"ประสบการณ์ปาฏิหาริย์ พระธาตุเสด็จ"

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย บ้องแบ้ว, 2 ตุลาคม 2016.

  1. บ้องแบ้ว

    บ้องแบ้ว นางฟ้าผู้น่ารัก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    3,294
    กระทู้เรื่องเด่น:
    105
    ค่าพลัง:
    +5,301
    สมัยก่อนเรื่องวัตถุมงคลต่างๆนั้น ถือว่าต้องเป็นคนมีบุญจริงๆถึงจะได้ครอบครอง เพราะมันหาได้ยากยิ่ง ยิ่งเป็นพระบรมสารีริกธาตุด้วยแล้วยิ่งมีแต่ระดับเจ้าฟ้ามหากษัตริย์ หรือคหบดีผู้สูงศักดิ์เท่านั้นจึงจะได้ครอบครอง ขนาดพระอรหันต์เยอะกว่าทุกวันนี้เป็นร้อยเท่า ยังหายากเลย... แต่ทุกวันนี้ทำไม มันถึงได้มีล้นบ้านล้นเมืองไปหมด ที่วัดก็มีเป็นตู้ๆ เต็มพาน ที่บ้านโยมก็เพียบไปหมด บางคนสังเกตุดู ศีล ๕ ก็ยังไม่ได้ ความโลภท่วมหัวอยู่ยังมีครอบครองเลย เกิดอะไรกับความเชื่อของคนยุคนี้ แล้วมั่นใจไหมว่า ทุกคนได้ครอบครองของจริงรึเปล่า? เพราะประสบการณ์ส่วนตัวนั้นก็เชื่อนะว่ามีจริง และคนมีบุญเท่านั้นจึงจะได้จริงๆ และได้มาแบบไม่คาดฝันด้วย เป็นเรื่องอัศจรรย์ที่อธิบายลำบาก และเชื่อว่าหลายคนคงเคยประสบมาแล้วเหมือนกัน แต่ทุกวันนี้ประกาศแจกกันในเน็ตกันโครมๆ แพ็คส่งกันเป็นของชำร่วยไปเลย มันก็ยังงัยๆอยู่ ส่วนตัวอาตมาต้องอธิฐานตั้ง 3 ปี กว่าจะได้เจอ นี่คือเรื่องจริง เดี๋ยวนี้มีเงินไม่ถึงพัน ไม่ต้องเดินทาง ไม่ต้องนั่งสมาธิสวดมนต์ เห็นเขาแจก หรือมีใว้ให้บูชาตามวัดต่างๆก็ได้มาแล้วง่ายๆ สบายๆ ถามว่าดีไหม? ก็ดี เพราะเป็นความศรัทธา ไม่ได้ไปเบียดเบียนใคร แต่เราคิดไหมว่า หากขาดปัญญา เราจะเป็นเหยื่อพวกมิจฉาทิฏฐิ ที่เอาความเชื่อความศรัทธาในพุทธศาสนามาหากินโดยไม่รู้ตัว.

    [​IMG]

    "ประสบการณ์ปาฏิหาริย์ พระธาตุเสด็จ"

    ผู้เชื่อยาก



    คุณหญิงสุรีพันธ์ มณีวัต


    เรื่องพระบรมสารีริกธาตุและพระอรหันต์ธาตุนี้ แต่เดิมข้าพเจ้าไม่รู้จักและไม่เคยเห็นเลยต้องสารภาพตามตรงว่าไม่เคยสนใจด้วยซ้ำ เพราะเข้าใจว่าเป็นสิ่งที่ไม่มีตัวตน เป็นเพียงชื่อสมมติให้พวกเราคนรุ่นหลังรู้สึกถึง “ความยิ่งใหญ่” ของพระพุทธเจ้าเท่านั้น

    แม้ในวัยเด็กจะเคยอ่าน “ปฐมสมโพธิกถา” พระนิพนธ์ของสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรสอยู่บ้าง โดยเฉพาะตอนที่กล่าวถึง ธาตุวิภัชน์ปริวรรต ว่า

    เมื่อสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จปรินิพพานแล้ว ได้มีกษัตริย์ ๗ พระนคร ยกขบวนพยุหโยธามาสู่กุสินารา เพื่อแสดงเดชานุภาพในการขอส่วนแบ่งพระบรมสารีริกธาตุไปสักการบูชา

    อ่านแล้วก็พิจารณาความตามพรรณนาโวหาร นึกถึงความไพเราะของภาษา ความช่างคำนึงของกวี หาได้นึกเป็นเรื่องจริงจังไม่

    เป็นไปได้อย่างไร มนุษย์เราตายแล้ว กระดูกจะกลายเป็นเงาเลื่อม ลักษณะเหมือนข้าวสารหัก เหมือนถั่วแตก เหมือนพันธุ์ผักกาด !

