วยนั้นเป็นเรื่องของธรรมชาติด้วยไม่ใช่เรื่องเวรเรื่องกรรมเก่าอย่างเดียว เอะอะเป็นอะไรก็ชอบไปโทษเจ้ากรรมนายเวรซึ่งไม่รู้ว่าเป็นใครอยู่ที่ไหน ทั้งๆ ที่ เป็นกรรมใหม่ในชาตินี้นี่แหละ เป็นโรคร้ายก็เพราะกระทำตัวเองในทางที่ผิดหรือไม่

    เป็นมะเร็งในตับ เพราะกินเหล้ามาก เป็นมะเร็งในปอดเพราะสูบบุหรี่จัดหรืออยู่ที่อากาศเต็มไปด้วยเชื้อโรค ไม่ใช่เจ้ากรรมนายเวรเขามาทวงตามล้างตามเช็ดกันหรอก ต้องเข้าใจด้วยว่ากฎแห่งกรรมนั้นเป็นหนึ่งในกฎธรรมชาติ แต่ยังมีกฎอื่นๆ ด้วยในกฎธรรมชาติที่ควบคุมสรรพสิ่งในโลกนี้อยุ่ เช่น กฎแห่งพืช กฎแห่งอุตุ ฯลฯ

    อย่างไรก็ตามการที่คนส่วนมากที่ยังคงจมอยู่กับความทุกข์และความยากจนนั้น ส่วนหนึ่งเป็นเพราะไม่เชื่อในเรื่องกฎแห่งกรรมและรวมถึงพวกที่ยอมจำนนต่อกรรมเก่า จนไม่คิดจะสร้างกรรมใหม่ฝ่ายดีขึ้นมาเพื่อเปลี่ยนแปลงตัวเอง ปล่อยชีวิตให้ลอยตามน้ำ รอวันเน่าสลายไปตามกาลเวลาหากเราไม่ขวนขวายช่วยตัวเองแล้วจะหวังให้ใครมาช่วย บอกได้คำเดียวว่าไม่มีทาง

    คนที่ยอมจำนนจะไม่มีทางชนะ คนที่ชนะเพราะไม่ยอมจำนน


    หากเป็นคนขี้เกียจสันหลังยาว หนักก็ไม่เอา เบาก็ไม่สู้ ก็ไม่มีทางรวยมีเงินมีทองแน่ ถ้ายังเอาเปรียบคนอื่นอยู่ร่ำไป ไม่รู้จักการให้ จะหวังใครเขาจะมาดีอย่างจริงใจด้วย

    แต่คงมีบางครั้ง ที่หลายคนเคยท้อใจ ท้อกายและคิดว่าจะทำดีไปทำไม เพราะไม่เห็นชีวิตจะดีขึ้นเลย ทำแล้วเราได้อะไรบ้าง ในเมื่อทำแล้ว ไม่เห็นได้อะไรเลยมิหนำซ้ำยังได้ผลในสิ่งที่เราไม่อยากได้ ทั้ง ๆ ที่เราก็คิดว่าทำดีทุกอย่างแล้ว แต่ทำไมหนอยังชาตินี้ยังไม่ได้ดี หรือเอาดีไม่ได้เลย เป็นเพราะอาจจะยังไม่ทราบถึงเคล็ดลับ 3 ประการที่เป็นกฎแห่งธรรมชาติ การกระทำทุกอย่างนั้นจะต้องมี 3 ประการถึงจะเกิดผลคือ

    1. ต้องทำอย่างสม่ำเสมอ
    คนเรานั้นเมื่อต้องการได้ผลอะไรสักอย่าง ต้องลงมือกระทำอย่างพากเพียรไม่ย่อท้อ มีความอดทนและกระทำอย่างสม่ำเสมอ ประเภทสามวันดีสี่วันเลิก นั้น ชีวิตก็ไปไม่ถึงฝั่งเสียที เพราะทำไปหยุดไป เหมือนชีวิตเดินไปข้างหน้าสองก้าว วันรุ่งขึ้นถอยหลังกลับมาอีกสองก้าว บางคนถึงสามก้าวมันก็ไม่สำเร็จอะไรสักอย่าง ความเพียรนั้นเริ่มจากทำทีละน้อยๆ จนเคยชินและเพิ่มปริมาณที่ทำให้เกิดผลได้

    2.ต้องมากพอ
    การทำความดีที่จะส่งผลนั้นต้องมากพอ เหมือนกับเราเอาน้ำใส่ตุ่ม เราต้องใส่ให้พอที่จะนำมาใช้ประโยชน์ได้จริงอยู่หากมีความเพียรทำทุกวันแม้สม่ำเสมอก็จริง แต่ในการกระทำที่ไม่มากพอนั้นก็ไม่เกิดผลเช่นกัน
    เหมือนน้ำในตุ่มไม่มากไม่พอก็ทำประโยชน์อะไรไม่ได้ จะเอาไปอาบก็ไม่พอ รดน้ำต้นไม้ๆ ก็ตาย จะหุงข้าวเหลียวไปดูน้ำในตุ่มมีอยู่ครึ่งขันก็หุงข้าวไม่ได้ ดังนั้นเราจะกระทำอะไรให้สำเร็จก็ต้องมากพอ ยิ่งเป็นเรื่องของบุญที่มาจากการสร้างกรรมดีนั้น ถ้ามีมากพอก็จะพลิกชีวิตทั้งชีวิตเลยทีเดียว


    3.ต้องนานพอ
    การทำความดีให้เกิดผลนั้นเมื่อสม่ำเสมอแล้ว มากพอแล้ว ยังมีอีกข้อคือ ต้องนานพอ เหมือนเวลาเราปลูกมะม่วง เราหวังจะกินผลมะม่วงรสหวานนั้นเราต้องรอคอย เพราะเป็นกฎธรรมชาติมะม่วงมันไม่ทางจะออกดอกออกผลให้ในวันสองวัน

    เหมือนกับความสำเร็จ ความร่ำรวยนั้นก็ไม่ได้มาในการกระทำเพียงวันสองวัน ต้องมีระยะเวลาของมัน คนรวยหรือมหาเศรษฐีนั้นรู้ 3 กฎข้อนี้เป็นอย่างดีเขาถึงมีเงินมีทองมากมาย เชื่อว่าคงเคยได้ยินคำพังเพยของไทยที่ว่า มีสลึงพึ่งบรรจบให้ครบบาท นั่นแหละคือ เรื่องเดียวกันเลย

    กรรมดีที่ทำให้เกิดบุญนั้นก็เหมือนกัน เพียงเราทำอย่างสม่ำเสมอด้วยความเชื่อและศรัทธา ด้วยความเพียร เล็กบ้างใหญ่บ้างไปตามกำลังที่เรามี ด้วยบุญที่มากพอ นานพอ และปิดทางความชั่วที่จะเกิดได้ เมื่อสะสมบุญไว้เมื่อถึงเวลาที่บุญนั้นส่งผล รับรองว่าชีวิตจะพบกับความสุขความเจริญตามที่ปรารถนาทุกประการ


    แต่หลายคนที่ยังหมั่นสร้างความดี แต่ยังไม่ส่งผลดีมากพอกับชีวิตนั้น ที่เป็นเช่นนี้ก็เป็นเพราะว่าเราต้องยอมรับความจริงที่ว่า เราต้องเคยทำมาหมดแล้วทั้งกรรมดีและกรรมไม่ดีหลายภพชาติและในชาตินี้

    ที่ยังคงต้องรับผลกรรมเก่าไม่ดีที่ส่งผลแรงกว่ากรรมดีที่มีอยู่ ซึ่งเป็นไปตามกฎแห่งกรรม ที่ทั้งกรรมดีและกรรมชั่วต้องหมุนเวียนออกผล ตามวาระ ตามกำลัง ตามปัจจัยที่ถึงพร้อม

    แต่กรรมทั้งสองประเภทนี้มีเวลาสิ้นสุดเช่นกัน เมื่อกรรมชั่วออกผลหมดก็ต้องหมดไปเหลือแต่กรรมดีส่งผลชีวิตก็ดีได้ทุกวินาทีของชีวิต

    และถ้าในปัจจุบันกรรมเราก็ยังคงไม่ยอมหยุดการกระทำที่ไม่ดี ปล่อยให้กิเลส ความอยากได้ ความอยากมีเข้ามาครอบงำ ยังคงอยู่ในความประมาททั้งชีวิตที่เหลือเพียงน้อยนิดอยู่ ยังไม่รู้ตัวทำให้กรรมไม่ดีมากกว่ากรรมดีมาก จนกรรมดีไม่มีช่องทางจะส่งผลได้

    ทุกวินาทีของชีวิตทุกคน ยังคงรับผลกรรมไม่ดีเช่นกัน
    แต่ยังมีทางแก้ไข ถ้าหากจะให้ชีวิตดีขึ้น เจริญรุ่งเรืองขึ้นในชาตินี้แบบทันตาเห็น ต้องหมั่นเพียรทำกรรมดี สร้างกรรมดีให้มากที่สุดจะมากได้ เพื่อให้กำลังบุญนั้นส่งผลแรงกว่ากรรมไม่ดี
    ซึ่งอุปมาดั่งหมาล่าเนื้อ หมามันเหมือนกับกรรมชั่ว เมื่อมันวิ่งทันเหยื่อของมันเมื่อใด มันก็จะจับกัดกินทันที แต่ถ้าเนื้อนั้นมีกำลังดีวิ่งไม่หยุดและวิ่งได้เร็ว จนพ้นการตามล่าของฝูงหมา มันก็ปลอดภัยได้


    เว้นไว้แต่ว่า เนื้อมันวิ่งสวนทางกลับหลังมาหาหมาเอง เนื้อมันก็โดนกัดกินได้เร็วขึ้น
    ซึ่งหมายถึง กรรมดีที่เราทำมากๆ และทำติดต่อกันแบบไม่เคยหยุด กรรมชั่วที่ไล่ติดตามมาแต่ก็ตามทันได้ยาก เพราะพลังและแรงมันสู้กรรมดีที่เราทำไม่ได้ มันตามกันไม่ทัน แต่ถ้าเราหยุดทำกรรมดีเมื่อไรเหมือนกับเนื้อที่หยุดวิ่ง หรือวิ่งสวนทางที่หมายถึง ทำกรรมชั่วเพิ่มเข้าไปอีก กรรมชั่วมันก็ยิ่งส่งผลเร็วมากขึ้น เพราะเราวิ่งไปหามันเอง
    เพราะฉะนั้นกรรมชั่วที่เราทำไว้นั้น เราอาจสามารถหนีให้ห่างไกลหรือทำให้อ่อนกำลังลงได้โดยการหยุดทำความชั่ว และทำกรรมดีให้มากๆ กรรมชั่วนั้นอาจจะไม่ส่งผลจนถึงขึ้นกรรมนั้นเป็นอโหสิกรรมไปเลย


    อโหสิกรรม ในทางพระพุทธศาสนานั้นมีความหมาย 3 อย่าง
    1. กรรมที่ให้ผลเสร็จแล้ว
    2. กรรมที่รอให้ผลอยู่แต่ไม่มีโอกาส หมดวาระของมันก็เป็นอโหสิกรรมไป อย่างกรรมบางอย่างที่ให้ผลในปัจจุบัน เมื่อมันไม่มีโอกาสให้ผล มันก็หมดพลัง
    3. กรรมที่รอส่งผลในชาติต่อๆ ไป ที่ต้องติดตามบุคคลนั้นไป แต่เมื่อบุคคลนั้นเข้าสู่พระนิพพานแล้ว ก็ไม่รู้จะไปออกผลกับบุคคลใดอีก เมื่อมันไม่มีโอกาสส่งผล มันก็หมดพลังไปเอง
    ดังนั้นเราทุกคน ควรจะพยายามสร้างกรรมดีให้มากๆ พร้อมกับการไปเอาบุญที่เกิดขึ้นจากกรรมดีนั้นไปขออโหสิกรรมต่อเจ้ากรรมนายเวรทั้งมีชีวิตและไม่มีชีวิตทุกวิถีทาง เพื่อให้กรรมไม่ดีนั้นเบาบางลงไปจนถึงขึ้นไม่ส่งผลมากหรือกลายเป็นอโหสิกรรมเลยได้ ยิ่งดี

    แต่เราคงยังต้องได้รับเศษเวรเศษกรรมไปตามกรรมนั้นๆ ด้วย เพราะกรรมนั้นเกิดขึ้นแล้ว เวรนั้นระงับไปแล้วก็จริง แต่กรรมยังไม่ระงับก็ต้องได้รับผลกรรมแต่จะหนักเบาเพียงใดอยู่ที่แรงกรรมนั้น และกรรมดีจะช่วยคลายผลกรรมนั้นได้จริง

    ก่อนจะจบในเรื่องนี้ ผมขอนำงานเขียนของเจ้าประเวศ ณ เชียงใหม่ ผู้ที่ศึกษาและสนใจค้นคว้าในเรื่องของกรรมคนหนึ่งของเมืองไทยที่ล่วงลับไปแล้ว ที่ท่านเขียนไว้ในหนังสือชำแหละกรรม ที่ถูกพิมพ์ในหนังสืองานพระราชทานเพลิงศพผู้ใหญ่ท่านหนึ่งในเมืองเชียงใหม่ ขอนำบางส่วนมาให้พิจารณาเพื่อเตือนใจท่านผู้อ่านในเรื่องของกรรมที่เกิดขึ้นกับชีวิตของคน

    ขออุทิศบุญกุศลที่เกิดขึ้นในหนังสือเล่มนี้แด่เจ้าประเวศ ณ เชียงใหม่และผู้ที่เกี่ยวข้องในการเผยแพร่บทความนี้ทุกท่านเทอญ

    -บุคคลที่ไม่ได้รับการส่งเสริมในหน้าที่การงาน

    อาจเป็นเพราะกรรมเก่าที่ตนเองเคยประพฤติดีประพฤติชอบ แต่มีจิตริษยากลัวคนอื่นจะได้ดีเท่าเทียมหรือได้ดีมากกว่าตัว จึงกลั่นแกล้งหน่วงเหนี่ยวผลงานคนอื่นไว้ รีบเสนอแต่ความดีของตนไปก่อน ความริษยานี้จะทำให้ผลของความดีของตนเองสนองตอบช้า ขัดข้องล่าช้าด้วยระเบียบข้อบังคับ เป็นต้น

    วิธีแก้ไข ให้ยึดหลักการดำรงชีวิตด้วยพรหมวิหาร 4 คือ มีเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา เป็นที่ตั้ง

    – บุคคลที่มีความดีปรากฏแต่มีผู้ใส่ร้ายโจมตีให้เสียหาย กว่าจะมีผู้รู้เห็นความดีของตน ก็ต้องมีคดีมีข้อพิพาทหรือมีความยุ่งยากมากมาย เป็นต้น
    เป็นเพราะกรรมเก่าที่เคยทำดีอย่างสม่ำเสมอ แต่หวั่นเกรงว่า คนอื่นจะได้ดีเท่าเทียมตนหรือเหนือกว่าตน จึงพยายามยุยงให้คนอื่นทำความชั่วสนับสนุนให้คนอื่นทำความผิด เพื่อว่าเปรียบเทียบกันแล้วตนเองจะเป็นคนดีเด่นอย่างไม่มีผู้อื่นแข่งขันได้

    – บุคคลที่ได้รับตำแหน่งหน้าที่การงานสูงเด่นขึ้น แต่ปรากฏว่าน้ำใจจากเพื่อนร่วมงานลดน้อยถอยลงไป ผู้อื่นเกิดความระแวงแคลงใจทำให้ตนอยู่ไม่เป็นสุขในที่ทำงาน ยิ่งทำงานนานตำแหน่งยิ่งสูงขึ้นแต่เพื่อนฝูง คนรักคนชอบพอลดน้อยลงไป คือได้ความเจริญก้าวหน้าแต่เสียมิตรภาพ

    เป็นเพราะกรรมเก่าซึ่งตนเองเคยเป็นคนทำงานขยันขันแข็ง แต่เมื่อเห็นผู้อื่นทำงานน้อยกว่าตนกลับได้ตำแหน่งหน้าที่การงานสูงส่งกว่าตน คิดประสงค์อยากได้ดีมีอำนาจอย่างคนอื่นบ้าง จึงคอยจับผิดเพ่งโทษผู้ที่อยู่เหนือกว่าตน แล้วรายงานลับฟ้องร้องไปยังผู้บังคับบัญชา

    – บุคคลที่ใช้ชีวิตสุขสบายแต่มีความอึดอัดใจบางอย่าง เช่นจะทอดทิ้งงานเพื่อไปเยี่ยมญาติผู้ใหญ่ก็หาคนรับงานแทนไม่ได้ จะออกจากบ้านไปเที่ยวพักผ่อนก็หาคนอยู่ดูแลบ้านให้ไม่ได้ จะปลีกตัวไปไหนๆ ก็จะมีภาระบีบคั้นให้ไปไม่ได้ เช่น หาคนดูแลสุนัข , แมว ให้ไม่ได้ เป็นต้น

