พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย sithiphong, 23 ธันวาคม 2005.

  1. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ไม่มีคำว่า "บังเอิญ" ในทางพุทธศาสนา

    หากศึกษาเรื่องธรรมะดี ๆ จะเข้าใจว่า ไม่มีคำว่า "บังเอิญ" ใด ๆ ทั้งสิ้น "กรรม" นี้แม่นยำยิ่งกว่าเรด้าตรวจจับของนาซ่า พระพุทธเจ้าเคยตรัสว่า "เราเกิดมาแล้วนับชาติไม่ถ้วน น้ำตาที่เสียจากความพลัดพรากจากคนที่เรารักนับรวมกันได้เป็นมหาสมุทร ดังนั้น เราจึงได้เคยพบปะผ้คนมามากมาย จนผู้คนที่เดินบนถนนไปมานี้ต่างก็เคยเกิดมาเป็นพี่น้อง
    เราทั้งสิ้น"

    จากคำอธิบายข้างต้น เป็นเหตุให้ "กรรม" จัดสรรให้เราได้พบเจอ รู้จัก พึ่งพา มาเกิดเป็นพ่อ แม่ ลูก พี่น้อง เพื่อน แฟน คู่รัก มิตร ศัตรู ครู ลูกศิษย์ เมียหลวง เมียน้อย ฯลฯ เนื่องจาก เคยเกี่ยวพัน มีความสัมพันธ์ และประกอบกรรมร่วมกันมาก่อน จึงได้มาเจอกันอีก เพื่อชดใช้กรรม หรืออาจอธิษฐานให้มาพบกันอีกในชาติต่อ ๆ ไป หรือเคยอาฆาตพยาบาทกันมาก่อน บางคนก็เคยอุปถัมภ์ ค้ำชู หรือเคยพึ่งพาอาศัยกันมาก่อน ดังนี้ เป็นต้น จึงไม่มีคำว่า "บังเอิญ" ในพระพุทธศาสนา

    หากใครเคยไปในสถานที่ใด แล้วรู้สึกคุ้นเคยกับสถานที่นั้นโดยไม่เคยไปมาก่อน
    รู้สึกคุ้น ๆ กับเหตุการณ์นั้น โดยที่เราไม่เคยมีส่วนร่วมมาก่อน เคยรู้สึกประทับใจใคร รู้สึกเกลียดใคร อยากอยู่ใกล้ใคร หรืออยากหนีหน้าใคร โดยที่ไม่เคยพบเจอรู้จักกันมาก่อน สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นสัญญาเก่า (การจำได้หมายรู้) ที่ติดตัวมาแต่เก่าก่อน

    พระบาลีพุทธวจนะ เป็นภาษาเมื่อหลายพันปีมาแล้ว คำว่า "บังเอิญ" ดูเหมือนไม่มีในภาษาบาลี มีแต่คำว่า "เหตุ - ปัจจัย"

    พระพุทธศาสนา เป็นเรื่องของเหตุและผล ทุกสิ่งไม่ได้เกิดขึ้นลอย ๆ หรือเป็นเรื่องบังเอิญ ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นล้วนมีเหตุให้เกิดขึ้นทั้งสิ้น ดังที่ท่าน
    พระอัสสชิ แสดงธรรมแก่ท่านพระสารีบุตรว่า "ธรรมทั้งหลายย่อมเกิดจากเหตุ" นั่นคือ การที่ทุกคนเกิดมาแตกต่างกัน เป็นเพราะได้กระทำเหตุ คือ ทำกรรมมาแตกต่างกัน กรรมที่ได้กระทำไว้แล้วนั่นเอง เป็นเหตุให้มีรูปร่างหน้าตา ผิวพรรณ ฐานะ ต่างกัน มีอุปนิสัยดีเลวต่างกัน กรรมที่ได้กระทำไว้แล้วนั่นเอง เป็นเหตุให้ได้ลาภเสื่อมลาภ ได้ยศเสื่อมยศ ได้รับความสุข ทุกข์ สรรเสริญ นินทา

    มีเรื่องเล่าของพระเจ้าอโศกมหาราช เรื่องมีอยู่ว่า

    พระมเหสีของพระเจ้าอโศกมหาราช ได้รับการยกย่องจาก พระเจ้าอโศกมหาราชมาก สนมกำนัลนางอื่นก็อิจฉา ผู้หญิงกระทบกระทั่งกันง่ายอยู่แล้ว ในเมื่ออิจฉาก็มีการเสียดสีกระแนะกระแหนเขาไปเรื่อย พระเจ้าอโศกมหาราช ทรงรำคาญ จะพิสูจน์บุญญานุภาพให้ดู ก็เลยสั่งโรงครัวทำขนมมา 1,000 ชิ้น แสดงว่าพระองค์มีมเหสีรวมนางสนมทั้งหมด 1,000 คนพอดี แล้วถอดพระธำมรงค์ประจำพระองค์ บอกพ่อครัวให้ใส่พระธำมรงค์ไว้ในขนมชิ้นหนึ่ง พอถึงเวลานึ่งสุกเอามาให้บรรดาสนม และมเหสีทั้งหมดไปหยิบเอา ถ้าธำมรงค์อยู่ในขนมของใคร จะตั้งคนนั้นเป็นอัครมเหสี พวกสนมแย่งกันกระจายเลย ปรากฎว่ามเหสีตัวจริงท่านทรงนั่งอยู่เฉย ๆ รอเขาหยิบจนเหลือชิ้นสุดท้ายท่านจึงหยิบมา และธำมรงค์ก็อยู่ในนั้น เห็นไหมว่า เขาทำของเขามา เขาต้องได้ ต่อให้เราทำมาถ้าทำช้ากว่าเขาก็ต้องรอเขาได้ก่อน ส่วนใหญ่แล้วจะไม่เข้าใจตรงนี้ ถึงเวลาเห็นพระเจ้าอโศกมหาราชท่านเมตตาพระมเหสี
    มากเป็นพิเศษ โปรดเป็นพิเศษก็คอยอิจฉาอยู่เรื่อย พิสูจน์ขนาดนั้นแล้วก็ยังมีคนไม่เชื่ออยู่ดี

    อนาคตเป็นสิ่งที่ถูกกำหนดไว้แล้วจากกรรมในอดีต
    นานนับไม่ได้ แต่เป็นสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้น เพราะต้องมีเหตุในปัจจุบันร่วมด้วย ความพยายามในปัจจุบันนั่นแหละ จึงจะทำให้เกิดผลในอนาคตที่สมบูรณ์ แม้จะเปลี่ยนแปลงไม่ได้ทั้งหมด แต่ก็เปลี่ยนแปลง
    ได้บางส่วน คนเราจึงไม่ควรละความพยายามตลอดชีวิตที่เกิดมา

    การกระทำทุกอย่างย่อมมีผล เราเรียกผลนั้นว่า "วิบาก" สิ่งใดจะเกิดได้ต้องมีเหตุปัจจัยประชุมพร้อม กรรมจึงสามารถส่งผล หรือให้วิบากได้

    ไม่มีโชคลาภเกิดขึ้นได้โดยไม่อาศัย บุญ กรรม โชคลาภ ไม่สามารถจะเกิดขึ้นลอย ๆ หรือบังเอิญ โดยไม่มีเหตุปัจจัย

    ทุกปัญหาเกิดขึ้นอย่างมีสาเหตุทั้งนั้น กิ่งไม้ตกใส่หัว หกล้ม ฯลฯ ล้วนเกิดจากกรรม เหมือนกับคำว่า "ใครกินคนนั้นก็อิ่ม คนอื่นอิ่มแทนไม่ได้"

    เกลือ เค็มเหมือนกันหมด ไทย ฝรั่ง ลาว แขก
    กินเกลือในที่ลับ ที่แจ้งก็เค็ม เหมือนกัน เกลืออย่างไร กรรมก็อย่างนั้น ทุกชาติศาสนา

    ความบังเอิญไม่มีในโลก ทุกสิ่งถูกลิขิตจากรรมทั้งกุศล และอกุศลที่สัตว์โลกได้กระทำไว้ทั้งในอดีต และปัจจุบัน ขึ้นอยู่กับว่า กรรมอันไหนจะส่งผลก่อนกัน

    โพสโดย ประภา ไน้
     
  2. เอกอิสโร

    เอกอิสโร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    1,051
    ค่าพลัง:
    +3,809
    คำยืนยัน เรื่อง “พระพุทธเจ้าตรัสรู้ที่โคกโพธิ์ชัย” จากท่านอาจารย์ปราณี

    ไม่น่าเชื่อ ในเว๊ปนี้ จะมีคนรู้จักอาจารย์ปราณี ชาประดิษฐ์...ซึ่งเคยไปเรียนมโนมยิทธิ กับหลวงพ่อฤๅษีลิงดำ 3 วัน แล้วหลวงพ่อบอกว่า ไม่ต้องมาแล้ว หลังจากนั้น ท่านอาจารย์ก็ได้เรียนจากหลวงปู่ปาน และจากเสด็จพ่อพระพุทธเจ้าโดยตรง

    ผม ก็เป็นคนหนึ่งที่โชคดี ได้รู้จักท่านอาจารย์ปราณี ชาประดิษฐ์ ดังเรื่อง ที่บันทึกไว้นี้...ฝากท่าน ผู้มีความสนใจ ไฝ่รู้ มีญาณ ได้ช่วยกัน ตรวจสอบ สงเคราะห์กระผมด้วย นะครับ

    “โคกโพธิ์ชัย” สถานที่ ที่ใครๆ ควรได้ไปพิสูจน์
    5 มีนาคม 2547 ผมได้เดินทางไปยังสถานที่ ที่ไม่เคยได้ไป ด้วยแรงจูงใจ เพียงเพื่อจะต้องไปค้นหาสถานที่สำคัญ ซึ่งยากที่จะบอกแก่ใครๆ ได้ว่า “ผมกำลังค้นหาสถานที่ตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าในแผ่นดินประเทศไทย”
    ก็ในเมื่อคนทั้งโลกเขาเชื่อสืบๆ กันมาว่า พระพุทธเจ้าตรัสรู้อยู่ที่ประเทศอินเดีย แต่แล้ว ผมก็ได้ดั้นด้นค้นหาจนพบสถานที่แห่งนี้ ที่เรียกว่า “โนนโพธิ์ใหญ่” ในท้องที่ กิ่งอำเภอโคกโพธิ์ชัย จังหวัดขอนแก่น
    เมื่อไปพบต้นโพธิ์ครั้งแรก สภาพพื้นที่รอบๆ เต็มไปด้วยต้นหญ้าคาที่ขึ้นเต็มไปทั่วบริเวณ และที่ใกล้โคนโพธิ์ เต็มไปด้วยต้นไม้หนามที่ขึ้นล้อมรอบ เป็นปราการที่สร้างขึ้นโดยธรรมชาติ เพื่อป้องกันไม่วัว ควายเข้าไปเหยียบไปย่ำที่โคนโพธิ์ได้
    เมื่อผมได้แหวกต้นไม้หนามจนสามารถเข้าไปประชิดต้นโพธิ์ได้ ด้วยความระลึกว่า “ต้นโพธิ์นี้เสมือนตัวแทนของพระพุทธเจ้า” จึงได้ตั้งใจจะบูชาพระพุทธองค์ด้วยการ สวดมนต์บทพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ
    เมื่อคิดได้ดังนั้น จึงได้ใช้สองมือทาบไปที่ต้นโพธิ์ แล้วตั้ง นะโม ตัสสะ ยังไม่ทันที่จะได้ท่องอะไรต่อไปอีก ก็ได้เกิดสภาวะที่ยากจะอธิบายได้ว่าเกิดอะไรขึ้น เมื่อผมเองเกิดอาการปิคิอย่างรุนแรง จนไม่อาจที่จะสาธยายบทสวดต่อไปได้ เพราะได้แต่ร้องให้สะอึกสะอื้นตื้นตันใจ คล้ายดังพลัดพรากจากสิ่งอันเป็นที่รัก มาเป็นเวลาช้านาน แล้วได้มาประสบพบกันอีกครั้งหนึ่ง…
    18 มีนาคม 2547 ผม กับลุงชุบ เดินทางไปที่ กิ่งอำเภอโคกโพธิ์ชัย อีกครั้งเพื่อที่จะไปขอซื้อที่ดิน 4 ไร่ บริเวณที่ตั้งต้นโพธิ์นี้ เพื่อที่จะอนุรักษ์รักษา เพื่อประโยชน์แก่การพระศาสนาในวันข้างหน้า ด้วยเงินบริจาคหลักๆ จากคุณป้าทองหยิบ ภรรยาของลุงชุบ และ “คนเดิม”
    18 เมษายน 2547 พิธีบวงสรวงสมโภชน์หน่อโพธิ์ตรัสรู้ จึงได้เกิดขึ้น โดยความเมตตาของท่านอาจารย์ไก่ หรือ “คนเมืองบัว” เป็นผู้นำในการบวงสรวง ซึ่งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่ไม่สามารถเห็นได้ด้วยตาเนื้อ ถูกบันทึกไว้ด้วยตากล้องพิเศษ “พ่อมดขาว” ซึ่งถ่ายทอดออกมาเป็นอักขรภาษาได้ตอนหนึ่งว่า...
    “ในขณะที่ทุกคนตั้งจิตสวดมนต์ภาวนานั้น ได้เกิดภาพซ้อนจากภาพจริงขึ้นบริเวณต้นโพธิ์ เป็นต้นโพธิ์ขนาดใหญ่มาก ขอบอกว่าใหญ่มากจริงๆ ถ้าเป็นฝรั่งก็คงต้องบอกว่า บิ๊ก อาบิ๊ก อาซุปเปอร์บิ๊ก บิ๊กจริงๆ และต้นโพธิ์นั้นก็พลันเป็นสีเงินทั้งต้นแล้วค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีทองสลับไปมา พอสักพัก ก็เปลี่ยนเป็นแก้ว แก้วใสทั้งต้นครับ บริเวณใต้ต้นโพธิ์แก้วนั้นก็มีเงาร่างของคนนั่งสมาธิอยู่ เป็นแสงเหมือนออร่าเหลื่อมสีสลับแสงไปมาในเงาคนนั้น (สาธุ) แต่ผมไม่สามารถเห็นเป็นร่างของมนุษย์โดยแบบปกติได้ จากนั้นก็มีลำแสงมาจากท้องฟ้าพุ่งมาเชื่อมกับต้นโพธิ์ต้นนี้ เป็นลำแสงที่สาดส่องมาจากทั่วทุกมุมโลกเป็นลำแสงสีทอง ที่หลั่งไหลมาจากพระบรมสารีริกธาตุที่ประดิษฐานไว้ทั่วโลกครับ และตามพระบรมเจดีย์ต่างๆ ในโลกทุกองค์ได้มีแสงเป็นวงแหวนสีทองวนอยู่รอบๆ สวยงามมาก และยังได้เชื่อมโยงแสงทองนั้นมายังต้นโพธิ์ที่กำลังทำพิธีอยู่นี้ด้วย (โอ้เป็นบุญตาของข้าพเจ้าเสียกระไรนี้ สาธุ)”
    หลังจากนั้นมา ผมก็ได้เพียร ไปเยี่ยมต้นโพธิ์ บ้างเป็นครั้งคราว เมื่อมีโอกาส ในช่วงปี 2548-49 เว้นแต่ปี 2550 นี้ ซึ่งผ่านมากว่า 8 เดือนเข้าไปแล้ว ที่ผมยังไม่ได้กลับไปเยี่ยมที่ “โนนโพธิ์ใหญ่” เลย
    จนกระทั่ง เมื่อวันอังคารที่ 31 กรกฎาคม 2550 ที่ผ่านมา เมื่อผมได้มีโอกาสไปร่วมงานทำบุญที่ตำหนักเสด็จปู่ท้าวมหาพรหม ที่จังหวัดอ่างทอง ซึ่งมี อาจารย์ปราณี ชาประดิษฐ์ เป็นเจ้าสำนัก ตามคำชวนของลุงชุบ และเหตุผลหนึ่งของการเดินทางไปร่วมงานบุญ ก็เพื่อที่จะได้เชื้อเชิญท่านอาจารย์ปราณี ได้เดินทางไปที่ “โนนโพธิ์ใหญ่” เพื่อใช้พลังมโนมยิทธิ ตรวจสอบความเป็นมาและความสำคัญของสถานที่แห่งนี้ ทั้งนี้ ก็ด้วยความที่ลุงชุบ ให้ความเคารพและศรัทธาในตัวท่านอาจารย์ปราณีอย่างยิ่ง นั่นเอง
    จริงๆ แล้ว นี่ไม่ใช่คำเชื้อเชิญอาจารย์ปราณี ครั้งแรก แต่ได้เชิญหลายครั้งแล้วหลังจากที่ผมได้ไปพบสถานที่แห่งนี้ ทั้งได้เคยนำเรื่องการค้นคว้า ที่ว่า “พระพุทธเจ้าไม่ได้ประสูติ ตรัสรู้ ปรินิพพาน ที่ประเทศเนปาล-อินเดีย” ไปปรึกษาท่านอาจารย์ แต่...ท่านอาจารย์ก็ปฏิเสธที่จะไป แถมยังยืนยันว่า พระพุทธเจ้าตรัสรู้ที่ประเทศอินเดีย จนพักหลังเมื่อได้พบอาจารย์ปราณี เราจึงไม่สนทนาเรื่องนี้อีก เพราะความเห็นไม่ตรงกัน
    แต่แล้ว ครั้งนี้ อาจารย์ยอมรับคำเชื้อเชิญ โดยที่ผมและลุงชุบไม่บอกรายละเอียดมากนัก (เพราะกลัวว่าอาจารย์จะปฏิเสธ..ไม่ไป) เราจึงได้กำหนดนัดหมายเดินทางในวันหยุดชดเชยวันแม่
    13 สิงหาคม 2550 เวลาประมาณ 6 โมงเช้า คณะของเราออกเดินทางโดยรถตู้ จากกรุงเทพฯ มุ่งหน้าสู่ กิ่งอำเภอโคกโพธิ์ชัย จังหวัดขอนแก่น จนกระทั่งประมาณ 11 โมงครึ่งก็เดินทางถึงบ้านโพธิ์ชัย ซึ่งเป็นที่ตั้งของเมืองโบราณ “ชัยวาน” อายุ 2 พันกว่าปี
    เมื่อรถตู้ของเราขับพ้นจากเขตหมู่บ้านวิ่งไปตามถนนลูกรังผ่านท้องนา มุ่งหน้าไปโนนโพธิ์ใหญ่ ผมเริ่มตั้งคำถามกับท่านอาจารย์ “อาจารย์ครับ มีเทวดามาต้อนรับพวกเราบ้างมั๊ยครับ” ถามแหย่ไปตามประสาคนไม่มีตาทิพย์ “ไม่มี..มีแต่คน นุ่งโจมกระเบนสีดำบ้าง สีแก่นขนุนบ้าง มีเป็นพัน เป็นหมื่น” จริงๆ ที่ว่ามีแต่คนนั้น ท่านอาจารย์หมายถึง ดวงวิญญาณ
    “อะไรกันนี่ อย่างนี้ก็มี มากมายจริงๆ ทำไมไม่ยอมไปเกิด” ท่านอาจารย์ พูดขึ้นมาเมื่อมองไปดูสองข้างทาง แล้วอาจารย์ก็ถามกลับมาที่ผม ถึงที่มาของการมาค้นหาต้นโพธิ์นี้ เมื่อมาถึงที่แล้วนี่ คิดว่า คงจะต้องบอกไปตามความจริงแล้วหล่ะคราวนี้ “ที่มาหาต้นโพธิ์ที่นี่ ก็เพราะว่า คิดว่า บริเวณนี้ จะเป็นสถานที่ตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าครับ” ครั้งนี้ ท่านอาจารย์ ปราณีสมชื่อ คือไม่สั่งให้หยุดรถและขับกลับ แต่พูดขึ้นว่า “เอ้อ ลองไปดู จะได้รู้ว่าเป็นอย่างไร”
    เมื่อเราไปถึงที่ต้นโพธิ์ ยังไม่ทันที่ลุงชุบจะได้ปูเสื่อเพื่อนั่งสวดมนต์ ท่านอาจารย์ปราณีก็ได้ใช้มโนมยิทธิถามตรงองค์เสด็จพ่อพระพุทธเจ้า แล้วก็บอกกับคณะที่ร่วมเดินทางไปด้วยกันว่า “ใช่แล้ว สถานที่นี้เป็นที่ที่พระสมณโคดม มาบำเพ็ญเพียรและตรัสรู้ที่นี่” ท่านอาจารย์พูดทั้งยังสงสัยว่า ไปบอกใครแล้วจะมีใครเขาจะเชื่อหรือเปล่า?
    “แม่น้ำ ที่เลาะเลียบตามภูเขาไม่ไกลจากนี้ นั่นหล่ะคือแม่น้ำเนรัญชรา” ท่านอาจารย์หมายถึงลำน้ำชี ซึ่งอยู่ห่างจากต้นโพธิ์ไม่ถึง 1 กิโลเมตร
    “มิน่าเล่า ก่อนเดินทางมา เสด็จพ่อพระพุทธเจ้ามาปรากฏและพูดกับอาจารย์ว่า ไปเถอะลูกหญิง ไปช่วยเขาหน่อย พ่อรอให้ลูกหญิงมาที่นี้เป็นเวลา 2 พันกว่าปีแล้ว” อาจารย์เล่าให้ฟัง พร้อมทั้งบอกว่า ดวงวิญญาณเป็นพัน เป็นหมื่น ที่เขายังไม่เกิด ก็เพราะเขาเฝ้าสถานที่แห่งนี้ ไว้ รอคอยที่จะมีผู้ที่จะมาช่วยอนุรักษ์ บูรณะ และฟื้นฟู สถานที่แห่งนี้ให้กลับมาเป็นที่รู้จักของคนทั้งหลายอีกครั้ง
    ครั้งนี้ นับว่าเป็นการกลับตาลปัตรอย่างยิ่ง ที่ได้รับคำยืนยัน เรื่อง “พระพุทธเจ้าตรัสรู้ที่โคกโพธิ์ชัย” จากท่านอาจารย์ปราณี เพราะก่อนหน้านี้ ท่านอาจารย์ยืนยันว่า “พระพุทธเจ้าตรัสรู้ที่ประเทศอินเดีย”