    เป็นไปได้อย่างไร ที่กระดูกเหล่านี้จะกลายเป็นมีสีอันงดงามประหนึ่งทองอุไร ประหนึ่งสีสังข์ ประหนึ่งแก้วมุกดา ประหนึ่งแก้วผลึก !

    เป็นไปได้อย่างไร ที่จะทรงบุญฤทธิ์ อิทธิฤทธิ์ เพิ่มจำนวนได้ เสด็จมาเสด็จไป บังเกิดรังสีอันงดงามให้ปรากฏ เหลวไหลคนโบราณหลอกพวกเรา ! เพราะเรานึกว่าพระพุทธเจ้าเป็นมนุษย์เท่า ๆ กับเรา ช่างเป็นความเขลาความหลงที่น่าสงสารมานานปีนี่กระไร

    ข้อความพระบรมสารีริกธาตุปาฏิหาริย์ในพระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยานั้น ก็สงสัยว่าอาลักษณ์ ผู้บันทึกพงศาวดารคงต้องการจะเฉลิมพระเกียรติ พระเจ้าแผ่นดินในรัชสมัยของตนให้เกรียงไกรยิ่งใหญ่ สมกับที่จะเทิดทูนให้เป็นสมมติเทพเท่านั้น !

    ส่วนเหตุการณ์ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ ที่ดูเกิดขึ้นในเวลาไม่นานนัก ทำให้รู้สึกลังเลและตามวิสัย “ผู้เชื่อยาก” ก็คิดว่ายกไว้ก่อนเถอะ !

    ช่างเขลา ช่างหลง ช่างอวดดีเสียจริงเทียว !

    ไม่ยอมเชื่อในพระปาฏิหาริย์ของพระบรมสารีริกธาตุ ทั้งที่ความจริงแล้ว สมเด็จพระพุทธองค์ทรงสมบูรณ์ด้วยอิทธิฤทธิ์บุญฤทธิ์ เป็นผู้ทรงหลุดพ้นจากอาสวะกิเลสทั้งปวง จนตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทั้งนี้ด้วยการบำเพ็ญบารมีมานานนับเป็นเวลาหลายแสนกัปของพระองค์

    ช่างเขลา ช่างดื้อดึง ยึดมั่นในมิจฉาทิฐิของตนเสียแท้เทียว !

    คำว่า “ปาฏิหาริย์” ที่ข้าพเจ้าจะกล่าวต่อไป ขอให้หมายความถึงความพิสดาร ความอัศจรรย์แห่งพระบรมสารีริกธาตุของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หรือพระธาตุของพระอรหันต์สาวกที่ไม่อาจหยั่งรู้ได้ด้วยวิทยาศาสตร์หรือความนึกคิดของปุถุชนธรรมดาอย่างเรา

    ๔-๒-๖

    ท่านผู้ซึ่งเป็นประดุจผู้เบิกเทียนสว่าง พาข้าพเจ้าออกจากความเขลา ความหลงนั้นความจริงตัวท่านเองก็คงจะไม่รู้ตัวเลยว่าได้ทำบุญคุณให้ข้าพเจ้าอย่างยิ่ง

    เวลานั้นกลางปี ๒๕๑๘ ข้าพเจ้ามีประสบการณ์เกี่ยวกับ “พระลอยมา” มากแล้ว แต่ก็ยังไม่รู้จักพระบรมสารีริกธาตุเลย

    คุณสมศักดิ์ หรือความจริงท่านคือ พลตำรวจโทนายแพทย์สมศักดิ์ สืบสงวน แห่งโรงพยาบาลตำรวจ ทราบเข้าก็ประหลาดใจ

