การฝึกสะเดาะกุญเเจเเละอิทธิวิธี

ในห้อง 'ประสบการณ์ ผลของการสวด' ตั้งกระทู้โดย noonei789, 3 มีนาคม 2016.

?
  1. ปฐวีกสิณ(กสิณดิน)

    0 vote(s)
    0.0%
  2. เตโชกสิณ(กสิณไฟ)

    50.0%
  3. วาโยกสิณ (ธาตุลม)

    50.0%
  4. อากาสกสิณ (อากาศ)

    0 vote(s)
    0.0%
  5. อาโลกสิณ(กสิณแสงสว่าง)

    0 vote(s)
    0.0%
  6. อาโปกสิณ (ธาตุน้ำ/ของเหลว)

    0 vote(s)
    0.0%
  7. โลหิตกสิณ(กสิณสีเเดง)

    0 vote(s)
    0.0%
  8. นีลกสิณ(กสิณสีเเดง)

    0 vote(s)
    0.0%
  9. ปีตกสิณ(กสิณสีเหลือง)

    0 vote(s)
    0.0%
  10. โอทาตกสิณ(กสิณสีขาว)

    50.0%
Multiple votes are allowed.
  1. noonei789

    noonei789 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มกราคม 2007
    โพสต์:
    1,079
    ค่าพลัง:
    +6,958
    เป็นครั้งเเรกที่เริ่มฝึกวิชานี้นะคะ เป็นผู้ฝึกใหม่อยู่ค่ะยังไม่ได้มีความสามารถพิเศษอะไร ถ้าท่านใดมีประสบการณ์ในการฝึกก็มาเเลกเปลี่ยนกันได้นะคะ ว่าด้วยการเรื่องสะเดาะกุญเเจเเละอิทธิวิธีทุกอย่างเช่น เดินบนน้ำ ดำดิน เดินบนอากาศ หายตัว เดินทะลุกำเเพง อื่นๆค่ะ กระทู้นี้ขอไม่สนทนาเรื่องญาณ8เเละมโนยิทธินะคะ เพราะเร่งฝึกทางอิทธิวิธีพร้อมศึกษาองค์ของพระอริยเจ้ามานานเเล้ว เพื่อป้องกันการตกอบายภูมิ4 เพราะโดยส่วนตัวข้าพเจ้าไม่ใช่นกเเก้วนกขุนทองที่จะท่องตำราอย่างเดียว ศึกษามาเเต่ต้องปฏิบัติ การสนทนาธรรมต้องเป็นไปเพื่อสันติวิธีนะคะ เพราะส่วนตัวปฏิบัติจริงไม่ใช่คนอ่อนเเอ ถ้าไม่เชื่อให้วางใจเป็นกลาง ไม่ควรมากล่าวโทษเพราะจะเป็นกรรมปรามาสผู้ทรงฌาณหรือไม่สนใจทางฤทธิ์อภิญญาไม่ต้องเข้ามาอ่านอีกนะคะ จะลงไว้เป็นเเนวทางให้คนที่สนใจทางนี้ เพราะเข้าสู่ยุคอภิญญาใหญ่ตั้งเเต่ปี 2548 เเล้วค่ะ ขอใช้รูปประจำตัวเป็นผ้ายันต์พิชัยสงครามนะคะ ไม่ได้จะไปออกรบอะไรนะคะ เพียงเเต่ในบันทึกหลวงพ่อบอกว่า ผ้ายันต์พิชัยสงครามกันได้หลายๆอย่างๆ เพื่อความสบายใจในการลงธรรมทาน ไม่ได้อวดอ้างนะคะ เพียงเเต่อยากให้คนที่เคยฝึกได้มาก่อนมาช่วยเเลกเปลี่ยนประสบการณ์ในการฝึกตามเเนวทางที่สนใจเหมือนกัน สรุปง่ายๆคือคนที่จริตมาทางวิชชา3หรือเตวิชโช ฉฬภิญโญหรืออภิญญา ปฏิสัมภิทาญาณ น่าจะเเลกเปลี่ยนประสบการณ์การฝึกกันได้ ท่านใดมีวิชาเสกใบไม้ให้เป็นสัตว์ต่างๆ ก็เอามาลงสอนเป็นธรรมทานให้เเก่ดิฉันก็ได้นะคะ เพราะหาข้อมูลวิชานี้ไม่เจอค่ะ ถ้าท่านใดเป็นพระหรือนักบวชเวลามาเเลกเปลี่ยนก็ช่วยเปลี่ยนสถานะเป็นนักบวชในเว็บได้นะคะ คนจะได้รู้ว่าเป็นพระนักบวช ทีมงานเว็บจะได้เปลี่ยนอักษรให้เป็นสีส้มเเล้วเขียนใต้ชื่อ USER NAME ว่านักบวช เพื่อป้องกันคนทั่วไปปรามาสได้
    ขอยกคำพูดของหลวงพ่อปานมานะคะ
    "โลกียอภิญญาโลกียอภิญญานี้ท่านแยกเรียกว่าวิชชา 8 ก็มี อภิญญา 5 ก็มี จะเอามารวมไว้ที่เดียวกัน และบอกวิธีปฏิบัติโดยย่อไว้ด้วย ใครอยากได้ เดินไปหาอาจารย์ที่ทำได้แล้วก็เรียนแล้วกัน คนที่อ่านหนังสือจำได้ แต่ทำไม่ได้ อย่าไปขอเรียน จะพากันเลอะใหญ่ ฉันเคยเป็นนักเทศน์สอนคนจนตัวฉันเกือบลงนรกมา หลายที ทั้งนี้เพราะตีความหมายของตำราไม่ตรง เมื่อทราบแล้วต้องกลับไปเทศน์แก้ใหม่เกือบแย่ อยากหุงข้าวเป็นก็ไปเรียนกับพ่อครัว อย่าไปเรียนกับลิงที่ไม่มีวิชาความรู้เรื่องหุงข้าว อยากเดินป่า จงอย่าเอาปลาในทะเลเป็นครู อยากได้อภิญญา ถ้าไปหาคนที่ไม่ได้ จะเอาอะไรมาสอน ตัวเองก็ยังสอนตัวเองไม่ได้ จะเสียเวลาเปล่า"
    การฝึกในครั้งนี้ขอเอาตามเเบบอย่างหลวงพ่อสุ่น วัดบางปลาหมอ หลวงพ่อปาน วัดบางนมโค เเละพระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยานเเละพระอาจารย์เล็กนะคะ ยืมกุญเเจที่บ้านมาฝึกเมื่อคืนค่ะ ว่าจะไปซื้อมาส่วนตัวในการฝึกใหม่วันนี้ค่ะ ไว้จะมาเล่าประสบการณ์ในการฝึกคืนเเรกให้อ่านต่อค่ะ
