เรื่องเด่น นานาเรื่องราวหลวงพ่อพระราชพรหมยาน

ในห้อง 'ประสบการณ์ เรื่องเล่า' ตั้งกระทู้โดย Wannachai001, 16 กันยายน 2014.

  1. อุทยัพ

    อุทยัพ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    3,564
    ค่าพลัง:
    +18,112

    .
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • IMG_9404.PNG
      IMG_9404.PNG
      ขนาดไฟล์:
      23.3 KB
      เปิดดู:
      108
  2. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,804
    กระทู้เรื่องเด่น:
    80
    ค่าพลัง:
    +225,520
    [​IMG]

    หัวเพชรใสสวยมากครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • S__54009858.jpg
      S__54009858.jpg
      ขนาดไฟล์:
      251.7 KB
      เปิดดู:
      1,067
  3. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,804
    กระทู้เรื่องเด่น:
    80
    ค่าพลัง:
    +225,520
    เมื่อประมาณ 3 ชั่วโมงที่ผ่านมานี้ครับ

    <iframe src="https://www.facebook.com/plugins/video.php?href=https%3A%2F%2Fwww.facebook.com%2FPathToNirvana%2Fvideos%2F662856907225098%2F&show_text=0&width=560" width="560" height="315" style="border:none;overflow:hidden" scrolling="no" frameborder="0" allowTransparency="true" allowFullScreen="true"></iframe>


    จากเพจมูลนิธิหลวงพ่อปาน-พระมหาวีระ ถาวโร

    https://www.facebook.com/PathToNirvana/?fref=ts
     
  4. มันไม่แน่

    มันไม่แน่ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2013
    โพสต์:
    1,555
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +7,956
    สวัสดีบ่ายวันอาทิตย์ พี่วัน และลูกหลานพระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน...ทุกท่าน

    สุขสันต์วันเกิด ย้อนหลัง นะครับ พี่วัน...

    ขอให้สำเร็จตามความปรารถนา...ครับ :cool::cool::cool:
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • image.jpeg
      image.jpeg
      ขนาดไฟล์:
      74.7 KB
      เปิดดู:
      113
  5. Norr

    Norr เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,105
    ค่าพลัง:
    +127,435
    น้อมกราบสมเด็จองค์ปฐม หลวงปู่ปาน หลวงพ่อพระราชพรหมยาน หลวงพ่ออนันต์ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ด้วยความเคารพสูงสุด
    สวัสดีครับ พี่วรรณ และลูกหลานหลวงพ่อทุกๆท่าน


    [​IMG]
     
  6. berbapor

    berbapor เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2010
    โพสต์:
    4,845
    ค่าพลัง:
    +21,862
    สวัสดีครับพี่วรรณและเพื่อนๆสมาชิกทุกๆท่านเข้ามาติดตามข่าวสารหลวงพ่อครับเหมือนเดิม
     
  7. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,804
    กระทู้เรื่องเด่น:
    80
    ค่าพลัง:
    +225,520

    kb-apiwat.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 พฤษภาคม 2017
  8. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,804
    กระทู้เรื่องเด่น:
    80
    ค่าพลัง:
    +225,520
    Ase37je69Z_RobA2VXXPTFrZrsxd7kUlAOFjuItJ4b7nsAutL5mFhXZOqtsnlFQi.gif

    สวัสดีครับคุณมันไม่แน่

    ขอบคุณมากนะครับ
    :) :) :) :) :)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 พฤษภาคม 2017
  9. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,804
    กระทู้เรื่องเด่น:
    80
    ค่าพลัง:
    +225,520
    15542315_721183741381440_3242256200116219228_n_zpso7pprt85.jpg


    ๑๙ ธันวาคม วันอาภากรรําลึก


    ๏ คิดถึงพ่อ พ่ออยู่ คู่กับเจ้า
    เป็นดั่งเงา ปกป้อง พระชินสีห์
    เป็นเศวตฉัตร ปกป้องราช- วงศ์จักรี
    นามพ่อนี้ ขอฝากไว้ คู่ฟ้าดิน (ตะวัน)๛


    พลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาภากร เกียรติวงศ์ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ทรงเป็นต้นราชสกุล "อาภากร" มีพระนามเดิมว่า พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ ทรงเป็นพระเจ้าลูกยาเธอองค์ที่ ๒๘ ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และเป็นพระลูกยาเธอองค์ที่ ๑ ในเจ้าจอมมารดาโหมด ประสูติเมื่อวันที่ ๑๙ ธันวาคม ๒๔๒๓ และสิ้นพระชนม์ วันที่ ๑๙ พฤษภาคม ๒๔๖๖

    กรมหลวงชุมพรฯ หรือเสด็จเตี่ย ทรงเป็นลูกผู้ชายเต็มตัว“ครบเครื่อง” คือทรงเป็นเชื้อพระวงศ์ชั้นสูงยิ่ง ทรงศึกษาเล่าเรียนจนเชี่ยวชาญศิลปะวิทยาการทันสมัยด้านการทหารเรือจากประเทศอังกฤษ ศึกษาศิลปะการต่อสู้จนเชี่ยวชาญทุกแขนงทั้งแบบสากลเช่นยุทธวิธีการรบ การใช้อาวุธสงคราม และแบบของไทยเช่น กระบี่กระบอง ฟันดาบ มวยไทย และยังทรงศึกษาศิลปวิทยาด้านต่างๆไม่ว่าจะด้านการดนตรี การประพันธ์ และอื่นๆ

    อีกศาสตร์หนึ่งซึ่งทรงสนเรียนรู้จริงจังเป็นพิเศษคือด้านไสยศาสตร์
    พระอาจารย์ท่านสำคัญของพระองค์ คือ หลวงปู่ศุข หลวงพ่อพริ้ง หลวงปู่ยิ้ม และอีกหลายรูป แต่ที่สนิทมากๆคือหลวงปู่ศุข และจึงไม่น่าแปลกที่ เมื่อมีใครเขียนหรือกล่าวถึงเสด็จเตี่ยก็จะต้องเอ่ยถึงหลวงปู่ศุข และเมื่อมีใครเขียนหรือพูดถึงหลวงปู่ศุข ในโลกทิพย์วิญญาณ ก็ไม่มีใครอาจเว้นการเอ่ยพระนามเสด็จเตี่ย และศ่าสตร์สายคุณไสยนี้เอง เสด็จเตี่ยได้ทรงนำมาให้ให้เกิดประโยชน์ยิ่งแก่การปกครองดูแลสร้างขวัญและกำลังใจแก่เหล่าทหารและในการรักษาผู้ป่วยไข้

    จากปีพ.ศ. ๒๔๖๖ ตราบวันนี้ นับว่าเสด็จเตี่ยเสด็จคืนสู่สรวงสวรรค์ไปแล้วเกือบร้อยปี แต่ประชาชนชาวไทยยังเคารพรักและศรัทธาในพระองค์ดุจพระองค์ยังทรงดำรงพระชนม์อยู่ หรือมากมายกว่ายังทรงดำรงพระชนม์เสียอีก ดูเหมือนพระองค์จะเป็นผู้ที่มีอนุสรณ์สถานมากที่สุด ทั้งพระอนุสาวรีย์ พระรูป พระตำหนัก ศาล และเทวาลัย ความเคารพนับถือซึ่งสืบทอดมาจนปัจจุบัน ไม่เพียงเพราะคุณูปการแก่ประเทศชาติประชาชนเท่านั้น แต่ความเลื่องลือในความศักดิ์สิทธิ์ ปรากฏการณ์เหนือจริงของพระองค์ ยังยืนยาวนานมาทุกยุคทุกสมัย