    “อะไรพี่ยังไม่รู้จักพระบรมสารีริกธาตุเลย! ถ้ายังงั้นผมจะให้พี่ไปบูชา... ”

    แล้วท่านก็นัดแนะให้ข้าพเจ้าไปพบท่านที่โรงพยาบาลตำรวจ

    เมื่อท่านเชิญพระบรมธาตุที่จะมอบให้ออกมาให้ชมดูก่อนนั้นรับตามตรงว่าในหัวใจของข้าพเจ้ามีแต่ความกังขา

    เม็ดอะไรไม่ทราบ เล็กนิดเดียวคล้ายหินกรวด คล้ายมุก ข้าพเจ้านึก

    “๔ องค์นะครับ” คุณสมศักดิ์ว่า พลางคะยั้นคะยอให้ข้าพเจ้าดูอีก

    พระบรมสารีริกธาตุใช่หรือ ?...ไม่จริงมั้ง !

    คิดแค่นี้ข้าพเจ้ารู้สึกปล๊าบไปทั้งตัว เหมือนถูกไฟฟ้าช็อต ใจสั่นระริก จนต้องนึกในใจว่า ลูกเชื่อแล้ว !

    และรุ่งขึ้นนั้นเอง เมื่อเปิดผอบดูอีกครั้งหนึ่งก็ได้เห็นพระธาตุเสด็จมาเพิ่มอีก ๒ องค์ ลักษณะกลม เล็ก เหมือนมุก เปล่งรัศมีเป็นประกายงามมาก

    รับมา ๔ องค์ เพิ่มอีก ๒ เป็น ๖ องค์ ๔-๒-๖ ข้าพเจ้านึกเล่น ๆ ว่า เอ้า ! ถ้าท่านเก่งจริง ให้เราถูกล็อตเตอรี่ซี !

    ร้อยวันพันปีจะซื้อล็อตเตอรี่กับเขาสักที คราวนี้ลงทุนท้าท่าน ยอมเสียเงิน ๒๐ บาท เสียภาษีให้รัฐบาล (ข้าพเจ้าเชื่อว่า การซื้อล็อตเตอรี่คือการเสียภาษีเสริม!)

    บังเอิญเลขท้าย ๓ ตัว ออก๔-๒-๖ ได้เงินมากินขนมอีก ๑,๐๐๐ บาท...แต่ก็สงสัยความ บังเอิญ อีกน่ะแหละ !

    อะไรอยู่ในมือ

    ไม่นานหลังจากนั้น ข้าพเจ้าซึ่งลองหัดภาวนาแล้วก็ได้มีนิมิตอย่างหนึ่งเกิดขึ้น ซึ่งดูออกจะเหลือเชื่ออยู่มากที่จะเชื่อความตามนิมิตนั้น จึงลองคิดอธิษฐานว่า ถ้านิมิตที่เกิดขึ้นนั้นบอกความจริงในอดีตแก่เรา ขอให้พระธาตุมาปรากฏในมือเราเถิด

    อธิษฐานแล้วก็ลืมไป ไม่ใส่ใจอะไร

    วันนั้นเพิ่งผ่านสงกรานต์ จึงคิดจะสรงน้ำพระ (ซึ่งไม่เคยทำและลองทำเป็นปีแรก !) ชวนวิลาศและลูก ๆ มาเชิญพระพุทธรูปมาสรงน้ำหอม

    กำลังนั่ง ๆ อยู่ รู้สึกในมือเรามีอะไรเคลื่อนไหว จึงก้มลงมองก็เห็นอะไรขาว ๆ ๒ ชิ้นอยู่ในกลางมือ

    ดูไปดูมา สักครู่จึงนึกสงสัยว่า หรือจะเป็นพระธาตุ ! แต่ลักษณะองค์ใหญ่กว่าที่เคยได้รับจากคุณสมศักดิ์ (ซึ่งต่อมาจึงทราบว่าพระธาตุลักษณะนี้ เขาเรียกสัณฐานแบบเมล็ดพันธุ์ผักกาด) แล้วจึงนึกขึ้นได้ถึงตามที่เราอธิษฐานไว้