    วันที่ 1 มีนาคม 2559 เวลา 21.19-22.05 น.
    ขอขมาพระรัตนตรัย สมาทานพระกรรมฐาน เริ่มใช้คาถาเเบบหลวงพ่อสุ่นให้หลวงพ่อปานไว้โดยกำหนดเเบบปฏิโลมค่ะ บางทีก็จำตัวคาถายังไม่ได้ค่ะ ก็เริ่มตั้งใหม่เป็น นะมะ พะธะ เเล้วมาไล่ย้อนเป็น ธะพะ มะนะ คาถานี้ดีมากค่ะ จิตเข้าฌาณเร็วเเละสลับฌาณได้เร็ว จิตควบเเน่นเหมือนจะหลุดออกจากร่าง น้อมจิตกราบหลวงพ่อปานเเละพระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน มีพลังมาปะทุช่วงสันหลังเเละไหลวนไปมาสองรอบ ฝึกมโนยิทธิหรือกรรมฐานกองไหนสิ่งที่ลืมไม่ได้คือสติปัญญาตามความเป็นจริง ศีล5เเละกรรมบท10 ลองยื่นมือเเตะเเม่กุญเเจ 2 รอบยังไม่เกิดผลค่ะ เพราะกำลังของสมาธิยังไม่ถึงขั้น เเต่คาถานี้ภาวนาเเล้วตัวเบามากค่ะ ตื่นนอนขึ้นมาความรู้สึกคล้ายจิตสบาย ปลอดโปร่ง โดยส่วนตัวเท่าที่อ่านดูนี่ บริกรรมคาถานี้เเบบสะสมกำลังสมาธิจะเกิดผลโดยไม่ต้องสงสัยในความหมายของตัวคาถาเพราะคาถาทุกคาถาที่พระให้มามีข้อห้ามคือห้ามเเปลความ เเต่ดิฉันจะลองใช้การอธิษฐานฤทธิ์เเบบกสิณน่ะค่ะ คือต้องทำเเม่กุญเเจนี่เป็นปฏิภาคนิมิตให้ได้ ถ้าเเม่กุญเเจเป็นสีทองก็จะได้ปีตกสิณหรือกสิณสีเหลืองหรือทองอันเดียวกัน ก็จะทดสอบเเบบนี้ทุกคืนจนกว่าจะสำเร็จผล
    วันที่ 2 มีนาคม 2559 เวลา 21.25-21.22 น.
    วันนี้มีเเม่กุญเเจส่วนตัวเเล้วค่ะซื้อเป็นสีทองเพราะชอบกสิณสีเหลือง สวดมนต์บทพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ ขอขมาพระรัตนตรัย สมาทานพระกรรมฐาน วันนี้จำคาถา ทะพะ มะนะ ได้จำขึ้นใจค่ะ โดยไม่ต้องตั้งนะมะ พะทะ เหมือนคืนก่อน ล็อคเเม่กุญเเจไว้กดเเน่นๆลงไปเเบบนี้ทุกครั้ง ไม่รู้วิธีการเหมือนกันว่าให้เอาปากเป่าที่เเม่กุญเเจไหม เเต่วันนี้ลองเอาเเม่กุญเเจไว้ในอุ้งมือที่พนมเมื่อเจริญกรรมฐานตลอด ตัวเเละจิตเบาสบายมาก ไม่มีความฟุ้งซ่านเเละไม่มีนิวรณ์5เกิดขึ้น รวมทั้งไม่ได้อธิษฐานให้เเม่กุญเเจหลุด หลังจาก 21.22 น.ก็นอนกรรมฐานไปจนถึง05.00 น. ตอนนั้นนึกว่ากายเนื้อลุกขึ้นมาเพราะเหมือนจริงมาก จิตข้างในลุกขึ้นมาจับเเม่กุญเเจสีทองดู เเม่กุญเเจที่ล็อคไว้หลุดออก คือถืออยู่ในมือเห็นสภาพเหล็กล็อคหลุดออกเเต่ภาพย้อนให้ดูวิธีการสะเดาะเเม่กุญเเจอันนี้พระท่านมาสงเคราะห์นะให้เห็นวิธีการที่ถูกต้อง คือมองเข้าไปในเเม่กุญเเจสีทองเเล้วเปลี่ยนเป็นภาพใบหน้าพระองค์หนึ่งคล้ายพระปัจเจกพุทธเจ้าเเล้วกลายเป็นเเก้วทั้งองค์ เเล้วภาพพระเปลี่ยนเป็นเเสงวงกลมเเก้วใสเจิดจ้า มีเสียงคล้ายพระอาจารย์เล็กมาสอนวิธีการเเบบของท่าน ดิฉันก็ทำตามเกิดขึ้นเร็วนะคะ รู้สึกถึวพลังที่อธิษฐานลงไป วิธีการใช้จิตเราเพ่งลงไปในเเม่กุญเเจเเบบทับลงไปเพียงครั้งเดียว คือจิตเราต้องเข้มเเข้งเเละเด็ดเดี่ยวค่ะ นึกปุ๊บต้องหลุดทันทีค่ะ คือเหตุการณ์เกิดต่อเนื่องกันค่ะ คือตอนนอนเอาเเม่กุญเเจไว้ในมือตลอด พอเห็นเเม่กุญเเจหลุด จิตดีใจเเล้วร่างกายลุกไปดูนาฬิกาในโทรศัพท์ที่อยู่ปลายเตียง เป็นเวลา 05.04พอกลับมาดูเเม่กุญเเจที่มือปล่อยไว้ที่นอนก่อนลุกไปดูนาฬิกาอีกทีล็อกเรียบร้อยอีกทีค่ะ เชื่อว่าจิตที่ฝึกดีเเล้วจะมีพลังจิตสูงขึ้นตามกำลังการฝึกค่ะ วิธีการคล้ายๆของพระอาจารย์เล็ก เพราะตอนอายุ 16ปี เคยลองใช้ตอนยิงหนังสติ๊กไปยังมันเเกวที่เเขวนเชือกบนต้นไม้ระยะไกล ปรากฏว่ายิงครั้งเดียวมันเเกวลูกใหญ่ๆหลุดลงจากต้นไม้ที่เเขวนไว้ เพราะครูเเละเพื่อนๆหลายคนไม่มีใครทำได้ เเต่อยากทดลองดูทั้งเเบบของหลวงพ่อปานเเละของพระอาจารย์เล็กเเละเเบบส่วนตัว
    อันนี้เป็นลักษณะภาพพระปัจเจกพุทธเจ้าที่มาสงเคราะห์ช่วงรุ่งสาง วันที่ 2 มีนาคม 2559
    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 มีนาคม 2016
  2. noonei789