    เมื่อคณะที่ไปได้ทราบดังนั้น จึงได้พร้อมใจกันสวดมนต์เพื่อถวายเป็นพุทธบูชา แต่ขณะที่กำลังสวดมนต์ ท่านอาจารย์ก็สะกิดผม แล้วลุกเดินพานำไปที่ต้นโพธิ์ แล้วยื่นมือแตะไปที่ต้นโพธิ์ บอกกับผมว่า “กราบอาจารย์” ผมคุกเข่าลงกราบแทบเท้าอาจารย์ และอาจารย์ได้พูดขึ้นว่า “พอกันเสียทีนะ นับแต่นี้ต่อไป หมดทุกข์ หมดโศก คิดหวังตั้งใจ จะทำสิ่งใด ให้สมความมุ่งมาดปรารถนา” แล้วอาจารย์ก็เดินไปรอบๆ ต้นโพธิ์ และใช้มือแตะที่ต้นโพธิ์ อีก 4 ครั้ง
    ก็พอดีคณะที่ไปด้วย สวดมนต์เสร็จพอดี “ที่ต้นโพธิ์นี้ มีดวงญาณของเทวดาชั้นสูง 5 องค์ ที่ทำหน้าที่รักษาพระพุทธศาสนา ถูกยักษ์จับมัดไว้ด้วยเชือกมนต์ มาเป็นเวลา 2 พันกว่าปีแล้ว เวลานี้อาจารย์ได้ปลดปล่อยดวงญาณเหล่านั้นแล้ว หนึ่งในนั้น ก็คือ เจ้าเอก”
    เมื่ออาจารย์พูดอย่างนั้น จึงทำให้โยงไปถึงเหตุการณ์วันแรกที่ได้มาพบต้นโพธิ์นี้ และตลอดเวลาที่ผ่านมา ที่ผมได้แต่นึกถึงต้นโพธิ์ที่โคกโพธิ์ชัย คงเป็นเพราะว่า “ขวัญ” หรือ “ดวงญาณ” ในอดีตที่ถูกผูกมัดไว้อยู่ที่นี่ แล้วจึงไม่สามารถ รวมกับ ขวัญดวงอื่นๆ ที่มาเกิดในปัจจุบัน ทำให้เป็นคนขาดๆ เขิน บ้าๆ บอๆ กระมัง
    “แม้ว่า วันนี้ จะไม่ใช่ต้นโพธิ์ต้นเดิม เพราะต้นเดิมได้ตายไปแล้ว แต่ ใจก็ยังผูกพันอยู่” ท่านอาจารย์พูดต่อไป “ที่เป็นเช่นนี้ เพราะเมื่อครั้งสมัยพุทธกาล เอกได้เป็นสาวกของพระสมณโคดม และตั้งใจเอาไว้ว่าจะกลับมาฟื้นฟูสถานที่แห่งนี้”
    จากนั้น คณะของเราก็กลับออกมาจากบริเวณ โนนโพธิ์ใหญ่ ในเวลา เที่ยงครึ่งพอดี เพื่อจะได้เดินทางกลับกรุงเทพฯ ต่อไป
    เรื่องราวแต่เพียงย่นย่อทั้งหมดนี้ อาจจะดูเหลือเชื่อ และเกินกว่าที่จะเข้าใจได้ แต่ หากท่านทั้งหลาย ได้อ่านเอกสารที่ผม รวบรวม เรียบเรียงขึ้นอีก 2 เล่ม คือ “ความจริงของแผ่นดิน เปิดตำนานพระพุทธศาสนาในถิ่นไทย” กับ “พระพุทธเจ้าของเราตรัสรู้ที่ประเทศอินเดียจริงหรือ?” ก็ อาจจะปะติดปะต่อ เรื่องราวทั้งหลายได้ แต่ที่สำคัญก็คือ ผมอยากเชื้อเชิญให้ทุกท่านได้เดินทาง ไปที่โนนโพธิ์ใหญ่ด้วยตัวของท่านเอง เพราะผมคิดว่า
    “โคกโพธิ์ชัย” สถานที่ ที่ใครๆ ควรได้ไปพิสูจน์
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 มิถุนายน 2016
  3. เอกอิสโร

    เอกอิสโร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    1,051
    ค่าพลัง:
    +3,809
  4. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  5. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ไหว้ 5 ครั้ง
    ของสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ ( เจริญ ญาณวรเถระ )
    วัดเทพศิรินทราวาส

    คัดลอกจาก http://www.konmeungbua.com/saha/Lung...pu_armpan.html

    ในวันหนึ่งกับคืนหนึ่ง ไม่ว่าเวลาไร ตามแต่เหมาะต้องไหว้ให้ได้ 5 ครั้งเป็นอย่างน้อย ในคราวเดียวนั้น ถ้ามีดอกไม้ธูปเทียนก็บูชา ถ้าไม่มีก็มือ 10 นิ้วและปากกับใจ ควรไหว้จนตลอดชีวิต คือ

    ครั้งที่ 1 พึงนั่งกระโหย่งเท้าประณมมือว่า
    นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส ฯ 3 หน
    แล้วว่าพระพุทธคุณ คือ
    อิติปิโส ภควา อรหํ สมฺมาสมฺพุทฺโธ วิชฺชาจรณสมฺปนฺโน สุคโต โลกวิทู อนุตฺตโร ปุริสทมฺมสารถิ สตฺถา เทวมนุสฺสานํ พุทฺโธ ภควาติ ฯ

    หยุดระลึกถึงพระปัญญาคุณทรงรู้ดีรู้ชอบสิ้นเชิง พระบริสุทธิคุณทรงละความเศร้าหมองได้หมด พระกรุณาคุณทรงสงสารผู้อื่นและสั่งสอนให้ปฏิบัติตามของพระพุทธเจ้า จนเห็นชัดแล้วกราบลงหน 1 ฯ

    ครั้งที่ 2 ว่าพระธรรมคุณ คือ
    สฺวากฺขาโต ภควตา ธมฺโน สนฺทิฆฐิโก อกาลิโก เอหิปสฺสิโก โอปนยิโก ปจฺจตฺตํ เวทิตพฺโพ วิญญูหีติ ฯ

    หยุดระลึกถึงคุณพระธรรมที่รักษาผู้ปฏิบัติตามไม่ให้ตกไปในที่ชั่ว จนเห็นชัดแล้วกราบลงหน 1 ฯ


    ครั้งที่ 3 ว่าพระสังฆคุณ คือ
    สุปฏิปนฺโน ภควโต สาวกสงฺโฆ อุชุปฏิปนฺโน ภควโต สาวกสงฺโฆ ญายปฏิปนฺโน ภควโต สาวกสงฺโฆ สามีจิปฏิปนฺโน ภควโต สาวกสงฺโฆ ยทิทํ จตฺตาริ ปุริสยุคานิ อฏฐปุริสปุคฺคลา เอส ภควโต สาวกสงฺโฆ อาหุเนยฺโย ปาหุเนยฺโยทกฺขิเนยฺโย อญฺชลิกรณีโย อนุตฺตรํ ปุญฺญกฺเขตฺตํ โลกสฺสาติฯ

    หยุดระลึกถึงคุณ คือ ความปฏิบัติดี ปฏิบัติตรง ปฏิบัติถูก ปฏิบัติชอบ ของพระอริยสงฆ์ จนเห็นชัดแล้วกราบลงหน 1 ฯ

    นั่งพับเพียบประณมมือตั้งใจถึงพระรัตนตรัยเป็นสรณะไม่ถือสิ่งอื่นยิ่งกว่าจนตลอดชีวิต ว่าสรณคมน์ คือ
    พุทฺธํ สรณํ คจฺฉามิ
    ธมฺมํ สรณํ คจฺฉามิ
    สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ
    ทุติยมฺปิ พุทธํ สรณํ คจฺฉามิ
    ทุติยมฺปิ ธมฺมํ สรณํ คจฺฉามิ
    ทุติยมฺปิ สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ
    ตติยมฺปิ พุทธํ สรณํ คจฺฉามิ
    ตติยมฺปิ ธมฺมํ สรณํ คจฺฉามิ
    ตติยมฺปิ สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ

    ครั้งที่ 4 ระลึกถึงคุณมารดาบิดาของตน จนเห็นชัดแล้ว กราบลงหน 1 ฯ

    ข้า ฯ ขอ กราบไหว้คุณท่านบิดาและมารดา
    เลี้ยงลูกเฝ้ารักษา แต่คลอดมาจึงเป็นคน
    แสนยากลำบากกายไป่คิดยากลำบากตน
    ในใจให้กังวลอยู่ด้วยลูกทุกเวลา
    ยามกินพอลูกร้องก็ต้องวางวิ่งมาหา
    ยามนอนห่อนเต็มตาพอลูกร้องก็ต้องดู
    กลัวเรือดยุงไรมดจะกวนกัดรีบอุ้มชู
    อดกินอดนอนสู้ ทนลำบากหนักไม่เบา
    คุณพ่อแม่มากนักเปรียบน้ำหนักยิ่งภูเขา
    แผ่นดินทั้งหมดเอามาเปรียบคุณไม่เท่าทัน
    เหลือที่ จะแทนคุณ ของท่านนั้น ใหญ่อนันต์
    เว้นไว้ แต่เรียนธรรม์ เอามาสอนพอผ่อนคุณ
    สอนธรรมที่จริงให้ รู้ไม่เที่ยงไว้เป็นทุน
    แล้วจึงแสดงคุณ ให้เห็นจริงตามธรรมดา
    นั่นแหละจึงนับได้ ว่าสนองซึ่งคุณา
    ใช้ค่าข้าวป้อนมาและน้ำนมที่กลืนกิน ฯ

    ครั้งที่ 5 ระลึกถึงคุณของบรรดาท่านผุ้มีอุปการคุณแก่ตน เช่น พระมหากษัตริย์และครูบาอาจารย์ เป็นต้นไป จนเห็นชัดแล้วกราบลงหน 1 ฯ

    ข้า ฯ ขอนอบน้อมคุณแด่ท่านครู ผู้อารี
    กรุณาและปรานีอุตส่าห์สอนทุก ๆ วัน
    ยังไม่รู้ ก็ได้รู้ ส่วนของครูสอนทั้งนั้น
    เนื้อความทุกสิ่งสรรพ์ดีชั่วชี้ ให้ชัดเจน
    จิตมากด้วยเอ็นดูอยากให้รู้เหมือนแกล้งเกณฑ์
    รักไม่ลำเอียงเอนหวังให้แหลมฉลาดคม
    เดิมมืดไม่รู้แน่เหมือนเข้าถ้ำเที่ยวคลำงม
    สงสัยและเซอะซมกลับสว่างแลเห็นจริง
    คุณส่วนนี้ควรไหว้ ยกขึ้นไว้ ในที่ยิ่ง
    เพราะเราพึ่งท่านจริงจึงได้รู้ วิชาชาญ ฯ

    (บทประพันธ์สรรเสริญคุณมารดาบิดา และ ครูบาอาจารย์ของ ท่านอาจารย์ จางวางอยู่ เหล่าวัตร วัดเทพศิรินทราวาส ลิขสิทธิ์เป็นของ ท่านเจ้าคุณพระโศภนศีลคุณ (หลวงปู่หลุย พาหิยาเถร) วัดเทพศิรินทราวาส)

    ต่อไปนี้ไม่ต้องประณมมือ ตั้งใจพิจารณาเรื่อง และร่างกายของตนว่า จะต้องแก่ หนีความแก่ไปไม่พ้น จะต้องเจ็บ หนีความเจ็บไปไม่พ้น จะต้องตาย หนีความตายไปไม่พ้น จะต้องพลัดพรากจากของรักของชอบใจทั้งสิ้น มีกรรมเป็นของตัว คือ ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เป็นอนิจจังไม่เที่ยง ไม่แน่นอน เป็นทุกข์ลำบากเดือดร้อน เป็นอนัตตา ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของตน ฯ ครั้งพิจารณาแล้ว พึงแผ่กุศลทั้งปวงมีการกราบไหว้เป็นต้นนี้ อุทิศให้แก่ท่านผู้มีคุณมีมารดาบิดา เป็นต้น ตลอดจนชั้นสูงสุด คือพระมหากษัตริย์ ทั้งเทพยดามนุษย์และสัตว์ทั้งหลายว่า จงเป็นสุข ๆ อย่ามีเวรมีภัยเบียดเบียนกันและกัน รักษาตนให้พ้นจากทุกข์ภัยทั้งสิ้นเถิด ฯ

    การไหว้ 5 ครั้งนี้ ถ้าวันไหนขาด ให้ไหว้ใช้ 5 ครั้งในวันรุ่งขึ้น ถ้านั่งกระโหย่งเท้าไม่ได้ ก็นั่งพับเพียบ ถ้าไม่ได้ ก็นอนไหว้ เมื่อยกมือไม่ขึ้น ก็ปากกับใจ ถ้าทำได้อย่างนี้เป็นเครื่องพยุงตนให้เป็นคนดี ไม่ให้เป็นคนชั่ว และให้ตั้งอยู่ในที่ดี ไม่ให้ตกไปในที่ชั่ว ถ้าผู้ใดประพฤติได้เสมอตลอดชีวิต ผู้นั้นจะอุ่นใจในตัวของตัวเอง มีความเจริญงอกงามไพบูลย์ยิ่ง ๆ ขึ้นเสมอทุกคืนทุกวัน คุ้มครองป้องกันภยันตรายปราศจากความเสียหายที่ไม่เหลือวิสัย และ ตั้งตัวได้ในทางคดีโลกและทางคดีธรรม เต็มภูมิเต็มขั้นของตน ๆ ทุกประการ จบเท่านี้ ฯ