    ทดสอบพระธาตุ

    แต่เราจะเชื่อได้อย่างไรว่าสิ่งที่มาปรากฏในมือเรา ๒ ชิ้นนี้คือ พระธาตุ

    เผอิญระลึกได้ว่าผู้ใหญ่ท่านเล่าว่า ถ้าเป็นพระธาตุแท้และขนาดไม่ใหญ่มากนัก ท่านจะลอยน้ำ ก็เลยหาขันน้ำมาเชิญท่านลองลอยน้ำดู

    เรานั่งล้อมดูการทดสอบกันทั้งครอบครัว คนนำก็ไม่ค่อยทราบอะไรเท่าไรนัก แต่ก็ทำท่าเป็น “ผู้รู้” สั่งการไปตามเพลง

    ช้อนท่านลงในน้ำ...เอ ! ท่านก็ลอยน้ำดีอยู่นี่ แล้วจะทำอย่างไรต่อไป

    “ผู้รู้” มองดูเห็น “พระธาตุ” นิ่งอยู่กลางขันก็บอก “ลองออกไปริมขันซี” ท่านก็เคลื่อนตัวไปที่ริมขัน !

    ลอยไปรอบ ๆ ขันซีคะ... “ผู้รู้”ว่า ท่านก็ลอยเวียนไปตามริมขันตามแบบเข็มนาฬิกา

    “ผู้รู้” มองสักครู่ก็บ่นว่าเอ๊!....นั่นเวียนแบบอุตราวรรตนี่ ไม่เป็นมงคล ให้เป็นทักษิณาวรรตดีกว่า

    บ่นกับครอบครัวที่นั่งหน้าสลอนชมการทดสอบนี้ แล้วก็สั่ง “ท่าน” ที่อยู่ในขันน้ำ หยุด ๆ ก่อนค่ะ ย้อนศรกลับไป

    ท่านก็หยุดการเคลื่อนตัว และลอยย้อนศรกลับไป แต่คราวนี้การลอยเคลื่อนตัวของท่านช้าลงจน “ผู้รู้” ชักสงสัย

    คิดไปคิดมาก็อุทานว่า “ตายจริง เก่าท่านลอยเวียนขวาทักษิณาวรรตดี ๆ อยู่แล้ว ไปให้ท่านย้อนศรกลายเป็นอุตราวรรต เวียนซ้าย ไป”

    แล้วก็ชะโงกไปพูดกับในขันว่า “ขอโทษค่ะ เก่าถูกแล้ว กลับไปอย่างเก่าเป็นทักษิณาวรรตอย่าง เดิมเถิด”

    ท่านก็หยุดชะงักแล้วลอยกลับไปตามทางขวาแบบเข็มนาฬิกาอย่างเดิม และในความเร็วที่เร็วอย่างเดิม

    รอดูกันจนท่านเวียนครบรอบขันสามรอบแล้วก็ถามกันว่าจะให้ท่านทำอย่างไร

    คิดขึ้นว่า ให้ท่านกลับเข้ากลางขัน

    พอบอกดัง ๆ ท่านก็เคลื่อนตัวเข้ากลางขัน

    ปรึกษากันว่า ลองดูพอใจแล้วใช่ไหม ประจักษ์พยานทุกคนยอมรับ

    “ผู้รู้” ก็กล่าวดัง ๆ ว่า “พอแล้วค่ะ” ท่านก็จมลงกลางขันทันที...!

    ทดลององค์ที่หนึ่งจบแล้วก็เชิญองค์ที่สองลงทดสอบด้วยวิธีที่คิดขึ้นมาเองอย่างกะทันหันนั้นต่อไป...!



    พระอาจารย์จวน กุลเชฏโฐ


    เรื่องนี้เมื่อไปเล่าถวาย ท่านพระอาจารย์วันและท่านพระอาจารย์จวน ถูกท่านตำหนิยกใหญ่ ท่านให้ขอขมาสมเด็จพระพุทธองค์ที่ไปล่วงเกินพระบรมธาตุของท่าน !