    เป็นเพราะกรรมที่ชอบเลี้ยงสัตว์ขังกรง แม้จะปรนเปรอด้วยข้าวน้ำอย่างดี หรือชอบหน่วงเหนี่ยวคุมบริวารตนไม่ให้ออกไปท่องเที่ยว

    – บุคคลที่ทุกครั้งที่ตนมีโชคลาภหรือได้รับผลประโยชน์ แล้วจะต้องมีเหตุการณ์ทำให้โชคลาภนั้นหมดสิ้นไปโดยเร็ว เช่นรับเงินทองเข้าบ้านมาวันนี้พรุ่งนี้เพื่อนสนิทมาขอยืมเงินไป หรือมีเหตุด่วนต้องใช้จ่ายกะทันหัน เป็นต้น

    เป็นเพราะกรรมในอดีตชาติในการทำบุญกุศลทุกครั้ง เขามักจะบีบบังคับให้เพื่อนฝูงหรือบริวารตระเตรียมงานนั้นแทนตน คือทำบุญคราวใดต้องเดือดร้อนคนข้างเคียงเสมอ


    – บุคคลที่ถือกำเนิดในบ้านเช่า เกิดในที่ดินซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์ของส่วนรวม เกิดในที่ธรณีสงฆ์ อาคารสงเคราะห์ อาคารพาณิชย์ที่บิดามารดาอาศัยเขาทำมาหากินได้ห้าปีสิบปี เป็นต้น ทำให้ไม่มีบ้านที่ดินเป็นกรรมสิทธิ์ของตนเองอย่างมั่นคง ต้องร่อนเร่เช่าบ้านเขาอยู่ไปเรื่อยๆ หรือต้องไปอาศัยผู้อื่นอยู่
    เป็นเพราะกรรมในอดีตชาติเขาเคยคดโกงที่ดิน ย้ายหลักเขตแดนเพื่อนบ้านเพื่อให้ที่ดินของตนกว้างขึ้น รุกล้ำที่นาที่สวนของคนอื่นที่ติดกับตน ล้อมรั้วบ้านโค้งเว้ากินที่ของคนอื่น เป็นต้น

    – บุคคลที่เกิดและได้อยู่อาศัยใกล้แหล่งการจราจรคับคั่งจอแจ ใกล้ย่านการค้ามีผู้คนพลุกพล่านด้วยเสียงพูดคุยตลอด เช่น ตลาดสด หรือใกล้แหล่งทำงานของเครื่องจักรเครื่องกล ใกล้สถานที่ที่เลี้ยงสัตว์ขายเช่นสุนัข ( เห่า) ใกล้โรงงานตีเหล็ก โรงงานเลื่อยไม้แปรรูป เป็นต้น เป็นสถานที่ทำให้เกิดเสียงดังหนวกหู มีเสียงรบกวนไม่สงบ
    เป็นเพราะกรรมในอดีตชาติเป็นคนจู้จี้ขี้บ่น บ่นแม้สิ่งเล็กๆ น้อยๆ เช่นสิ่งของมิให้คลาดเคลื่อนจากที่ตั้งที่วาง บ่นเข้มงวดกวดขันเรื่องวินัย บ่นพร่ำเพื่อทุกเรื่องราว บ่นจนคนข้างเคียงไม่มีความสุข บริวารไม่มีความสบาย ของแตกหักเสียไม่ยอมปลงตกเก็บเอามาพูดบ่นพิรี้พิไรคร่ำครวญ เป็นต้น

    สุดท้ายนี้ ผมขออนุญาตย้ำอีกทีว่า กรรมและกฎแห่งกรรมนั้นเป็นเรื่องสำคัญมาก ขอเพียงเชื่อมั่นในกฎแห่งกรรม เชื่อว่าทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว รับรองว่าชาตินี้รวยแน่นอน

    2. เหตุมาจากการไม่รู้จักความกตัญญู

    สาเหตุที่สองที่ฉุดคนไม่ให้รวยได้นั้น มาจากการไม่รู้จักความกตัญญูผู้มีพระคุณ คำว่า “ผู้มีพระคุณ” นั้นไม่ได้หมายความเพียงแต่บิดามารดา หรือญาติผู้ใหญ่เท่านั้น แต่ยังหมายถึงทุกสรรพสิ่งที่ยังประโยชน์ให้กับชีวิตของเราในทุกด้าน

    ที่เป็นครูบาอาจารย์ที่สอนโดยตรงหรือทางอ้อม เพื่อน คนรอบข้าง สัตว์เลี้ยงที่ให้คุณ ลูกค้า ลูกน้องผู้ใต้บังคับบัญชา ฯลฯ หรือใครก็ได้ที่เคยให้ เคยช่วยเหลือไม่ว่าเป็นเรื่องใดๆ และเราเป็นผู้รับ

    องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสโดยสรุปในเรื่องนี้ไว้ว่า บุคคลที่หาได้ยากในโลกนี้ มีอยู่ 2 ประเภทคือ ผู้ที่มีความกตัญญูรู้อุปการะที่ท่านทำแล้ว และผู้ที่มีความกตเวที

    ความกตัญญู คือ ความรู้อุปการคุณที่มีผู้ทำไว้ เป็นคุณธรรมคู่กับความกตเวที คือ การตอบแทนอุปการคุณที่ผู้อื่นทำไว้นั้น บุญคุณที่ว่านี้มิใช่ว่าตอบแทนกันแล้วก็หายกัน แต่หมายถึงการรำลึกถึงพระคุณที่เคยให้ความอุปการะแก่เราด้วยความเคารพยิ่ง เมื่อรู้พระคุณแล้วก็ตอบแทนพระคุณท่าน มีความคิดเช่นนี้อยู่ภายในใจอย่างต่อเนื่อง และแสวงหาโอกาสทำหน้าที่ตอบแทนบุญคุณท่านอย่างไม่รู้ลืม

    บุคคลเช่นนี้หาได้ยากในโลก และสัตบุรุษทั้งหลายตั้งแต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระอริยสาวก และบัณฑิตชนจึงพากันสรรเสริญยกย่อง แม้เทวดาทั้งหลายก็ปกปักรักษา ผู้ที่มีความกตัญญูกตเวที

    ในทางกลับกัน คนที่ไม่รู้พระคุณใครนั้นยากที่จะเจริญได้

    มีคนมากมายที่ไม่มีความกตัญญูรู้คุณผู้มีพระคุณ ชีวิตที่เห็นยังดีและมีความเจริญก้าวหน้านั้นยังคงเป็นเพราะบุญเก่ายังส่งผล แต่เมื่อหมดบุญเก่าความเจริญนั้นก็ถึงเวลาหมดสิ้นไปด้วย และยิ่งกับคนที่ไม่มีบุญเก่ามากพอ ก็จะทำให้ชีวิตต่ำลงๆ ไปเรื่อยๆ

    ขอให้พิจารณาถึงสิ่งของหรือผู้ที่ควรกตัญญูนั้นควรจะเป็นใครและสิ่งใดบ้าง
    1. กตัญญูต่อบุคคล บุคคลที่ควรกตัญญูก็คือ ใครก็ตามที่มีบุญคุณควรระลึกถึงและตอบแทนพระคุณ เช่น
    -บิดามารดา มีอุปการคุณแก่บุตร ธิดา
    ในฐานะที่ท่านเป็นผู้ให้กำเนิดและเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ ให้การศึกษา อบรมสั่งสอน ให้ละเว้นจากความชั่ว มั่นคงในการทำความดี เมื่อถึงคราวมีคู่ครองได้จัดหาคู่ครองที่เหมาะสมให้และมอบทรัพย์สมบัติให้ไว้เป็นมรดก
    บุตร ธิดา เมื่อรู้อุปการคุณที่บิดามารดาทำไว้ย่อมตอบแทนด้วยการประพฤติตัวดี สร้างชื่อเสียงให้แก่วงศ์ตระกูล เลี้ยงดูท่าน และช่วยท่านทำงานของท่าน และเมื่อล่วงลับไปแล้วก็ทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้ท่าน

    -ครูบาอาจารย์ มีอุปการคุณแก่ศิษย์
    ในฐานะที่ท่านเป็นผู้ประสาทความรู้ให้ ฝึกฝนแนะนำให้เป็นคนดีสอนศิลปวิทยาให้อย่างไม่ปิดบัง ยกย่องให้ปรากฏแก่คนอื่นและช่วยคุ้มครองศิษย์ทั้งหลาย ศิษย์เมื่อรู้อุปการคุณที่ครูอาจารย์ทำไว้ย่อมตอบแทนด้วยการตั้งใจเรียน ให้เกียรติและให้ความเคารพไม่ล่วงละเมิดโอวาทของครู ไม่ดูหมิ่นท่าน

    -ท่านผู้ให้ความช่วยเหลือยามทั้งที่เรามีความสุขหรือทุกข์ยาก
    ในฐานะที่ท่านเมตตาสงเคราะห์ให้เรานั้นผ่านความยากลำบากไม่ว่าจะเป็นเรื่องใดทั้งเงินทอง การช่วยเหลืออำนวยความสะดวก จึงควรที่จะตอบแทนช่วยเหลือท่านเมื่อมีโอกาสไม่จำเป็นต้องเป็นเรื่องใหญ่แม้เพียงเรื่องเล็กก็ต้องรีบขวนขวายตอบแทนตามกำลังที่เรามี


    2.กตัญญูต่อสัตว์ ในฐานะที่สัตว์มีคุณต่อเราช่วยทำงานให้เรา เราก็ควรเลี้ยงดูให้ดี ให้เหมาะสมเช่นช้าง ม้า วัว ควาย หรือสุนัขที่ช่วยเฝ้าบ้าน เป็นต้น


    3.กตัญญูต่อสิ่งของ ในฐานะที่สิ่งของทุกอย่างที่มีคุณต่อเราเช่น หนังสือที่ให้ความรู้แก่เรา อุปกรณ์ทำมาหากินต่างๆ เราไม่ควรทิ้งคว้าง หรือทำลายโดยไม่เห็นคุณค่า คนรวยหลายคนนั้นไม่เคยลืมคุณของสิ่งของที่ช่วยสร้างเนื้อสร้างตัว ทั้งหม้อไห หาบ รถจักรยานเก่าๆ เหล่านี้เขาเก็บไว้เพื่อระลึกถึงความยากลำบากในหนหลัง เพื่อใช้เตือนสติตน

    คนเรานั้นจะถือว่าเป็นคนดีหรือเป็นคนไม่ดีนั้น ตัดสินกันได้ที่ความกตัญญู ใครขาดกตัญญูหรือคนเนรคุณนั้นไม่เรียกว่าเป็นคนดี เป็นคนชั่ว ไม่ควรคบ โบราณท่านว่า คนเนรคุณเป็นคน “ทำมาหากินไม่ขึ้น ไม่เจริญ” ซึ่งเป็นเรื่องจริงอย่างยิ่ง

    ท่านพุทธทาสได้กล่าวไว้ ในเรื่องของ โลกรอดเพราะกตัญญู ว่าคนทุกคนในโลกนี้ มีชีวิตอยู่ได้ และมีความสะดวกสบายอยู่ได้ เพราะอาศัยความรู้สติปัญญา ความสามารถของผู้อื่น อันมีจำนวนมากนับไม่ไหว

    หากไร้ปัจจัยอันสำคัญนี้แล้ว เขาจะต้องตาย ตั้งแต่ออกจากท้องมารดาใหม่ๆ เพราะไม่มียาจะกิน ไม่มีผ้าจะห่ม ไม่มีหลังคาจะอาศัย คนที่มีความกตัญญูถึงที่สุด ก็คือคนที่ยอมรับว่า แม้แต่สัตว์พาหนะ เช่น วัวควาย ก็เป็นสิ่งที่มีบุญคุณละเอียดยิ่งไปกว่านั้น ย่อมรู้จักบุญคุณของป่าไม้ ทุ่งนา ห้วยหนอง คลอง ลำธาร ถนนหนทางและสิ่งสาธารณะอื่นๆ กระทั่งดอกไม้ และผีเสื้อละเอียดสุขุมยิ่งขึ้นไปกว่านั้น ย่อมรู้จักบุญคุณของศัตรูและปรปักษ์

    ตลอดจนรู้ถึงสิ่งอันเป็นอุปสรรคต่างๆชนิด ศัตรู ทำให้เราประกอบด้วยคุณธรรมอันสูงยิ่งขึ้นด้วยความอดกลั้น อดทน เสียสละ อุปสรรค ทำให้เรามีปัญญาเข้าใจโลกถูกต้องตามความเป็นจริง ถ้าหัวใจของคนทุกคนในโลกนี้ เต็มไปด้วยความกตัญญูกตเวทีจริงๆแล้ว โลกนี้ก็จะเป็นโลกที่สวยงาม น่าอยู่ ปลอดภัย และน่าปรารถนายิ่งกว่าเทวโลก

    ความกตัญญูนั้นเป็นเหตุสำคัญอีกสาเหตุหนึ่ง ที่จะคอยฉุดรั้งคนไว้ไม่ให้เดินหน้าไปสู่ความเจริญได้ ไปไหนก็ไม่มีใครคบค้าสมาคมด้วย และยิ่งกับคนที่แม้แต่ตอบแทนท่านยังไม่ทำซ้ำยังเนรคุณพ่อแม่ ผู้มีพระคุณนั้น ชาตินี้ไม่มีวันเจริญขึ้นมาได้

    3. เหตุจากการอยู่ในอาชีพที่เป็นบาป

    เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่งอีกเรื่องหนึ่ง ที่หลายคนก็ทราบ แต่อีกหลายคนไม่ทราบ ว่าทำไมตนเองประกอบอาชีพที่คิดว่าถูกต้องตามกฎหมายแล้วทุกอย่าง แต่แล้วทำไมชีวิตถึงต้องได้รับความลำบากหรืออาชีพนั้นไม่เจริญรุ่งเรืองเท่าที่ควรจะเป็น ทำอะไรมันติดขัดไปหมด และดูเหมือนไม่มีความก้าวหน้าเลยในชีวิต

    สิ่งที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่า อาชีพที่กำลังทำอยู่นั้นเป็นอาชีพที่เป็นบาป หรือมีบาปเจือปนอยู่ ซึ่งบาปเหล่านี้จะคอยเหนี่ยวรั้งไม่ให้เจริญทั้งๆ ที่ตนเองนั้นมีกรรมดีรอส่งผลอยู่มากมาย

    มีเรื่องของคนที่ขายของชำหรือโชห่วย ในหมู่บ้านใหญ่แห่งหนึ่งมาเล่าให้ฟังว่า ในทุกวันเขาและเมียเป็นคนขยันมาก ตื่นมาตั้งแต่ตีห้า ลุกขึ้นมาเปิดร้านให้ลูกค้าได้ซื้อของ หาสินค้าที่ลูกค้าต้องการ และทำทุกอย่างตามกลยุทธ์ของนักขายมือทองที่ตำราทางธุรกิจบอกไว้

    ทั้งไม่หมิ่นเงินน้อย ไม่นอนตื่นสาย ไม่รอวาสนา เรียกว่าครบถ้วนทุกกระบวน แม้จะทำทุกอย่างแต่ทำไมยังขายไม่ค่อยดี มีแต่ปัญหาให้ปวดหัวไม่เว้นในแต่ละวัน และไม่มีความสุขเลยในชีวิต ได้ยินอย่างนี้ก็เลยถามว่า ในร้านนั้นขายเหล้า ขายบุหรี่ด้วยหรือไม่ เขาบอกว่าขาย และยังมีโต๊ะเก้าอี้บริการให้ดื่มเหล้าที่ร้านด้วย เพื่ออำนวยความสะดวกและให้ลูกค้าพึงพอใจ

    ก็เลยบอกว่า สินค้าสองตัวนั้นแหละที่มาฉุดเอาไว้ ทั้งชีวิตทำดีมา 80 เปอร์เซนต์แต่มีอีก 20 เปอร์เซ็นต์ที่เลวร้ายๆ มาฉุดเอาไว้ ชีวิตและการค้ามันถึงได้ไม่เจริญเท่าที่ควร ถ้าอยากจะให้เจริญรุ่งเรืองลองเลิกขายเหล้ากับบุหรี่เสีย เจ้าของร้านที่มาคุยด้วยเขาก็เชื่อ กลับไปก็เลิกขายของมึนเมา มอมให้คนไร้สติพวกนี้

    ต่อมา ร้านของชำของเขาก็เริ่มขายดีขึ้น ชีวิตและสุขภาพของผัวเมียคู่นี้ก็ดีขึ้นได้พักผ่อนมากขึ้น มีสติและปัญญามากขึ้น เพราะไม่ต้องมานั่งรอขี้เมากว่าจะเลิกกินเหล้าเที่ยงคืน ตีหนึ่งตีสองเหมือนเมื่อก่อน