    noonei789 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มกราคม 2007
    โพสต์:
    1,079
    ค่าพลัง:
    +6,958
    ขอยกเอาคำสอนมาก่อนนะคะ เพื่อป้องกันคนมาปรามาสว่าฝึกเเบบไม่มีครูอาจารย์ คนที่ปฏิบัติต้องศึกษาคำสอนครูบาอาจารย์มาก่อนทุกคนค่ะ ไม่งั้นคงไม่รู้วิธี

    หลวงพ่อสุ่น สุนฺทโร วัดบางปลาหมอ (พระอุปัชฌาย์ของหลวงพ่อปาน โสนันโท )
    กล่าวสำหรับประวัติของหลวงพ่อสุ่นนั้นไม่ทราบความเป็น มากันเลยหากแต่เล่าขานกันว่าหลวงพ่อสุ่นเป็นพระที่มีวิชาอาคมสูงมากเป็นที่ นับถือท่านเป็นพระหมอรักษาโรคภัยแก่ญาติโยมและท่านจะรักษาใครนั้นท่านจะตรวจ ด้วยญาญทิพย์ก่อนเสมอว่าผู้ป่วยคนนั้นดวงถึงฆาตหรือยังหากยังท่าจะทำการรักษา ให้จนหายขาดทุกรายส่วนผู้ที่ถึงฆาตแล้วท่านจะไม่ทำการรักษาให้เพราะถึงเวลา ที่จะไปแล้ว
    หลวงพ่อสุ่นเป็นพระสายวิปัสสนากรรมฐาน มีสมาธิจิตอันสูงมากสามารถสะเดาะกุญแจได้ซึ่งท่านได้ถ่ายทอดวิชานี้ให้แก่ หลวงพ่อปานวัดบางนมโคซึ่งหลวงพ่อสุ่นเป็นพระอุปัชฌาย์บวชให้คาถาบทนี้มี4ตัว
    หลวงพ่อปานก็ได้เล่าขายถึงเหตุการในครั้งนั้นให้แก่ลูก ศิษย์ได้รับรู้ว่าฉันท่องไปแล้วก็เป่าไปกุญแจมันก็อยู่เฉยเป่าจนเหนื่อยก็ หยุดพอนึกได้ก็เป่าอีกภาวนาอีกก็ไม่ได้สักทีแต่วันหนึ่งท่องหนักเข้าจิตมัน ก็รวมพอรวมก็เผลอพอเผลอเป่าพลวดกุญแจมันก็หลุดออกเลยรู้ว่าคาถานะคือคาถา แต่คาถาจะขลังได้ก็เพราะจิตมันแน่วแน่ต่อมาเลยเป่าหลุดเป่าหลุดเมื่อมั่นใจ แล้วจึงเอากุญแจที่สะเดาะแล้วไปถวายให้หลวงพ่อสุ่นดูหลวงพ่อสุ่นก็ว่า
    ...ดีจริง ดีจริงพ่อคุณ ให้ไปไม่กี่วันก็เป่าได้แล้าบางคนให้ไปเป็นเดือนก็เป่าไม่หลุด อ้อคราวนี้ฉันใส่ใหม่แล้วเป่าให้ฉันดูตรงนี้เหละ
    หลวงพ่อปานก็รับกุญแจจากหลวงพ่อสุ่นมาตั้งสมาธิแล้ว ไล่คาถาเป่าลงตัวกุญแจให้หลุดต่อหน้าหลวงพ่อสุ่นซึ่งท่านเห็นเช่นนั้นก็ กล่าวกับหลวงพ่อปานว่า...ไปหาดอกไม้และธูปเทียนมาให้ฉันในวันพระหน้านะ ดอกไม้5กระทงแล้วฉันจะสอนกรรมฐานให้ เมื่อถึงวันพระหลวงพ่อปานก็ถือถาดใส่กระทงดอกไม้ห้ากระทงพร้อมธูปเทียนไป
    ถวายหลวงพ่อสุ่นในอุโบสถเมื่อหลวงพ่อสุ่นได้รับแล้วก็เริ่มสอนการภาวนาทำสมาธิที่เรียกกันว่าขึ้นกรรมฐาน
    ให้หลวงพ่อปานไปภาวนาเมื่ออยู่กันแต่ลำพังระหว่าง อาจารย์ กับ ศิษย์ไม่มีผู้อื่นเห็น หลวงพ่อสุ่นจึงเริมแสดงอำนาจแห่งอภิญญาให้หลวงพ่อปานได้เห็นซึ่งกาลต่อมา หลวงพ่อปานได้เล่าให้ศิษย์ฟังว่า
    หลวงพ่อสุ่นท่านเรียกไปคุยแล่วท่านก็บอกว่า ไปดูตุ่มน้ำมนต์บนนอกชานกุฎิโน่น ไปดูสิว่าน้ำมีแค่ไหนเมื่อไปดูแล้วก็บอกท่านว่าเหลือครึ่งตุ่มหลวงพ่อสุ่นก็ บอกว่าเออคนที่เขาสำเร็จอาโปกสิณหรือกสิณน้ำแล้วเขาสามารถนำน้ำจากแม่น้ำ ขึ้นมาใส่ภาชนะได้ไปดูที่ตุ่มเอาไว้
    หลวงพ่อปานไปก้มดูที่ตุ่มในขณะที่หลวงพ่อสุ่นเจริญอาโปกสิณระดับน้ำก็ค่อยๆๆ เพิ่มขึ้นจนล้นออกมาดังซ่าหลวงพ่อปานจึงได้รู้ถึงอำนาจเเห่งกสิณในวาระนั้น เอง
    หลวงพ่อสุ่นนั้นนับว่ามีอิทธิปาฏิหาริย์สูงมาก บางครั้งหลวงพ่อสุ่นก็เรียกฝนให้ตกลงมาที่วัดบางปลาหมอทั้งๆทั้งๆที่รอบ บริเวณวัดหามีฝนตกไม่ หรือเรียกไฟให้มาลุกอยู่ในภาชนะที่อยู่ตรงหน้า หรือเดินข้ามแม่น้ำให้เห็นกับตา หายตัวแทรกเข้าไปในฝากระดานกุฏิซึ่งวิชาต่างๆตลอดจนวิชาทางแพทย์แผนโบราณ หลวงพ่อสุ่นได้ถ่ายทอดให้แก่หลวงปานจนหมดสิ้น
    หลวงพ่อสุ่นสอนศิษย์ด้วยกัน2รูป คือ หลวงพ่อจงวัดหน้าต่างนอก เเละ หลวงพ่อปานวัดบางนมโค
    และหลวงพ่อสุ่นยังสามารถเสกใบไม้ให้เป็นปลาอยู่ในสระให้พวกคนงานเป็นทำอาหารรสชาติอร่อยกว่าปลาธรรมดาเสียอีก
    เรื่องเสกใบ้ไม้เป็นอาหารนี้หลวงพ่อกบวัดเขาสาลิกา ท่านก็เคยเสกใบไม้เป็นกบให้ลูกศิษย์ได้กินเช่นเดียวกัน
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 มีนาคม 2016
  3. noonei789