    แต่ท่านอาจารย์จวนคงสงสารที่เห็นศิษย์หน้าเสีย ท่านก็เลยให้กำลังใจว่า

    “พวกนักศึกษาก็ยังงี้แหละอบทดลอง ชอบทดสอบ สงสัยไปเรื่อย ๆ”

    แล้วท่านก็ตลบทับว่า

    “แต่นั่นแหละ เมื่อพบของจริงของแท้แล้ว ก็ควรเชื่อเสียที ตั้งใจมั่นเสียทีซิ”

    สำนึกตัวเหมือนกันว่า เรานี่แย่มาก พูดจาอะไรดูไม่มีสัมมาคารวะ

    แต่สมัยนั้นเราเพิ่งจะรู้จักพระธาตุเพียงไม่กี่องค์ ยังไม่ทันทราบด้วยซ้ำว่า พระบรมสารีริกธาตุนั้นมีความเป็นมาอย่างไรมีคุณลักษณะอย่างไร ได้ยินแว่ว ๆ ว่า ท่านลอยน้ำได้ เราก็ลองกันเลย ไม่รู้จักตำรับตำราอะไร ที่ได้ไปก็ได้เล่น ๆ ไม่ได้คิดว่าพูดกับใคร วาจาจึงน่าเกลียด น่าชังปานนั้น

    คิดย้อนหลังไปครั้งใด ก็ให้นึกอายใจเหลือประมาณ ได้แต่สอนน้อง สอนลูกหลาน ว่าอย่าทำเรื่องน่าเกลียดน่าชังเช่นนี้อีก

    และที่กล้าเล่าเรื่องนี้ไว้ให้ปรากฏก็เพื่อประจานความน่าขายหน้าของคนคนหนึ่ง ซึ่งกว่าจะกลับใจมาสู่สัมมาทิฐิก็ดื้อดึงอวดรู้เหลือใจ

    คิดแจกพระธาตุ

    จากนั้นมา ครูบาอาจารย์ก็เห็นว่า เราพอจะรู้จักพระบรม-สารีริกธาตุ เคารพพระบรมสารีริกธาตุแล้ว ท่านก็เริ่มให้พระธาตุมาบูชาบ้าง ๓ องค์ ๕ องค์ เราก็เก็บไว้

    ปี ๒๕๒๐ เกิดกำเริบ คิดแจกพระธาตุให้กรรมการกฐินที่เราชวนเพื่อน ๆ มาเป็นกรรมการทอดกฐินผ้าป่าทางอีสาน

    ไปอินเดียกับท่านเจ้าคุณพุทธพจน์วราภรณ์ แห่งวัดราชบพิธ เห็นท่านแจกพระธาตุพวกเราที่ไปด้วยคนละ ๑ ช้อนเล็กโดยไม่นับ ก็แสดงว่าท่านต้องมีพระธาตุมาก

    ตัวเราได้รับนับได้ ๑๓ องค์ พอจะกลับกรุงเทพฯ กลายเป็น ๑๖ องค์ ของวิลาศก็เพิ่มเช่นกัน

    ฉะนั้นจึงคิดไปเรียนขอความกรุณาท่าน ขอพระธาตุมาให้เพื่อน ๆ ถ้าเรามีกรรมการ ๕๐๐ คน ก็เลียบเดียงขอให้คนละ ๑ องค์ ขอพระบรมธาตุ ๕๐๐ องค์

    พระบรมสารีริกธาตุ ๕๐๐ องค์ สมัยนั้นมากจริง ๆ

    พระเดชพระคุณท่านเจ้าคุณอุทานว่า “กรรมการ ๕๐๐ คน ขอ ๕๐๐ องค์ !”

    เราใจแป้ว นึกสมน้ำหน้าตัวเองว่า อยากหน้าใหญ่นัก ! แต่ก็ตกใจเมื่อท่านว่าต่อไปว่า

    “เอาไปทำไมกันคนละองค์ อาตมาให้เลยคนละ ๓ องค์ ! เอาไปเลย ๑,๕๐๐ องค์”

    สีหน้าตกใจ ไม่คาดคิดว่าท่านจะกรุณาถึงเพียงนี้ ทำให้ท่านเข้าใจผิดปลอบว่า

    “ทำไม ? พันห้าน้อยไปหรือ ไม่พอหรือ งั้นเอาไปเสียสองพันก็แล้วกัน !”