    ชาวบ้านรอบๆ ร้านก็เริ่มเป็นมิตรมากขึ้น หลังจากเมื่อก่อนนั้นไม่พอใจมากที่ร้านเปิดให้คนมากินเหล้า ทั้งเรื่องการทะเลาะกันของพวกขี้เมา ที่กินเหล้าร้องเพลงเสียงดังรบกวนในยามค่ำคืน เมียของพวกขี้เมาก็ไม่มาตามตบตีกันที่ร้านอีก เรียกว่า พอรู้จุดอ่อนแล้วแก้ไขทัน ชีวิตของเขาก็เจริญและดีขึ้นทันตาเห็น

    แต่กับพวกคนที่ทำร้านขายเหล้า ทำผับ ทำบาร์ อาบอบนวด คนพวกนี้ชีวิตของเขานั้นไม่มีวันที่จะเจริญและพบความสุขได้ เพราะอาชีพที่เขาทำนั้น มันส่งเสริมให้คนขาดสติและไปทำกรรมไม่ดีได้ง่าย ชีวิตของเขาก็ต้องได้รับผลกรรมที่คนเหล่านั้นร่วมกรรมนั้นไปด้วย

    ในแต่ละคืน แต่ละเดือน แต่ละปีนั้น มีคนเข้าไปกินเหล้าและไปก่อกรรมชั่วมากขนาดไหน เจ้าของร้านเหล้านั้น ก็ต้องมีส่วนรับผลกรรมนั้นไปด้วย จะน้อยหรือมากก็แล้วแต่กรรมนั้น สมมติว่าเปิดร้านเหล้ามา 10 ปี มีคนเข้าไปกินเหล้า ผิดศีลสัก 100 คนต่อคืน 10 ปีนั้นเท่ากับ 3650 วัน เอา 100 มาคูณ ก็เท่ากับ 365,000 กรรม ที่เขามีส่วนในนั้น

    และเป็นที่แน่นอนว่า เจ้าของร้านต้องไปชดใช้กรรมที่มีส่วนร่วมทำนี้ ก็ปาเข้าไปสามแสนกว่ากรรมที่รอส่งผลอยู่ แล้วจะเอาช่วงเวลาไหนให้กรรมดีไปทำให้ชีวิตนั้นเจริญขึ้นมาได้ บอกแล้วที่เห็นว่ายังกินดีมีสุข หัวเราะได้เพราะยังมีกรรมดีหรือบุญเก่าส่งผลอยู่ เมื่อบุญเก่าหมดรับรองว่าได้เห็นกันแน่

    เหมือนกับคนที่โกงกินเงินของแผ่นดินนั้น แม้แต่เพียงบาทเดียวที่ยักยอกไปนั้น เท่ากับเขาโกงเงินของคน 60 กว่าล้านคนที่ได้หาอย่างสุจริต เอาเหงื่อต่างน้ำ เป็นกรรม 60 กว่าล้านกรรม ที่เขาจึงต้องรับแบกรับอย่างหนักหน่วง แล้วอย่างนี้กี่ล้านชาติถึงจะหมดสิ้นไป

    อาชีพ ที่จัดว่าเป็นอาชีพที่เป็นบาปและทำให้ชีวิตนั้นไม่มีความเจริญ มีความสุขได้นั้นใน วณิชชสูตรพระพุทธองค์ได้ตรัสว่าด้วยการค้าขายที่ไม่ควรประกอบดังนี้

    “ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย การค้าขาย 5 ประการนี้อันอุบาสกไม่พึงกระทำ 5 ประการเป็นไฉน ? คือ การค้าขายศัสตรา 1 การค้าขายสัตว์ 1 การค้าขายเนื้อสัตว์ 1 การค้าขายน้ำเมา 1 การค้าขายยาพิษ 1
    ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย การค้าขาย 5 ประการนี้แล อันอุบาสกไม่พึงกระทำ… “


    ซึ่งก็คือ การค้าขายอาวุธ เพราะจะนำไปสู่การฆ่าสัตว์ตัดชีวิต การค้าขายสัตว์ การค้าขายเนื้อสัตว์ (ในสมัยพุทธกาลนั้น คนที่ขายเนื้อสัตว์มักจะเป็นที่ลงมือฆ่าสัตว์นั้นเองด้วย) การค้าขายน้ำเมา การค้าขายยาพิษ อาชีพเหล่านี้จะเกิดผลกระทบออกไปเป็นวงกว้างและเป็นลูกโซ่ที่ก่อให้เกดกรรมอื่นๆ อีกมากมาย

    ถ้าเรามามองถึงอาชีพเหล่านี้ล้วนแต่เป็นอาชีพที่บาปทั้งสิ้น แต่ในชีวิตประจำวัน ชีวิตของของคนเรานั้นมีความจำเป็นที่จะต้องประกอบอาชีพ เพื่อให้ได้มาซึ่งทรัพย์สิน ซึ่งจะเป็นประโยชน์ในการดำรงชีวิตไม่ให้ลำบาก ไม่ให้เดือดร้อน

    แต่ก็จะต้องพิจารณาด้วยว่า อาชีพที่สุจริตบางอาชีพที่เข้าใจกันในสังคมไทย อาชีพที่ถือว่าสุจริตจริง ๆ จะต้องเป็นอาชีพที่ ไม่เบียดเบียนสัตว์อื่นหรือผู้อื่นให้ได้รับความเดือดร้อนลำบากเลย

    โดยเฉพาะอย่างยิ่งแล้ว ผู้ที่ประกอบอาชีพจะต้องเป็นผู้งดเว้นจากกายทุจริต (งดเว้นจากการฆ่าสัตว์ งดเว้นจากการลักทรัพย์ งดเว้นจากการประพฤติผิดในกาม) และงดเว้นจากวจีทุจริต (งดเว้นจากการพูดเท็จ งดเว้นจากการพูดคำหยาบ งดเว้นจากการพูดส่อเสียด และ
    งดเว้นจากการพูดเพ้อเจ้อ) ที่เกี่ยวเนื่องกับอาชีพด้วย

    เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ละเอียด สำหรับการประกอบอาชีพของแต่ละบุคคลนั้น ก็แตกต่างกันออกไป ถ้าหากว่าได้ศึกษาพระธรรม ได้ฟังพระธรรม ก็จะทำให้มีความเข้าใจว่าอะไรควรทำ อะไรไม่ควรทำ จิตใจก็จะน้อมไปในกุศลธรรมมากยิ่งขึ้นและจะทำให้ค่อย ๆ ลด ละ เลิกจากอาชีพที่ไม่ถูกต้อง ได้ในที่สุด

    คนที่ยังประกอบอาชีพที่เป็นบาปนั้นเปรียบเหมือน คนที่จับถ่านไฟร้อน ถ้าไม่รู้ว่าร้อน ก็จับอย่างเต็มไม้เต็มมือ แม้จะถูกความร้อนลวกจนมือทะลุ ก็ยังไม่รู้สึกว่าเจ็บและยังไม่คิดที่จะปล่อยถ่านไฟร้อน เพราะไม่รู้ว่าถ่านไฟร้อนและกำลังทำลายมือตนเอง ฉันใด ผู้ยังทำบาป ทำอกุศลกรรม ด้วยความไม่รู้ ก็ฉันนั้น

    มีข้อแนะนำในเรื่องของอาชีพว่า ขอให้พิจารณากันด้วยปัญญาว่า อาชีพที่เราทำอยู่นั้นขัดกับความเจริญ และความสงบสุขในชีวิตหรือไม่ในปัจจุบันมีอาชีพเกิดขึ้นมากมายเพราะคนนั้นดิ้นรนเพื่อความอยู่รอด

    การทำมาหากิน เพื่อหาทรัพย์มาเลี้ยงชีพนั้น ที่จะได้มาโดยบริสุทธิ์บริบูรณ์เป็นเรื่องที่ยากมาก การทำมาหากินมักที่มีเรื่องที่ก่อให้บาปอกุศลได้เสมอ ด้วยเหตุนี้ เราจึงไม่ควรนำทรัพย์ที่ได้มาโดยยากลำบาก ไปใช้ในเรื่องไร้สาระ

    อันจะทำให้เป็นการก่อบาปกรรมใส่ตัวเพิ่มเข้าไปอีก เช่น การดื่มเหล้า สูบบุหรี่ เที่ยวกลางคืน เป็นต้น แต่ควรนำมาใช้เพื่อสร้างบุญบารมี สร้างชีวิตให้มีความสุขจริง

    การทำมาหากินว่าขาดทุนแล้ว ถ้าได้ทรัพย์มาแล้วนำไปก่อบาปกรรมเพิ่ม ก็จะยิ่งขาดทุนหนักเข้าไปใหญ่ ดังนั้น เราจึงควรนำทรัพย์ที่ได้มา นำไปใช้สร้างบารมีให้เต็มที่ จะได้เก็บเกี่ยวเป็นกำไรบ้าง ไม่ใช่มีแต่ขาดทุน

    ในทุกอาชีพ ล้วนก่อให้เกิดใจเศร้าหมองได้ เนื่องจากต้องข้องเกี่ยวกับเรื่องโลภ โกรธ หลง โดยเฉพาะอาชีพที่ต้องเพ่งโทษผู้อื่นหรือมีส่วนได้ส่วนเสียกับผู้อื่น จะทำให้สภาพใจตกต่ำได้ง่ายเช่น อาชีพรับราชการต่างๆ ตำรวจ อัยการ ทนาย นักบัญชีที่ชอบแต่งตัวเลข หมอที่เรียกเงินแพงๆ โดยเลี้ยงไข้ นักโฆษณาชวนเชื่อ ฯลฯ

    ถ้าจะให้ถูกต้องทั้งในทางธรรมและทางโลก คงต้องปรับที่ความคิดของตนให้ไปทางบวก ให้ไปในทางที่เจริญ ให้หาจุดที่คิดเกี่ยวกับงานที่เราทำว่า เป็นอาชีพที่ทำแล้วได้บุญกุศล เช่นระหว่างทำก็คิดว่า สิ่งที่เราทำนี้เป็นการช่วยเหลือคนเป็นต้น และได้ทรัพย์มาก็ใช้ทรัพย์ให้เป็นประโยชน์

    คนที่ยังไม่เข้าใจว่าอาชีพไหนเป็นบาป ก็อยากจะให้ สังเกตกันได้ง่ายที่สุดว่าอาชีพนั้นที่มีบาปเกี่ยวข้องอยู่ คือ อาชีพที่ทำนั้นผิดศีลในข้อใดข้อหนึ่งของศีล 5 หรือไม่ ถ้ายังผิดอยู่ก็แสดงว่า อาชีพนั้นยังมีบาปเข้ามาเกี่ยวข้องอยู่ เป็นอาชีพที่เรียกว่า ไม่เป็นสัมมาอาชีพ คือ
    1.อาชีพที่พัวพันหรือส่งเสริมต่อการฆ่าสัตว์ ทรมานสัตว์ เช่น พรานเนื้อ พรานเบ็ด โรงฆ่าสัตว์ อาชีพทหาร ตำรวจที่ชอบประพฤตินอกลู่นอกทาง ชอบฆ่าและทรมานผู้ต้องหา
    2.อาชีพที่พัวพันหรือส่งเสริมต่อการลักทรัพย์ผู้อื่น เช่น ร้านรับซื้อของโจร
    3.อาชีพที่พัวพันหรือส่งเสริมต่อการ ประพฤติผิดในกาม เช่น สำนักจัดหาการบริการทางเพศ โรงน้ำชา สปาหรือร้านเสริมสวยที่แอบบริการทางเพศ
    4.อาชีพที่พัวพันหรือส่งเสริมต่อการ โกหก หลอกล่อ เช่น บริษัทที่ชอบหลอกล่อคนให้ไปทำงานแล้วไม่ได้ค่าจ้าง การโฆษราประชาสัมพันธ์ที่เกินจริง
    5.อาชีพที่พัวพันหรือส่งเสริมต่อการทำให้ผู้อื่นแตกแยก เช่น อาชีพที่ชอบฟ้องร้อง ชอบยุยงให้คนอื่นนั้นทะเลาะวิวาทกัน สื่อมวลชนที่ไร้จรรยาบรรณที่ไม่ความเป็นกลางและเป็นธรรม
    6.อาชีพที่พัวพันหรือส่งเสริมต่อการทำให้ผู้อื่นตั้งสติไม่ได้ เช่น อาชีพขายของมืนเมา ร้านเหล้า ผับ บาร์ฯลฯ
    7.อาชีพที่พัวพันหรือส่งเสริมต่อการ ทำให้ผู้อื่นหลงทางเสียเวลา และอาชีพที่พัวพันหรือส่งเสริมต่อการมิจฉาทิฐิต่างๆ
    8 .อาชีพที่พัวพันหรือส่งเสริมต่อการ อาฆาต พยาบาท อิจฉา ริษยา และเกิดการกำหนัดเช่น อาชีพดารา นักแสดงที่ไม่มีศีลธรรม นักโฆษณา สื่อมวลชนทั้งหลายที่ไร้จริยธรรม
    9.อาชีพที่พัวพันหรือส่งเสริมต่อการ ละโมบต่อทรัพย์ของผู้อื่น เช่น การลงทุนโดยหลอกผู้อื่นให้มาลงทุน แชร์ลูกโซ่ต่างๆ

    และถ้ายังผิดอยู่ในข้อใด ก็ควรจะเลิกหรือพยายามที่เลิกประพฤติผิดนั้นเสีย เพราะอาชีพที่เป็นบาปเหล่านี้ จะเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้คนทุกคนนั้นตกต่ำ ที่เห็นว่ายังค้าขายรุ่งเรืองนั้น ยังมีบุญเก่าอยู่ทั้งสิ้น เมื่อหมดบุญเก่าหรือบุญเก่าออกกำลังลง

    รับรองว่าชีวิตที่เหลืออยู่ต้องพบกับความวิบัติ จนเกินที่จะรับได้แน่นอน ทางที่ดีสำรวจตรวจตราอาชีพของตนเสีย ยังมีอีกหลายอาชีพที่สุจริต และถูกต้องทางศีลธรรมมากมายให้เราเลือกทำ

    คนที่ยังประกอบอาชีพที่เป็นบาปนั้นเปรียบเหมือน คนที่จับถ่านไฟร้อน ถ้าไม่รู้ว่าร้อน ก็จับอย่างเต็มไม้เต็มมือ แม้จะถูกความร้อนลวกจนมือทะลุ ก็ยังไม่รู้สึกว่าเจ็บและยังไม่คิดที่จะปล่อยถ่านไฟร้อน เพราะไม่รู้ว่าถ่านไฟร้อนและกำลังทำลายมือตนเอง ฉันใดผู้ยังทำบาป ทำอกุศลกรรม ด้วยความไม่รู้ ก็ฉันนั้น.