    ต่อนี้ไปไม่ต้องประนมมือ ตั้งใจพิจารณาเรื่องและร่างกายของตนว่า จะต้องแก่ หนีความแก่ไปไม่พ้น จะต้องเจ็บ หนีความเจ็บไปไม่พ้น จะต้องตาย หนีความตายไปไม่พ้น จะต้องพลัดพราก จากของรัก ของชอบใจทั้งสิ้น มีกรรมเป็นของตัว คือ ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เป็นอนิจจัง ไม่เที่ยงไม่แน่นอน เป็นทุกข์ลำบากเดือดร้อน เป็นอนัตตา ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของตน ฯ ครั้นพิจารณาแล้ว พึงแผ่กุศลทั้งปวงมีการกราบไหว้เป็นต้นนี้ อุทิศให้แก่ท่านผู้มีคุณ มีบิดามารดาเป็นต้น ตลอดจนชั้นสูงสุด คือ พระมหากษัตริย์ ทั้งเทพดามนุษย์และสัตว์ทั้งหลายว่า จงเป็นสุข ๆ อย่ามีเวรมีภัยเบียดเบียนกันและกัน รักษาตนให้พ้นจากทุกข์ภัยทั้งสิ้นเถิด ฯ

    การไหว้ 5 ครั้งนี้ ถ้าวันไหนขาด ให้ไหว้ใช้หนี้ 5 ครั้งในวันรุ่งขึ้น ถ้านั่งกระโหย่งเท้าไม่ได้ ก็นั่งพับเพียบ ถ้าไม่ได้ ก็นอนไหว้ เมื่อยอมือไม่ขึ้นก็ปากกับใจ ถ้าทำได้อย่างนี้ เป็นเครื่องหยุดตนให้เป็นคนดีไม่ให้เป็นคนชั่ว และให้ตั้งอยู่ในที่ดีไม่ให้ตกไปในที่ชั่ว ถ้าผู้ใดประพฤติได้เสมอจนตลอดชีวิต ผู้นั้นจะอุ่นใจในตัวของตัวเอง มีความเจริญงอกงามไพบูลย์ยิ่งๆ ขึ้นเสมอทุกคืนทุกวัน คุ้มครองป้องกันภยันตรายปราศจากความเสียหายที่ไม่เหลือวิสัย และตั้งตัวได้ในทางคดีโลกและทางคดีธรรม เต็มภูมิเต็มชั้นของตน ฯ ทุกประการ จบเท่านี้ ฯ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • lp j1.png
      lp j1.png
      ขนาดไฟล์:
      1.1 MB
      เปิดดู:
      58
    • sj01.png
      sj01.png
      ขนาดไฟล์:
      135.6 KB
      เปิดดู:
      99
    • sj02.png
      sj02.png
      ขนาดไฟล์:
      316.3 KB
      เปิดดู:
      67
    • sj03.png
      sj03.png
      ขนาดไฟล์:
      141.9 KB
      เปิดดู:
      70
    • sj04.png
      sj04.png
      ขนาดไฟล์:
      105.4 KB
      เปิดดู:
      69
    • sj05.png
      sj05.png
      ขนาดไฟล์:
      514.6 KB
      เปิดดู:
      73
    • nor.jpg
      nor.jpg
      ขนาดไฟล์:
      128.6 KB
      เปิดดู:
      50
  6. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    เรามาร่วมด้วยช่วยกัน สวดมนต์ถวายพระราชกุศลให้ในหลวง และพระราชินีกันครับ

    -------------------------------------------------

    สวดโพชฌงค์ คาถารักษาโรคภัยไข้เจ็บ
    https://www.youtube.com/watch?v=8VdUGr6e9AM
    -https://www.youtube.com/watch?v=8VdUGr6e9AM-

    -------------------------------------------------


    บทสวดมนต์ขจัดโรคภัยไข้เจ็บ โพชฌงคปริตร


    การสวดมนต์แท้จริงแล้วเราทำเพื่อระลึกถึงพระรัตนตรัย ระลึกถึงคำสอนของพระพุทธเจ้า และเพื่อให้เรามีสมาธิ สติ เป็นการชำระจิตใจให้ตั้งมั่นก่อนที่จะเจริญภาวนา ไม่ว่าจะบทสวดมนต์ใด ถ้าผู้ที่สวดมีศีลและจิตใจที่บริสุทธิ์ พลังของการสวดภาวนาก็จะยิ่งได้ผลยิ่งขึ้น หลายคนสวดมนต์โดยที่ไม่รู้ความหมายของภาษาบาลี สวดมนต์ไปตามธรรมเนียมปฏิบัติ ก็เหมือนกันกับท่องจำแต่ไม่รู้ความหมาย ประโยชน์ที่ได้ก็จะน้อยลงตามลำดับ

    แอดมินจึงอยากจะรวบรวมบทสวดมนต์ที่สำคัญพร้อมคำแปลให้เพื่อนๆ ได้รู้ถึงความหมายของแต่ละบทสวดมนต์ที่เรากำลังสวดอยู่ การสวดมนต์พร้อมคำแปลนั้นมีข้อดี คือ นอกจากเราจะได้สมาธิ ได้ฝึกจิตให้แน่วแน่แล้ว ยังได้รู้ถึงความหมายที่แท้จริงที่พระพุทธเจ้าสั่งสอนเราด้วย แอดมินอยากบอกว่า สนุกมากค่ะ ตอนแรกๆ เราอาจจะไม่ชิน แต่เมื่อได้สวดมนต์พร้อมคำแปล ก็เหมือนกับเราอ่านหนังสือที่เราเข้าใจความหมาย

    บทสวดมนต์โพชฌงคปริตร มีความศักดิ์สิทธิ์และสำคัญ คือ

    บทสวดนี้เป็นบทสวดสำคัญที่พระสงฆ์นิยมนำมาสวดในงานทำบุญคล้ายวันเกิด หรือสวดเพื่อสร้างกำลังใจให้แก่ผู้ที่เจ็บไข้ได้ป่วยให้มีพลังจิตในการสร้างสติขึ้นซึ่งบทนี้จะเกิดอานุภาพมากหากประกอบกับการบำเพ็ญจิตเจริญภาวนาควบคู่ไปด้วย

    การที่เชื่อกันว่าบทสวดมนต์นี้มีความศักดิ์สิทธิ์ก็เพราะ มีเรื่องในพระไตรปิฎกเล่าว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้เสด็จไปเยี่ยมพระมหากัสสปะที่อาพาธอยู่ได้รับความทุกข์ทรมานมาก พระองค์จึงทรงแสดงบทสวดโพชฌงค์แก่พระมหากัสสปะให้ท่านได้ฟังและน้อมจิตปฏิบัติตาม

    หลังจากฟังบทสวดและท่านพระมหากัสสปะได้พิจารณาธรรมตามก็พบว่า ท่านสามารถหายจากโรคได้ และอีกครั้งหนึ่งพระองค์ได้ทรงแสดงธรรมบทนี้แก่พระโมคคัลลานะซึ่งอาพาธอยู่ในลักษณะเดียวกัน หลังจากนั้นก็พบว่า พระโมคคัลลานะก็หายจากอาพาธได้

    และเรื่องราวที่สำคัญที่สุดก็คือ เมื่อครั้งที่พระพุทธองค์เองทรงอาพาธ จึงตรัสให้พระจุนทะเถระแสดงโพชฌงค์ถวาย ซึ่งพบว่าพระพุทธเจ้าก็หายประชวร พุทธศาสนิกชนจึงพากันเชื่อว่า โพชฌงค์นั้น สวดแล้วช่วยให้หายโรค

    แต่ในความเป็นจริง พระไตรปิฎกกล่าวว่า โพชฌงคปริตรนั้นเป็น หลักธรรมที่พระองค์ทรงแสดง เป็นธรรมเกี่ยวกับปัญญาเป็นธรรมชั้นสูง เป็นคำสอนในการทำใจให้สว่าง สะอาดผ่องใส ซึ่งสามารถช่วยรักษาใจ เพราะจิตใจมีความสัมพันธ์และเกี่ยวข้องกับร่างกาย เนื่องจากกายกับใจเป็นสิ่งที่อาศัยกันและกัน หากใจดี ร่างกายย่อมดีตาม

    หลักของโพชฌงค์เป็นหลักปฏิบัติทั่วไปซึ่งไม่จำกัดเฉพาะผู้ป่วยเท่านั้น เพราะโพชฌงค์แปลว่า “องค์แห่งโพธิ” หรือ “องค์แห่งโพธิญาณ” เป็นองค์แห่งการตรัสรู้ซึ่งเป็นเรื่องของปัญญา ดังนั้นถ้าเราสวดมนต์บทนี้ด้วยความเข้าใจในสาระก็จะมองเห็นความเจ็บป่วยว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรของชีวิต เป็นเรื่องธรรมดา แล้วก็จะเป็นการกระตุ้นเตือนให้ลุกขึ้นมาปฏิบัติธรรม คือมองว่า เวลาที่ป่วยอยู่นี้แหละคือเวลาที่ดีที่จะได้พักผ่อนจิต ได้ปฏิบัติธรรม

    บทสวดโพชฌงคปริตร

    โพชฌังโคสะติสังขาโต ธัมมานัง วิจะโย ตะถา วิริยัมปีติปัสสัทธิ โพชฌังคา จะตะถาปะเร สะมาธุเปกขะโพชฌังคา สัตเต เต สัพพะทัสสินา มุนินา สัมมะทักขาตา ภาวิตา พะหุลีกะตา

    สังวัตตันติ อะภิญญายะ นิพพานายะ จะ โพธิยา เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ โสตถิ เต** โหตุ สัพพะทาฯเอกัสะมิง สะมะเย นาโถ โมคคัลลานัญจะ กัสสะปัง คิลาเน ทุกขิเต ทิสะวา โพชฌังเค สัตตะ เทสะยิ เต จะ ตัง อะภินันทิตะวาโรคา มุจจิงสุ ตังขะเณ

    เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ โสตถิ เต โหตุ สัพพะทาฯ เอกะทา ธัมมะราชาปิ เคลัญเญนาภิปีฬิโต จุนทัตเถเรนะ ตัญเญวะ ภะณาเปตะวานะ สาทะรัง สัมโมทิตะวา จะ อาพาธา ตัมหา วุฏฐาสิ ฐานะโส เอเตนะ สัจจะวัชเชนะโสตถิ เต** โหตุ สัพพะทาฯ

    ปะหีนา เต จะ อาพาธา ติณณันนัมปิ มะเหสินัง มัคคาหะตะกิเลสาวะ ปัตตานุปปัตติธัมมะตัง เอเตนะ สัจจะวัชเชนะโสตถิ เต** โหตุ สัพพะทาฯ

    **ถ้าสวดให้ตัวเอง ให้เปลี่ยนคำว่า เต เป็น เม



    คำแปล

    โพชฌงค์ 7 ประการ คือ สติสัมโพชฌงค์ ธรรมวิจยะสัมโพชฌงค์ วิริยะสัมโพชฌงค์ ปีติสัมโพชฌงค์ ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ สมาธิสัมโพชฌงค์ และอุเบกขาสัมโพชฌงค์ 7 ประการเหล่านี้ เป็นธรรมอันพระมุนีเจ้า ผู้ทรงเห็นธรรมทั้งปวงตรัสไว้ชอบแล้ว อันบุคคลเจริญแล้วกระทำให้มากแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อความตรัสรู้ และเพื่อนิพพาน

    ด้วยการกล่าวคำสัตย์นี้ ขอความสวัสดี จงบังเกิดมีแก่ท่าน ตลอดกาลทุกเมื่อ ในสมัยหนึ่ง พระโลกนาถเจ้า ทอดพระเนตรเห็นพระโมคคัลลานะ และพระมหากัสสปะเป็นไข้ ได้รับความลำบาก จึงทรงแสดงโพชฌงค์ 7 ประการ ให้ท่านทั้งสองฟัง ท่านทั้งสองนั้น ชื่นชมยินดียิ่ง ซึ่งโพชฌงคธรรม โรคก็หายได้ในบัดดล

    ด้วยการกล่าวคำสัตย์นี้ ขอความสวัสดี จงบังเกิดมีแก่ท่าน ตลอดกาลทุกเมื่อ ในครั้งหนึ่ง องค์พระธรรมราชาเอง (พระพุทธเจ้า) ทรงประชวรเป็นไข้หนัก รับสั่งให้พระจุนทะเถระ กล่าวโพชฌงค์นั้นนั่นแลถวายโดยเคารพ ก็ทรงบันเทิงพระหฤทัย หายจากพระประชวรนั้นได้โดยพลัน

    ด้วยการกล่าวคำสัตย์นี้ ขอความสวัสดี จงบังเกิดมีแก่ท่าน ตลอดกาลทุกเมื่อ ก็อาพาธทั้งหลายนั้น ของพระผู้ทรงคุณอันยิ่งใหญ่ทั้ง ๓ องค์นั้น หายแล้วไม่กลับเป็นอีก ดุจดังกิเลส ถูกอริยมรรคกำจัดเสียแล้ว ถึงซึ่งความไม่เกิดอีกเป็นธรรมดา ด้วยการกล่าวคำสัตย์นี้ ขอความสวัสดี จงบังเกิดมีแก่ท่าน ตลอดกาลทุกเมื่อเทอญ…


    ที่มา บ้าน.ธรรม.บุญ
    -http://www.bantamboon.com/?p=95-
     
  7. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    เตือนแล้วน๊ะ ? ระวังตัวไว้ ขับรถอยู่ดีๆอาจติดคุกได้ กำลังระบาดในขณะนี้…

    -http://skynews.sayhibeauty.com/%E0%B9%80%E0%B8%95%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B9%89%E0%B8%A7%E0%B8%99%E0%B9%8A%E0%B8%B0-%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%95%E0%B8%B1%E0%B8%A7%E0%B9%84/-



    เดี๋ยวนี้ตำรวจชอบตั้งด่านตรวจฉี่ข้างถนนอ่านเจอเลยก๊อบมาให้อ่านกันครับ
    หากตำรวจขอตรวจปัสสาวะจากท่านแต่ท่านไม่ยินยอม ท่านก็สามารถที่จะปฏิเสธการตรวจนั้นได้ ตามสิทธิของตน

    ** แต่หากเป็นกรณีที่ท่านปฏิเสธไม่ยินยอมให้พนักงานสอบสวนตรวจ โดยไม่มีเหตุอันสมควร ตามกฎหมายให้สันนิษฐานไว้เบื้องต้นว่า ข้อเท็จจริงเป็นไปตามผลการตรวจพิสูจน์ (คือทางตำรวจเขาอาจสันนิษฐานว่าปัสสาวะของท่านมียาเสพติด) ซึ่งจะเป็นผลเสียต่อท่านเองครับ

    ข้อควรปฏิบัติหากมั่นใจว่าตัวท่านเองไม่ได้เสพยาเสพติด
    1.เวลาถูกเรียกตรวจปัสสาวะ ให้ร้องขอต่อเจ้าหน้าที่ว่ายินยอมให้ตรวจแต่จะไปตรวจที่โรงพยาบาลเท่านั้น

    2.ในกรณีที่ตรวจที่ด่านแล้วผลออกมาเป็นสีม่วง ตำรวจจะตั้งข้อหาท่านทันทีเพื่อควบคุมตัวท่าน ในขั้นตอนนี้ตำรวจจะหว่านล้อมหรือข่มขู่ท่านทุกอย่างให้ท่านยอมรับสารภาพ แต่ถ้าในเมื่อท่านมั่นใจตัวเองว่าไม่ได้เสพก็ขอให้ท่านปฎิเสธข้อหาและขอให้ไปตรวจปัสสาวะวัดผลที่โรงพยาบาลอีกครั้ง พร้อมแจ้งทางโรงพยาบาลให้เจาะเลือดเพื่อวิเคราะห์หาสารเสพติดด้วย เพราะบางครั้งผลบวกที่ปัสสาวะม่วงโดยการใช้ชุดทดสอบนั้น อาจมาจากยารักษาโรคบางตัวที่มีส่วนผสมของสูโดอีเฟรดีนซึ่งเป็นอนุพันธ์ของเมทแอมเฟตามีน

    3.ให้รอผลตรวจจากทางโรงพยาบาลก่อนเซ็นเอกสารใดๆของตำรวจ เพราะตำรวจอาจส่งฟ้องเราแม้เราจะปฎิเสธหรือผลของทางโรงพยาบาลออกมาตรงข้ามกับที่ด่าน โดยตำรวจสามารถทำมึนใช้ผลทดสอบแรกที่ด่านที่เป็นสีม่วงเป็นหลักฐานในการส่งฟ้องได้ ดังนั้นเราจึงต้องเก็บเอกสารผลตรวจต่างๆของทางโรงพยาบาล เพื่อจะใช้เป็นพยานหลักฐานในตอนต่อสู้คดี

    4.ข้อควรทราบ การตรวจปัสสาวะ ณ จุดตรวจต่างๆ เป็นการตรวจสอบเบื้องต้นเท่านั้น ปัสสาวะที่ให้ผลบวก จากการตรวจสอบเบื้องต้นทุกตัวอย่าง จะต้องส่งตรวจยืนยันผลก่อนเสมอ จึงจะสรุปได้ว่ามีสารยาบ้าหรือยาอีผสมอยู่หรือไม่ ดังนั้นหากตำรวจใช้ผลตรวจปัสสาวะจากด่านโดยไม่มีผลจากโรงพยาบาลมาประกอบในการส่งฟ้อง ส่วนใหญ่จะผู้ต้องหาจะหลุดคดี แต่ผลจะตรงข้ามกันทันทีเมื่อมีผลตรวจจากด่านและคำรับสารภาพที่ท่านเป็นผู้ลงนาม แม้ไม่มีผลตรวจจากโรงพยาบาลมาประกอบในการส่งฟ้อง แต่คำรับสารภาพที่ท่านลงนามนั้นจะเป็นเครื่องมัดตัวท่านอย่างรู้เท่าไม่ถึงการณ์ครับ

    ส่วนเรื่องการจะให้ปัสสาวะเพื่อตรวจสารเสพติด ในรถ หลังต้นไม้ หรือริมถนนนั้น ถือเป็นเรื่องไม่เหมาะสมครับ ที่ถูกคือต้องทำในห้องน้ำหรือหาฉากกั้นบัง ไม่ใช่ให้ปัสสาวะใส่ชุดตรวจในรถ หลังต้นไม้ หรือริมทางกันแบบนั้น ในกรณีนี้หากเราเป็นผู้ถูกบังคับข่มขืนใจให้กระทำแบบนั้น เราสามารถขอพบหัวหน้าสถานีก็คือผู้กำกับเพื่อร้องเรียนให้พิจารณาข้อบกพร่องในการปฎิบัติหน้าที่ของตำรวจทั้งหมดในชุดนั้นๆได้

    ทำไมฉี่เป็นสีม่วง???