    หรือจะเป็นเพราะ พระนิสัยของพระองค์ ที่ตรึงตราใจไม่รู้ลืม คือพระนิสัยที่ทรงถือสัจจะ ทำอะไร ทำจริง กล้าหาญ เสียสละ รัก ดูแลเหล่าศิษย์ เหล่าทหารเรือ และลูกน้องสุดชีวิตดุจลูกๆของพระองค์ รวมทั้งความไม่ถือพระองค์ ทรงมีพระเมตตาที่ทรงมีต่อผู้คนทุกชั้นชน

    หรือจะเพราะเป็นวิถีแห่งพระชนม์ชีพของพระองค์ ที่กล่าวได้ว่า เต็มไปด้วยเรื่องราวที่แปลก หลากหลายสีสัน ทรงเป็นนักการทหารผู้สร้างคุณูปการอเนกอนันต์แก่กองทัพเรือไทยจนทรงได้รับพระสมัญญาว่า “องค์บิดาของทหารเรือไทย” ทรงเป็นหมอผู้มีเมตตาธรรมต่อคนไข้ไม่เลือกชั้นวรรณะ จนชาวบ้านเรียกขานพระองค์ว่า “หมอพร หมอเทวดา” ทรงเป็นจอมขมังเวทย์ผู้เชี่ยวชาญ ในคาถาอาคมและอิทธิปาฏิหาริย์ จึงยังทรงดำรงในความเป็นเสด็จเตี่ยผู้ศักดิ์สิทธิ์ตราบถึงทุกวันนี้

    อย่างไรก็ตาม หากผู้ใดรักเคารพและศรัทธาในพระองค์ อย่าลืม
    ร่วมกันทําความดีต่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ถือเป็นการถวายพระเกียรติยศอันสูงสุด กว่าอามิสทั้งปวง.


    10502081_769109216492850_1566340233978143431_n_zpsbr2s5y9u.jpg

    ภาพและเรื่องจากเพจ https://www.facebook.com/abhakara.th/?fref=tshttps://www.facebook.com/abhakara.th/?fref=ts
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 พฤษภาคม 2017
  10. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,804
    กระทู้เรื่องเด่น:
    80
    ค่าพลัง:
    +225,520
    [​IMG]

    ระลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณกรมหลวงชุมพรฯ

    ประวัติหมอพรเมื่อครั้งทรงเป็นหมอพร

    หมอพรขณะที่เสด็จในกรมฯ ได้ทรงออกจากประจำการชั่วคราว ระหว่างปี พ.ศ.2454 - 2459 เป็นระยะเวลา 6 ปี พระองค์จึงทรงศึกษาวิชาแพทย์แผนโบราณ เพื่อช่วยชีวิตคนยากจน โดยได้เสด็จไปหาพระยา พิษณุประสาทเวช หัวหน้าหมอหลวงฝ่ายยาไทย เพื่อขอเป็นลูกศิษย์ นอกจากนั้นยังมีพระอาจารย์อื่น ๆ อีกหลายคน เช่น หมอฝรั่งชาวอิตาเลียน และชาวญี่ปุ่น หม่อมเจ้าหญิง เริงจิตแจรง อาภากร พระธิดาเสด็จในกรมฯ ได้ทรงเล่าว่าพระองค์ทรงศึกษาอย่างจริงจัง ได้ทรงสั่งกล้องจุลทัศน์มาสำหรับตรวจโรค มีห้องพิเศษเรียกห้องเคมีวิทยาศาสตร์ พระองค์ทรงชอบ ทดลองมีการค้นคว้ายาแก้โรคต่าง ๆ ได้ทรงนำเอาสัตว์ต่าง ๆ ตั้งแต่สัตว์เล็ก ๆ จนถึงสัตว์ใหญ่มาทดลองยาที่ทรงปรุง ทรงชำระคัมภีร์อติสาระวรรคโบราณกรรม และปัจจุบันกรรม ซึ่งเป็นตำรายาแผนโบราณจนเสร็จบริบูรณ์ เมื่อ พ.ศ.2458

    หมอพร เมื่อทรงทดลองยาที่ทรงปรุงจนได้ผลดี จึงทรงรับเป็น หมอรักษาโรคภัยไข้เจ็บให้คนทั่วไป ไม่ว่าคนมี คนจน ใครมาหาก็ทรงตรวจรักษาให้ทั้งนั้น เสด็จในกรมฯ ทรงตั้งชื่อพระองค์ว่า "หมอพร" คนป่วยมาหาเองไม่ได้ ถ้ามารับไปตรวจและรักษาที่บ้าน ต้องเอารถมารับส่ง เวลานั้นนายทหารเรือป่วยกันมากไม่ค่อยไปโรงพยาบาล ใครป่วยก็มาหาหมอพร หมอพรจะตรวจ และจ่ายยาให้โดยไม่คิดค่ายา ที่หายก็มี และที่ป่วยหนักตายก็มี สำหรับการรักษาประชาชนทั่วไปนั้น มีเรื่องเล่ากันว่า มีครอบครัวจีนในสำเพ็งรายหนึ่ง สามีคือพ่อบ้าน ซึ่งกำลังเจ็บหนักดูเหมือนจะเป็นวัณโรค ซึ่งเรียกกันในสมัยนั้นว่า ฝีในท้องและใกล้จะตายอยู่แล้ว ก็ไม่มีทางจะกระเตื้องขึ้นเลย อาการมีแต่ทรงกับทรุด

    ครั้นบ่ายวันหนึ่งเสด็จในกรมฯ ซึ่งปลอมพระองค์เป็น "หมอพร" เดินถือย่ามยานุ่งผ้าม่วงไว้หนวดไว้เครา เสด็จเข้าไปในสำเพ็ง เด็กเล็กเดินหนีกันเกรียวกราว รู้ไปถึงหูภรรยาของคนเจ็บ เมื่อรู้ว่าหมอพรก็วิ่งกระหืดกระหอบ เข้าไปกราบที่พระบาท ร้องไห้ร้องห่ม ขอให้ไปช่วยชีวิตสามี จะเสียเงินเสียทองเท่าไรก็ยอม หมอพรจึงเดินตามอาซิ้ม เข้าไปในบ้านหลังใหญ่ และจะไปพินิจพิเคราะห์ตัวเถ้าแก่ใหญ่ ที่กำลังหายใจ ครอก ๆ อยู่ หลังจากพิจารณาด้วยความถี่ถ้วนแล้ว ก็ทำพิธีเป่ามนต์และท่องบ่นคาถาอยู่พักหนึ่ง แล้วได้อัญเชิญคุณพระมาทำน้ำมนต์และรดคนไข้