    และอยากจะฝากไว้สักนิดกับอาชีพที่ก่อให้เกิดความกำหนัด หรือหลงผิดในวัตถุต่างๆ ค่านิยมที่เป็นภัยนั้นที่กำลังเป็นปัญหามากในบ้านเราในสื่อต่างๆ ทั้งทางทีวี สิ่งพิมพ์หรืออินเตอร์เน็ตนั้น ทำให้เยาวชนและคนทั่วไปมัวเมาในกามโลกีย์ สร้างปัญหาวุ่นวายในสังคมทางเดียวที่คนพวกนี้จะไปหลังตายไปแล้วคือ นรกเท่านั้น

    ในสมัยพุทธกาล ได้มีคนพยายามถามพระพุทธเจ้าถึงเรื่องของนักเต้นรำ ว่าจริงหรือไม่ที่คนพวกนี้ นำความรื่นเริง ความเท็จ มายามาสู่คนดูนั้น ตายไปแล้วจะได้ขึ้นสวรรค์ พระพุทธองค์ทรงตรัสตอบว่า

    “ ดูกรนายคามณี เมื่อก่อนสัตว์ทั้งหลายยังไม่ปราศจากราคะ อันกิเลสเครื่องผูกคือราคะผูกไว้นักเต้นรำรวบรวมเข้า ไว้ซึ่งธรรมอันเป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด ในท่ามกลางสถานเต้นรำ ในท่ามกลางสถานมหรสพ แก่สัตว์เหล่านั้นมากยิ่งขึ้น เมื่อก่อนสัตว์ทั้งหลายยังไม่ปราศจากโทสะ อันกิเลสเครื่องผูก คือโทสะผูกไว้ นักเต้นรำรวบรวมเข้าไว้ซึ่งธรรมเป็นที่ตั้งแห่งโทสะ ในท่ามกลางสถานเต้นรำ
    ในท่ามกลางสถานมหรสพ แก่สัตว์เหล่านั้นมากยิ่งขึ้น
    เมื่อก่อน สัตว์ทั้งหลายยังไม่ปราศจากโมหะ อันกิเลสเครื่องผูกคือโมหะผูกไว้นักเต้นรำ ย่อมรวบรวมไว้ซึ่งธรรมอันเป็นที่ตั้งแห่งโมหะ ในท่ามกลางสถานเต้นรำ ในท่ามกลางสถานมหรสพ แก่สัตว์เหล่านั้นมากยิ่งขึ้น นักเต้นรำนั้น ตนเองก็มัวเมาประมาท ตั้งอยู่ในความประมาท เมื่อแตกกายตายไป
    ย่อมบังเกิดในนรกชื่อ ปหาสะ
    อนึ่ง ถ้าเขามีความเห็นอย่างนี้ว่า นักเต้นรำคนใดทำให้คนหัวเราะ รื่นเริง ด้วยคำจริงบ้าง คำเท็จบ้าง ในท่ามกลางสถานเต้นรำ ในท่ามกลางสถานมหรสพ ผู้นั้นเมื่อแตกกายตายไป
    ย่อมเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทวดาชื่อ ปหาสะ ความเห็นของเขานั้นเป็นความเห็นผิด
    ดูกรนายคามณี ก็เราย่อมกล่าวคติสองอย่าง คือ นรกหรือกำเนิดสัตว์เดียรัจฉาน อย่างใดอย่างหนึ่งของบุคคลผู้มีความเห็นผิด”

    สรุปก็คือ พวกที่มีอาชีพพวกนี้เมื่อรู้แล้วยังไม่เลิกจะมอมเมา ยั่วยุให้ผู้อื่นนั้นหลงไปในกิเลสตัณหาต่างๆ เมื่อตายไปแล้วนรกขุมหนึ่งในอเวจีที่ชื่อ “ปหาสะ” ได้เปิดรอแล้วอยู่ทุกวินาที

    ถ้าอยากเจริญก้าวหน้า รวยทั้งในชาตินี้และในชาติหน้า ก็ควรจะเลือกประกอบอาชีพที่ไม่เป็นบาปหรือมีบาปเจือปนอยู่ แต่ถ้ายังขืนดันทุรังทำไปก็จะเหมือนกบในกะลา ที่ไม่เคยรู้จักมหาสมุทรที่กว้างใหญ่ที่มีแต่ความสุขความเจริญรออยู่ข้างหน้า


     
  5. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    6,100
    ค่าพลัง:
    +16,525
    พรุ่งนี้ลงสาระให้ต่อนะ ติดตามๆ
     
  6. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    6,100
    ค่าพลัง:
    +16,525
    สาเหตุที่ทำให้ไม่เจริญและรวยได้ในชาตินี้(2)
    อ่านแล้วได้ข้อคิดดีๆ ก็จะลงให้อ่านกันเรื่อยๆ อ่านให้จบได้ประโยชน์แน่นอน เป็นงานเขียนของ ธ.ธรรมรักษ์ ก็มาต่อกันนะครับ

    เหตุเพราะตระหนี่และละโมบขั้นรุนแรง

    กรรมนี้เกิดขึ้นทางใจโดยเฉพาะซึ่งจะไปปิดทางไม่ให้ใจนั้นมีกำลังในการทำกรรมดี ทำให้ใจนั้นไม่รู้จักการให้ การเสียสละ ซึ่งเป็นกรรมที่ทำให้รวย ซึ่งควรจะขจัดกรรมนี้ออกไปให้ได้เป็นลำดับสุดท้ายก่อนที่จะไปรู้จักกรรมที่ทำให้รวยได้จริงกัน ซึ่งจะขออนุญาตอธิบายให้ทราบ โดยจะแบ่งออกเป็น 2 ส่วนคือ

    1. เหตุเพราะขี้เหนียวตระหนี่มากเกิน คือ การเป็นคนที่เห็นแก่ตัวอย่างร้ายกาจ เป็นคนที่มีลักษณะที่มีพอจะฐานะ มีสิ่งของพอจะให้ได้ก็ไม่ให้อะไรกับใครทั้งสิ้น กลัวว่าคนอื่นจะมาเอาเปรียบ คิดแต่เพียงว่าเราไม่ยุ่งของๆ ใคร ดังนั้นของๆ เราๆ ก็ไม่ให้ใครเหมือนกัน คนที่มีกรรมหรือการกระทำแบบนี้ จะไม่มีมิตรสหาย ไม่มีคนส่งเสริม ไร้ซึ่งบารมีให้คนยำเกรง ประเภทหัวเดียวกระเทียมลีบ จะทำอะไรก็ไม่สำเร็จเพราะไม่มีคนช่วยเพราะมาจากการแล้งน้ำใจ

    รวมถึงแม้แต่หนี้สินที่ติดค้างคนอื่นไว้ก็ไม่ยอมจะคืนให้เขา เมื่อมีแล้วก็ทำเป็นเงียบๆ เอาไว้ไม่ยอมชดใช้คืน ของๆ คนอื่นอยากได้แต่ของๆ ตัวเองไม่ให้ใคร ผลแห่งการ ตระหนี่เกินเหตุ คือการเป็นผู้อัตคัดเกินเหตุเช่นกัน แล้งน้ำใจในกาลนี้ จะให้ผลเป็นความแล้งทรัพย์ในชาติถัดไป

    1. ละโมบโลภมากขั้นรุนแรง ข้อนี้หนักหน่อย คนที่มีความเห็นแก่ได้ ถึงขั้นโลภจัดขนาดทำให้ก่อกรรมชั่วผิดศีล ข้อที่ว่าด้วยการลักทรัพย์ได้ หรือฉ้อโกงทรัพย์ได้โดยปราศจากความละอาย ผู้ทำ ความวิบัติฉิบหายให้แก่ทรัพย์ของคนอื่น ย่อมรับผลเป็นความพินาศแห่งทรัพย์ของตนเช่นกันยิ่งเกิดผลกับคนจำนวนมาก กรรมนั้นก็จะยิ่งหนักขึ้นไปอีก
    แม้การให้ทานในอดีตจะได้บันดาลให้เกิดทรัพย์ไว้มาก ทรัพย์นั้นย่อมถึงความ วิบัติ อาจจะในระดับให้เกิดความเจ็บใจรุนแรง หรืออาจจะในระดับให้ตกยากแบบฉับ พลันทันที ขึ้นอยู่กับความหนักเบาแห่งกรรมของการผิดศีลข้อ 2 ในเรื่องฯ อันเป็นตัวต้นเหตุ

    มีเรื่องของการตระหนี่และละโมบที่มีบันทึกไว้ในพระไตรปิฎกมาเล่าให้ฟังว่า คนทำกรรมแบบนี้ ต้องพบเจออะไรบ้างในชีวิตซึ่งท่านมาลาวชิโร เขียนไว้ในหนังสือธรรมลีลา ฉบับที่ 101 เม.ย. 52 ไว้ว่า

    “…ในสมัยพระพุทธกาล มีพระเถระรูปหนึ่งชื่อว่าโลสกะ เป็นบุตรของชาวประมงที่อาศัยอยู่ในแคว้นโกศล อดีตท่านเป็นคนที่ถูกตราหน้าว่าทำให้ตระกูลมีแต่ความอดอยากยากจนช่วงที่ท่านอยู่ในท้องของมารดา บ้านของชาวประมงที่อยู่ในหมู่บ้านเดียวกันก็ถูกไฟไหม้ถึง 7 ครั้ง และถูกพระราชา ปรับสินไหม 7 ครั้ง

    เท่านั้นยังไม่พอชาวประมงทั้งหมู่บ้านที่พากันออกหาปลา หาสัตว์น้ำในแม่น้ำลำคลอง ต่างก็ไม่มีใครได้ปลาหรือสัตว์น้ำเลยสักคนเดียว แม้แต่ปลาเล็กๆ สักตัวก็ไม่ได้ และนับแต่วันนั้นเป็นต้นชาวบ้านก็ไม่เคยหาปลาได้เลย

    เหตุนี้เองพวกชาวประมงจึงสงสัยกันว่าในหมู่บ้านคงต้องมีตัวกาลกิณีอยู่ในหมู่บ้านแน่นอน เมื่อ คิดกันดังนั้นแล้ว ต่างก็แยกหมู่บ้านออกเป็นสองหมู่ หมู่ละ 500 ครอบครัว เมื่อมารดาของพระโลสกะ ไปอยู่ในหมู่บ้านใด หมู่บ้านนั้นก็จะเจอแต่เรื่องเดือดร้อนไม่รู้จักจบจักสิ้น

    ชาวบ้านจึงแยก หมู่บ้านออกไปเรื่อยๆ จนกระทั่งเหลือครอบครัวของเขาอยู่โดดเดี่ยวตามลำพัง ชาวบ้านจึงรู้ว่า พวกเขาเป็นกาลกิณี พากันรุมโบยตี ทำให้มารดาของพระโลสกะต้องอุ้มท้องท่านไว้ด้วยความยากลำบาก จนกระทั่งคลอดออกมา และเลี้ยงดูจนท่านโตพอที่จะวิ่งไปไหนมาไหนได้แล้ว มารดาจึงเอาภาชนะดินเผาใบหนึ่งใส่มือให้และไล่ออกจากบ้านไป เด็กน้อยก็จำต้องหากินตามลำพังด้วยความอดๆ อยากๆ เก็บเมล็ดข้าวกินทีละเมล็ด นอนไม่เป็นที่เป็นทาง น้ำไม่ได้อาบ จนร่างกายคล้ายปีศาจ และมีความเป็นอยู่เช่นนี้จนอายุครบ 7 ขวบ

    วันหนึ่งขณะที่พระธรรมเสนาบดีกำลังเดินบิณฑบาตอยู่ในเมืองสาวัตถี ได้มองเห็นเขาก็รู้สึกสงสาร จึงเรียกมาสอบถามว่าบ้านอยู่ที่ไหน พ่อแม่เป็นใคร เด็กบอกว่าตนไม่มีที่พึ่ง พ่อแม่บอกว่าตนทำให้พวกเขาลำบาก จึงทิ้ง ไป พระเถระจึงถามเด็กน้อยว่า อยากบวชไหม จะบวชให้ เด็กชายตอบตกลงด้วยความดีใจเป็นอย่างมาก

    พระเถระได้แบ่งอาหารให้เขากินแล้วพาไปที่วัด จัด แจงบวชให้เป็นที่เรียบร้อย เด็กน้อยครองเพศบรรพชิตจนกระทั่งอายุพรรษามาก ท่านได้ชื่อว่า โลสกติสสเถระ แต่ก็เป็นพระที่ไม่มีลาภ แม้ในคราวที่คนมาทำบุญที่วัดมากๆ ท่านก็ได้ฉันเพียงนิดหน่อยเท่าที่จะมีชีวิตอยู่ต่อเท่านั้น ไม่เคยได้ฉันอาหารเต็มอิ่มเลย

    หากมีใครใส่บาตรท่านเพียง ข้าวต้มทัพพีเดียว ก็เหมือนกับมีข้าวเต็มบาตร คนที่มาทำ บุญจึงคิดว่า บาตรของท่านเต็มแล้ว เลยถวายองค์ถัดไป

    ต่อมาท่านได้เจริญวิปัสสนาจนกระทั่งบรรลุอรหันต์ แต่ท่านก็ยังมีลาภน้อยอยู่นั่นเอง จนกระทั่งถึงวันที่ท่านจะปรินิพพาน พระธรรมเสนาบดีอยากจะให้ท่านได้ฉันอาหาร เต็มอิ่มสักมื้อ จึงพาท่านไปบิณฑบาตในเมืองสาวัตถี แต่ไม่มีใครใส่บาตรเลยแม้แต่คนเดียว

    พระเถระจึงบอกให้พระโลสกติสสไปนั่งรอที่วัด แล้วตนเองไปบิณฑบาตคนเดียว ชาวบ้านก็พากันออกมาใส่บาตรจำนวนมากและนิมนต์ให้ฉันด้วย พระเถระจึงใช้ให้คนเอาอาหารไปถวายพระโลสกติสสที่วัด แต่ไม่ว่าใครเอาอาหารไป ก็จะลืมท่านทุกที พากันกินเสียเองจนหมด

    ครั้นพระเถระกลับถึงวัด จึงถามพระโลสกติสสว่าได้ฉันหรือยัง ก็ได้รับคำตอบว่ายัง พระเถระจึงเกิดความสลดใจ บอกให้พระโลสกติสนั่งอยู่ที่เดิม ส่วนตัวท่านเข้าไปที่พระราชวังของพระเจ้าโกศล

    พระราชาได้ถวายของหวานจนเต็มบาตร เมื่อพระเถระกลับมาที่วัด จึงเรียกพระโลสก-ติสสมาฉัน โดยท่านถือบาตรไว้ให้พระโลสกติสสนั่งฉัน เพราะถ้าปล่อยบาตรจากมือ บาตรก็จะว่างเปล่า คราวนี้ท่านฉันได้ เพราะด้วยอำนาจฤทธิ์ของพระเถระ หลังจากที่ฉันจนเต็มอิ่มแล้วท่านก็ปรินิพพาน พระพุทธเจ้าทรงรับสั่งให้กระทำการปลงสรีระ เก็บเอาธาตุ ทั้งหลายก่อพระเจดีย์บรรจุไว้

    ในเวลานั้น พวกภิกษุทั้งหลายก็สนทนากันว่า น่าอัศจรรย์จริงๆ พระโลสกติสสเถระมีบุญน้อย มีลาภน้อย ทำไมจึงบรรลุอริยธรรมได้ พระพุทธเจ้าจึงทรงเล่าให้ฟังว่า

    เหตุที่โลสกติสสะเถระมีลาภน้อย แต่ได้บรรลุธรรมขั้นสูง ก็เพราะว่า ในอดีตท่านกระทำอันตรายลาภของผู้อื่นจึงเป็นผู้มีลาภน้อย แต่บรรลุอริยธรรมได้ก็เพราะผลที่ท่านได้บำเพ็ญวิปัสสนา คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา นั่นเอง หลังจากนั้นพระองค์จึงทรงเล่าอดีตกรรมของพระโลสกติสสะให้ฟังว่า

    ครั้งที่พระพุทธเจ้าพระนามว่ากัสสปะ มีภิกษุรูปหนึ่งเป็นผู้เรียบร้อย มีศีล หมั่นบำเพ็ญวิปัสสนา ท่านมีเศรษฐีที่อยู่ใกล้วัดคนหนึ่งคอยอุปถัมภ์บำรุง ครั้งนั้นมีพระขีณาสพรูปหนึ่งอยู่ในป่าหิมพานต์ (พระขีณาสพ หมายถึง บุคคลสิ้นอาสวแล้ว ผู้กระทำกิจเสร็จแล้วเป็นพระอรหันต์)

    ได้เดินทางมาที่บ้านของเศรษฐี พอเศรษฐีเห็นท่านก็เลื่อมใส จึงนิมนต์ไปฉันภัตตาหารที่บ้าน และนิมนต์ให้พักที่วัดซึ่งไม่ไกลจากหมู่บ้าน

    พระอาคันตุกะเข้าไปที่วัดและไปกราบเจ้าอาวาส ซึ่งถามท่านว่า ฉันอาหารมาหรือยัง ท่านก็บอกว่าฉันมาแล้ว ที่บ้านของเศรษฐีที่อยู่ข้างวัด หลังจากนั้นต่างก็แยกย้ายกันไปปฏิบัติธรรม

    ตกเย็นเศรษฐีก็แวะเข้ามาเยี่ยมท่านที่วัด เขาถามเจ้าอาวาสว่าพระอาคันตุกะพักอยู่ที่ไหน เมื่อเจ้าอาวาสชี้ทางให้แล้ว เศรษฐีจึงเข้าไปหาท่าน นั่งฟังธรรมและนิมนต์ไปฉันที่บ้านในวันรุ่งขึ้น
    เจ้าอาวาสคิดว่า

    “สงสัยเศรษฐีจะถูกพระอาคันตุกะยุยงให้แตกแยกกับเรา ถ้าพระรูปนี้ยังอยู่ในวัดนี้ต่อไป เศรษฐีคงจะไม่นับถือเราเป็นแน่”

    คิดแล้วเจ้าอาวาสจึงหาวิธีกำจัดไม่ให้พระอาคันตุกะพักในวัดอีกต่อไป โดยไม่พูดกับท่าน ตอนเช้าเวลาจะไปฉันข้าว เจ้าอาวาสก็ตีระฆังด้วยหลังเล็บ เคาะประตูด้วย เล็บ แล้วตนเองก็เข้าไปบ้านของเศรษฐีเพียงลำพัง เศรษฐีเห็นเจ้าอาวาสมารูปเดียวจึงถามหาพระอาคันตุกะ เจ้าอาวาส ก็บอกไม่รู้ เพราะตีระฆังแล้ว เคาะประตูแล้ว ก็ไม่เห็นท่านตื่น เมื่อวานท่านฉันอาหารจนอิ่มแล้ว สงสัยคงจะนอนยังไม่ตื่น

    ฝ่ายพระเถระผู้เป็นอาคันตุกะ พอถึงเวลาเช้าท่านก็ถือบาตรและจีวรเหาะไปจากที่นั่น ไปอยู่ที่อื่น ส่วนเศรษฐีหลังจากได้ถวายภัตตาหารเจ้าอาวาสแล้ว ก็ฝากอาหารไปถวายพระเถระที่วัดด้วย เจ้าอาวาสก็รับที่จะนำไปให้

    ขณะที่เดินกลับวัดก็คิดว่า หากพระรูปนี้ได้ฉันข้าว ถึงเราจะไล่ให้ออกจากวัดยังไงก็คงจะไม่ยอมไป ถ้าเราเอาอาหารนี้ให้ชาวบ้าน ก็กลัวความลับจะแตก หรือจะเททิ้งในน้ำ เนยใสก็จะเป็นเหมือนน้ำ แต่ถ้าทิ้งบนดิน ฝูงกาก็จะมารุมกิน ความลับก็จะแตกอีก เราจะเอาไปทิ้งที่ไหนดีหนอ

    ขณะนั้นเอง ก็เหลือบไปเห็นนาที่ไฟกำลังไหม้อยู่ จึงคุ้ยถ่านขึ้น เทอาหาร ลงไปและกลบด้วยก้อนถ่าน แล้วจึงกลับวัด เมื่อไปถึงวัดไม่เห็นพระอาคันตุกะ ก็คิดว่าท่าน คงหนีไปอยู่ที่อื่นแล้ว จึงเกิดสำนึกผิดว่า เพราะท้องเป็นเหตุแท้ๆ ที่ทำให้เราทำกรรมชั่ว เจ้าอาวาสรู้สึกเสียใจต่อ การกระทำของตนมาก ต่อมาไม่นานท่านก็มรณภาพและไปเกิดในนรก

    เจ้าอาวาสผู้ละโมบตระหนี่ถี่เหนียวเห็นคนอื่นดีกว่าตนเองไม่ได้รูปนี้ ก็ตกนรกหมกไหม้อยู่หลายแสนปี และเศษของผลกรรมยังทำให้เกิดเป็นยักษ์ถึง 500ชาติ!!

