เรื่องเด่น พุทธทำนาย ยุคกึ่งพุทธกาล จะเกิดภัยพิบัติและสงครามใหญ่ (ปีพ.ศ. 2560 เป็นต้นไป)

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย WebSnow, 25 สิงหาคม 2016.

  1. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    เพลงยาวพยากรณ์กรุงศรีอยุธยา

    เพลงยาวพยากรณ์กรุงศรีอยุธยา เป็นบทร้อยกรองประเภทเพลงยาว มีเนื้อหาเกี่ยวกับการทำนายสถานการณ์ของกรุงศรีอยุธยาในอนาคตว่าจะประสบวิบัติภัยนานา โดยคาดว่าประพันธ์ขึ้นราวสมัยรัชกาลสมเด็จพระเจ้าปราสาททองถึงสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ส่วนผู้ประพันธ์ยังไม่อาจระบุตัวได้แน่ชัด

    เพลงยาวพยากรณ์กรุงศรีอยุธยาแต่งขึ้นเลียนแบบมหาสุบินชาดก และนิทาน "พยาปัถเวนทำนายฝัน" ชาดกและนิทานดังกล่าวเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับพระสุบินนิมิตสิบหกประการของประการของพระเจ้าปเสนทิโกศลที่ได้ทูลถามคำพยากรณ์จากพระโคตมพุทธเจ้า

    เพลงยาวฯ นี้ ปรากฏอยู่ในหนังสือ "อธิบายแผนที่พระนครศรีอยุธยา" ซึ่งมหาอำมาตย์โท พระยาโบราณราชธานินทร์ (พร เดชะคุปต์) อดีตสมุหเทศาภิบาลมณฑลอยุธยา และอดีตอุปนายกราชบัณฑิตยสภา แผนกโบราณคดี พิมพ์ทูลเกล้าฯ ถวายพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวในการพระราชพิธีทรงบวงสรวงอดีตมหาราชเจ้าที่พระนครศรีอยุธยา เมื่อ พ.ศ. 2459

    สันนิษฐานว่าเพลงยาวนี้มีมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา แต่นักวิชาการยังไม่อาจสรุปแน่ชัดว่าใครเป็นผู้แต่ง แม้ว่าในตอนท้ายของบทกลอนได้บันทึกกำกับไว้ว่า "พระนารายณ์เป็นเจ้านพบุรีทำนาย..." หากว่าเป็นจริงตามนั้น "พระนารายณ์" ก็หมายถึงสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ส่วน"นพบุรี" คือเมืองลพบุรี

    สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ได้ทรงอธิบายไว้ในคำนำหนังสือดังกล่าว มีความตอนหนึ่งว่า "...เพลงยาวพยากรณ์กรุงศรีอยุธยา อ้างไว้ข้างท้ายว่าเป็นพระราชนิพนธ์ของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช เพลงยาวนี้มีหลักฐานควรเชื่อแต่ว่าแต่งเมื่อครั้งกรุงศรีอยุธยาเปนราชธานี ด้วยในคำให้การของพวกชาวกรุงเก่าที่พม่าจับไปถามคำให้การเมื่อครั้งเสียกรุงศรีอยุธยาได้กล่าวอ้างถึง แต่ข้อที่ว่าเปนพระราชนิพนธ์สมเด็จพระนารายณ์มหาราชนั้นไม่มีหลักฐานอย่างอื่นนอกจากที่มีเขียนอ้างไว้กับเพลงยาว ปลาดอยู่ที่เพลงยาวบทนี้ยังมีผู้ท่องจำกันมาได้แพร่หลายจนในกรุงรัตนโกสินทร์นี้ แต่เรียกกันว่าเพลงยาวพุทธทำนาย...”

    ในหนังสือ “คำให้การชาวกรุงเก่า” ก็มีเรื่องคำพยากรณ์กรุงศรีอยุธยานี้เช่นกัน กล่าวว่าเป็นพระราชนิพนธ์ของพระพุทธเจ้าเสือ มีเนื้อความสั้นกว่าและปรากฏความเป็นร้อยแก้ว ซึ่งสันนิษฐานเพิ่มเติมได้อีกว่า เพลงยาวฯ นี้อาจแต่งขึ้นเพื่อใช้ทำลายขวัญกำลังใจสาธารณะอันเป็นจิตวิทยาทางการเมือง เพราะบทกลอนดังกล่าวมีเนื้อความคล้ายกับร่ายของพระเจ้าสุริเยนทราธิบดีหรือพระเจ้าเสือที่ทรงประพันธ์ขึ้นมาเพื่อใช้ในปฏิบัติการจิตวิทยาทางการเมืองในปลายรัชสมัยของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ซึ่งต่อมาผู้นำในสมัยรัตนโกสินทร์ก็ใช้ประโยชน์จากบทกลอนดังกล่าวมาอธิบายเหตุการณ์การเสียกรุงศรีอยุธยาโดยมีเป้าหมายในทางการเมืองที่ต่างไปจากพระเจ้าเสือ

    สรุปก็คือ ถ้าหากว่าเพลงยาวนี้ได้ถูกแต่งในสมัยอยุธยาจริง อาจกล่าวได้ว่า

    1. ผู้แต่งจะต้องเป็นบุคคลที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง มีความสามารถในทางโหราศาสตร์หรือทางจิตวิทยาและเป็นนักประพันธ์นำมาผนวกกับเรื่องราวของพุทธทำนายดังกล่าวข้างต้น

    2. เพลงยาวฯ นี้อาจใช้เป็นจุดประสงค์ในทางการเมือง

    ข้อสังเกตอีกประเด็นหนึ่งก็คือ การทำนายชะตาบ้านเมืองไปในทางเลวร้ายเช่นนี้ถือเป็นเรื่องคอขาดบาดตายและเป็นการอัปมงคล หากเป็นการแต่งโดยบุคคลธรรมดาก็อาจจะถูกลงโทษสถานหนัก ดังนั้นผู้ที่สามารถทำนายกล่าวอ้างออกมาได้และทำให้ผู้คนยอมรับและจดจำกันได้นั้น ก็ย่อมต้องเป็นบุคคลที่มีความสำคัญระดับพระมหากษัตริย์ หรือบุคคลที่พระมหากษัตริย์ให้การยอมรับนับถือ

    อ้างอิง
    หนังสือ อธิบายแผนที่พระนครศรีอยุธยากับคำวินิจฉัยของพระยาโบราณราชธานินทร์ ฉบับชำระครั้งที่ 2 ฉบับโรงพิมพ์คุรุสภา พ.ศ. 2509
    เรื่องศิลปและภูมิสถานอยุธยา ของกรมศิลปากร ฉบับโรงพิมพ์คุรุสภา พ.ศ. 2509
    หนังสือ คำให้การชาวกรุงเก่า โดย อนันต์ อมรรตัย สำนักพิมพ์จดหมายเหตุ 2544
    บทความ เพลงยาวพยากรณ์กรุงศรีอยุธยาโดย จุลลดา ภักดีภูมินทร์
    นิตยสารสกุลไทย ฉบับที่ 2700 ปีที่ 52 ประจำวันอังคารที่ 18 กรกฎาคม 2549 [1]
    หมวดหมู่: วรรณกรรมสมัยกรุงศรีอยุธยาการทำนายความเชื่อไทย



    ใครมีสติปัญญาว่า พุทธทำนาย พุทธพยากรณ์ มอมเมา หลอกลวง ให้พิจารณาว่าลืมกำพืดตนเองก่อน ว่าเป็นคนไทยหรือเปล่า ถึงไม่พิจารณาตามบรรพบุรุษกล่าวไว้

    ถ้าโง่เขลาเบาปัญญาจน ลืมกำพืดของตนเอง ก็จะเหมือนกับพวกสำนักวัดนาป่าพง ที่ลืมกำพืดของตนเอง ใครที่มีความคิดเห็นไม่ตรงกับสำนักตนเองเป็นเดรัจฉานวิชาเป็นคำแต่งใหม่ทั้งหมดฯ นั่นก็หมายถึง"ได้สาปแช่งบรรพบุรุษชาติตระกูลของตนเองนั้นด้วย ผิดที่ท่านเกิดไม่ทัน พุทธวจนปิฏกในสำนักวัดนาป่าพงของคึกฤทธิ์และสาวกในปัจจุบัน จะไม่เป็นเหล่าบุคคลที่เป็นโมฆะบุรุษอามิสทายาทอกตัญญูเนรคุณได้อย่างไร? ก็เพราะถือทิฏฐิคิดอย่างนั้น บรรพบุรุษชาติตระกูลของตนก็พลอยโง่เขลาเบาปัญญาไปด้วย" ช่างน่าเวทนา ศิษย์สำนักวัดนาป่าพงเสียๆจริง


    เรื่องจะอุทิศบุญนำส่วนกุศลให้บรรพบุรุษบุพการี หมดสิทธิ์มีแต่กระแสกรรมเพียงเท่านั้น บาปอกตัญญูเนรคุณนั้นแลฯ อุทิศให้เขาก็ไม่เอา เก็บไว้เองเถิดอย่าหวังในส่วนบุญไม่มีแม้เพียงเสี้ยวธุลีฯ กินข้าวปลาที่เขานำมาทำบุญ ก็เท่ากับกินถ่านเหล็กเผาไฟแดงครุกกรุ่น ต่อให้พิจารณาก่อนกินยังไงก็บาปหนาอยู่ดี



    พระสัทธรรมเมื่อเข้าไปตั้งอยู่ในจิตของปุถุชน ก็ย่อมกลายเป็นสัทธรรมปฏิรูป


    องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงว่าธรรมของพระตถาคต เมื่อเข้าไปประดิษฐานในสันดานของปุถุชนแล้ว ย่อมเป็นของปลอมทั้งสิ้น (สัทธรรมปฏิรูป) แต่ถ้าเข้าไปประดิษฐานในจิตสันดานของพระอริยะเจ้าแล้วไซร้ ย่อมเป็นของบริสุทธิ์แท้จริง


    อยู่อย่างตายทั้งเป็น เกิดมาตายเปล่าไปอย่างนั้นล่ะ สังขารมันหมดจบสภาพแล้ว หลงเหลือแต่วิญญานธาตุที่อาศัยในกายนั้น ที่ดื้อด้านด้วยอวิชชาอันโคจรแม้จะฉาบด้วย ไม่มีทางเป็นจิตประภัสสรได้ เมื่อแตกกายตายไป ย่อมเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก ฯ



    จากระดับสมเด็จท่านจนถึง ระดับผู้พระราชามหาราชผู้ครองแผ่นดินในอดีตพระองค์ท่านยังพิจารณา เรื่องราวเหล่านี้ บุคคลประเภทไหน จึงไม่คิดพิจารณาตาม รู้ไว้ใช่ว่าใส่บ่าแบกหาม ให้เกิดสติปัญญา มิใช่เรียกว่า เนรคุณแผ่นดินถิ่นเกิด เนรคุณพระรัตนตรัย เนรคุณบรรพบุรุษเป็นคนหนักแผ่นดินหรอกหรือ ?
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 กันยายน 2016
  2. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    คัมภีร์ปัถเวทน์ ตำรานิมิตพระยาปัตถเวน

    ตำรานิมิตพระยาปัตถเวน

    อุสภา รุกฺขา คาวิโย ควา จ อสฺโส
    กโส สิคาลี จ กุมฺโภ โปกฺขรณี จ
    อปากจนฺทนํ ลาวูนิ สีทนฺติ สิลา
    ปลวนฺติ มณฺฑูกิโย กณฺหสปฺเป
    คิลนฺติ กาก สุวณฺณา ปริวารยนฺติ
    ตสาวกา เอฬกานํ ภายนติ
    วิปริยาโย วตฺตติ นยิธมตฺถิ ฯ


    ปางองค์ชินวงศ์พระจอมไตร อันอาศัยสาวัตถีบุรีสถาน
    ภิกษุสงฆ์สองหมื่นเป็นบริวาร พระสำราญอยู่ในเขตพระเชตุพน
    กรุงกษัตริย์ปัตถเวนไปทูลถาม ด้วยข้อความนิมิตคิดฉงน
    อภิวาทเบื้องพระบาทยุคล แล้วทูลฝันแต่ต้นไปจนปลาย
    สมเด็จพระชินสีห์โมลีโลก จึงดับโศกกรุงดฃกษัตริย์ให้เสื่อมหาย
    แย้มพระโอษฐ์โชติช่อวิเชียรพราย สว่างฉายพระเขี้ยวแก้วแวววาว
    _____สว่างวับจับคันธุกุฎี พระรังษีเป็นเกลียวสีเขียวขาว
    อีกนิลแนบแซมหงส์เป็นวงวาว ทั้งแดงขาวสีเบญจรงค์พราย
    ข่มขี่ระสุริยงค์ จากโอษฐ์องค์งามละออเป็นช่อฉาย
    เผยพุทธบรรหารประทานนาย อันตรายนี้ไม่มีแก่บพิตร
    จะได้แก่ศาสนาตถาคต โดยกำหนดสองพันเศษสังเกตกิจ
    ราษฎรจะร้อนดังไฟพิษ จะวิปริตทุกอย่างต่าง ๆ เป็น

    พระสุบินที่ ๑.
    ๑. ฝันว่าโคทั้งที่มีกำลัง แล่นประดัวมาโดยทิศนิมิตรเห็น
    จะชนกันแล้วหันห่างกระเด็น ต่างหลีกลี้หนีเร้นไปหายตัว
    ทรงภิปรายทายว่าฤดูฝน เมฆหมอกมนมืดมิดทุกทิศทั่ว
    ดังจะปลายสายพิรุณขุ่นเขียวมัว วายุพีดกลัดกลั้วละลายไป
    จะลำบากยากเย็นแก่ไพร่พล ด้วยฟ้าฝนไม่ตกมาในไร่
    ทั้งต้นข้าวเต้าแตกเหี่ยวแห้งไป ผลมะม่วงมะปรางจะบางเบา
    เกิดข้าวยากหมากแพงทุกแหล่งหล้า ฝูงประชาแค้นคับจะอับเฉา
    ด้วยมนตรีโมหาปัญญาเยาว์ ลำเอียงเอาอามิสไม่คิดธรรม์

    ๒. ฝันว่าไม้รุ่นเจริญผล ดูพิกลเหมือนไม้ในไพรสณฑ์
    พระทรงสัตยตรัสทายทำนายฝัน ภายหน้านั้นชายหญิงจะทิ้งเหล่า
    จะคบชู้สู่หาสมาคม จะเสพย์สมกันแต่แรกพึ่งรุ่นสาว
    กุมารีจะมีบุตรแต่รุ่นราว ไม่ยืนยาวยากเย็นด้วยเข็ญมี

    ๓. ฝันว่าแม่โคคาวิน วอนขอนมลูกกินน่าบัดสี
    ทรงภิปรายทายว่า นิมิตนี้ไปภายหน้าจะมีเป็นแน่นอน
    พ่อแม่แก่ชรามาหาบุตร ทั้งที่สุดข้าวปลาและผ้าผ่อน
    ต้องมายอมปลอบขอเฝ้าง้องอน มันขอดข้อนสำคัญให้อับอาย
    พูดหยาบช้าต่อบิดาชนนี กล่าววาทีให้ช้ำทำฉลาย
    มิได้มีหิริโอตัปปะ ละอาย พูดหยาบคายขี่ข่มคารมพาล

    ๔. ฝันว่าโคใหญ่เคยไถนา ไม่นำพาปล่อยปละจากสถาน
    เอาลูกโคเทียมไถเข้าใช้การ ไม่เคยงานเสียรอยย่อยยับไป
    เดินดินแตกแยกข้ามคันนาหนี ไม่รู้ในท่วงทีทำนองไถ
    มีพุทธบรรหารว่านานไป นเรศไทท้าวพระยาทุกธานี
    จะคบคนพาลปัญญาหยาบ ใจบ้าบาปหนุนคะนองให้ครองที่
    นับถือว่าสุจริตความคิดดี ได้ท่วงทีพวกอุทานก็ลามรวน
    ถึงได้เป็นเสนาที่ปรึกษาความ ถ้าวู่วามตามศักดิ์แล้วหักหวน
    ความชอบผิดมิได้คิดเป็นข้อควร เอาแต่ส่วนสินบลคนเข็ญใจ

    ๕. ฝันว่ามีม้านั้นสองปาก เห็นหญ้าหยากปากอ้าน้ำลายไหล
    บุรุษลองปองป้อนจนอ่อนใจ หยิบหญ้าหย่อนยื่นให้ไม่เว้นวาย
    มีพุทธฎีกาพยากรณ์ ผู้ตัดรอนความราษฎรสิ้นทั้งหลาย
    ระรวบรวมกันกินทั้งสองฝ่าย จะให้แนะนำโจทก์จำเลย
    กินกันพลางทางข่มด้วยลมลวง เหนี่ยวหน่วงถามถึงแล้วนิ่งเฉย
    บ้างอาศัยใช้การจนนานเลย ความก็เลยแห้งร้าวอยู่ค้างปี

    ๖. ฝันว่าสุวรรณณภาชุน์ทอง สุนัขปองขึ้นนั่งน่าบัดสี
    เอื้อนพระโอษฐ์โปรดพุทธวาที ว่าพาลาจะได้ที่เสนีย์นาย
    จะหยิ่งยศมาสำทับไม่นับปราชญ์ เสพสังวาสคบพาลประมาณหมาย
    เหมือนขมิ้นขยำน้ำปูนละลาย ทั้งไพร่นานจะคนองลำพองพาล

    ๗. ฝันว่ามีผู้พันเชือกหนัง อยู่เคหังเพิงพะในสถาน
    ปลายเชือกเสือกห้อยลงย้อยยาน สุนัขนอนใต้ร้านกัดดินไป
    ยิ่งฟั่นก็ยิ่งสั้นไปหมดสิ้น หายืดลงถึงดินนั้นไม่ได้
    พระโลกุตตมาจารย์บรรหาร ไว้ว่านานไปจึงจะเห็นขุกเข็ญมี
    ชายมาหาลาภสักการที่บ้านเรือน หญิงก็เบือนบากบ่ายจำหน่ายหนี
    ทำแสนงอนซ่อนทรัพย์คิดอัปรีย์ ข่มขี่หยาบคายให้ชายกลัว
    ทำยอกยักลักทรัพย์ส่งให้ชู้ ตะแคงค่อมขู่ข่มเหงผัว
    ชายก็เขลาเมารักสมัครมัว เห็นผัวกลัวก็กลับข่มให้สมใจ

    ๘. ฝันว่าประชาชนตักน้ำ ช่วยกันปล้ำเทส่งลงตุ่มใหญ่
    ตุ่มน้อยร้อยพันเรียงกันไป หามีใครเทใส่แต่สักคน
    พระวรญาณโปรดประทานประกาสิต และนิมิตทายเข็ญให้เป็นผล
    ว่าภายหลังเสนาเป็นนายพล ราษฎร์จะปล้นทรัพย์ใส่ในตุ่มโต
    ยิ่งได้มาจานเจือจนเหลือล้น ยิ่งยากจนยับนักลงอักโข
    เฝ้าระวังตั้งท่าแต่พาโล ที่ชื่อโชกลุ้มดังตุ่มน้อย

    ๙. ฝันว่าเห็นสระปทุมา มีหมู่กุ้งกุมภามัจฉาหอย
    วารีรอบขอบใสมิใช่น้อย กลางกลับถอยข้นขุ้นสนุ่นมี

    พระทรงญาณบรรหารให้เห็นเหตุ ว่าประเทศที่สุขเกษมศรี
    กษัตริย์ทรงสืบวงศ์ประเพณี เป็นบุรีที่ประชุมประชากร
    จะแรมร้างว่างราเป็นป่าแขม ทั้งคาแฝกแทรกแซมขึ้นสลอน
    ทางชลวิกลกลายเป็นชายดอน ราษฎร์จะร้อนแรมสุขทุกเดือนปี
    ด้วยกรรรมแรงแห่งสัตว์วิบัติเป็น ไม่เคยเห็นก็จะเห็นเป็นถ้วนถี่
    น้ำที่กลางขุ่นข้นคือมนตรี จะย่ำยีบาฑาประชาชน
    จะรุกรานแก่ไพร่ใส่ระดม คิดข่มเอาทรัพย์อยู่สับสน
    ในเดือนนอกเดือนใช้อยู่เบื้องบน สุดจะจนที่จะทานด้วยการรุม
    การหลงแล้วไม่นานทำการนาย พวกไพร่ราษฎร์พลัดพรายไปส้องสุม
    จะกลับลี้หนีหน้าไปป่าชุม ประคองคุมพวกเข็ญได้เย็นใจ

    ๑๐. ฝันว่าเห็นคนนั่งหุงข้าว หม้อเดียวซาวหลากล้นพ้นวิสัย
    บ้างดิบสุกคลุกระคนปนกันไป บ้างก็เปียกบ้างก็ไหม้ไม่มีดี

    พระแย้มโอษฐ์โปรดพุทธฎีกา ว่าเทพาที่รักษาบุรีศรี
    พระเสื้อเมืองทรงเมืองเรืองฤทธี ประเพณีพลาดเพลี่ยงไม่เที่ยงทรรศ์
    เทวัญอันอารักษ์ศาสนา จะรักษาแต่คนที่อาสัจจ์
    ผู้ถือศีลสิกขาศีลลาวัตร มิตรที่รักจะตัดความรัก
    ฝูงราษฎร์จะอาพาธเจ็บไข้ เกิดมรณภัยทุกแห่งหน
    ประเพณีปีเดือนก็เปื้อนปน ฤดูฝนหนาวร้อนก็ผ่อนไป

    ๑๑. ฝันว่าอันแก่นจันทน์แดง ราคาแพงล้ำเลิศในต่ำใต้
    ชายเขลาเอาพอแรงไม่แจ้งใจ ก็เอาไปแลกนมโคได้ง่ายดาย

    ทรงพระพุทธทำนายภิปรายโปรด ภายหน้าโสดหมู่สงฆ์สิ้นทั้งหลาย
    จะแนะนำพระธรรมอันเพริดพราย เที่ยวเร่ขายแลกทรัพย์มาซื้อกิน
    ไม่อดสูดูร้ายละอายบาป นิยมหยาบเอื้อมอาจประมาทหมิ่น
    ก่อกรรมกระทำตนให้มลทิล เหมือนอย่างกินยาตายไม่หมายเป็น

    ๑๒. ฝันเห็นน้ำเต้านั้นจมชล ดูพิกลไม่เคยพบประสบเห็น
    จะเกิดความยากล้ำเหลือลำเค็ญ สิ่งที่เย็นกลับร้อนทั่วธานี
    คือนักปราชญ์ผู้รู้ธรรมจะต่ำต้อย พาลาลอยเฟื่องฟูชูศักดิ์ศรี
    ผู้พงศาตระกูลประยูรมี จะลี้ลับเสื่อมสูญประยูรยศ
    คนพาลจะราญเริงบรรเทิงหนา เจรจาผิดธรรมไม่กำหนด
    ใครปลอกปลิ้นลิ้นลมเป็นคนคด รู้โป้ปดกลอกกลับจึงรับกัน

    ๑๓. ฝันว่าคีรีน้อยนั้นลอยน้ำ ประหลาดล้ำหลากใจที่ในฝัน
    ทรงพระบรรหารให้เห็นพลัน ภายหน้านั้นผู้มีศักดิ์จะรักพาล
    จะยกย่องหมู่ชาติอันต่ำช้า เป็นเสนาผู้ใหญ่ในสถาน
    ให้ยศศักดิ์สืบสายเป็นนายการ ได้ท่วงทีพวกพาลสำราญใจ

    ๑๔. ฝันว่าเห็นกบพบงูร้าย แล้วตามล้วงกินจนสิ้นไส้
    พระแย้มโอษฐ์โปรดตามภิปรายไป ภายหน้าไซร้หญิงพาลจะราญชาย
    ประมาทหมิ่นลิ้นลมข่มให้กลัว จะใช้ผัวต่างทาสดังมาตรหมาย
    ผัวสมานน้ำใจมิให้ระคาย หญิงร้ายยิ่งลามคำรามรณ

    ๑๕. ฝันว่าพญาเหมราชเข้าปนฝูงปักษาน่าฉงน
    น้อมเคารพนบนอบแล้วยอบตน
    เข้าระคนคบค้าด้วยพาพาล

    องค์สมเด็จพระอิสสโรพระโมลี จึงเผยพุทธวาที่มีบรรหาร
    ว่าผู้ดีมีตระกูลนั้นจะบรรดาล ว่าคนพาลจะย่ำยีคนปรีชา
    สันดานทาสชาติร้ายจะได้ดี จะข่มขี่ผู้มีวงศ์และพงศา
    คนปราชญ์จะหลีกตัวกลัววาจา พวกพาลาดีได้ดีไม่มีอาย

    ๑๖. ฝันว่าเห็นเนื้อสมันนั้น ไล่เสือพยัคฆ์เบือนหน้าเข้าป่าหาย
    มีพระพุทธบรรหารประทานทาย ว่าศานุศิษย์ทั้งหลายจะสู้ครู
    จะหักหายผู้ใหญ่ให้เป็นน้อย สำทับถ้อยขี่ข่มคารมสู้
    ยกย่องกายหมายประกวดอวดอ้างรู้ จะลบหลู่ขู่ซ้ำด้วยคำพาล
    สงฆ์ทรงศีลบริสุทธิ์จะทรุดเศร้า ผู้เป็นเจ้าหลีกจากถิ่นสถาน
    ซึ่งบพิตรนิมิตสิบหกประการ ไม่มีเหตุเพทพาลในพระองค์
    จะได้แก่โลกทั้งหลายในภายหน้า จำไว้พิจารณาอย่าลืมหลง
    จะเสื่อมสูญเมธีกวีวงศ์ และฝูงหงส์พงศ์ประยูรตระกูลพราหมณ์
    จะเฟื่องฟูเชยชมนิยมหยาบ แบกแต่บาปหาบนรกยกขึ้นหาม
    กองกรรมก็จะนำสนองตาม จะลงหนังสุนัขถามเมื่อยามตาย
    พระไตรรัตน์จะวิบัติหม่นมัวหมอง ไม่ผุดผ่องแผ้วผาดสะอาดฉาย
    ศักราชคำรบนั้นสองพันปลาย จะต้องพุทธทำนายไว้แน่เอย


    https://montra9mahawed.wordpress.com/2012/05/18/ตำรานิมิตพระยาปัตถเวน/
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  3. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    อ้างอิง

    เดิมอาจารย์มงคล กริชติทายาวุธ ในช่วงที่เป็นประธานชมรมศาสนาและการกุศล
    บมจ.ธนาคารกรุงไทย ได้เขียนและเรียบเรียงบทความ จัดพิมพ์แจกจ่ายให้แก่ผู้สนใจ
    ครั้งละประมาณ 3,000 - 4,000 ฉบับ ระหว่างปี 2534 - 2548 (ก่อนหน้าจะดำรงตำแหน่งประธานชมรมศาสนาและการกุศล เคยเป็นสาราณียกร หนังสือสาสน์ยุวพุทธ ของสภาการศึกษามหามกุฏราชวิทยาลัย ตั้งแต่ปี 2505 ได้เขียนบทความต่างๆ ทางศาสนาตลอดเวลาที่ผ่านมา ต่อมาได้ทำหน้าที่เป็น เจ้าของ บรรณาธิการ ผู้พิมพ์ ผู้โฆษณา หนังสือพิมพ์ 2 ฉบับ ตามใบอนุญาตการพิมพ์ จากเจ้าพนักงานการพิมพ์ กองบังคับการตำรวจสันติบาล เลขทะเบียนที่ 55/2524 ถึง 58/2524 ก็เขียนบทความในลักษณะดังกล่าวเช่นเดียวกัน)

    ในปี 2548 เปลี่ยนจากการจัดพิมพ์บทความลงในกระดาษ A 4 แจกจ่าย เป็นการส่งบทความให้อ่านในระบบ Intranet ภายในสาขาและทุกหน่วยงานของ บมจ.ธนาคารกรุงไทย

    ในวันที่ 12 สิงหาคม 2549 เพิ่มจากระบบ Intranet เป็นการเผยแพร่ในระบบสากล Internet ในชื่อ mongkoldham.com ซึ่งเป็นเว็บไซต์ส่วนตัวของอาจารย์มงคลฯ

    เนื่องจากอาจารย์มงคลฯ เกษียณอายุงาน จากผู้บริหารธนาคาร ในระดับ SENIOR VICE PRESIDENT (SVP) (เป็น VICE PRESIDENT ตั้งแต่ 2529 - 2541 และ SVP ปี 2542 - 2550) และมิได้ทำหน้าที่ประธานชมรมศาสนาและการกุศลฯ แล้ว บทความต่างๆ ก็ไม่มีผู้ใดสานต่อ อีกทั้งธนาคารฯ ไม่มีนโยบายรับบุคคลภายนอกเป็นสมาชิกฯ ดังนั้น ผู้สนใจในการอ่านบทความ ก็เปิดอ่านบทความได้ โดยไม่สงวนลิขสิทธิ์ และไม่ต้องสมัครเป็นสมาชิกครับ

    หากต้องการติดต่ออาจารย์มงคลฯ ให้ติดต่อผ่านที่ email:mkrichti_999@yahoo.com เท่านั้นครับ

    อ่านบทความของ อ.มงคล กริชติทายาวุธ เรื่องที่ 683...ถอดรหัสพุทธทํานาย และ การเตรียมตัว
    http://www.mongkoldham.com/text\sanRMC_683.pdf
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • mongkol.jpg
      mongkol.jpg
      ขนาดไฟล์:
      33.5 KB
      เปิดดู:
      392
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 กันยายน 2016
  4. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    พุทธพยากรณ์โลก

    แผ่นทองคำจารึก

    (หลวงพ่อบรรจุไว้ในพระอุโบสถวัดท่าซุง งานฝังลูกนิมิต ๒๔ เมษายน ๒๕๒๐ )

    " เราพระมหาวีระ มีพระราชานามว่าภูมิพลเป็นผู้อุปถัมภ์ร่วมด้วย พุทธศาสนิกชนส่วนใหญ่สร้างวัดนี้ไว้เป็นพุทธบูชา เมื่อศักราชล่วงไปได้ ๒,๗๐๐ ปีปลาย จะมีพระเจ้าธรรมิกราช นามว่า "ศิริธรรมราชา" สืบเชื้อสายมาจากเชียงแสนบวกสุโขทัย ร่วมกับพระอรหันต์ จะมาบูรณะวัดนี้สืบพระศาสนาต่อไป คณะเราขอโมทนาด้วย แต่อยู่ช่วยไม่ได้ เพราะไปนิพพานหมดแล้ว "

    ถ้าไม่ใช่รุ่นใหม่ถัดจากนี้ไป ๒๐๐ - ๓๐๐ ปี ก็แสดงว่าอายุขัยยืนมาก เมื่อแก่ตัวลงขนาดนั้นพระโพธิสัตว์ต่างๆจะได้รับ อาหารอันเป็นทิพย์หรือจึงกลับมาหนุ่ม หรือทรงฌานแปลงอสุภะ รูปสัญญาคืนสู่เยาว์เอา หรือว่า ท่านจะถืออิทธิบาท ๔ ข้อนี้ต้องพิจารณา

    ตามสภาวะธรรมเมื่อพิจารณาอีกกรณีหนึ่งอันว่าพระอริยะเจ้าหากปรากฎตามกาล ก็ให้เห็นควรแล้วว่า การที่กระทำกิจอันเป็นวัตรปฎิบัติอันเป็นกิจอันสมควรแก่กาล จนเป็นที่รู้เห็นและทราบแก่เหล่าเวไนยสัตว์บุคคลทั่วไป จนสาธุชนขนานนามท่านว่า " ศิริธรรมราชา " การบูรณะวัดท่าซุง ย่อมเป็นการฉลองชัย หลังจากกิจอันสมควรจบ ข้อนั้นพึงสมควร มิใช่พึงประกาศตนเป็นแล้วจึงกระทำกิจในพระพุทธศาสนา อ้างตามองค์คุณของกลามสูตร พึงทำให้เห็นเป็นที่ประจักษ์ แก่สายตาของบัณฑิตปัญญาชน ข้อนั้นพึงถือทิฏฐิอันงามได้ ๒๗๐๐ ปีกลาย เวลานั้นฉลองชัยเป็นแน่แท้


    ท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย วันนี้เป็นวันที่ ๘ ตุลาคม ๒๕๓๓ เป็นอันว่า ในระหว่างนี้ บรรดาท่านพุทธบริษัท คงจะทราบว่าตะวันออกกลาง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อ่าวเปอร์เซีย กำลังจะเกิดสงครามจากอิรักกับหลายประเทศร่วมกัน คือ "อิรัก" ฝ่ายหนึ่ง กับหลายประเทศฝ่ายหนึ่ง ถ้าจะเปรียบเทียบกัน คล้ายๆ กับสงครามโลกครั้งที่ ๒ คือ เยอรมัน กับอิตาลี ญี่ปุ่นฝ่าย หนึ่ง อเมริกา อังกฤษ และฝรั่งเศส อีกหลายประเทศร่วมกัน

    แต่ทว่าสงครามนี้จะเกิดหรือไม่เกิด อันนี้ก็ทราบไม่ได้เหมือนกัน เพราะว่า ต่างคนต่างก็ตั้งท่า ต่างคนต่างก็เตรียมพร้อม ที่จะลงมือซึ่งกันและกันและคำพยากรณ์ ก็จะไม่พยากรณ์ว่าจะ มีสงครามหรือไม่ แต่ทว่ามีหนังสือเล่มหนึ่ง เขาให้ชื่อว่า นอสตราดามุส เขาพยากรณ์ไว้ล่วงหน้า ถึง ๒,๐๐๐ ปี