    พร้อมกับมอบ หมายยาไทยขนานหนึ่งไว้ให้ แล้วหมอพรก็อำลาไป ต่อมาชั่วเวลาไม่นานนัก พระองค์ก็เสด็จไปฟังผล ปรากฏว่าอาการของคนไข้กระเตื้องขึ้น อย่างทันตาเห็น เถ้าแก่ที่มีเงินทองมากมายได้ลุกขึ้นกราบ เรียกภรรยาให้เอาเงินมาถุงหนึ่ง เพื่อจะถวายให้พระองค์ เป็นค่ารักษา แทนที่เสด็จในกรมฯ หรือหมอพรจะรับไว้ กลับโบกพระหัตถ์ว่า พระองค์ไม่ใช่หมอประเภทเห็นแก่เงิน เสด็จในกรมฯ ขอให้คนไข้นำเงินนั้นไปทำสาธารณประโยชน์ อย่างอื่นต่อไป เศรษฐีจีนคนนั้นได้มอบเงินจำนวนนั้น ไปใช้ในการสร้างศาลาการเปรียญที่วัดแห่งหนึ่ง



    ตำรายาหมอพร


    หมอพร พลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมหลวง ชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ทรงออกจากประจำการชั่วระยะเวลาหนึ่ง เมื่อปี พ.ศ.2454 เมื่อครั้งยังทรงเป็นกรมหมื่น ชุมพรเขตรอุดมศักดิ์ พระองค์ได้ทรงศึกษาวิชาแพทย์ แผนโบราณจากตำราไทย ทรงเขียนตำรายาแผนโบราณ จากตำราไทย ทรงเขียนตำรายาแผนโบราณ ลงในสมุดข่อยด้วยฝีพระหัตถ์ของพระองค์เอง โดยทรงค้นคว้าตรวจหาตามคัมภีร์เก่า ที่เกือบจะสูญสิ้นอยู่แล้ว

    เขียนเสร็จในปี พ.ศ.2458 พระองค์ทรงตั้งชื่อ ตำราไทยสมุดข่อยเล่มนี้ว่า

    "พระคัมภีร์ อติสาระวรรคโบราณะกรรมและปัจจุบันนะกรรม"

    เป็นสมุดข่อยที่มีเนื้อหาทั้งตำรายาแผนโบราณ กล่าวถึงการผสมยาแก้โรคต่าง ๆ
    ซึ่งในตำรา กล่าวว่าเคยใช้ได้ผลมามากแล้วและบันทึกไว้ ด้วยศิลปภาพเขียน
    นับตั้งแต่หน้าปกที่เป็นลายไทย ปิดทองที่สวยงามมาก หน้าต่อไปเป็นภาพเขียน
    ด้วยหมึกสี ภาพพระพุทธเจ้านั่งขัดสมาธิ ด้านซ้ายและด้านขวา เป็นภาพฤาษี 2 องค์
    นั่งพนมมือ ถัดมาด้านขวามือสุด เป็นตราประจำราชสกุลอาภากร รูปพระอาทิตย์

    ทรงราชรถประทับยืน ทรงพระขรรค์ด้วยพระหัตถ์ขวา มีอักษรเขียนเป็นภาษาบาลีว่า

    "กยิราเจ กยิราเถนํ" แปลว่า "จะทำสิ่งไร ควรทำจริง" ขอบสมุดด้านซ้าย
    และขวาเขียนลายไทย ด้วยสีสันที่สดใสสวยงาม ตัวอักษรบางตัวเป็นอักษรประดิษฐ์ประกอบกับลายไทย

    นอกจากเสด็จ ในกรมฯ ทรงศึกษาค้นคว้าตำรายาต่าง ๆ แล้วพระองค์ยังไม่ทรงรักษาโรคภัยไข้เจ็บ แก่คนทั่วไปโดยไม่เลือกคนจนหรือคนมี และมิได้คิดค่ารักษาหรือค่ายา แต่อย่างใด ทุกคนที่มีความเดือดร้อน จะต้องได้รับความเมตตาอารีจากพระองค์ไปทั้งสิ้น จนเป็นที่นับถือของคนทั่วไปในนามของพระองค์ว่า "หมอพร" ข้อนี้เป็นที่ประจักษ์ในพระอัธยาศัย ของพระองค์อีกด้านหนึ่งว่า ทรงเมตตาอารี ต่อคนทุกชั้น แม้ผู้ที่มิใช่ทหารเรือ ก็เคารพนับถือ พระองค์เป็นที่สุดเช่นกัน

    พระคัมภีร์อติสาระวรรค ตำรายา "พระคัมภีร์ อติสาระวรรค" นี้ มีอยู่ 2 เล่ม เล่ม 1 นั้นอยู่ที่พิพิธภัณฑ์ทหารเรือ สมุทรปราการ ส่วนเล่ม 2 นั้น ไม่ทราบว่าอยู่ที่ใด ถึงแม้ว่า จะมีร่องรอยของการถูกทำลายจากแมลงตัวเล็ก ๆ อยู่บ้าง แต่พิพิธภัณฑ์ทหารเรือก็ยังคงเก็บรักษาไว้เป็นอย่างดี อยู่ในสภาพที่ดี สามารถอ่านข้อความได้ชัดเจน เคยมีผู้คัดลอกตำรายา พิมพ์เผยแพร่ลงหนังสือไปบ้างแล้ว 4 - 5 ขนาน คือ ยาเขื่อนกำบัง ยาเบญจขันธ์ ยาประสะพุงเม่น และยาแก้


    ยาแก้โรคไขมันอุดตันในเส้นเลือด

    ท่านให้เอา หัวกระเทียมโทน (กระเทียมหัวเดียวโดยเฉพาะไม่มีกลีบ) ๒๑ หัว นำมา
    ปอกเปลือกแล้วใส่โหล หรือใส่โถ ใส่น้ำผึ้งแท้ลงผสมให้ท่วมหัวกระเทียม ปิดฝาโหลหรือ
    โถให้สนิท หมักดองไว้ ๗ วัน ใช้รับประทานเวลาก่อนนอน ครั้งละ ๓ หัว พร้อมทั้งน้ำ
    แก้โรคไขมันอุดตันในเส้นเลือด ได้ผลดีอย่างชะงัดนักแล ฯ



    ยาแก้โรคปวดศีรษะเรื้อรัง

    ท่านให้เอา แก่นขี้เหล็ก ๑ ผักเสี้ยนผี ๑ ต้นแมงลัก ๑ ตัวยาทั้ง ๓ อย่างนี้ เอาอย่างละ ๑ บาท
    นำมาใส่หม้อดินต้มกับน้ำ ๓ ส่วน เคี่ยวให้เหลือ ๑ ส่วน ใช้น้ำยาทานครั้งละ ๑ ถ้วยชาวันละ ๔-๕ ครั้ง
    มีสรรพคุณแก้โรคปวดศีรษะเรื้อรังให้หายขาดไป ได้ผลดีอย่างชะงัดนักแล ฯ