    ไม่เคยได้กินอาหารเต็มท้องสักวันเดียว จนถึงวันจะตายค่อยได้กินอิ่ม ตายจากยักษ์ก็ไปเกิดเป็นหมาอีก 500 ชาติ!! หิวโหยไม่ได้ กินอิ่มเช่นเดียวกัน

    ตายจากหมาจึงมาเกิดในตระกูลของคนยากจน และตั้งแต่วันที่เขาเกิด ตระกูลก็ยิ่งจนหนักลงเรื่อยๆกว่าเดิม แม้แต่น้ำก็ไม่ได้กินอิ่มอย่างคนอื่นเขาต้องถูกไล่ออกจากบ้าน จนได้มาบวช และบรรลุอรหันต์ ซึ่งเป็นกรรมดีที่ท่านได้เคยทำไว้นั่นเอง…”

    ชีวิตของเราแต่ละคนเป็นไปตามกรรมที่เราเป็นผู้กระทำเอง เราจะประสบความสุขหรือความทุกข์ก็ขึ้นอยู่ กับการกระทำของเราเอง ถ้าอยากตจะมีชีวิตที่ดีก็ควรทำแต่กรรมดี อย่าเป็นคนตระหนี่ละโมบ และเหนียวหนี้เป็นอันขาด เพราะอาจจะได้รับผลกรรมตกทุกข์ยากอย่างแสนสาหัสเหมือนท่านเจ้าอาวาสที่กว่าจะมาเกิดเป็นพระโลสกติสสเถระ ต้องทนทุกข์ทรมานขนาดไหน ทางที่ดีควรจะเป็นผู้ให้ แล้วจะได้รับมากกว่าให้เสียอีก


    เหตุเพราะบุญเก่ามากพอหรือกรรมเก่าฝ่ายดีตามส่งผลในชาตินี้

    เป็นเรื่องจริงและพิสูจน์มาแล้วว่า ในบรรดาพ่อค้า แม่ค้าหรือนักธุรกิจระดับใหญ่ที่เป็นคนรวยอย่างที่เราเห็นนั้น ทุกคนจะมีสิ่งหนึ่งที่เป็นทุนรอนเบื้องต้นที่ติดตัวมาตั้งแต่ในชาติเดิมก็คือ กรรมดีที่เคยทำมาก่อนและตามมาส่งผลในชาตินี้ หรือที่เรียกกันว่า “บุญเก่า” ติดตัวมา

    หลายคนคงเคยได้ยินว่า คนนั้นคนนี้รวยเพราะมีบุญเก่า คนนั้นทำอะไรไม่สำเร็จไม่มีทางรวยเพราะบุญเก่าไม่มี คนนั้นรอดชีวิตมาได้เพราะมีบุญเก่ามาช่วยทัน ซึ่งก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ

    เพราะบุญเก่านั้นเป็นบุญพื้นฐานสำคัญที่ติดตัวมาทุกคน แต่จะน้อยหรือมากนั้นอีกเรื่องหนึ่ง

    ซึ่งบุญเก่านี้ต้องมาจากการที่ชาติหนึ่งชาติใดที่สะสมมาจากการสร้างกรรมดี และคนที่เราเห็นมีเงินทองร่ำรวย ทำการค้าอะไรก็สำเร็จมีธุรกิจใหญ่โตในชาตินี้ ก็เพราะในชาติหนึ่งชาติใด คนรวยเหล่านี้ต้องเคยเป็นพ่อค้าวาณิชย์

    มีบริวารข้าทาส คู่ค้าเก่า แวดล้อมด้วยคนที่เคยเกื้อหนุนกันมาก่อนติดตามกันมาด้วยกรรมผูกพัน และเคยเป็นเศรษฐีมีฐานะร่ำรวยมาก่อนทั้งสิ้น นิสัยหรือความทรงจำเดิมของพ่อค้า ความฉลาดไหวพริบทางการค้าจึงติดตามมาในชาตินี้ด้วย

    คนเหล่านี้ต้องเคยรวยมาก่อน จึงรู้เส้นทางของการพาตัวเองไปสู่ความร่ำรวยได้

    เปรียบได้กับคนที่เดินทางไปในที่หนึ่งบ่อยๆ ครั้งจนชินทาง และสามารถใช้เวลาในการเดินทางไปที่แห่งนั้นด้วยความเร็วและความชำนาญได้โดยง่าย ผิดกับคนที่ไม่เคยเดินทางไปที่แห่งนั้น ที่อาจจะต้องเสียเวลามากมาย หรือในบางคนอาจจะหลงทางหรือพบกับสิ่งที่เป็นอุปสรรคและไม่เข้าใจที่จะแก้ไขได้ จึงไปไม่ถึงที่แห่งนั้น

    เปรียบเหมือนฟืนที่แห้งมีเชื้อที่ดีอยู่แล้ว ยิ่งมาประกอบกับมีปัจจัยหรือตัวช่วยในชาตินี้ จะทำให้กองไฟนั้นติดง่ายดาย ลองสังเกตดูก็ได้ มีหลายคนในชาตินี้ที่มีอาชีพอื่นๆ ที่พยายามจะฝืนกรรม ฝืนธรรมชาตินิสัยของตน พยายามที่จะทำมาค้าขายเหมือนคนอื่นเขา เพียงหวังจะมีเงินทองมากมาย แต่ไม่เคยสำเร็จเสียที ทำการค้าทีไรเป็นต้องขาดทุนหรืออย่างเก่งก็เสมอตัว หรือต้องมีเหตุที่ทำให้การค้านั้นไม่เจริญก้าวหน้า

    ลองสังเกตดูคนที่เคยเกิดมารับราชการจะเป็นทหาร ตำรวจ หรือข้าราชการประเภทใด คนเหล่านี้จะไม่มีนิสัยของพ่อค้าใหญ่หรือคนรวยติดตัวมาเลย ถึงมีก็อาจจะน้อยน้อย ถึงแม้อาจจะเคยเป็นพ่อค้าเคยรวยมาก่อน แต่อาจจะเป็นชาติที่ไกลโพ้น จนนิสัยหรือความจำเดิมนั้นลางเลือนไป

    คงเหลือแต่เพียงกรรมที่มาจากชาติใกล้ๆ กันที่เคยเป็นทหาร เป็นผู้รักษากฎเกณฑ์มีหน้าที่ในการรับใช้ในด้านต่างๆ ของสังคมตามมาส่งผล มีกรรมผูกพันเป็นหน้าที่ที่ไม่สามารถจะหนีพ้นไปได้ แม้จะหนีเท่าไรไม่อยากจะเป็นข้าราชการก็หนีไม่พ้นไปได้

    เช่นเดียวกันถึงแม้จะพยายามเป็นพ่อค้า เป็นนักธุรกิจ ก็จะเป็นได้เพียงหางๆ ปลายๆ ของคนที่เขามีนิสัยพ่อค้าติดตัวมาเท่านั้น

    ดั่งเช่นในพระอริยะสงฆ์นั้น เชื่อกันว่าในหลายชาติที่ผ่านมา ท่านเหล่านั้นต้องเป็นผู้ที่เคยเกิดมาในสมัยของพระพุทธเจ้า ต้องเคยบวชเรียนในพระบวรพระพุทธศาสนามาก่อน และเป็นผู้ปฏิบัติปรารถนาการหลุดพ้น หรือในบางท่านปรารถนาพุทธภูมิมาก่อน ท่านเหล่านี้จึงต้องมาเกิดเพื่อที่จะสร้างบารมี ปฏิบัติธรรมให้ได้สำเร็จตามแรงอธิษฐานของท่านในอดีตชาติ

    ด้วยบุญเก่าที่เคยเป็นผู้อุปถัมภ์ช่วยเหลือผู้อื่นเป็นจำนวนมาก แรงแห่งบุญจึงส่งให้มาเกิดในชาติ พรั่งพร้อมด้วยบริวาร ที่มีคนที่เคยช่วยเหลือในภพชาติที่แล้วตามมาเกิดและมาช่วยเหลือกันต่อไป ช่วยอุดหนุนในการทำการค้าให้ร่ำรวยมากโดยง่าย

    ด้วยบุญเก่าที่เคยเกิดมาในครอบครัวที่ร่ำรวย มีใจบุญสุนทาน เคยได้ร่วมทำบุญกันอย่างสม่ำเสมอมีความผูกพันกันอย่างลึกซึ้ง บุญจึงส่งให้มาเกิดในครอบครัวที่ร่ำรวยอีก เป็นด้วยบุพเพสันนิวาสผูกพันกันมา พ่อแม่มหาเศรษฐีในชาตินี้ อาจจะเคยเป็นลูก เป็นพ่อเป็นแม่ เป็นพี่เป็นน้อง กลับมาเกิดร่วมบุญที่เคยทำมาด้วยกันอีก เป็นกระแสบุญที่ผูกพันต่อเนื่อง

    ด้วยบุญเก่าเป็นผู้ให้ทานด้วยความเต็มที่ เต็มใจและให้ทันทีไม่มีลังเลต่อผู้ยากไร้อับจน เห็นผู้ที่ควรช่วยเหลือก็เข้าช่วยเหลือด้วยใจบริสุทธิ์ ส่งผลให้กลับมาเกิดด้วยความพร้อมแห่งโชคลาภ

    ด้วยบุญเก่าที่เคยชี้ช่องทางให้ผู้อื่นมีความสุขความเจริญ ทำให้เกิดมาอยู่ในแผ่นดินที่สมบูรณ์ ทำอะไรก็เกิดผล แม้ไม่ต้องออกแรงมากก็สำเร็จได้โดยง่าย

    ด้วยบุญเก่าเคยเป็นผู้มอบทรัพย์สมบัติในพระพุทธศาสนา แด่พระสงฆ์ผู้เป็นเนื้อนาบุญแห่งพระศาสนา เคยมอบทรัพย์สมบัติให้กับแผ่นดิน ซึ่งเป็นสาธารณะมีประโยชน์อันมากแก่ผู้คนและแผ่นดิน ในชาตินี้จะเป็นผู้ที่ได้รับมรดก ได้รับการช่วยเหลือของผู้มีอำนาจในแผ่นดินหรือคู่ค้าที่มีบุญมากกว่าช่วยเหลือ

    ด้วยบุญเก่าเป็นผู้มีนิสัยโอบอ้อมอารี ไม่ตระหนี่ถี่เหนียว ช่วยเหลือผู้อื่นด้วยความยินดีไม่มีอะไรแอบแฝง ทำให้ชาตินี้มักได้ลาภลอยทางการค้า

    ด้วยบุญเก่าที่เคยให้ประโยชน์แด่ผู้อื่น เต็มกำลังความสามารถไม่เห็นแก่ตัว ไม่เห็นแก่ได้ ตอบแทนค่าแรง มอบประโยชน์ผู้อื่น ข้าทาสบริวาส ไม่เบียดบัง ชาตินี้จะอุดมไปด้วยทรัพย์สินเงินทอง

    ด้วยบุญเก่า เป็นผู้มีความกตัญญูรู้พระคุณคน สัตว์ สิ่งของ ทำให้ชาตินี้มีความอดทน
    มีสติรอบคอบ เป็นคนมีเหตุผล ทำให้พ้นทุกข์พ้นภัย ได้ลาภโดยง่ายแคล้วคลาดภัยในยามคับขัน
    ทำให้เทวดาลงมาพิทักษ์รักษาผู้ที่ทำ ทำให้ได้รับการยกย่องสรรเสริญ มีความเจริญก้าวหน้าในอาชีพการงาน ถ้ามีลูกก็จะได้ลูกที่ดี

    ด้วยบุญเก่าเป็นผู้รักษาศีล 5 หมั่นสวดมนต์ทำสมาธิ เจริญภาวนาอยู่เป็นประจำ ด้วยอานิสงส์แห่งบุญจึงส่งให้มาเกิดพร้อมด้วยความเฉลียวฉลาด มีปัญญาไหวพริบเหนือผู้อื่น เป็นผู้แตกฉานในวิชาความรู้

    บุญเก่าจึงเป็นทุนเบื้องต้นหรือฐานสำคัญที่ส่งให้คนร่ำรวยได้ แต่อย่างไรก็ตามถ้าไม่รู้จักการสร้างบุญบารมีใหม่ในชาตินี้อย่างถูกต้องและมีกำลังมากพอ ก็จะเจริญและร่ำรวยยากเหมือนกัน ด้วยบุญเก่าที่มีเมื่อใช้ไปก็หมดได้

    เพราะเราไม่มีทางรู้เลยว่า บุญเก่าที่เราใช้ๆ อยู่นี้จะหมดลงเมื่อใด จึงต้องเร่งสร้างบุญบารมีใหม่เข้ามาเพิ่มเป็นกำลังสำคัญ เพื่อความไม่ประมาทของชีวิตและเพื่อความร่ำรวยได้จริงแบบทันตาเห็นดังที่เราปรารถนา




     
  7. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    6,100
    ค่าพลัง:
    +16,525
    แจ้งการส่ง EMS

    พี่เจริญพร ET 2872 2807 7 TH

    พี่สุวิทย์ ET 2872 2808 5 TH

    พี่นิพัทธ์ ET 2872 2809 4 TH

    พี่ก้องจิต ET 2872 2810 3 TH

    พี่รังสรรค์ ET 2872 2811 7 TH

    พี่กฤตยชญ์ ET 2872 2812 5 TH

    พี่พนิดา ET 2872 2813 4 TH

    พี่สยามรัฐ ET 2872 2814 8 TH

    พี่ทัชย์ ET 2872 2815 1 TH

    พี่วิชัย ET 2872 2816 5 TH

    พี่สรวุฒิ ET 2872 2817 9 TH

    พี่วีระยุทธ ET 2872 2818 2 TH

    พี่ชัยวัฒน์ ET 2872 2819 6 TH

    พี่เสฏฐณัน ET 2872 2820 5 TH

    พี่ศิระ ET 2872 2821 9 TH

    พี่ณฐมน ET 2872 2822 2 TH

    พี่ชัยวัฒน์(ยานนาวา) ET 2872 2823 6 TH

    พี่ธนากร ET 2872 2824 0 TH
     
  8. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    6,100
    ค่าพลัง:
    +16,525
    พรุ่งนี้ติดตามกันนะครับ;)
     
  9. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    6,100
    ค่าพลัง:
    +16,525
    วันพระใหญ่อย่าลืมไปทำบุญสร้างกุศลกันด้วยนะครับผมอนุโมทนาล่วงหน้ากับทุกท่านไว้เลย ทำใจให้เบิกบานอย่าขุ่นมัว

    ก็เดี๋ยวจะมาพุดคุยกัน เพราะช่วงนี้มีสอบถามกันเข้ามามากถึงสมิงพระกาฬ และเครื่องรางที่เป็นมหาภูติซึ่งใช้งานและบูชาง่ายๆ เปรยๆไว้ก่อนว่าเป็นของมีฤทธิ์มาก สร้างได้ยาก และเก่งกว่าเสือสมิงแน่นอน
    :)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 กรกฎาคม 2017
  10. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    6,100
    ค่าพลัง:
    +16,525
    ตอบ PM ครบแล้ว ขออนุญาติไปทำบุญก่อนนะ;)
     
  11. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    6,100
    ค่าพลัง:
    +16,525
    สาเหตุที่ทำให้ไม่เจริญและรวยได้ในชาตินี้(3)
    อ่านแล้วได้ข้อคิดดีๆ ก็จะลงให้อ่านกันเรื่อยๆ อ่านให้จบได้ประโยชน์แน่นอน เป็นงานเขียนของ ธ.ธรรมรักษ์ ก็มาต่อกันนะครับ