    โดยเฉพาะ อย่างยิ่งปีนี้ ค.ศ.๑๙๙๐ จะเป็นปีเกิดสงครามโลกครั้งที่ ๓ แล้วสงครามโลกครั้งที่ ๓ นี่จะเป็นสงครามที่มีความร้ายแรงมาก แต่ความจริงหนังสือนี่อาตมาก็ไม่ได้อ่าน เขาให้มาเหมือนกัน อ่านผ่านไปนิดเดียว แล้วก็เขาบอกว่าประเทศอเมริกา อาจจะถูกระเบิดนิวเคลียร์ แล้วก็จะมีเหตุการณ์ร้ายต่างๆ เกิดขึ้น

    รวมความแล้ว เป็นสงครามทำลายศาสนา ในระหว่างศาสนากับศาสนาคือ ศาสนาคริสต์กับศาสนาอิสลาม เขาว่าอย่างนั้นนะ ตามที่หนังสือว่า หรือ ตามที่คนบอก อาตมาก็ไม่ได้อ่านชัด ทีนี้เรื่องของ "ดามุส" ดามุสเขาพูดไว้จะแน่นอนขนาดไหน ก็เป็นเรื่องของเขา สำหรับพวกเราบรรดาท่านพุทธบริษัท ในฐานะที่เป็น ศากยบุตรพุทธชิโนรส เป็นลูกของพระพุทธเจ้าเราก็มา ดูคำพยากรณ์ของพระพุทธเจ้าบ้าง

    พระพุทธเจ้าทรงพยากรณ์ไว้กับพระอานนท์ว่า
    อานันทะ..ดูก่อนอานนท์ ก่อนกึ่งพุทธกาล ๑๕ ปี จะเกิดเหตุการณ์ร้ายแรง จะมีการรบราฆ่าฟันซึ่งกันและกัน ฝนเหล็กจะตกลงจากอากาศ จะเผาผลาญประชาชน และบุคคลให้พินาศจะมีการล้มตายซึ่งกันและกันเป็นอันมาก แต่ว่าอานันทะ..ดูก่อนอานนท์ ก่อนกึ่งพุทธกาล ๑๕ ปี จะถือว่าเป็นเหตุการณ์ร้ายแรงนักยังหาไม่ได้ ทั้งนี้ ก็เพราะว่า หลังกึ่งพุทธกาลไปแล้ว

    อานันทะ..ดูก่อนอานนท์ จะมีความร้ายแรงมากกว่าก่อนกึ่งพุทธกาลมาก ยักษ์นอกศาสนาจะรบราฆ่าฟันซึ่งกันและกัน ยักษ์นอกพุทธศาสนานั่นหมายถึง คนที่ไม่ได้เคารพพระพุทธศาสนา จะรบราฆ่าฟัน ซึ่งกันและกัน ต่างฝ่ายจะล้มตาย ฝ่ายละมากๆ สมณะ ชี พราหมณ์จะล้มตาย จะตายไปฝ่ายละครึ่ง จึงจะเลิกรากัน สำหรับประเทศที่นับถือพุทธศาสนาจะมีภัยเหมือนกัน แต่ไม่ร้ายแรงนัก นี่เป็นคำพยากรณ์ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

    เป็นอันว่า ท่านดามุสคนนี้ ก็พยากรณ์ไว้ตรง แต่เขาบอกว่า ค.ศ.๒๐๐๐ โลกจะสลาย แต่ว่าพระพุทธเจ้าของเราบอกว่า โลก ยังไม่สลาย พระพุทธศาสนา จะทรงอยู่ได้ ตลอด ๕,๐๐๐ ปี โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ทรงพยากรณ์ ไว้ที่ พระธาตุดอยกิตติ ครั้งหนึ่งทรงตรัสว่า

    "ชี้ว่าเขตประเทศนี้ ต่อไปจะเป็นประเทศที่มีความเจริญรุ่งเรืองมาก จะสามารถทรงพระพุทธศาสนาครบ ๕,๐๐๐ ปี" นี่หมาย ถึงประเทศไทย

    เป็นอันว่า สงครามจะเกิดขึ้นที่ดามุสบอก ก็หมายถึงสงครามซีกตะวันตก หมายถึงอเมริกา อังกฤษ ฝรั่งเศส และประเทศอื่นๆ กับตะวันออกกลาง สงครามจริงๆ ยังคงไม่ถึงประเทศไทย

    ทีนี้เรามาย้อนรอยถอยหลังกันก่อนว่า ตามที่พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติตรัสรู้ว่า ก่อนกึ่งพุทธกาล ๑๕ ปี จะมี การรบราฆ่าฟัน ซึ่งกันและกัน ฝนเหล็กจะตกลงจากอากาศ ไฟจะลุกจากอากาศ ก็เป็นความจริง ในขณะนั้นปรากฏว่า ลูกปืนกลจากอากาศบ้าง ลูกระเบิดจากอากาศบ้าง ลูกระเบิดเพลิงบ้าง ทิ้งจากอากาศ ประเทศไทยเรา ก็พลอยยับเยิน ไม่น้อยเหมือนกัน เล่นเอาตู้รถไฟ ต้องไปขี่กัน ที่บางกอกน้อย ทั้งๆ ที่ตู้มันหนัก แต่แรงของระเบิด ดันตู้รถไฟจนไปขี่กัน ตึกบ้านเรือนโรงลำบากมาก

    แต่ว่าสงครามนั้น เป็นเหตุบันดาลอย่างหนึ่ง นั่นคือว่าสร้างความทุกข์ บรรดาท่านพุทธบริษัท คำว่า สงคราม นี่ อาตมา ผู้พูดเอง ก็ยังรู้สึกหวาดเสียวอยู่ เพราะว่า เคยอยู่ในระหว่างสงคราม ขณะนั้นอยู่กรุงเทพฯ แสงไฟฟ้าก็ใช้อะไรไม่ได้ ต้องใช้ตะเกียง ตะเกียงน้ำมันก๊าดไม่มีจะใช้ น้ำมันโซล่าก็หาไม่ได้ ต้องใช้น้ำมันหมู หรือน้ำมันมะพร้าวมาทำตะเกียง ของทุกอย่าง ของกินของใช้ต้องปันส่วน เพราะหาไม่ได้ จะได้ก็ของจากญี่ปุ่น เวลานั้นของเรามีน้อย เวลานี้โรงงานมีมาก แต่ก็ไม่ แน่นัก เพราะระเบิดจากอากาศก็ดีจรวดก็ดี หรือว่าระเบิดจากภาคพื้นดินก็ดี อาจจะเกิดกับโรงงานต่างๆ ในประเทศไทยได้ ถ้าสงครามเขา เกิดขึ้น

    หากว่าท่านจะถามว่า ทำไมสงครามเกิดขึ้นที่ตะวันออกกลางแล้วจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับประเทศไทย ทำไมไทยจึงต้องหวาด ระแวง ความจริงไม่ได้พูดให้ระแวง พูดให้ทราบ ตามความจริง หรือ ตามความรู้สึก นึกคิด ถ้าเรื่องนี้ผิด ก็ต้องขออภัยด้วย เพราะว่าเป็นการคาดคะเน มากกว่าอย่างอื่น คิดว่าถ้าสงครามเกิดขึ้น ระหว่างสงครามศาสนา ก็จงอย่าลืมว่า ศาสนาที่อยู่ ระหว่างสงคราม ก็มีอยู่ในประเทศไทยทั้ง ๒ ศาสนา ถ้าเขารบกัน แต่เพียงภายนอกก็ดี

    แต่บังเอิญคนที่นับถือศาสนานั้นๆ ทั้ง ๒ ศาสนาเกิดทะเลาะ วิวาท รบราฆ่าฟันกันในเขตของเรา เขตของเราก็ต้องยับเยิบไป เหมือนกับสนามหญ้ากับสุนัข ๒ ฝ่ายกัดกัน สนามหญ้าก็แหลก ถ้าบังเอิญเขารบกัน ก็ไม่เป็นไร ดีไม่ดีเขาจะชวนเรารบ เราจะรบหรือไม่รบ เขาก็จะรบหรือ ว่าเราไม่รบ เขาก็ไม่รบ แต่เขายึด เรายอมให้เขายึดไหม ในส่วนต่างๆ ส่วนใดส่วนหนึ่งของประเทศไทย

    สำหรับความนึกคิด ในเวลานี้ ไม่ใช่หมอดูนะ ไม่ใช่พยากรณ์ ตามหลักวิทยาศาสตร์ หรือหลักอะไรทั้งหมด เป็นแต่การคาดคะเนว่า เหตุการณ์จะต้องเกิดขึ้น อาการต่าง ๆ ที่ปรากฏในปัจจุบันจะฟูขึ้น เพราะรับการสนับสนุนเรื่องการเงิน กำลังอาวุธจากที่อื่น จากนั้นเหล่าทหารตำรวจของเรา ก็ต้องเคลื่อนกำลังเข้าไปรักษาเขต ทีนี้เขตต่อเขต เขตยันเขต เขตที่เขาก่อขึ้นเป็นเขตในประเทศไทย และเขตต่อไปข้างหน้า ก็เป็นเขตที่เขาพวกเดียวกัน อะไรมันจะเกิดขึ้นบ้าง ลองวาดภาพกันดู ถ้ามันเกิดจริงๆ ตามเขาว่านะ อันนี้ไม่ได้รับรองว่า มันจะเกิดจริงหรือไม่

    ถ้าเกิดจริงส่วนประเทศไทย ทุกจุดทุกภาค ก็มีบุคคลที่ถือ ศาสนาตรงกันข้าม กับพระพุทธศาสนา ก็มีกำลังสูงขึ้น ที่เขาโต้กันที่เชียงใหม่ อภิปรายก่อนหน้าที่จะพูดนี้ไม่ถึงเดือน เขาโต้กันถึงหลักสูตรการศึกษาว่า

    หลักสูตรพระพุทธศาสนาถูกลดลงไป หลักสูตรศาสนาอื่น เข้ามาแทน อย่างนี้ก็ต้องมีอาการน่าคิดว่า เขาวางแผนล่วงหน้าไว้ไกลมาก หรือว่าเป็นการวางแผนล่วงหน้าไว้ก่อน โดยเฉพาะระยะใกล้ก็ได้

    ก็เป็นอันว่า ในเมื่อสงครามใหญ่เกิดขึ้น ทางด้านตะวันออกกลาง ทีนี้ เศษสงครามมันก็อาจจะเข้ามาถึงประเทศไทย ต่อไปก็เป็นการเดาอีก ขอเดานะ ไม่ได้พูดตรงๆ จะหาว่าดูผิดก็ไม่ได้ เดามันผิดได้ ขอเดาว่า ถ้าสงครามเกิดขึ้นอย่างนั้นจริงๆ แต่ความจริงเวลานี้ ยังไม่มีใครจะให้เกิด เวลาที่พูดนี่นะ วันที่ ๘ ตุลาคม ๒๕๓๓ แต่กว่าหนังสือนี่จะออกถึงเดือนมีนาคม ถ้าสงครามเกิดก็เกิดแล้ว ไม่เกิดก็ไม่เกิด

    ในระหว่างนี้ต่างคนต่างมองต่างคนต่างพูด แสดงเรื่องการเมือง เอาเหตุผลต่างๆ มาหักล้างกัน ก็ไม่แน่นักว่ามันจะเกิด ก็อยากจะบนบานศาลกล่าวว่ามันไม่เกิดนั่นแหละเป็นการดี แต่ทว่าพระดำรัสของ องค์สมเด็จพระชินสีห์ ไม่เคยผิด แต่ว่าท่านไม่ได้บอก พ.ศ.

    เป็นอันว่าประเทศไทยก็จะถูกหาง หรือท้ายฝน ละอองฝนจากสงคราม ก็เป็นอันว่าเราถูกละอองฝน ดินแดนเราก็จะไม่เสีย แต่ว่าชีวิตคนอาจจะเสียไปบ้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สิ่งที่น่าห่วง ก็คือ ของกินของใช้ ราคามันจะแพงมาก ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่าเราต้องใช้น้ำมัน โรงงานต่างๆ ต้องใช้น้ำมัน ในเมื่อสงครามเกิดขึ้น ในเขตของบ่อน้ำมัน เราจะมีโอกาสซื้อน้ำมันได้หรือเปล่าก็ยังไม่แน่

    ท่านดามุส ท่านบอกว่า อำนาจของฝ่ายน้ำมัน มีอำนาจมาก สามารถเอาอาวุธ ใส่ในท้องปลา ไปยิงที่ไหนก็ได้ นั่นหมายถึง เรือดำน้ำ ถ้าเราส่งเรือไปซื้อของในเขตใดเขตหนึ่ง ซึ่งเป็นเขตของศัตรูของเขาเรือดำน้ำของเขา ก็อาจจะยิงเรือพาณิชย์ ของเราก็ได้ สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ คนที่พบระหว่างสงคราม จะมีความรู้สึก หนาวๆ ร้อนๆ

    แต่ว่าขอยืนยัน บรรดาท่านพุทธบริษัทว่า สิ่งที่เราไม่ต้องกลัวอย่างหนึ่งคือ เขาประกาศบอกว่า การสงครามนี้เขาจะใช้อาวุธเคมีบ้าง จะใช้นิวเคลียร์บ้าง จะใช้นิวตรอนบ้าง อาวุธทั้งหลายเหล่านี้ น่ากลัวจริงๆ แต่สำหรับความรูสึกของผู้พูด ไม่มีความรู้สึกกลัวเลย เพราะว่าพระพุทธเจ้ามีความศักดิ์สิทธิ์ ของๆ ท่าน ทุกชิ้นที่ผลิตออกมา ท่านบอกว่า กันรังสีต่างๆ ได้หมด รังสีต่างๆ จะไม่สามารถกระทบกาย หรือทรัพย์สินบุคคลใดบุคคลหนึ่งที่มีของของท่านได้ ที่ท่านทำให้นะ

    ก็เป็นอันว่า ท่านยืนยันมาตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๒๑ และท่านทำทุกครั้ง ท่านก็ยืนยันทุกครั้งว่า เกี่ยวกับรังสีต่างๆ ไม่ต้องกลัวเลย รังสีจะไม่เข้าใกล้บุคคลที่มีของที่ท่านทำให้ของนั้นอยู่ไหน ก็หาเอาเองก็แล้วกัน ของนั้นจะขอบอกเป็นนัยๆ เอาตรงๆ เลย ก็ได้คือ พุทธานุสสติ นั่นคือนึกถึงพระพุทธเจ้าเป็นอารมณ์ และก็ภาวนาไว้ว่า "พุทโธ" เวลาหายใจเข้านึกว่า "พุท" เวลาหายใจออกนึกถึง "โธ"

    ก่อนจะออกจากบ้าน ตื่นขึ้นมาใหม่ๆ บูชาพระก่อน ภาวนาว่า "พุทโธ" ก่อนอธิษฐานขอความปลอดภัยก่อน จะไปก็เสกน้ำลาย ด้วยกำลังของพุทโธสัก ๓ ครั้ง แล้วก็เดินออกจากบ้านไป หรืออยู่บ้านก็ได้ ภัยอันตรายจะไม่มีแก่ท่าน หรือว่าถ้าทำอย่างนั้น ยังไม่เกิดความมั่นใจ ก็เอาของที่องค์สมเด็จพระจอมไตรทรงทำไว้ติดกับร่างกาย

    แต่ต้องอาราธนาทุกวัน ว่า "นะโม ตัสสะ 3 ครั้ง" แล้วก็ว่า "พุทโธ" เหมือนกัน และก็อธิษฐานให้ปลอดภัย อย่างนี้จะปลอดภัยจากรังสีต่างๆ แม้แต่สะเก็ดระเบิด หรือว่ากระสุนปืนของข้าศึก ก็จะไม่มีอันตรายกับท่าน ถ้าท่านทั้งหลายมี "พุทธานุสสติ" เป็นกำลังใจ

    ทีนี้เรามาคุยกันต่อไปนี่มันเรื่องคุยนะ ถ้าบังเอิญเวลานี้มีอิรักตั้งท่ายัน อิรักปรากฏว่า ประกาศว่ามีคน ๑๘ ล้าน แต่ทว่า "อิรัก" อิรักอิหร่านนี่รบกันมาประมาณ ๘ ปี พออเมริกาส่งกำลังเข้ามาในอ่าวเปอร์เซีย อิรักอิหร่านดีกันฉิบ พื้นที่ของอิหร่านที่อิรัก ยึดได้ ก็พันตารางไมล์ก็ตาม คืนให้หมดปล่อยเชลยให้หมด เวลานี้ศัตรูกับศัตรู อิรักกับอิหร่านเป็นมิตรกัน อิหร่านก็เข้ากับอิรัก ไม่เห็นด้วยที่อเมริกา จะเอาวัฒนธรรมของเธอ มาใช้ในตะวันออกกลาง เขาถือว่าผิดกฏของพระศาสนา

    นี่ป็นอันว่า อิรักก็มีเพื่อน เข้าอีกหนึ่งประเทศ คือ อิหร่าน อิหร่านนี่ก็ไม่ใช่เล่นเหมือนกัน หนักเหมือนกัน แล้วต่อมาอย่าลืมว่า สายเลือด ที่ร่วมกันมา เขาอาจจะไม่ทิ้งกันนั่นคือศาสนา คนที่นับถือศาสนาร่วมกัน อาจจะร่วมมือกันภายหลัง อย่างนี้สงครามใหญ่จะ เกิดขึ้น ซึ่งตรงกับคำพยากรณ์ของพระท่าน

    ในปีที่ญวนแตกอเมริกาหนีกลับบ้าน ปีนั้นก็ถามพระท่านว่า หลังจากนี้จะมีอะไรบ้าง สงครามใหญ่จะเกิดขึ้นไหม ท่านบอกว่า คำว่าสงครามโลก ยังไม่เกิด คำว่าสงครามโลกนั่นหมายถึงว่า ทั้งโลกแบ่งกันเป็น ๒ พวก ร่วมกันทั้งหมด แล้วก็ตีกันในระหว่างฝ่ายต่อฝ่าย คือตีกันรบกันอย่างนี้เรียกว่า "สงครามโลก"

    แต่สงครามครั้งที่จะเกิดทางด้านตะวันออกกลาง ท่านบอกตรงว่า จะเกิดที่ด้านตะวันออกกลาง เขายังไม่เรียกว่าสงครามโลก เขาเรียกว่า สงครามใหญ่ สงครามใหญ่คราวนี้จะ มีความร้ายแรงไม่น้อย ร้ายแรงกว่าสงครามโลกครั้งที่ ๒ แต่ว่าท่านก็ไม่ได้บอกอย่างดามุสว่า ถึงแม้อเมริกาอาจจะถูกนิวเคลียร์ ท่านไม่ได้บอกไว้ คือไม่ได้ถาม

    รวมความว่าคำพยากรณ์ของท่านที่พยากรณ์ว่าจะเกิดที่ตะวันออกกลางก็ตรงแล้ว เวลานี้ตะวันออกกลางจะมีสงคราม อย่างน้อยที่สุดก็เป็นสงครามเศรษฐกิจ เริ่มบีบรัดกันขึ้นมาการถูกบีบนี่ บรรดาท่านผู้ฟังและท่านผู้อ่าน สมัยเยอรมันก็ดี ญี่ปุ่นก็ดี อิตาลีก็ดี ที่ต้องประกาศเป็นสงครามโลกครั้งที่ ๒ ก็เพราะว่า การถูกบีบคั้นจากโลกตะวันตกหรือหลายๆ ประเทศ ที่เรียกกันว่า "สันนิบาตชาติ" ในเวลานั้นทั้ง ๓ ประเทศ ลาออกจากสันนิบาตชาติ

    "สันนิบาตชาติ" ต่างคนต่างบีบคั้นต่างๆ หาทางกลั่นแกล้ง ถ้าไม่รบก็อดตายมีความจำเป็นต้องรบ หมายถึงว่า ยอมเสี่ยง ยอมเสี่ยงการเสียอิรภาพ การเสียประเทศจะต้อง เป็นเมืองขึ้นเขากับความตาย ทีนี้การรบความตายมันก็เกิด แต่เกิดเฉพาะบุคคลบางกลุ่มที่เป็นทหาร และบุคคลที่อยู่ใกล้จุดยุทธศาสตร์ที่ถูกระเบิด คนนอกนั้นจะไม่ตาย ถ้าไม่รบ ความอดเกิดขึ้น มันจะตายทั้งประเทศ เขาต้องตัดสินใจรบ เรื่อง สมัยสงครามโลกครั้งที่ ๒ มีฉันใด เวลานี้อิรักกับอิหร่าน กำลังจับมือกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ศาสนามุสลิมเขาเป็นศาสนาที่มีความรักกันมาก

    อย่างตอนใต้ประเทศไทย คราวนั้นฟังข่าวจากทางโทรทัศน์ จากท่าน พันเอกณรงค์ กิตติขจร ท่านบอกว่า ใครล่ะ พันเอกกัดดาฟี มั้ง ถ้าพูดชื่อผิดขออภัยด้วย ท่านเคยไปเจรจากัน บอกว่า อย่ามายุ่งกับประเทศไทยเลย แต่เขาบอกว่า รัฐบาลไม่ได้ยุ่งด้วย แต่ที่ยุ่งนั้นเป็นเรื่องของศาสนา ที่จะให้มีการแบ่งแยกประเทศไทย ออกเป็นของมุสลิมส่วนหนึ่ง ของไทยส่วนหนึ่ง เขาหวัง ๔ จังหวัด แต่ความจริงถ้าเขายึด ๔ จังหวัดได้ เขาจะเอาอีก ๘ จังหวัด ถ้า ๘ จังหวัดได้ เขาจะเอาอีก ๑๖ จังหวัด ผลที่สุดเขาต้องการยึดทั้งหมดทั้งประเทศไทย ความพอใจของคนไม่มีฉันใด

    บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย ถ้าสงครามเกิดขึ้น ถ้าเราจำเป็นต้องเสียดินแดน เรื่องเสียเฉพาะน่ะ ไม่มีแน่นอน มันต้องเสียกันเรื่อยไป เวลานี้เรา ก็ไม่มีพอที่จะเสียแล้ว แต่ที่พูดนี่ก็ไม่ได้หมายความว่า สงครามจะเกิดจริง สมมติว่าถ้ามันจะเกิดทีนี้เรื่องของศาสนา ก็จะเกิดขึ้นที่พูดนี่ไม่ได้ยุให้คน ๒ ศาสนาทะเลาะกันนะ เป็นแต่เพียงว่าท่านณรงค์ท่านบอกว่า ท่านไปพูดกับประธานาธิบดีของเขา ประธานาธิบดีของเขาก็บอกว่า รัฐบาลไม่ได้ยุ่งเป็นเรื่องของศาสนา ทีนี้ศาสนาจะเอาเงินมาจากไหน ก็ทราบไม่ได้เหมือนกัน

    รวมความว่า หันมาคุยกันในประเทศไทย ถ้าสงครามเกิดขึ้นจริงๆ เราจะเป็นอย่างไร ประการแรก เรายังพูดถึงศาสนาก่อน ถ้ามันเกิดขึ้นจริงๆ เราจะหนักเรื่อง น้ำมัน นิดหน่อย แต่ว่าน้ำมันในประเทศไทย ถ้าเร่งรัดจริงๆ จะเหลือใช้ เพราะอะไร เพราะว่าน้ำมันในประเทศไทยนี่มีมาก การเจาะ บรรดาท่านผู้อ่านและท่านผู้ฟัง ที่พูดนี่ก็ขอเดา คิดว่าท่านที่เจาะเขาคงจะเจาะไม่ถึงเพดานจริงๆ ของน้ำมัน รวมความว่า ถังน้ำมันถังใหญ่จริงๆ น่ะ เราจะพูดตามความเป็นจริงแล้ว ประเทศจีน เขาก็มีน้ำมันเขาอยู่สูงกว่าเรา ประเทศพม่าก็มีน้ำมัน อินโดนีเซียก็มีน้ำมัน แล้วก็ไทยล่ะอยู่กลางทำไมจะไม่มีน้ำมัน

    ทีนี้เวลานี้การเจาะน้ำมัน การดูดน้ำมันเขาว่าได้น้อย แต่ความรู้สึกของผู้พูด หรือตามข่าวหนังสือพิมพ์ เขาบอกว่าความจริงประมาณน้ำมันที่ได้ มันมากกว่าข่าวที่เขาแจ้งมา ข้อนี้จะเท็จจริงประการใดก็ไม่ทราบ สุดแล้วแต่หนังสือพิมพ์ แต่เขาบอกว่าเขาแจ้งได้น้อย ก็ยังมีอีกหลายหลุมที่เขาเจาะพบแล้ว เขาบอกว่าไม่พอกับเชิงพาณิชย์ จึงไม่ยอมดูดขึ้นมา นี่ก็เป็นลีลาของพ่อค้าเป็นของธรรมดา ถ้ากำไรน้อยเขาจะไม่เอา หรือจะมาพูดกันอีกทีหนึ่ง

    เวลานี้ทราบว่า คนไทยศึกษาเรื่องวิชาการเจาะน้ำมันมาได้ดีแล้ว มีความชำนาญพอแล้ว แล้วก็กำลังจะเจาะก่อน หนังสือจะออกคงจะเจาะแล้วละมั้ง เจาะก๊าซที่สงขลาใกล้ๆ กับบ่อเดิม จะเอาก๊าซมารวมกัน เข้ากับท่อเดียวกัน ขึ้นมาใช้จะได้มีปริมาณสูง ถ้าบังเอิญท่าน หรือนายทุนท่านใดท่านหนึ่ง ในพื้นที่ ที่ไม่มีสัญญาประมูลกับบริษัทต่างๆ แต่น้ำมันมีมาก ปริมาณของประเทศไทยนี่ ถ้าจะลองเจาะอย่างต่างประเทศเขา เอาที่ใดที่หนึ่งก็ได้สักที่หนึ่ง ที่พูดนี่เป็นการสมมติกันนะ จะเชื่อหรือไม่สมควรเชื่อ

    เพราะความรู้สึกว่ามีอยู่ว่าการเจาะที่แล้วมา เขาเจาะกันยังไม่ถึงฝาผนังหรือเพดาน ของถังน้ำมัน ซึ่งมันเป็น ถังใหญ่คลุมจักรวาล มันเป็นทะเลอีกชั้นหนึ่งต่างหาก คือเป็นทะเลน้ำมันจริงๆ ประเทศไทยตั้งอยู่เหนือทะเล น้ำมันจีน ก็เช่นเดียวกันแล้วก็พม่าก็เหมือนกัน อินโดนีเซียก็เหมือนกัน มาเลเซียก็เหมือนกัน บรูไนก็เหมือนกัน มันเป็นถังถังเดียวกัน ถ้าบังเอิญ เราจะเจาะอย่างอังกฤษ ที่เขาบอกว่า อังกฤษเจาะที่ทะเลเหนือ เจาะลง ไปลึกลงไปใต้ดินถึง ๖ กิโลเมตร ก็ได้น้ำมันขึ้นมาเพียงพอ

    แต่ประเทศไทยเราสำรวจแล้วว่า ที่ใดที่หนึ่งมีน้ำมันพอที่จะเจาะได้ ก็ลองเจาะสัก ๖ กิโลเมตร จะมีผลเป็นประการใดเรื่อง นี้ก็ลองถามท่านผู้รู้ท่านหนึ่ง ท่านมีความชำนาญในด้านนี้มาก ก็เรียกว่า "ดร.สรรพศาสตร์"

    ท่านดร.สรรพศาสตร์ ท่านบอกว่า
    ถ้าเจาะลงไปถึง ๖ กิโลเมตร ในถังน้ำมันที่มีพื้นแผ่นดินหนา หมายความว่า หลังถังน่ะลึกลงไป เจาะลงไปแค่ ๓ กิโลเมตร จะถึงผิวถังน้ำมัน หรือหลังคาน้ำมัน ถ้าเจาะถึง ๖ กิโลเมตร ไอ้ท่อที่เจาะลงไปนั้น จะจมไปในตัวถังน้ำมัน บ่อน้ำมันจริงๆ ครึ่งกิโลเมตร ถ้าเจาะในที่ตื้น ที่บางจุดอยู่ไม่ไกลกรุงเทพนัก

    ในที่นี้ถ้าเจาะถึง ๖ กิโลเมตร ท่อจะจมลงไปในเขตของน้ำมัน ประมาณ ๖ กิโลเมตร ถามว่า ดร.สรรพศาสตร์ ถ้าเราจะดูดใช้อย่างปัจจุบันนี่ ถ้าทำอย่างนั้นจะใช้ได้สักกี่ปี ท่านบอกว่า เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน เอา ๓๐ เท่าของปัจจุบันใช้ไป ๕,๐๐๐ ปี น้ำมันยังไม่หมด ปริมาณยังไม่ลด

    นี่แหละบรรดาท่านผู้อ่านและท่านผู้ฟัง ถ้าบังเอิญท่านดร.สรรพศาสตร์ ท่านพยากรณ์ตามความรู้ของท่าน ถ้าตรงตามนี้ประเทศไทยเราก็ไม่จน อย่างอื่นจะไม่มีก็ไม่เป็นไร ไฟของเรามีน้ำมันเราก็ถูก อุตสาหกรรมของเราลงทุนถูก เพราะน้ำมันถูก เราจะขายต่างชาติได้ดี ระยะนั้นประเทศไทยเราจะรวย

    เอาละบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย เราคุยกันมาวันนี้ก็ป่วย แต่เกรงว่าเล่มที่ ๑๘ นี่จะไม่ครบ ทำไปแล้ว บ้างตามสมควร แต่ไม่แน่ใจ ว่าจะครบหรือไม่ครบ ก็ลุกขึ้นมาทำหันไปดูเวลาเหลือเวลาประมาณนาทีเศษ ก็ขอเตือนบรรดาญาติโยมพุทธบริษัท ซึ่งเป็นสาวกขององค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์ว่า จงอย่าหวั่นไหวต่อสงคราม

    ขอยืนยันว่า ถึงแม้ว่าสงครามจะเกิด ก็จริงแหล่แต่ทว่าเราจะไม่ตายเพราะสงครามโลก เราจะไม่อดตายเพราะสงครามโลก และนักเกษตรศาสตร์ก็ดี นักเกษตรศาสตร์นี่จะมีโชคดีมากคือจะรวย ข้าวจะแพง พวกที่เลี้ยงสัตว์ก็ดี ราคาจะแพง จะรวยทุกสิ่งทุกอย่าง ถ้าไม่มีความประมาท บรรดาท่านพุทธบริษัทประเทศไทยจะมีแต่ความอุดมสมบูรณ์.