    ยาแก้โรคเบาหวาน

    ท่านให้เอา รังผึ้ง (เอาทั้งรังพร้อมทั้งตัวอ่อน) ๑ รัง เหล้า ๑ ขวด หัวกระชาย ๑๒ หัว
    เปลือกตะโกนา (ต้นตะโกดัด สดหรือแห้งก็ได้) ๓ เปลือก ตัวยาทั้ง ๔ อย่างนี้ นำมา
    ดองรวมกัน โดยนำรังผึ้งใส่ลงในโถหรือใส่ในโหล เทเหล้าลงผสมพอท่วมรังผึ้ง ใส่หัว
    กระชาย (ซึ่งปลอกเปลือกและทุบให้แตกเสียก่อน) และใส่เปลือกตะโกนาลงผสม หมัก
    ดองไว้ ๓ วัน ใช้น้ำยาดองนี้รับประทานครั้งละ ๑ ถ้วยชาจีน เวลาก่อนอาหาร เช้า-เย็นวันละ ๒ เวลา
    ทุกวันติดต่อกันไปจนครบ ๑ เดือน
    ท่านให้เอา ต้นเหงือกปลาหมอทั้ง ๕ (เอาทั้งต้นตลอดถึงราก) จำนวนพอสมควร นำมา
    ล้างน้ำให้สะอาด หั่นเป็นชิ้นเล็กๆ ตากแดดให้แห้ง บดเป็นผงจำนวน ๖ ถ้วยชาจีน เอา
    พริกไทยร่อนจำนวน ๓ ถ้วยชาจีน บดให้ละเอียดผสมกับน้ำผึ้งแท้ ปั้นเป็นลูกกลอนขนาด
    เท่า เมล็ดพุทรา จำนวน ๑๐๘ เม็ด ใช้รับประทานครั้งละ ๑ เม็ด ก่อนเวลาอาหาร เข้า-เย็น ทุกวัน ติดต่อกันไปจนครบ ๕๔ วันโรคเบาหวานจะหายขาด
    เจ้าของยาขนานนี้ ได้ใช้รักษาตัวเองหายขาดมาแล้ว ชะงัดนักแล ฯ


    ยาแก้โรคปวดเข่าอย่างรุนแรง

    ท่านให้เอา เถากะทกรกหนัก ๑ บาท หญ้างวงช้าง ๑ รากคนทา ๑ ขิงแห้ง ๑ หญ้าหางช้าง ๑ หัวข่า ๑
    ตัว ยาทั้ง ๕ นี้ เอาหนักอย่างละ ๑๐ บาทเท่ากัน ตัวยาทั้ง ๖ นี้ นำมาใส่หม้อดิน ต้มกับน้ำ ๓ ส่วน เคี่ยวให้เหลือ ๑ ส่วน ใช้น้ำยา ทานครั้งละ ๑ ถ้วยกาแฟ เวลา เช้า-กลางวัน-เย็น วันละ ๓ เวลา
    มีสรรพคุณ แก้โรคปวดหัวเข่าอย่างรุนแรงให้หายไป ได้ผลดี ชะงัดนักแล ฯ


    ยาทิพย์ไสยาสน์

    ท่านให้เอา ลูกจันทน์ ๑ ยาดำ ๑ มหาหิงคุ์ ๑ ตัวยาทั้ง ๓ นี้เอาอย่างละเท่าๆกัน
    พริกไทยร่อน หนักเท่ายาทั้ง ๓ อย่างนั้น นำมาตำให้ละเอียดผสมกับน้ำผึ้งแท้
    ปั้นเป็นลูกกลอนขนาดเท่าเมล็ดพุทรา ใช้ทานก่อนนอน มีสรรพคุณทำให้เลือดลมเดินสะดวกดี
    นอนหลับสบาย ได้ผลดีอย่างชะงัดนักแล ฯ



    ยาแก้โรคไอเรื้อรัง

    ท่านให้เอา หัวอุตพิดสด(พอสมควร) ๑ หัวกระเทียม ๗ กลีบ ๑ พริกไทยร่อน ๗ เม็ด ๑
    ดีปลี ๗ ดอก ๑ ตัวยาทั้ง ๔ นี้ นำมาตำให้ละเอียดผสมกับน้ำผึ้งแท้ ปั้นเป็นลูกกลอนขนาดเท่าเมล็ดข้าวโพด
    ใช้ทานครั้งละ ๑ เม็ด มีสรรพคุณแก้โรคไอเรื้อรัง ได้ผลอย่างชะงัดนักแล ฯ


    ยาแก้โรคมะเร็งในมดลูก


    ท่านให้เอาหัวข้าวเย็นเหนือ ๑ หัวยาข้าวเย็นใต้ ๑ ต้นหนอนตายหยาก ๑ รากนมแมว ๑ หัวพุทธรักษา
    ( สีขาว) ๑ ตัวยาทั้ง ๕ อย่างนี้เอาหนักอย่างละ ๔ บาทเท่ากัน เกลือทะเล (เกลือใส่แกง) ๔ กำมือ นำมาใส่หม้อดินต้มกับน้ำพอสมควร ใช้น้ำยาดื่มครั้งละ ๑ ถ้วยชาจีน เช้าเย็น แก้โรคมะเร็งในมดลูก ได้ผลดีอย่างชะงัดนักแลฯ



    ยาถอนพิษต่าง ๅ

    ท่านให้เอา สารส้ม ๑ ก้อน (ขนาดเท่าปลายนิ้วก้อย) นำมาตำให้ละเอียด ผสมน้ำต้มสุก ใช้รับประทาน
    มีสรรพคุณ จะทำให้เกิดการ อาเจียรถอนพิษต่าง ๆ เช่น เห็ดพิษ พิษกรดด่าง ยาพิษ เป็นต้น ให้หายไป อย่างชะงัดนักแล ฯ



    ยาแก้โรคโลหิตจาง

    ท่านให้เอา ผลมะนาวสด ผ่าซีก บีบเอาเฉพาะน้ำ นำมาผสมกับน้ำหวานและปรุงด้วยเกลือทะเล
    (เกลือใส่แกง) พอสมควร ใส่น้ำแข็ง ใช้ทานบ่อยๆ เป็นยาบำรุงโลหิต และแก้โรคโลหิตจาง
    ทำให้มีผิวพรรณผุดผ่อง มีน้ำมีนวล มีสรรพคุณชะงัดนักแล ฯ


    ยาแก้โรคความดันต่ำ
    ท่านให้เอา หมูเนื้อแดง หนัก ๑ ก.ก. กับพริกไทยร่อน ๑ กระป๋องนมข้น ตัวยาทั้ง ๒ อย่างนี้
    นำมาบดผสมกัน ใส่โถ หรือ โหล ใส่น้ำผึ้งแท้พอท่วมยา หมกข้าวเปลือกไว้ ประมาณ ๑๕ วันขึ้นไป
    ใช้น้ำยาดองนี้ทานครั้งละ ๑ ช้อนโต๊ะ วันละครั้ง ทุกวัน เพียง ๕ วันเท่านั้น อาการป่วยโรคความดันต่ำ
    จะหายเป็นปรกติ มีสรรพคุณชะงัดนักแล ฯ


    ยาแก้โรคตาฟาง

    ท่านให้เอา ใบมะขาม ๒ กำมือ นำมาตำให้ละเอียดกับ น้ำฝน ๔ แก้ว นำมาใส่ภาชนะเคลือบ
    ใส่พิมเสน กับ เกลือทะเล ลงผสมเล็กน้อย หมักดองไว้ประมาณ ๑๐วัน แล้วกรองด้วยผ้าขาวบาง
    ใช้น้ำยาหยอดตา มีสรรพคุณแก้โรค ตาฟาง ตาฝ้า ตามัว ได้ผลดีอย่างชะงัดนักแล ฯ