    เหตุเพราะรู้จักการสร้างบุญบารมีที่ถูกต้อง

    คนที่จะเจริญและร่ำรวยได้ ต้องมาจากการที่มีบุญเก่าและบุญใหม่มีกำลังมากพอที่จะส่งให้พบกับความสุข เมื่อมีความสุขก็จะนำไปสู่ความเจริญ ฉะนั้นเรื่องของการสร้างบุญด้วยการทำกรรมดีนั้นจึงถือเป็นอีกเรื่องที่สำคัญ

    สำหรับคนที่ฉลาดในการสร้างบุญนั้น เขาจะรู้จักการสร้างบุญเพื่อให้ตัวเองได้ใช้ในชีวิตทั้งในระยะสั้น ระยะยาว คนที่ไม่รู้จักบุญ คือ คนที่ปิดกั้นความเจริญด้วยมือของตัวเอง

    ความฉลาดที่ว่านี้ ไม่ใช่เป็นเรื่องที่ไม่ดี เป็นเรื่องที่สอนให้คนคิดเอาเปรียบกันแต่อย่างใด แต่เป็นเผยแพร่ความรู้ เพื่อนำมาสู่การรอบรู้อย่างลึกซึ้ง มีความรู้เต็มรอบถึงที่มา ที่ไป ถึงเหตุและผล การสร้างบุญที่ถูกต้องและได้ผลของบุญ ซึ่งเรื่องเหล่านี้ต้องยึดถือหลักพระพุทธศาสนาเป็นหลักในการสร้างบุญบารมีเท่านั้น

    การสร้างบุญบารมีที่ถูกต้องต้องมาจากการทาน ศีล ภาวนา ที่เป็นบันไดสามขั้นในการสร้างบุญบารมีทางพระพุทธสาสนา ทุกคนทำบุญเพื่อให้ใจสบาย มีความสุข ทำให้ใจมีกำลังที่จะทำกิจการใดๆ ก็ตามแบบปลอดโปร่งโล่งสบายไม่ติดขัด และมีหลักในการดำเนินชีวิตที่เป็นสุขในชาติปัจจุบัน

    การทำบุญช่วยทำให้ใจเป็นอิสระ พร้อมจะก้าวต่อไปในคุณความดีอย่างอื่น หรือเปิดช่องให้นำเอาคุณสมบัติอันดีงามอื่นๆมาใส่เพิ่มเติมแก่ชีวิต เป็นการยกระดับจิตใจให้สูงขึ้น

    ขณะเดียวกัน บุญก็เป็นสิ่งที่ทำให้เกิดภาวะน่าบูชา คนที่ทำบุญมักเป็นคนน่าบูชา เพราะเป็นบุคคลผู้มีคุณธรรม มีความดี บุญทำให้เกิดภาวะน่าบูชาแก่ผู้ที่ทำบุญสม่ำเสมอ และเมื่อได้ทำบุญแล้ว จิตใจก็อิ่มเอิบเป็นสุขที่ประณีตลึกซึ้งขึ้นไป เป็นความสุขที่ยั่งยืนยาวนาน และเป็นความสุขที่สงบ

    บุญนั้นมี 3 ระดับ ซึ่งเป็นจุดมุ่งหมายในการทำบุญของคนเรา ที่จะเป็นข้อแนะนำและแนวทาง ให้ได้พิจารณากันว่าเรากำลังทำบุญไปเพื่ออะไร
    1. ทำบุญก็เพื่อประโยชน์สุขปัจจุบัน ( ทิฏฐธัมมิกัตถะ ) คือ การทำบุญด้วยใจบริสุทธิ์ เพื่อให้เกิดผลดีแก่ผู้รับทันที แม้ว่าจะไม่ได้หวังผลตอบแทน แต่บุญที่ทำนั้นจะต้องเป็นไปตามกฎแห่งกรรม เมื่อทำกรรมดีจะต้องได้ดี ทำให้เกิดลาภบริวาร สถานภาพความเป็นอยู่ ความสุข คำชมเชย กรรมดีสนองตอบกลับมา
    การทำบุญเพื่อสืบทอดพระพุทธศาสนา ใจอย่าติดอยู่แค่พระที่เราเคารพ พระสงฆ์ที่นั่งอยู่ตรงหน้าเรา หรือวัตถุทานที่เราทำ ใจเราจะต้องมองยาวต่อออกไปถึงการสืบทอดพระพุทธศาสนา เมื่อทำบุญก็มุ่งหมายใจและอิ่มใจว่า พระพุทธศาสนาของเราจะได้ดำรงอยู่ยั่งยืนมั่นคงต่อไป ประโยชน์สุขจะได้เกิดแก่มนุษยชาติ
    เวลาทำบุญ ถ้าทำอย่างนี้ ใจของแต่ละท่านก็จะขยายกว้างออกไป อันนี้แหละเป็นสิ่งที่ทำให้ใจเราเกิดปีติว่า เออ! ครั้งนี้ เราก็ได้มีส่วนร่วมอีกแล้วนะ ในการทำนุบำรุงพระศาสนาและสร้างเสริมประโยชน์สุขแก่มวลมนุษย์ แล้วเราก็เกิดความอิ่มใจ สุขใจ ทำให้ใจมีกำลังในการต่อสู้ชีวิตต่อไป

    2.ทำบุญเพื่อประโยชน์สุขที่สูงขึ้น ( สัมปรายิกัตถะ ) นั่นคือ ประโยชน์ที่ลึกล้ำยิ่งกว่าจะมองเห็นกันเฉพาะหน้า เพื่อเสริมสร้างและยกระดับจิตของผู้ที่ทำบุญนั้นให้สูงขึ้นไป มีจิตใจที่ละเอียดประณีตมากขึ้น อันเป็นจุดหมายขั้นสูงขึ้นไป และเพื่อเป็นหลักประกันชีวิตเมื่อละโลกนี้ไป
    คลายความยึดติดผูกพันในวัตถุ ไม่ตีค่าผลประโยชน์สูงเกินไปจนต้องไขว่คว้าอันนำมาซึ่งเหตุของการกระทำความชั่วร้ายและบุญที่ทำนั้นจะส่งผลในภพต่อไป หรือจะเรียกว่า ทำบุญไว้ไปเป็นเสบียงบุญในชาติต่อไปก็ได้


    3. ทำบุญเพื่อประโยชน์อย่างยิ่ง ( ปรมัตถะ ) คือ ประโยชน์ที่เป็นสาระแท้จริงของชีวิต อันเป็นจุดหมายสูงสุด หรือที่หมายขั้นสุดท้ายคือไปสู่นิพพาน ได้แก่ การรู้แจ้งสภาวะของสิ่งทั้งหลายตามความเป็นจริง
    รู้เท่าทันคติธรรมดาของการเวียนว่าย ตาย เกิด ไม่ตกเป็นทาสของโลกและชีวิต มีจิตใจเป็นอิสระโปร่งโล่งผ่องใส ไม่ถูกบีบคั้นด้วยความยึดติดถือมั่นหวาดหวั่นของตนเอง ปราศจากกิเลสที่ทำให้เศร้าหมองขุ่นมัว อยู่อย่างไร้ทุกข์ ประจักษ์แจ้งความสุขที่สะอาดบริสุทธิ์สิ้นเชิง อันประกอบพร้อมด้วยความสงบเยือกเย็นสว่างไสวเบิกบานโดยสมบูรณ์

    และนี่คือจุดมุ่งหมายในการทำบุญที่แท้จริง เมื่อเราได้รับทราบไปแล้วว่ามีอะไรบ้าง ก็ลองพิจารณากันดูว่าเรากำลังทำบุญเพื่ออะไรกันแน่ ต่อไปขออธิบายในการทำบุญที่กระทำด้วยความไม่บริสุทธิ์ มีบาปเจือปนนั้น ซึ่งผลของบุญที่ทำนั้นยิ่งน้อยลงไปอีกเพื่อความเข้าใจในเรื่องของบุญ ขอยกเอาคำเทศนาของหลวงพ่อพุทธทาส แห่งสวนโมกข์ พระอริสงฆ์และปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ท่านหนึ่งในพระพุทธศาสนา



    ในตอนที่ท่านยังมีชีวิตอยู่ ท่านได้เคยเทศนาพูดถึงวิธีทำบุญ 3 แบบ เพื่อเตือนสติคนที่ดีมากๆ และเห็นภาพทำความเข้าใจในทุกระดับจริตง่ายมาก ซึ่งท่านได้เปรียบวิธีการทำบุญและผลของบุญเหมือนกับบุคคล 3 ประเภท ได้เอาน้ำ 3 ชนิดมาอาบน้ำชำระล้างตัว โดยสรุปเนื้อหาก็คือ

    1. บุคคลทำบุญเหมือนเอาน้ำโคลนมาอาบ คือ คนที่ทำบุญด้วยการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต เบียดเบียนสัตว์ ฆ่าวัว ฆ่าควาย ฆ่าเป็ด ฆ่าไก่ และเอาเนื้อสัตว์เหล่านั้นมาจัดงานบุญเลี้ยงกัน รวมทั้งมีเลี้ยงสุรายาเมาด้วย จนบางครั้งเกิดการทะเลาะวิวาททำร้ายกัน เหล่านี้เป็นการทำบุญด้วยการทำบาป เหมือนกับเอาน้ำโคลนมาชำระตัว ซึ่งไม่มีวันจะสะอาดได้ บุญนั้นน้อยหรือแทบไม่ส่งผลอะไรเลยกับชีวิต มีแต่กรรมไม่ดีทั้งนั้น

    1. บุคคลที่ทำบุญเหมือนเอาน้ำเจือด้วยแป้งหอมมาอาบ คือ คนที่ทำบุญด้วยความหลง ความไม่รู้ ผู้ยึดมั่นถือมั่นในบุญเป็นอย่างมาก เมาสวรรค์ เมาวิมาน เป็นการทำบุญด้วยกิเลส หรือความยึดติดอย่างรุนแรง ทำแล้วหวังผลให้ต้องเป็นเช่นนั้น ให้เกิดเช่นนี้
    เหมือนเอาน้ำที่เป็นเครื่องหอมมาอาบชำระกาย ซึ่งก็ไม่มีวันที่ร่างกายจะสะอาดได้เหมือนกัน ผลบุญที่ได้นั้นน้อยลงไปเพราะมีกิเลสมาตัดทอนกำลังลง ประเภทคนที่ทำบุญ 10 บาท แต่หวังที่จะรวยแบบฉับพลันเป็นล้านๆ ทั้งๆ ที่ไม่เคยทำกรรมดีจนถึงขั้นเป็นกรรมตัดรอนฝ่ายดีมาก่อนเลย
    1. บุคคลที่ทำบุญเหมือนเอาน้ำสะอาดมาอาบ คือ คนที่ทำบุญด้วยใจสงบร่มเย็น ไม่ได้ยึดมั่นถือมั่นสิ่งนั้นว่าเป็นตัวเราของเรา ทำบุญเพราะเป็นหนทางแห่งความดี ช่วยเหลือผู้อื่นด้วยมีพรหมวิหาร 4 เป็นหลัก อันมีความเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา
    คนที่ทำบุญแบบนี้ เหมือนคนเอาน้ำสะอาดบริสุทธิ์มาอาบ ย่อมสะอาดและมีความสุขกายสบายใจ และได้บุญกุศลเต็มกำลัง มากกว่าบุคคล 2ประเภทแรก

    เมื่อเราอ่านคำสอนของท่านพุทธทาสแล้ว ลองพิจารณาว่าวันนี้ เราต้องถามตัวเองว่า ทำบุญด้วยน้ำอะไร ถึงร่างกายและจิตใจถึงจะสะอาดได้

    การให้ทาน การรักษาศีล และการเจริญภาวนา นิยมเรียกกันสั้นๆ ว่า “ทาน ศีล ภาวนา” ซึ่งการให้ทานหรือทำทานนั้น เป็นการสร้างบุญที่เป็นเบื้องต้นที่สุด ง่ายที่สุดที่สามารถทำได้ทุกเวลา ทุกสถานที่ ผู้รับนั้นไม่จำเป็นต้องเป็นพระสงฆ์อย่างเดียว กับใครก็ได้แม้แต่สัตว์ทั่วไป


    แต่ขอให้เราทุกคนเข้าใจว่าในการทำบุญทั้ง 3 ขั้นนี้เป็นระดับขึ้นไปและเกี่ยวเนื่องกัน ซึ่งไม่ว่าจะสร้างบุญด้วยการให้ทานมากมายเพียงไร ก็ไม่มีทางที่จะได้บุญมากกว่าการรักษาศีลไปได้ และถึงจะถือศีลเข้มข้นเคร่งครัดอย่างไร ก็ไม่มีทางจะได้บุญมากเกินไปกว่าการเจริญภาวนาไปได้ ฉะนั้นการเจริญภาวนา จึงเป็นการสร้างบุญบารมีที่มีกำลังสูงที่สุด ได้บุญบารมีมากที่สุด

    ผลของทานเป็นปัจจัยให้ได้ลาภสักการะ

    ผลของการรักษาศีลให้เกิดความสุขหลายๆ ประการ


    ผลของการเจริญภาวนาและศึกษาธรรม เป็นเหตุให้เกิดปัญญามีความฉลาด

    คนที่มีชีวิตตั้งอยู่ในความประมาทในเวลานี้นั้น จะเริ่มหรือคิดจะเริ่มทำบุญก็ต่อเมื่อคิดว่าตัวเองมีเคราะห์หรือเริ่มจะโชคร้าย จึงร้อนใจวิ่งพล่านไปสร้างโน่นสร้างนี่ ถวายเงิน ถวายทรัพย์สินกันวุ่นวาย จงรู้ไว้เถิดว่า การทำบุญนั้นทำได้ตลอดเวลา ทำได้ทุกเวลาโดยที่เราไม่ต้องรอให้เกิดเหตุการณ์หรือเกิดวิบากกรรมไม่ดีขึ้นเสียก่อน

    สำหรับคนที่ไม่ประมาทในชีวิตนั้น เขาจะเร่งสร้างบุญไว้ตลอดเวลา เป็นการเก็บเสบียงตุนไว้ยามที่ขาดแคลนจะได้หยิบฉวยมาใช้ได้ทัน และยังเอาบุญที่มีไปช่วยเผื่อแผ่สงเคราะห์ผู้อื่นได้ด้วย


    บุญที่ทำไว้ตลอดเวลาจึงเป็นเหมือนเงินฝากประจำแบบพิเศษอยู่ในธนาคารสวรรค์ ที่สามารถเบิกถอนมาใช้ได้ตลอดเวลาและเต็มจำนวนด้วยถ้าเรารู้จักวิธีที่จะเบิกมาใช้ได้ และทันกาลเวลา ซึ่งครูบาอาจารย์หลายท่านได้พิสูจน์แล้วว่า บุญฤทธิ์นั้นสามารถที่จะช่วยคลายวิบากกรรมที่หนักเป็นเบาได้จริง

    ส่วนบุญที่จะส่งผลให้เราทุกคนแบบทำแล้วได้เลยทันทีก็คือ ความสุขใจ ที่มาจากจิตใจที่รู้จักการให้ ไม่เป็นผู้ที่คอยรับแต่ฝ่ายเดียวมีแต่ความสุข

    ดั่งพุทธพจน์ ที่พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้ว่า “ ท่านทั้งหลาย อย่ากลัวต่อบุญเลย เพราะคำว่าบุญนี้ เป็นชื่อของความสุข”