    ที่มา - จากหนังสือธัมมวิโมกข์ ฉบับพิเศษ วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี

    พุทธพยากรณ์ โดย..หลวงพ่อฤาษีลิงดำ (โพสต์ในเว็บไซด์ต่างๆ)


    http://www.watthasung.com/wat/viewthread.php?tid=897
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 กันยายน 2016
  5. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    จงพึงระวัง อสัทธรรม คัมภีร์อักขระพยัญชนะมาร หรือ อหังการวิเศษมาร คัมภีร์มารของเดียร์ถีย์

    อย่าลืมว่า ในยุทธจักรคู่ต่อสู้ที่น่ากลัวมักจะไม่เปิดเผย

    ข้อควรนำไปคิด เพื่อแปลงสภาพ ภาวะฐานะธรรม
    "ถ้าเราท่านมีพลังฝีมือ และมียอดวิชา ที่ตัวเองถนัดอยู่ในระดับหนึ่ง แต่ทว่ามีอุปสรรคบางอย่าง ทำให้ไปไม่ถึงไหน อาศัยแต่ทริกเล็กๆ หลอกขู่คนอื่นไปได้ แต่ถ้าเจอของจริงที่จับสังเกตุได้ เราท่านนี้ก็อาจจะสู้ไม่ได้ อย่างง่ายดายเหมือนกัน" เรื่องแพ้-ชนะแล้วจะได้อะไร? ค่อยว่ากันอีกที

    มัวแต่รบกันเองโดยไม่รู้จักศัตรูที่แท้จริง เราไม่เป็นข้าศึกในโลกก็จริง แต่ข้าศึกเห็นเราเป็นข้าศึกในโลก ข้อนั้นพึงระวัง
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 ตุลาคม 2016
  6. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    คำทำนายของ...พระมหาโมคคัลลีบุตรติสสะเถระ

    เมื่อสมเด็จองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จปรินิพพานล่วงแล้วได้ประมาณ 236 ปี พระมหาโมคคัลลีบุตรติสสะเถระ เล็งญาณดูกาลอนาคตของพระพุทธศาสนาเห็นว่าต่อไปชมพูทวีปซึ่งเป็นที่ตั้งของพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนาจะไปเจริญรุ่งเรืองในทวีปอื่น จึงได้ถวายพระพรพระเจ้าอโศกมหาราช ขอความอุปถัมภ์ เพื่อจัดส่งพระเถรานุเถระเป็นคณะไปเผยแพร่พระพุทธศาสนายังนานาประเทศนอกชมพูทวีป ด้านใต้ถึงเกาะลังกา ด้านตะวันตกถึงเปอร์เซีย ด้านเหนือถึงประเทศแถบเชิงเขาหิมาลัย ด้านตะวันออกถึงสุวรรณภูมิ เหตุการณ์ก็จริงดังคาด พอพระพุทธศักราช ประมาณ 1100 ปีเศษ พระพุทธศาสนาก็อันตรธานจากชมพูทวีป ไปเจริญรุ่งเรืองยังนานาประเทศจริงๆ สุวรรณภูมิ ก็คือแหลมทอง ซึ่งหมายถึงผืนแผ่นดินตั้งแต่อ่างเบงกอลมาจนถึงทะเลญวณ ได้เป็นที่รองรับพระพุทธศาสนา มาตั้งแต่พระพุทธศักราชประมาณ 236 ปีเศษ มีโบราณวัตถุสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช เป็นสักขีพยานในโบราณสถานนั้นๆ เช่นพระปฐมเจดีย์ที่จังหวัดนครปฐม มีวงล้อธรรมจักรทำด้วยศิลาขนาดใหญ่โตมาก ซึ่งเป็นที่นิยมในสมัยนั้น เพราะยังไม่เกิดประเพณีสร้างพระพุทธรูปที่เมืองเสมา (ร้าง) ในจังหวัดนครราชสีมา ก็มีวงล้อธรรมจักรทำด้วยศิลาขนาดเดียวกันกับที่นครปฐม และที่ตำบลฟ้าแดดสูงยาง จังหวัดกาฬสินธุ์ มีภาพแกะสลักศิลาเป็นเรื่องพุทธประวัติ ซึ่งเป็นพยานว่าพระพุทธศาสนาได้เจริญรุ่งเรือง ณ. แหลมทอง โดยเฉพาะที่นครปฐมและนครราชสีมาในสมัยเดียวกัน ประมาณว่าในราวพุทธศตวรรตที่ 4 การที่พระโมคคัลลีบุตรติสสะเถระ สามารถคาดการณ์ได้ถูกต้องเป็นระยะไกลถึงเกือบพันปีเช่นนี้ ย่อมต้องมีทิพยจักขุญาณแจ่มใสจริงๆ แน่นอน เมื่อทราบแล้ว ท่านก็ดำเนินการแก้วิกฤตการณ์ไว้ล่วงหน้าทันที

    ผลดีที่เกิดขึ้นคือ พระพุทธศาสนาแพร่หลายและดำรงอยู่ได้ในนานาประเทศนอกชมพูทวีปมาจนถึงปัจจุบัน ชมพูทวีปคือ ประเทศอินเดียซึ่งเป็นถิ่นกำเนิดของพระพุทธศาสนา ได้ว่างเปล่าจากพระพุทธศาสนามานานประมาณพันปีแล้ว พึ่งจะมีพระภิกษุจากลังกา พม่า และอาหม เข้าไปทำการเผยแพร่พระพุทธศาสนาในชมพูทวีปอีกเมื่อประมาณ 60 ปีมานี่เท่านั้น ถึงกระนั้นก็ยังหวังความเจริญรุ่งเรืองเหมือนในสมัยพุทธกาลได้ยาก เพราะสภาพการณ์ของบ้านเมืองและประชาชนเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ลัทธิศาสนาอื่นได้ฝักรกรากแทนที่พระพุทธศาสนามานาน บุคคลผู้จะนำพระพุทธศาสนาไปปลูกฝังลงยังอินเดีย ได้อีกจะต้องเป็นผู้มีบุญญาภิสมภารและอิทธิภินิหารเป็นอัศจรรย์ยิ่งกว่าเจ้าลัทธิคณาจารย์ในถิ่นเป็นอย่างมาก

    มีคำทำนายโบราณชิ้นหนึ่งได้เป็นที่ตื่นเต้นสนใจกัน เมื่อประมาณ 60 ปีกว่ามานี้ มีว่า เมื่อพระพุทธศาสนาอายุถึงกึ่ง 5,000 ปีนับแต่พุทธปรินิพพาน พระพุทธศาสนาจะกลับมาเจริญรุ่งเรืองถึงขีดสูงสุดคล้ายสมัยพุทธกาล แลจักมีผู้บรรลุมรรคผลนิพพานถึงภูมิพระอรหันต์ เชี่ยวชาญทางอภิญญา พระมหาเถระโพธิสัตว์ ผู้มีบุญญาภิสมภาร แลถึงพร้อมด้วยบุญญฤทธิ์อิทธาภินิหาร ในสุวรรณภูมิแคว้นประเทศ จักได้เป็นประธานาธิบดีสงฆ์ทำการเผยแพร่พระพุทธศาสนาไปทั่วโลก โดยเริ่มต้นที่อินเดียไปยุโรปและอเมริกา ประชาชนชาวโลกจะหันกลับมานับถือพระพุทธศาสนามากมาย คนทั้งหลายจะนิยมในการฝึกฝนอบรมจิตในทางพระพุทธศาสนา ประเทศชาติบ้านเมืองก็จะร่มเย็นเป็นสุข ด้วยร่มเงาของพระพุทธศาสนา เงาเจริญแห่งพระศาสนาเริ่มปรากฏแล้ว ชาวอัศดงประเทศกำลังหันมาสนใจในพระพุทธศาสนามากขึ้น แต่ใครเป็นตัวการตามทำนายนั้น ยังมิได้ปรากฏแก่วงการพระพุทธศาสนา ขอให้คอยดูกันต่อไปว่า จะจริงเท็จแค่ไหน ถ้าคำทำนายเป็นจริงขึ้นก็แปลว่า ชาวพุทธผู้ให้คำทำนายไว้นั้น มีทิพยจักขุญาณวิเศษที่สุดได้แน่ๆ ทีเดียว และตัวการในคำทำนายนั้น จะเป็นบุคคลที่น่าอัศจรรย์ที่สุดของโลกสมัยใหม่ด้วย ข้าพเจ้าได้เรียนถามพระอาจารย์ภูริทัตตเถระ (มั่น) ว่า คำทำนายโบราณนี้จะเป็นจริงไหม ท่านว่าเจ้าพระคุณพระอุบาลีปมาจารย์ (สิริจันทเถระ จันทร์) บอกว่าจริง เมื่อข้าพเจ้าถามถึงความเห็นเฉพาะตัวของท่าน ท่านก็บอกว่าเป็นจริง เวลานี้ก็จวนถึงเวลาแล้ว เราคอยดูกันต่อไป เอวัง.............

    ที่มาจากหนังสือ ทิพยอำนาจ แต่งโดยพระอาจารย์ เส็ง ปุสโส ป.ธ.6
     
  7. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    ขอให้เป็นเพียงภัยธรรมชาติ อย่าได้เกี่ยวข้องกับ การเข้าถึง อหังการวิเศษมาร
    [ame]https://youtu.be/IypPC1Btz9o[/ame]



    พระพุทธศาสนาจากพระโอษฐ์





    อะไรบ้างที่ไม่สะดุ้งเมื่อฟ้าผ่า ?


    พุทธดำรัส “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุคคลแลสัตว์เหล่านี้ เมื่อฟ้าผ่าย่อมไม่สะดุ้ง คือ พระภิกษุขีณาสพ ๑ ช้างอาชาไนย ๑ ม้าอาชาไนย ๑ สีหมฤคราช ๑

    ทุ. ทุก. อํ. (๓๐๒-๓๐๔)
    ตบ. ๒๐ : ๙๗ ตท. ๒๐ : ๘๖-๘๗
    ตอ. G.S. ๑ : ๗๑-๗๒


    เมื่อ 29 ส.ค. เอเอฟพีรายงานว่า สถานีโทรทัศน์นอร์เวย์เผยแพร่ภาพสลดของซากกวางจำนวนมากนอนตายเกลื่อนภูเขา เนื่องจากถูกฟ้าผ่า นับเป็นความสูญเสียทางการอนุรักษ์พันธุ์สัตว์ครั้งใหญ่

    "มีพายุรุนแรงมากในพื้นที่บริเวณนี้เมื่อวันศุกร์ และฝูงเรนเดียร์ก็เกาะกลุ่มยืนติดกันท่ามกลางสภาพอากาศเลวร้าย เมื่อกระแสฟ้าผ่าลงมาโดนบางตัว จึงถูกตัวที่ยืนติดๆ กันไปด้วย มันเป็นเรื่องไม่ปกติจริงๆ เราไม่เคยเจอเรื่องแบบนี้มาก่อน" นายคนุตเซนกล่าว

    จากการตรวจสอบพบว่า กวางเรนเดียร์ป่า 323 ตัว ในอุทยานแห่งชาติฮาดังเกอร์วิดดา ทางตอนใต้ประเทศนอร์เวย์ ถูกฟ้าผ่าตายตั้งแต่วันที่ 26 ส.ค.และเพิ่งแจ้งเป็นข่าว ซึ่งทางการนอร์เวย์ระบุเป็นเหตุฟ้าผ่าที่มีสัตว์ตายมากที่สุดในประวัติศาสตร์

    ด้านขณะที่นายจาร์ทัน คนุตเซน เจ้าหน้าที่สำนักงานสิ่งแวดล้อมนอร์เวย์ เปิดเผยว่าสัปดาห์ก่อนมีพายุรุนแรงพัดผ่านพื้นที่อุทยาน ซึ่งมีประชากรกวางเรนเดียร์มากกว่า 10,000 ตัว แต่ฝูงกวางเรนเดียร์ฝูงนี้โชคร้ายถูกฟ้าผ่า และว่าในจำนวนนี้เป็นลูกกวางอย่างน้อย 70 ตัว ส่วนอีก 5 ตัวต้องถูกวางยาให้ตายเพราะมีอาการบาดเจ็บสาหัสจากเหตุฟ้าผ่า

    จับตาดูข่าวเรื่องราวเกี่ยวกับสภาพดินฟ้าอากาศโดยเฉพาะ พายุที่เกิดขึ้นกระทันหันชนิดกรมอุตุนิยมวิทยาก็ยังตรวจสภาพดินฟ้าอากาศไม่ทัน ในโซนยุโรบให้ดีๆ

    ในประเทศไทยเกิดขึ้นมาแล้วในอดีต 6 ปีที่แล้ว ที่ สระบุรี สวนส้ม หนองแค โดยเรา


    [ame]https://youtu.be/vKgy471AnVo[/ame]



    # เยอรมัน นับตั้งแต่ปี 2011 มีจำนวนผู้อพยพไม่ต่ำกว่า 547,034 คนร้องขอที่ลี้ภัย
    # ฝรั่งเศส มีจำนวนผู้อพยพ 255,800 คน
    # สวีเดน มีจำนวนผู้อพยพ 228,601 คน
    # ตุรกี มีจำนวนผู้อพยพ 209,019 คน
    # อิตาลี มีจำนวนผู้อพยพ 155,536 คน
    # ฮังการี มีจำนวนผู้อพยพ 129,203 คน
    # อังกฤษ มีจำนวนผู้อพยพ 125,139 คน
    # ออสเตรีย มีจำนวนผู้อพยพ 104,489 คน
    # สวิตเซอร์แลนด์ 98,102 มีจำนวนผู้อพยพ คน
    # เบลเยียม มีจำนวนผู้อพยพ 79,209 คน
    # เซอร์เบียและโคโซโว มีจำนวนผู้อพยพ 65,237 คน
    # เนเธอร์แลนด์ มีจำนวนผู้อพยพ 63,889 คน
    # นอร์เวย์ มีจำนวนผู้อพยพ 47,240 คน
    # กรีซ มีจำนวนผู้อพยพ 42,800 คน
    # โปแลนด์ มีจำนวนผู้อพยพ 38,418 คน
    # เดนมาร์ก มีจำนวนผู้อพยพ 35,302 คน
    # บัลแกเรีย มีจำนวนผู้อพยพ 27,124 คน
    # สเปน มีจำนวนผู้อพยพ 21,112 คน
    # ฟินแลนด์ มีจำนวนผู้อพยพ 14,361 คน
    # มอนเตนิโกร มีจำนวนผู้อพยพ 9,158 คน


    สำหรับภาคใต้ ยังไร้คุณสมบัติ ไม่น่าเป็นห่วงอะไรในตอนนี้

    แต่ถึงอย่างไรก็ขอให้ท่านทั้งหลายฯอย่าลืม ว่า "พระสัทธรรม ในพระพุทธศาสนาของเรานั้นมี ปาฎิหาริย์ ๓ และมีญานทัสสนะวิเศษต่างๆมากมาย กลับกัน ในทางเดียวนั้น อสัทธรรม ก็มี อาถรรพ์ อันวิเศษของมาร อย่าคิดไปว่า สิ่งที่ลึกลับซ่อนเร้น นั้นจะมีปรากฎเพียงแค่ในพระพุทธศาสนาเพียงเท่านั้น "

    เมื่อมี พระสัทธรรม อสัทธรรม จึงมี ต่อต้านกันมาอย่างเนิ่นนานในสังสารวัฎร





    [ame]https://youtu.be/hPII0KhnnYU[/ame]

    http://www.manager.co.th/Around/ViewNews.aspx?NewsID=9580000098092
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 กันยายน 2016
  8. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    ขอให้มีอิสระเสรี ปลดปล่อยพันธนาการ หลุดพ้น นะไร้กรอบ


    สมุดภาพสัตว์หิมพานต์
    http://www.reurnthai.com/index.php?topic=3022.0
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 กันยายน 2016
  9. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    เรื่องพระยาสักรตั้งจุลศักราช
    พ.ศ.๓๐๖ กษัตริย์เมืองตักสิลา พระนามพระยาสักรดำมหาราชาธิราช มีพระราชดำริว่า พระพุทธศาสนาเป็นฝ่ายพระพุทธจักร จึงมีพระราชโองการแก่อดีตพราหมณ์ปุโรหิตว่า ตั้งแต่วันนี้ไปจนสิ้นพระพุทธศาสนาของพระพุทธเจ้าอนุญาตไว้ ๕,๐๐๐ พรรษา ให้ตั้งจุลศักราชไว้สำหรับกรุงกษัตริย์สืบไปภายหน้า จึงให้ตั้ง ณ วันพฤหัสบดี เดือนห้า แรมค่ำหนึ่ง จุลศักราช ปีชวด เอกศก เป็นมหาสงกรานต์ไปแล้ว จึงให้ยกเป็นจุลศักราชวันเดือนปีใหม่ ถ้ามหาสงกรานต์ยังมิไป ยังเอาเป็นปีใหม่ไม่ได้ด้วยเดือนนั้นยังไม่ครบ 360 วัน พระองค์ให้ตั้งพระราชกำหนดจุลศักราชแล้ว สวรรคตในปีนั้น เสวยราชสมบัติ 72 ปี จุลศักราชได้ ศก สร้างเมืองสวรรคโลก ยกบาธรรมราชขึ้นเป็นพระยาธรรมราชาครองเมืองสวรรคโลก
    ฤาษีสัชนาไลย และฤาษีสิทธิมงคล สองพี่น้องมีอายุได้ 100 ปี ตั้งแต่พระพุทธเจ้ายังดำรงราชสมบัติจนตรัสรู้ ณ บ้านนางสารีมารดาพระสารีบุตร มีพราหมณ์ทั้งสิบบ้านเป็นลูกหลานของฤาษีทั้งสองรูปดังกล่าว มีอายุยืน 300 ปี สูงสามวา อายุ 200 ปี สูงเก้าศอก เหตุเพราะกินบวช และทรงพรต ไม่ฆ่าสัตว์ จึงมีอายุยืน ฤาษีสัชนาไลยได้กล่าวกับฤาษีสิทธิมงคลว่า ตนจะเข้านิพพานแล้ว จึงได้ให้โอวาทไว้ในพระพุทธศาสนากำกับไสยศาสตร์ให้ไว้ด้วยกัน
    บาธรรมราชจึงให้หาชีพราหมณ์และนายบ้านมาพร้อมกัน แบ่งปันหน้าที่ให้ชีพราหมณ์กำหนดกฎหมาย เกณฑ์หน้าที่ให้ทำกำแพงหนา 8 ศอก สูง 4 วา กว้าง 50 เส้น ยาว 100 เส้น ตัดเอาแลงมาทำเป็นกำแพง โดยทำเป็นแผ่นก่อเป็นกำแพงใช้เวลาเจ็ดปีจึงเสร็จ สร้างวัดวาอาราม กุฎีสถานให้เป็นทานแก่สงฆ์ทั้งหลายอันได้บรรลุโลกุตรธรรม แต่ยังไม่เป็นพระอรหันต์ ตั้งวิหารพระอิศวร และพระนารายณ์ เป็นที่ตั้งพิธี ชวนกันอดอาหารเจ็ดวัน กินบวชเจ็ดวันจึงสระเกล้า แล้วขึ้นโล้อัมพวายแก่พระอิศวร คอยท่าพระดาบสทั้งสองอยู่
    เมื่อพระฤาษีมาถึงบาธรรมราชจึงขอให้ตั้งชื่อเมือง ฤาษีสัชนาไลยจึงให้ชื่อเมืองว่า เมืองสวรรคโลก แล้วให้ประชุมชีพ่อพราหมณ์ทั้งหลาย เพื่อหาว่าผู้ใดสมควรเป็นเจ้าเมืองแห่งนี้ พราหมณ์ก็ว่ามีแต่มาธรรมราช ซึ่งเป็นผู้มีอายุกว่าคนทั้งหลาย ฤาษีจึงกล่าวว่าในแผ่นดินนี้ผู้ที่จะเป็นพระยาได้มีอยู่สามตระกูลคือ กษัตริย์ เศรษฐี และพราหมณ์ แล้วจึงตั้งบาธรรมราชให้เป็นพระยา ชื่อ พระยาธรรมราชา แล้วตั้งนางท้าวเทวี ผู้เป็นหลานสาวนางโมคคัลลี บุตรนายบ้านหริภุญไชยมาเป็นอัครมเหสี แล้วแจ้งว่าให้ไปเอาพระธาตุพระพุทธเจ้าที่พระเจ้าศรีธรรมาโสกราชแจกไว้มาประดิษฐานไว้ในเมือง
    พระยาธรรมราชา จึงให้ช่างก่อที่บรรจุพระธาตุโดยตัดเอาแลงมาทำเป็นแผ่นยาวสามศอก กว้างหนึ่งศอก ยาวห้าศอก กว้างสองศอกทำเป็นบัวหงาย หน้ากระดานและทรงมันทำให้งาม ขุดสระกรุด้วยแลงทำด้วยปูน แล้วตั้งฐานชั้นหนึ่ง จากนั้นได้พากันไปขุดเอาผะอบแก้วใหญ่ห้ากำที่ใส่พระธาตุมาบูชานมัสการด้วยดอกไม้ ธูปเทียน แล้วเชิญพระธาตุมาที่เมือง ป่าวร้องให้แก่คนทั้งหลายผู้ศรัทธาเอาทองมาประมวญกันได้ 2500 ตำลึงทอง ให้ช่างตีเป็นสำเภาเภตรา แล้วใส่พระธาตุพระพุทธเจ้าลอยอยู่ในน้ำบ่อ จากนั้นจึงก่อเป็นพระเจดีย์สรวมไว้ใช้เวลาหนึ่งปีจึงแล้วเสร็จแต่ยังไม่มียอด บรรดาชีพราหมณ์ทั้งหลายที่อยู่ในปัญจมัชฌคามผู้เป็นหลานเหลนนางโมคคัลลี ผู้เป็นมารดาพระโมคคัลลาน์ และนางสารีผู้เป็นมารดาพระสารีบุตร ที่อยู่ในปัญจมคามก็กลายมาเป็นเมืองสวรรคโลก พระธาตุพระสารีบุตรก็บรรจุไว้ในเจดีย์พระธาตุข้างเหนือ พระธาตุโมคคัลลาน์บรรจุไว้ในบ้านนางโมคคัลลี และนางทั้งสองนี้เป็นญาติกัน
    เจ้าธรรมกุมารลูกพระธรรมราชา และเจ้าอุโลกกุมารเป็นเจ้าภิกษุทรงไตรปิฎก และออกจากศาสนาพระบิดามารดา และเผ่าพันธุ์ให้เป็นพระยาจะได้ช่วยกันป้องกันอันตรายจากศัตรู จากนั้นได้มีสาส์นไปแจ้งแก่ชาวบ้านปัญจมัชฌคามให้ทำกำแพงล้อมบ้าน แล้วให้ตั้งเรือนหลวง แล้วทำการราชาภิเษกเจ้าอุโลกกุมารให้เป็น พระยาศรีธรรมาโสกราช ใน เมืองหริภุญไชย ด้วยนางพราหมณีให้ชาวบ้านอุตรคามทำกำแพงล้อมบ้าน แล้วรับเอาธรรมกุมารไปราชาภิเษกนางพราหมณี ได้ชื่อว่า กัมโพชนคร คือ เมืองทุ่งยั้ง แล้วมีสาส์นไปถึงบ้านบุรพคาม ตกแต่งกำแพงและคูทำพระราชวังให้บริบูรณ์ แล้วรับเอาเจ้สีหกุมารไปราชาภิเษกด้วยนางพราหมณีให้ชื่อ เมืองบริบูรณ์นคร เมืองทั้งสี่นี้เป็นกษัตริย์ซื่อตรงต่อกัน และได้สืบต่อกันมาสามชั่วตระกูล

    เกิดทันไหม? สมัย พ.ศ ๓๐๖ ยัง ๕,๐๐๐ พระวัสสา
     
  10. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    เรื่องพระร่วงอรุณกุมารเมืองสวรรคโลก
    พ.ศ. ๕๐๐ พระยาอภัยคามินีศีลาจารย์บริสุทธิอยู่ในเมืองหริภุญไชยนคร ได้เสพเมถุนกับนางนาค นางได้มาคลอดบุตรไว้ที่ภูเขียวซึ่งพระยาอภัยคามินี ฯ เคยไปจำศีลอยู่แล้วกลับไปเมืองนาค พรานป่าคนหนึ่งมาพบเข้าจึงนำไปให้ภรรยาของตนเลี้ยงไว้เป็นบุตรบุญธรรม
    เมื่อพระเจ้าอภัยคามินีให้สร้างพระมหาปราสาท ได้เกณฑ์ชาวบ้านมาถากไม้ตั้งเสาพระมหาปราสาท พรานป่าคนดังกล่าวก็ถูกเกณฑ์มาถากไม้ด้วย พรานได้เอากุมารมาไว้ในร่มพระมหาปราสาท ๆ ก็โอนไปเป็นหลายที พระยาอภัยคามินีเห็นเข้าก็หลากพระทัย จึงให้เอาพรานนั้นมาถามดูก็รู้ว่าเป็นบุตรของตน จึงรับเอากุมารมาเลี้ยงไว้ให้ชื่อว่า เจ้าอรุณราชกุมาร ยังมีกุมารผู้หนึ่งเกิดด้วยนางอัครมเหสีชื่อว่า เจ้าฤทธิกุมาร เป็นน้องเจ้าอรุณกุมาร พระยาอภัยคามินี เห็นว่าเมืองสัชนาไลยมีแต่พระราชธิดา จึงเอาเจ้าอรุณกุมารเป็นพระยาเมืองสัชนาไลย ได้นามว่า พระยาร่วง พระองค์จึงให้สร้างพระวิหารทั้งห้าทิศ สร้างพระจำลองไว้แทนพระองค์ติดพระมหาธาตุ และพระระเบียงสองชั้นแล้วเอาแลงทำเป็นค่าย และเสาโคมรอบพระวิหาร ให้เอาทองแดงมาทำเป็นลำพระขรรค์ ยาว ๘๘ ศอกกึ่ง ต้นห้าศอกกึ่ง ปลายสามศอก และแก้วใส่ยอด ๑๕ ใบ บัลลังแท่นรองยอดใหญ่เก้ากำ ตระกูลทองดีสิบชั้น หุ้มทองแดงขลิบขนุนลงมาถึงตีนคูหา สร้างอุโบสถให้เป็นทานแก่พระสงฆ์ และให้สร้างที่ต้นรังพระธาตุเป็นวิหาร และพระเจดีย์จึงได้ชื่อว่า วัดเขารังแร้ง ท้าวพระประเทศเมืองใด ๆ จะทนทานอานุภาพพระองค์มิได้ มาถวายบังคมทั่วสกลชมพูทวีป เพราะพระองค์ต้องพุทธทำนาย อายุพระองค์ได้ ๕๐ ปี พอถึง ปี พ.ศ.๑๐๐๐ คนอันเป็นใหญ่กว่าคนทั้งหลายนำเอาช้างเผือกงาดำกับเขี้ยวงูมาถวาย และเมื่อพระองค์จะลบศักราชพระพุทธเจ้า จึงให้นิมนต์พระอธิตเถระ พระอุปคุตเถระ พระมหาเถรไลยลาย และพระอรหันต์ ๕๐๐ องค์ ทั้งพระพุทธโฆษาจารย์วัดรังแร้ง และชุมนุมพระสงฆ์เจ้าทั้งหลาย ณ วัดโคกสิงคาราม กลางเมืองสัชนาไลย บรรดาท้าวพระยาในชมพูทวีปคือ ไทย ลาว มอญ จีน พม่า ลังกา พราหมณ์เทศเพศต่าง พระองค์ให้ทำหนังสือไทยเฉียง มอญ พม่า ไทย และขอมเฉียงขอมมีมาแต่นั้น
    พระยาร่วงมีพระราชโองการตรัสแก่เจ้าฤทธิกุมารว่า พระยากรุงจีนเหตุใดจึงมิได้มาช่วยลบศักราช เราพี่น้องจะไปเอาพระยากรุงจีนมาเป็นข้าเราให้ได้ จากนั้นจึงให้แต่งเรือสำเภาลำหนึ่งยาวแปดวา ปากกว้างสี่ศอก ครั้นได้ฤกษ์ก็เสด็จออกไปด้วยกำลังน้ำ พระองค์ทั้งสองมีแต่ธนูศิลป์ ไปได้เดือนหนึ่งจึงถึงกรุงจีน พระเจ้ากรุงจีนรู้แก่ใจด้วยมีพระพุทธทำนายไว้ว่า จะมีไทยสองคนพี่น้องข้ามทะเลมาแสวงหาเมีย และชายผู้หนึ่งจะเป็นจ้าวแก่ชาวชมพูทวีป และจะลบศักราชพระพุทธเจ้า เมื่อรู้ดังนั้นแล้วจึงให้พลจีนออกไปรับพระองค์มาที่เรือนหลวงให้นั่งบนแท่นแก้ว ถวายบังคมแล้วจึงชวนเจรจา พระยาร่วงก็ทรงภาษาได้ทุกประการ พระเจ้ากรุงจีนจึงนำเอาพระธิดามาถวายให้เป็นพระอัครมเหสี พระยากรุงจีนจึงให้แต่งสำเภาเภตราลำหนึ่งกับเครื่องบรรณาการพระยาร่วงด้วย นางพสุจเทวี และเจ้าฤทธิกุมารจึงมาลงเรือสำเภาพร้อมทั้งจีนบริวาร ๕๐๐ คน เดินทางมาหนึ่งเดือนจึงถึงเมืองสัชนาไลย ซึ่งขณะนั้นน้ำทะเลขึ้นมาถึงใช้สำเภาไปมาได้ บรรดาจีนทั้งหลายก็ทำถ้วยชามถวาย จึงเกิดมีถ้วยชามแต่นั้นมา พระองค์ได้พสุจกุมารผู้เป็นน้องตั้งพระราชวังอยู่นอกเมือง


    ว่ากันว่า พระยาธรรมมิกราช ผู้ต้องพยากรณ์ มีหลายท่านหลายองค์เสด็จมาตามห้วงกาลเวลา เคยอ่านผ่านตาอยู่เหมือนกัน


    ตำนานละแวก


    ต้นฉบับตำนานละแวกนี้ เป็นของวัดศรีพิงค์เมือง (วัดศรีปิงเมือง) ต.หายยา อ.เมือง จ.เชียงใหม่ จำนวน ๑ ผูก ความยาว ๖๒ หน้า คัดลอกโดยมหาวันภิกขุ เมื่อพ.ศ. ๒๔๒๓ ตรงกับ จ.ศ.๑๒๔๒ ปีกดสะง้า เดือน ๑๒ แรม ๙ ค่ำ วัน ๓ สรุปใจความได้ดังนี้


    ในสมัยที่พระพุทธเจ้ายัง ทรงพระชนม์อยู่นั้น ทรงทำนายเหตุการณ์ในอนาคตไว้ที่เมืองละแวก เมื่อเสด็จมาถึงเมืองแห่งนี้ พญานาคได้มาอุปัฏฐาก จึงทำนายว่า สถานที่ดังกล่าวนี้จะเป็นที่ตั้งของพระพุทธศาสนา พระอานนท์จึงขอเอาพระเกศาธาตุบรรจุไว้ที่นี่ พระพุทธองค์ทรงมอบพระเกศาธาตุให้จำนวน ๕ เส้น จากนั้นพระอินทร์ พระพรหม ครุฑ นาค และพญาเจ้าเมืองละแวก จึงก่อเจดีย์ขึ้นเป็นจำนวน ๕ องค์ สำหรับเป็นเครื่องหมายของศาสนา ๕ พันปี

    ครั้นเมื่อพระพุทธองค์ นิพพานไปแล้ว ๒๒ ปี พระเจ้าอโศกมหาราชได้มาบูรณปฏิสังขรณ์เจดีย์ดังกล่าวให้เจริญรุ่งเรือง โดยก่อกำแพงแก้วรอบบริเวณพร้อมทั้งติดแผ่นทองทุกองค์เจดีย์ ส่วนเมืองละแวกแห่งนั้นมีบริเวณกว้าง ๓ พันวา ยาว ๒ พันวา กำแพงเมืองก่อด้วยหินหนา ๖ พันวา สูง ๔ พันวา คูเมืองลึก ๗ วา สำหรับบริเวณที่สร้างเจดีย์ ๕ องค์กว้าง ๓๐๐ วา ฐานเจดีย์องค์หนึ่งกว้าง ๑๔ วา สูง ๒๐ วา แต่ละเจดีย์มีซุ้มพระพุทธรูปทั้ง ๔ ด้าน เหมือนกันหมดทุกองค์

    เจดีย์ทั้ง ๕ องค์ดังกล่าวนี้ พระพุทธองค์ให้สร้างไว้เพื่อเป็นเครื่องหมายทางศาสนา หากเจดีย์จมพื้นดินลงไป ๑ องค์ เท่ากับศาสนาพ้นไปแล้ว ๑ พันปี จนกว่าจะครบ ๕ พันปี เจดีย์ทั้งหมดจึงจะหายไปในที่สุด เจดีย์ดังกล่าวนี้มีผู้อุปัฏฐากดูแลคือ ภิกษุ ๕๐๐ องค์ สามเณร ๕๐๐ รูป คฤหัสถ์ ๕๐๐ คน

    ใน ช่วงระยะเวลาระหว่างพุทธศาสนา ๕ พันปีนั้น จะมีพญาธรรมมิกราชเกิดมาจำนวน ๕ องค์โดยมีช่วงเวลาครั้งละ ๑ พันปื สำหรับพญาธรรมมิกราชองค์ที่ ๓ ที่จะเกิดมาในระหว่างพุทธศาสนาได้ ๓ พันปีนั้น(พ.ศ.๒๐๐๑-๓๐๐๐) จะเกิดมาในขณะที่บ้านเมืองเดือดร้อนวุ่นวาย ผู้คนไม่มีศีลธรรม เกิดมีการรบพุ่งฆ่าฟันกันไปทั่ว

    ก่อนที่จะมีพญาธรรมมิกราชปรากฏกายลักษณะขึ้นนั้น ท้องฟ้าจะมืดมิดเป็นเวลา ๗ วัน ครั้นถึงวันที่ ๘ ท้องฟ้าจึงจะสว่างสดใส เทวบุตรจะนำเอาเครื่องสูง ๕ ประการมาทำพิธีราชาภิเษกโดยมีนางฟ้าและพระฤาษีมาร่วมพิธีด้วย รวมทั้งข้าทาสบาทบริจาริกาจำนวนหนึ่งหมื่นหกพันนางจากอุตรกุรุทวีป

    เมื่อเสร็จพิธีราชภิเษก แล้ว ปราสาท ๓ หลังจะผุดขึ้นมาจากพื้นดิน แต่ละหลังทำด้วยทองคำ แก้วและเงิน พญาธรรมมิกราชองค์นั้นได้เสวยราชสมบัติในเมืองฝาง ในราชสำนักจะมีบุรุษผู้ประเสริฐ จำนวน ๖ คน พญาธรรมมิกราชจะขุดเอาข้าวของเงินทองจากพื้นดินมาบูรณะบ้านเมืองและแจกจ่าย เป็นทานแก่คนทั่วไป หลังจากนั้นจึงได้ทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาให้มีความเจริญรุ่งเรืองสืบต่อไป


    ข้าทาสบาทบริจาริกาตามมาจากอุตรกุรุทวีป อันมีต้นกัลปพฤกษ์ เป็นไม้ประจำทวีป พอได้เค้าลางๆ แบบปัตจัตตัง


    เมื่อวิสัชนา ตามนั้นก็แสดงว่า
    การต้องพุทธทำนาย ประเทศราชอื่นยอมพ่ายแพ้ ยามนั้น ต้องมีพระยาธรรมมิกราช เป็นที่แน่นอน ตามหลักฐาน

    โบราณสถาน
    http://place.thai-tour.com/sukhothai/sisatchanalai
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 กันยายน 2016
  11. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จมายังประเทศไทยและประทับรอยพระพุทธบาท

    จากหลักฐานอ้างอิงประวัติศาสตร์

    พระราชพงศาวดารเหนือ

    พระศรีธรรมไตรปิฎก

    ในเดือนอ้ายขึ้นค่ำหนึ่ง พระเจ้าศรีธรรมไตรปิฎก พระเจ้าเชียงแสน ให้เสนาอำมาตย์และมหาอุปราช ตรวจจัดลี้พลโยธาช้างม้าเครื่องสาสตราวุธทุกท้าวพระยา ปืน หอก ดาบ โล่ธนู หน้าไม้ เกาะเหล็ก เกราะเขา แล้วจึงตั้ง พระยาเชียงราย พระยาเชียงลือ เป็นแม่ทัพน่า ตั้ง พระยาเชียงเงิน พระยาเชียงตุง เป็นปีกขวา ตั้งพระยาเชียงน่าน พระยาเชียงฝาง เป็นปีกซ้าย