    ตกลงกฐินผ้าป่าปี ๒๕๒๐ นั้น เรามีพระบรมสารีริกธาตุแจกกรรมการได้คนละ ๓ องค์ มีกรรมการเกือบ ๗๐๐ คน แต่เราก็พอมีพระธาตุแจก เพราะท่านอาจารย์วันและท่านอาจารย์จวนให้มาอีก

    น่าจะช่วยท่าน

    ปี ๒๕๒๑ ว่ากันว่าจะหยุดทอดกฐินสักปีหนึ่ง ทอดมา ๒ ปีติดต่อกันแล้ว พักสบายสักปีเผอิญปีนั้นพระคุณเจ้าหลวงปู่หลุย จันทสาโร ท่านไปจำพรรษาที่วัดป่าสิริปุณโณวาส หรือวัดป่าหนองแซง เราจึงไปกราบท่านบ่อย ๆ

    วันหนึ่งใกล้จะออกพรรษาแล้ว เรียนถามท่านพระอาจารย์เสน (เจ้าอาวาส) ถึงเจดีย์ หลวงปู่บัว สิริปุณโณ ที่สร้างกำลังจะเสร็จอยู่แล้ว นิสัยช่างซักของเราก็อดปากไม่ได้ว่า

    “ยังจะต้องใช้เงินอีกสักเท่าไรเจดีย์จึงจะเสร็จสมบูรณ์ ?”

    ท่านอาจารย์ตอบว่า ประมาณ ๖-๗ หมื่น

    ใจเราก็คิดสะระตะทันที เงินแค่นี้พวกเราน่าจะช่วยท่านได้

    กลับไปกรุงเทพฯ เราโทรศัพท์ก็ชวนเพื่อน ๆ บอกกันพักเดียว ๒๐๐ คน คงพอได้ ช่วยกันออกคนละ ๒๐๐ บาท คงได้ ๔ หมื่น

    ที่เหลือเราก็หาต่อไป คงไม่ลำบาก

    ดี...เราจะได้ถวายกฐินวัดที่หลวงปู่หลุยจำพรรษา ได้ทำบุญกับเจดีย์ของหลวงปู่บัว ซึ่งเราไม่มีบุญได้กราบท่าน

    ปากก็ไว้ทันกับใจคิด ขอจองกฐินทันที โดยไม่ทันได้ทราบด้วยซ้ำว่าความจริงเจดีย์หลวงปู่นั้นคุณธเนศ เอียสกุล เธอมีใจศรัทธาอยู่ และเราเองไม่ได้เรียนถามท่านอาจารย์เสนอว่า เงินขาดเท่าไร เราเรียนถามว่า ยังจะต้องใช้เงินอีกสักเท่าไรกว่าจะเสร็จ ซึ่งความจริงคำถามเราไม่ได้หมายความวาเงินขาดสักหน่อย...! แต่ท่านอาจารย์เสนก็เมตตาให้เราได้ทำบุญ !

    พระธาตุปาฏิหาริย์

    กลับกรุงเทพฯ โทรศัพท์ชวนพรรคพวก แล้วก็บอกเพื่อนรุ่นน้องสองสามคนว่า “เออ..กรรมการคราวนี้จะให้พระธาตุคนละ ๒ องค์”

    ที่พูดเช่นนี้ เพราะเห็นยังมีพระธาตุเหลือถึง ๔๐๐ กว่าองค์เหลือจากแจกกรรมการกฐินปีก่อน

    คิดเอาเองว่าเวลาเหลือน้อยก็จะถึงกำหนดทอดกฐินแล้ว คงมีกรรมการได้ไม่ถึง ๒๐๐ คน พอแจกได้คนละ ๒ องค์พอดี

    สุดท้ายเมื่อน้อง ๆ มาบอกด้วยความดีใจว่าได้กรรมการถึง ๔๐๐ คนแล้ว อันหมายความว่าจะได้ค่ากรรมการมากขึ้น ข้าพเจ้าจึงตกใจ เพราะจะไม่มีพระธาตุแจกพอ...!