    ในการสร้างบุญบารมีในพระพุทธศาสนาที่มาจากทาน ศีล ภาวนาขอให้ยึดหลักในเรื่องของบุญกิริยาวัตถุ 10 เป็นหลัก เพื่อเป็นการสร้างบุญที่ถูกช่องทางและได้ผลมากที่สุด
    1. ให้ทาน แบ่งปันผู้อื่นด้วยสิ่งของ ไม่ว่าจะให้ใครก็เป็นบุญ ( ทานมัย ) การให้ทานเป็นการช่วยขัดเกลาความเห็นแก่ตัว ความคับแคบ ความตระหนี่ถี่เหนียว และความติดยึดในวัตถุ นอกจากนี้สิ่งของที่เราแบ่งปันออกไปก็จะเป็นประโยชน์กับบุคคลหรือชุมชนโดยส่วนรวม
    2. รักษาศีล ก็เป็นบุญ ( ศีลมัย ) เป็นการฝึกฝนที่จะลด ละ เลิกความชั่ว ไม่ไปเบียดเบียนใคร มุ่งที่จะทำความดี เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ผู้อื่น เป็นการหล่อเลี้ยงบ่มเพาะให้เกิดความดีงาม และพัฒนาคุณภาพชีวิตไม่ให้ตกต่ำ
    3. เจริญภาวนา ก็เป็นบุญ ( ภาวนามัย ) การภาวนาเป็นการพัฒนาจิตใจและปัญญา ทำให้จิตสงบ ไม่มีกิเลส ไม่มีเครื่องเศร้าหมอง เห็นคุณค่าสิ่งต่างๆตามความเป็นจริง ผู้ที่ภาวนาอยู่เสมอย่อมเป็นหลักประกันว่า จิตจะมีความสงบ ชีวิตมีความสุข คุณภาพชีวิตดีขึ้น สูงขึ้น
    4. อ่อนน้อมถ่อมตน ผู้น้อยอ่อนน้อมถ่อมตนต่อผู้ใหญ่ ผู้ใหญ่ก็แสดงออกในความมีเมตตาต่อผู้น้อย และต่างก็อ่อนน้อมต่อผู้มีคุณธรรม รวมถึงการให้เกียรติ ให้ความเคารพในความแตกต่างซึ่งกันและกัน ทั้งในความคิด ความเชื่อและวิถีปฏิบัติของบุคคลและสังคมอื่น เป็นการลดความยึดมั่นถือมั่นในความเป็นตัวตน ก็เป็นบุญ ( อปจายนมัย
    5. ช่วยเหลือสังคมรอบข้าง ช่วยเหลือสละแรงกาย เพื่องานส่วนรวม หรือช่วยงานเพื่อนบ้านที่ต้องการความช่วยเหลือ ก็เป็นบุญ ( เวยยาวัจจมัย )
    6. เปิดโอกาสให้คนอื่นมาร่วมทำบุญกับเรา หรือในการทำงานก็เปิดโอกาสให้คนอื่นมีส่วนร่วมทำ ร่วมแสดงความคิดเห็น รวมไปถึงการอุทิศส่วนบุญให้แก่ผู้ที่ล่วงลับไปแล้วด้วย ก็เป็นบุญ ( ปัตติทานมัย )
    7. ยอมรับและยินดีในการทำความดี หรือทำบุญของผู้อื่น เป็นการเปิดโอกาสร่วมใจ อนุโมทนาในการกระทำความดีของผู้อื่น ก็เป็นบุญ ( ปัตตานุโมทนามัย )
    8. ฟังธรรม บ่มเพาะสติปัญญาให้สว่างไสว ฟังธรรมะ ฟังเรื่องที่ดีมีประโยชน์ต่อสติปัญญา หรือมีประโยชน์ต่อการดำเนินชีวิตที่ดี เป็นความจริง ความดี ความงาม ก็เป็นบุญ ( ธรรมสวนมัย )
    9. แสดงธรรม ให้ธรรมะและข้อคิดที่ดีกับผู้อื่น แสดงธรรม นำธรรมะไปบอกกล่าว เผื่อแผ่ให้คนอื่นได้รับฟัง ให้เขาได้รู้จักวิธีการดำเนินชีวิตที่ดี เป็นเรื่องของความจริง ความดี ความงาม ก็เป็นบุญ ( ธรรมเทศนามัย )
    10. ทำความเห็นให้ถูกต้องและเหมาะสม มีการปรับทิฏฐิ แก้ไขปรับปรุงพัฒนาความคิดเห็น ความเข้าใจให้ถูกต้องตามธรรม ให้เป็นสัมมาทัศนะอยู่เสมอ เป็นการพัฒนาปัญญาอย่างสำคัญ ก็เป็นบุญ (ทิฏฐุชุกรรม )


    ในข้อที่ 10 นี้ ที่เป็นทิฏฐุชุกรรมหรือสัมมาทัศนะ เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ในการทำบุญทุกชนิดและทุกโอกาส จะต้องประกบและประกอบเข้ากับบุญกิริยาวัตถุข้ออื่นทุกข้อ เพื่อให้งานบุญข้อนั้นๆเป็นไปอย่างถูกต้องตามความหมายและความมุ่งหมาย พร้อมทั้งได้ผลถูกทาง

    เพราะฉะนั้น ผู้ปรารถนาจะทำบุญ จึงต้องรู้ว่า บุญนั้นมีลักษณะเป็นอย่างไร ถ้าปฏิบัติแล้วไม่อาจชำระสันดานให้ผ่องใสบริสุทธิ์ได้ หรือไม่นำให้เกิดความฉลาดว่า สิ่งนี้ชอบ สิ่งนี้ไม่ชอบ สิ่งนั้นก็ไม่จัดว่า เป็นบุญ แต่เมื่อสามารถจะชำระสันดานให้บริสุทธิ์และนำให้เกิดความฉลาด รู้จักผิดชอบ จึงจัดว่าเป็นบุญ

    และอยากจะให้สังเกตกันดีๆ จะเห็นว่ายังมีอีกหนึ่งวิธีในการสร้างบุญบารมีและได้อานิสงส์บุญโดยไม่ใช่เงินเลยคือ การร่วมอนุโมทนาบุญ เพราะเมื่อเราเห็นคนอื่นทำบุญ เราก็รู้สึกยินดีในบุญนั้น เราก็จะได้รับอานิสงส์ผลบุญไปด้วยแต่ไม่เท่ากับคนต้นบุญ เรียกว่า ปัตตานุโมทนามัย

    ตอนนี้เราคงเข้าใจกันดีแล้วว่า อานิสงส์ของบุญที่มาจากการทานทั้งหมดนั้น น้อยกว่าการรักษาศีล การรักษาศีลนั้นยังน้อยกว่าการภาวนา และการได้อานิสงส์บุญมากโดยไม่ต้องใช้เงินเลยแม้แต่บาทเดียวมีหลายทาง อาทิเช่น การให้ธรรมทาน การให้อภัยทาน การรักษาศีลและสุดท้ายก็คือการภาวนารวมถึงการร่วมอนุโมทนานั่นเอง

    ที่ได้กล่าวมาทั้งหมดนี้เป็นการสร้างบุญบารมีที่ถูกต้องและได้ผลมากที่สุดสำหรับมนุษย์ทุกคนในโลกใบนี้เชื่อว่าหลายคนพอจะเริ่มเข้าใจแล้วว่า การสร้างบุญบารมีที่ถูกต้องนั้นคืออะไร
    และบุญบารมีที่เราทำเท่านั้น จะพาเราไปสู่ความสุข ไปสู่ในทุกสิ่งที่เราปรารถนาทุกประการ


    การให้ทานพร้อมด้วยใจที่มีกำลังทำให้รวย

    ในศาสนาพุทธนั้น ให้ความสำคัญกับกรรมทางใจมากที่สุด เพราะกรรมทั้งปวงที่เกิดขึ้นทั้งทางกาย ทางวาจา ที่เป็นต้นเหตุแห่งชะตากรรมของคนนั้น เริ่มมาจากใจทั้งสิ้น

    ใจจะเป็นผู้สั่งการ คอยบงการให้คนนั้นกระทำไปตามใจที่สั่ง สั่งไปทางความคิด ทำให้เกิดแรงบันดาลใจ นำไปสู่การกระทำนั้นๆ ไม่ว่าทางดีหรือทางร้าย เพราะเพียงแต่เราคิดก็อาจจะก่อให้เกิดความทุกข์และความสุขที่สัมผัสได้ทางใจได้ทันที

    เช่น พอคิดพยาบาทก็เป็นทุกข์ พอคิดเมตตาก็เป็นสุข และกรรมทางใจนั้นเป็นเหตุที่ทำให้เกิดกรรมทางกายตามมา ถ้าไม่เริ่มที่ใจก่อน กายก็ทำอะไรไม่ได้ ถึงทำลงไป โดยไม่เจตนากรรมนั้นก็จะไม่มีผลเลย

    ใจจึงเป็นผู้กำหนดทุกพฤติกรรม ใจจึงเป็นผู้กำหนดชะตาชีวิตอย่างแท้จริง ในทุกการกระทำของเรา จิตจะเป็นผู้จดบันทึกทั้งกรรมดีและกรรมชั่ว และเป็นผู้รายงานอย่างซื่อตรงเที่ยงแท้ไม่แปรผันด้วยอำนาจอื่นใด

    หลักการของสร้างบุญบารมีนั้นที่เราทราบกันดีว่า เริ่มจากการทาน ศีล ภาวนา ที่เป็นบันไดสามขั้น

    อันดับแรกคือการทาน ซึ่งเป็นการให้ที่ง่ายที่สุด แต่หลายคนให้แต่ไม่เกิดกรรมดีเพราะเหตุใด ให้เพราะหวังผลตอบแทน ให้เพื่อแข่งขัน ให้เพื่อเอาหน้าตาในสังคม ซึ่งการให้เหล่านี้จะเกิดผลน้อยมากๆ ในกรรมดีที่ทำ

    พระพุทธเจ้าเคยเตือนไว้ว่า การทำบุญให้ทานที่มีอานิสงส์น้อย คือการให้ทานด้วยใจที่มีเยื่อใย ด้วยจิตที่หวังสะสมบุญหรือหวังเสวยสุขในภพหน้า เป็นการทำด้วยจิตที่มีกิเลส ได้บุญเหมือนกันแต่ได้น้อยกว่าการทำบุญโดยไม่หวังผลตอบแทน

    ที่จริงถ้าจะทำบุญควรทำใจให้เป็นกุศล เช่น ทำด้วยใจที่ปรารถนาดีต่อผู้รับ อยากให้เขาได้รับความสุข พ้นจากทุกข์ ถวายสังฆทานแก่พระก็เพราะอยากอุปถัมภ์ท่านให้มีกำลังในการบำเพ็ญศาสนกิจ หรือต้องการส่งเสริมพุทธศาสนา การทำบุญแบบนี้นอกจากเกิดประโยชน์แก่ผู้รับแล้ว ยังช่วยลดกิเลสหรือลดความเห็นแก่ตัวได้ เพราะไม่ได้คิดถึงประโยชน์เข้าตัวเลย

    การให้ทานนั้น ใจแตกต่างกันย่อม ก็ให้ผลผิดกันได้ลิบลับ พระพุทธเจ้าจำแนกอาการของใจในขณะให้ไว้เป็นต่างๆ แต่ละอาการล้วนเป็นกำลังหนุนให้วิบากออกดอกออกผลเป็นความมั่งคั่ง หากใครให้ทานด้วยอาการของใจ ดังต่อไปนี้ครบถ้วนเป็นประจำสม่ำเสมอ ก็จะมีผลไพบูลย์สูงสุด ส่งผลเป็นความมั่งคั่งถึงที่สุดเท่าที่ทานนั้นๆ จะอำนวย

    การให้ทานนั้น ควรฉลาดในการให้ทานด้วย พระพุทธองค์ได้ตรัสถึงแนวทางการให้ทานที่เกิดผลทั้งผู้ให้และผู้รับไว้ในเรื่อง สัปปุริสทาน 5 ( คำว่า “ สัปปุริสทาน” หมายถึง การให้อย่างคนดี คนสงบ คนที่พร้อมมูลด้วยธรรม) ซึ่งต้องประกอบด้วยการให้ทาน 5 ลักษณะ คือ

    1) ให้ด้วยความศรัทธา คือ มีความเลื่อมใสอยู่ก่อนว่าทานนั้นเป็นของดี เป็นสิ่งที่พึงทำเพื่อใจเป็นสุขทั้งผู้ให้และผู้รับ เป็นของที่ให้ความสุขในปัจจุบัน และเป็นเสบียงบุญที่จะติดตามไปให้ความสุขแก่เราในอนาคต ทั้งนี้ไม่ได้หมายเอาอาการโลภแบบจำเพาะเจาะจงว่าขอให้รวยเท่านั้นเท่านี้ เมื่อนั่นเมื่อนี่ ต้องวันนั้นวันนี้
    อาการทางใจเช่นนั้นไม่ใช่เป็นศรัทธาในบุญแต่แท้จริง แต่เป็นการลงทุนของนักธุรกิจในคราบนักบุญอย่างหนึ่ง เป็นผู้ที่มีใจโลภในการเอากำไรเข้าตัว หรือถ้าให้โดยปราศจากศรัทธา ให้อย่างเสียไม่ได้ ให้เพราะจำใจ ให้เพราะทำตามๆ คนอื่น
    แม้เกิดบุญขึ้นมาก ก็ไม่ได้เป็นบุญพอที่จะสร้างภพแห่งความมั่งคั่งแต่อย่างใด และเมื่อมีนิสัยให้ด้วยความศรัทธาดีแล้ว ยังมีผลให้รูปร่างหน้าตาและผิวพรรณงดงามยิ่งอีกด้วย

    2. ให้ทานโดยเคารพ การให้ทานแก่ผู้มีศีล ผู้ปฏิบัติธรรมด้วยความเคารพ การให้ทานด้วยวัตถุสิ่งของ ไม่จำเป็นต้องเป็นสิ่งของที่มีค่า มีราคาเสมอไป เพียงแต่แสดงน้ำใจไมตรีของผู้ให้ทาน ขณะให้ทานให้ทำด้วยใจผ่องแผ้ว ให้ทานด้วยความเคารพนอบ
    อย่าให้ทานเพราะเป้นของไม่ใช้แล้ว เป็นของเหลือเดน ให้แบบไม่เต็มใจจะให้ แบบยื่นๆ ส่งๆ ให้เป็นอันเสร็จพิธีเพราะหวังในบุญ เพราะจะเกิดผลบุญน้อยมากถึงขึ้นไม่ได้บุยเลยก็ได้เพราะเป็นทาสทาน เป็นทานที่ชั้วเลวที่สุด
    แต่คนที่ให้ทานด้วยความเคารพ อานิสงส์จะทำให้เป็นคนมั่งคั่ง มีสมบัติมาก และคนของบุคคลนั้น เป็นบุตรก็ดี ภรรยาก็ดี บ่าวก็ดี คนใช้ก็ดี คนงานก็ดี ย่อมเป็นผู้ว่าง่ายสอนง่าย ตั้งอยู่ในคำสั่งสอน

    3. ให้ทานตามกาล การให้ทานที่ตรงกับความต้องการ ตรงกับเวลาย่อมเกิดผลดี เช่น ในช่วงเวลาที่กำหนด การทอดกฐิน การทอดผ้าป่า ช่วงเวลาในการถวายภัตตาหารในช่วงก่อนเพล การถวายผ้าน้ำฝน การถวายเทียนพรรษา เป็นต้น
    อานิสงส์ให้เป็นคนมั่งคั่ง มีสมบัติมาก และผลประโยชน์ทั้งหลาย ที่มีมาตามกาลที่ควรจะมี ย่อมบริบูรณ์ แก่บุคคลนั้น คือว่าผลประโยชน์สิ่งใด ควรจะได้จะมีในกาลใด ก็ได้ก็มีผลประโยชน์สิ่งนั้นในกาลนั้น

    4. ให้ทานด้วยจิตอนุเคราะห์ เป็นการให้ทานด้วยความเมตา กรุณา ไม่มีผลประโยชน์อะไรแอบแฝง ไม่หวังผลตอบแทนอานิสงส์ทำให้เป็นคนมั่งคั่ง มีสมบัติมาก และจิตของบุคคลนั้น ย่อมน้อมไปด้วยทางที่ดีไม่คิดไปในทางที่ตกต่ำอีก

    5. ให้ทานไม่กระทบตนและคนอื่น เรื่องนี้สำคัญเมื่อให้ทานแล้ว ต้องไม่ทำให้ตัวเอง ครอบครัว เดือดร้อน หากให้ทานจนหมดตัวแล้ว ตัวเองเดือดร้อน สมาชิกในครอบครัวเดือดร้อน ไม่ว่าทานนั้นจะให้ทานด้วยทรัพย์ ด้วยวัตถุสิ่งของด้วยที่ดิน และแม้แต่เสียสละที่เกิดของเขต ผลการให้ย่อมกระทบตน กระทบครอบครัวได้รับความเดือดร้อน การให้ทานนั้นก็ไม่เกิดประโยชน์บริบูรณ์ ดังนั้นการเดินสายกลางเป็นดีที่สุด

    พระพุทธองค์ตรัสถึงอานิสงส์ของการให้ทานด้วยครบทั้ง 5 ลักษณะที่กล่าวมาแล้วนั้นจะมี อานิสงส์ดังนี้

    เกิด มีอานิสงส์ใหญ่ บุคคลผู้ให้ ย่อมเป็นผู้มั่งคั่ง มีทรัพย์มาก เพียบพร้อมทุกอย่าง เกิดมาเป็นมนุษย์ จึงเพียบพร้อมด้วย ข้าทาสบริวาร มีผู้คนเคารพนับถือได้รับการยกย่องจากชุมนุมชน เป็นผู้มีรูปร่างสวยงาม มีผิวพรรณ วรรณะผ่องใส เป็นผู้มีความเฉลียวฉลาด เป็นผู้มีรูปร่างสมบูรณ์ แข็งแรง ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บมาเบียดเบียน

    ทำให้เป็นผู้มีอายุยืนยาว ทรัพย์สมบัติที่มีอยู่จักบริบูรณ์ตลอดกาล ย่อมปราศจากภัยจากไฟ จากน้ำ จากลม จากโจร จากพระราชาที่จะมายึดครองเอา แม้แต่ภัยจาก ทายาท ซึ่งไม่เป็นที่รักมาครอบครองเอาได้