    ฉี่สีม่วงคืออะไร ???
    ฉี่สีม่วง คือ การตรวจปัสสาวะหายาบ้าแบบหนึ่ง ซึ่งราคาไม่แพงและวิธีการก็ทำได้ง่าย โดยนำสารเคมีมาผสมกับปัสสาวะถ้าปัสสาวะมียาบ้าก็จะเปลี่ยนเป็นสีม่วง ทำให้นิยมเรียกกันว่าฉี่สีม่วง แต่ฉี่สีม่วงก็มีข้อควรระวังอยู่เหมือนกัน เนื่องจากจะมีโอกาสเกิดผลบวกลวงขึ้นได้ ผลบวกลวงนี้หมายถึงการที่ฉี่เป็นสีม่วง แต่จริงๆแล้วผู้ถูกตรวจไม่ได้เสพยาบ้าเลย ซึ่งมีกรณีที่เกิดขึ้นจริงแล้วหลายครั้ง

    เนื่องจากว่าสารเคมีที่ใช้ทดสอบจะทำปฎิกิริยาเป็นสีม่วงกับสารอื่นด้วย ไม่เฉพาะแต่ยาบ้าอย่างเดียว เช่น ถ้าผู้ถูกตรวจกินยาแก้หวัดหรือยาลดความอ้วน ก็จะเกิดผลบวกลวงขึ้นได้มีข้อควรระวังอีกหนึ่งข้อค่ะ คือฉี่สีม่วงจะมีความไวในการตรวจต่ำ ซึ่งหมายความว่า จะต้องมีปริมาณยาบ้าในปัสสาวะมากหน่อยจึงจะตรวจพบฉี่สีม่วงได้ ทำให้ผู้ที่เสพยาบ้าปริมาณน้อย หรือเสพมานานกว่า 24 ชั่วโมง อาจจะหลุดลอดไปได้ค่ะ ดังนั้นถ้าเราจะใช้ผลการตรวจฉี่สีม่วง เพื่อนำไปเป็นหลักฐานหรือดำเนินคดีก็ควรจะตรวจยืนยันด้วยวิธีการอื่นเพิ่มเติม เพื่อให้แน่ใจว่าเราไม่ปรักปรำคนผิดไปเพราะผลบวกลวงจากฉี่สีม่วง
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • t001.png
      t001.png
      ขนาดไฟล์:
      339.4 KB
      เปิดดู:
      84
    • t002.png
      t002.png
      ขนาดไฟล์:
      75.8 KB
      เปิดดู:
      50
  8. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    อาไงต่อดี ? เมื่อ LTF เปลี่ยนเงื่อนไขเป็น 7 ปีปฎิทิน
    -http://tax.bugnoms.com/ltf-7-years-itch/#gs.0xEjYeE-

    โพสต์เมื่อ: 10 ก.ค. 2016 - ป้ายกำกับ: 7 ปีปฎิทิน, LTF, กองทุนรวมหุ้นระยะยาว

    สวัสดีครับกลับมาพบกับผม TAXBugnoms เจ้าเก่าเจ้าเดิม เพิ่มเติมคืออัพเดทเรื่องภาษีแบบทันใจใน “บล็อกภาษีข้างถนน” สำหรับเรื่องราวในวันนี้เป็นเรื่องใหม่เพิ่งแกะกล่องกฎหมายมาแบบหมาดๆ สำหรับการลงทุนใน “LTF” หรือ “กองทุนรวมหุ้นระยะยาว” ที่เพิ่งเปลี่ยนเงื่อนไขใหม่แบบสดๆร้อนๆ ตามกฎกระทรวงฉบับที่ 317 เมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม 2559 ที่ผ่านมานี้ ซึ่งเงื่อนไขสำคัญที่เปลี่ยนแปลงนั้นมีดังนี้ครับ

    เงือนไขการถือครอง LTF
    เปลี่ยนจาก 5 ปีปฎิทินเป็น 7 ปีปฎิทิน

    (66) เงินได้เท่าที่จ่ายเป็นค่าซื้อหน่วยลงทุนในกองทุนรวมหุ้นระยะยาวตามกฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ในอัตราไม่เกินร้อยละสิบห้าของเงินได้พึงประเมิน เฉพาะส่วนที่ไม่เกินห้าแสนบาท สำหรับปีภาษีนั้น โดยเงินได้ดังกล่าวต้องเป็นเงินได้ของผู้มีเงินได้ซึ่งเป็นบุคคลธรรมดาแต่ไม่รวมถึงห้างหุ้นส่วนสามัญหรือคณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคลและกองมรดกที่ยังไม่ได้แบ่งผู้มีเงินได้ต้องถือหน่วยลงทุนในกองทุนรวมหุ้นระยะยาวไม่น้อยกว่าเจ็ดปีปฏิทิน แต่ไม่รวมถึงกรณีทุพพลภาพหรือตายทั้งนี้ สำหรับเงินได้พึงประเมินที่ได้รับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2559 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2562

    เงือนไขยกเว้นภาษีกำไรจากการขาย LTF
    เปลี่ยนจาก 5 ปีปฎิทินเป็น 7 ปีปฎิทิน

    (67) เงินหรือผลประโยชน์ใด ๆ ที่ได้รับเนื่องจากการขายหน่วยลงทุนคืนให้แก่กองทุนรวมหุ้นระยะยาวตามกฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ทั้งนี้ เฉพาะกรณีที่เงินหรือผลประโยชน์ดังกล่าวคำนวณมาจากเงินได้พึงประเมินที่ได้รับยกเว้นไม่ต้องรวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้ตาม (66) และผู้มีเงินได้ถือหน่วยลงทุนดังกล่าวมาแล้วไม่น้อยกว่าเจ็ดปีปฏิทิน แต่ไม่รวมถึงกรณีทุพพลภาพหรือตาย”

    อ้างอิง : กฎกระทรวง ฉบับที่ 317 (พ.ศ. 2559) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร -

    ถ้าใครอ่านภาษากฎหมายแล้วงงหรือมึนหัว ผมขอสรุปสั้นๆ แบบรั่วๆในสไตล์ TAXBugnoms ให้ฟังอีกครั้งครับว่าการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ คือ การเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขการถือครอง LTF จาก 5 ปีปฎิทินให้เป็น 7 ปีปฎิทิน โดยให้มีผลย้อนหลังตั้งแต่การซื้อ LTF ที่เกิดขึ้นตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2559 เป็นต้นมา ไปจนถึงวันที่ 31 ธันวา่คม 2562 เพื่อเป็นการต่ออายุ LTF ไปอีก 3 ปี (จากเดิมที่เงื่อนไขจะหมดอายุภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2559 นี้ครับ) หรือจะอ่านเงื่อนไขทั้งหมดใน iTAX ก็ได้เช่นเดียวกันครับ กับ ค่าลดหย่อนกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF)

    เปลี่ยนแล้วมีอะไรล่ะ เอายังไงต่อดี ?

    มาถึงตรงนี้หลายคนคงจะสงสัย สับสน และเซ็งสุดๆ ว่าทำไมต้องถูกขยายระยะเวลาเพิ่มเติมจากเดิมที่มีชีวิตอยู่สบายๆ ถือครอง LTF 5 ปีปฎิทินแล้วขาย กลายไปเป็น 7 ปีปฎิทินแทน หรือที่เราชอบเรียกกันว่า 3 ปี 2 วัน กลายเป็น 5 ปี 2 วันนั่นเองครับ (ซื้อสิ้นปี – ขายต้นปีที่ครบกำหนด)

    สำหรับตัวอย่างการนับปีปฎิทินง่ายๆเป็นแบบนี้ครับ ถ้าเป็นกฎหมายเดิม หากเรามีการซื้อ LTF ในวันไหนก็ตามในปี 2559 (แม้จะเป็นวันที่ 30 ธันวาคม 2559 หรือวันเปิดทำการวันสุดท้าย) เราจะสามารถขายได้ตั้งแต่วันเปิดทำการแรกของปี 2563 ทันที พอเป็นแบบนี้บางคนเลยซื้อ 30 ธันวาคม และขายวันที่ 2 มกราคมครบ 3 ปี 2 วันซะงั้นแหละครับท่านผู้ชม

    แต่พอเป็นกฎหมายใหม่ สิ่งที่เปลี่ยนไปก็คือจะกลายเป็นว่าเราจะสามารถขายได้ภายในวันเปิดทำการแรกของปี 2565 แทน ซึ่งแบบนี้มันแปลว่าเราทุกคนต้องถือครองหน่วยลงทุนไปอีก 2 ปี … ไม่น่ะ ไม่… ม่ายยยยยยยย

    อย่างไรก็ตาม กฎหมายฉบับนี้เปลี่ยนแค่ระยะเวลาการถือครองตามปกติครับ ซึ่งเงื่อนไขการลงทุนก็เหมือนเดิมทุกอย่างครับ คือ ซื้อได้สูงสุด 15% ของเงินได้ที่ต้องเสียภาษี และสูงสุดไม่เกิน 500,000 บาท #เงื่อนไขการซื้อไม่แตกต่างจากเดิมเพิ่มเติมคือระยะเวลา

    บอกเลยได้ไหม ซื้อต่อดี หรือไม่ควรซื้อล่ะครับคุณพี่!

    เมื่อมาถึงตรงนี้ … ผมอยากให้กลับไปพิจารณาอีกที อย่างที่เคยพูดไว้หลายครั้ง ถ้าหากใครได้เคยฟังผมพูดในงานสัมมนา หรือ อ่านบทความและหนังสือเก่าๆของผม คงจะคุ้นกันดีนะครับว่าสิ่งสำคัญจริงๆในการซื้อ LTF คือ “เป้าหมายในการลงทุน” ไม่ใช่ “การประหยัดภาษี” อ่านเพิ่มเติมได้ที่บทความ แนวทางลดหย่อนภาษี หรือดูคลิปวีดีโอที่ผมสรุปแนวคิดเรื่องนี้ไว้ก็ได้ครับ

    https://www.youtube.com/watch?v=BXSwBACD84Q
    -https://www.youtube.com/watch?v=BXSwBACD84Q-
    เคล็ดลับและข้อคิด : การวางแผนภาษีและการเงินของมนุษย์เงินเดือน

    ดังนั้น คำถามที่ว่านี้ คงต้องย้อนกลับมาหาตัวเราครับว่า ทุกวันนี้เราซื้อ LTF เพราะอะไร ถ้าซื้อเพราะต้องการลงทุน เราต้องรู้ว่าการลงทุนในหุ้น (แม้จะผ่านกองทุนรวมหุ้นอย่าง LTF ก็ตาม) นั้นต้องถือครองเป็นระยะเวลานานระดับหนึ่ง (ระยะเวลาปลอดภัยคือ 7 ปี) ซึ่งที่มาของแนวคิดนี้ ผมขออนุญาตอ้างอิงแนวคิดระยะเวลาการลงทุนในหุ้นจากโพสของเพจ Bear Investor ดังนี้ครับ

    "ระยะเวลาลงทุนหุ้นที่ปลอดภัยควรจะอยู่ที่ 7 ปี !!"

    ผมได้ลองทำแบบจำลองการลงทุน โดยใช้ข้อมูลย้อนหลังของตลาดหุ้นไทยตั้งแต่ปี 2002 จนถึงสิ้นเดือนกันยายน 2015 โดยคำนวณผลตอบแทนแบบ Rolling Return พูดให้เข้าใจง่ายขึ้นคือ สมมติเราซื้อหุ้นทั้งตลาด ณ วันใดวันหนึ่งแล้วขายทิ้งในช่วงเวลาต่อมาเราจะได้ผลตอบแทนเท่าไหร่ ผมพบว่าถ้าเราซื้อหุ้นในวันใดๆในช่วงเวลาที่วิจัยแล้วขายภายใน 1 ปีถัดมา ท่านอาจเจอการขาดทุนหนักได้เกิน -50% ผมลองทำระยะเวลาต่อมาคือ 3 และ 5 ปีก็ยังพบว่ามีโอกาสขาดทุนได้อยู่ แม้กระทั่งเวลาที่นานขนาด 5 ปีก็มีโอกาสบ้างประมาณ 6% คือใน 100 ครั้งจะมี 6 ครั้งที่แม้ลงทุนถึง 5 ปีเราก็ยังได้ผลตอบแทนติดลบ ซึ่งอาจติดลบสูงสุดถึง -7.6% ต่อปีได้เลย

    แต่ถ้าหาตัวเลขไปเรื่อยๆ เราก็จะได้ตัวเลขที่เหมาะสมสำหรับระยะเวลาในการลงทุนในหุ้นที่ปลอดภัย นั่นคือ ซื้อวันนี้แล้วขายในอีก 7 ปีข้างหน้าเราจะพบผลตอบแทนที่เป็นบวกในช่วงเวลาที่วิจัยครับ (2002-2015) ซึ่งผลตอบแทนต่ำสุดที่เราจะได้คือ 5% ต่อปี และอาจจะสูงถึง 25% ต่อปีกันเลยทีเดียว ถ้าคุณลงทุนถูกเวลา (ซื้อหุ้นตอนมันตกหนักถล่มทลายในช่วง Subprime 2008-2009) ทั้งนี้ผลตอบแทนเฉลี่ยในช่วงเวลา 7 ปีที่วิจัยจะเท่ากับ 13.5% ต่อปี (ถือว่าสูงกว่าสถิติค่าเฉลี่ยผลตอบแทนระยะยาวตลาดหุ้นถึง 30%)

    นอกจากนี้ ระยะเวลา 7 ปีในการถือครองหุ้นยังค่อนข้างเหมาะสมในแง่ของกฎ 72 ครับ ในเมื่อตลาดหุ้นระยะยาวทำผลตอบแทนได้เฉลี่ย 10-11% ต่อปี เพราะฉะนั้น ทุกๆ 7 ปีเงินต้นควรจะโตเป็นเท่าตัว เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ทุกครั้งที่ลงทุนหุ้นให้นึกถึงเลข 7 เอาไว้ให้ดีๆ ก็เพราะ

    ทุกๆ 7 ปีเงินลงทุนในหุ้นจะมีผลตอบแทนเป็นบวก
    ทุกๆ 7 ปีโอกาสที่เงินลงทุนในหุ้นจะเป็นลบมีน้อยมาก

    และ

    ทุกๆ 7 ปีเงินลงทุนในหุ้นควรจะโตเป็น 2 เท่าเลยทีเดียว

    เพราะฉะนั้นอย่าปล่อยเจ็ดปีผ่านไปโดยไม่ลงทุนครับ ^^

    ดังนั้นถ้าใครคิดว่าการเปลี่ยนเงื่อนไขระยะเวลาในการลงทุน LTF เป็น 7 ปีปฎิทินนั้นนานเกินไป อาจจะแปลได้ว่า กระแสเงินสดในการลงทุนของเราอาจจะมีปัญหา (ถ้าเป็นแบบนี้ไม่ควรลงทุน) หรือ เรารับความเสี่ยงในการลงทุนไม่ได้เอง (อันนี้ก็ไม่ควรลงทุนอีกเหมือนกัน) และเงื่อนไขตรงนี้ทำให้เรากลับมาตรวจสอบตัวเองก่อนครับว่าเราต้องการอะไรกันแน่จากการซื้อ LTF ครับ

    พลาดซื้อไปแล้วอ่ะ ที่ผ่านมาขายคืนได้ไหม ไม่เอาแล้วววว

    อย่างไรก็ตาม ผมอยากแนะนำสำหรับคนอยู่กลุ่มหนึ่งที่สามารถกลับตัวกลับใจได้แน่ๆ และไม่มีปัญหาทางภาษี นั่นคือ กลุ่มคนที่ซื้อ LTF ในปี 2559 นี้เป็นปีแรกโดยไม่เคยซื้อมาก่อน ย้ำนะครับว่าต้องไม่เคยซื้อมาก่อน เพราะการคิดเรื่องการซื้อขาย LTF นั้นจะใช้วิธีการเข้าก่อนออกก่อน (FIFO) ในการซื้อขาย คนกลุ่มนี้จะสามารถตัดใจขายได้ หากไม่อยากถือครองนานๆ หรือคิดว่าไม่สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของการลงทุนของตัวเอง ซึ่งจะเสียสิทธิอยู่เรื่องหนึ่งคือ “กำไรจากการขาย LTF” จะต้องนำมาเสียภาษี (ถูกหัก ณ ที่จ่าย 3% เมื่อขาย และนำมารวมคำนวณภาษีตอนปลายปี) เพราะถือว่าถือครองไม่ครบกำหนด 7 ปีปฎิทิน แต่ในเรื่องของการลดหย่อนภาษีจะไม่มีปัญหาอะไร เพราะยังไม่ได้ใช้สิทธิสำหรับปีภาษี 2559 นี้ครับ แต่สำหรับคนที่ซื้อไปแล้วก่อนหน้านี้และซื้อในปี 2559 สิ่งที่ควรทำเมื่อรู้ว่าไม่เหมาะสมคือการ “หยุดซื้อ” แล้วมองหาการลงทุนแบบอื่นที่เหมาะกับตัวเองครับ

    สรุป

    โดยส่วนตัวของผม มองว่าเงื่อนไขการลงทุนใน LTF ที่เปลี่ยนแปลงนั้น ถือว่าเหมาะสมกับการลงทุนแล้วครับ จากเหตุผลของการลงทุนที่ต้องการให้เป็นการลงทุนระยะยาว “จริงๆ” รวมถึงเหตุผลในการซื้อของเราที่ต้องสนใจความต้องการ “ลงทุน” มากกว่าการ “ลดหย่อนภาษี” ซึ่งเงื่อนไขการเปลี่ยนแปลงจาก 5 ปีปฎิทินเป็น 7 ปีปฎิทินนั้นจะทำให้เราตัดสินใจได้ดีขึ้น และรู้ตัวเองว่าเราต้องการ “ลงทุน” ในอะไรที่เหมาะสมกับเป้าหมายทางการเงินของเราครับ

    สุดท้ายนี้ ผมหวังว่าบทความเรื่องนี้จะเป็นประโยชน์ต่อการตัดสินใจลงทุนใน LTF ที่มีการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขไม่มากก็น้อยนะครับ และถ้าหากใครคิดว่าบทความนี้มีประโยชน์ในการลงทุนและลดหย่อนภาษีแล้วล่ะก็ ผมรบกวนขอให้ช่วยส่งต่อบทความนี้ให้กับคนที่คุณรักกันด้วยนะคร้าบบ


    Read more at: เอาไงต่อดี ? เมื่อ LTF เปลี่ยนเงื่อนไขเป็น 7 ปีปฎิทิน - บล็อกภาษีข้างถนน
     
  9. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    พิสูจน์นรก ; ท่านเจ้าคุณโชดก ญาณสิทธิเถร
    https://www.youtube.com/watch?v=QHxv4TxT0ZA
    -https://www.youtube.com/watch?v=QHxv4TxT0ZA-


    พิสูจน์สวรรค์ ; ท่านเจ้าคุณโชดก ญาณสิทธิเถร
    https://www.youtube.com/watch?v=mGjrJoGs5yE
    -https://www.youtube.com/watch?v=mGjrJoGs5yE-


    พิสูจน์โลกหน้า โลกก่อน ; ท่านเจ้าคุณโชดก ญาณสิทธิเถร
    https://www.youtube.com/watch?v=N20oKLd1wKQ
    -https://www.youtube.com/watch?v=N20oKLd1wKQ-


    ผล ทาน บาป บุญ ; ท่านเจ้าคุณโชดก ญาณสิทธิเถร
    https://www.youtube.com/watch?v=2R6fLs-ts88
    -https://www.youtube.com/watch?v=2R6fLs-ts88-

    .
     