    ภาพและเรื่องจากเวบ ตำรายาหมอพร

     
  11. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,804
    กระทู้เรื่องเด่น:
    80
    ค่าพลัง:
    +225,520
    Ase37je69Z_RobA2VXXPTDwF8B8ycsZBc9E3XjJf9d7woGmNMroH-cXdZiFofDHc.jpg

    กยิราเจ กยิราเถนํ (จะทำสิ่งไรควรทำจริง)


    พลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ หรือเสด็จเตี่ยทรงอบรมสั่งสอนพระโอรส และพระธิดาเสมอเมื่อมีโอกาส

    วิธีสอนแบบหนึ่ง คือโปรดให้ท่องจำบทโคลงสอนใจที่พระองค์ทรงพระนิพนธ์ขึ้นเอง เช่นบทต่อไปนี้

    ๐ ทำงานทำจริงเจ้า จงทำ
    ระหว่างเล่นควรจำ เล่นแท้
    หนทางเช่นนี้แล เป็นสุข
    ก่อให้เกิดรื่นเริง นับมื้อทวีคูณ

    ๐ Work while you work
    Play while you play
    That is the way
    To be cheerful and gay.

    ๐ทุกสิ่งที่ทำนั้น ควรตรอง
    โดยแน่สุดทำนอง ที่รู้
    สิ่งใดทำเป็นลอง ครึ่ง ๆ
    สิ่งนั้นไม่ควรกู้ ก่อให้เป็นจริง

    ๐ All that you do
    Do with you might
    Thing done by haft
    Are never done right .

    พวกเราในฐานะลูกๆของเสด็จเตี่ย หากน้อมรับคำสอนข้าง
    ต้นไปปฏิบัติอย่างจริงจัง ย่อมช่วยให้กิจที่ทำนั้น เกิดผลสำเร็จได้ตามกำลังอย่างเเน่นอน.

    ภาพและเรื่องจากเพจ https://www.facebook.com/abhakara.th?fref=ts


    Ase37je69Z_RobA2VXXPTO7Vw-oKp1ek3Lsds5JueMhq0A53ql1IqQSgt2RS-gXx.jpg Ase37je69Z_RobA2VXXPTE4NzuTGMVjOfRhCvdhhudZehtU4DX6FUvW_AI5WWdik.jpg Ase37je69Z_RobA2VXXPTD5eiUIZacVmCMcGObJEvaJCThTFyM0mwewdCSYCpWuf.jpg Ase37je69Z_RobA2VXXPTIcf9oQKg7g272V_2s9cQXuyjs_2weo3T200UXAouvc3.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 พฤษภาคม 2017
  12. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,804
    กระทู้เรื่องเด่น:
    80
    ค่าพลัง:
    +225,520
    [​IMG]

    [​IMG]

    เหรียญเสด็จพ่อกรมหลวงชุมพร สร้างปี 2520 โดยลูกศิษย์หลวงพ่อท่านนึงเป็นผู้สร้างถวายให้วัด

    เนื้อเดิมเป็นเนื้อโลหะรมดำ จำนวนสร้างประมาณ 10,000 เหรียญ (ไม่ใช่ 100,000 เหรียญในหนังสือ)

    ด้านหลังเหรียญมีคาถาประจำราชสกุลอาภากรว่า "กยิราเจกยิราเถนํ" ถ้าจะทำก็พึงทำตามนั้นจริง
     
  13. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,804
    กระทู้เรื่องเด่น:
    80
    ค่าพลัง:
    +225,520
    [​IMG]

    ๏ ดาบของชาติ

    "...อย่ากลัวมัน... อย่ากลัวตาย ตั้งใจอาสาพระรัตนตรัยแลพระมหากษัตริย์ เดชะผลกตัญญูนั้นจะช่วยอภิบาลรักษา ก็จะหาอันตรายมิได้..." พระราชดํารัสในสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช เมื่อครั้งถูกข้าศึกบุกกระนาบเข้าตั้งค่ายประชิดถึง ๔ ทิศ เพื่อปลุกขวัญว่าศัตรูแม้นจะมียุทธกําลังมหาศาล แต่ก็มิได้ยิ่งใหญ่เกินกว่าความห้าวหาญของทะแกล้วกล้าทหารไทย ที่มีหัวใจเป็นอาวุธ

    วิชาโลหศาสตร์โบราณของไทย แม้ว่าจะมีบางส่วนที่ไม่สอดคล้องกับหลักวิชาการสมัยใหม่ แต่ก็ถือได้ว่าเป็นภูมิปัญญาแห่งปราชญ์ ที่สั่งสมโดยผ่านการคิดค้นและทดลอง ส่วนผสม ชนิดของแร่ และองศาความร้อน จนได้เนื้อโลหะที่แกร่ง มีคุณสมบัติเหมาะกับการใช้ขึ้นรูปเป็นของมีคมชั้นดี คุณวิเศษของโลหะชนิดต่างๆ ก็เป็นไปตามมูลเหตุแห่งลัทธิความเชื่อ เพื่อสร้างขวัญกำลังใจให้แก่ผู้พกพา

    การที่จะได้เป็นชายชาตรีนั้น โบราณจารย์ระบุว่า ต้องมี "อาวุธชั้นดี อาคมชั้นเลิศ" ฉะนั้นการเดินทางเพื่อแสวงหาผู้ประสาทวิชาจึงถือเป็นเรื่องใหญ่ เพราะต้องเป็นผู้สามารถบ่มเพาะต้นกล้าแห่งคุณธรรม แล้วเมื่อเจนจบสรรพวิทยา ผู้ทรงคุณวิเศษก็มักลงอักขระไว้บนเครื่องศาสตราไว้เพื่อคอยเตือนสติ ของมีคมสําหรับประหัตประหารทั้งหลาย จึงกลับกลายเป็นอาวุธที่ใช้สําหรับป้องกัน ดังพระนิพนธ์ "ดาบของชาติ" ในพลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ที่ว่า ดาบนี้มีไว้ "ให้มิตร ให้เมีย ให้ลูกแล้ชาติไทย" เรียกได้ว่า "กว่าจะได้โลหะครบถ้วนมาหลอมหล่อเข่นคมให้สมใจ ก็ละลายตนเป็นคนไปโดยสมบูรณ์"

    สําหรับความเชื่อดั้งเดิมในเรื่อง "ลวดลายต่างๆบนศาสตรา" จากการศึกษาได้พบว่า มีการจารลวดลายต่างๆบนอาวุธ เพื่อแสดงให้เห็นถึงการสถิตของจิตวิญญาณอยู่ในศาสตรา เช่นรูปสัตว์ต่างๆ ซึ่งเป็นความเชื่อที่มีความเก่าแก่มากที่สุด สืบเนื่องกันมานานนับพันปี บางท้องถิ่นเชื่อในเทพเจ้า ดังมีสัญลักษณ์ของเทพในอาวุธ เช่น ท้าวเวสสุวัณ ฤๅษี นาคาแลราหู ซึ่งพบได้เด่นชัดในวัฒนธรรมการสร้าง "กริช"