    ชื่อว่าผู้ให้ย่อมทำให้ตนเองมีความสุข สบายใจ ปลอดโปร่งโล่งใจ ตรงข้ามกับการรับหรือเอาทรัพย์สินเงินทองจากผู้อื่น ทำให้ไม่สบายใจ อึดอัด เป็นภาระที่จะต้องตอบแทนบุญคุณ เป็นต้น

    เมื่อเราให้ทาน สิ่งที่ให้ที่เป็นส่วนหยาบ ก็คือสิ่งของที่เราสละไป ส่วนละเอียด ก็คือเราฆ่าความตระหนี่ได้สำเร็จ จนสามารถสละทรัพย์สิ่งของไปได้ ทันทีที่ฆ่าความตระหนี่ในใจได้สำเร็จ บุญก็ก่อเกิดขึ้นในใจเดี๋ยวนั้นเลย

    เป็นบุญจากการให้ทาน ชนิดตัดขาดออกจากใจ บุญชนิดนี้พอเกิดขึ้นมาแล้วจะมีคุณสมบัติอยู่อย่างหนึ่ง คือสามารถดึงดูดทรัพย์ สมบัติได้ เกิดอีกกี่ภพกี่ชาติบุญนี้จะติดตัวไป ทำให้สามารถดึงดูดทรัพย์สมบัติมาอยู่กับเราได้โดยง่าย

    คนที่ให้ทานมามาก และคิดให้ทานอยู่ตลอดเวลา พอเกิดขึ้นมาลืมตาดูโลก ยังไม่ทันทำอะไรเลยก็รวยแล้ว เพราะมีพ่อแม่ที่ร่ำรวย มีทรัพย์สมบัติเตรียมพร้อมไว้ให้ บางคนแต่เดิมพ่อแม่ก็ไม่รวย ทันทีที่เข้ามาอยู่ในครรภ์มารดา พอแม่เริ่มตั้งท้อง ทั้งพ่อทั้งแม่ไม่ว่าจะหยิบจะทำอะไรก็โชคดีไปหมด พอออกจากท้องแม่ โตขึ้นมาหน่อย สมบัติทุกอย่างก็มาพร้อมให้ใช้ นี่..เป็นผลของทานที่สร้างไว้ในอดีตชาติ ด้วยความตั้งใจและศรัทธาเต็มที่

    อย่างไรก็ตาม บางคนเมื่อเริ่มจะให้ทานไม่ได้ตั้งใจ แต่เมื่อทำไปแล้ว ภายหลังเกิดนึกดีใจว่าเราทำไปดีแล้ว เพราะคนอื่นจะได้ประโยชน์อีกมากมาย พวกนี้ก็ได้บุญติดตัวไปเหมือนกัน แต่เป็นบุญที่ให้ผลช้า เนื่องจากทำบุญโดยไม่ศรัทธามาก่อน เพราะฉะนั้นเกิดกี่ชาติๆ ในระยะเด็กๆ ถึงวัยรุ่น ช่วงที่ยังไม่ถึงวัยกลางคนจะยากจน แต่พอเลยวัยนั้นฐานะจะดีขึ้น เป็นผลเนื่องมาจากการที่ดีใจที่ได้ทำบุญ ดีใจช้า บุญก็ตามมาอย่างช้าๆ กว่าจะตามทันก็เมื่ออายุเข้าวัยกลางคน

    บางคนทำบุญทีแรกดีใจที่ได้โอกาสทำบุญ แต่พอทำไปแล้ว กลับนึกเสียดายภายหลัง บุญจึงส่งผลมาในลักษณะที่ว่า เมื่อยังเล็กร่ำรวย เข้าวัยกลางคนก็ยังรวยเรื่อยมา แต่พอตอนแก่ๆ อายุมากแล้ว การที่นึกเสียดายในภายหลัง ความเสียดายก็เริ่มมาตัดทอนกำลังบุญ เลยทำให้ยากจน อย่างนี้ก็มี

    ดังนั้นจึงสรุปตอบว่า ที่เราจนก็เพราะการให้ทานของเราภพในอดีตมันหย่อน เพราะฉะนั้นในภพชาตินี้ก็จงพยายามทำทานให้เต็มที่เต็มกำลังของเรา อย่าไปนึกตระหนี่หรือนึกเสียดายทานที่ให้ไปแล้ว และอีกอย่างหนึ่งอย่าไปตัดลาภใคร ใครเขาจะทำบุญก็อย่าไปขัด อย่าไปค้านเขา ตรงกันข้ามเห็นใครเขาตักบาตรทำบุญ ควรรีบสนับสนุนให้กำลังใจเขา รีบไปกล่าวอนุโมทนาให้เขาปลื้มใจให้มากที่สุด

    การให้ด้วยใจเป็นสุขนั้น ทำให้คนร่ำรวยได้จริงมาตั้งแต่ครั้งอดีตกาลจนถึงปัจจุบัน คนรวยนั้นเขามีสูตรเฉพาะของเขาเลยว่า ยิ่งให้ยิ่งได้รับ

    วิธีที่จะแก้ไขในการให้ที่หวังผลที่เป็นกันมากนั้น ประเภทที่บอกว่าทำสิบบาทหวังผลล้านบาท เรื่องแบบนี้ไม่เคยเกิดขึ้นจริง ไม่มีการลงทุนอะไรที่จะเกิดผลขนาดนี้อย่าไปเพ้ออย่าไปฝัน บุญนั้นจะส่งผลมากด้วยการให้ด้วยใจบริสุทธิ์เท่านั้น

    หลักการฝึกใจให้เป็นผู้ให้นั้น ต้องเริ่มจากการมีพรหมวิหาร 4 เป็นที่ตั้ง คือ มีเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ให้เพราะมีความเมตตา มีใจกรุณา ปรารถนาให้ผู้รับนั้นเป็นสุข และเมื่อให้แล้วก็ไม่คิดเสียดาย แบบให้แล้วให้เลยวางเฉยไม่ยินดียินร้ายอะไร

    เริ่มให้จากคนที่เราคุ้นเคยกันเพื่อฝึกใจให้มีกำลัง พอชินในการให้แล้ว ก็เริ่มให้ผู้อื่นที่เราไม่รู้จัก ไม่จำเป็นต้องให้คนที่อยู่สูงกว่าเรา เพราะถ้าส่วนมากเรามักจะให้เพราะในใจนั้นหวังจะได้ผลตอบแทน หวังในอำนาจ บารมีให้เขาช่วยเหลือ เช่น ให้พระสงฆ์เพื่อหวังจะให้ท่านช่วยนั่นช่วยนี่ให้สำเร็จ ให้กับข้าราชการผู้ใหญ่ก็หวังจะให้เขาช่วยอำนวยความสะดวกในเรื่องต่างๆ

    ทางที่ดีที่สุด ควรให้คนที่ต่ำกว่าหรือไม่เลือกแบ่งชนชั้น วรรณะ เชื้อชาติใดๆ การให้นั้นไม่มีข้อแม้ แต่ผลจากการให้นั้น รับรองว่าช่วยค้ำจุนให้ชีวิตดีขึ้นแน่นอน และที่สำคัญยิ่งให้ยิ่งรวยครับ


     
  12. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    6,100
    ค่าพลัง:
    +16,525
    ถามกันมามากเกี่ยวกับเครื่องมงคลที่ใช้ให้โฉลกกับตน ทั้งยังเป็นเทพเดรัจฉานที่มีฤทธิ์มากก็ห้ามพลาดกันนะครับ กะซิบว่าเป็นเครื่องมงคลเนื้อผงแรงๆเลย พ่ออาจารย์ท่านว่าเก่งกว่าเสือสมิงนะ;)
     
  13. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    6,100
    ค่าพลัง:
    +16,525
    โอมปู่เจ้าสมิงไพร ปู่เจ้ากำแหงให้กูมาทำควาย
    เชิญพระอีศวรมาเป็นตาซ้าย เชิญพระอาทิตย์มาเป็นตาขวา
    เชิญพระนารายณ์มาเป็นเขา เชิญพระอินทร์เจ้าเข้ามาเป็นหาง
    เชิญพระพุทธคีเนตร์ พระพุทธคีนายมาเป็นสีข้างทั้งสอง
    เชิญพระจัตตุโลกบาลทั้งสี่มาเป็นสี่เท้า
    เชิญฝูงผีทั้งหลายเข้ามาเป็นไส้พุง นะมะสะตีติ

    ติดตามกันนะครับ ยาวๆเลยห้ามพลาดรับรองว่าแรงแบบเห็นตัวตนแน่นอน มวลสารสุดๆ ยิ่งท่านทำให้ไม่มีอาถรรพ์ใดๆที่ย้อนมาทำร้ายเจ้าของได้แบบที่ควรจะเป็นด้วย ห้ามพลาด;)
     
  14. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    6,100
    ค่าพลัง:
    +16,525
    ใครจะฝาก PM อะไรไว้ก็ฝากกันเข้ามานะครับ
     
  15. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    6,100
    ค่าพลัง:
    +16,525
    ควายธนู

    วิชาธนู เป็นอุปเวทหนึ่งในพระเวท เรียกว่า ธนุรเวท หรือ ธนุรวิทยา ถือเป็นอุปเวทหรือพระเวทรองในคัมภีร์ยชุรเวท ว่าด้วยการยิงธนูและศาสตราวุธ อาวุธ การต่อสู้ เชิงสงคราม ทั้งวิชาธนูรเวท ธนูมือ เป็นต้น

    ควายธนู เป็นวิชาไสยศาสตร์ที่เกิดมาจากอุปเวทที่ชื่อว่า ธนุรเวท หลอมรวมเข้ากับสัตว์ ทั้งโคกระบือ ถ้าใช้วัวก็จะเรียกว่า วัวธนู ถ้าใช้ควายก็จะเรียกว่า ควายธนู ซึ่งสะท้อนให้เห็นสังคมเกษตรกรรมและปศุสัตว์ที่เลี้ยงสัตว์ไว้ใช้งานทั้งวัวทั้งควาย ซึ่งวิชาเหล่านี้มาจากวิชาหุ่นพยนต์ทั้งหมด ด้วยการผูกหุ่นพยนต์ขึ้นมาเป็นตัวควายหรือตัวสัตว์อะไรก็ได้ตามต้องการ ควายชนิดนี้จะเป็นผีเป็นวิญญาณ ตามตำนานการเกิดควายธนู ควายธนูในยุคเริ่มแรกนั้นเป็นไม้ไผ่สานเป็นโครงตัวควาย แล้วเสเป่ามนต์คาถากลายเป็นควายธนู ยุคต่อมาสร้างจากลูกธนู ด้วยการนำเอาคันธนูและลูกธนูมาเสกเป่าคาถากลายเป็นควายที่วิ่งเร็วเหมือนธนู ควายที่มีเขาโค้งดุจคันศร จึงเรียกว่า ควายธนู ในยุคล่าสุดควายธนูถูกสร้างด้วยการปั้นหรือหล่อ อาจจะมีการแกะสลัก ทำจากวัสดุต่างๆกันตามความชอบและการใช้งาน ปั้นด้วยดินผสมมวลสาร ปั้นจากขี้ผึ้ง ไปจนถึงหล่อขึ้นด้วยโลหะอาถรรพ์ เช่น ตะปูโลงศพเจ็ดป่าช้า,เหล็กขนันผีพราย ,เหล็กยอดเจดีย์ เป็นต้น เอามาหลอมรวมกันหล่อเป็นรูปควาย บางสำนักใช้โครงเป็นไม้ไผ่แล้วพอกด้วยครั่งที่ได้จากต้นพุททรา เมื่อทำสำเร็จแล้วต้องปลุกเสกตามพิธีกรรม แล้วเลี้ยงไว้ให้ดี ต้องหาหญ้าและน้ำเลี้ยงเสมอ เชื่อว่าสามารถใช้ให้เฝ้าบ้านหรือไร่นา ใช้งานได้ตามความประสงค์ ทั้งป้องกันภูตผีและโจรผู้ร้าย และสามารถสั่งให้ไปสังหารคู่อริได้อีกด้วย

    ความเชื่อเรื่องควายธนูมีอยู่ทุกภาคของประเทศไทย บางท้องถิ่นเชื่อว่าผู้เลี้ยงต้องดูแลอย่างดีหมั่นให้อาหารและปล่อยออกไปท่องเที่ยว จะประมาทหลงลืมไม่ได้ ไม่เช่นนั้นควายธนูจะหวนมาทำร้ายเจ้าของเสียเอง แต่บางแห่งก็ถือเป็นเสมือนเครื่องรางธรรมดาสำหรับใช้พกพาติดตัว การสานวัวหรือควายธนูที่ทำจากไม้ไผ่นั้นมีแบบมาจากสายพ่อค้า การทำธนูมือแต่วัวหรือควายธนูนี้จะแรงมากก็คือการปราบเสือเย็น(เสือสมิง)และยังใช้ทำน้ำมนต์ประพรมสิ่งของขายดีต่างๆนาเพราะแบบนี้จึงเป็นสายพ่อค้าแต่แบบไหนก็ใช้ได้เหมือนกัน อาจต่างที่รูปมวลสารอาจเป็นผงเป็นโลหะไม้ไผ่แล้วแต่เจตนาของผู้สร้าง

    วัตถุที่ใช้ควายธนู แต่ละชนิดออกไปดังนี้
    1. ควายทอง สร้างขึ้นด้วยโลหะอาถรรพณ์ มีตะปูตรึงโลงศพ เหล็กขนัน ผีตายท้องกลม งั่ง ตัวยาซัดทองชนิดหนึ่ง ทองแดงเถื่อน ดีบุก ทองขวานฟ้า เงินปากผี ทองยอดนพศูนย์ นำมาหล่อหลอมเข้าด้วยกัน แล้วลงอักขระตามตำราที่ใช้บังคับ หรือหล่อเป็นโคถึกหรือกระทิงโทน

    2. ควายขี้ผึ้ง ท่านให้ใช้ขี้ผึ้งปิดหน้าผีตายโหง ผีตายท้องกลม ผสมด้วยผมผีตายพราย ผมผีตายลอยน้ำ ตานกกรด ตาแร้ง ตาชะมด กำลังวัวเถลิง เผาไฟให้ไหม้บดเป็นผง ผสมกับเถ้ากองฟอนเจ็ดป่าช้าแล้วนำไปคลุกกับขี้ผึ้งปั้นเป็นรูปวัวหรือควายก็ได้ เสกด้วยอาการ 32 บางตำราเพิ่มคนเลี้ยงอีก 1 คน

    3. ควายไม้ไผ่ ใช้ชั่วคราวในเวลาฉุกเฉิน ให้ใช้ไม้ไผ่ที่ขึ้นคร่อมทาง กลั้นหายใจตัดด้วย นะโม ตัสสะ กะทีเดียวให้ขาดจากกัน นำมาสานเป็นรูปหัววัว คล้ายเฉลวปักหม้อยาแผนโบราณ

    4. ควายดิน ทำจากดินปั้น ดินเจ็ดป้าช้า ดินปากหลุมศพ ดินใต้โลงศพ ขี้เถ้ากระดูผีตายโหงตายพราย ดินเจ็ดบ่อนดินเจ็ดตลาด นำมาปั้น หรือจะนำไปเผาแบบเครื่องปั้นดินเผา


    * เป็นรายละเอียดคร่าวๆของควายธนูนะครับ ส่วนการทำควายธนูของพ่ออาจารย์ท่านจะพิเศษอย่างไร ติดตามกันให้ดี

    Njp_Us24n_CQKx5e1_DGz6_Oy_Y9_VQQO8_SUXtx_KVGZz_CQj_Xf.jpg
     
  16. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    6,100
    ค่าพลัง:
    +16,525
    เดี๋ยวติดตามพูดคุยกันรอบเย็นต่อนะ
     
  17. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    6,100
    ค่าพลัง:
    +16,525
    วันนี้ตอบ PM ครบนะครับ อ่านกันด้วยท่านที่ถามเข้ามา;)
     
  18. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    6,100
    ค่าพลัง:
    +16,525

    " อันพญากาสรเผือกนี้ มีรัศมีแรงกล้าปานว่าพระอัคนี "


    ติดตามพร้อมกันกับ ปฐมบทแห่งตำนาน






    SAM_5352.jpg
     
  19. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    6,100
    ค่าพลัง:
    +16,525
    ติดตามนะครับ วันพรุ่งนี้จะจัดส่งของให้ด้วย;)
     
  20. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    6,100
    ค่าพลัง:
    +16,525
    ใครรอสายเครื่องมงคลที่เป็นลักษณะทาสหรือสิ่งที่คอยรับใช้เรา หนุนส่งเรา เป็นยอดของบริวารที่ซื่อสัตย์และภักดีกับเรา ซึ่งแตกต่างจากเครื่องมงคลอื่นๆ ติดตามรายการพญากาสรเผือกนี้ไว้นะครับ แล้วเดี๋ยวนำมาพูดคุยกัน
     

แชร์หน้านี้

Loading...