  10. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    Nation TV - เว็บไซต์สถานีข่าวอันดับ 1 ของเมืองไทย
    ""บวรศักดิ์"ประกาศต้าน"พร้อมเพย์" ลั่น"ให้ตายผมก็ไม่ยอม""

    -http://www.nationtv.tv/main/content/economy-business/378508679/-


    ""บวรศักดิ์ อุวรรณโณ" ประกาศต้าน"พร้อมเพย์" ชี้อเมริกา-ยุโรปมีกฎหมายห้ามเพราะละเมิดสิทธิ์บุคค ลั่น"ให้ตายผมก็ไม่ยอม"


    Nation TV - เว็บไซต์สถานีข่าวอันดับ 1 ของเมืองไทย

    "กรณีรัฐบาลออกนโยบาย"พร้อมเพย์" หรือ PROMPT PAY ตามแนวคิดของกระทรวงการคลัง ที่ตั้งใจจะเปลี่ยนแปลงระบบการชำระเงินแบบใหม่ โดยใช้บัตรประชาชนแบบชิพ (SmartCard) ตามแนวทางส่งเสริมเกี่ยวกับ Digital Economy จึงจะใช้ระบบการชำระเงินแบบอิเล็กทรอนิกส์แห่งชาติ National e-Payment โดยได้เปิดตัวเมื่อวันที่ 15 มิถุนายน 2559ความคืบหน้าเรื่องนี้ ได้มีการเผยแพร่ในโลกโซเชียล โดยระบุว่าเป็นข้อเขียนของ ดร.บวรศักดิ์ อุวรรณโณ นักกฎหมายชื่อดัง และ NationTv ได้ตรวจสอบพบว่าเป็นข้อเขียนของดร.บวรศักดิ์จริง ได้แสดงความเห็นต่อต้านเรื่องนี้ โดยกล่าวว่า "ถ้าไม่ออกกฎหมายบังคับ ผมไม่มีวันยอมทำ และมีแต่ประเทศไทยนี่แหละที่ใช้เลขบัตรประชาชนเลขเดียวกับทุกเรื่อง ซึ่งยุโรปและอเมริกามีกฎหมายห้ามเด็ดขาด เพราะความเป็น personal privacy ไม่เหลือเลย ในทั้งยุโรปและอเมริกาเขามีกม.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล privacy act และเขาห้ามเชื่อมโยงข้อมูลห้ามขายข้อมูลส่วนบุคคลโดยเจ้าตัวไม่อนุญาต เขายังไม่ยอมให้ใช้เลขเดียวกับทุกเรื่อง ของเรากม.ข้อมูลส่วนบุคคลออกไม่ได้ ใครมีข้อมูลเราก็เอาไปขายได้ตามสบายแล้วมาบังคับให้ใช้เลข 13 หลักเดียวกันจะไปเหลืออะไร เหมือนเราไม่มีเสื้อผ้าเหลือปกปิดกาย ให้ตายผมก็ไม่ยอม พี่พงศ์โพยม(พงศ์โพยม วาศภูติ อดีตปลัดกระทรวงมหาดไทย)นับถือกันมากก็จริง แต่เรื่องนี้น้องต้องขออภัย ยอมไม่ได้เด็ดขาดครับ หวังว่าจะไตร่ตรองกันให้ดีนะครับ"ดร.บวรศักดิ์ระบุด้วยว่า ประเทศในยุโรปและอเมริกา ห้ามใช้เลขเดียวกัน โดยระบุว่าถ้าเวลานั้นมีคอมพ์แล้วใช้เลขเดียวทั้งประเทศ ยิวไม่ตายแค่ล้านคน แต่อาจสูญพันธ์เลย เพราะฮิตเลอร์จะรู้หมด"ออกกฎหมายบังคับก็จะส่งศาลรัฐธรรมนูญกันล่ะผม serious มากครับ เงินในบัญชีหายยังเสียหายน้อยกว่าเป็นทาสใครก็ไม่รู้ตลอดชาติ" ดร..บวรศักดิ์เขียนและบอกว่า "ผมอ่านไลนพี่ๆเพื่อนๆทุกวันและเห็นด้วยเกือบหมดยกเว้นเรื่องนี้ ตายก็ยอมไม่ได้""


    Nation TV - เว็บไซต์สถานีข่าวอันดับ 1 ของเมืองไทย
    "ขณะเดียวกัน สมาคมธนาคารไทย ได้ให้ข้อมูลเดี่ยวกับพร้อมเพย์ที่น่าสนใจ โดยระบุว่า ช่วงนี้มีคำถามเกี่ยวกับระบบการลงทะเบียนพร้อมเพย์มากพอควร เข้าใจถูกบ้างผิดบ้าง ขออนุญาตให้ข้อมูลและความเห็นในข้อสงสัยต่างๆดังนี้ครับ1 ควรจะลงทะเบียนพร้อมเพย์หรือไม่คำตอบคือ ควรจะลงทะเบียนพร้อมเพย์ทั้งเลขที่บัตรประชาชนและเบอร์โทรศัพท์เนื่องจากการลงทะเบียนพร้อมเพย์ด้วยบัตรประชาชนจะสามารถรับเงินค่าสวัสดิการ เงินจากภาครัฐอื่นๆ รวมทั้งเงินคืนภาษีจากกระทรวงการคลังด้วยการลงทะเบียนด้วยมือถือทำให้เราสามารถบอกเพียงแค่เบอร์มือถือให้ใครก็ได้โอนเงินให้เรา และจะทำให้ธุรกรรม ecommerce สามารถเติบโตได้ง่าย การบอกแค่เบอร์มือถือมีความปลอดภัยกว่าการบอกเบอร์บัญชีแน่นอน2 ควรจะลงทะเบียนกับธนาคารไหนคำตอบ ธนาคารไหนก็ได้ที่เราเชื่อมั่นในระบบรักษาความปลอดภัยทาง IT และความสะดวกในการใช้งานระบบพร้อมเพย์ และการเปลี่ยนแปลงคู่บัญชีในอนาคต โดยเฉพาะระบบ mobile banking ซึ่งจะเป็นตัวหลักของการใช้งานพร้อมเพย์ในอนาคตในรูปแบบต่างๆที่ล้ำสมัย3 ระบบพร้อมเพย์มีความปลอดภัยหรือไม่คำตอบ ความปลอดภัยของระบบพร้อมเพย์ขอแยกเป็นสามส่วน ดังนี้3.1 การเก็บรักษาข้อมูลและโครงสร้างของระบบ การเก็บข้อมูลสำคัญเช่นเบอร์บัญชียังคงเก็บไว้ที่ธนาคารเช่นเดิม ITMX เพียงเก็บว่าเบอร์พร้อมเพย์อยู่ที่ธนาคารไหน แล้วส่งให้ธนาคารนั้นไปหาเบอร์บัญชีที่ถูกต้อง ซึ่งลูกค้าสามารถเปลี่ยนเบอร์บัญชีสลับไปมาภายในธนาคารเดียวกันโดยไม่ต้องลงทะเบียนใหม่ (ขึ้นกับ app ของแต่ละธนาคาร)เพราะฉะนั้นระบบพร้อมเพย์ยังคงความปลอดภัยเท่าระบบธนาคารเดิม ถึงต้องบอกว่าการเลือกธนาคารที่ลงทะเบียนก็เลือกจากความมั่นใจส่วนนี้ด้วย3.2 ขั้นตอนการลงทะเบียนพร้อมเพย์ เป็นความรับผิดชอบของแต่ละธนาคารที่จะต้องหาวิธีที่มั่นใจได้ว่า เบอร์โทรศัพท์ และเลขที่บัตรประชาชน เป็นข้อมูลที่ถูกต้องจริงๆ ธนาคารอาจตรวจสอบกับฐานข้อมูลของตัวเอง ฐานข้อมูลหน่วยงานราชการ ฐานข้อมูลบริษัทมือถือ ขั้นตอนนี้ขึ้นกับความเข้มงวดและวิธีที่ใช้ตรวจสอบ แต่หากเราลงทะเบียนไปแล้ว ผู้อื่นก็ไม่สามารถแอบอ้างได้อีก ยกเว้นว่าเราเป็นผู้ยกเลิกเอง3.3 ตอนใช้งานเวลาโอนเงินโดยใช้รหัสพร้อมเพย์ ผู้โอนจะเห็นชื่อผู้รับโอนจากธนาคารปลายทาง และสามารถยกเลิกรายการที่จะทำได้หากชื่อที่ปรากฎไม่ตรงกับคนที่เราจะโอนไปสรุปว่าตัวระบบเองมีความปลอดภัยเท่าของเดิม การลงทะเบียนและการใช้งานก็ขึ้นกับแต่ละธนาคารและลูกค้าต้องตรวจสอบด้วยตนเอง ซึ่งก็เหมือนการเปิดบัญชีและการใช้งานทั่วไปในการโอนเงินนั่นเอง"

    อ่านต่อที่: "บวรศักดิ์"ประกาศต้าน"พร้อมเพย์" ลั่น"ให้ตายผมก็ไม่ยอม" - Nation TV
     
  11. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    “พร้อมเพย์” ไม่ปลอดภัย? ยุคภัยคุกคามโลกออนไลน์ระบาด
    โดย กิตตินันท์ นาคทอง

    3 กรกฎาคม 2559 04:34 น. (แก้ไขล่าสุด 3 กรกฎาคม 2559 04:59 น.)

    -http://manager.co.th/Columnist/ViewNews.aspx?NewsID=9590000066052-

    ในช่วงนี้ ธนาคารหลายแห่งเริ่มประชาสัมพันธ์ให้ลูกค้าลงทะเบียน “บริการพร้อมเพย์” (Prompt Pay) ระบบการชำระเงินรูปแบบใหม่ เพื่อใช้สำหรับรับเงินและโอนเงิน

    ทั้งรับเงินจากหน่วยงานภาครัฐ และการโอนเงินรายย่อยระหว่างกัน

    ธนาคารบางแห่งก็งัดกลยุทธ์เชิญชวนให้ลูกค้าเอาบัตรประชาชน หรือเบอร์มือถือผูกบัญชีธนาคารตัวเอง เพราะมองเห็นแล้วว่าอนาคตสภาพคล่องจากภาครัฐจะไหลเข้ามาที่ธนาคาร จากการโอนเงินสวัสดิการต่างๆ ไปยังประชาชน

    อย่างเช่น ธนาคารรายใหญ่แห่งหนึ่ง จับรางวัลสร้อยคอทองคำ 1,200 รางวัล รวมมูลค่า 25 ล้านบาท

    หรือ ธนาคารหัวนอกอีกแห่งหนึ่ง คืนเงินเข้าบัญชี 50 บาท ถ้าเอาบัญชีผูกกับบัตรประชาชน หรือถ้าผูกกับเบอร์มือถือจะได้ SMS Alert รายปี

    แต่เท่าที่สังเกต ธนาคารหลายแห่งที่เปิดให้ลงทะเบียนพร้อมเพย์ล่วงหน้า ทั้งผ่านสาขาธนาคาร และช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2559 ที่ผ่านมา ไม่ได้หมายความว่าจะสามารถใช้บริการได้ทันที

    เพราะเป็นเพียงแค่ “ฝากข้อมูล” ให้ธนาคารเก็บไว้ก่อนเท่านั้น

    จนกว่าจะถึงวันที่ 15 กรกฎาคม 2559 ระบบกลางเปิดขึ้นมาเมื่อไหร่ ธนาคารเหล่านี้ก็จะส่งข้อมูลไปยังระบบกลาง ซึ่งเป็นของ บริษัท เนชั่นแนล ไอทีเอ็มเอ๊กซ์ จำกัด เจ้าของเดียวกับระบบ “เอทีเอ็มพูล” ที่เราใช้ถอนเงิน และโอนเงินต่างธนาคาร

    ถ้าเลขที่บัตรประชาชน กับเบอร์มือถือไม่มีอยู่ในระบบ ระบบก็จะรับลงทะเบียนให้กับธนาคารที่ส่งข้อมูล

    แต่ในทางกลับกัน ถ้ามีข้อมูลอยู่ในระบบอยู่แล้ว ก็จะปฏิเสธรายการ โดยแต่ละธนาคารจะแจ้งผลการสมัครทาง SMS แก่ลูกค้าทุกครั้ง ซึ่งบางครั้งก็อาจไม่ได้รับ SMS เสมอไป หากไม่มีสัญญาณ ปิดเครื่อง หรือข้อมูลเต็ม

    แต่การลงทะเบียนพร้อมเพย์ ไม่ได้หมายความว่าจะใช้โอนเงินได้ทันที

    เพราะทุกธนาคารให้คำตอบเหมือนกันหมดว่า หากไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง จะเปิดให้บริการในวันที่ 31 ตุลาคม 2559

    ระบบการโอนเงินแบบเดิม เช่น ไปยังบัญชีต่างธนาคารที่เรียกว่า ORFT คิดค่าธรรมเนียม 25-35 บาทต่อรายการ หรือบางธนาคารที่ยังคิดค่าโอนเงินข้ามเขตสำนักหักบัญชี รายการละ 10 บาท ยังคงมีให้บริการอยู่ตามปกติ

    การเปิดให้ลงทะเบียนบริการพร้อมเพย์เที่ยวนี้ แม้แต่ละธนาคารจะประชาสัมพันธ์ถึงข้อดีในการใช้บริการพร้อมเพย์ รวมทั้งจัดโปรโมชั่นจูงใจให้ลงทะเบียน

    พนักงานสาขาบางคนก็ชักชวนลูกค้าประจำว่า ผูกกับเขาเถอะ แบงก์เดียวพอ

    แต่ประชาชนก็ยังสับสนถึงการลงทะเบียนพร้อมเพย์ว่า ลงทะเบียนไปเพื่ออะไร จำเป็นหรือไม่ ในเมื่อปัจจุบันพวกเขาเคยชินกับการเลือกธนาคารที่ใช้บริการประจำ หรือเลือกที่จะทำธุรกรรมด้วยเงินสดมากกว่า

    ไม่นับรวมคำถามที่ว่า การผูกบัญชี และการใช้บริการพร้อมเพย์นั้น ปลอดภัยจริงหรือไม่?