    "กริช" จัดเป็นอาวุธประเภทมีดสั้น ในสารานุกรมวัฒนธรรมภาคใต้ ได้อธิบายเรื่อง "กริช" ไว้ว่า เป็นสิ่งแสดงความเป็นชายชาตรี และฐานะทางสังคมของผู้ครอบครอง ชื่อเรียกส่วนประกอบต่างๆของตัวกริช ล้วนเสริมให้เห็นถึงความมีชีวิตอยู่ เช่น คอ คาง เครา ตา หู กระดูก ฯลฯ รูปทรงของกริชได้พัฒนาไปตามกลุ่มวัฒนธรรมจนมีเอกลักษณ์เฉพาะ คือเป็นพระขรรค์บ้าง เป็นตรีศูทรก็มี ซึ่งล้วนมีต้นแบบมาจากวัชระ (สายฟ้า) นามของราชวงศ์ "จักรี" ก็เคยมีผู้กล่าวไว้ว่ามาจาก "จักร" และ "กริช" ตามคัมภีร์มูลศาสนาของพราหมณ์ ในขณะที่ความเชื่อดั้งเดิมในพระพุทธศาสนาฝ่ายตันตระ (วัชรยาน) ก็มีสัญลักษณ์เป็นสายฟ้า อันเป็นอาวุธประจําองค์ของพระอินทร์ เทพผู้พิทักษ์พระพุทธศาสนา ซึ่งนับเป็นสัญลักษณ์ที่มีปรากฏมากที่สุดในเครื่องศาสตราวุธของไทย

    "กริช" ที่พบว่ามีความสำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์ไทย คือพระแสงกริชประจำพระองค์ สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ที่ทรงใช้คราทำลายกําแพงเมืองจันทบูร (จันทบุรี) ในราตรีที่ทรงสั่งไพร่พลให้ทุบหม้อข้าว ดังความในพระราชพงศาวดารกรุงธนบุรี ฉบับพันจันทนุมาศว่า "...เสด็จทรงช้างพระที่นั่งพังคิรีกุญชรฉัททันต์ เข้าทะลายประตูใหญ่ เหล่าทหารซึ่งรักษาประตูและป้อมเชิงเทินนั้นก็ยิงปืนใหญ่น้อยดุจห่าฝน แลจะได้ถูกต้องโยธาผู้ใดผู้หนึ่งหามิได้ กระสุนปืนลอดท้องช้างพระที่นั่งไป ควาญช้างจึงเกี่ยวไว้ให้ช้างพังคิรีกุญชรถอยออกมา พระเจ้าอยู่หัวทรงพระโกรธเงื้อพระแสงจะลงพระราชอาชญา นายควาญช้างขอพระราชทานโทษได้ จึงทรงพระแสงกฤช (กริช) แทงพังคิรีกุญชรขับเข้าทะลายประตูพังลง..."

    สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ ได้ทรงใช้เมืองจันทบุรีเป็นฐานที่มั่น แล้วทรงรวบรวมสรรพกําลังไพร่พล จัดหาศาสตราวุธ ยุทธภัณฑ์ แล้วต่อเรือรบที่เมืองจันทบุรี เพื่อกลับเข้ากรุงศรีอยุธยา กอบกู้อิสรภาพให้ไทยทั้งชาติได้สําเร็จในกาลต่อมา... กองทัพเรือยึดถือว่าทรงเป็น "องค์ปฐมบทของกองทัพเรือ" คู่เคียงกับกรมหลวงชุมพรฯ ที่ทรงเป็น "องค์บิดาของทหารเรือ"

    พระแสงกริชประจําพระองค์สมเด็จพระเจ้าตากสินฯนี้ ถือเป็น ๑ ใน ๗ ยอดศาสตราวุธประเภทของมีคมของแผ่นดิน เช่นเดียวกันกับพระแสงของ้าว (เจ้าพระยาแสนพลพ่าย) และพระแสงดาบคาบค่าย (พระแสงขึ้นค่าย) ประจําพระองค์สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ,พระแสงขรรค์ชัยศรี หนึ่งในเครื่องราชกกุธภัณฑ์ในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช และราชวงศ์จักรี ,ดาบแดงของพระยาพิชัย ดาบฟ้าฟื้นของขุนแผน และพระขรรค์โสฬสประจําพระองค์กรมหลวงชุมพรฯ ซึ่งอาวุธชั้นยอดเหล่านี้ล้วนประกอบไปด้วย ๒ คุณลักษณะใหญ่ คือเมื่อรุกต้องแหลมคม และทานทนเมื่อรับ

    พระราชพงศาวดารกรุงธนบุรี บันทึกเหตุการณ์ที่สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ ทรงรวบรวมสรรพกําลัง เข้ายึดเมืองจันทบูรเป็นฐานกำลัง เตรียมพร้อมกลับมากู้กรุงศรีฯ ทรงใช้ "คมความคิด" ปลุกน้ำใจขุนทหาร ที่แม้ว่าไพรีจะมีอาวุธอันแกร่งกล้า ก็หาได้ทานทนไปกว่าหัวใจที่ห้าวหาญและเสียสละ ดังพระราชดำรัส "เจ้าตาก" ที่ปากพิง พ.ศ.๒๓๑๙ ว่า "...อันทหารแล้วองอาจอย่ากลัวตาย... เดชะผลกตัญญูนั้นจะช่วยอภิบาลรักษา ก็จะหาอันตรายมิได้..."

    จากโคลงพระนิพนธ์ "ดาบของชาติเล่มนี้ คือชี- วิตเรา ถึงจะคมอยู่ดี ลับไว้ สำหรับสู้ไพรี ให้ชาติ เรานา ให้มิตรให้เมียให้ ลูกแล้ชาติไทย" ใน "เสด็จเตี่ย" จะเห็นได้ว่าทรงมีพระอาจารย์ดี และทรงลึกซึ้งถึงคุณดาบ จนเป็นอีกตํานานกระบี่ของแผ่นดินไปแล้ว.


    ภาพและเรื่องจากเพจ https://www.facebook.com/abhakara.th/posts/688493214554451:0
     
  14. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,804
    กระทู้เรื่องเด่น:
    80
    ค่าพลัง:
    +225,520
    Ase37je69Z_RobA2VXXPTG4Lz9I99ymnNvrnAuacvCMoyUQLaOo52OC8aoERidde.jpg

    กรมหลวงชุมพรฯ ระเบิดนํ้า


    คนไทยยุคบรรพกาล ยามบ้านเมืองสงบก็กลัวเกรงบาปมากกว่ากลัวของมีคม แต่หากแผ่นดินลุกเป็นไฟก็ไม่กลัวศาสตราใดๆ ว่ากันว่าต่างคนต่างก็มีของดีพกติดตัว บ้างก็มีวิทยาคม ตั้งแต่ระดับชาวบ้าน อย่างนายจันหนวดเขี้ยว แห่งบ้านบางระจัน หรือบรรดาขุนทหารอย่างขุนรองปลัดชู แห่งบ้านวิเศษชัยชาญ กระทั่งพระเจ้าแผ่นดิน อย่างสมเด็จพระนเรศวรมหาราช คนสมัยนี้ออกนามว่า พระองค์ดํา เพราะเข้าใจว่าทรงมีพระฉวีหรือผิวสีดํา แต่คัมภีร์บางแห่งบันทึกว่าทรงมีพระฉวีไม่ผิดแผกไปจาก สมเด็จพระพี่นางสุวัณ (สุพรรณกัลยา) และสมเด็จพระน้องยาเอกาทศรถ