    noonei789 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มกราคม 2007
    โพสต์:
    1,079
    ค่าพลัง:
    +6,958
    หลวงพ่อปานเล่าเรื่องอภิญญา
    ปฏิปทาของหลวงพ่อปานลูกหลานทั้งหลาย วันนี้วันที่ 29 พฤศจิกายน 2514 วันนี้อากาศอุ่นมากแต่เช้า ฉันเป็นคนแก่มีความจุกจิกหลายเรื่อง แม้แต่อากาศมันร้อนฉันก็ไม่ชอบ มันหนาวฉันก็ไม่ชอบ รวมความว่าฉันไม่ชอบโลกนี้ทั้งโลก เพราะฉันมองไม่เห็นจุดของความสุขมีในโลกนี้เลย วานนี้วันที่ 28 เจ้าพนักงานไฟฟ้าเขามาเก็บค่ากระแสไฟฟ้าที่ใช้ ฉันไม่มีสตางค์ให้เขา นนทา อนันตวงษ์ เขาสงสาร เขาออกไปให้ 226 บาท เมื่อเขาทราบว่าฉันไม่มีสตางค์ติดตัวแล้ว ฉันยังเป็นหนี้ค่ายารักษาโรคหมออีก 300 บาทเศษ เขาเลยให้อีก 1,200 บาท คนนี้เขาเมตตาฉันเสมอ ฉันอาศัยเขาในความเป็นอยู่มาก ที่เมืองนี้มีอาจารย์สบสุข ประกอบไวทยะกิจ อีกท่านหนึ่ง มีเมตตาสงเคราะห์เป็นปกติให้กินให้ใช้อยู่เสมอ นี่ดีว่ายังไม่ลงทุนไปกรุงเทพฯ นะ ถ้าไปฉันคงรบกวนกระเป๋าใครเข้าให้อีก เช่น คณะบ้านท่าน พล.อ.ต. ม.ร.ว. เสริม ศุขสวัสดิ์, พ.อ.แสวง แก้วมณี, คุณฉลวย ปิณินทรีย์, บ้านคุณสนั่น, วาสนา หุตะสิงห์, บ้านคุณพงศ์, พิมพา คุณากร และคณะของท่านเจ้ากรมเสริมอีก มีรายนามไม่จำกัด เขาสงสารเขาจึงพากันให้ ชีวิตฉันอยู่ได้เพราะการสงเคราะห์จากท่าน ผู้มีคุณตามที่กล่าวนามมานี้เป็นส่วนใหญ่ ฉันว่าฉันตายเมื่อไร ท่านที่กล่าวนามมานี้ขาดความสิ้นเปลืองไปมาก ลูกหลานจำไว้ว่า ความเกิดเป็นคนไม่ดี เป็นสัตว์เดรัจฉานไม่ดี เป็นเทวดาและพรหมพอมีดีมั่งแต่ไม่ดีมาก เพราะยังมีกฎบังคับให้เกิดเป็นคนและสัตว์ดิรัจฉานอีก สู้ไปพระนิพพานไม่ได้ ใครเขาจะว่าเราบ้าช่างเขา เราบ้าไปสู่สถานที่สิ้นทุกข์ดีกว่าบ้าสะสมความทุกข์ ฉันเป็นคนแก่พูดบ่นพล่ามเสมอ กว่าจะรู้ตัวก็เข้าไปเกือบ 10 นาที ต่อไปนี้มาพูดกันตามหัวข้อเรื่อง คือปฏิปทาของหลวงพ่อปาน อาจารย์ฉันดีกว่า
    เรื่องของหลวงพ่อปาน ลูกหลานอยากให้พูดประวัติของท่าน ฉันตรองแล้วเอาประวัติท่านมาพูดไม่ได้ เพราะฉันเกิดทีหลังท่านและไม่ทราบประวัติละเอียด เมื่อพวกเธออยากฟัง ฉันจะเล่าเรื่องของท่านตามที่ฉันทราบ มันมีส่วนพาดพิงถึงฉันด้วย เพราะนอกจากที่ฉันจะสัมผัสกับท่านแล้วเรื่องอื่นรู้ยาก มี บางส่วนที่ฉันไม่เห็นและเกิดไม่ทันแต่ท่านเล่าให้ฟัง ฉันพอนึกออกก็จะนำมาเล่าให้ฟัง มันคงไม่เรียงลำดับเรื่องได้ เพราะนึกไปเล่าไป เอากันแค่เรื่องก็แล้วกันนะ อย่าเอาลำดับเรื่องเลย