    เท่าที่สังเกตความเสี่ยงของบริการพร้อมเพย์ คือ การเอาข้อมูลส่วนบุคคล ได้แก่ เลขที่บัตรประชาชน หรือ เบอร์มือถือ มาผูกกับบัญชีธนาคาร ผลกระทบอาจจะไม่ได้อยู่กับเงินในบัญชีโดยตรง

    แต่อาจจะกระทบกับ “ข้อมูลส่วนบุคคล” ซึ่งเป็นสิ่งที่เราไม่อยากบอกใคร

    เพราะเลขที่บัตรประชาชน 13 หลัก เป็นข้อมูลสำคัญที่สามารถเอาไปสืบค้นข้อมูลทะเบียนราษฎร์ เพื่อทราบวันเดือนปีเกิดเจ้าของบัญชี แล้วแอบทำธุรกรรมโดยที่เราไม่รู้ตัว ทั้งการทำบัตรปลอม หรือการลงทะเบียนผ่านอินเตอร์เน็ต

    ถ้าไม่นับรวมความรู้สึก เวลาใครสักคนรู้เลขที่บัตรประชาชน ไปค้นข้อมูลทะเบียนราษฎร์ รู้หมดเลยว่าเกิดที่ไหน บ้านเกิดอยู่ที่ใด พ่อแม่ชื่ออะไร ถ้าเป็นตัวเราเองเราก็รู้สึกไม่ดี ที่ใครบางคนไปล่วงรู้ข้อมูลของเราโดยที่เราไม่ยินยอม

    ตอนเด็กๆ ถูกล้อชื่อพ่อชื่อแม่อย่างไร โตขึ้นมาเจอพวกแอบส่อง พวกสอดรู้สอดเห็น กับพวกล่าแม่มดในโลกออนไลน์ กะจะเอากันให้ตาย ก็ทำให้เราระแวงมากขึ้นเท่านั้น

    ทุกวันนี้เวลามีเอกสารต่างๆ ถ้ามีเลขที่บัตรประชาชน หรือเลขสำคัญ เช่น เลขที่บัญชี เลขที่บัตรเครดิต ฯลฯ ในระยะหลังยังต้องปกปิดตัวเลขเลย เพื่อคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลอีกทางหนึ่งเลย

    เช่น ประชาชนธรรมดา ถ้าไปขอสินเชื่อ ไปกู้บ้าน ผ่อนรถ หรือมีบัตรเครดิตกับสถาบันการเงินที่ไหนไว้ จะมี “หนังสือแจ้งข้อมูลเครดิตที่รายงานบริษัทข้อมูลเครดิต” ส่งให้ถึงบ้านหรือที่ทำงานทางไปรษณีย์

    เลขที่บัตรประชาชนยังต้องปกปิดด้วยตัวอักษร X เช่น 3-1006-01XXX-XX-X

    หรือในปัจจุบัน ข้อมูลบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินของ ป.ป.ช. เลขที่บัตรประชาชน เลขที่บัญชีธนาคาร หรือเลขที่บัตรเครดิต หลังจากสแกนเอกสารแล้วยังต้องปกปิดเลย

    เพราะที่ผ่านมามีคนไปส่องเลขที่บัตรประชาชนนักการเมือง หรือบุคคลในข่าวเยอะมาก พวกสอดรู้สอดเห็นทางการเมืองเอาไปล้อว่าเป็น "ผู้เสียสิทธิ์ทางการเมือง" เพราะไม่ไปใช้สิทธิ์เลือกตั้งก็มี

    เข้าใจว่าในบริการพร้อมเพย์ การผูกบัญชีธนาคารกับบัตรประชาชน ไม่ได้มีวัตถุประสงค์เพื่อโอนเงินระหว่างบุคคล แต่เพื่อรองรับการรับเงินจากภาครัฐมากกว่า

    เลขที่บัตรประชาชนยังว่าอันตรายแล้ว ... ยิ่งถ้าเป็นเบอร์มือถือ ยิ่งอันตราย!

    เพราะคนที่ใช้งานอินเตอร์เน็ตในหมู่ผู้สูงอายุ ส่วนใหญ่มักจะตั้งรหัสผ่านอีเมล หรือเฟซบุ๊กโดยใช้เบอร์มือถือ เบอร์โทรศัพท์บ้าน วันเดือนปีเกิด เพื่อให้จดจำได้ง่าย แตกต่างจากคนวันรุ่น วัยทำงานที่มักจะระวังเรื่องนี้

    หรือไม่เช่นนั้น หากต้องการสืบประวัติว่าบุคคลคนนี้เป็นใคร แค่ทำทีเป็นโอนเงินผ่านอินเตอร์เน็ต ผ่านมือถือ หรือตู้เอทีเอ็ม โดยใช้เบอร์มือถือ (แล้วปฏิเสธรายการโดยกดยกเลิก)

    ก็รู้ได้ทันทีว่าเบอร์มือถือปลายทางเป็นบัญชีธนาคารของใคร

    เพราะโดยปกติ เวลาทำรายการโอนเงิน ไม่ว่าจะเป็นช่องทางไหนก็ตาม ระบบก็จะแสดงชื่อบัญชีปลายทางก่อนยืนยันการโอนเงินเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว ขึ้นอยู่กับว่าจะแสดงผลเป็นภาษาไทยหรือภาษาอังกฤษ

    ฉะนั้น แม้จะลงทะเบียนบริการพร้อมเพย์ไปแล้ว แต่ก็ไม่ควรบอกเบอร์มือถือกับคนที่ไม่รู้จัก หรือหากต้องบอกเบอร์มือถือแก่สาธารณะ ก็ไม่ควรเอาเบอร์นั้นไปลงทะเบียนบริการพร้อมเพย์

    เว้นเสียแต่ว่า ในชีวิตเรามีเบอร์มือถือเพียงเบอร์เดียว ไม่อยากเปิดเบอร์ใหม่ ก็ควรผูกกับบัญชีที่ใช้หมุนเวียน คือ ใช้รับเงินโอน แล้วรีบไปถอนเงิน หรือโอนเงินไปอีกบัญชีหนึ่งจะดีกว่า

    ส่วนร้านค้าออนไลน์ ควรแยกบัญชีที่ใช้รับเงินค่าสินค้า ผูกกับเบอร์มือถือที่ใช้ติดต่อลูกค้าเป็นการเฉพาะ แยกจากบัญชีที่ใช้ส่วนตัวต่างหาก

    โดยเน้นเลือกธนาคารที่เราสะดวกในการถอนเงินเป็นหลัก เช่น มีสาขาใกล้บ้าน หรือใช้บริการประจำ

    นึกสงสัยว่า การลงทะเบียนบริการพร้อมเพย์นั้น หากใช้เบอร์มือถือผูกกับบัญชีธนาคาร จะอ้างอิงระบบลงทะเบียนยืนยันตัวตนของเลขหมายโทรศัพท์แบบเติมเงิน ของ กสทช. และข้อมูลระบบรายเดือนจากค่ายมือถือต่างๆ หรือไม่

    เบื้องต้น ธนาคารแห่งประเทศไทย ลงนามเอ็มโอยูกับ กสทช. ไปแล้ว และที่อ่านข่าวในเว็บไซต์ไทยพับลิก้าดูเหมือนว่า กสทช. เริ่มจัดเตรียมฐานข้อมูลเบอร์มือถือไปแล้ว

    ไม่รู้ว่าจะเอาไปใช้งานจริงกับระบบลงทะเบียนพร้อมเพย์หรือไม่

    ถ้าเอาไปใช้งานจริง ... จะกระทบกับลูกค้าที่ไม่ได้เป็นเจ้าของเบอร์มือถือโดยตรง เช่น ลูกหลานซื้อโทรศัพท์มาให้ใช้ จดทะเบียนในชื่ออื่น อาจจะถูกปฏิเสธการลงทะเบียนพร้อมเพย์

    เพราะเบอร์มือถือกับเลขที่บัตรประชาชนไม่ตรงกับฐานข้อมูล

    แต่ถ้าไม่ได้มีการตรวจสอบว่าใครเป็นเจ้าของเบอร์มือถือตัวจริง เอาแต่เพียงที่ให้ไว้กับธนาคาร ยิ่งเสี่ยงต่อการถูกแอบอ้างเบอร์มือถือเพื่อสวมรอยทำธุรกรรมโดยที่เราไม่รู้ตัว

    โดยเฉพาะการลงทะเบียนพร้อมเพย์ทางอินเตอร์เน็ตหรือเบอร์มือถือ

    เบื้องต้นเห็นบางธนาคารบอกว่า ในกรณีที่ใช้เบอร์มือถือที่ไม่เคยให้ข้อมูลไว้กับธนาคาร ให้เอา "เอกสารแสดงความเป็นเจ้าของ" มาด้วย เช่น ใบแจ้งค่าบริการมือถือ (Statement)

    เห็นแล้วสงสัย แล้วมือถือแบบเติมเงินนี่ ลงทะเบียนพร้อมเพย์ไม่ได้ใช่ไหม?

    แต่ก็อีกนั่นแหละ ถึงจะมีกฎระเบียบหยุมหยิม แต่มิจฉาชีพจริงๆ ก็หาช่องโหว่เจอจนได้แหละ

    อาจจะไม่ได้มากับบริการพร้อมเพย์ แต่มาจากบริการที่ใช้ช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ในการสมัครก็ได้ เช่น อินเตอร์เน็ตแบงก์กิ้ง หรือแอปพลิเคชั่น ที่สมัครง่ายโดยใช้บัตรเอทีเอ็ม ไม่ต้องยืนยันตัวตนที่ธนาคาร

    ที่ยิ่งไปกว่านั้น คือตามรายงานข่าว กสทช. จะกำหนดให้ค่ายมือถือ ต้องมีการลงทะเบียนการใช้ด้วยระบบฟิงเกอร์ พริ้นท์ โดยใช้ลายนิ้วมือเพื่อแสดงตนเป็นเจ้าของเบอร์มือถือ แต่กว่าจะเริ่ม เห็นบอกว่าต้องรอไปเดือนธันวาคม 2559 นู่น

    ไม่รู้ว่าท้ายที่สุดจะกลายเป็นว่า “กว่าถั่วจะสุกงาก็ไหม้” หรือเปล่าก็ไม่รู้ ...

    ที่น่ากลัวยิ่งกว่า คือ ภัยคุกคามโลกออนไลน์ เช่น การ “แฮคเฟซบุ๊ก” แล้วสวมรอยแชทหาเพื่อนนับสิบคน

    แอบอ้างคนที่ถูกแฮคว่าขอยืมเงิน แล้วให้เพื่อนโอนเงินไปยังบัญชีธนาคารที่คนร้ายเตรียมไว้ให้ โดยอ้างว่าเป็นของน้อง หรือของญาติ

    วิธีการแฮคเฟซบุ๊ก มีทั้งคาดเดาจากเบอร์มือถือ วันเดือนปีเกิด, สร้างแอปเฟซบุ๊กที่เข้าถึงข้อมูลส่วนตัวในเฟซบุ๊ก

    หลอกลวงว่ามีคนร้ายกำลังจะแฮคเฟซบุ๊ก ให้เข้าไปเปลี่ยนรหัสใหม่ที่หน้าเพจปลอม และการปล่อยสปายแวร์เพื่อล้วงรหัสผ่าน

    ที่ผ่านมาเคยมีเหตุการณ์ลักษณะเช่นนี้หลายครั้ง เอาแค่เฉพาะในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา มีผู้เสียหายแจ้งความว่าถูกแฮคเฟซบุ๊กและอีเมลเพื่อหลอกลวงผู้อื่นจำนวนมาก เสียหายกว่า 20 ล้านบาท และการทำงานของคนร้ายเป็นไปอย่างรวดเร็ว

    ก่อเหตุเสร็จ ถอนเงินที่เหยื่อโอนเข้ามาทันทีจนเกลี้ยงบัญชี!

    แต่ตำรวจโดยเฉพาะ “กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ปอท.)” ยังไม่มีน้ำยาจับกุมผู้ก่อเหตุได้

    เอาแค่ภายในองค์กรที่มีพนักงานสอบสวนเพียงแค่ 30 คน แถมไม่มีความรู้เฉพาะทาง คนที่มีความรู้กลับถูกโยกย้ายตามวาระ

    แค่นี้องค์กรก็ร่อแร่พอแล้ว ประชาชนจะไปหวังพึ่งใครได้

    วิธีก่อเหตุอาชญากรรมโดยใช้บริการพร้อมเพย์อาจแยบยลมากขึ้น จากเดิมใช้บัญชีธนาคารในการก่อเหตุ ทั้งการแฮคเฟซบุ๊ก หรือแก๊งคอลล์เซ็นเตอร์ รหัสสาขา 3 หลักที่หลายธนาคารยังใช้อยู่ ยังพอรู้ว่าเปิดบัญชีที่สาขาไหน อยู่ที่ใด

    แต่ต่อไปนี้ แค่เบอร์มือถือ ก็หลอกลวงผู้อื่นให้โอนเงินได้แล้ว

    เพราะระบบจะอ้างอิงข้อมูลจากเลขที่บัตรประชาชน และ/หรือ เบอร์มือถือ ผูกกับบัญชีธนาคารที่ลงทะเบียน

    ไม่มีการบอกว่าเป็นบัญชีธนาคารไหน เป็นแบบในเขต ข้ามเขต และไม่รู้ว่าเป็นธนาคารเดียวกัน หรือต่างธนาคารเหมือนในอดีต

    เวลาโอนเงิน หน้าจอบอกแค่ว่าเป็นเบอร์ของใคร แค่ปิดเครื่องหรือถอดซิมการ์ดทิ้งก็ติดตามตัวได้ยากแล้ว

    ไม่รู้ว่าเจ้าของบัญชีใช้ธนาคารอะไร อยู่ที่ไหน ซึ่งยังพอไหว้วานสืบหากันเอง หรือติดต่อธนาคารเจ้าของบัญชีปลายทางได้บ้าง

    เผลอๆ คนร้ายที่ลงมือไม่ใช่เจ้าของบัญชีตัวจริง

    แต่ไปว่าจ้างเยาวชนอายุมากกว่า 15 ปีขึ้นไป นักเรียน นักศึกษา สาวโรงงาน ลูกจ้างสถานบริการ หรือประชาชนในชนบทที่ห่างไกล เปิดบัญชีพร้อมทำบัตรเอทีเอ็ม

    แล้วก็เอาบัตรเอทีเอ็มไปใช้สมัครบริการต่างๆ เช่น อินเตอร์เน็ตแบงก์กิ้ง โมบายล์แบงก์กิ้ง โดยไม่ต้องยืนยันตัวตนกับธนาคาร และหากต่อไปมีรับจ้างลงทะเบียนซิมการ์ด ยังผูกกับเบอร์มือถือลงทะเบียนบริการพร้อมเพย์ได้อีก

    โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคอีสาน และภาคใต้ ขบวนการจัดหาผู้รับจ้างเปิดบัญชีธนาคาร แพร่ระบาดอย่างหนัก ธนาคารแห่งประเทศไทย สำนักงานภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และสำนักงานภาคใต้ ถึงกับออกบทความเตือนภัยกันมาแล้ว

    อ่านประกอบ : รับจ้างเปิดบัญชีเงินฝาก มีผลอย่างไร โดย นางปภาภัทร ณ พัทลุง ผู้วิเคราะห์อาวุโส ส่วนคุ้มครองและให้ความรู้ผู้ใช้บริการทางการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย สำนักงานภาคตะวันออกเฉียงเหนือ

    อ่านประกอบ : ผลร้าย : การรับจ้างเปิดบัญชี โดย นายสุรศักดิ์ สุพรรณพงศ์ ผู้ชำนาญการ ส่วนคุ้มครองผู้ใช้บริการทางการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย สำนักงานภาคใต้

    คนที่รับจ้างเปิดบัญชีธนาคาร แม้จะได้ค่าตอบแทนอย่างงามบัญชีละ 2,000-3,000 บาท แต่ไม่รู้เท่าทันว่าภัยจะเกิดกับตัวเองภายหลัง

    วันดีคืนดีตำรวจเอาหมายศาลจับกุมถึงบ้าน ข้อหาเป็นตัวการร่วมหรือสนับสนุนให้กระทำความผิด

    ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ ไม่ได้หมายความว่าเราจะต้องกลัว จนไม่กล้าสมัครใช้บริการพร้อมเพย์ แต่เพื่อให้เรารู้เท่าทัน รู้จักป้องกันตัวเอง และใช้บริการพร้อมเพย์อย่างระมัดระวัง เพื่อไม่ให้เราต้องตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพ

    สิ่งสำคัญที่สุดคือ ภัยคุกคามจากโลกไซเบอร์กำลังระบาดเป็นเงาตามตัว เราจึงควรระมัดระวังในการใช้อินเตอร์เน็ตอย่างยิ่ง โดยเฉพาะเรื่องรหัสผ่านกันลืม การคลิกลิงค์แปลกๆ ลงโปรแกรมแปลกๆ

    ไม่เช่นนั้นคงมีคนตกเป็นเหยื่อจากการ "รู้ไม่เท่าทัน" แบบไม่รู้จบ.
     
  12. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    เพจอนุรักษ์เตือน หยุดปล่อยปลาซัคเกอร์ลงแม่น้ำอ้างทำบุญ ชี้สุดท้ายได้บาปแทน

    -http://hilight.kapook.com/view/139443-

    เพจอนุรักษ์เตือน หยุดปล่อยปลาซัคเกอร์ลงแม่น้ำอ้างทำบุญ ชี้มีสิทธิ์ทำปลาท้องถิ่นสูญพันธุ์เกลี้ยง สุดท้ายทำบุญได้บาปแทน

    เมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม 2559 เฟซบุ๊ก BIG Trees มีการโพสต์ว่า ตอนนี้มีกระแสปล่อยปลาซัคเกอร์ หรือเอามาตั้งชื่อว่าเป็นปลาดำราหู เอาไว้ปล่อยปลาทำบุญ ซึ่งอาจจะส่งผลเสียในอนาคตต่อปลาท้องถิ่นไทยได้ เช่น ปลาสวาย ปลาดุก ปลาช่อน เป็นต้น เนื่องจากปลาซัคเกอร์นั้นไม่มีศัตรูทางธรรมชาติ ไม่ใช่ปลาท้องถิ่นในไทย น่าจะขยายพันธุ์ได้เร็ว สุดท้ายคนทำบุญได้บาป

    ด้านผู้ที่พบเห็นโพสต์ดังกล่าว ต่างแชร์ออกไปจำนวนมาก และตำหนิคนที่ทำแบบนี้ บางคนก็ได้นำเสนอประสบการณ์การเลี้ยงปลาซัคเกอร์ เอาไปรวมกับปลาดุก สุดท้ายปลาดุกโดนไล่กินจนเกือบหมด

    รูปแรก
    ข้อมูลและภาพจาก เฟซบุ๊ก BIG Trees
    -https://www.facebook.com/BIGTreesProject/photos/a.108170959251978.9995.108170775918663/1035751926493872/?type=3-


    รูปที่สอง
    ภัยร้ายปลาซัคเกอร์
    -http://m.pantip.com/topic/33843207-
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  13. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  14. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    6 สิ่ง ที่ผลาญเงินคุณ และทำให้ไม่มีเงินเก็บ
    -http://money.sanook.com/400547/-

    -http://www.moneyguru.co.th/-
    สนับสนุนเนื้อหา

    เชื่อว่าเราส่วนใหญ่มักใช้จ่ายเงินกันแบบลืมคิดว่าสิ่งของที่เราซื้อเหล่านั้นมันคุ้มค่าหรือไม่? หรือซื้อมามันจะได้ใช้ไหม? ซึ่งบางทีหากเรามาใส่ใจเรื่องเงินเล็ก ๆ น้อย ๆ พวกนี้บ้าง เราอาจจะมีเงินเก็บไปนานแล้วก็ได้ เพื่อให้คุณผู้อ่านหันมาใส่ใจกับเรื่องเหล่านี้บ้าง วันนี้ MoneyGuru.co.th จึงนำตัวอย่างสิ่งที่คุณ ๆ ทั้งหลายต่างละเลยไปมาฝากกันค่ะ