    แผ่นดินในยุคต้นและยุคกลางกรุงศรีอยุธยา ยังไม่นิยมการสักตามร่างกาย แต่นิยมการอาบนํ้าว่าน ว่ากันว่าทําให้ผิวเสมือนถูกเคลือบมัน รอยขูดขีดไม่เข้าผิวเนื้อ ผิวหนังเหนียวคงทนต่อคมหอก และคมดาบ ด้วยเหตุที่สมเด็จพระนเรศวรฯ ทรงอาบนํ้าว่านนี้เอง จึงทําให้นํ้าว่านติดพระวรกายจนเป็นสีดํา นอกจากจะทรงแช่นํ้าว่านแล้ว ยังทรงมีเครื่องรางติดพระองค์ ร่ำลือกันว่า คือ พระหูยาน กรุลพบุรี เมื่อครั้งทรงนํากองอาทมาฎเข้าโจมตีพม่า ก็ทรงนําพระเครื่องดังกล่าวมาประดับไว้ที่พระมาลา พระวีรกรรมครั้งนั้นเป็นที่มาของพระแสงดาบคาบค่าย ทรงถูกแทงฟันหลายหนก็ทรงรอดพระชนม์ กลับมารักษาพระวรกายจนเป็นปกติ แล้วนําทัพไทย กระทํายุทธหัตถีจนมีชัยเหนือพม่า ทรงเชื่อมั่นในเรื่องวิทยาคมมาก จะทรงใช้นํ้าพระพุทธมนต์ ที่ทําพิธีปลุกเสกโดยมหาเถรคันฉ่อง ล้างพระพักตร์เป็นประจำทุกทิวา และเจริญพุทธชัยมงคลคาถา ที่รจนาโดยสมเด็จพระวันรัตน์ วัดป่าแก้ว เป็นประจําทุกราตรี

    พลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ หรือเสด็จเตี่ย ก็ทรงเป็นเจ้านายอีกพระองค์หนึ่ง ที่มีผู้เลื่องลือกันถึงวิทยาคมของพระองค์ จนทรงเป็นตํานานหนึ่งของเมืองไทยว่าเข้มขลังเอกอุ ถึงขั้นทรงเคยสร้างพระปิดตา ที่วังนางเลิ้ง เพื่อประทานบรรดาข้าราชบริพาร ทรงเล่าเรียนวิชาอาคมจากหลายอาจารย์ โดยเฉพาะ พระครูวิมลคุณากร (ศุข) วัดปากคลองมะขามเฒ่า จ.ชัยนาท นั้น เสด็จเตี่ยทรงให้ความนับถือเป็นพิเศษ และหลวงปู่ศุขเอง ก็ถ่ายทอดสรรพวิทยาให้เสด็จเตี่ยเป็นพิเศษด้วยเช่นกัน เช่น วิชาระเบิดนํ้า เป็นต้น ซึ่งวิชาเหล่านี้หากผู้ศึกษา ปราศจากศีล ปัญญา และเป็นคนที่ไม่ตั้งมั่นจริงจัง (สมาธิ) แล้ว ไม่มีโอกาสสัมฤทธิผลแน่แท้

    มีเรื่องเล่าสืบต่อกันมาว่า เสด็จเตี่ย ทรงเชื่อมั่นในอาถรรพเวทย์มาก เมื่อทรงพบหลวงปู่ศุขครั้งแรกนั้น ทรงมีความรู้สึกว่าภิกษุชรารูปนี้ไม่ใช่พระหลวงตาธรรมดา เพราะถึงขนาดเสกใบไม้ใบหญ้าเป็นกระต่ายได้ จึงทรงเข้าไปสนทนาด้วย โดยทรงรับสั่งกับบรรดามหาดเล็กว่าไม่ประสงค์จะแสดงพระองค์ แต่ทว่าหลวงปู่ศุข ทราบด้วยวาระจิต จึงร้องทักขึ้นมาว่า ทรงเป็นลูกเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดิน จะให้ต้อนรับเยี่ยงสามัญชนคงไม่ได้ เสด็จเตี่ยก็ยิ่งเพิ่มเลื่อมใส หลวงปู่จึงสอบถามถึงกิจการราชนาวีสยาม เสด็จเตี่ยก็ทรงเล่าบอกเล่าให้ฟังถึงแสนยานุภาพของเรือกลไฟ ด้วยความภาคภูมิใจ "ปืนเรือรบของพระองค์นั้น ทําได้แค่นี้หรอกหรือ" หลวงปู่ส่ายหน้า "คาถาวิชาที่ชื่อว่าปืนคด ยังมีอานุภาพมากกว่าเสียอีก" หลวงปู่ศุขจึงเล่าถึงวิชาดังกล่าวถวาย เสด็จเตี่ยก็ยิ่งเกิดความศรัทธา จึงฝากองค์เป็นลูกศิษย์นับแต่นั้น

    หลวงปู่ศุข ได้ทดสอบลูกศิษย์พระองค์นี้อยู่หลายครั้ง และเสด็จเตี่ย ก็ทรงแสดงให้พระอาจารย์ได้เห็นทุกครั้ง ว่า พระองค์เป็นผู้มีสติ รู้คิด มีจิตใจเข็มแข็งเด็ดเดี่ยว พอที่จะรํ่าเรียนสรรพวิชาต่างๆได้ แต่ทว่าหลวงปู่ศุข มิได้ถ่ายทอดวิชาปืนคดให้เสด็จเตี่ย ด้วยเห็นว่ามีอานุภาพในการทําลายมากจนเกินการควบคุม จะเกิดโทษเสียมากกว่า แต่ได้แนะนําให้เรียนวิชาระเบิดนํ้า เพื่อจะก่อประโยชน์ในกิจการราชนาวีสืบไป วิชานี้เป็นวิชาเดียวกับที่ไกรทองใช้เปิดแม่นํ้า เป็นทางลงไปยังวังบาดาลของชาละวัน โดยเชื่อกันว่าหากผู้สําเร็จวิชานี้แม้อยู่ในนํ้า แต่สามารถหายใจได้ดุจอยู่บนบก การถ่ายทอดวิชาของทั้งสองล้มเหลวอยู่หลายครั้ง เสด็จเตี่ยก็ไม่ทรงท้อพระทัย ทรงกราบพระอาจารย์ขอแก้ตัวใหม่ทุกครั้ง หลวงปู่ศุขนั้นเป็นพระเถระที่มีเมตตาสูง แต่ครั้งหนึ่งมีผู้เห็นเหตุการณ์เล่าไว้ว่า หลวงปู่ศุขถึงกับต้องใช้ไม้คํ้าถ่อ มีนัยยะว่าถ้าไม่ได้เรื่องคงต้องเจอไม้ในมือนี้สอนแทน แต่แล้วหลวงปู่ก็ต้องถือไม้เก้อ เพราะศิษย์เอกอยู่ใต้นํ้าได้นานกว่าปกติ จนเป็นที่พอใจพระอาจารย์