    ตามที่ฉันเล่าเรื่องของฉันมาในตอนต้นก็มีความประสงค์จะให้ลูกหลานทราบคุณสมบัติของ หลวงพ่อปาน เรื่องนี้ฉันปกปิดมานาน เพราะเกรงว่าท่านนักปราชญ์จะหาว่าอวดอุตริมนุสธรรม จะปรับโทษฉัน เรื่องฉันจะมีโทษเพราะพูดจริงฉันไม่หนักใจ แต่เกรงว่าท่านที่ลงโทษฉันจะเป็นบาป สงสารท่าน เมื่อลูกหลานขอร้องก็ต้องพูด พูดแล้วก็ไม่หนักใจ เพราะฉันไม่ใช่พระตามทัศนะของชาวบ้าน หลวงพ่อท่านบอกให้พวกฉันเป็นฤาษี ตัวฉันเองปกติท่านเรียกว่าอ้ายลิงดำ ฉันเลยตั้งชื่อฉันว่าฤาษีลิงดำ เพื่อนฉัน เจ้าสวัสดิ์มันออกป่าไปแล้ว ท่านเรียกอ้ายลิงขาว เพื่อนอีกคนหนึ่งคือเจ้าน้อม ท่านเรียกว่าอ้ายลิงเล็ก รวมความแล้วฉัน 3 คนไม่ใช่พระและไม่ใช่คน เป็นลิงหมดทั้ง 3 ตัว ถ้าจะพูดกันให้เพราะหน่อยก็เรียกว่า สามสัตว์ดิรัจฉาน ค่อยเพราะนิดหน่อย เมื่อลูกหลานฟังฉันพูด จงคิดว่าฟังเรื่องของสัตว์ดิรัจฉานพูดให้ฟัง จะสบายใจมาก เมื่อบวชฉันก็บวชแปลก บวชในสังกัดพระมหานิกาย แต่คำขอบรรพชาแบบธรรมยุตินิกาย เป็นลูก 2 พ่อไป หรือคน 2 ชาติ อย่างคนที่มีพ่อเป็นเจ๊ก แม่เป็นไทย ไม่รู้ว่าจะเรียกว่าอย่างไร เมื่อบวชแล้วเรียนแล้วเห็นทั้ง 2 นิกาย ท่านไม่ลงสังฆกรรม (ลงโบสถ์) ร่วมกันก็นึกแปลกใจ ถามหลวงพ่อท่านว่านิกายไหนดีกว่ากัน ท่านบอกว่าราคาเท่ากัน เพราะเป็นพุทธสาวกเหมือนกัน ใช้คำสอนจากพระพุทธเจ้าองค์เดียวกัน แต่แตกสามัคคีกัน ท่านบอกว่าเธอเข้าป่าเป็นฤาษีดีกว่า ไม่ต้องเป็นพวกใคร เป็นพวก พระพุทธเจ้าโดยตรงนั่นแหละดี อย่าเมาลาภ อย่ารับยศ อย่าหลงสรรเสริญ อย่ามั่วสุขกับกามสุข จะ สบายใจมาก จะได้เป็นพระตามคติของพระพุทธเจ้า นอกนั้นทางจะมีความเห็นว่าอย่างไรเป็นเรื่องของท่าน เรื่องของพระฤาษีไม่เกี่ยว
    หลวงพ่อเป็นพระทรงอภิญญาเรื่องอภิญญาเป็นเรื่องธรรมดาของพุทธสาวก ไม่ใช่ของวิเศษมหัศจรรย์อะไรเลย เป็นของธรรมดาสามัญแท้ ๆ หนังสือตำราเขียนยกย่องเลยพอดีไปเองต่างหาก เลยทำให้นักศึกษาภายหลังท้อถอยคิดว่ายากลำบากเต็มที เลยพากันไม่เอาเสียเลย อภิญญาโลกีย์เป็นเรื่องของคนที่เกิดมาในโลกมีสิทธิ์จะทำให้เกิดได้ เพราะเมื่อมาเป็นคนได้เหมือนกัน สิ่งที่มีสิทธิ์เสมอกันตามปกติธรรมดาที่สามารถเห็นกันง่าย ๆ มีอยู่ คือ จะเป็นคนเกิดในตระกูลใดก็ตาม มีฐานะ มีความรู้ศักดิ์ศรีเพียงใดก็ตาม มีสิทธิ์แก่ ป่วย ตาย เหมือนกันหมด เพราะเป็นโลกียวิสัยคือเป็นวิสัยของคนที่เกิดในโลกจะทำได้ ทีนี้มาพูดกันถึงเรื่องฌานและอภิญญา ท่านบอกแล้วว่าเป็นฌานโลกีย์และอภิญญาโลกีย์ เป็นทรัพย์สินที่คนเกิดมาในโลกจะพึงทำให้มี ให้เกิดขึ้นได้ ไม่ใช่ของยากเกินไป เพียงแต่ทำให้ถูก ทำพอดี ทำตรงต่อคำสอนของพระพุทธเจ้าเท่านั้น ไม่เห็นต้องลงทุนลงรอนอะไรเลย เสียเวลารวบรวมกำลังใจนิดเดียวก็ได้ ที่ว่าทำไม่ได้ก็เพราะอยากดีเกินไปหรือขี้เกียจเกินไป รู้มากเกินไป หลงลาภ ยศ สรรเสริญ และกามสุขมากเกินไป จึงทำไม่ได้ เรื่องความดีทางใจ คนจนพวก จนยศ จนสรรเสริญ จนพะเน้าพะนอ ทำได้ดีกว่า คนที่รวยประเภทนั้นเพราะเมาน้อย คน เมามาก ขาดสติมาก เมาน้อย ขาดสติน้อย ไม่เมาเลยมีสติสมบูรณ์