    เจ้าพสุจกุมารให้อุปทูตขึ้นไปฟังข่าวได้รู้อาการทั้งปวงแล้ว พระยาพสุจราชจึงให้กฎหมายไปแก่ พระยาพิไชยเชียงใหม่ ผู้เป็นญาติ พระยาลือธิราชถึงทิวงคต ยังแต่บุตรชายผู้เป็นหลานชื่อ พระพรหมวิธีจึงให้ขับพล เมืองนคร เมืองแพร่ เมืองน่าน เข้าเมืองเชียงใหม่ทั้งหมด แล้วให้ทหารอาสานั่งด่านทาง พระยาพสุจราช ให้รับครัวเข้า เมืองสัชนาลัยทั้งหมด แต่ครัวชายฉกรรจ์ให้อยู่ตั้งรบถอยหลังเข้ามาหาค่าย พระศรีธรรมปิฎกจึงให้ขับพลเข้าเมืองสัชนาไลย ให้ตั้งค่ายหลวงใกล้เมืองสัชนาลัยเป็นระยะทาง 50 เส้น แล้วให้พลทหารโยธาล้อมเมืองสัชนาไลยไว้ จะเข้าเมืองไม่ได้ด้วยข้างในเมืองมีปืนใหญ่ปืนน้อยมาก



    พระพุทธโฆษาจารย์เจ้าวัดเขารังแร้งรู้เรื่องแล้ว จึงชุมนุมสงฆ์ทั้งหลายว่า อย่าให้เรารบกัน แล้วไปถวายพระพรแก่พระเจ้าศรีธรรมไตรปิฎก แล้วเข้าไปห้ามพระยาพสุจกุมาร ทั้งสองพระยาก็ฟังคำพระอรหันต์เจ้า พระยาพสุจกุมารจึงเวนนางประทุมเทวีราชธิดาให้แก่พระยาศรีธรรมไตรปิฎก ๆ ยินดีนัก ยกทัพกลับไป เมืองเชียงแสน ท้าวพระยาอื่น ๆ ต่างก็ยกกำลังกลับไปบ้านเมืองของตน

    พระยาศรีธรรมปิฎก มีพระราชกุมารกับนางประทุมเทวีสององค์ คือ เจ้าไกรสรราช และเจ้าชาติสาคร เจ้ากุมารทั้งสองมีอานุภาพ รูปงาม และมีใจเป็นกุศล

    พระเจ้าศรีธรรมไตรปิฎกรู้ในพระทัยว่า พระพุทธเจ้าเสด็จไปบิณฑบาตทางตะวันตก ตะวันออก แล้วเสด็จไปฉันจังหันใต้ต้นสมอ จึงควรไปสร้างเมืองไว้ในสถานที่นั้น จึงตรัสสั่งให้ จ่านกร้อง จ่าการบูรณ์ ให้ทำเป็นพ่อค้าเกวียน นำเกวียนไปคนละ ๕๐๐ เล่ม จากเมืองเชียงแสนมาถึงเมืองน่าน เมืองลิหล่ม พักพลไหว้พระบาทธาตุพระพุทธเจ้าจึงข้าม แม่น้ำตรอมตนิม ข้าม แม่น้ำแควน้อยแล้วจึงถึงบ้านพราหมณ์ที่พระพุทธเจ้าไปบิณฑบาตบ้านพราหมณ์ข้างตะวันออก ๑๕๐ เรือน ข้างตะวันตก ๑๐๐ เรือนมีเศษ

    จ่านกร้องกับจ่าการบูรณ์คิดอ่านกันเห็นว่าพื้นที่ดังกล่าวราบคาบทั้งสองฟาก มีบ้านพราหมณ์อยู่ทั้งสองฟากควรสร้างเมืองถวายแก่เจ้าของเรา ดังนั้นจึงให้พ่อค้าเกวียน 500 เล่ม ข้ามไปข้างตะวันตก ตั้งทับประกับเกวียนไว้แล้ว ต่างทำสารบาญชีชะพ่อพราหมณ์ และไพร่พลของตน รวมกันเป็นคนฝ่ายละ 1000 คนทำอิฐ ให้พราหมณ์ชักรอบทิศตั้งเมือง แล้วจึงเป็นหน้าที่ยาว 50 เส้น สะกัดสิบเส้นสิบวา ปันหน้าที่ไว้แก่พราหมณ์ จะได้เท่าใด ไทยจะได้เท่าใด ลาวจะได้เท่าใด พอได้ ณ วันพฤหัสบดีเดือนสามขึ้นค่ำหนึ่ง ปีฉลู นพศก เวลาเช้า ต้องกับเวลาเมื่อพระพุทธเจ้าฉันจังหันใต้ต้นสมอ แต่ก่อนเรียก พนมสมอ บัดนี้เรียก เขาสมอแครง จ่านกร้องสร้างข้างตะวันตก จากการบูรณ์สร้างข้างตะวันออก แข่งกันสร้าง ทำอยู่ปีเจ็ดเดือนจึงแล้วรอบบ้าน พราหมณ์ทั้งหลายฟังดูก็รอบ เมื่อทำเมืองแล้วทั้งสองฟาก จึงสั่งชีพ่อพรามหมณ์ให้รักษาเมือง แล้วนำเกวียน และคน 500 เล่ม ขึ้นไปเมืองเชียงแสนใช้เวลาเดินทางสองเดือน แล้วถวายรายงานให้พระเจ้าศรีธรรมไตรปิฎกทรงทราบ

    พระเจ้าศรีธรรมไตรปิฎกมีความยินดียิ่งนัก จึงตรัสสั่งให้ชุมนุมท้าวพระยาทั้งหลาย ยกกำลังไปยังเมืองที่สร้างใหม่ดังกล่าว แล้วตรัสถามชะพ่อพราหมณ์ว่าจะให้ชื่อเมืองอันใดดี ก็ได้รับคำตอบว่า พระองค์เจ้ามาถึงวันนี้ใน ยามพิศณุ จึงได้ชื่อว่า เมืองพิศณุโลก ถ้าจะว่าตามพระพุทธเจ้ามาบิณฑบาตก็ชื่อว่า โอฆบุรีตะวันออก ทางด้านตะวันตกชื่อ จันทบูร พระเจ้าศรีธรรมไตรปิฎกจึงตรัสสั่งท้าวพระยาทั้งหลาย ชวนกันสร้างพระธาตุ และพระวิหารใหญ่ ตั้งพระวิหารทั้งสี่ทิศ



    พระพุทธชินราช เป็นพระพุทธรูปหล่อด้วยสำริด ปางมารวิชัย ศิลปะสุโขทัยตอนปลาย หน้าตักกว้าง ๕ ศอก ๑ คืบ ๕ นิ้ว สูง ๗ ศอก หล่อในสมัยพระมหาธรรมราชาที่ ๑ (พญาลิไท) ซึ่งได้สร้างพระพุทธชินราช พร้อมกับพระพุทธชินสีห์ และพระศรีศาสดา ฐานชุกชีปั๊มเป็นรูปบัวคว่ำบัวหงาย เดิมไม่ได้ลงรักปิดทอง ได้มีการปิดทองครั้งแรกในรัชสมัยสมเด็จพระเอกาทศรถ คราวเสด็จพระราชดำเนินมานมัสการพระพุทธชินราช เมื่อปี พ.ศ. ๒๑๔๖

    พระพุทธชินราช เป็นพระพุทธรูปองค์ประธานของวัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร เป็นพระพุทธรูปที่มีพุทธลักษณะงดงามที่สุดในประเทศไทย เส้นรอบนอกพระวรกายอ่อนช้อย พระพักตร์ค่อนข้างกลม พระขนงโก่ง พระเกตุมาลาเป็นรูปเปลวเพลิง มีลักษณะพิเศษเรียกว่าทีฆงคุลี คือที่ปลายนิ้วพระหัตถ์ทั้งสี่นิ้วยาวเสมอกัน ซุ้มเรือนแก้วทำด้วยไม้แกะสลักสร้างในสมัยอยุธยา แกะสลักเป็นรูปมกร (ลำตัวคล้ายมังกรแต่มีงวงคล้ายช้าง) อยู่ตรงปลายซุ้ม และมีลำตัวเหรา (คล้ายจระเข้) อยู่ตรงกลางซุ้ม มีเทพอสุราปกป้องพระองค์อยู่สองตน คือ ท้าวเวสสุวัณ และอาฬวกยักษ์

    ในตำนานการสร้างพระพุทธชินราชกล่าวว่า พระพุทธชินราชสร้างในสมัยพระศรีธรรมไตรปิฎก ธาตุของพระพุทธเจ้า คือ ผม(พระเกษา) ได้สร้างขึ้นพร้อมกับพระพุทธชินสีห์ และพระศรีศาสดา โดยใช้ช่างจากเมืองศรีสัชนาลัย และเมืองหริภุญชัย ในการเททองปรากฏว่าหล่อได้สำเร็จเพียงสององค์ ส่วนพระพุทธชินราชทองแล่นไม่ตลอด ต้องทำพิมพ์หล่อใหม่ถึงสามครั้ง ครั้งสุดท้ายพระอินทร์ได้แปลงกายเป็นชีปะขาวมาช่วยเททองหล่อ เมื่อวันพฤหัสบดี ขึ้นสองค่ำ เดือนหก ปีมะเส็ง จุลศักราช ๗๑๗ จึงหล่อได้สำเร็จบริบูรณ์

    ปัจจุบันพระพุทธชินสีห์และพระศรีศาสดาได้ถูกอัญเชิญไปประดิษฐานที่วัดบวรนิเวศวิหาร กรุงเทพฯ ทางวัดจึงได้หล่อองค์จำลองขึ้นแทน

    เรื่องสร้างพระชินสีห์ พระชินราช
    พระเจ้าศรีธรรมไตรปิฎกให้หาช่างได้บาพิศณุ บาพรหม บาธรรม บาราชกุศล และได้ช่างมาแต่เมืองสัชนาไลยห้าคน จากเมืองหริภุญไชยคนหนึ่ง ให้ไพร่พลทั้งหลาย ขนดิน และแกลบให้แก่ช่าง ช่างประสมดินปั้นเป็นรูปพระพุทธเจ้าสามรูปให้เหมือนพิมพ์เดียว และใหญ่น้อยเท่ากัน ครั้นปั้นเบ้าคุมพิมพ์แล้วก็หล่อพระพุทธรูปเป็นอันมาก วันหล่อนั้นเป็นวันพฤหัสบดีเพ็ญเดือนสี่ ปีจอ ชุมนุมสงฆ์ทั้งหลายมีพระอุบาลีฬี และพระศิริมานนท์เป็นประธาน หล่อให้พร้อมกันทั้งสามรูป รูป พระศรีศาสดา กับ พระชินสีห์ นั้นทองแล่นเสมอกันบริบูรณ์ ยังแต่พระชินราชนั้นมิได้เป็นองค์เป็นรูป ช่างทำการหล่อถึงสามครั้งก็มิได้เป็นองค์ พระเจ้าศรีธรรมไตรปิฎก พร้อมทั้งเจ้าปทุมเทวีจึงได้ตั้งสัจอธิษฐาน ร้อนถึงพระอินทร ฯ จึงนฤมิตเป็นตาปะขาวมาช่วยทำรูปพระคุมพิมพ์ปั้นเบ้า แล้วทำตรีศูลย์ไว้ในพระพักตร์เป็นสำคัญ ครั้นถึงเดือนหนึ่งพิมพ์พระพุทธรูปแห้งแล้ว จึงให้ช่างตั้งเตาจะหล่อพระชินราช แต่ ณ วันพฤหัสบดี เดือนหก ขึ้นแปดค่ำ ปีเถาะ ตรีศก เวลาเช้า พ.ศ.๑๕๐๐ ทองก็แล่นรอบคอบบริบูรณ์ทุกประการหาที่ติมิได้ พระองค์จึงให้ช่างช่วยกันขุดเกศาพระพุทธรูปนั้น ก็เป็นรูปอันงามบริบูรณ์แล้วทั้งสามพระองค์ ให้เอาไปตั้งไว้ในสถานสามแห่งไว้เป็นที่เสี่ยงทาย ไว้ท่ามกลางเมืองพิษณุโลก แล้วจึงให้ตั้งพระราชวังฝ่ายตะวันตกเสร็จแล้วจึงให้เอาสุลเทวี ลูกพระยาสัชนาไลย ให้ราชาภิเษกด้วยเจ้าไกรสรราช ณ เมืองละโว้ แล้วพระองค์กับท้าวพระยาทั้งหลายช่วยกันฉลองวัดวาอาราม และพระพุทธรูปเจ็ดวัน แล้วให้ตั้งบ้านส่วยสัดพระพุทธรูปทั้งสามองค์ ตั้งจ่านกร้อง และจ่าการบูรณ์ให้เป็นมหาเสนาซ้ายขวา เสร็จแล้วจึงยกกำลังกลับ เสด็จไปได้เดือนหนึ่งจึงถึงนครบุรีรมย์ สร้างเมืองเสนาราชนคร
    พระเจ้าไกรสรราช สั่งให้อำมาตย์เสนาในให้สร้างเมืองหนึ่งใกล้เมืองละโว้ ทาง ๕๐๐ เส้น แต่งพระราชวังคูหอรบ เสาใต้เชิงเรียงเสร็จแล้วจึงให้อำมาตย์รับเอาดวงเกรียงกฤษณราชกับพระราชเทวีไปราชาภิเษกร่วม เมืองนั้น ชื่อว่าเสนาราชนครแต่นั้นมา แต่ พ.ศ.๑๕๐๐ พระเจ้าศรีธรรมไตรปิฎกให้แต่งเจ้าชาติสาครไปกินเมืองเชียงราย พระองค์มีพระชนม์ได้ ๑๕๐ ทิวงคต เมื่อ พ.ศ.๑๕๐๐ แต่นั้นมาเมืองใคร ๆ อยู่มิได้ไปมาหากัน เจ้าชาติสาครเสวยราชสมบัติแทนสมเด็จพระราชบิดาเมืองพิไชยเชียงแสนมาได้เจ็ดชั่วกษัตริย์


    ที่นี้สำนักวัดนาป่าพงคึกฤทธิ์และสาวก เห็นรอยพระพุทธบาทเป็นคำแต่งใหม่ปรุงแต่งเป็นเดรัจฉานวิชา คราวนี้จะเอาหน้าเอาตาไปไว้ที่ไหนได้?

    รู้สึกอับอาย ขายขี้หน้าแทนในความหยาบความหนาของขันธสันดานของเหล่าสำนักวัดนาป่าพง อันมีคึกฤทธิ์และสาวกเหลือเกิน จนอยากจะแทรกแผ่นดินหนีแทนจริงๆ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 กันยายน 2016
  12. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    “เจ้าจงอยู่ที่นี่แหละอย่าไปไหนเลย จะไปตามพระร่วงให้”

    นายร่วงพเนจรหลบหนีพวกทหารขอมอยู่เป็นเวลาหลายปี จนเมื่ออายุครบบวชจึงอุปสมบทเป็นพระภิกษุอยู่ที่วัดในเมืองสุโขทัย ชาวบ้านจึงเรียกกันว่า พระร่วง นับแต่นั้นมา วันหนึ่งนายทหารขอมซึ่งทราบข่าวได้ติดตามมา ครั้นถึงวัดที่พระร่วงจำพรรษาอยู่ได้ใช้ฤทธิ์ดำดินลอดกำแพงวัดเข้าไป เห็นพระร่วงกำลังกวาดลานวัดอยู่แต่ไม่รู้จักจึงถามว่า “พระร่วงที่มาจากเมืองละโว้อยู่ที่ไหน” พระร่วงจึงสอบถามจนรู้ว่าเป็นนายทหารขอมที่ตามมาจับตนจึงบอกว่า “เจ้าจงอยู่ที่นี่แหละอย่าไปไหนเลย จะไปตามพระร่วงให้” ด้วยฤทธิ์วาจาสิทธิ์ของพระร่วง ร่างของขอมดำดินผู้นั้นก็แข็งกลายเป็นหินติดคาแผ่นดินอยู่ตรงนั้น
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 017.jpg
      017.jpg
      ขนาดไฟล์:
      161.7 KB
      เปิดดู:
      164
  13. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    เรื่องพระเจ้าสายน้ำผึ้ง
    มีเด็กเลี้ยงโคอยู่กลางทุ่งนา 47 คน มีจอมปลวกสูงใหญ่อยู่แห่งหนึ่ง มีได้ตั้งคนหนึ่งขึ้นว่าราชการบนจอมปลวกนั้น ตั้งป็น ขุนอินทรเทพ ขุนพิเรนทรเทพ เป็นที่ขุนนางผู้ใหญ่ ครั้งนั้น เมื่อพราหมณ์ปุโรหิตเสี่ยงเครื่องกกุธภัณฑ์กับเรือเอกชัยสุพรรณหงษ์ ไปตามชลมารค ไปถึงบ้านเด็กเล่น เรือก็หยุดอยู่ พราหมณ์จึงเป่าสังข์แตรงอนแตรฝรั่งขึ้นพร้อมกัน รับเอานายหมู่เด็กมาครองราชสมบัติ จึงเรียกว่า บ้านเด็กเล่นมาแต่นั้น ให้เอาพวกเด็กเพื่อนกันลงมาตั้งให้เป็นข้าราชการ อยู่ต่อมาวันหนึ่งเห็นมอญพ่อลูกมาขายผ้าลูก ได้เบญจลักษณ์ จึงให้แต่งเรือลงไปรับกับคานหาม แล้วรับนางขึ้นคานหามมาพระราชวัง จึงเรียกว่า บ้านคานหามมาแต่นั้น จากนั้นได้รับนางขึ้นราชาภิเษกเป็นเอกอัครมเหสี บ้านเมืองก็อยู่เย็นเป็นสุข
    ขณะนั้นเจ้ากรุงจีนได้บุตรบุญธรรมในจั่นหมากจึงให้ชื่อว่า นางสร้อยดอกหมาก เมื่อเจริญวัยขึ้นจึงให้โหรทำนายว่า พระราชธิดาจะคู่ควรด้วยกษัตริย์เมืองใด โหรทำนายว่าเห็นอยู่แต่ทิศตะวันตกกรุงไทย ที่ควรแก่พระราชธิดา พระเจ้ากรุงจีนจึงแต่งพระราชสาส์นให้ขุนแก้วการเวทถือเข้ามา ในสาส์นนั้นว่าพระเจ้ากรุงจีน ให้มาเป็นทางพระราชไมตรีถึงพระเจ้ากรุงศรีอยุธยา และขอยกพระราชธิดาให้เป็นพระอัครมเหสี เมื่อพระองค์ทราบแล้วก็ดีพระทัยตรัสว่าเดือนสิบสองจะออกไปรับ แล้วสั่งให้จัดเรือเอกชัยเป็นขบวนพยุห ออกไปรับเมื่อปี จ.ศ.395 เมื่อเสด็จมาถึงแหลมวัดปากคลอง พอน้ำขึ้นจึงประทับพระที่นั่งอยู่หน้าวัด ทอดพระเนตรเห็นผึ้งจับอยู่ที่อกไก่ใต้ช่อฟ้าหน้าบัน จึงขอนมัสการพระพุทธปฏิมากร อธิษฐานว่าถ้ามีบุญจะได้ครองไพร่ฟ้าอาณาประชาราษฎร์ ขอให้น้ำผึ้งย้อยหยดลงมากลั้วเอาเรือขึ้นไปประทับแทบกำแพงแก้วนั้นเถิด พอตกพระโอษฐ์ดังนั้น น้ำผึ้งก็ย้อยลงมากลั้วเรือพระที่นั่งรื้อขึ้นไปถึงที่ พระองค์จึงเปลื้องเอาพระภูษาทรงสักการะพระพุทธปฏิมา พระสงฆ์สมภารลงมาถวายชัยมงคลว่า มหาบพิตรพระราชสมภารจะสำเร็จสมความปรารถนา จะครองไพร่ฟ้าอยู่เย็นเป็นสุขทั่วทิศ จึงถวายพระนามว่า พระเจ้าสายน้ำผึ้ง

    ครั้นน้ำหยุดจะลง พระองค์สั่งให้ท้าวพระยาพฤฒามาตย์ทั้งหลาย และเสนามนตรีกลับไปรักษาพระนคร พระองค์เสด็จไปทรงเรือพระที่นั่งเอกชัยลำเดียว เสด็จไปจนถึงเขาไพ่ แล้วประทับที่อ่าวนาคคืนหนึ่ง อ่าวเสืออีกคืนหนึ่ง พระเจ้ากรุงจีนจึงแต่งกระบวนแห่มารับพระองค์เข้ามาพระราชวัง แล้วราชาภิเษกนางสร้อยดอกหมากเป็นพระอัครมเหสี พระเจ้ากรุงจีนแต่งสำเภาห้าลำกับเครื่องอุปโภคบริโภคเป็นอันมาก ให้จีนมีชื่อห้าร้อยคนเข้ามาด้วย สำเภาเดินทางสิบห้าวันก็ถึงแดนพระนคร ขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยกับพระราชาคณะ ราษฎร แต่งการรับเสด็จ พระราชาคณะฐานานุกรม 150 รูปไปรับเสด็จที่เกาะจึงเรียก เกาะพระแต่นั้นมา แล้วเชิญเสด็จมาท้ายเมืองที่ปากน้ำแม่เบี้ย แล้วเชิญเสด็จเข้าวัง ให้จัดตำหนักซ้ายขวา ให้เฒ่าแก่กับเรือพระที่นั่ง ลงมารับนาง นางตอบว่าถ้าพระองค์ไม่ลงมารับแล้วไม่ไป พระองค์ทราบดังนั้นก็ว่าเป็นหยอกเล่น มาถึงนี่แล้วจะอยู่ที่นั่นก็ตามเถิด นางรู้ความคิดว่าจริงก็เศร้าพระทัย ครั้นรุ่งขึ้นจึงแต่งกระบวนมารับเสด็จมาด้วย นางตัดพ้อว่าไม่ไป พระองค์ก็สัพยอกว่าไม่ไปแล้วก็อยู่ที่นี่ พอตกพระโอษฐ์นางก็กลั้นใจตาย เมื่อปี จ.ศ.๔๐๖ จึงเชิญพระศพมาพระราชทานเพลิงที่ แหลมบางกะจะ สถาปนาเป็นพระอาราม ให้นามว่าวัด พระเจ้าพระนางเชิง แต่นั้นมา
    พระเจ้าสายน้ำผึ้งได้ยกพลไปขุดบางเตยจะสร้างเมืองใหม่ พระอาจารย์ห้ามว่าน้ำเค็มนัก ยังไม่ถึง"พุทธทำนาย"สร้างไม่ได้ จึงสร้าง วัดหน้าพระธาตุถวายพระอาจารย์ แล้วมาสร้าง วัดมงคลบพิตร พระองค์อยู่ในราชสมบัติได้ 42 ปี สวรรคตเมื่อปี จ.ศ.427


    พระยาธรรมิกราช พระราชบุตรพระเจ้าสายน้ำผึ้งได้เสวยราชสมบัติ สร้าง วัดมุขราช ทรงทศพิธราชธรรม บำรุงพระพุทธศาสนา ประเทศราชเกรงพระเดชานุภาพยิ่งนัก แต่ดอกไม้ทองเงินขึ้นเป็นอันมาก ขนอนอากร บ่อนเบี้ย ช่วงเรือลำละ 10 เบี้ย 40 เบี้ย มิให้เรียกแก่ราษฎรล้ำเหลือ ฝนตกตามฤดู น้ำงามตามฤดู เสวยราชย์ 42 ปี จ.ศ.458 ให้ ขุดคลองบางตะเคียนออกไปบางยิหน
    จ.ศ.671 พระเจ้าอยู่หัวทรงสร้าง วัดกุฎีดาว พระอัครมเหสีสร้าง วัดมเหยงค์ พระองค์ครองราชย์ 97 ปี สวรรคต เมื่อปี จ.ศ.672



    พุทธทำนายที่เกี่ยวข้องกับ พระยาธรรมิกราช มีมาก่อน เนิ่นนานนับพันปี


    ล่องเรือหาวัด : พระเจ้าสายน้ำผึ้งพระนางสร้อยดอกหมาก หลวงพ่อซำปอกง วัดพนัญเชิง
    http://www.oknation.net/blog/winsstars/2013/08/17/entry-2




    บ้างก็ว่าเท็จ
    สุจิตต์ วงษ์เทศ

    สายน้ำผึ้ง, สร้อยดอกหมาก
    และวัดพนัญเชิง อยุธยา

    พระเจ้ากรุงจีนได้ธิดาบุญธรรมชื่อนางสร้อยดอกหมาก เพราะเกิดในจั่นหมาก(จั่น หมายถึง ช่อดอกหมาก หรือมะพร้าวที่ยังอ่อนอยู่) จะยกให้เป็นมเหสีพระเจ้ากรุงอยุธยา
    ขณะนั้นพระเจ้าสายน้ำผึ้งเป็นพระเจ้ากรุงอยุธยา เสด็จไปเมืองจีน ได้นางสร้อยดอกหมากเป็นมเหสี แล้วกลับอยุธยาโดยสำเภา จอดที่ปากน้ำแม่เบี้ย (คือปากคลองสวนพลู ที่ไหลลงแม่น้ำเจ้าพระยาทางใต้เกาะเมือง ปัจจุบันมีศาลเจ้าปากน้ำแม่เบี้ย)
    พระเจ้าสายน้ำผึ้งให้นางสร้อยดอกหมากรอก่อนในสำเภา จะไปจัดเตรียมตำหนัก ที่ประทับของนาง แล้วจะมารับ
    เสร็จแล้วจึงให้เถ้าแก่กับเรือพระที่นั่งไปรับ นางสร้อยดอกหมากตอบว่าถ้าพระองค์ ไม่ลงมารับแล้วไม่ไป
    ครั้นรุ่งเช้า พระเจ้าสายน้ำผึ้งแต่งกระบวนแห่มารับด้วยพระองค์เอง แล้วเสด็จไปหาบนสำเภาจีน นางสร้อยดอกหมากตัดพ้อว่าไม่ไป พระเจ้าสายน้ำผึ้งจึงสัพยอกว่าเมื่อไม่ไปก็อยู่ที่นี่ พอได้ยินดังนั้นนางสร้อยดอกหมากก็กลั้นใจตาย
    จึงเชิญศพไปเผาที่แหลมบางกะจะ แล้วสถาปนาเป็นพระอารามให้ชื่อว่า วัดพระเจ้าพระนางเชิง ปัจจุบันคือ วัดพนัญเชิง
    แท้จริงแล้วชื่อวัดว่าพนัญเชิง กลายมาจากคำเขมรว่า แพนงเชิง แปลว่า นั่งขัดสมาธิ หมายถึง พระพุทธรูปประธานในวิหารหลวง ทำปางนั่งขัดสมาธิ ชาวจีนเรียก ซำปอกง
    เป็นวัดตั้งแต่ยุคอโยธยา-ละโว้ (ก่อนยุคอยุธยา) สร้างบริเวณชุมชนชาวจีนที่ค้าสำเภาตั้งแต่ยุคทวารวดีสืบเนื่องมา
    จึงผูกนิทาน (ไม่ใช่เรื่องจริง) เรื่องพระเจ้าสายน้ำผึ้งกับนางสร้อยดอกหมาก เพื่อสะท้อนความจริงเรื่องความสัมพันธ์ใกล้ชิดทางเศรษฐกิจการเมืองและการค้า ระหว่างอยุธยากับจีนว่ามีมาตั้งแต่ดึกดำบรรพ์แล้ว


    แต่เรื่องที่ต้องการคือเรื่องที่เกี่ยวเนื่องกับ"พระธรรมิกราชและพุทธทำนาย"ตำนานอื่นถกเถียงกันจริงเท็จ ยังมิใช่จุดมุ่งหมาย อยู่ห่างๆอย่างห่วง รอผู้รู้ไปสานต่อกันเอง ไปต่อ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 กันยายน 2016
  14. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    เมืองสาวัตถี (บาลี: Sāvatthī สาวัตถี; สันสกฤต: श्रावस्ती Śrāvastī ศราวัสตี; อังกฤษ: Sravasti) คือเมืองโบราณในสมัยพุทธกาล มีความสำคัญในฐานะที่เป็นเมืองหลวงของแคว้นโกศล ๑ ใน แคว้นมหาอำนาจใน ๑๖ มหาชนบทในสมัยพุทธกาล เมืองนี้รุ่งเรืองจากการที่เป็นชุมนุมการค้าขาย การทหาร เป็นเมืองมหาอำนาจใหญ่ควบคู่กับเมืองราชคฤห์แห่งแคว้นมคธในสมัยโบราณ ปัจจุบันเมืองนี้เหลือเพียงซากโบราณสถาน คนอินเดียในปัจจุบันลืมชื่อเมืองสาวัตถี (ในภาษาบาลี) หรือ ศราวัสตี (ในภาษาสันสกฤต) ไปหมดแล้ว คงเรียกแถบตำบลที่ตั้งเมืองสาวัตถีนี้เพียงว่า สะเหถ-มะเหถ (Saheth-Maheth) ปัจจุบัน สะเหต-มะเหต ตั้งอยู่ในรัฐอุตตรประเทศ ประเทศอินเดีย

    เมืองสาวัตถีในสมัยพุทธกาลเป็นเมืองที่ใหญ่พอกับเมืองราชคฤห์และพาราณสี เป็นเมืองศูนย์กลางการค้าขายในสมัยพุทธกาล โดยในสมัยนั้นเมืองสาวัตถีมีพระเจ้าปเสนทิโกศลปกครองร่วมสมัยกับพระเจ้าพิมพิสาร นอกจากนี้เมืองสาวัตถีนับว่าเป็นเมืองสำคัญในการเป็นฐานในการเผยแพร่พระพุทธศาสนาของพระพุทธเจ้าที่สำคัญ เพราะเป็นเมืองที่พระพุทธเจ้าประทับนานที่สุดถึง 25 พรรษา เป็นที่ตรัสพระสูตรมากมายและเป็นเมืองที่พระพุทธศาสนามั่นคงที่สุด เพราะมีผู้อุปถัมภ์สำคัญ เช่น พระเจ้าปเสนทิโกศล อนาถบิณฑิกเศรษฐี นางวิสาขา เป็นต้น

    สาวัตถี ปัจจุบันยังมีซากโบราณสถานที่สำคัญปรากฏร่องรอยอยู่ คือวัดเชตวันมหาวิหาร (ซึ่งพระพุทธเจ้าเคยประทับอยู่ถึง ๑๙ พรรษา), บริเวณวังของพระเจ้าปเสนทิโกศล, บ้านของอนาถบิณฑิกเศรษฐี (สถูป), บ้านบิดาขององคุลีมาล (สถูป), สถานที่พระเทวทัตถูกแผ่นดินสูบ (หน้าวัดพระเชตวันมหาวิหาร), ที่แสดงยมกปาฏิหาริย์ แล้วเสด็จไปจำพรรษา ณ สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เพื่อแสดงพระอภิธรรมโปรดพระพุทธมารดา เป็นต้น


    • พุทธตำนานแห่งหงสาวดี
    • พุทธตำนานที่ว่า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จมาโปรดสัตว์ตั้งแต่ครั้งบริเวณนี้ยังเป็นทะเลแล้วทอดพระเนตรเห็นหงส์ทองป้องปีกกระทำสักการะ จึงมีพุทธทำนายว่าอนาคตจะมีกษัตริย์ผู้ทรงธรรมมาตั้งเมืองที่เรืองโรจน์ด้วยพุทธศาสนาที่นี่ จึงได้ชื่อว่า “หงสาวดี” หรือ “หานตาวดี” อันเป็นคำตอบว่าเหตุใดสัญลักษณ์ของชนชาติมอญจึงเป็นหงส์ บางตำราว่า หงส์นั้นเป็นตัวผู้และตัวเมียระหว่างบินผ่านทะเล แลเห็นดินดอนเล็กๆพอให้ร่อนลงไปเกาะพักเหนื่อยได้ โดยตัวผู้ให้ตัวเมียเกาะหลัง ซึ่งได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของเมืองหงสาวดีตราบจนปัจจุบัน
    • ครั้นชนชาติพม่าเข้ามายึดครองหงสาวดี จึงเกิดคำพูดในหมู่ชายชาวพม่าว่า "ถ้าไม่อยากอยู่ใต้อำนาจเมีย จงอย่าเอาสาวมอญเมืองหงสามาเป็นเมีย"