    อาหารหมดอายุ
    การซื้ออาหารสดมามากเกินไป สามารถนำไปสู่การทิ้งอาหารสดเหล่านั้นได้ เนื่องจากมันเสียก่อนที่คุณจะมีโอกาสได้กิน ดังนั้นการวางแผนรับประทานอาหารก่อนที่จะไปช้อปปิ้ง สามารถช่วยให้คุณไม่ต้องซื้อของมากเกินไปได้ หรือทางที่ดี การซื้ออาหารสดเพียงสัปดาห์ละครั้งก็จะช่วยให้คุณประหยัดเวลาและน้ำมันรถได้นะคะ

    ไม่เปรียบเทียบราคาก่อนซื้อ
    ร้านค้าปลีกบางแห่งมักจะเพิ่มราคาเพื่อให้ส่วนลดดูดี ดังนั้นการเปรียบเทียบราคาสิ่งของที่จะซื้อกับเว็บไซต์ต่าง ๆ ก่อนนั้นจึงเป็นเรื่องที่ดีค่ะ

    จ่ายดอกเบี้ยบัตรเครดิต
    คนไทยชอบใช้จ่ายด้วยบัตรเครดิตเป็นจำนวนมาก อย่างไรก็ตาม แม้ว่าการจ่ายด้วยบัตรเครดิตอาจจะดึงดูดอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับสินค้าที่ 'ซื้อตอนนี้จ่ายทีหลัง' แต่หารู้ไม่ว่าคุณจะไม่ได้จ่ายแค่ในราคาสินค้าที่ซื้อเท่านั้น แต่คุณยังจะต้องจ่ายดอกเบี้ยมหาโหดอีกด้วย ดังนั้นการไม่ใช้บัตรเครดิตและชำระเงินด้วยเงินสดแทนอาจจะเป็นการดีกว่ามากค่ะ

    ค่าธรรมเนียมของธนาคารที่ไร้ประโยชน์
    หากคุณต้องเสียค่าธรรมเนียมทุกครั้งที่คุณกดเงินจากตู้เอทีเอ็มต่างธนาคาร หรือทุกครั้งที่คุณไปกดเงินที่ต่างจังหวัด เราแนะนำให้คุณหาธนาคารที่มีตู้เอทีเอ็มที่ครอบคุลมพื้นที่ที่คุณอยู่มากที่สุด เพราะคุณจะได้ไม่ต้องไปเสียเงินกดเงินจากตู้เอทีเอ็มต่างธนาคาร หรือถ้าหากคุณกำลังจะไปต่างจังหวัด เราแนะนำให้คุณกดเงินไปก่อนเลย เพราะค่าธรรมเนียมในการกดเงินที่ต่างจังหวัดแพงมากค่ะ

    ซื้อสินค้าแบรนด์เนม
    โดยทั่วไปมีความแตกต่างไม่มากระหว่างสินค้าแบรนด์ดังกับสินค้าทั่วไป แต่ราคากลับแตกต่างกันเกินครึ่ง ดังนั้นหากคุณอยากประหยัดเงินพร้อมทั้งได้สินค้าดี ๆ หน่อย การมองหาสินค้าทั่ว ๆ ไปแต่เกรดสูงขึ้นมาก็เป็นการดีนะคะ

    จ่ายเงินกับสิ่งที่คุณไม่ได้ใช้
    คุณจ่ายเงินให้กับสมาชิกฟิตเนสที่คุณไปใช้เพียงบางครั้งใช่ไหม? หรือคุณจ่ายเงินค่าเคเบิ้ลทีวีที่คุณไม่เคยดูใช่หรือเปล่า? ค่าใช้จ่ายที่คุณไม่ได้ใช้มันเลยเหล่านี้แหละค่ะที่เป็นตัวผลาญเงินคุณชั้นดีเลย ดังนั้นลองใช้เวลาคิดดูว่ามีอะไรบ้างที่คุณไม่ได้ใช้ แล้วก็ยกเลิกหรือหยุดจ่ายให้กับมันเสียค่ะ
     
  15. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    รูปหลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า (หลวงปู่อิเกสาโร) ท่านอยู่ในคณะพระธรรมทูต คณะโสณะ-อุตระ ที่ในปัจจุบันเรียกท่านว่า หลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดรเท่านั้น ไม่ได้เป็นหลวงปู่องค์อื่นๆ หรือ กลุ่มอื่นใด หรือ หลวงปู่โลกอุตรกลุ่มอื่นๆ



    รูปองค์หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า (หลวงปู่อิเกสาโร) ทั้งสองรูปที่ผมลง รูปจริงอยู่ที่บ้านผม ผมเคยลงในกระทู้พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้ เว็บไซด์พลังจิต ชื่อสมาชิกก็คือ Sithiphong (ตัวผมเอง) ซึ่งลงสงวนลิขสิทธิ์ไว้ (ผมลงไว้นานหลายปีแล้ว) ลายเซ็นด้านล่าง ก็เป็นลายเซ็นของผม


    เวลาที่หลายๆคนนำมาลง หากไมได้นำมาทำเรื่องของการค้า ควรจะลงที่มาของรูป ควรให้เครดิตเจ้าของรูปด้วย

    ทราบหรือไม่ว่า หากนำรูปมาใช้ โดยไม่ได้ให้เกียรติ ให้เครดิตเจ้าของภาพ โดยนำมาลง อาจมีผู้ที่เข้าใจผิดได้ว่า รูปเป็นรูปของท่าน และ ท่านได้ผิดในเรื่อง "อทินนาทานา เวรมณี"


    หากท่านนำรูปภาพ ที่ไม่มีตัวอักษร นำมาลง ก็ไม่เกี่ยวในเรื่องของการให้เครดิตเจ้าของรูปภาพ

    เพราะ ถ้าเป็นรูปภาพที่มีตัวอักษรที่ผมลงให้ดูนั้น ซึ่งมีเพียงรูปเดียว และลักษณะของอักษรมีแบบนี้แบบเดียว หากจะนำไปลงในที่ต่างๆ ควรให้เครดิตเจ้าของภาพด้วย

    ผมขอให้ลงตามนี้

    เครดิตภาพ sithiphong ชมรมพระวังหน้า

    หรือ

    เครดิตภาพ sithiphong กระทู้พระวังหน้าที่หลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้ เว็บไซด์พลังจิต


    -----------------------------------------------------

    สิกขาบทที่ ๒ อทินนาทานา เวรมณี
    -http://www.ธรรมศึกษา.com/2013/05/to-abstain-from-stealing.html-

    สิกขาบทนี้ (อทินนาทานา เวรมณี) แปลว่า เว้นจากถือเอาสิ่งของที่เจ้าของไม่ได้ให้
    กิริยาที่ถือเอา หมายความว่า ถือเอาด้วยอาการเป็นโจร
    สิ่งของที่เขาไม่ได้ให้ หมายความว่า สิ่งของที่มีเจ้าของทั้งที่เป็นสวิญญาณกทรัพย์ ทั้งที่เป็น อวิญญาณกทรัพย์อันผู้เป็นเจ้าของไม่ได้ยกให้เป็นสิทธิ์ขาด หรือสิ่งของที่ไม่ใช่ของใคร (โดยเฉพาะ) แต่มีผู้รักษาหวงแหน ได้แก่ สิ่งของที่อุทิศบูชาปูชนียวัตถุในศาสนานั้นๆ ของกลางในชุมชน ของสงฆ์และของมหาชนในสโมสรสถานนั้นๆ

    สิกขาบทนี้ บัญญัติขึ้นด้วยหวังจะให้เลี้ยงชีวิตในทางที่ชอบ เว้นจากการเบียดกันและกัน คือไม่เบียดเบียนทรัพย์สินผู้อื่น

    เมื่อเพ่ง ความประพฤติชอบธรรมในทรัพย์สมบัติของผู้อื่นเป็นใหญ่ ดังนั้นจึงไม่ใช่แต่โจรกรรมเท่านั้น แม้ความเลี้ยงชีพอนุโลมโจรกรรมและกิริยาเป็นฉายาโจรกรรมก็ถูกห้ามตามสิกขาบทนี้ด้วย

    โจรกรรม
    โจรกรรม ได้แก่ กิริยาที่ถือเอาสิ่งของที่ไม่มีผู้ให้ ด้วยอาการเป็นโจร เช่น ปล้นสะดม ลักขโมย ตีชิงวิ่งราว กรรโชค คือใช้อาชญาข่มขู่ และทุจริตคอรัปชั่น เป็นต้น

    ความเลี้ยงชีพอนุโลมโจรกรรม
    อนุโลมโจรกรรม ได้แก่ กิริยาที่แสวงหาทรัพย์พัสดุในทางไม่บริสุทธิ์อันไม่ถึงเป็นโจรกรรม ตัวอย่างเช่น
    สมโจร ได้แก่กิริยาที่อุดหนุนโจรกรรม เช่นรับซื้อของโจร เป็นต้น
    ปอกลอก ได้แก่กิริยาที่คบคนด้วยอาการไม่ซื่อสัตย์ มุ่งหมายจะเอาแต่ทรัพย์สมบัติของเขาถ่ายเดียว เมื่อเขาหมดตัวแล้ว ก็ทิ้งไป
    รับสินบน ได้แก่กิริยาที่ถือเอาทรัพย์พัสดุที่เขาให้เพื่อช่วยทำธุระให้แก่เขาในทางที่ผิด เช่น เจ้าหน้าที่รับสินบนจากผู้ร้ายแล้วปล่อยให้พ้นความผิด เป็นต้น

    ทรัพย์พัสดุที่ได้มาด้วยมิจฉาชีพเช่นนี้ ก็เป็นดุจเดียวกันกับของที่ได้มาด้วยโจรกรรมไม่ทำความสุขให้เกิดแก่ผู้ได้ กลับเป็นปัจจัยแห่งความเสื่อมของผู้นั้น ให้เสียทรัพย์ เสียชื่อเสียง เสียยศศักดิ์ผู้รักตัวควรเว้นความหาเลี้ยงชีพอนุโลมโจรกรรมนี้เสีย แสวงหาทรัพย์พัสดุเลี้ยงตนและคนที่ควรจะเลี้ยงในทางที่ชอบด้วยน้ำพักน้ำแรงของตนเอง

    กิริยาเป็นฉายาโจรกรรม
    ข้อนี้ ได้แก่กิริยาที่ทำทรัพย์พัสดุของผู้อื่นให้สูญเสีย และเป็นสินใช้ตกอยู่แก่ตน มีประเภทดังนี้
    ผลาญ ได้แก่ กิริยาทำอันตรายแก่ทรัพย์พัสดุของผู้อื่น เช่น เผาบ้านเผารถยนต์ เผาไร่ เผานา หรือแกล้งตัดเงินเดือนและค่าจ้าง เป็นต้น
    หยิบฉวย ได้แก่กิริยาที่ถือเอาทรัพย์พัสดุของผู้อื่นด้วยความง่าย เช่นบุตรหลาน ผู้ประพฤติเป็นพาล เอาทรัพย์ของมารดา บิดา ปู่ย่า ตายายไปใช้เสีย ญาติมิตร เอาทรัพย์ของญาติมิตรไปใช้ โดยมิได้บอกให้เจ้าของรู้ เป็นต้น
    ผู้หวังความสวัสดีแก่ตน พึงเว้นกิริยาที่เป็นฉายาโจรกรรมเช่นนั้นเสีย นับถือกรรมสิทธิ์ของผู้อื่นในความเป็นเจ้าของพัสดุ ให้เหมือนตนประสงค์จะให้ผู้อื่นเขานับถือตนฉะนั้น

    กรรมหนักหรือกรรมเบา
    เมื่อกล่าวโดยความเป็นกรรม อทินนาทาน จัดเป็นโทษหนักเป็นชั้นกันโดยวัตถุ เจตนา และประโยค
    โดยวัตถุนั้น ถ้าของที่ทำโจรกรรมมีราคามาก ทำฉิบหายให้แก่เจ้าของทรัพย์มาก ก็มีโทษมาก
    โดยเจตนานั้น ถ้าถือเอาด้วยโลภเจตนากล้า ก็มีโทษมาก
    โดยประโยคนั้น ถ้าถือเอาด้วยฆ่าหรือทำร้ายเจ้าของทรัพย์ หรือประทุษร้าย เคหะสถานและพัสดุของเขา ก็มีโทษหนัก
    .
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 กรกฎาคม 2016
  16. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    อดรนทนไม่ได้

    เดี๋ยวนี้เรื่องราวของหลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร (คณะพระธรรมทูต คณะโสณะ-อุตระ ที่มาเผยแพร่พระพุทธศาสนาในสุวรรณภูมิ เมื่อปี พ.ศ.235) ได้มีคนนำไปปรับปรุง/เปลี่ยนแปลง/แก้ไข กันจนเพี้ยนไปหมด

    ใครทำอะไร รับกันไปเองครับ

    แต่ในเฟสฯกลุ่มหลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร & พระวังหน้า ผมขอบอกว่า ผมมั่นใจในเรื่องราวต่างๆของหลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร (คณะพระธรรมทูต คณะโสณะ-อุตระ) ที่ได้เรียนรู้มาจากท่านอาจารย์ประถม อาจสาคร ตามหนังสือทั้งสามเล่มนี้

    ผมถือว่า ผมได้บอกทุกๆท่านแล้ว ก็แล้วแต่ทุกๆท่านว่า จะเชื่อผมหรือไม่
    เชื่อผมหรือไม่ ไม่สำคัญครับ ผมทำหน้าที่ของผมให้ดีที่สุดแล้ว และผมไม่ยอมบิดเบือนในข้อเท็จจริงของคณะหลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร(คณะพระธรรมทูต คณะโสณะ-อุตระ)

    และแจ้งย้ำอีกครั้งว่า หลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร ในเฟสหลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร & พระวังหน้า https://www.facebook.com/หลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร-พระวังหน้า-1503999719890625/

    และในกระทู้พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้ เว็บไซด์พลังจิต ก็คือ คณะพระธรรมทูต คณะโสณะ-อุตระ ที่พระเจ้าอโศกมหาราชได้อาราธนามาเผยแพร่พระพุทธศาสนาในสุวรรณภูมิ ในปี 235 เท่านั้นครับ
     
  17. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    รู้ทันช่าง ตั้งศูนย์ถ่วงล้อยังไง ให้จบในครั้งเดียว
    -http://auto.sanook.com/54057/-


    -http://www.silkspan.com/-
    สนับสนุนเนื้อหา

    แม้ว่ายางรถยนต์จะเป็นอุปกรณ์สิ้นเปลืองอันดับต้นๆ ของคนมีรถ แต่ตัวมันเองก็มีความสำคัญเกี่ยวกับเรื่องของความปลอดภัยอยู่ไม่น้อยเช่นกัน และนอกจากจะต้องเปลี่ยนยางใหม่ทุกๆ 3 ปี หรือ 50,000 กิโลเมตร โดยประมาณแล้ว อีกสิ่งที่ต้องทำควบคู่กันไปด้วยก็คือ การตั้งศูนย์ถ่วงล้อ

    บางคนอาจยังไม่รู้ หรือไม่เข้าใจ ว่าทำไมถึงต้องตั้งศูนย์ถ่วงล้อ นั่นก็เป็นเพราะว่า ยางแต่ละเส้นไม่ได้มีมวลยางหนาแน่นเท่ากันในทุกๆ จุดบนเส้นรอบวง ซึ่งมันมีผลทำให้นํ้าหนักในแต่ละจุดบนเส้นรอบวงของยางไม่เท่ากัน และหากไม่ทำการถ่วงล้อใหม่ เวลาที่นำรถไปใช้งานก็จะเกิดอาการสั่นสะเทือน และจุดที่ส่งผลชัดเจนที่สุดก็คือ ล้อหน้า เนื่องจากเมื่อเกิดอาการที่ล้อ มันจะส่งผลต่อไปยังพวงมาลัยด้วย ทำให้ควบคุมรถได้ยาก ยางสึก และเสื่อมสภาพไวขึ้น รวมถึงชิ้นส่วนต่างๆ ของระบบช่วงล่างที่อาจได้รับผลกระทบ ทำให้พังไวขึ้นตามไปด้วย

    แต่ก่อนอื่นเลยนั้น การตั้งศูนย์ถ่วงล้อ จริงๆ แล้วช่างส่วนมากมักจะเริ่มจากการถ่วงล้อก่อนเป็นอันดับแรก เพราะช่างจะต้องถอดล้อออกมาจากตัวรถ จากนั้นดึงตะกั่วถ่วงล้ออันเก่าออกมาก่อน แล้วจึงนำล้อไปใส่ไว้บนเครื่องถ่วงล้อ เพื่อใส่ตะกั่วถ่วงล้ออันใหม่เข้าไปให้ได้สมดุล โดยในขั้นตอนนี้จะใช้เครื่องหมุนด้วยความเร็ว และต้องคอยเช็กดูด้วยว่า ล้อหมุนนิ่ง หรือมีอาการสั่นสะเทือนตรงไหนหรือไม่

    หากถ่วงล้อด้วยวิธีข้างต้นไม่ได้ผล แก้ไขอาการสั่นของล้อไม่ได้ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดๆ ก็แล้วแต่ (อาจเกิดจากชิ้นส่วนอื่นๆ เช่น จานเบรก ลูกปืน และเพลาขับ ฯลฯ) วิธีแก้ไขอีกแบบจะเป็นการ ถ่วงจี้ โดยการนำเครื่องถ่วงจี้หมุนเข้าไปจี้กับแก้มยาง จากนั้นหมุนล้อด้วยความเร็ว เพื่อเช็กอาการของล้อขณะติดอยู่กับตัวซึ่งหากเกิดอาการสั่นจากชิ้นส่วนต่างๆ ที่หมุนไปพร้อมๆ กับล้อ ช่างก็จะสามารถแก้ไข และทำให้ถ่วงล้อได้แม่นยำยิ่งขึ้น