    อภิญญามีสภาพไม่เหมือนกัน
    เรื่องของอภิญญา คนส่วนใหญ่เมื่อฟังว่าอภิญญาแล้วก็มักจะคิดว่า ท่านที่ได้อภิญญาจะต้องมีความรู้แจ่มใสเหมือนพระพุทธเจ้าเสียทุกอย่าง เป็นการเข้าใจผิดถนัด พระพุทธเจ้าทรงเป็นสัพพัญญูคือ มีบารมีเป็นจอมอรหันต์ ย่อมทรงอภิญญาดีเลิศเป็นพิเศษ สำหรับพระสาวกที่ได้มีกำลังไม่เท่ากัน และไม่มีทางจะไปเปรียบเทียบกับพระพุทธเจ้าได้เลย จะเปรียบให้ฟัง เอาเพียงทิพยจักษุญาณอย่างเดียว อย่างอื่นให้เข้าใจว่าเหมือนกัน
    โลกียอภิญญาโลกียอภิญญานี้ท่านแยกเรียกว่าวิชชา 8 ก็มี อภิญญา 5 ก็มี จะเอามารวมไว้ที่เดียวกัน และบอกวิธีปฏิบัติโดยย่อไว้ด้วย ใครอยากได้ เดินไปหาอาจารย์ที่ทำได้แล้วก็เรียนแล้วกัน คนที่อ่านหนังสือจำได้ แต่ทำไม่ได้ อย่าไปขอเรียน จะพากันเลอะใหญ่ ฉันเคยเป็นนักเทศน์สอนคนจนตัวฉันเกือบลงนรกมา หลายที ทั้งนี้เพราะตีความหมายของตำราไม่ตรง เมื่อทราบแล้วต้องกลับไปเทศน์แก้ใหม่เกือบแย่ อยากหุงข้าวเป็นก็ไปเรียนกับพ่อครัว อย่าไปเรียนกับลิงที่ไม่มีวิชาความรู้เรื่องหุงข้าว อยากเดินป่า จงอย่าเอาปลาในทะเลเป็นครู อยากได้อภิญญา ถ้าไปหาคนที่ไม่ได้ จะเอาอะไรมาสอน ตัวเองก็ยังสอนตัวเองไม่ได้ จะเสียเวลาเปล่า
    ชื่ออภิญญาโลกีย์
    1. อิทธิวิธี แสดงฤทธิ์ได้
    2. ทิพยโสตญาณ มีประสาทหูเป็นทิพย์
    3. มโนยิทธิ มีฤทธิ์ทางใจ ถอดกายใจออกท่องเที่ยวได้
    4. ทิพยจักษุญาณ มีอารมณ์เป็นทิพย์ คล้ายตาทิพย์
    5. จุตูปปาตญาณ รู้สัตว์ที่ตายแล้วไปเกิดที่ไหน สัตว์มาเกิดนี้มาจากไหน
    6. เจโตปริยญาณ รู้อารมณ์ใจของคนและสัตว์
    7. ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ระลึกชาติที่เกิดมาแล้วได้ตามความต้องการ
    8. อตีตังสญาณ รู้เหตุการณ์ที่ล่วงมาแล้ว
    9. อนาคตังสญาณ รู้เรื่องราวที่ยังไม่ได้เกิด
    10. ปัจจุปปันนังสญาณ รู้เรื่องราวในปัจจุบันที่ปรากฎขึ้นในที่ไกลหรือโลกอื่น
    11. ยถากัมมุตาญาณ รู้กฎของกรรม
    ที่มา : จากคุณ wellrider
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 1_4.jpg
      1_4.jpg
      ขนาดไฟล์:
      37.5 KB
      เปิดดู:
      111
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 มีนาคม 2016
  4. noonei789