    เรื่องพระมาลีเจดีย์
    พระยาเชียงทอง เข้าเฝ้า สมเด็จพระเจ้าปราสาททอง ว่ายังมีพระอาจารย์องค์หนึ่งมาถวายพระพรว่า "พระพุทธเจ้าตรัสแก่พระอานนท์ว่า สืบไปเมื่อหน้าเมืองสาวัตถี จะกลายเป็นเมืองหงสาวดี "จะมีกษัตริย์องค์หนึ่งพระนามว่า พระเจ้าศรีธรรมาโศกราช จะสร้างพระมาลีเจดีย์องค์หนึ่งในกลางพระนคร ทุกวันนี้ยังปรากฏมีอยู่ พระมาลีเจดีย์นั้นอยู่ทิศอุดร พระเจ้ากรุงศรีอยุธยา แจ้งพฤติเหตุแล้วก็มีพระทัยยินดีนัก ในปี จ.ศ.413 จึงตรัสสั่งให้ขุนการเวก และพระยาศรีธรรมราชา ภูดาษราชวัตรมเมืองอินทร์ ภูดาษกินเมืองพรหม ยกกระบัตรนายเพลิงกำจาย นายทำนององค์รักษ์ นายหาญใจเพชร นายเด็จสงครามข้าหลวงแปดนาย กับไพร่ห้าร้อยคุมเครื่องบูชาขึ้นไปถวายพระมาลีเจดีย์ คณะดังกล่าวเดินทางไป สุพรรณบุรีถึงบ้านชบา เมืองพระยาเจ็ดตน บ้านรังงาม ด่านทราง เจ้าปู่หิน ถึงแม่น้ำชุมเกลียว ณ ที่นั้นมีพระพุทธไสยาสน์องค์หนึ่งเป็นทองสัมฤทธิ์ ยาวห้าเส้น คณะทั้งหมดเข้าไปนมัสการ แล้วเดินทางต่อถึงเขาฝรั่งยางหิน ถึงตำบลเขาหลวง พอสิ้นแดนกรุงศรีอยุธยา ไปถึง ด่านทุ่งเขาหลวง สิ้นเขตแดนนับได้ 38 วัน จากนั้นขาดระยะบ้านไม่มีผู้คนเดินเลย บ่ายหน้าไปทิศอุดร เป็นป่าใหญ่ เดินไปไม่ต้องแดด เป็นทุ่งอยู่กลางเป็นป่าละเมาะ คนทั้งปวงสิ้นอาหารกินแต่ผลไม้ สิ้นหนทาง 30 วัน จึงเข้า เมืองหงสาวดี มีด่านบ้านพราหมณ์รายไปบ้าง สิ้นหนทางนั้น 30 วัน จึงถึงเมืองหงสาวดี สิ้นทาง ๒ เดือน กับ 21 วัน ทั้งหมดพากันไปพระอาราม เข้าไปนมัสการพระสังฆราชา
    วันรุ่งขึ้น พระสังฆราชาให้ปะขาวนำข้าหลวงทั้งปวงเข้าไปในพระอาราม ทำประทักษิณพระระเบียงรอบหนึ่ง พระระเบียงเป็นสี่เหลี่ยมจตุรัสยาวยี่สิบเส้น ขื่อพระระเบียงยาวสองเส้นสิบวา มีพระพุทธรูปรายรอบ หล่อด้วยทองสัมฤทธิ์ทั้งสิ้น เป็นพระพุทธรูปสูงสิบวา เสาพระระเบียงแปดเหลี่ยม แต่ละเหลี่ยมวัดได้เก้าศอก สูงถึงท้องขื่อวัดได้ยี่สิบวา ก่ออิฐกระชับรักแล้วถือปูน หุ้มด้วยทองแดงหนาสามนิ้ว แปกลอนระแนงระเบียง ทำด้วยไม้แก่น พื้นพระระเบียงดาษด้วยดีบุกหนาสิบสองนิ้ว

    วันรุ่งขึ้นปะขาวนำไปนมัสการพระมาลีเจดีย์ คือองค์พระมาลีเจดีย์ธาตุ เมื่อไปถึงตีนบันไดใต้พระมหาธาตุ วัดฐานได้สามสิบห้าเส้น ห้าวา ทั้งสี่ด้านยาว ร้อยสี่สิบเอ็ดเส้น บันไดขึ้นพระมาลีเจดีย์ทด้วยทองแดงตั้งลงกับอิฐ แม่บันไดใหญ่รอบสามกำ ประตูพระมหาธาตุกว้างสองเส้น สูงห้าเส้น มีหงส์ทองสี่ตัว ประชุมกันเป็นแท่นรอง พระพุทธรูปบนหลังหงส์สองร้อยองค์ แต่ล้วนทองคำทั้งแท่ง สูงสองศอก ข้อเท้าสงส์รอบสิบเอ็ดกำ ตัวหงส์สูง สิบหกศอก ทำด้วยทองคำทั้งแท่ง องค์พระมหาธาตุแผ่ทองคำเป็นแผ่นอิฐ หนาสามนิ้ว กว้างสามศอก ยาวห้าศอก ทองคำหุ้มองค์พระมหาธาตุขึ้นไปจนถึงยอด แล้วเอาลวดทองแดงร้อยหูกันเข้าเอาสายโซ่คล้องเข้าเป็นตาข่าย หุ้มรัดข้างหน่วงขึ้นไปอีกชั้นหนึ่ง ยอดพระมหาเจดีย์มีลูกแก้วใหญ่ได้ห้าอ้อมมัชฌิมบุรุษ ข้าหลวงทั้งปวงขึ้นแต่เชิงบันไดตั้งแต่เช้า ถึงประตูพระมหาเจดีย์ได้เวลาเที่ยงนมัสการแล้วกลับลงมาถึงเชิงบันไดก็พอค่ำ พื้นพระมาลีเจดีย์ซึ่งรองหงส์เหยียบอยู่นั้น ดาษด้วยแผ่นเงินหนาสามนิ้ว กว้างสามศอกเป็นสี่เหลี่ยม เหล็กกระดูกพระมาลีเจดีย์ที่ร้อยลูกแก้วใหญ่รอบสิบเอ็ดกำ พระมาลีเจดีย์สร้างเมื่อ ปี พ.ศ.๒๑๑ พระเจ้าศรีธรรมาโสกราชเป็นผู้สร้างขึ้นไว้แต่เดิมก่อด้วยอิฐ แผ่นอิฐหน้าสี่ศอกหกนิ้ว กว้างห้าศอก ยาวห้าวาสองศอก
    วันรุ่งขึ้น ปะขาวนำไปนมัสการพระเชตุพนมหาวิหาร บันไดก่อด้วยอิฐกว้างได้สิบเจ็ดเส้นกับสิบวา แต่เชิงบันไดขึ้นไปบนถนนสิบห้าเส้น ถนนยาวได้สิบเจ็ดเส้นกับสิบวา ในพระเชตุพนชั้นในกว้างสามสิบเส้นกับสิบวา เสาก่อด้วยอิฐเป็นแปดเหลี่ยม แต่เหลี่ยมหนึ่งได้เจ็ดวา แต่ประตูพระเชตุพนเข้าไปจนถึงพระอาสนบัลลังก์ ที่ตรัสพระธรรมเทศนา วัดไว้ สิบเจ็ดเส้นกับสิบวา ด้านแปพระเชตุพนยาวได้ เจ็ดสิบห้าเส้น เสาสูงถึงท้องขื่อวัดได้ หนึ่งเส้นสิบวา พระรัตนบัลลังก์อยู่หว่างกลางห้อง พื้นบนดาษด้วยทองคำหนาสามนิ้ว มีพื้นลดลงมาอีกห้อง ดาษด้วยนากหนาสามนิ้ว พื้นลดลงมาอีกชั้นหนึ่งดาษด้วยเงินหนาสามนิ้ว รอบรัตนบัลลังก์ทั้งสี่ด้าน ที่อาสนสงฆ์กว้างสามเส้น พื้นดาษด้วยเงินหนาสามนิ้ว พื้นที่บริษัทนั่งดาษด้วยดีบุกหนาห้านิ้ว นับเสาพระเชตุพนได้ สามพันเสา มีกำแพงรอบพระเชตุพนสูงสิบวา จากพระเชตุพนมาถึงพระมาลีเจดีย์เป็นทางยี่สิบห้าเส้น
    พระสังฆราชาให้ปะขาวนำไปดูระฆังทองหล่อหนาสามสิบเอ็ดนิ้ว ปากกว้างห้าวาสองศอก สูงสิบเอ็ดวา ไม้ตีระฆังรอบสามกำ ยาวสามวา โรงระฆังสูงสิบห้าวา เสาไม้แก่น พระสงฆ์มีแต่อารามเดียวเท่านี้ มีบัญชีพระวรรณษาเป็นพระสงฆ์สองหมื่นกับสามองค์ พระสังฆราชาถามว่าพระสงฆ์ในกรุงศรีอยุธยามีผ้าอันใด เป็นผ้าพระสมณสำรวม ขุนการเวกทูลว่าฝ่ายคันถธุระทรงผ้ารัตตกัมพลแดง ฝ่ายวิปัสนาทรงเหลือง พระสังฆราชาว่าในเมืองหงสาวดีนั้นทรงผ้าแดงทั้งสิ้น
    ขุนการเวกกับข้าหลวงอยู่ได้ประมาณยี่สิบห้าวันก็กลับคืนมายังกรุงศรีอยุธยา แล้วไปเฝ้าสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวแจ้งพฤติเหตุ ทรงพระราชทานรางวัล แล้วบรรดาผู้ที่มาด้วยกันทั้งสิ้นก็กราบถวายบังคมลาบวช


    ข้อสงสัย
    ถ้าเมืองสาวัตถีในเรื่องพระมาลีเจดีย์ เป็นจริง ก็ให้คิดพิจารณาว่า " เมืองสาวัตถีนี้มีสองเมือง เป็นเมืองที่มีชื่อคล้ายกัน แต่ถ้าเป็นเมืองเดียวกันแล้วล่ะก็ "ถ้าพุทธทำนายในเรื่องพระมาลีเจดีย์ไม่ผิด" ประวัติศาสตร์เรื่องดินแดนที่เกี่ยวพัน คงต้องเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ที่น่าคิดจนน่าฉงน ประเทศพม่านั้นอยู่ติดกับอินเดียเสียด้วย แค่คิดก็รู้สึกหนาวสั่นเลยทีเดียว

    จากการตรวจสอบ ก็เลยมาตั้งข้อสงสัยกันตรงนี้ คุณ เอกอิสโร พิจารณาไว้แสดงไว้ตั้งแต่ ปี๒๐๑๐

    http://palungjit.org/posts/3873251

    ก็พิจารณากันไปเรื่อยๆ ไม่มีญานหยั่งรู้กันก็วิเคราะห์กันไปก่อน

    http://palungjit.org/threads/ความลับหนังสือของคุณเอกอิสโร.275748/




    ที่เกี่ยวข้องกล่าวถึงจึงนำมาเล่า ก็ "พุทธทำนาย"ในข้อนั้นนี่เอง ที่เหลือให้ผู้มีบุญมีความสามารถระลึกรู้ยังอตีตังสญาณ ญาณนี้เป็นญาณรู้เรื่องในอดีต เมื่อบรรลุแล้วก็คงมาเฉลยให้ฟังอีกที

    เป็นเรื่องที่น่าสนใจ เจ้าฟ้าเมืองใหญ่ ๑๖ เมือง คงไม่ไปอยู่ในพื้นที่แคบๆติดกัน ผนวกกับเรื่องที่ทรงเสด็จมายังแผ่นดินไทยในอดีต ยิ่งน่าคิดและน่าติดตามจริงๆ

    หลักฐานถูกทำลายเปลี่ยนแปลงบิดเบือนสูญหายไปก็มาก ฉนั้นไม่ต้องรีบร้อนนัก ถึงเวลาผู้มีบุญมาปรากฎก็ทราบเอง หลักฐานในแผ่นดิน หรือ เทพเทวาเขารู้เขาเห็นอยู่มีเยอะ อย่าไปเถียงกันจนลืมผู้รู้เห็นจริง
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 5306080302.jpg
      5306080302.jpg
      ขนาดไฟล์:
      81.6 KB
      เปิดดู:
      200
    • 1377836858.jpg
      1377836858.jpg
      ขนาดไฟล์:
      166.4 KB
      เปิดดู:
      130
  15. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    เรื่องพระยากง
    พระยากง ครองเมืองกาญจนบุรี อัครมเหสีทรงพระครรภ์ โหรทำนายว่าพระราชกุมารนี้มีบุญมาก ใจก็ฉกรรจ์จะฆ่าพระบิดาเสีย ตอนประสูติพระราชบิดาเอาพานรับพระราชกุมาร พระนลาฏกระทบของพานเป็นรอบอยู่เป็นสำคัญ พระยากงได้เอาพระราชกุมารไปฆ่าเสีย พระราชมารดาจึงลอบเอาพระราชกุมาร อายุสิบเอ็ดเดือนไปให้ ยายหอมเลี้ยงไว้ ครั้นเจริญวัยยายหอมเอากุมารไปให้พระยาราชบุรีเลี้ยงเป็นบุตรบุญธรรม บุตรบุญธรรมถามว่า เอาดอกไม้ทองเงินไปให้พระยากาญจนบุรีด้วยเหตุอันใด พระยาราชบุรีตอบว่าเพราะเป็นเมืองขึ้นของเขา ถ้าไม่ให้เขาจะว่าเป็นขบถ ต่อมาเมื่อถึงเวลาแล้วทางเมืองราชบุรี ไม่ส่งดอกไม้ทองเงินไปให้ พระยากงจึงเกณฑ์พลลงมาจะจับพระยาราชบุรีฆ่าเสีย พระยาราชบุรีให้บุตรบุญธรรมเป็นแม่ทัพ พระยากงก็ผูกช้างพลายมงคลเข้าโจมไ ล่ช้างพระกุมาร ช้างพระยากงเสียทีถูกพระราชกุมารจ้วงฟันตายกับคอช้าง พระราชกุมารขับพลรุกไล่ไปถึงเมืองกาญจนบุรีปล้นเอาเมืองได้ โหราปุโรหิตจึงยกพระราชกุมารขึ้นครองราชสมบัติ พระนาม พระยาพาน ครั้งเข้าปฐมยาม พระยาพานก็เข้าข้างใน ตั้งใจหมายจะสังวาสด้วยมารดา วิฬาร์แม่ลูก ลูกร้องจะกินนม แม่ห้ามไว้บอกว่า ดูลูกเขาจะเข้าหาแม่ พระยาพานก็สะดุดตกใจถอยออกมา ครั้นถึงทุติยยามก็กลับเข้าไปอีก ม้าแม่ลูกอยู่ที่ใต้ถุน ลูกร้องจะกินนม แม่ห้ามไว้บอกว่า ดูลูกเขาจะเข้าไปหาแม่ พระยาพานก็ตกใจถอยออกมา ครั้นถึงตติยยามก็กลับเข้าไปอีกถึงมารดา ๆ จึงถามว่า ท่านเป็นบุตรผู้ใด พระยาพานบอกว่า เป็นบุตรพระยาราชบุรี มารดาจึงบอกว่าเจ้านี้เป็นลูกของข้า เมื่อประสูติเอาพานรองรับ พระพักตร์กระทบพานเป็นรอยอยู่ บิดาให้เอาเจ้าไปฆ่าแม่จึงเอาไปฝากยายหอมไว้ พระยาพานได้สำคัญเป็นแน่ก็ทรงกันแสงว่า ได้ผิดแล้ว ตรัสว่ายายหอมหาได้บอกให้รู้ไม่ ก็ให้เอายายหอมไปฆ่าเสีย แร้งลงกินจึงเรียก ท่าแร้งมาจนบัดนี้
    เมื่อพระยาพานมีราชบุตร ทรงเสน่หาราชบุตรเป็นกำลังเมื่อคิดถึงที่ได้ฆ่าบิดาก็เสียพระทัยสลดลง ทรงพระดำริว่ายังเห็นอยู่แต่พระคิริมานนท์ พอจะส่องสว่างได้จึงได้อาราธนาพระคิริมานนท์กับพระองคุลิมาล ซึ่งได้พระอรหัต บรรลุธรรมพิเศษ มารับบิณฑบาตฉันในพระราชวังแล้วพระองค์ตรัสถามพระผู้เป็นเจ้าว่า พระองค์ได้ฆ่าบิดาเป็นความผิดนักหนา คิดจะหาความชอบจะเห็นเป็นประการใด พระมหาเถรทั้งสองถวายพระพรว่าเป็น ครุกรรมถึง ปิตุฆาต จะไปสู่มหาอเวจีช้านานนัก นี่หากว่ารู้สึกตัวว่าทำผิดคิดจะใคร่หาความชอบจะให้ตลอดไปนั้นมิได้ แต่ว่าจะบำบัดเบาลงสิบส่วนเท่า คงอยู่สักเท่าส่วนหนึ่ง ให้ก่อ พระเจดีย์สูงชั่วนกเขาเหิน จะค่อยคลายโทษลง

    พระยาพานจึงดำรัสสั่งเสนาบดีคิดการสร้างพระเจดีย์ใหญ่สูงชั่วนกเขาเหิน สร้างวัดเบื้องสูงท่าประธมพระวิหารสี่ทิศไว้พระจงกลมองค์หนึ่ง พระสมาธิทั้งสามด้าน ประตูแขวนฆ้องใหญ่ ปากกว้างสามศอกสี่ประตู ทำพระระเบียงรอบพระวิหาร แล้วบรรจุพระบรมธาตุพระเขี้ยวแก้วในพระเจดีย์ใหญ่เสร็จแล้ว ฉลองเล่นมหรสพครบเจ็ดวันเจ็ดคืน ให้ทานยาจกวรรณิพก แล้วให้บูรณะพระแท่นประสูติพระพุทธเจ้า ณ เมืองโกสินาราย

    จ.ศ.552 พระยาพานยกทัพขึ้นไป เมืองลำพูน ไปนมัสการพระบรมธาตุพระพุทธเจ้าถึงสามปี แล้วยกทัพกลับ จึงปรายเงินทองต่างข้าวตอกดอกไม้ถวายพระบรมธาตุมาทุก ๆ ตำบล มาแต่เมืองลำพูน ลำปาง ลงมาทาง เดิมบางนางบวช จนถึง เมืองนครไชยศรีสิ้นเก้าปี รู้ทั่วกันว่าพระยาราชบุรีเป็นบิดาเลี้ยง จะมาจับ ก็ยกทัพหนีขึ้นไปยังประเทศราช เสนาบดีจึงเชิญขึ้นครองราชสมบัติสี่สิบปี สวรรคต จ.ศ.669

    มีพระราชบุตรองค์หนึ่ง เสนาบดีมุขมนตรีทั้งหลายยกพระราชกุมารขึ้นเสวยราชสมบัติ ถวายพระนาม พระพรรษา ราษฎรเป็นสุขยิ่งนัก ตั้งแต่นั้นมาได้เก้าสิบปี สร้าง วัดศรีสรรเพชญ์ วัดสวนหลวง เสด็จสวรรคต เมื่อ จ.ศ.906 พระรามบัณฑิตได้เสวยราชย์ ถวายพระนามสมเด็จพระรามพงษ์บัณฑิตย์อุดมราชาปิ่นเกล้าพระเจ้าอยู่หัว มีพระราชโองการตรัสแก่ขุนวิชาชำนาญธรรมเป็นนักปราชญ์ ว่าด้วยจุลศักราชนั้นมากำกับอยู่ด้วย พระพุทธศักราชนั้นหาควรไม่ไม่ พระพุทธจักรก็จะอยู่ในอำนาจอาณาจักร ประเพณีแปรปรวนไปทุกที จึงให้ยกจุลศักราชออกเสีย ให้ตั้งพระพุทธศักราชไว้เป็นกำหนดสืบไป พระพุทธศักราชล่วงได้ 955 พรรษา ศรีธนนไชยสร้าง วัดโลกสุธา พ.ศ.957 พระสังฆราชลงมาแต่เมืองหงสาวดีมาถามถึงอัตถกถาจะเสื่อมสูญหรือยังผู้ใดจะทรงไว้ได้ทั้งพระไตรปิฎก อยู่ วัดโพธิหอม ขณะนั้นองค์อินทร์เป็นเชื้อมาแต่พระยากาฬปักษ์ สร้าง วัดหน้าพระเมรุ ไว้เป็นหลักพระพุทธศาสนา จ.ศ.900 สวรรคต

    ศรีศัมพูกปัฏฏนะ คือ เมืองโบราณโกสินารายณ์
    ศรีศัมพูกปัฏฏนะ” หรือชื่อใหม่ว่า ”เมืองโบราณโกสินารายณ์” ตั้งอยู่ริมแม่น้ำแม่กลอง ตามถนนสายบ้านโป่ง – กาญจนบุรี ในเขตตำบลท่าผา อำเภอบ้านโป่ง จังหวัดราชบุรี


    เอาล่ะสิทีนี้มีแท่นประสูติพระพุทธเจ้าด้วย / หรือไม่ก็จำลองไว้เพื่อสักการะบูชาตามพุทธประวัติ
    ประวัติ ตำนาน และเรื่องเล่าราชบุรี: ศรีศัมพูกปัฏฏนะ เมืองเก่าราชบุรีที่หายสาบสูญ

    กุสินารา หรือ กุศินคร (ฮินดี: कुशीनगर, อูรดู: کُشی نگر‎, อังกฤษ: Kusinaga, Kushinagar) เป็นที่ตั้งของสังเวชนียสถานแห่งที่ 4 ในสมัยพุทธกาลเป็นเมืองเอกหนึ่งในสองของแคว้นมัลละ อยู่ตรงข้ามฝั่งแม่น้ำคู่กับเมือง ปาวา เป็นที่ตั้งของ สาลวโนทยาน หรือป่าไม้สาละที่พระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพานและเป็นสถานที่ถวายพระเพลิงพระพุทธเจ้า

    "ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอพระองค์อย่าเสด็จปรินิพพานในเมืองดอนในฐานะเมืองกิ่งนี้เลย เมืองอื่นอันมีขนาดใหญ่กว่านี้ยังมีอยู่คือ จัมปา ราชคฤห์ สาวัตถี สาเกต โกสัมพี พาราณสี ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าจงเสด็จดับขันธปรินิพพานในเมืองเหล่านี้เถิด กษัตริย์ผู้มีอำนาจ พราหมณ์ผู้มีบารมี เศรษฐีคหบดีผู้มั่งคั่งที่เลื่อมใสในพระองค์มีมากในเมืองเหล่านี้ ท่านผู้มีอำนาจเหล่านั้นจักได้กระทำการบูชาพระสรีระของตถาคต"

    https://th.wikipedia.org/wiki/กุสินารา

    หลักฐานทางศิลปวัตถุโบราณสถานค่อนข้างมาก ถ้าว่ากันตามเนื้อผ้า ทั้ง สถานที่ประสูตรด้วย ยังไงๆก็ต้องชี้ชัดไปที่อินเดียก่อน

    ก่อนพุทธศักราช ๘๐ ปี พระพุทธมารดาคือพระนางสิริมหามายาทรงครรภ์ใกล้ครบกำหนดพระสูติการ จึงเสด็จออกจากกรุงกบิลพัสดุ์ เพื่อไปมีพระสูติการที่กรุงเทวทหะ อันเป็นเมืองต้นตระกูลของพระนาง ตามธรรมเนียมประเพณีพราหมณ์ เมื่อขบวนเสด็จมาถึงครึ่งทางระหว่างกรุงกบิลพัสดุ์กับกรุงเทวทหะ ณ ที่ตรงนั้นเป็นสวนมีชื่อว่า "สวนลุมพินีวัน" เป็นสวนป่าไม้ "สาละ" พระนางได้ทรงหยุดพักอิริยาบท (ปัจจุบันคือตำบล "รุมมินเด" แขวงเปชวาร์ ประเทศเนปาล) พระนางประทับยืนชูพระหัตถ์ขึ้นเหนี่ยวกิ่งสาละ และขณะนั้นเองก็รู้สึกประชวรพระครรภ์ และได้ประสูติพระสิทธัตถะกุมาร ซึ่งตรงกับวันศุกร์เพ็ญเดือน ๖ ปีจอ ก่อนพุทธศักราช ๘๐ ปี คำว่าสิทธัตถะ แปลว่า
    "สมปรารถนา"



    ที่น่าสนใจก็คือมีการระบุถึงพระอรหันตสาวกไว้ด้วยฯ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • kn2.jpg
      kn2.jpg
      ขนาดไฟล์:
      54.4 KB
      เปิดดู:
      84
    • กก.jpg
      กก.jpg
      ขนาดไฟล์:
      33.6 KB
      เปิดดู:
      118
    • IMG_07933.jpg
      IMG_07933.jpg
      ขนาดไฟล์:
      93 KB
      เปิดดู:
      146
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 กันยายน 2016
  16. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    พระแท่นดงรัง ตั้งอยู่หมู่ที่ ๑๐ ตำบลพระแท่น อำเภอท่ามะกา จังหวัดกาญจนบุรี อยู่ในเขตเทศบาลตำบลพระแท่น ในปัจจุบันนี้การคมนาคมสะดวกสบาย เพราะมีเส้นทางรถยนต์ผ่านวัด ๒ เส้นทาง คือแยกจากถนนสายบ้านโป่ง - กาญจนบุรี ใกล้หลักกิโลเมตรที่ ๑๐๑ ตรงตลาดท่าเรือ ระยะทางจากตลาดท่าเรือถึงพระแท่น ๑๐ กิโลเมตร อีกสายหนึ่งแยกจากถนนสาย กำแพงแสน-พนมทวน ตรงหลักกิโลเมตรที่ ๒๒ เป็นระยะทาง ๓๐๐ เมตร ถึงวัดพระแท่นฯ ในบริเวณพระแท่นดงรังนี้ ทั้งวัดพระแท่นดงรังวรวิหาร และพุทธสถานพระแท่นดงรัง ซึ่งตั้งอยู่ในอาณาบริเวณเดียวกัน

    พระแท่นดงรัง นับว่าเป็นเจดียฐานประการหนึ่ง คือถือว่าเป็นที่ปรินิพพานของพระพุทธเจ้า และนับว่าเป็นสังเวชนียสถานแห่งหนึ่งในสี่แห่งของ พระพุทธเจ้า คือสถานที่ประสูติ สถานที่ตรัสรู้ สถานที่แสดงปฐมเทศนา และสถานที่ดับขันธปรินิพพาน ซึ่งสถานที่ดังกล่าวตั้งอยู่ในประเทศอินเดียในปัจจุบัน

    ตามตำนาน อันเป็นคติที่เชื่อกันว่า พระพุทธเจ้าได้เสด็จไปยังแว่นแคว้นต่าง ๆ ภายนอกประเทศอินเดีย ด้วยอำนาจฌานสมาบัติ และได้ประดิษฐานเจดีย์หรือ ตรัสพยากรณ์เรื่องราวต่าง ๆ ไว้ในแว่นแคว้นเหล่านั้น จึงเกิดมีเจดีย์วัตถุและพุทธพยากรณ์ที่อ้างว่า พระพุทธองค์ได้ทรงประดิษฐานเจดีย์วัตถุไว้

    ในประเทศไทยมีตำนานเกี่ยวกับการประทับรอยพระพุทธบาท และการสร้างพระธาตุเจดีย์อยู่เป็นจำนวนไม่น้อย รวมทั้งพระแท่นและพระพุทธฉาย สำหรับพระแท่น ที่มีอยู่ในพงศาวดารคือ พระแท่นศิลาอาสน์ มีมาตั้งแต่ครั้งกรุงสุโขทัย แต่พระแท่นดงรัง ไม่ได้มีกล่าวไว้ในพงศาวดาร จึงสันนิษฐานว่า อาจจะเกิดขึ้นในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย

    ความอัศจรรย์ของพระแท่นดงรังนั้นผิดกับเจดีย์วัตถุอื่น เนื่องจากมีผู้เชื่อว่า พระพุทธเจ้าได้เสด็จดับขันธปรินิพพาน ณ พระแท่นดงรังนี้จริง ๆ ซึ่งเท่ากับว่าเมืองไทยนี้เป็นมัชฌิมประเทศ อันเป็นสถานที่ ประสูติ ตรัสรู้ และดับขันธปรินิพพานของพระพุทธเจ้า

    พระแท่นบรรทม พระแท่นเป็นหินแท่งทึบหน้าลาดคล้ายแท่น หรือเตียงนอน ต่ำข้างหนึ่งสูงข้างหนึ่ง ขนาดยาว ๑๑ ศอก ๑ คืบ กว้าง ๔ ศอกเศษ ด้านล่างป็นปูนปั้นรองแท่น มีหินวางทับซ้อนกันอยู่ มองดูคล้าย พระเขนย (หมอน) พระแท่นนี้อยู่ภายในวิหารเดิมมีต้นรังข้างละหนึ่งต้นโน้มยอดเข้าหากัน

    "…..................................
    ในระหว่างนางรังทั้งคู่ค้อม
    แต่ไม้รังยังรักพระศาสดา
    ชวนกันไปไหว้พระแท่นแผ่นศิลา
    คำนับน้อมกิ่งก้านก็สาขา
    อนิจจาเราเกิดไม่ทันองค์"
    ปัจจุบันมีวิหารสร้างครอบพระแท่นไว้ ซึ่งคงสร้างไว้นานแล้ว เพราะเมื่อปี พ.ศ. ๒๓๗๖ สามเณรกลั่นได้เดินทางไปนมัสการพระแท่นดงรังกับสุนทรภู่ ได้แต่งนิราศไว้มีความตอนหนึ่งว่า

    "ถึงพระแท่นแสนสงัดเห็นวัดมี
    กับต้นรังทั้งคู่ยังอยู่พร้อม
    ต่างชื่นชมโสมนัสยิ่งศรัทธา
    เข้าประตูดูแผ่นพระแท่นดัง ทั้งโบสถ์ที่ครอบพระแท่นแผ่นศิลา
    ดูยอดน้อมเข้ามาข้างแท่นที่แผ่นผา
    ตามบิดาทักษิณด้วยยินดี
    เหมือนบัลลังก์แลจำรัสรัศมี
    ส่วนที่เป็นพระแท่นนั้นเป็นปลายของเทือกศิลาที่ยื่นออกมา มีลักษณะเป็นศิลาแท่งสูงข้างหนึ่ง ต่ำข้างหนึ่ง ข้างสูงวัดได้ศอกคืบ และยังมีส่วนที่สูงขึ้นไปอีก เหมือนเป็นหมอน กว้างประมาณคืบเศษ สูงประมาณหนึ่งคืบ ปลายพระแท่นสูง ๑๖ นิ้ว พระแท่นยา ๑๑ ศอกคืบ กว้าง ๔ ศอก เศษ ส่วนล่างกว้าง ๓ ศอก เศษ

    วัดพระแท่นดงรัง หรือพระแท่นดงรัง สร้างขึ้นเมื่อใดไม่ปรากฎหลักฐานแน่ชัด สันนิษฐานว่าคงจะสร้างขึ้นในสมัยอยุธยา เพราะได้รับอิทธิพลจากศาสนาพุทธในประเทศลังกา เนื่องจากในสมัยพระเจ้าบรมโกศ ได้นำพันธุ์พระศรีมหาโพธิมาจากเกาะลังกา และเกิดมีพระพุทธบาทขึ้นที่เมืองสระบุรีและพระแท่นดงรังในแขวงเมืองราชบุรี (ปัจจุบันอยู่ในเขตอำเภอท่ามะกา จังหวัดกาญจนบุรี) นับถือกันว่าเป็นบริโภคเจดีย์

    หลักฐานเก่าแก่ที่สุดคือ จากนิราศพระแท่นดงรังของ สามเณรกลั่น ที่เดินทางไปนมัสการพระแท่นดงรังพร้อมสุนทรภู่ เมื่อเดือนสี่ ปีมะเส็ง ปี พ.ศ. ๒๓๗๖ ว่า
    ถึงพระแท่นแสนสงัดเห็นวัดมี
    ทั้งโบสถ์ที่ครอบพระแท่นแผ่นศิลา
    กับต้นรังทั้งคู่ยังอยู่พร้อม
    ดูยอดน้อมมาข้างแท่นที่แผ่นผา
    ต่างชื่นชมโสมนัสยิ่งศรัทธา
    ตามบิดาทักษิณด้วยยินดี
    เข้าประตูดูแผ่นพระแท่นตั้ง
    เหมือนบัลลังก์แลจำรัสรัศมี
    และจากนิราศของนายมี ซึ่งเดินทางไปนมัสการพระแท่นดงรัง เมื่อปีวอก นักษัตรอัฐศก พ.ศ ๒๓๗๘ ภายหลังสามเณรกลั่น ๓ ปี นายมีได้พรรณนาถึงพระแท่นดงรังว่า

    เอาธูปเทียนบุปผาสุมาลัย
    ชวนกันไหว้พระแท่นแผ่นศิลา
    ในระหว่างนางรังทั้งคู่ค้อม
    คำนับน้อมกิ่งก้านก็สาขา
    แต่ไม้รังรักพระศาสดา
    อนิจจาเราเกิดไม่ทันองค์
    จากนิราศทั้งสองนี้ทำให้ทราบว่ามีวัดพระแท่นดงรังและมีการสร้างวิหารคลุมพระแท่นอยู่ก่อนแล้ว จึงสันนิษฐานว่าพระแท่นนี้คงจะมีมาตั้งแต่สมัยอยุธยาและอาจจะร้างไป เพราะอยู่ในช่วงสงครามกับพม่า ต่อมาจึงมีการบูรณะขึ้นในสมัยรัชกาลที่ ๑ หรือต้นรัชกาลที่ ๒ ต่อมาวิหารได้ชำรุดทรุดโทรมไป

    สมัยรัชกาลที่ ๓

    พุทธศาสนิกชนผู้มีจิตศรัทธาได้บอกบุญปฏิสังขรณ์ขึ้นใหม่ ตามจดหมายเหตุสมัยรัชกาลที่ ๓ เลขที่ ๓๑๖ เรื่อง บัญชีรายนามผู้ปฏิสังขรณ์พระแท่น จ.ศ. ๑๒๐๑ (พ.ศ. ๒๓๘๒)

    สมัยรัชกาลที่ ๔

    พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล่าเจ้าอยู่หัว (เจ้าฟ้าจุฑามณี กรมขุนอิศเรศรังสรรค์) ได้เสด็จพระราชดำเนินมานมัสการพระแท่นดงรัง เมื่อเดือน ๖ ปีมะเมีย พ.ศ. ๒๔๐๒ และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้บูรณปฏิสังขรณ์ตามปรากฏในพระราชพงศาวดารว่า "เมื่อปีกุน เบญจศก (พ.ศ. ๒๔๐๕) ที่พระแท่นดงรังก็ได้โปรดเกล้าฯ ให้กรมการเมืองราชบุรี ทำวิหารและพระราชอุโบสถที่ค้างอยู่ให้แล้วเสร็จ จำนวนเงินไม่ปรากฎ และให้สร้างเจดีย์ขึ้นที่หลังพระแท่น ๑ องค์