    หลังจากถ่วงล้อจนเข้าที่แล้ว ขั้นต่อไปคือการตั้งศูนย์ ซึ่งในส่วนนี้ช่างส่วนใหญ่มักตั้งศูนย์ให้ส่วนประกอบต่างๆ เช่น ระบบบังคับเลี้ยว ระบบช่วงล่างล้อ และยาง ทำงานสัมพันธ์กันอย่างถูกต้อง สามารถทำให้รถวิ่งได้ตรง ไม่ดึงไปทางใดทางหนึ่ง (ซ้าย หรือขวา) และที่สำคัญการตั้งศูนย์ที่ล้อหน้า ต้องตั้งค่าให้ถูกต้องตามที่โรงงานกำหนด

    นอกจากนี้การตั้งค่าของมุมล้อเองก็ต้องใช้เครื่องมือที่มีประสิทธิภาพ มีความแม่นยำ รวมไปถึงช่างที่ทำก็ต้องมีความรู้ ความชำนาญด้วย และส่วนใหญ่มุมที่ต้องตั้งหลักๆ จะมีอยู่ 3 มุม คือ มุมโท มุมแคสเตอร์ และมุมแคมเบอร์ ซึ่งจะขออธิบายถึงประโยชน์ของการตั้งค่ามุมต่างๆ สั้นๆ พอเป็นสังเขป ดังนี้

    มุมโท เป็นมุมที่ทำช่วยให้รถนั้นวิ่งได้ตรง และนิ่ง สามารถควบคุมรถในทางตรงได้ง่าย แม้บางครั้งจะปล่อยมือจากพวงมาลัยระยะเวลาสั้นๆ ทิศทางของรถก็ยังตรงอยู่
    มุมแคสเตอร์ หน้าที่จะคล้ายกับมุมโท คือช่วยให้รถวิ่งตรง และยังช่วยทำให้การเลี้ยวรถมีความคล่องตัว ช่วยการคืนตัวของพวงมาลัยได้ดี ช่วยให้ล้อหมุนกลับมาตรงดีขึ้นหลังจากการเลี้ยว
    มุมแคมเบอร์ ทำหน้าที่ต้านการเอียงข้างของรถขณะขับขี่ในทางโค้ง ลดรัศมีหมุนเลี้ยวลง เพื่อให้หมุนพวงมาลัยได้เบา ทำให้ไม่เกิดการคลอนตัวลูกปืนล้อที่ระยะฟรี และลดอาการล้อลื่น ทำให้การเข้าโค้งนั้นทรงตัวได้ดี

    การตั้งศูนย์ถ่วงล้อ สมควรจะทำก็ต่อเมื่อ เปลี่ยนยางใหม่ ไม่ว่าจะเป็นยางขนาดเดิม หรือเปลี่ยนขนาดใหม่ แต่ถ้าเป็นเป็นการสลับยางตามระยะ อาจทำแค่ถ่วงล้ออย่างเดียวก็ได้ เพราะการสลับยางไม่ได้ถอดยางออกจากล้อ จึงไม่จำเป็นต้องตั้งศูนย์ใหม่ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น หากรถที่ใช้เกิดอาการผิดปกติ พวงมาลัยดึงไปทางใดทางหนึ่ง หรือมีอาการสั่นสะเทือนที่พวงมาลัย ไม่ว่าจะเพิ่งตั้งศูนย์ถ่วงล้อออกมาใหม่ หรือใช้งานมานานแล้ว ก็ควรนำรถเข้าไปให้ช่างเช็กอาการดู เพื่อหาสาเหตุความผิดปกตินี้ จะได้แก้ไขได้ทันท่วงที
     
  18. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    อาจารย์ยอดเล่าเรื่อง ยมฑูตจับผิดคน นางไม้ไร้ที่อยู่
    https://www.youtube.com/watch?v=2gp8y0yvWZc
    -https://www.youtube.com/watch?v=2gp8y0yvWZc-




    [เรื่องเล่าในตำนาน] - สงคราม 9 ทัพ 「โดยอาจารย์ยอด」
    https://www.youtube.com/watch?v=gBcPqdodrFY
    -https://www.youtube.com/watch?v=gBcPqdodrFY-




    [เรื่องเล่าในตำนาน] - ความเชื่อการฆ่าตัวตาย 「โดยอาจารย์ยอด」
    https://www.youtube.com/watch?v=ejJ0_cdKICI
    -https://www.youtube.com/watch?v=ejJ0_cdKICI-



    .
     
  19. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    วิธีป้องกันบ้านจากหัวขโมย 5 แบบ
    -http://home.sanook.com/10453/-

    ทุกวันนี้โจรขโมยมีหลากหลายรูปแบบ ทั้งมือสมัครเล่น ทั้งมืออาชีพ การที่เราจะป้องกันบ้านให้พ้นจากมิจฉาชีพพวกนี้ ไม่ง่ายเลย หลายๆ คน เมื่อพูดถึงขโมยเข้าบ้าน ก็จินตนาการกันไป ตั้งแต่พวกแอบปีนงัดหน้าต่าง ไปจนถึงพวกอาวุธครบมือบุกเข้ามาปล้น แต่หากเราจะแบ่งกลุ่มโจร ขโมยเหล่านี้ออกเป็นกลุ่ม ๆ ตามลักษณะการลงมือทำงานแล้ว จะแบ่งได้เป็น 5 แบบ แต่ละแบบเป็นอย่างไร และจะป้องกันได้อย่างไรหรือไม่ มาติดตามกัน

    1.พวกเด็กวัยรุ่นเกเร จะเป็นแบบที่เราพบเจอกันได้บ่อย ๆ พวกนี้มักจะเป็นเด็กวัยรุ่น เกเร หรือพวกที่ชอบบอกว่าตัวเองไม่มีอะไรจะเสีย อายุประมาณ 15-25 ปี ไม่ได้ไปโรงเรียน และมักจะมีปัญหาเกี่ยวกับการถูกกระทำ ล่วงละเมิด หรือมีประวัติใช้ความรุนแรงมาก่อน แรงจูงใจในการก่อเหตุของเด็กพวกนี้คือความยากจน ความเบื่อหน่าย หรืออาจถูกกดดันจากเพื่อน ๆ ในกลุ่ม สามารถที่จะลงมือทำอะไรก็ได้ เพื่อให้ตนเองเป็นที่ยอมรับในกลุ่ม เด็กพวกนี้ มักจะเลือกก่อเหตุง่าย ๆ ไม่รุนแรง เช่น แอบเข้ามาทางประตู ปีนเข้ามาทางหน้าต่าง แต่จะไม่ถึงขั้นพังลูกบิดประตู หรือทุบหน้าต่างเข้ามา และก็จะหยิบของมีค่าที่เห็นได้ง่าย ๆ ติดไม่ติดมือออกไป

    วิธีการป้องกันขโมยพวกนี้ คือการตรวจเช็คประตูหน้าต่าง ว่าปิดสนิทแน่น ล็อคดีแล้วก่อนออกจากบ้านเสมอ อย่าวางของมีค่าล่อตาล่อใจให้คนมองเห็นได้จากนอกบ้าน หรืออาจจะหากล้องมาติดไว้ก็ได้

    2.พวกฉวยโอกาส พวกนี้จะคล้าย ๆ กับพวกวัยรุ่นเกเร แต่จะมีทักษะในการขโมยมากกว่า ส่วนมากจะมีประสบการณ์มาแล้วสักปี หรือสองปี พวกนี้จะมีอุปกรณ์งัดแงะติดตัวและจะลงมือก่อเหตุทันทีที่สบโอกาส อาจจะยอมเสี่ยงเพิ่มขึ้น เพื่อให้ตนเองได้ของที่มีค่ามากขึ้น ขโมยกลุ่มนี้ ถือว่าเป็นมืออาชีพแล้ว พวกเขาไม่แอบย่อง แต่สามารถจะลงมือช่วงชิงได้เลย หากคุณมีของมีค่าที่คุ้ม และสามารถเปลี่ยนเป็นเงินได้ รวมไปถึงของอื่น ๆ ที่สามารถเอาไปขายได้ในตลาดมืด

    การป้องกันพวกนักฉวยโอกาสนี้ ขั้นแรกคือล็อคประตู หน้าต่าง รวมถึงช่องทางอื่น ๆ ที่คนร้ายอาจจะเข้ามาได้ อย่าวางของมีค่า รวมทั้งพวกอุปกรณ์อิเล็กทรอนิคส์ ไว้ใกล้หน้าต่าง อาจจะลงทุนติดตั้งระบบการล็อคประตูที่แน่นหนาขึ้น หรือติดกล้องวงจรเพื่อความมั่นใจก็ได้

    3. พวกก่อความรุนแรง กลุ่มนี้ก่อการรุนแรงกว่า 2 แบบแรก พวกเขาสามารถที่จะพังประตู หน้าต่างเข้าไป ถ้าเห็นว่ามีของมีค่าอยู่ข้างใน พวกนี้พร้อมจะใช้กำลัง แต่จะรีบมารีบไป ใช้เวลาก่อเหตุให้น้อยที่สุด แต่ก็จะมีการทำลายข้าวของในบ้าน และจะหยิบทุกสิ่งทุกอย่าง ที่สามารถจะหยิบไปได้ให้มากที่สุด ส่วนแรงจูงใจในการขโมย ก็คือ ต้องการหาเงินไปเสพยา หรือเล่นการพนัน เป็นส่วนใหญ่

    วิธีการป้องกันนั้นค่อนข้างยาก ถ้าหากตกเป็นเป้าหมายแล้ว การล็อคประตู ปิดหน้าต่าง ก็อาจจะยังไม่พอ เพราะพวกเขาจะทำลาย และเข้าไปจนได้ แต่ทั้งนี้เพื่อให้ไม่ตกเป็นเป้าหมายง่าย ๆ และไม่ให้ขโมยพวกนี้เข้าไปได้ง่ายนัก ก็ควรลงทุนกับระบบล็อคของประตูหน้าต่างให้ดี พวกเหล็กดัด เดทล็อค ก็อาจจะช่วยได้บ้าง

    4.พวกด้อม ๆ มอง ๆ จริง ๆ แล้วพวกนี้มักจะมีประสบการณ์สูง และเป็นกลุ่มที่อันตราย จะคอยด้อม ๆ มอง ๆ ดูบ้านแต่ละหลังว่าเปิดช่องหรือมีโอกาสจะเข้าไปลงมือได้หรือไม่ พวกนี้จะเล็งเป้าหมาย จากนั้นก็ซุ่มดูและวางแผน ก่อนจะลงมือ นอกจากนี้ พวกนี้มักจะมีทักษะในการปลดล็อค และทำลายระบบการรักษาความปลอดภัยในบ้านด้วย ของที่เป็นเป้าหมายของขโมยกลุ่มนี้ มักจะไม่ใช่ของมีค่าธรรมดา แต่มักจะเป็นของที่มีความต้องการในตลาดมืด และมีกลุ่มลูกค้าขาประจำ

    วิธีการป้องกัน การป้องกันด้วยการล็อค หรือติดตั้งระบบธรรมดา ๆ นั้น ช่วยไม่ได้ แต่คนร้ายกลุ่มนี้ ก่อนลงมือมักจะส่งคนเข้ามาสำรวจบ้านก่อน อาจปลอมแปลงมาในรูปของพนักงานขายสินค้า หรือเจ้าหน้าที่ตรวจเช็คอุปกรณ์ต่าง ๆ ดังนั้น วิธีป้องกันทางหนึ่ง ที่จะช่วยให้บ้านไม่ตกเป็นเป้าหมายก็คืออย่าให้คนแปลกหน้าเข้ามาในบ้าน หากในบ้านมีกล้องวงจร สัญญาณเตือนภัย ก็ควรหาที่ซ่อนไว้ อย่าให้โจรขโมยพวกนี้สังเกตเห็นและทำลายได้ง่าย เพราะภาพจากกล้อง สามารถนำไปใช้เป็นหลักฐานได้

    5.พวกมืออาชีพ พวกนี้หาเลี้ยงชีพด้วยการขโมย มีทักษะ และอุปกรณ์ครบมือ และมักจะร่วมก่อเหตุกันครั้งละหลายคน แบ่งหน้าที่กันทำงาน ของที่ขโมยเน้นของมีค่ามาก ๆ แต่คนพวกนี้มักจะเลือกก่อเหตุกับผู้ทำธุรกิจการค้ามากกว่าตามบ้านพักอาศัย เช่น ธนาคาร พิพิธภัณฑ์ หรือโกดังสินค้า ดังนั้นโอกาสที่เราจะเจอกับขโมยกลุ่มนี้ จึงไม่มากนัก

    วิธีป้องกันคือ การใช้ระบบการรักษาความปลอดภัยที่แน่นหนา มีระบบเตือนภัยที่สามารถเชื่อมต่อกับเจ้าหน้าที่ตำรวจได้

    เรียบเรียงข้อมูลจาก https://blog.cammy.com
    ภาพจาก Stock photos, royalty-free images & video clips | iStock
     
  20. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    จัดการอย่างไรเมื่อได้รับอีเมลจากหัวหน้าในวันหยุด
    -http://hitech.sanook.com/1409437/-

    -http://thumbsup.in.th/-
    สนับสนุนเนื้อหา

    การมีอีเมลจากเจ้านายในวันหยุดสุดสัปดาห์ปรากฏขึ้นใน Inbox มักไม่ใช่เรื่องน่าสนุก และโดยมาก พนักงานที่ได้รับเมลมาก็ปฏิเสธไม่ได้ที่จะต้องเปิดอ่าน พร้อม ๆ กับความอยากรู้ว่ามีเรื่องด่วนอะไรจึงต้องรีบส่งเมลมาเช่นนี้ ซึ่งหากเป็นการมอบหมายงาน ที่มาพร้อมความคาดหวังว่าคุณจะเริ่มลงมือทำทันทีด้วยแล้ว อาจทำให้พนักงานคนนั้นรู้สึกกดดันมากขึ้นเป็นทวีคูณ

    สถานการณ์เช่นนี้มักเกิดขึ้นเมื่อบริษัทรับหัวหน้างานคนใหม่เข้ามา และต้องการสร้างผลงานให้เป็นที่ประจักษ์โดยเร็ว ดังนั้นจึงไม่แปลกหากลูกน้องในที่ทำงานจะต้องปรับตัวกับความไฟแรงของเจ้านาย คนใหม่คนนั้น

    แต่การจะรับมือกับอีเมลสั่งงานของหัวหน้าในวันหยุด โดยไม่ทำให้หัวหน้าเกิดความรู้สึกไม่ดี ก็เป็นศิลปะอย่างหนึ่งเช่นกัน

    ประการแรก คุณอาจต้องอ่านอีเมลให้แน่ใจก่อนว่า สิ่งที่หัวหน้าสั่งมานั้นเป็นสิ่งที่คุณต้องเริ่มลงมือทำเดี๋ยวนี้หรือเปล่า เช่น มีคำว่า “ช่วยแจ้งกลับมาภายในวันนี้ด้วย” หรือมีการโทรมาสอบถามความคืบหน้าของงานที่สั่งไป ถ้ามีกรณีเช่นนี้เกิดขึ้นก็ชัดเจนแล้วว่า คุณคงไม่ได้พักในวันหยุดแล้วแน่ ๆ

    แต่ถ้าหัวหน้าส่งเมลมาแล้วเงียบ ทางที่จะเป็นไปได้มีสองทางคือ ทิ้งเมลดังกล่าวไว้ และรอจนถึงวันจันทร์ค่อยทำ หรือถามหัวหน้าว่า “จะเป็นอะไรไหม ถ้าคุณขอเก็บงานนี้ไว้ทำวันจันทร์ เว้นแต่ว่างานนี้เป็นงานด่วน ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้นกรุณาแจ้งให้ทราบด้วยค่ะ/ครับ”

    เท่านี้หัวหน้าของคุณก็อาจพอทราบได้คร่าว ๆ แล้วว่า เขาควรทำอย่างไรในกรณีที่ต้องการสั่งงานคุณในวันหยุด แต่ถ้าในอนาคต คุณยังถูกสั่งงานในวันหยุดอย่างต่อเนื่อง ในฐานะลูกน้องอาจมีทางเลือกสองทาง นั่นคือการยอมรับมัน หรือไม่ก็พยายามเปลี่ยนแปลงมันเสีย

    โดยแนวทางในการเปลี่ยนแปลงนั้น อาจเป็นการสื่อสารกับหัวหน้าว่า การได้รับคำสั่งให้ทำงานในวันหยุดเป็นเรื่องค่อนข้างใหม่สำหรับคุณ ที่ผ่านมา บริษัทไม่ค่อยมีการสั่งงานในลักษณะนี้มากนัก ซึ่งคุณเองไม่มีปัญหาอะไรกับการสั่งงาน โดยเฉพาะในกรณีที่เป็น เรื่องเร่งด่วน

    พร้อมกันนั้นอาจเล่าถึงความสำคัญของวันหยุดพักผ่อนของคุณให้หัวหน้าทราบว่ามันมีความ สำคัญอย่างไร เช่น มันทำให้คุณได้เติมพลัง ทำให้กลับมาทำงานต่อได้อย่างเต็มที่ ซึ่งนั่นอาจทำให้คุณต้องเดินทางไปยังสถานที่ต่าง ๆ และบางครั้งก็ไม่สามารถตอบอีเมลได้

    อย่างไรก็ดีอย่าสร้างกำแพง หรือกระทำการที่ส่อไปในลักษณะของการต่อต้านหัวหน้าใหม่ เนื่องจากสถานการณ์นี้อาจแก้ไขได้ด้วยการทำความเข้าใจในรูปแบบการทำงานของ กันและกัน หัวหน้าใหม่ของคุณอาจชอบทำงานในวันหยุดมากกว่า ฯลฯ ซึ่งในที่สุดแล้ว หากรูปแบบการทำงานของหัวหน้าเปลี่ยนแปลงไม่ได้ อาจต้องเป็นคุณเองที่ลองมองหางานใหม่ หรือไม่ก็ทำใจยอมรับมันเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตงาน
    ที่มา Inc

    สนับสนุนเนื้อหา: thumbsup.in.th
     

แชร์หน้านี้

Loading...