    noonei789 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มกราคม 2007
    โพสต์:
    1,079
    ค่าพลัง:
    +6,958
    ประวัติหลวงพ่อปาน วัดบางนมโค(ชุดเก่า) ตอนที่ ๒
    หลวงพ่อสุ่น วัดบางปลาหมอ
    ในเมื่อถึงเวลาบวช เมื่อบวชจริงๆ ท่านบวชที่ วัดบางปลาหมอ เพราะว่าเวลานั้นวัดบางนมโค เวลานั้นเดิมทีเป็นวัดร้าง หลวงปู่คล้ายนี่เป็นพระจาก จ.ธนบุรี ขึ้นมาเริ่มสร้างวัดบางนมโคองค์แรก หมายความว่าสร้างทับที่เดิม เดิมมีกุฏิอยู่ ๒ - ๓ หลังยังไม่ทันจะมีโบสถ์ ถ้าวัดไหนไม่มีอุโบสถ์หรือโบสถ์ วัดนั้นก็ยังบวชพระไม่ได้ ต้องไปบวชพระที่วัดที่สร้างพระอุโบสถแล้ว
    เมื่อพรรษาแรก หลวงปู่คล้ายบอกว่า "ควรจะอยู่กับอุปัชฌาย์ ๑ ปีก่อน เพราะอุปัชฌาย์จะได้สั่งสอนวิชาการต่างๆ" เมื่อขณะที่หลวงพ่อปานบวชขณะนั้นพอดี หลวงพ่อสุ่น วัดบางปลาหมอ กำลังสร้างพระอุโบสถใหม่ ขณะนั้นปรากฏว่ามีช่าง สำหรับคนที่เป็นนายช่าง ๓ - ๔ คนมาควบคุมการสร้างพระอุโบสถ เขามาช่วยท่านด้วยศรัทธาจริงๆ ไม่ใช่จะมารับจ้าง เรื่องการเงินการทองนี่เขาไม่ขอรับ และอาหารการบริโภคเขาก็เอามาหมดทุกอย่าง เขาหามากินเองไม่รบกวนทางวัด แรงงานทั้งหมดก็ได้ชาวบ้านช่วยกัน แล้วก็ช่วยกันจัดหาวัสดุก่อสร้างทุกอย่าง คนสมัยนั้นเขามีศรัทธามาก ขณะที่สร้างพระอุโบสถ ตอนเย็นวันหนึ่งท่านเดินไปดูนายช่าง เห็นนายช่างซื้อหมูบ้างซื้อเนื้อบ้างกินวันละเล็กวันละน้อยไม่มากรู้สึกว่าจะเป็นคนเขียมๆ คือไม่มีค่าจ้างค่าออน ก็กินกันตามอัตภาพที่จะพึงหาได้
    ท่านก็เลยบอกพวกนายช่าง บอกว่า "พวกแกมาทำงานวัดนี่ แกจะมาซื้อกับกินทำไม ปลาในสระมีเยอะแยะไป ทำไมแกไม่ไปตกมากิน" นายช่างก็บอกว่า "ปลาวัดมันบาปครับ และปลาไม่ใช่ปลาวัดก็บาป แต่ผมก็หาอยู่ บ้านผมก็หา แต่ปลาวัดผมถือครับ ผมไม่กินหรอกเพราะมันบาปมาก" หลวงพ่อสุ่นก็บอกว่า "ถ้าปลาที่อื่นมันอาจจะบาป ถ้าปลาในสระของวัดนี่กินไม่บาป ถ้าแกกำลังก่อสร้างอยู่อย่างนี้นะ เพราะผลบุญที่แกสร้างพระอุโบสถนี่มันมากกว่า" พระอุโบสถนี้เป็นพระอุโบสถใหม่นะ เพราะหลังเก่ามันทรุดโทรมมาก ท่านสร้างแทนขึ้นมาใหม่ หลังเก่าก็ยังไม่ได้รื้อ ท่านบอกว่า "อนุญาตนะ พวกแกจะกินได้ ทีหลังไม่ต้องไปซื้ออะไรเขามากิน เอาปลาในสระกิน ฉันรับรองว่าไม่บาป เพราะเป็นปลาวัด อีกอย่างหนึ่งคนที่ทำงานในวัดกินปลาวัดได้" พวกนายช่างก็เชื่อ เพราะว่าตามธรรมดาไม่ค่อยจะมีอะไรกินอยู่แล้ว ถึงตอนเย็นท่านก็บอกว่า เอาเบ็ดเกี่ยวเหยื่อเข้า อะไรก็ได้เนื้อที่มันตายแล้ว จะเป็นเนื้อหรือเศษปลาหรืออะไรเกี่ยวเบ็ด โยนลงไปในสระ พอโยนไปสักอึดใจเดียวก็ปรากฏว่าปลาเค้าตัวใหญ่กินเบ็ด แล้วก็ดึงขึ้นมา แล้วก็เอามาทำเป็นอาหารกิน