    สมัยรัชกาลที่ ๕

    พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงพระราชนิพนธ์เสด็จประพาสไทรโยค ปีฉลู จ.ศ. ๑๒๓๙ (พ.ศ. ๒๔๒๐) ได้กล่าวถึงค่ายหลวงพระแท่นดงรัง ได้ทรงเขียนอธิบายถึงพระแท่นดงรังอย่างละเอียดว่า " ... จนเวลาบ่ายโมงครึ่งไปที่พระแท่น ขี้เกียจจะแวะที่พระแท่นเป็น ๒ หน ๓ หน จึงขึ้นไปที่เขาถวายพระเพลิงเสียทีเดียว ระยะทางที่มาประมาณว่า ๑๒ เส้นนั้น เย็นวันนี้ ถามพันจันทร์ได้ความว่า ตั้งแต่พลับพลาไปจนถึงวิหารพระแท่น ทาง ๑๖ เส้น ๑๓ วา แต่วิหารไปถึงเชิงเขา๑๐ เส้น ๗ วา แต่เชิงบันไดถึงเชิงมณฑป ๓ เส้น ๘ วา ... ตรงหน้าที่สูงขึ้นบันไดขึ้นไป ยังเป็นยอดสูงขึ้นไปอีกหน่อยหนึ่งเป็นที่ตั้งมณฑป ๑๒ เหลี่ยม กว้างประมาณ ๓ วา มีเสาข้างใน ๔ เสา ทำเป็นเมรุกลายๆ ยอดแหลม มีประตู ๒ ประตู ในนั้นมีพระบาทอยู่เชิงตะกอน ... ที่วิหารพระแท่นตั้งอยู่ที่นั้นเป็นเขาเทือกเดียวกันกับเขาถวายพระเพลิง เชิงเขานั้นตกราบลงมาสูงกว่าพื้นดินข้างล่างอยู่หน่อยหนึ่ง มาถึงที่พระแท่นจึงเป็นเขาศิลากองยาวออกไป ที่ข้างหลังวิหารมีช่องศิลายาวประมาณ ๖ นิ้ว กว้าง ๔ นิ้ว หยั่งดูลึกสักสองศอก ว่าเป็นที่บ้วนพระโอษฐ์ของพระพุทธเจ้า ที่พระแท่นนั้นเป็นปลายของเทือกศิลาที่เขานั้นยื่นออกมาก่อผนังทับคงเป็นศิลาเป็นแท่งสูง ข้างหนึ่งต่ำข้างหนึ่งสูงนั้น วัดได้ศอกคืบ ยังมีสูงขึ้นไปเหมือนหนึ่งเป็นหมอน กว้างสักคืบเศษ สูงคืบหนึ่ง ข้างปลายสูง ๑๖ นิ้ว ยาว ๑๑ ศอกคืบ ข้างบนกว้าง ๔ ศอกเศษ เป็นพื้นขรุขระอยู่ แต่เจ้าของปิดทองทำปั้นเป็นบัวรองไว้ ... "

    สมัยรัชกาลที่ ๖

    เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๖๔ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖ เสด็จพระราชดำเนินไปซ้อมรบเสือป่า ณ ค่ายหลวงบ้านโป่ง ภายหลังการซ้อมรบเสือป่าแล้วได้เสด็จพระราชดำเนินโดยรถยนต์พระที่นั่งไปตามถนนและทางเกวียนมาทรงสักการะพระแท่นดงรัง แต่เสด็จเพียงวันเดียวไม่ได้ประทับแรม

    สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ มีลายพระหัตถ์เล่าเรื่องพระแท่นดงรังถวายพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ในสาส์นสมเด็จ ภาค ๓๗ ฉบับลงวันที่ ๑๙ และ ๒๖ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๘๒ ว่า " ... ถึงพระแท่นดงรัง หม่อมฉันเห็นว่าศักดิ์สิทธิ์สำคัญไม่ได้อยู่ที่ตัวพระแท่น เท่ากับผ้าเหลืองที่เขาเอาซ้อนกองไว้บนพระแท่นเป็นรูปคล้ายกับศพคลุมผ้านอนอยู่บนนั้น ผู้ที่ไปพระแท่นดงรังครั้งแรก ล้วนนึกว่าจะไปดูพระแท่น ครั้นไปถึงแต่พอโผล่ประตูวิหารเข้าไป เห็นรูปกองผ้าเหลืองเหมือนอย่าง "พระพุทธศพ" วางบนพระแท่นก่อนสิ่งอื่นก็จับใจในทันที บางคนก็สะดุ้งกลัว บางคนยิ่งรู้สึกเลื่อมใส พระแท่นดงรังอัศจรรย์ด้วยผ้าเหลืองกองนั้นเป็นสำคัญ จึงมักกล่าวกันว่าพระแท่นศิลาอาสน์ไม่น่าเลื่อมใสเหมือนพระแท่นดงรัง ... "

    สมัยรัชกาลปัจจุบัน

    พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช พร้อมสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จพระราชดำเนินมานมัสการพระแท่นดงรัง ๒ ครั้งคือ

    เมื่อวันที่ ๓๐ พฤษภาคม ๒๕๑๒ ทรงบำเพ็ญพระราชกุศลในวันวิสาขบูชา วางศิลาฤกษ์พระอุโบสถหลังใหม่ ทรงลงพระปรมาภิไธยบนแผ่นศิลา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงปลูกต้นโพธิ์ และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงปลูกต้นรัง
    เมื่อวันที่ ๑๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๑๕ เสด็จพระราชดำเนินทรงประกอบพิธียกช่อฟ้าพระอุโบสถและเททองหล่อพระประธานและพระพุทธบาทจำลอง
    พระบรมวงศานุวงศ์ที่เสด็จมานมัสการพระแท่นดงรัง

    พระวงวงศ์เธอ กรมหมื่นพิทยลาภพฤฒิยากร ๒๙ เมษายน ๒๕๑๒ เพื่อเตรียมการรับเสด็จฯ
    สมเด็จพระภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดาฯ และพระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวี ๑๕ มีนาคม ๒๕๑๓ และ ๑๗ พฤศจิกายน ๒๕๑๓ ทรงประกอบพิธีเปิดงานนมัสการและทรงทอดผ้ากฐิน
    สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีและสมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้าจุฬาภรณ์วลัยลักษณ์ เสด็จฯนมัสการพระแท่นดงรัง เมื่อวันที่ ๒๐ สิงหาคม ๒๕๑๕
    สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมงกุฎราชกุมาร เสด็จรวม ๒ ครั้ง เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๑๘ เสด็จเป็นการส่วนพระองค์ และเมื่อวันที่ ๘ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๒๒ เสด็จพระราชดำเนินทรงตัดหวายลูกนิมิต
    กรมศิลปากรขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานของชาติ

    กรมศิลปากร กระทรวงศึกษาธิการ ได้ขึ้นทะเบียนพระแท่นดงรัง เป็นโบราณสถานของชาติ ตามประกาศในราชกิจนุเบกษา เล่น ๗๒ ตอนที่ ๒ ลงวันที่ ๔ มกราคม พ.ศ. ๒๔๙๘ สิ่งสำคัญมีตัวพระแท่นและขอบเขตเนื้อที่รวมทั้งสิ้น ๕,๑๕๒ ไร่

    สถาปนาเป็นพระอารามหลวง

    พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระบรมราชานุญาต ให้ยกพระแท่นดงรังเป็นพระอารามหลวงชั้นตรี ชนิดวรวิหาร เพื่อเฉลิมพระเกียรติในพระราชพิธีสถานปนาสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมงกุฎราชกุมาร วันที่ ๒๘ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๑๕ ..



    นอกจากสำนักวัดนาป่าพงสอนให้ไม่เอารอยพระพุทธบาท หรือพระธาตุแล้ว การสร้างเจดีย์ นั้นไม่ได้จำกัดว่าตายที่ไหนสร้างที่นั่น หรือจำลองสร้างต่อไม่ได้ อย่างที่คึกฤทธิ์ว่ามา ผิดเต็มๆ

    [ame]https://youtu.be/cGBaHOhreKk[/ame]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • p99.jpg
      p99.jpg
      ขนาดไฟล์:
      103.3 KB
      เปิดดู:
      96
  17. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    เรื่องพระเจ้าอู่ทอง
    พระเจ้ากาแต เป็นเชื้อมาแต่นเรศว์หงษาวดี ได้มาบูรณะ วัดโปรดสัตว์ วัดภูเขาทอง วัดใหญ่ แล้วให้มอญน้อยออกไปสร้าง วัดสนามไชย แล้วมาบูรณะ วัดพระป่าเลไลย ในวัดลานมะขวิด แขวง เมืองพันธุมบุรี ขนานนามเมืองใหม่ว่า สองพันบุรี พระองค์อยู่ในราชสมบัติ ๔๐ ปี จึงสวรรคต เมื่อปี จ.ศ.๕๖๕
    พระยาอู่ทองกับพระเชษฐา พร้อมทั้งพระราชบุตรกับครอบครัวยกลงมาแต่เมือง ฉเชียงหลวง ลงมาถึงที่แห่งหนึ่งเห็นสงบเงียบ ก็ยกไปท้ายเมืองฝั่งใต้ ตั้งที่ประทับอยู่ที่นั้น ราษฎรนับถือว่าเป็นผู้มีบุญ ก็เข้ามาประชุมสโมสรพร้อมกัน แล้วยกขึ้นเป็นเจ้าแผ่นดิน จึงยกพระเชษฐาให้ครอง เมืองสุคันธคีรี พระเจ้าท้องลันเป็นปฐมกษัตริย์สืบมา พระยาสุคันธคีรีเจ้าเมืองเชียงใหม่ใคร่จะหาคู่ครองให้บุตร มีผู้บอกข่าวว่าบุตรพระยาอู่ทองคนหนึ่งงามดังนางสวรรค์ เจ้าไชยทัตใคร่จะได้นางมาเป็นคู่ครองจึงปลอมตัวลงมาพร้อมเข้าไชยเสน ผู้เป็นน้องลอบเข้าไปหานางถึงในวังหลวง แล้วลักลอบได้เสียกันจนนางมีครรภ์แก่ พระยาอู่ทองเห็นเหตุการณ์ผิดประหลาด จึงสั่งให้ทำลอบเหล็กดักไว้ที่ท่อน้ำ เจ้าไชยทัตไม่ทันรู้เลยติดลอบตาย พระยาอู่ทองเห็นเข้าก็เสียดาย ครั้นได้พบน้องชายที่มาด้วยสอบถามดูรู้ว่า เป็นราชบุตรพระเจ้าเชียงใหม่จึงให้ราชาภิเษกกับพระราชบุตรี
    ต่อมาพระยาอู่ทองให้หาชัยภูมิจะสร้างเมืองใหม่ จึงให้อำมาตย์ข้ามไปฝั่งที่เกาะตรงวังข้าม พบฤาษีรูปหนึ่งอยู่ในดงโสนริมหนองน้ำ ชื่อสัทธรรมโคดม ฤาษีจึงว่าเราอยู่ที่นี่นานมาแล้ว จะมาสร้างเมืองดีอยู่แล้ว ตนจะไปอยู่เขาแก้วบรรพต แต่ ณ ที่นี้เป็นกองกูณฑ์อัคคี หาเป็นที่ชัยภูมิไม่ ให้ไปข้างทิศหรดีเป็นชัยภูมิดี มีต้นหมันเป็นสำคัญอยู่ต้นหนึ่ง แล้วฤาษีว่าแก่เสนาบดีว่า จะมีกษัตริย์ไปภายหน้าเป็นอันมาก จะเป็นเมืองท่าสำเภา แต่จะเกิดยุทธนาการไม่รู้วาย

    (ต่อนี้เป็นเรื่องพระยาแกรก ที่กล่าวมาแล้วแต่ตอนต้น)


    เมื่อสิ้นบุญพระยาแกรกแล้ว กาลต่อมาอีกสามชั่วพระยา ยังแต่ผู้หญิงอันสืบตระกูล เศรษฐีสองคนคือ โชดกเศรษฐี กับ กาลเศรษฐี จึงคิดอ่านให้เอาท้าวอู่ทองลูกโชดกเศรษฐีประสมด้วยกันกับพระราชธิดาครองเมืองมาได้เจ็ดปี เกิดห่าลงเมือง ผู้คนล้มตายมาก พระองค์จึงอพยพออกจากพระนครไปทางด้านทิศทักษิณได้สิบห้าวัน ถึงแม่น้ำสายหนึ่ง และเห็นเกาะแห่งหนึ่งเป็นปริมณฑลงาม จะข้ามมิได้จึงให้ตั้งทัพตามริมน้ำ ครั้นได้เรือมาแล้วจึงข้ามไปที่เกาะ เห็นดาบสรูปหนึ่งอยู่ใต้ต้นไม้ ดาบสแจ้งว่าอายุได้ ๑๕๐ ปีแล้ว และอยู่ที่นี่มานาน เมื่อพระพุทธเจ้ามาถึงนี่ เราได้นิมนต์ให้นั่งบนตอตะเคียน แล้วถวายมะขามป้อม พระพุทธเจ้ามีพระพุทธฎีกาแก่พระอานนท์ว่า" ฐานที่นี้จะเป็นเมืองเรียกว่า" ศรีอโยธยา" พระยาทราบเรื่องแล้วยินดียิ่งนัก ไปเลียบดูที่จะตั้งพระราชวังกับเรือนหลวง และตั้งกำแพงกับค่ายคูไปรอบเมือง เสร็จแล้วจึงไปสู่เมืองพร้อมไพร่พล

    พระเจ้าอู่ทองครองเมืองศรีอโยธยาเป็นสุข มีพระราชบุตรสามองค์ ชื่อเจ้าอ้าย เจ้ายี่ และเจ้าสาม ท้าวพระยาทั้งหลายเกรงอานุภาพ เจ้าไปกิน เมืองนคร เจ้ายี่ไปกิน เมืองตะนาว เจ้าสามไปกิน เมืองเพชรบุรี
     
  18. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    ตำนานพระแก้วมรกต
    ยังมีพระอรหันต์เจ้าองค์หนึ่งทรงนามว่า พระมหานาคเสน อันจบด้วยพระไตรปิฎก และมีปัญญาฉลาดลึกล้ำ รู้โวทนาแก้ปริศนาปัญหาทั้งปวง เป็นอาจารย์พระยามิลินทราช อยู่ที่ วัดอโสการาม ใน เมืองปาตลีบุตร เมื่อพระพุทธศาสนาล่วงได้ ห้าร้อย พระวัสสา

    พระมหานาคเสนพิจารณาเห็นว่า เราควรจะสร้างพระพุทธรูปเจ้าไว้ให้เป็นที่นมัสการแก่มนุษย์ และเทพ แต่จะสร้างด้วยเงินหรือทองคำให้มั่นคงถึงห้าพันพระวัสสานั้นหาได้ไม่ ควรจะสร้างพระพุทธรูปด้วยแก้วลูกประเสริฐ


    สมเด็จพระอมรินทราธิราช คิดเห็นอัธยาศรัยแห่งพระมหานาคเสน จึงเสด็จมาพร้อมด้วยพระวิศณุกรรม เข้าไปไหว้พระมหานาคเสนแล้วว่า พระองค์จะช่วยสงเคราะห์ให้สมความปรารถนา โดยจะไปเอาแก้วอันมีในเขาเวมุลบรรพตมาถวาย แล้วพระองค์กัยพระวิศณุกรรมก็ไปที่เขาเวมุลบรรพต เห็นคนธรรพ์และกุมภัณฑ์ทั้งปวง จึงได้ตรัสแก่เขาเหล่านั้นว่าจะมาขอเอาแก้วลูกประเสริฐไปถวายพระนาคเสนเจ้าเพื่อสร้าง แปลงเป็นพระพุทธรูป พวกเขาเหล่านั้นจึงกราบทูลว่า แก้วลูกประเสริฐที่พวกเขารักษาไว้นี้เป็นแก้วมณีโชติ อันเป็นของพระบรมจักรพรรดิราชาธิราชเจ้า ถ้าถวายแก้วนี้ไป ครั้นพระบรมจักรพรรดิราชาธิราชเจ้ามาเกิด พวกตนก็จะหาแก้วลูกประเสริฐมาถวายท่านมิได้ แต่ว่าพวกตนจะถวายแก้วมรกตลูกหนึ่ง มีรัศมีอันเขียวงามบริสุทธิ์แก่พระองค์

    เมื่อพระองค์ได้แก้วมรกตมาแล้ว จึงนำไปถวายแก่พระมหานาคเสนเจ้า พระมหานาคเสนมาคำนึงในใจว่า เราจะได้ผู้ใดมาสร้างแปลงยังพระพุทธรูปเจ้าด้วยแก้วมรกตลูกนี้ พระวิศณุกรรมรู้อัธยาศรัยแห่งพระมหานาคเสนเจ้าแล้วจึง จำแลงแปลงกายเป็นมนุษย์ อาสาทำงานนี้ พระมหานาคเสนเจ้าก็ยินดีให้ทำ พระวิศณุกรรมจำแลงก็สร้างแปลงพระพุทธรูป ด้วยแก้วมรกตลูกนั้นอยู่เจ็ดวันก็สำเร็จการ แล้วจึงนิมิตเป็นมหาวิหารอันใหญ่ ประดับด้วยเครื่องประดับทั้งปวง มีแก้วเป็นประธาน ตั้งอยู่ในอโสการามนั้น ตั้งพระแก้วเหนือแท่นรัตนบัลลังก์กาญจน์ในท่ามกลางพระมหาวิหาร


    พระมหานาคเสนเจ้าจึงนำพระบรมธาตุเจ้าเจ็ดพระองค์อันงามบริสุทธิ มีฉัพพรรณรังษีต่าง ๆ กัน ท่านจึงตั้งไว้ยังพานเงินเจ็ดพานซ้อนกัน ตั้งไว้ยังสุวรรณพานทองเจ็ดพานซ้อนกัน ตั้งยังพานแก้วเจ็ดพานซ้อนกันบนพานเงินพานทองนั้น แล้วจึงเชิญพระบรมธาตุเจ้าเจ็ดพระองค์นั้นใส่ลงในผอบแก้วลูกหนึ่ง อันวิจิตรงามมาก ยกผอบแก้วขึ้นประดิษฐานไว้บนพานเงินพานทอง พานแก้วนั้น พระบรมธาตุเจ้าเจ็ดพระองค์นั้นก็กระทำปาฏิหาริย์ เปล่งรัศมีหกประการ ให้รุ่งเรืองสว่างไปทั่วทิศทั้งสี่ ทิศทั้งแปด ก็ให้รุ่งขึ้นทั่วพื้นอากาศเวหาทั้งมวล

    พระมหานาคเสนจึงตั้งสัตยาธิษฐานขออาราธนาเชิญพระบรมธาตุเจ้าเจ็ดพระองค์นั้น ให้เสด็จเข้าไปในพระองค์พระแก้วเจ้านั้น พระบรมธาตุพระองค์หนึ่งเสด็จเข้าในพระโมฬี พระองค์หนึ่งเสด็จเข้าพระพักตร์ พระองค์หนึ่งเสด็จเข้าในพระหัตถ์กำขวา พระองค์หนึ่งเสด็จเข้าในพระหัตถ์กำซ้าย พระองค์หนึ่งเสด็จเข้าในเข่าข้างขวา พระองค์หนึ่งเสด็จเข้าในเข่าข้างซ้าย พระองค์หนึ่งเสด็จเข้าในพระชงฆ์แห่งพระแก้วเจ้า


    พระมหานาคเสนจึงเล็งอรหัตมรรคญาณไปแต่ข้างหน้านั้น จึงเห็นว่าพระแก้วนี้จะไม่ได้อยู่ในเมืองปาตลีบุตร ท่านจึงทำนายไว้ว่า พระแก้วเจ้าของเราองค์นี้ ท่านยังจะเสด็จไปโปรดสัตว์ในประเทศห้าแห่งคือ ลังกาทวีปเป็นกำโพชวิสัยแห่งหนึ่ง ศรีอยุธยาวิสัยแห่งหนึ่ง โยนกวิสัยแห่งหนึ่ง สุวรรณภูมิวิสัยแห่งหนึ่ง ปมหลวิสัยแห่งหนึ่ง
    ต่อมา ชาวเมืองปาตลีบุตร พร้อมใจกันปฏิบัติรักษาบูชาพระแก้วสืบมานานได้สามร้อยปี มาถึงพระเจ้าตะละกะได้ครองราชย์ในเมืองปาตลีบุตร มีราชโอรสนามเจ้าศิริกิตติกุมาร ได้ครองราชย์ต่อจากพระราชบิดา แต่นั้นเกิดศึกสงครามในเมืองปาตลีบุตร คนทั้งปวงเห็นเหตุจะไม่ดีกลัวพระแก้วจะเสียหาย จึงเชิญเอาพระแก้วขึ้นสู่สำเภา พร้อมกับพระปิฎกธรรม พาหนีไปสู่ กัมโพชวิสัยคือ ลังกาทวีป พระแก้วอยู่ที่ลังกาได้สองร้อยปี พระพุทธศักราชได้หนึ่งพันวัสสา


    ครั้งนั้น กษัตริย์องค์หนึ่งพระนามพระเจ้าอนุรุธราชาธิราช ครองราชย์ที่เมืองพุกาม ท่านปฏิบัติรักษาคุณพระพุทธเจ้า คุณพระธรรมเจ้า คุณพระสงฆเจ้าเป็นนิจ มีพระภิกษุเจ้าองค์หนึ่งนามว่าสีลขันธ์ มีปัญญาฉลาดนัก ต่อมาได้เดินทางไปสู่เมืองลังกาทวีปกับพระภิกษุแปดรูป พร้อมทั้งพระเจ้าอนิรุธราชาธิราช พระองค์ได้ขอเอาพระแก้วมรกตจากเจ้าพระนครลังกา ซึ่งเป็นพระสหาย ตอนเดินทางกลับสำเภาลำที่ใส่พระปิฎกธรรมของชาวลังกาไปถึงเมืองพุกามโดยสวัสดี แต่สำเภาลำใส่พระแก้วกับพระปิฎกธรรม อันชาวเมืองพุกามเขียนเองนั้น พลัดไปถึง เมืองอินทปัตมหานคร


    พระเจ้าอินทปัตมหานครได้พระแก้วมรกตแล้วก็ได้ทำการฉลองบูชาพระแก้วเป็นอันมาก แต่นั้นพระพุทธศาสนาก็รุ่งเรืองงามไปทั่วสกลชมพูทวีป ด้วยอานุภาพแห่งพระแก้วเจ้านั้น พระแก้วเจ้าตั้งอยู่ในเมืองอินทปัตมหานครนั้นได้หลายชั่วกษัตริย์ ต่อมาถึงกษัตริย์องค์หนึ่งพระนามพระเจ้าเสนกราช ต่อมาพระองค์ได้ประพฤติไม่ชอบธรรม ให้ฆ่าบุตรของปุโรหิตผู้หนึ่งโดยผูกไปให้จมน้ำในสระแห่งหนึ่ง พระยานาคที่อาศัยอยู่ในสระนั้นเห็นเข้าก็โกรธจึงทำให้น้ำท่วมเมืองอินทปัต ผู้คนจมน้ำตายเป็นอันมาก พระเถรเจ้าองค์หนึ่งได้ยกเอาพระแก้วเจ้ากับพวกที่อยู่รักษาพระแก้วเจ้าขึ้นเรือสำเภาลำหนึ่ง หนีไปจากเมืองอินทปัตมหานคร ขึ้นไปสู่บ้านแห่งหนึ่งฝ่ายหนเหนือ

    ยังมีกษัตริย์องค์หนึ่ง พระนามพระเจ้าอาทิตยราชได้ครองราชย์ใน กรุงศรีอยุธยา รู้ข่าวว่าเมืองอินทปัตมหานครน้ำท่วม ทรงกลัวว่าพระแก้วเจ้าจะเสียหาย พระองค์จึงเสด็จไปเมืองอินทปัตมหานคร พร้อมด้วยจัตุรงคเสนาเป็นอันมาก ครั้นไปถึงก็ให้สืบสวนได้พระแก้วเจ้าแล้ว ก็นำผู้คนที่สมัครกับพระแก้วเจ้าเป็นอันมาก เสด็จกลับพระนครศรีอยุธยา จัดการฉลองบูชาพระแก้วเจ้าได้เดือนหนึ่ง แล้วเชิญแห่เอาพระแก้วเจ้าขึ้นประดิษฐานไว้ในพระศรีรัตนศาสดาราม ด้วยเดชะอานุภาพพระแก้วเจ้า พระพุทธศาสนาก็รุ่งเรืองงามมากในกรุงเทพมหานครศรีอยุธยา พระแก้วเจ้าตั้งอยู่ในกรุงเทพมหานครศรีอยุธยามาได้หลายชั้นพระมหากษัตริย์


    อยู่ต่อมาเจ้าพระยากำแพงเพชร ลงมาทูลขอพระแก้วเจ้าขึ้นไปไว้ใน เมืองกำแพงเพชร ต่อมาท่านก็ได้ราชบุตรคนหนึ่ง เมื่อเจริญวัยก็ตั้งให้ไปเป็นเจ้าเมืองละโว้ อยากได้พระแก้วเจ้าไว้บูชา จึงมาสู่เมืองกำแพงเพชรขอพระแก้วเจ้าไปบูชา หลังจากได้นำไปบูชาได้ปีเก้าเดือนก็นำกลับมาส่งคืน


    ยังมีพระยาองค์หนึ่งชื่อพระยาพรหมทัต ครองราชย์ในเมืองเชียงราย เป็นมิตรไมตรีกับพระเจ้ากำแพงเพชร อยากได้พระแก้วมรกตเจ้ามาบูชาในเมืองเชียงราย จึงมาขอจากเจ้าเมืองกำแพงเพชรผู้เป็นพระสหาย แล้วนำไปบูชาที่ เมืองเชียงราย อยู่ต่อมาเจ้าเมืองเชียงใหม่ผู้เป็นอาเกิด อริวิวาทกัน เจ้าเชียงใหม่ยกไปรบกับเมืองเชียงราย เมืองเชียงรายแพ้ ก็ให้เชิญพระแก้วเจ้ามาไว้ที่ เมืองเชียงใหม่ ให้สร้างปราสาทหลังหนึ่งในวังของท่าน แล้วเชิญพระแก้วเจ้าขึ้นประดิษฐานไว้ในปราสาทนั้น ในครั้งนั้นพระพุทธศาสนาก็รุ่งเรืองงามเป็นที่สุด ด้วยเดชานุภาพพระแก้วเจ้านั้น พระแก้วเจ้าอยู่ในเมืองเชียงใหม่ เมื่อปี พ.ศ.2000


    อยู่ต่อมามีราชโอรสองค์หนึ่ง ของพระเจ้าวิชุนราช ครองราชย์ในเมืองศรีสันาคนหุต พระนามเจ้าโพธิสาร เมื่อเจริญวัยได้สิบห้าปี ก็ได้ขึ้นครองราชย์ต่อจากพระราชบิดา กษัตริย์เมืองเชียงใหม่ได้ยินข่าวว่า พระเจ้าโพธิสารมีศักดานุภาพมาก มีพระราชโอรสสามองค์ พระนามเจ้าไชยเสษฐา เจ้าถินาวะ และเจ้าสีวละวงษา
    ฝ่ายเมืองเชียงใหม่หาตระกูลวงศาเจ้านายที่จะสืบแทนบ้านเมืองต่อไปไม่ได้ จึงพร้อมใจกันให้ราชทูตไปขอเจ้าไชยเสษฐา ให้มาครองราชย์ในเมืองเชียงใหม่ พระเจ้าโพธิสารก็ให้เจ้าไชยเชษฐา ซึ่งมีอายุได้สิบสองปีไปครองราชย์ในเมืองเชียงใหม่ ทรงพระนามว่า พระไชยเสษฐาธิราช ต่อมาได้สามปีพระเจ้าโพธิสารก็ถึงแก่พิราลัยเมื่ออายุได้ สี่สิบสองปี เสนาอำมาตย์ราชบัณฑิตย์ และไพร่พลเมืองทั้งปวง พร้อมกันยกเอาเจ้ากิถนวะ ราชกุมารขึ้นครองราชย์ในเมืองศรีสัตนาคนหุต และยกเอาเจ้าศรีวรวงษาราชกุมารให้ไปเป็นเจ้าเมืองเวียงจันทนบุรี แล้วแต่ทูตไปบอกข่าวพระเจ้าไชยเสษฐาในเมืองเชียงใหม่
    พระเจ้าไชยเสษฐา ฯ รับข่าวสารแล้วมาคิดวิตกว่า เมื่อพระองค์ไปแล้วไม่รู้ว่าจะกลับคืนมาเมืองเชียงใหม่อีกช้านานเท่าใด จึงควรเชิญเอาพระแก้วเจ้าไปด้วย คิดได้ดังนั้นแล้วก็ให้ไปอาราธนาเชิญเอาพระแก้วเจ้า แล้วเสด็จมายังเมืองศรีสัตนาคนหุต เมืองถึงแล้วก็ให้เชิญเอาพระแก้วมรกตขึ้นประดิษฐานไว้ในปราสาทที่พระแซกคำอยู่นั้น แล้วพระองค์ก็ประทับอยู่ในเมืองศรีสัตนาคนหุตนานสามปี


    ฝ่ายทางเมืองเชียงใหม่ รออยู่สามปีเห็นพระเจ้าไชยเสษฐา ฯ ยังไม่กลับมาจึงสืบหาขัติยราชวงษา อันเป็นเนื่องแนวเชื้อสายกษัตริย์มาแต่ก่อน เห็นพระองค์องค์หนึ่งนาม พระเมกุฏิ อันเป็นราชวงษามาแต่ก่อน จึงอาราธนาให้ลาพรตแล้วทำพิธีขัติยราชาภิเษกขึ้นเป็นกษัติริย์ครองราชย์ในเมืองเชียงใหม่

    ฝ่ายพระเจ้าไชยเสษฐา ฯ ทราบข่าวสารการขึ้นครองราชย์ของพระเมกุฏิก็ทรงกริ้วโกรธนัก จึงได้ยกทัพไปตีเอาเมืองเชียงแสนได้แล้ว ก็จะยกไปตีเมืองเชียงใหม่ต่อไป
    ฝ่ายพระเมกุฏิได้ยินข่าวดังกล่าวก็เกรงกลัว จึงยกเอาเมืองเชียงใหม่ไปถวายแก่เจ้าเมืองอังวะ เจ้าเมืองอังวะจึงยกทัพมาช่วยเมืองเชียงใหม่ เมื่อพระเจ้าไชยเสษฐา ฯ ทราบเรื่องเกรงว่าศึกจะยืดเยื้อเป็นสงครามใหญ่ จึงให้ถอยทัพกลับมาตั้งอยู่ที่เมืองเชียงแสนได้เก้าปี แล้วจึงเลิกทัพกลับลงมาเมืองศรีสัตนาคนหุต เห็นว่าเมืองคับแคบมีภูเขาไฟใหญ่น้อยอยู่มาก ควรไปสร้างแปลงที่อยู่ในที่อันกว้างขวาง พิจารณาดังนั้นแล้วจึงไปเอาพระแก้วเจ้า แล้วพาเอาเสนาบดีไพร่พลทั้งปวงไป เวียงจันทบุรี จัดการสร้างแปลงบ้านเมืองครองราชย์อยู่ ณ ที่นั้น ให้สร้างปราสาทหลังหนึ่งในวังของท่าน ประดับประดาด้วย แก้วและเงินดำเป็นอันงามบริสุทธิ์ แล้วให้เชิญเอาพระแก้วเจ้าและพระแซกดำเจ้า ขึ้นประดิษฐานไว้ในปราสาทหลังนั้น แล้วพระองค์ให้สร้างพระเจดีย์ลูกหนึ่งไว้ฝ่ายตะวันออก ถัดเจดีย์พระเจ้าศรีธรรมาโสกราชที่สร้างไว้แล้ว ให้กระทำพระเจดีย์น้อยสามสิบลูก ให้แวดวงเป็นบริวารทั่วทุกกำทุกพาย แล้วปลงพระนามพระมหาเจดีย์เจ้าว่า พระโลกจุฬามณีศรีเชียงใหม่

    [ame]https://youtu.be/S92kTSs18lI[/ame]


    คึกฤทธิ์แห่งสำนักวัดนาป่าพงไม่เอาพระพุทธรูปหรือพระเครื่องเป็นคำแต่งใหม่ไม่มีอานิสงส์ใดๆ เป็นเดรัจฉานวิชา คิดเอาเองถึงสติปัญญา แล้วใครที่ไหนจะกราบพระพุทธรูปแล้วไม่นึกถึง พระพุทธเจ้า ในเมื่อบอกว่าพระเครื่องรูปหล่อรูปปั้นเป็นเดรัจฉานวิชา แล้วมันจะมีอานิสงส์ในการกราบพระเครื่องหรือพระพุทธรูปได้อย่างไร? กราบอากาศแล้วคิดถึงพระพุทธเจ้า คิดถึงพระธรรม คิดถึงพระสงฆ์ก็ได้ถ้าจะสอนคนแบบนั้น

    [ame]https://youtu.be/lACxtEiMSAs[/ame]


    พระศรีสรรเพชญดาญาณ ถูกสร้างขึ้นในปี พ.ศ. ๒๐๔๓ โดยสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๒ โปรดให้สร้างขึ้นหลังจากการสร้างพระวิหารหลวงในปี พ.ศ. ๒๐๔๒ ครั้นถึงปีต่อมาก็ทรงหล่อพระพุทธรูปยืนสูง ๘ วา (๑๖ เมตร) พระพักตร์ยาว ๔ ศอก (๒ เมตร) กว้าง ๓ ศอก (๑.๕ เมตร) พระอุระกว้าง ๑๑ ศอก (๕.๕ เมตร) ใช้ทองสำริดหล่อเป็นแกนในน้ำหนัก ๕,๘๐๐ ชั่ง (๓,๔๘๐ กิโลกรัม) หุ้มทองคำน้ำหนัก ๒๘๖ ชั่ง (๓๔๗.๗๗๖ กิโลกรัม) แล้วถวายพระนามว่า พระศรีสรรเพชญดาญาณ โดยทองคำที่ใช้หุ้มองค์พระนั้น ด้านหน้าเป็นทองเนื้อเจ็ดน้ำสองขา ด้านหลังองค์พระเป็นทองเนื้อหกน้ำสองขา (สมัยนั้นถือว่าทองนพคุณเก้าน้ำหรือทองเนื้อเก้าเป็นทองคำบริสุทธิ์กว่าทองเนื้ออื่นน้ำอื่น)

    เมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชทรงสถาปนาราชอาณาจักรอยุธยาขึ้นใหม่ที่กรุงรัตนโกสินทร์ ก็โปรดให้อัญเชิญพระพุทธรูปเก่าตามหัวเมืองเหนือและกรุงเก่า มาประดิษฐาน ณ พระนครแห่งใหม่ ปรากฏว่า พระศรีสรรเพชญดาญาณ ได้รับความเสียหายอย่างหนักมิอาจซ่อมแซมได้ ทรงปรารถนาจะยุบหุ่นแล้วหล่อใหม่ แต่สมเด็จพระสังฆราชห้ามไว้ว่า "เมื่อเป็นองค์พระอยู่แล้วจะเอาไฟเผาอีกไม่ควร" จึงโปรดให้สร้างเจดีย์แบย่อไม้ ๑๒ สูงเส้นเศษ บรรจุหุ่นพระศรีสรรเพชญ์ ภายในวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม พระราชทานนามว่า "พระมหาเจดีย์พระศรีสรรเพชญดาญาณ" ปัจจุบันประดิษฐานอยู่ ณ วิหารทิศ ภายในวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม


    เมื่อพระเครื่องและพระพุทธรูป เป็นเดรัจฉานวิชา ไม่มีอานิสงส์การสร้างใดๆเป็นคำแต่งใหม่พระพุทธเจ้าไม่ได้บัญญัติ เป็นมิจฉาทิฏฐิ สุดท้ายวิสัชนาจนมุม กลับคำ ถวายข้าวน้ำพระพุทธรูปเป็นสัมมาทิฏฐิเบื้องต้น สรุป ใครยังเห็นว่า สติปัญญา คึกฤทธิ์ เป็นปกติอยู่ล่ะก็ ขอให้เจริญๆนะ แมลงมุมสางใยพันตนเองตาย บอกแล้วมันจะเข้าป่าเข้ารกเข้าพง นี่ล่ะเข้าเรียก สัทธรรมปฎิรูป วิสัชนาสั่งสอนคนมั่วซั่วสุดท้ายก็ปริยัติงูพิษ พันคอฉกกัดตนเอง แล้วจะเปลี่ยนพระไตรปิฏกในโลกด้วยมือของตนเองได้อย่างไร? ลูกศิษย์สำนักวัดนาป่าพงนี่โง่ยังไม่พอ ต้องบ้าด้วย เหมือนอาจารย์มัน

    [ame]https://youtu.be/E0bk3ro98NQ[/ame]



    มหาจัตตารีสกสูตร (๑๑๗)
                 [๒๕๒] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้-
                 สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ที่พระวิหารเชตวัน อารามของ
    อนาถบิณฑิกเศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี สมัยนั้นแล พระผู้มีพระภาคตรัสเรียก
    ภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระดำรัสแล้ว ฯ
                 พระผู้มีพระภาคได้ตรัสดังนี้ว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราจักแสดงสัมมาสมาธิ
    ของพระอริยะ อันมีเหตุ มีองค์ประกอบ แก่เธอทั้งหลาย พวกเธอจงฟังสัมมาสมาธินั้น
    จงใส่ใจให้ดี เราจักกล่าวต่อไป ภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระผู้มีพระภาคว่า
    ชอบแล้ว พระพุทธเจ้าข้า ฯ
                 [๒๕๓] พระผู้มีพระภาคจึงได้ตรัสดังนี้ว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย
    ก็สัมมาสมาธิของพระอริยะ อันมีเหตุ มีองค์ประกอบ คือ สัมมาทิฐิ สัมมาสังกัปปะ
    สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ สัมมาวายามะ สัมมาสติ เป็นไฉน
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ความที่จิตมีอารมณ์เป็นหนึ่ง ประกอบแล้วด้วยองค์ ๗ เหล่านี้แล
    เรียกว่า สัมมาสมาธิของพระอริยะ อันมีเหตุบ้าง มีองค์ประกอบบ้าง ฯ
                 [๒๕๔] ดูกรภิกษุทั้งหลาย บรรดาองค์ทั้ง ๗ นั้น สัมมาทิฐิย่อมเป็น
    ประธาน ก็สัมมาทิฐิย่อมเป็นประธานอย่างไร คือ ภิกษุรู้จักมิจฉาทิฐิว่ามิจฉาทิฐิ
    รู้จักสัมมาทิฐิว่าสัมมาทิฐิ ความรู้ของเธอนั้น เป็นสัมมาทิฐิ ฯ
                 [๒๕๕] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็มิจฉาทิฐิเป็นไฉน คือ ความเห็นดังนี้ว่า
    ทานที่ให้แล้ว ไม่มีผล ยัญที่บูชาแล้ว ไม่มีผล สังเวยที่บวงสรวงแล้ว ไม่มีผล
    ผลวิบากของกรรมที่ทำดีทำชั่วแล้วไม่มี โลกนี้ไม่มี โลกหน้าไม่มี มารดาไม่มี
    บิดาไม่มี สัตว์ที่เป็นอุปปาติกะไม่มี สมณพราหมณ์ทั้งหลายผู้ดำเนินชอบ ปฏิบัติ
    ชอบ ซึ่งประกาศโลกนี้โลกหน้าให้แจ่มแจ้ง เพราะรู้ยิ่งด้วยตนเอง ในโลกไม่มี
    นี้มิจฉาทิฐิ ฯ

                 [๒๕๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็สัมมาทิฐิเป็นไฉน ดูกรภิกษุทั้งหลาย
    เรากล่าวสัมมาทิฐิเป็น ๒ อย่าง คือ สัมมาทิฐิที่ยังเป็นสาสวะ เป็นส่วนแห่งบุญ
    ให้ผลแก่ขันธ์ อย่าง ๑ สัมมาทิฐิของพระอริยะ ที่เป็นอนาสวะ เป็นโลกุตระ
    เป็นองค์มรรค อย่าง ๑ ฯ
                 [๒๕๗] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สัมมาทิฐิที่ยังเป็นสาสวะ เป็นส่วนแห่งบุญ
    ให้ผลแก่ขันธ์ เป็นไฉน คือ ความเห็นดังนี้ว่า ทานที่ให้แล้ว มีผล ยัญที่บูชา
    แล้ว มีผล สังเวยที่บวงสรวงแล้ว มีผล ผลวิบากของกรรมที่ทำดี ทำชั่วแล้ว
    มีอยู่ โลกนี้มี โลกหน้ามี มารดามี บิดามี สัตว์ที่เป็นอุปปาติกะมี สมณพราหมณ์
    ทั้งหลาย ผู้ดำเนินชอบ ปฏิบัติชอบ ซึ่งประกาศโลกนี้โลกหน้าให้แจ่มแจ้ง
    เพราะรู้ยิ่งด้วยตนเอง ในโลก มีอยู่ นี้สัมมาทิฐิที่ยังเป็นสาสวะ เป็นส่วนแห่งบุญ
    ให้ผลแก่ขันธ์ ฯ
                 [๒๕๘] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็สัมมาทิฐิของพระอริยะที่เป็นอนาสวะ
    เป็นโลกุตระ เป็นองค์มรรค เป็นไฉน ดูกรภิกษุทั้งหลาย ปัญญา ปัญญินทรีย์
    ปัญญาพละ ธัมมวิจยสัมโพชฌงค์ ความเห็นชอบ องค์แห่งมรรค ของภิกษุผู้มี
    จิตไกลข้าศึก มีจิตหาอาสวะมิได้ พรั่งพร้อมด้วยอริยมรรค เจริญอริยมรรคอยู่
    นี้แล สัมมาทิฐิของพระอริยะที่เป็นอนาสวะ เป็นโลกุตระ เป็นองค์มรรค ฯ
                 ภิกษุนั้นย่อมพยายามเพื่อละมิจฉาทิฐิ เพื่อบรรลุสัมมาทิฐิ ความพยายาม
    ของเธอนั้น เป็นสัมมาวายามะ ฯ
                 ภิกษุนั้นมีสติละมิจฉาทิฐิได้ มีสติบรรลุสัมมาทิฐิอยู่ สติของเธอนั้น
    เป็นสัมมาสติ ฯ
                 ด้วยอาการนี้ ธรรม ๓ ประการนี้ คือ สัมมาทิฐิ สัมมาวายามะ
    สัมมาสติ ย่อมห้อมล้อม เป็นไปตามสัมมาทิฐิของภิกษุนั้น ฯ
                 [๒๕๙] ดูกรภิกษุทั้งหลาย บรรดาองค์ทั้ง ๗ นั้น สัมมาทิฐิย่อมเป็น
    ประธาน ก็สัมมาทิฐิย่อมเป็นประธานอย่างไร คือ ภิกษุรู้จักมิจฉาสังกัปปะว่า
    มิจฉาสังกัปปะ รู้จักสัมมาสังกัปปะว่าสัมมาสังกัปปะ ความรู้ของเธอนั้น เป็น
    สัมมาทิฐิ ฯ
                 [๒๖๐] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็มิจฉาสังกัปปะเป็นไฉน คือ ความดำริ
    ในกาม ดำริในพยาบาท ดำริในความเบียดเบียน นี้มิจฉาสังกัปปะ ฯ
                 [๒๖๑] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็สัมมาสังกัปปะเป็นไฉน ดูกรภิกษุทั้งหลาย
    เรากล่าวสัมมาสังกัปปะเป็น ๒ อย่าง คือ สัมมาสังกัปปะที่ยังเป็นสาสวะ เป็น
    ส่วนแห่งบุญ ให้ผลแก่ขันธ์ อย่าง ๑ สัมมาสังกัปปะของพระอริยะที่เป็นอนาสวะ
    เป็นโลกุตระ เป็นองค์มรรค อย่าง ๑ ฯ
                 [๒๖๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็สัมมาสังกัปปะที่ยังเป็นสาสวะ เป็นส่วน
    แห่งบุญ ให้ผลแก่ขันธ์เป็นไฉน คือความดำริในเนกขัมมะ ดำริในความไม่
    พยาบาท ดำริในความไม่เบียดเบียน นี้สัมมาสังกัปปะที่ยังเป็นสาสวะ เป็นส่วน
    แห่งบุญ ให้ผลแก่ขันธ์ ฯ
                 [๒๖๓] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็สัมมาสังกัปปะของพระอริยะที่เป็นอนาสวะ
    เป็นโลกุตระ เป็นองค์มรรค เป็นไฉน ดูกรภิกษุทั้งหลาย ความตรึก ความวิตก
    ความดำริ ความแน่ว ความแน่ ความปักใจ วจีสังขาร ของภิกษุผู้มีจิตไกลข้าศึก
    มีจิตหาอาสวะมิได้ พรั่งพร้อมด้วยอริยมรรคเจริญอริยมรรคอยู่นี้แล สัมมาสังกัปปะ
    ของพระอริยะที่เป็นอนาสวะ เป็นโลกุตระ เป็นองค์มรรค ฯ
                 ภิกษุนั้นย่อมพยายามเพื่อละมิจฉาสังกัปปะ เพื่อบรรลุสัมมาสังกัปปะ
    ความพยายามของเธอนั้น เป็นสัมมาวายามะ ฯ
                 ภิกษุนั้นมีสติละมิจฉาสังกัปปะได้ มีสติบรรลุสัมมาสังกัปปะอยู่ สติ
    ของเธอนั้น เป็นสัมมาสติ ฯ
                 ด้วยอาการนี้ ธรรม ๓ ประการนี้ คือ สัมมาทิฐิ สัมมาวายามะ สัมมา-
    *สติ ย่อมห้อมล้อม เป็นไปตามสัมมาสังกัปปะ ของภิกษุนั้น ฯ
                 [๒๖๔] ดูกรภิกษุทั้งหลาย บรรดาองค์ทั้ง ๗ นั้น สัมมาทิฐิย่อมเป็น
    ประธาน ก็สัมมาทิฐิย่อมเป็นประธานอย่างไร คือ ภิกษุรู้จักมิจฉาวาจาว่ามิจฉา-
    *วาจา รู้จักสัมมาวาจาว่าสัมมาวาจา ความรู้ของเธอนั้น เป็นสัมมาทิฐิ ฯ
                 [๒๖๕] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็มิจฉาวาจาเป็นไฉน คือพูดเท็จ พูดส่อเสียด
    พูดคำหยาบ เจรจาเพ้อเจ้อ นี้ มิจฉาวาจา ฯ
                 [๒๖๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็สัมมาวาจาเป็นไฉน ดูกรภิกษุทั้งหลาย
    เรากล่าวสัมมาวาจาเป็น ๒ อย่าง คือ สัมมาวาจาที่ยังเป็นสาสวะ เป็นส่วนแห่งบุญ
    ให้ผลแก่ขันธ์ อย่าง ๑ สัมมาวาจาของพระอริยะที่เป็นอนาสวะ เป็นโลกุตระ
    เป็นองค์มรรค อย่าง ๑ ฯ
                 [๒๖๗] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็สัมมาวาจาที่ยังเป็นสาสวะ เป็นส่วนแห่งบุญ
    ให้ผลแก่ขันธ์ เป็นไฉน คือ เจตนางดเว้นจากการพูดเท็จ งดเว้นจากการพูด
    ส่อเสียด งดเว้นจากการพูดคำหยาบ งดเว้นจากการเจรจาเพ้อเจ้อ นี้ สัมมาวาจา
    ที่ยังเป็นสาสวะ เป็นส่วนแห่งบุญ ให้ผลแก่ขันธ์ ฯ
                 [๒๖๘] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็สัมมาวาจาของพระอริยะที่เป็นอนาสวะ
    เป็นโลกุตระ เป็นองค์มรรค เป็นไฉน ดูกรภิกษุทั้งหลาย ความงด ความเว้น
    ความเว้นขาด เจตนางดเว้น จากวจีทุจริตทั้ง ๔ ของภิกษุผู้มีจิตไกลข้าศึก มีจิต
    หาอาสวะมิได้ พรั่งพร้อมด้วยอริยมรรค เจริญอริยมรรคอยู่ นี้แล สัมมาวาจา
    ของพระอริยะที่เป็นอนาสวะ เป็นโลกุตระ เป็นองค์มรรค ฯ
                 ภิกษุย่อมพยายามเพื่อละมิจฉาวาจา เพื่อบรรลุสัมมาวาจาอยู่ ความ
    พยายามของเธอนั้น เป็นสัมมาวายามะ ฯ
                 ภิกษุนั้นมีสติละมิจฉาวาจาได้ มีสติบรรลุสัมมาวาจาอยู่ สติของเธอนั้น
    เป็นสัมมาสติ ฯ
                 ด้วยอาการนี้ ธรรม ๓ ประการนี้ คือ สัมมาทิฐิ สัมมาวายามะ
    สัมมาสติ ย่อมห้อมล้อม เป็นไปตามสัมมาวาจาของภิกษุนั้น ฯ
                 [๒๖๙] ดูกรภิกษุทั้งหลาย บรรดาองค์ทั้ง ๗ นั้น สัมมาทิฐิย่อมเป็นประธาน
    ก็สัมมาทิฐิย่อมเป็นประธานอย่างไร คือ ภิกษุรู้จักมิจฉากัมมันตะว่า มิจฉากัมมันตะ
    รู้จักสัมมากัมมันตะว่า สัมมากัมมันตะ ความรู้ของเธอนั้น เป็นสัมมาทิฐิ ฯ
                 [๒๗๐] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็มิจฉากัมมันตะเป็นไฉน คือ ปาณาติบาต
    อทินนาทาน กาเมสุมิจฉาจาร นี้ มิจฉากัมมันตะ ฯ
                 [๒๗๑] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็สัมมากัมมันตะเป็นไฉน ดูกรภิกษุ-
    *ทั้งหลาย เรากล่าวสัมมากัมมันตะเป็น ๒ อย่าง คือ สัมมากัมมันตะที่ยังเป็น
    สาสวะ เป็นส่วนแห่งบุญ ให้ผลแก่ขันธ์ อย่าง ๑ สัมมากัมมันตะของพระอริยะ
    ที่เป็นอนาสวะ เป็นโลกุตระ เป็นองค์มรรค อย่าง ๑ ฯ
                 [๒๗๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็สัมมากัมมันตะที่ยังเป็นสาสวะเป็นส่วน
    แห่งบุญ ให้ผลแก่ขันธ์เป็นไฉน คือ เจตนางดเว้นจากปาณาติบาต งดเว้น
    จากอทินนาทาน งดเว้นจากกาเมสุมิจฉาจาร นี้สัมมากัมมันตะที่ยังเป็นสาสวะ
    เป็นส่วนแห่งบุญ ให้ผลแก่ขันธ์ ฯ
                 [๒๗๓] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็สัมมากัมมันตะของพระอริยะที่เป็น
    อนาสวะ เป็นโลกุตระ เป็นองค์มรรคเป็นไฉน ดูกรภิกษุทั้งหลาย ความงด
    ความเว้น เจตนางดเว้น จากกายทุจริตทั้ง ๓ ของภิกษุผู้มีจิตไกลข้าศึก มีจิต
    หาอาสวะมิได้ พรั่งพร้อมด้วยอริยมรรค เจริญอริยมรรคอยู่ นี้แล สัมมากัมมันตะ
    ของพระอริยะที่เป็นอนาสวะ เป็นโลกุตระ เป็นองค์มรรค ฯ
                 ภิกษุนั้นย่อมพยายามเพื่อละมิจฉากัมมันตะ เพื่อบรรลุสัมมากัมมันตะ
    ความพยายามของเธอนั้น เป็นสัมมาวายามะ ฯ
                 ภิกษุนั้นมีสติละมิจฉากัมมันตะได้ มีสติบรรลุสัมมากัมมันตะอยู่ สติ-
    *ของเธอนั้น เป็นสัมมาสติ ฯ
                 ด้วยอาการนี้ ธรรม ๓ ประการนี้ คือ สัมมาทิฐิ สัมมาวายามะ
    สัมมาสติ ย่อมห้อมล้อม เป็นไปตามสัมมากัมมันตะของภิกษุนั้น ฯ
                 [๒๗๔] ดูกรภิกษุทั้งหลาย บรรดาองค์ทั้ง ๗ นั้น สัมมาทิฐิย่อมเป็น
    ประธาน ก็สัมมาทิฐิย่อมเป็นประธานอย่างไร คือ ภิกษุรู้จักมิจฉาอาชีวะว่า
    มิจฉาอาชีวะ รู้จักสัมมาอาชีวะว่าสัมมาอาชีวะ ความรู้ของเธอนั้น เป็น
    สัมมาทิฐิ ฯ
                 [๒๗๕] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็มิจฉาอาชีวะเป็นไฉน คือ การโกง
    การล่อลวง การตลบตะแลง การยอมมอบตนในทางผิด การเอาลาภต่อลาภ
    นี้มิจฉาอาชีวะ ฯ
                 [๒๗๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็สัมมาอาชีวะเป็นไฉน ดูกรภิกษุทั้งหลาย
    เรากล่าวสัมมาอาชีวะเป็น ๒ อย่าง คือ สัมมาอาชีวะที่ยังเป็นสาสวะ เป็นส่วน
    แห่งบุญ ให้ผลแก่ขันธ์ อย่าง ๑ สัมมาอาชีวะของพระอริยะที่เป็นอนาสวะ
    เป็นโลกุตระ เป็นองค์มรรคอย่าง ๑ ฯ
                 [๒๗๗] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็สัมมาอาชีวะที่ยังเป็นสาสวะ เป็นส่วน
    แห่งบุญ ให้ผลแก่ขันธ์ เป็นไฉน คือ อริยสาวกในธรรมวินัยนี้ ย่อมละ
    มิจฉาอาชีวะ เลี้ยงชีพด้วยสัมมาอาชีวะ ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้ สัมมาอาชีวะที่
    ยังเป็นสาสวะ เป็นส่วนแห่งบุญ ให้ผลแก่ขันธ์ ฯ
                 [๒๗๘] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็สัมมาอาชีวะของพระอริยะที่เป็นอนาสวะ
    เป็นโลกุตระ เป็นองค์มรรค เป็นไฉน ดูกรภิกษุทั้งหลาย ความงด ความเว้น
    เจตนางดเว้น จากมิจฉาอาชีวะ ของภิกษุผู้มีจิตไกลข้าศึก มีจิตหาอาสวะมิได้
    พรั่งพร้อมด้วยอริยมรรค เจริญอริยมรรคอยู่ นี้แล สัมมาอาชีวะของพระอริยะ
    ที่เป็นอนาสวะ เป็นโลกุตระ เป็นองค์มรรค ฯ
                 ภิกษุนั้นย่อมพยายามเพื่อละมิจฉาอาชีวะ เพื่อบรรลุสัมมาอาชีวะ ความ
    พยายามของเธอนั้น เป็นสัมมาวายามะ ฯ
                 ภิกษุนั้นมีสติละมิจฉาอาชีวะได้ มีสติบรรลุสัมมาอาชีวะอยู่ สติของ
    เธอนั้น เป็นสัมมาสติ ฯ
                 ด้วยอาการนี้ ธรรม ๓ ประการนี้ คือ สัมมาทิฐิ สัมมาวายามะ
    สัมมาสติ ย่อมห้อมล้อม เป็นไปตามสัมมาอาชีวะของภิกษุนั้น ฯ
                 [๒๗๙] ดูกรภิกษุทั้งหลาย บรรดาองค์ทั้ง ๗ นั้น สัมมาทิฐิย่อมเป็นประธาน
    ก็สัมมาทิฐิย่อมเป็นประธานอย่างไร คือ เมื่อมีสัมมาทิฐิ สัมมาสังกัปปะจึงพอเหมาะได้
    เมื่อมีสัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจาจึงพอเหมาะได้ เมื่อมีสัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ
    จึงพอเหมาะได้ เมื่อมีสัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะจึงพอเหมาะได้ เมื่อมีสัมมาอาชีวะ
    สัมมาวายามะจึงพอเหมาะได้ เมื่อมีสัมมาวายามะ สัมมาสติจึงพอเหมาะได้ เมื่อมีสัมมาสติ
    สัมมาสมาธิจึงพอเหมาะได้ เมื่อมีสัมมาสมาธิ สัมมาญาณะจึงพอเหมาะได้ เมื่อมีสัมมาญาณะ
    สัมมาวิมุตติจึงพอเหมาะได้ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ด้วยประการนี้แล พระเสขะผู้
    ประกอบด้วยองค์ ๘ จึงเป็นพระอรหันต์ประกอบด้วยองค์ ๑๐
                 [๒๘๐] ดูกรภิกษุทั้งหลาย บรรดาองค์ทั้ง ๗ นั้น สัมมาทิฐิย่อมเป็น
    ประธาน ก็สัมมาทิฐิย่อมเป็นประธานอย่างไร คือ
                 ผู้มีสัมมาทิฐิ ย่อมเป็นอันสลัดมิจฉาทิฐิได้ ทั้งอกุศลธรรมลามกเป็น
    อเนกบรรดามี เพราะมิจฉาทิฐิเป็นปัจจัยนั้น ก็เป็นอันผู้มีสัมมาทิฐิสลัดได้แล้ว
    และกุศลธรรมเป็นอเนก ย่อมถึงความเจริญบริบูรณ์ เพราะสัมมาทิฐิเป็น
    ปัจจัย ฯ
                 ผู้มีสัมมาสังกัปปะ ย่อมเป็นอันสลัดมิจฉาสังกัปปะได้...
                 ผู้มีสัมมาวาจา ย่อมเป็นอันสลัดมิจฉาวาจาได้...
                 ผู้มีสัมมากัมมันตะ ย่อมเป็นอันสลัดมิจฉากัมมันตะได้...
                 ผู้มีสัมมาอาชีวะ ย่อมเป็นอันสลัดมิจฉาอาชีวะได้...
                 ผู้มีสัมมาวายามะ ย่อมเป็นอันสลัดมิจฉาวายามะได้...
                 ผู้มีสัมมาสติ ย่อมเป็นอันสลัดมิจฉาสติได้...
                 ผู้มีสัมมาสมาธิ ย่อมเป็นอันสลัดมิจฉาสมาธิได้...
                 ผู้มีสัมมาญาณะ ย่อมเป็นอันสลัดมิจฉาญาณะได้...
                 ผู้มีสัมมาวิมุตติ ย่อมเป็นอันสลัดมิจฉาวิมุตติได้ ทั้งอกุศลธรรมลามก
    เป็นอเนกบรรดามี เพราะมิจฉาวิมุตติเป็นปัจจัยนั้น ก็เป็นอันผู้มีสัมมาวิมุตติ
    สลัดได้แล้ว และกุศลธรรมเป็นอเนกย่อมถึงความเจริญบริบูรณ์ เพราะสัมมา-
    *วิมุตติเป็นปัจจัย
                 ดูกรภิกษุทั้งหลาย ด้วยประการนี้แล จึงเป็นธรรมฝ่ายกุศล ๒๐ ฝ่าย
    อกุศล ๒๐ ชื่อ ธรรมบรรยายมหาจัตตารีสกะ อันเราให้เป็นไปแล้ว สมณะ
    หรือ พราหมณ์ หรือเทวดา หรือมาร หรือพรหม หรือใครๆ ในโลก
    จะให้เป็นไปไม่ได้ ฯ
                 [๒๘๑] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมณะหรือพราหมณ์ ผู้ใดผู้หนึ่งพึงสำคัญ
    ที่จะติเตียน คัดค้านธรรมบรรยายมหาจัตตารีสกะนี้ การกล่าวก่อนและการกล่าว
    ตามกัน ๑๐ ประการ อันชอบด้วยเหตุของสมณะหรือพราหมณ์ผู้นั้น ย่อมถึง
    ฐานะน่าตำหนิในปัจจุบันเทียว ถ้าใครติเตียนสัมมาทิฐิ เขาก็ต้องบูชา สรรเสริญ
    ท่านสมณพราหมณ์ผู้มีทิฐิผิด ถ้าใครติเตียนสัมมาสังกัปปะ เขาก็ต้องบูชา
    สรรเสริญท่านสมณพราหมณ์ผู้มีสังกัปปะผิด ถ้าใครติเตียนสัมมาวาจา เขาก็ต้อง
    บูชา สรรเสริญท่านสมณพราหมณ์ผู้มีวาจาผิด ถ้าใครติเตียนสัมมากัมมันตะ
    เขาก็ต้องบูชา สรรเสริญท่านสมณพราหมณ์ผู้มีการงานผิด ถ้าใครติเตียนสัมมา-
    *อาชีวะ เขาก็ต้องบูชา สรรเสริญท่านสมณพราหมณ์ผู้มีอาชีวะผิด ถ้าใครติเตียน
    สัมมาวายามะ เขาก็ต้องบูชา สรรเสริญท่านสมณพราหมณ์ผู้มีความพยายามผิด
    ถ้าใครติเตียนสัมมาสติ เขาก็ต้องบูชา สรรเสริญท่านสมณพราหมณ์ผู้มีสติผิด
    ถ้าใครติเตียนสัมมาสมาธิ เขาก็ต้องบูชา สรรเสริญท่านสมณพราหมณ์ผู้มีสมาธิผิด
    ถ้าใครติเตียนสัมมาญาณะ เขาก็ต้องบูชา สรรเสริญท่านสมณพราหมณ์ผู้มีญาณผิด
    ถ้าใครติเตียนสัมมาวิมุตติ เขาก็ต้องบูชา สรรเสริญท่านสมณพราหมณ์ผู้มี
    วิมุตติผิด ฯ
                 ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมณะหรือพราหมณ์พวกใดพวกหนึ่ง พึงสำคัญที่จะ
    ติเตียน คัดค้านธรรมบรรยายมหาจัตตารีสกะนี้ การกล่าวก่อนและการกล่าว
    ตามกัน ๑๐ ประการ อันชอบด้วยเหตุของสมณะหรือพราหมณ์พวกนั้น ย่อมถึง
    ฐานะน่าตำหนิในปัจจุบันเทียว ดูกรภิกษุทั้งหลาย แม้พวกอัสสะและพวกภัญญะ
    ชาวอุกกลชนบท ซึ่งเป็นอเหตุกวาทะ อกิริยวาทะ นัตถิกวาทะ ก็ยังสำคัญที่
    จะไม่ติเตียน ไม่คัดค้านธรรมบรรยายมหาจัตตารีสกะ นั่นเพราะเหตุไร เพราะ
    กลัวถูกนินทา ถูกว่าร้าย และถูกก่อความ ฯ
                 พระผู้มีพระภาคได้ตรัสพระภาษิตนี้แล้ว ภิกษุเหล่านั้นต่างชื่นชมยินดี
    พระภาษิตของพระผู้มีพระภาคแล ฯ
    จบ มหาจัตตารีสกสูตร ที่ ๗





    “ภิกษุทั้งหลาย เมื่อดวงอาทิตย์อุทัยอยู่ ย่อมมีแสงอรุณขึ้นมาก่อน เป็นบุพนิมิตฉันใด ความมีกัลยาณมิตรก็เป็นตัวนำ เป็นบุพนิมิต แห่งการเกิดขึ้นของอารยอัษฎางคิกมรรค แก่ภิกษุ ฉันนั้น”

    “ความมีกัลยาณมิตร เท่ากับเป็นพรหมจรรย์ (การครองชีวิตประเสริฐ) ทั้งหมดทีเดียว เพราะว่า ผู้มีกัลยาณมิตรพึงหวังสิ่งนี้ได้ คือ จักเจริญ จักทำให้มากซึ่งอารยอัษฎางคิกมรรค”

    “อาศัยเราผู้เป็นกัลยาณมิตร เหล่าสัตว์ผู้มีชาติเป็นธรรมดา ก็พ้นจากชาติผู้มีชราเป็นธรรมดา ก็พ้นจากชรา ผู้มีมรณะเป็นธรรมดา ก็พ้นจากมรณะ ผู้มีโสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส และอุปายาสเป็นธรรมดา ก็พ้นจากโสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส และอุปายาส”

    “เราไม่เล็งเห็นองค์ประกอบภายนอกอื่นแม้สักอย่างเดียว ที่มีประโยชน์มากสำหรับภิกษุผู้เป็นเสขะ เหมือนความมีกัลยาณมิตร, ภิกษุผู้มีกัลยาณมิตร ย่อมกำจัดอกุศลได้ และย่อมยังกุศลให้เกิดขึ้น”

    “ความมีกัลยาณมิตร ย่อมเป็นไปเพื่อประโยชน์ยิ่งใหญ่, เพื่อความดำรงมั่นไม่เสื่อมสูญ ไม่อันตรธานแห่งสัทธรรม” ฯลฯ


    “ภิกษุทั้งหลาย เมื่อดวงอาทิตย์อุทัยอยู่ ย่อมมีแสงอรุณขึ้นมาก่อน เป็นบุพนิมิต ฉันใด ความถึงพร้อมด้วยโยนิโสมนสิการ ก็เป็นตัวนำ เป็นบุพนิมิต แห่งการเกิดขึ้นของอารยอัษฎางคิกมรรค แก่ภิกษุ ฉันนั้น”

    “เราไม่เล็งเห็นองค์ประกอบภายในอื่นแม้สักอย่างเดียว ที่มีประโยชน์มากสำหรับภิกษุผู้เป็นเสขะ เหมือนโยนิโสมนสิการ ภิกษุผู้มีโยนิโสมนสิการ ย่อมกำจัดอกุศลได้ และย่อมยังกุศลให้เกิดขึ้น”

    “เราไม่เล็งเห็นธรรมอื่น แม้สักข้อหนึ่ง ซึ่งเป็นเหตุให้สัมมาทิฏฐิที่ยังไม่เกิดก็เกิดขึ้น ที่เกิดขึ้นแล้ว ก็เจริญยิ่งขึ้น เหมือนโยนิโสมนสิการเลย”

    “เราไม่เล็งเห็นธรรมอื่น แม้สักข้อหนึ่ง ซึ่งจะเป็นเหตุให้ความสงสัยที่ยังไม่เกิด ก็ไม่เกิดขึ้น ที่เกิดขึ้นแล้ว ก็ถูกขจัดเสียได้ เหมือนโยนิโสมนสิการเลย”

    “โยนิโสมนสิการ ย่อมเป็นไปเพื่อประโยชน์ยิ่งใหญ่, เพื่อความดำรงมั่นไม่เสื่อมสูญ ไม่อันตรธานแห่งสัทธรรม” ฯลฯ

    ทิฏฐธัมมิกัตถะ
    และ
    สัมปรายิกัตถะ

    “ภิกษุทั้งหลาย เมื่อดวงอาทิตย์อุทัยอยู่ ย่อมมีแสงอรุณขึ้นมาก่อนเป็นบุพนิมิต ฉันใด ความถึงพร้อมด้วยความไม่ประมาท ก็เป็นตัวนำ เป็นบุพนิมิตแห่งการเกิดขึ้นของอารยอัษฎางคิกมรรค แก่ภิกษุ ฉันนั้น”
    “ธรรมเอก ที่มีอุปการะมาก เพื่อการเกิดขึ้นแห่งอารยอัษฎางคิกมรรคที่ยังไม่เกิด ก็เกิดขึ้น ที่เกิดขึ้นแล้ว ก็เจริญบริบูรณ์ เหมือนอย่างความถึงพร้อมด้วยความไม่ประมาทนี้เลย”

    “รอยเท้าของสัตว์บกทั้งหลาย ชนิดใด ๆ ก็ตาม ย่อมลงในรอยเท้าช้างได้ทั้งหมด, รอยเท้าช้าง เรียกว่าเป็นยอดของรอยเท้าเหล่านั้น โดยความใหญ่ ฉันใด   กุศลธรรมทั้งหลายอย่างใดๆ ก็ตาม ย่อมมีความไม่ประมาทเป็นมูล ประชุมลงในความไม่ประมาทได้ทั้งหมด  ความไม่ประมาท เรียกได้ว่าเป็นยอดของธรรมเหล่านั้นฉันนั้น”