    คืนวันนั้นหยิบผอบพระธาตุลงมานับด้วยความไม่สบายใจ คิดว่า



    พระธาตุและไม้หมอ
    (ไม้ขัดฟันพระธุดงคกรรมฐาน)


    “เรานี่แย่จริง ๆ ไปออกปากบอกว่าจะให้พระธาตุกรรมการคนละ ๒ องค์ ก็เพราะเราหวังดีอยากให้เพื่อน ๆ ได้พระธาตุไปบูชา และเราก็คิดว่าเวลาแค่ ๒ อาทิตย์ คงชวนกันได้ไม่ถึง ๒๐๐ คน ใครจะนึกละว่าจะมีคนศรัทธาถึงกว่า ๔๐๐ แล้วเราจะไปหาพระธาตุมาให้เขาจากที่ไหนได้ เราคงจะเสียคำพูดคราวนี้เอง

    ความจริงการที่เราพูดว่า จะให้พระธาตุ ๒ องค์นี้ มีคนรู้ไม่ถึง ๓ คน คนอื่น ๆ เขาก็มาทำบุญโดยไม่ทราบ ไม่ได้หวังได้อะไรเลย แต่เมื่อเราพูดไปแล้วคงจะมีคนได้ยินแค่นั้น แต่ว่าเราไม่ทำตาม เราก็จะเสียสัจจะ เรานี้แย่มาก...แย่จริง ๆ !”

    ใจคิดรำพึงไป มือก็นับพระธาตุทวนอีก โดยใช้ปลายไม้หมอ (ไม้ขัดฟันพระธุดงคกรรมฐาน) เขี่ยพระธาตุ นับทีละ ๒ องค์ ๓ องค์ รวมเป็นห้าองค์

    ประหลาดแท้ ปลายไม้แตะพระธาตุองค์หนึ่ง ท่านก็เคลื่อนตัวแยกออกจากกันเป็น ๒ องค์

    ครั้งแรกแต่กออกมาเหมือนกรวดที่ยังมีรอยบิ่นแหลมคมอยู่ประเดี๋ยวรอยแตกบิ่นนั้นก็จะมนงามเป็นประกายรุ้ง

    บางองค์ที่มีลักษณะหนาสูงท่านก็จะเคลื่อนตัวเหมือนทับกันอยู่ แยกลงมาแบ่งเป็น ๒ องค์อีก !

    ข้าพเจ้าตกตะลึง ! แตะองค์ไหนก็เป็นเช่นนั้น ตาเราคงฝาดไปแน่

    เวลาเพิ่ง ๓ ทุ่ม คนอื่น ๆ ยังดูโทรทัศน์อยู่ ข้าพเจ้าขยี้ตาใหม่ก็ยังเป็นอีก

    วิ่งไปห้องน้ำ ไปล้างหน้าล้างตา ตาจะได้ไม่ฟั่นเฝือ แต่พอกลับมานับใหม่ก็ยังเป็นอีก !

    วิ่งขึ้นไปตามลูกสาวมาช่วยกันดู ท่านก็ยังแยกองค์ให้ดูอยู่เช่นนั้น...!

    ข้าพเจ้าขนลกซู่ รู้ว่าถึงอย่างไรเราก็คงมีพระธาตุแจกพอแน่นอน... “ท่าน” เมตตาเราแล้ว ไม่ให้เราเสียสัจจะแล้ว

    พระธาตุเพิ่มมาในลักษณะนี้ในคืนนั้นถึง ๙๗ องค์...เท่ากับว่าเราพิศวงงงงวยกับการแยกตัวของท่านถึง ๙๗ ครั้ง !

    เมื่อนำความไปกราบเรียนครูบาอาจารย์ ถามว่าใครมาช่วยท่านก็ว่า “ทำบุญทำกุศล ก็ต้องมีผู้ช่วยนั่นแหละ”

    สมเด็จพระญาณสังวรถามว่า

    “คุณสุรีพันธุ์แยกพระธาตุปาฏิหาริย์ไปไว้ที่ไหน”

    กราบเรียนท่านว่า “ไม่ทราบจะทำอย่างไรก็เลยเคล้ากันไปหมด”

    ท่านบอกว่า “ถูกแล้ว เพราะทั้งหมดเป็นพระธาตุปาฏิหาริย์ทั้งนั้น”

    กฐินปี ๒๕๒๑ นั้น มีกรรมการถึง ๖๐๐ คน และเราก็มีพระธาตุแจกโดยตลอด

    จากนั้นมาจนปีปัจจุบันนี้ จึงเป็นธรรมเนียมที่จะแจกพระบรมสารีริกธาตุให้กับคณะกรรมการกฐินกลุ่มของเรา บางปีก็ ๓ องค์บางปีก็ ๔ องค์