    อีกครั้งหนึ่ง เวลาเที่ยงคืน บริเวณใต้ต้นมะเดื่อริมนํ้าหน้าวัดปากคลองฯ หลวงปู่ศุข ให้เสด็จเตี่ย พนมมือถือเทียน ๗ เล่ม แล้วบริกรรมพระคาถา แล้วให้พระองค์ดําลงไปใต้นํ้า โดยหลวงปู่นั่งบริกรรมคาถาอยู่บนแพ ใช้บาตรครอบพระเศียรเสด็จเตี่ยเอาไว้ แล้วใช้มือกดบาตร ไม่ให้โผล่พ้นนํ้า แต่เสร็จเตี่ยก็ดําผุดดําว่ายอยู่หลายหน "ตัดสินใจให้แน่วแน่ ว่าจะเอาวิชานี้หรือไม่" หลวงปู่ศุขขึ้นเสียง เสด็จเตี่ยไม่เอ่ยว่ากระไร ทรงสงบนิ่งอยู่ในท่าพนมมือ แล้วทรงบริกรรมคาถา ตั้งมั่นพระทัยว่าเอาแน่ แล้วดําดิ่งหายไปใต้สายธาร ในคืนวันเพ็ญ หลวงปู่ชอบใจ ถึงกับหัวเราะเสียงดังลั่นคุ้งนํ้า ถึงความสามารถขององค์บิดาของทหารเรือ พระองค์นี้

    นอกจากเรื่องวิชาอาคมแล้ว เสด็จเตี่ย ยังทรงสักอักขระเลขยันต์ ทั้งเพื่ออํานาจพุทธาคม และทั้งเป็นเครื่องเตือนใจเช่น คําว่า "ร.ศ.๑๑๒ ตราด" เหนือพระอุระ และยังทรงมีเครื่องรางของขลังเฉกเช่นชายชาตรีนิยม มีพระขรรค์โสฬส และตะกรุดสามกษัตริย์ ที่หลวงปู่ศุข ได้สร้างไว้เพื่อเสด็จเตี่ยโดยเฉพาะ เป็นต้น ม.จ. เริงจิตรแจรง อาภากร เคยทรงเล่าให้ ม.ร.ว.อภิเดช อาภากร ฟังว่า แต่ก่อนท่าน (ม.จ.เริงจิตรแจรง) มาวัดปากคลองฯ หลายหน และเคยได้ลงเล่นนํ้าหน้าวัดหลายครั้ง เมื่อครั้งทําตะกรุดนี้ หลวงปู่ก็ระเบิดนํ้าลงไป ท่านก็อยู่ในเหตุการณ์ด้วย "ลงไปนานมั้ย" ม.ร.ว.อภิเดช ถาม "นาน... ถ้าพวกเราลงไปแบบนั้นคงตายไปนานแล้ว" ม.จ.เริงจิตรแจรง ตอบ ทรงเล่าต่อไปว่า เห็นหลวงปู่ศุขอยู่ใต้นํ้านานผิดปกติ ท่านจึงเดินไปกระซิบกับ ม.ร.ว.ดำแคงฤทธิ์ อาภากร เป็นทีเล่นว่า "สงสัยหลวงปู่จะถูกจระเข้คาบไปกิน" ตะกรุดสามกษัตริย์นี้ เสด็จเตี่ยทรงนําติดพระวรกายตลอดเวลา ก่อนสิ้นพระชนม์ทรงรับสั่งว่า "เอาเก็บไว้ให้เจ้าตุ่น" (ม.จ.รังษิยากร อาภากร)

    จะเห็นคนสมัยก่อนเขาปฎิบัติกิจการงานทุกอย่างด้วยความจริงจัง จึงสําเร็จผลศักดิ์สิทธิ์จริง ซึ่งคําสอนนี้ ถือเป็นคําสอนหลักที่ทรงถือปฎิบัติตลอดพระชนม์ อนึ่งจะเห็นว่าการถ่ายทอดศิลปะวิทยา คนโบราณไม่หวงแหน ไม่ถือเอาเป็นสมบัติส่วนตน แต่เป็นเพราะหาผู้มีสติ รู้คิด รู้ทํา และจริงจังได้ยาก มีแต่กะโหลกกะลาดําผุดดําว่าย ของดีจึงเป็นเหมือนนํ้าเต้าน้อยที่ถอยจม ซํ้าร้ายวิชาโจรกลับกลายเป็นกระเบื้องเฟื่องฟูลอย คงต้องให้หลวงปู่แมวดําแสดงอิทธิฤทธิ์ถือไม้คํ้าถ่อมายืนสอนกันกระมัง.


    ภาพและเรื่องจากเพจ https://www.facebook.com/abhakara.th/posts/512197468850694:0
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 พฤษภาคม 2017
  15. jj85

    jj85 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    1,754
    ค่าพลัง:
    +7,599
    ขออนุญาตสอบถามนะครับ พอมีท่านใดเคยได้รับการฝังตะกรุดทองคำในร่างกายบ้างไหมครับ แล้วถ้าฝังแล้วจะมีผลข้างเคียงอะไรมั้ย ยังสามารถไปต่างประเทศได้มั้ยครับ
     
  16. Norr

    Norr เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,105
    ค่าพลัง:
    +127,435
    น้อมกราบสมเด็จองค์ปฐม หลวงปู่ปาน หลวงพ่อพระราชพรหมยาน หลวงพ่ออนันต์ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ด้วยความเคารพสูงสุด
    สวัสดีครับ พี่วรรณ และลูกหลานหลวงพ่อทุกๆท่าน


    [​IMG]
     
  17. berbapor

    berbapor เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2010
    โพสต์:
    4,845
    ค่าพลัง:
    +21,862
    สวัสดีครับพี่วรรณและเพื่อนๆสมาชิกทุกๆท่านเข้ามาติดตามข่าวสารหลวงพ่อครับเหมือนเดิม
     
  18. MONGKHOLYUT

    MONGKHOLYUT เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มกราคม 2006
    โพสต์:
    92
    ค่าพลัง:
    +585
    ผมฝังของหลวงพ่อคูณครับ ฝังมา 24 ปีแล้วครับ ฝังดอกเดียวแขนขวา ไม่เคยเจ็บหรืออักเสบ หรือมีอาการผิดปกติเลยครับ
     
  19. Norr

    Norr เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,105
    ค่าพลัง:
    +127,435
    น้อมกราบสมเด็จองค์ปฐม หลวงปู่ปาน หลวงพ่อพระราชพรหมยาน หลวงพ่ออนันต์ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ด้วยความเคารพสูงสุด
    สวัสดีครับ พี่วรรณ และลูกหลานหลวงพ่อทุกๆท่าน


    [​IMG]
     
  20. jj85

    jj85 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    1,754
    ค่าพลัง:
    +7,599
    ขอบคุณครับผม ผมว่าจะไปฝังอยู่เหมือนกันครับ แต่เป็นของพระอาจารย์ในสายนี่แหละครับ แต่เป็นตะกรุดหัวใจขุนแผนครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...