    “ผู้มีกัลยาณมิตร พึงเป็นอยู่โดยอาศัยธรรมเอกข้อนี้ คือ ความไม่ประมาทในกุศลธรรมทั้งหลาย”

    “ธรรมเอกอันจะทำให้ยึดเอาประโยชน์ไว้ได้ทั้ง ๒ อย่าง คือ ทั้งทิฏฐธัมมิกัตถะ (ประโยชน์ปัจจุบัน ประโยชน์เฉพาะหน้า หรือประโยชน์สามัญของชีวิต เช่น ทรัพย์ ยศ กามสุข เป็นต้น) และสัมปรายิกัตถะ (ประโยชน์เบื้องหน้าหรือประโยชน์ขั้นสูงขึ้นไปทางจิตใจหรือคุณธรรม) ก็คือความไม่ประมาท”

    “สังขาร (สิ่งที่ปัจจัยปรุงแต่งขึ้น) ทั้งหลาย มีความเสื่อมสิ้นไปเป็นธรรมดา  ท่านทั้งหลายจงยังประโยชน์ที่มุ่งหมายให้สำเร็จ ด้วยความไม่ประมาทเถิด”

    “ความไม่ประมาท ย่อมเป็นไปเพื่อประโยชน์ยิ่งใหญ่, เพื่อความดำรงมั่นไม่เสื่อมสูญ ไม่อันตรธานแห่งสัทธรรม” ฯลฯ


    ยิ่งพิจารณา ยิ่งน่าสงสารสัตว์โลกสำนักวัดนาป่าพง
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 กันยายน 2016
  19. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    พุทธทำนายในอุรังคะทาดนิทาน

    ชาวจีนสิบสองปันนาเรียกแม่น้ำโขงว่า “หลันชางเจียง” หรือแม่น้ำล้านช้าง มีนัยหมายถึงแม่น้ำที่ไหลเชี่ยวกราก ทว่าใน “นิทานอุรังคธาต” เรียกแม่น้ำนี้ว่า “ทะนะนะทีเทวา” อันหมายถึงแม่น้ำแห่งทรัพย์สินเงินทองอันเทวดาเสกสรรให้
    ทรัพย์สมบัติดังกล่าว คำลาวเรียก “ของ” และเรียกทะนะนะทีเทวาว่า “แม่น้ำของ” และเพี้ยนมาเป็น “แม่น้ำโขง” ในสำเนียงคนไทยกรุงเทพฯ และ Mekong River ในภาษาอังกฤษ


    หลันชางเจียง(แม่น้ำล้านช้าง) หรือแม่น้ำโขงตอนบน ภาพ โดยประสาท ตงศิริ ถ่ายจาก ระเบียงท้ายเรือเร็วปรับอากาศ “เทียนต๋า2” ซึ่งแล่นตามลำ แม่น้ำโขง จากท่าเรือเมือง เชียงรุ้งถึงท่าเรือเชียงแสน ของไทย

    (ซ้าย) พระ ธาตุพนมองค์เดิม (นครพนม : ไทย) ประดิษฐานพระอุรังธาตุ (ธาตุทรวงอก) ที่ดอยกัปปนคีรี ภูกำพร้า (ขวา) พระธาตุหลวง (เวียงจันทน์ : สปป.ลาว) ดอนคอนพะเนา ภูเขาหลวง หนองคันแทเสื้อน้ำ

    บทความ โดย sakkawaro
    ผม จะลองสังเคราะห์กำเนิดภูมิประเทศ แม่น้ำลำคลอง ภูเขาเลากา สภาพบ้านเมืองและการลงหลักปักฐานลัทธิความเชื่อในพระพุทธศาสนา จากนิทานอุรังคธาตุ วรรณกรรมโบราณแห่งลุ่มแม่น้ำโขง พอเป็นสังเขปดังต่อไปนี้

    แม่น้ำอู แม่น้ำปิง : พินทะโยวัตตีนาค ขุดเป็นแม่น้ำไปเมืองเชียงใหม่ ชื่อแม่น้ำพิน หรือ พิงค์ และใส่ชื่อเมืองนั้นว่า โยนาควัตตีนคร หรือโยนกนาควัตตี หรือพิงคนครเชียงใหม่ ในเวลาต่อมา

    “...ส่วน ว่าน้ำหนองแสนั้น สัตว์ทั้งหลาย มีแข่ เหี่ย เต่า และแลนก็ล้มตายเป็นอันมาก พวกผีทั้งหลายเห็นก็พากันไปเอามาซุมกันกิน เวลานั้นนาคทั้งหลาย คือสุวันนะนาค กุทโธปาปนาค ปัพพารนาค สุกขหัตถีนาค สีสัตตนาค และถหัตถีนาค เป็นต้น ตลอดนาคทั้งหลายผู้เป็นบริวารที่อยู่ในหนองแสบ่สามารถอาศัยอยู่ได้


    แม่น้ำงึม : “...แต่ นั้นมานาคทั้งหลายมักใคร่อยู่บ่อนใดก็อยู่บ่ได้แล เงือก งูทั้ง หลายอันเป็นบริวารก็ไปนำทุกแห่ง ส่วนปัพพาสนาค (ปัพพารนาค) ก็ควัดไปอาศัยอยู่ภูเขาหลวง พญานาค พญางู โตบ่อยากอยู่ดอมนาคทั้งหลาย จึงควัดออกเป็นแม่น้ำสายหนึ่ง เอิ้นว่าแม่น้ำเงือกงู ภายลุนมาจึงเอิ้นว่าแม่น้ำงึมเท่าทุกวันนี้แล...”หลี่ผี : “...ส่วนสุกขรนาคและหัตถีนาคอาศัยอยู่เวินสุก ส่วนว่าทะนะมุนละนาค ผู้อาศัยอยู่เมืองศรีโคตบองก็ควัดฮ่องจากนั้นลงไปฮอดเมืองอินทะปัตถะนคร จนฮอดแม่น้ำสมุทร ฮ่องนี้เอิ้นว่าน้ำหลี่ผีนั้นแล...”แม่น้ำมูน : “แม่ น้ำที่เป็นบ่อนอยู่ของทะนะมุนละนาคนั้นก็ไหลท่วมเป็นแกว่ง ดังนั้นทะนะมุนละนาคจึงควัดให้เป็นฮ่องฮอดเมืองกุลุนทนคร ฮ่องน้ำนี้มีชื่อว่า มุนละนที ตามชื่อพญานาคโตนั้นแล”


    แม่น้ำซี : “ส่วน ซีวายนาค ก็ควัดแต่แม่น้ำมูนจนฮอดเมืองพญาสุรอุทกะผู้ปกครองหนองหานหลวง พร้อมทั้งเมืองใหญ่น้อยเขตนครนั้น และตลอดฮอดเมืองหนองหานน้อย ตราบเท่าฮอดเมืองกุลุนทนคร แต่นั้นมาน้ำนั้นจึงมีชื่อว่าซีวายนทีตามชื่อนาคโตนั้น...”

    เรื่องราวที่หยิบยกมานี้เป็นส่วนหนึ่งในบั้นที่ 1 ของนิทานอุรังคธาตุ เพื่อนำเสนอภาพลักษณ์ทางภูมิศาสตร์ลุ่มแม่น้ำโขงในวรรณกรรมโบราณ
    ทีนี้ลองมาดูเรื่องราวที่เกี่ยวเนื่องกับพระพุทธศาสนาในลุ่มแม่น้ำโขงจากวรรณกรรมโบราณเรื่องนี้ในบั้นที่ 2 “บั้นอุรังคะทาดนิทาน”

    “...เมื่อ พระพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์อยู่ และได้เสด็จประทับอยู่ในวัดเชตวัน เมื่อ เวลาใกล้รุ่ง พระอานนท์เถระเจ้าผู้เป็นอุปัฏฐากได้จัดแจงไม้สีฟันและน้ำส่วยหน้า (น้ำล้าง หน้า) ถวายแก่พระพุทธเจ้า เมื่อพระพุทธเจ้าทรงชำระเรียบร้อยแล้ว ทรงหลิง (รำลึก) เห็นพระพุทธเจ้า 3 พระองค์ที่ผ่านมาในอดีต พระพุทธเจ้าทั้ง 3 พระองค์นั้นยังได้ก่อธาตุไว้ในดอยกัปปันนคีรี (หมายถึงภูกำพร้า) อยู่ใกล้เมืองศรีโคตบอง (หมายถึงเมืองนครพนม) นั้น เมื่อหลิงเห็นอย่างนั้นแล้ว พระพุทธเจ้าก็ทรงผ้ากำพลสีแดง ซึ่งนางโคตมีได้ถวายเป็นทาน ผ้ากำพลผืนนี้มีประวัติเล่าไว้ว่า นางโคตมีเมื่อจะปลูกฝ้ายนางได้เอาคำ (ทองคำ) มาทำอ่าง (กระถางปลูก) แล้วจึงเอาแก่นจันทน์แดงพร้อมทั้งคันธรสทั้งมวล แล้วเอาคำเป็นฝุ่น (เอาทองคำเป็นปุ๋ย) ใส่ลงในอ่างคำ (กระถางทองคำ) นั้น ครั้นแล้วจึงเอาฝ้ายมาปลูกลงที่นั้น เหตุนั้นดอกฝ้ายจึงแดงดั่งแสงสุริยะกำลังขึ้น (เหนือขอบฟ้า)(แลนเป็นสัตว์เลื้อยคลาน ชนิดครึ่งบกครึ่งน้ำ อย่างตะกวด แลนคำคือแลนที่มีเกล็ดทองคำ)


    เมื่อ พระพุทธเจ้าทรงผ้าแล้วจึงทรงบาตรผินหน้าไปทางทิศตะวันออก พระอานนท์เถระเจ้าผู้เป็นปัจฉาสมณะลีลานำทาง (เสด็จตาม)อากาศ และได้เสด็จมาประทับที่ดอนคอนพะเนานั้นก่อน จึงมาประทับที่หนองคันแทเสื้อน้ำ


    ขณะนั้นพระพุทธเจ้าได้ทรงหลิงเห็นแลนคำ บ้านเมืองจักย้ายที่อยู่อาศัยเปลี่ยนแปลงไปมาเป็นหลายชื่อหลายเสียงแล... เหตุว่า พระตถาคตเห็นแลนแลบลิ้นสองแง่ม (แฉก) เป็นนิมิตรแล "หากเมื่อใด หากท้าวพญาองค์ เป็นหน่อพุทธังกูรได้มาเสวยราชบ้านเมือง พระพุทธศาสนาของพระตถาคตก็จักรุ่งเรือง เหมือนดังพระตถาคตยังทรงพระชนม์อยู่นั้นแล...”

    ตัวหนึ่งแลบลิ้นอยู่ที่โพนจิกเวียงงัว ใต้ปากห้วยคุก เมื่อทรงเห็นดังนั้นแล้วพระพุทธองค์ก็ทรงทำอาการแย้มหัวให้เห็นเป็นนิมิตร พระอานนท์เถระเจ้าเมื่อเห็นดังนั้นจึงทูลถามหาเหตุแย้มหัว พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า ดูราอานนท์ พระตถาคตเห็นแลนคำตัวหนึ่งแลบลิ้นให้เป็นเหตุแล แล้วพระพุทธเจ้าจึงทรงตรัสไว้ว่า เมืองสุวรรณภูมินั้นเป็นที่อยู่ของนาคทั้งหลาย มีสุวรรณนาคเป็นเค้า (เป็นต้น) พร้อมทั้งผีเสื้อบก (บางสำนวนว่าพร้อมทั้งผีเสื้อบกและผี เสื้อน้ำ...) ทั้งหลายแล ในอนาคตภายหน้า คนทั้งหลายที่อาศัยอยู่ในเมืองอันนี้ แม้นว่ารู้แตกฉานในธรรมของตถาคตก็ดี จักเลือกหาผู้มีสัจจะซื่อสัตย์สุจริตนั้นยาก แท้แล


    ตาม เส้นทางโขงสองฝั่ง เราจะพบ เห็นการทำลายป่าต้นน้ำ เพื่อใช้ ประโยชน์ในการเพาะปลูก และถือ ครองเป็นเจ้าของ พบเห็นทั่วไป เกือบทุกเขตน้ำแดนดินทั้ง 6 ประ เทศ รวมทั้งในจีนตอนใต้ บั้น อุรังคะทาดนิทานนี้ เป็นที่มาของวรรณกรรมพุทธทำนายที่ศิลปินรุ่นครบรอบ 25 พุทธศตวรรษนำมาขยายความในรูปกลอนลำ แพร่หลายขยายตัวตามสองฟากฝั่งแม่น้ำโขงที่ใช้ภาษาลาวเป็นภาษาหลักในชีวิต ประจำวัน
    เพราะ ว่าน้ำหนองแสขุ่นมัวเป็นตมหมด จึงพากันออกมาอยู่แม่น้ำและบนบก ในที่ต่างๆ กัน พวกผีทั้งหลายรู้ว่าพวกนาคจักมายาด (แย่งชิง) ชิงกินนำ ก็เฮ็ดให้นาคทั้งหลายตาย บางพ่องพญาทั้งหลายก็ตาย ตลอดฮอดเงือกงูก็ตายเช่นเดียวกัน แล้วจึงพากันออกหนีจากแคมหนองแสนั้น นาคและเงือกงูทั้งหลายอยู่ตามน้ำของ (โขง) ก็ยอมมาเป็นบริวารของพญานันทกังฮีสุวันนะนาค และก็พากันไปอาศัยอยู่ภูกู่เวียน ภูนั้นจึงได้ชื่อว่าภูกู่เวียน ส่วนพุทโธปาปนาคควัด (ขุด) แต่ภูกู่เวียนจนเกิดเป็นหนองใหญ่ มีชื่อว่าหนองบัวบานในบัดนี้...”

    : ชีวายนาคขุดคลองมาด้วย

    ฟังเอาเด้อพี่น้องมวลชาติชาวมนุษย์ เกิดมาในโลกาฮ่วมกันหลายชั้น
    พันธุ์ตระกูลเครือเหง้าเถากอพงศ์ญาติ มีอยู่หลายเชื้อชาติคำเว้ากะต่างกัน
    คำกลอนถอดยอดชั้นเป็นศาสนาพุทธ นำเอามาจารึกให้หมู่เฮาได้เฮียนฮู้
    คอยฟังดูภายหน้าโลกาสิไหวหวั่น ถึงสองพันห้าฮ้อยให้คอยท่าเบิ่งเอา
    เฮาสิจาตามเรื่องแผนเมืองภูมิศาสตร์ ฝูงหมู่นักปราชญ์เจ้าฟังแล้วให้ฮ่ำฮอน
    ทุกมื้อนี้โลกกำลังเดือดฮ้อนเขี่ยวขุ่นโกลาหล มนุษย์กวนกังวลโลกคนเผาไหม้
    องค์พระสัพพัญญูไท้ทรงธรรมฮู้ฮ่อม ซอมเบิ่งภายหน้าพุ่นเมืองบ้านสิวุ่นวาย
    พระองค์เห็นเหตุฮ้ายหลายอย่างในมนุษย์ ตอนปลายศาสนาพุทธ คนสิออกันตายดังขอนเขาปล้ำ
    องค์พระธรรมเห็นแล้วสรญาณสอดส่อง ฟังเด้อพวกพี่น้องลุงป้าย่าหลาน
    ชาวเพื่อนบ้านให้ฟังก่อนกลอนแถลง เฮาสิแปลงกลอนสารต่อธรรมพระองค์เจ้า
    บ่อนสินำมาเว้าพุทธทำนายตรัสแบ่ง เพิ่นแสดงบอกไว้ให้เฮาได้อ่านดู

    มาจะกล่าวถึงท้าวพระยาใหญ่ปัสเสน ทรงสุบินนิมิตเมื่อนอนฝันฮ้าย
    ฝันเห็นมาหลายเรื่องการเมืองพรากไพร่ สิบหกข้อบอกไว้พระองค์เจ้าเล่าฝัน

    ข้อหนึ่งนั้นฝันเห็นงัวตัวฮ้ายทั้งสี่สีแดง แล่นเข้ามาเหมิดแฮงจนดินไง่วุ้น
    ปรากฏว่าสิมุ่นฟ้าปิ้นดินไหว แล่นมาใกล้แล้วหนีไปคนละแห่ง
    คือขี้ฝ่ามันแบ่งยามเค้าขึ้นมา ฝนบ่ตกฮำนาหนีไปวับแวบ
    จักหน่อยนี้คนสิอึดฮอดแกลบเจียไก่ในฮัง ผิดแต่ครั้งหลัง ๆ โลกาฟ้าหย่อน ๆ ฯ

    ข้อสองนั้นฝันเห็นดอกไม้อ่อนออกดอกจูมจี หญิงอายุสิบสี่ปีเอาผัวซ้อนบ่อน
    หนอยกะมีลูกอ่อนไห้แอ่วกินนม พระสัตถาโคดมเล็งเห็นต้นเหตุ
    เป็นตะน่าสมเพทในเรื่องของคน เกิดมาบ่ทันโดนเอาผัวเทียมซ้อน มานอนชมดมกลิ่น
    ผิดฮีตคองป่องท้าง ทางต้นเล่าตัน ฯ

    ข้อสามนั้นฝันเห็นงัวพิกลเฒ่าขอกินนมนำลูก แลงและเช้าขอจู้ดูดกิน
    ตอนนี้อุปมาไว้คือสาวจีจูมจ่อ ออกจากบ้านงานสร้างบ่ห่วงใย
    ปล่อยพ่อแม่ทิ่มไว้ให้นั่งเจ่าเกาหัว ทรมานทนทุกข์ผ่อแต่ทางทอนท้อ
    ปล่อยเฮือนซานเอาไว้นาสวนฮั้วไฮ่ แล่นไปหารับจ้างให้เขาง้างเต่าตอง
    พอท้องไข่อ่องป่องแล้วเลยต่าวคืนมา ตากับยายยอมรับอั่งมะโนคาแค้น ฯ

    ข้อสี่นั้นฝันเห็นงัวแฮงน้อยเทียมเกวียนสลัดแอก แหวกหนทางมุ้นม้างเกวียนปิ้นปิ่นหมุน
    บ้านเมืองเฮาเกิดวุ่นเอาหัวดำออกก่อน เอาหัวด่อนไว้ก้นเมืองบ้านสิวุ่นวาย ฯ

    ข้อห้านั้นฝันเห็นอาชาไนยม้าโตเดียวมีสองปาก ทั้งฮูดากขี้ก้นมีแท้ป่องเดียว
    ปากหนึ่งเคี้ยวหญ้าอ่อนชอนสับ ปากหนึ่งกินทางลับบ่อิ่มเต็มเล็มเกี้ยง
    เพิ่นเผดียงสอนไว้อุปไมยผู้เพิ่นได้เป็นใหญ่ ในสมัยข้างหน้าคือม้าบ่เที่ยงธรรม
    มีแต่มื้อสิย้ำจ้ำไพร่ไหมกิน ศีลบ่มีพอโตชั่วทรามนามฮ้าย ฯ

    ข้อหกนั้นฝันเห็นหมาขี้ฮ้ายเงี่ยวหดถาดทองคำ การกระทำของฝูงหมู่คนโจรฮ้าย
    ฝูงคณาแนวเชื้อชาวกรุงสิตกต่ำ ฝูงหมู่ขุนไพร่น้อยชิงบ้านยาดเมือง
    เขาสิพาลหาเรืองกินเมืองรีดไพร่ มีแต่คนบาปใบ้สิเป็นเจ้านั่งนคร
    ราษฎรสิเดือดฮ้อนคือดั่งนอนหนาม ทุกข์บ่มียามเบาตึ่มเต็มลงเรื่อย
    เมืองคนเฮายังกะปานเฟือยล้อมหนามคองป้องถี่ หนีกะหนีบ่ได้หนามหุ้มห่อกวม ฯ

    ข้อเจ็ดนั้นพระองค์ฝันพบพ้อหมาอุบาทว์มันกัด กินเชือกเป็นเห็นชัดหน่ายสะอางผางฮ้าย
    ชายหาเงินมาให้หญิงเอาไปใช้จ่าย เมียเลยเป็นผู้ฮ้ายเอาเงินซ่อนเซี่ยงผัว
    เมียไปหาเกียกกั้วเอาชู้ใหม่มาชม โจมเงินทองของผัวค่อยถนอมชายชู้ ฯ

    ข้อแปดนั้นฝันเห็นเมฆตั้งก้อนเป็นโงนฝนลิน คนก็เอาไหกินมาต่งลินยังน้ำ
    การกระบวนไหน้อยค่อยเต็มก่อนไหใหญ่ บาดฝนตกโจ้น ๆ ไหใหญ่ล้น ไหน้อยบ่เต็ม
    เพิ่นหากอุปไมยไว้ไหไพน้อยใหญ่ คือดั่งเงินบาทเบี้ยไหลเข้าใส่ถง
    เขาสิโกงกินแท้ชาวเมืองพวกไพร่ ฝูงนายใหญ่สิเบียดเบียนไพร่ฟ้า สินจ้างค่าสูง
    ลุงสิสอนหลานไว้อุปไมยจอมปลวก ฮอดที่ดินบ่อนนั่งขี้กะจำจี้ส่งหลวง
    มีแต่แนวหวงห้ามเก็บภาษีแทบทุกอย่าง บ่มีทางสิได้ ไหน้อยจั่งบ่เต็ม ฯ

    ข้อเก้านั้น คำฝันมันต่าง ฝันเห็นสระใหญ่กว้างกลางขุ่นขอกใส
    มีดอกไม้เดียระดาดดวงหอม ซอมเบิ่งวังเวินใสข่วงกลางจนขุ่น
    ความฝันนี้ได้แก่ขุนเขาข้า เสนาข้าใหญ่ ใจบ่ใสมีแต่ลักโลภเลี้ยวเทียวส่อไพร่เมือง
    ต่อไปนี้คนสิได้เดือดฮ้อนเขี่ยวขุ่นโกลาหล ความทุกข์จนเผาผลาญไฮ่นาสูญสิ้น
    ขายที่ดินใช้หนี้นายทุนเขาทำไฮ่ พวกเสนาผู้ใหญ่หาแต่เงินใส่ไถ่ บ่ได้หวังโอบอุ้มเอาแหล่งไพร่เมือง ฯ

    ข้อสิบนั้น ฝันว่าหุงข้าวไว้เม็ดมากบ่มีสุก แสนสิดังไฟลุกเพิ่มทวีความฮ้อน
    เป็นที่อาทรแท้ไฟลามเผาจี่ หม้อข้าวหุงเดือดกุ้มสุมข้าวทั่วเตา
    บาดว่าเหลียวเบิ่งข้าวลางบ่อนบ่ทันสุก ไฟหากลนลามลุกจี่ลนจนดำปี้
    พระมณีเห็นแล้วเทศนาสอนสั่ง บอกว่าคองฮีตบ้านเมืองหน้าสิเสื่อมสูญ
    โลกของคนสิเกิดวุ่นเขี่ยวขุ่นมัวหมอง ผู้เป็นขุนเขาบ่ทำตามคองยองยีตีบ้าน
    การณ์สิมาภายหน้าเสนาสิโลภไพร่ หาแต่ทางสิได้ ตีม้างมุ่นหลาย
    พอเมื่อศักราชย้ายข้ามล่วงฤดูกาล ถึงเดือนห้าเดือนหก ฝนบ่ตกฮวยฮำป่าดงพงอ้อ
    รอไปถึงเดือนเก้าหนาวมาเอาผ้าห่ม มีแต่ลมแล่นต้องปิวปิ้นไหวไหว
    ต่อไปนี้คนสิถางป่าไม้ในป่าทำลายหมด องค์พุทโธสุคต เพิ่นหากทำนายไว้ ฯ

    ข้อสิบเอ็ดนั้น ฝันว่าเห็นท่อนไม้แก้วแก่นจันทน์แดง ของมันราคาแพงค่าสูงแสนตื้อ
    เขาเลยเอาไปซื้อขายกินแลกจ่าย จั่งแม่นเป็นตาหน่ายเอาแก่นจันทน์ใส่กะซ้าแขนห้อยเที่ยวขาย
    อันนี้แหล่วเพิ่นว่าภายหน้าพุ้นเคิ่งศาสนาพุทธ มนุษย์ในโลกามืดเมามัวกุ้ม
    ซุมหมู่ถือศีลมั่วจำในเจ้าหัวบ่าว เห็นผู้สาวแล้วกะเอิ้นเชิญเว้าดังสหาย
    นอกจากนั้นกะสิเป็นผู้ฮ้ายขายศาสนาพุทธ เอาพระธรรมลงมุดจ่ายขายกินจ้าง
    ตั้งเป็นตึกเป็นห้างขายกินปิ้นไป่ ทั้งพระสูตรพระวินัยเอาลงใส่กะซ้าโซนผ้าเที่ยวขาย
    จั่งแม่นเห็นต่อนฮ้ายขายรูปพระองค์ สงฆ์บ่ถือธรรมวินัยญาติโยมบ่ยำย่าน
    มีแต่คนพาลกล้าโกธาเขี่ยวขุ่น ศาสนาสิเกิดวุ่นสูญเศร้ามุ่นทลาย
    สงฆ์สิเป็นผู้ฮ้ายขายศาสนากู สัพพัญญูมองเห็นหน่ายสะอางผางฮ้าย

    ข้อสิบสองนั้น ฝันเห็นหมากน้ำเต้าจมลงสมุทรใหญ่ เลยบ่ไหลล่องขึ้นจมติ้งดิ่งลง ฯ
    ข้อสิบสามนั้น ฝันเห็นหินอยู่แจ้งก้อนใหญ่เทิงภู เบิ่งมันฟูนำของล่องไหลลงใต้
    อุปไมยสองข้อพอดีมีอยู่ บักน้ำเต้าของฟู เลยเล่ากับต่าวหล่ม จมติ้งดิ่งลง
    หินใหญ่น้อยสิลอยล่องตามกระแส องค์พุทโธเฮาแปลสั่งมาจาต้าน
    การณ์สิมาภายหน้าฝูงประชาสิได้ขึ้นเป็นใหญ่ ฝูงคนพาลบาปใบ้สิเฮไห้ทั่วเมือง
    ไผบ่ฮู้ทราบเรื่องในเรืองคองธรรม กรรมจักนำมาเถิงต่ำลงเป็นน้อย
    ศาสนากูด้อยถอยลงไปใกล้สิเคิ่ง เถิงละเด้อหว่างหั่นสิหันปิ้นปิ่นหมุน
    ชนผู้น้อยคอยสิเกิดมียศ ผู้แทนมีปรากฏทั่วแดนดินด้าว


    ข้อสิบสี่นั้น ฝันเห็นงูเห่าห่อมลงกราบฝูงกบ จงอางยอมือนบเขียดจ่านาน้อมไหว้
    ฝูงหมู่ทำทานฮ้ายมาขอเป็นสหายกับเขียดบักแอ่ง เพิ่นแสดงบอกไว้ให้เฮาได้ฮิ่นตรอง
    ต่อไปนี้ประชาโลกล้วน สิเป็นใหญ่ในโลกา พวกเสนาชาวขุนสิต่ำลงเป็นน้อย
    พวกสอพอกินบ้านสิคลานหาเข้ากราบ นบนอบนิ้วขอซื้อยาดเสียง
    อย่าขายดื้อพี่น้องฝูงงูเห่าหรือทำทาน มันสิคอยทำฮ้าย ให้หมู่เฮาได้หลงบ้าน ฯ

    ข้อสิบห้านั้น ฝันเห็นหงส์ทองเฝ้าตอมอีกามวลมาก พระองค์หากเทศน์ไว้ให้เฮาได้อ่านเห็น
    การณ์สิเป็นภายหน้าพุ้น ฝูงหมู่เสนา อมาตย์ในเวียงวังสิหลั่งลงเต็มบ้าน
    มาจัดการทำสร้างนาสวนฮั่วไฮ่ เป็นสงครามยาดไพร่สิเห็นแท้แน่นอน ฯ

    ข้อสิบหกนั้น ฝันเห็นหมาป่าฮ้ายพากันแล่นหนีแกะ พระโคดมทรงแนะบอกทางทายไว้
    ในสมัยภายหน้ากาลสิมาให้จำไว้เด้อพ่อ พวกคนชั่วเขาสิอยู่บ่ได้ไกลข้างห่างหนี
    คนทำดีสิได้ขึ้นเป็นใหญ่ในโลกา ศาสนาของกูสิเคิ่งปลายไปแล้ว
    คนในโลกากว้างเห็นกันแล้วคิดฮอด บ่ได้คิดเคียดแค้นคือด้ามดั่งหลัง
    ผิดกับตั้งแต่ครั้งสมัยเก่าโบฮาณ ทางสิบคืนซาวคืนสิย่อเป็นคราวมื้อ
    สมัยต่อไปนี้ มีพระบ่มีสงฆ์ มีถงบ่มีบ่อนห้อย สิไหลเวินอยู่คือจอก เพิ่นทำนายบอกไว้ ให้เฮาได้อ่านดู ฯ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 กันยายน 2016
  20. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    พุทธทำนาย

    ศักราชป่า


    ...........อุกาสะ ศิริสุ ศักยะมุนี โคดมบรมโลกนารถ ศาสดาจารย์ ญาณสัพพัญูญู อันเป็นสั่งสอน แก่ฝูงเทพนิกร อินทร์ พรหม ยม ยักษ์ ทั่วอนันตระจักรวาล

    พระพุทธองค์ผู้ทรงญาณ ทรงสงสารแก่ฝูงเทพา ประชาชน คนทั้งหลาย อยู่ภายหลัง จึงเสด็จยับยั้ง ตั้งพระพุทธศาสนา ไว้ให้ถ้วน ๕ พันพระพรรษาอติกกันตา

    ถ้าจะคณะนานับเดือน ได้ ๖๐,๐๐๐ (หกหมื่นเดือน) ครามครัน ถ้าจะคณะนานับวันได้ ๑,๘๐๐,๐๐๐ (หนึ่งล้านแปดแสนวัน) เป็นกำหนด ถ้าจะคณะนานับพระอุโบสถได้ ๑๒๐,๐๐๐ (หนึ่งแสนสองหมื่นพระอุโบสถ) ถ้าจะกำหนดฤดูได้ ๑๕,๐๐๐ (หนึ่งหมื่นห้าพันตฤดู) มิได้คลาด สมเด็จมุนีนารถ จึงประทานพระสัทธรรมเทศนาให้ไว้กับพระอานนท์ และสาวกเจ้าทั้งหลาย

    ...........จึงมีพระพุทธทำนายให้ไว้เป็นกำหนด จึงตรัสว่า ภิกฺขเว ดูกร พุทธาสงฆ์ผู้ทรงศีล จตุปาริสุทธิสิกขา ที่จะสืบสร้างไปในระหว่างพระพุทธศาสนาของพระตถาคต ที่ล่วงลับไปแล้วนั้นบ่มิทันนาน ประมาณห้าร้อยปี จะหานางภิกษุณีก็หาบ่มิได้

    ครั้นล่วงถึงพันปีหนึ่งนั้นไซร้ ก็จะไม่มีพระอรหันต์ที่จะมาเหาะเหิรเดินนภาลัยอากาศนั้นได้

    ถึงล่วงถึงสองพันปีหนึ่งนั้นไซร้ ก็จะไม่มีนักปราชญ์ ที่จะมาเล่าเรียนให้จบพระไตรปิฎกบริบูรณ์นั้นได้

    ครั้นล่วงถึงสามพันปี ก็จะไม่มีภิกษุสงฆ์ที่จะลงมาปกปักกะตักมั่วสุมประชุมกันกระทำอุโบสถ ปฏิบัติพรตตามธรรมเนียม

    ครั้นล่วงถึงสี่พันปี บาตรไตรจีวรก็จะสูญสิ้น

    ครั้นล่วงถึงห้าพันปี ประชาชี ก็จะพากันดูหมิ่นพระศาสนา จะมีแต่ผ้าเหลืองน้อยห้อยหู จึงรู้สำคัญ สัญญากันว่าตนนั้นบวชเป็นชีศาสนาของพระชินศรี เมื่อจะสิ้นก็สิ้นในปีชวดนักษัตร อรรถศกเพ็ญเดือนหก คิมหันตฤดูวันอังคาร ยามอังคารยังอีกสี่นาฬิกา จะรุ่งขึ้นเป็นวันพุธ คราทีนั้น ก็จะสิ้นสุดพระพุทธศาสนา ขององค์สมเด็จโคดม

    ครานั้นสารีริกธาตุทั่วสกลไร้คนสักการะ จะเสด็จมารวมปรากฏพระชินสีห์ พระองค์ก็จะเปล่งช่อ ฉัพพรรณรังสี แผ่รัศมี ๖ ประการ งามเรืองรองประดุจดั่งสีทองธรรมชาติ

    ผู้ใดได้ฟังพระพุทธศักราช ก็จะรำลึกชาติได้ดังใจจิตร จะนึกเอาชั้นอินทร์และชั้นพรหม ก็จะสมความคิด จะเนรมิตวิมานสวรรค์ ไว้คอยท่า

    พระองค์ทรงตรัสพระสัทธรรมเทศนา อยู่ถึง ๗ วันแล ๗ คืน พระบรมธาตุเสด็จดับขันธ์เข้าสู่พระนิพพาน แผ่นดินดานก็จะสูงขึ้นแปดพันวา ด้วยอำนาจพุทธกาปิตาเจ้าของเรานั้น จึงจะถาวรณะบรรจบครบจำนวนถ้วน ๕ พันปี พระพรรษา
     

แชร์หน้านี้

Loading...