    จาก ๔ เป็น ๕

    ปีนั้นเป็นปี ๒๕๒๔ เราจะทอดกฐินวัดป่าอุดมสมพร เพื่อหาปัจจัยสมทบทุนสร้างเจดีย์พิพิธภัณฑ์ ท่านพระอาจารย์ฝั้น อาจาโร

    เรากะกันว่าจะแจกพระธาตุกรรมการคนละ ๔ องค์ กะประมาณว่า คงต้องการพระธาตุ ๖,๐๐๐ องค์ เพราะคิดว่าคงจะมีกรรมการประมาณ ๑,๕๐๐ คน ความจริงข้าพเจ้ามีพระธาตุอยู่เพียง ๕,๐๐๐ กว่าองค์ แต่ก็เชื่อว่าสุดท้ายคงพอ

    เพื่อนคนหนึ่งชื่อ คุณปัญจมา ผดุงชีวิต ผู้มีบารมีทางพระธาตุอยู่มาก (เธอได้พระธาตุเสด็จมาบ่อย ๆ) ทราบข่าวว่าท่าทางพระธาตุจะไม่พอแจกกรรมการ เธอก็จัดส่งพระธาตุสำหรับแจกกรรมการคนละ ๔ องค์ จำนวน๕๐๐ ซอง หรือเท่ากับพระธาตุ ๒,๐๐๐ องค์

    พระธาตุของคุณปัญจมาจำนวน ๕๐๐ ซองมาถึง พอดีกับที่ข้าพเจ้าบ่นออกมาดัง ๆ พอดีว่า “แหม ! อยากให้กรรมการคนละ ๕ องค์จัง”

    นั่นแหละพอหยิบซองพระธาตุขึ้นมา พระธาตุ ๔ องค์ กลายเป็น๕ องค์ งงกันจนไม่รู้จะพูดอย่างไรหยิบสัก ๕-๖ ครั้ง จะเปลี่ยนเป็น ๕ องค์ เกือบทุกครั้ง

    ปากจะว่า “๔ เป็น ๕ ดูซี พระธาตุเพิ่มเดี๋ยวนี้”

    กี่คน ๆ มาช่วยกันนับ ช่วยกันดู ก็จะเห็นประจักษ์กับตาเช่นนั้น บางคนก็ว่า “ขนลุกไปหมดแล้ว”

    บางคนที่ไม่รู้จักพระธาตุ ไม่เคยรู้เรื่อง ได้ยินข่าวก็มาขอดู เห็นกับตาติด ๆ กัน ถึงกับบ่นว่า “โอย! หนูกลัวจัง”

    หลายเสียงบอกว่า “นี่ ๔ เป็น ๕ อยู่นี่”

    นาน ๆ จะพบพระธาตุ ๔ องค์ยังเป็น ๔ องค์ เสียครั้งหนึ่ง ซึ่งก็แยกไว้ต่างหาก เด็ก ๆ พูดกันสั้น ๆ เพียงว่า “นี่พวก ๔ เป็น ๕ นี่พวก ๔ เป็น ๔” และในกลุ่ม ๔ องค์ยังคงเป็น๔ องค์นั้น บางคนหยิบขึ้นมาดูใหม่ครั้งที่ ๒ นี่ กลายเป็น ๕ องค์ ให้เห็นกับตา ก็มีอีกมาก

    เหมือนเล่นกล ! พวกเราว่ากันอย่างอัศจรรย์ใจ

    พระธาตุชุดที่คุณปัญจมาให้มา ๕๐๐ ซอง ซองละ ๔ องค์ กลายเป็นซองละ ๕ องค์ ๔๐๐ กว่าซองทีเดียว !!

    ที่มา
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. poon-pan

    poon-pan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    2,295
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +7,117
    สุดยอดประสบการณ์ครับ
     
  3. ดอกไม้แก้ว

    ดอกไม้แก้ว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    87
    ค่าพลัง:
    +453
    อยากได้บ้างค่ะ
     
  4. ใจสวรรค์

    ใจสวรรค์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    225
    ค่าพลัง:
    +105
    คนมีศีล มีบุญมีสัจจะเท่านั้นที่พระธาตุจะเสด็จมา
     

แชร์หน้านี้

Loading...