    พวกคณะช่างกินปลาในสระจนกว่าจะสร้างโบสถ์เสร็จ ขณะที่กินปลาได้ไม่กี่วันรู้สึกว่าอุจจาระที่ถ่ายออกมามันมีสีเขียว เขาก็แปลกใจ จึงไปถามหลวงพ่อ หลวงพ่อก็บอกว่า "ไม่เป็นไรหรอก ไอ้ปลาในสระมันไม่มีอาหารอย่างอื่นกิน มันกินตะไคร่น้ำ แกกินเข้าไปขี้มันก็เขียวน่ะสิ"
    ทีนี้เมื่อหลังจากสร้างพระอุโบสถเสร็จท่านก็ประกาศว่า "นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ใครจะกินปลาในสระไม่ได้นะ ถ้ากินแล้วจะเป็นโรคเรื้อน" คนเขากลัววาจาศักดิ์สิทธิ์ของท่าน นายช่างก็ถามว่า "พวกผมจะเป็นไหม"
    ท่านบอก "แกกินก่อนน่ะไม่ป็นหรอก แต่ต่อไปนี้ถ้าแกกินแล้วเป็นโรคเรื้อน"
    ถามว่า "เป็นเพราะอะไร"
    ท่านก็บอกว่า "ข้าโกหกให้แกกินใบไม้ ข้าเสกใบไม้เป็นปลาเอาไว้ กินอร่อยไหมวะ"
    นายช่างบอกว่า "รสชาติมันก็เหมือนปลาธรรมดาพวกนั้นแหละ"
    ท่านบอกว่า "ปลาวิชชามันเป็นอย่างนั้น นี่ข้าเสกใบไม้"
    ผลที่สุดท่านก็หยิบใบไม้ขึ้นมาใบ แล้วถามว่า "แกเชื่อไหมว่าข้าทำใบไม้เป็นปลาได้"
    นายช่างก็บอกว่า "เชื่อเหมือนกันครับ แต่อยากเห็น"
    ท่านเลยหยิบใบไม้มาใบหนึ่งแล้วใส่เข้าไปในขันน้ำปรากฏว่าเป็นปลาว่ายปร๋อ พวกนายช่างหัวเราะกันใหญ่ บอกแหม..หลวงพ่อ! ผมไม่รู้เลยว่าหลวงพ่อให้กินใบไม้ ผมกินกันใหญ่ ทีแรกผมนึกว่าเป็นปลาจริงๆ ผมไม่กล้าจะตกขึ้นมากินมากๆ กลัวมันจะบาปมาก ไอ้บาปกับบุญที่สร้างโบสถ์มันจะไม่พอกัน ท่านก็หัวเราะชอบใจ อันนี้เป็นปาฏิหาริย์ของหลวงพ่อสุ่น ซึ่งเป็นพระอุปัชฌาย์ของหลวงพ่อปาน ปรากฏว่าเป็นพระได้อภิญญาเหมือนกัน
    รัชกาลที่ ๖ กับหลวงพ่อสุ่น
    หลวงพ่อสุ่นองค์นี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๖. ทรงขึ้นและมีความเคารพนับถือมาก เพราะว่าครั้งหนึ่งเมื่อพระองค์เสด็จไปจอดเรืออยู่ที่หน้าวัด เห็นนกกระยางบินผ่านมาหน้าวัดก็ยกปืนขึ้นยิง ปรากฏว่ายิงไม่ออก แต่ผลที่สุดจะหันปืนไปทางไหน อากาศเต็มบริเวณวัดนั้นทั้งหมดยิงไม่ออก ท่านมีความสงสัยก็ขึ้นไปหาท่านเจ้าอาวาส คือหลวงพ่อสุ่น
    หลวงพ่อท่านก็บอกว่า "อย่าว่าแต่อากาศเลย อะไรก็ยิงไม่ออกในวัดนี้"
    ท่านจึงถามว่า "เป็นเพราะอะไร"
    ท่านบอกว่า "เป็นเพราะอำนาจพระพุทธานุภาพ"
    รัชกาลที่ ๖ ก็อยากจะทราบว่า "ถ้ากระผมอยากจะเป็นคนยิงไม่ออกพอจะได้ไหม"
    ท่านก็บอกว่า "ได้" แต่ว่าต้องรับปากเสียก่อนว่านับตั้งแต่เวลานี้เป็นต้นไปในเขตบริเวณวัดจะไม่ทำอันตรายแก่สัตว์ จะไม่ละเมิดสิทธิของสงฆ์
    รัชกาลที่ ๖ ก็รับคำ แล้วท่านก็ขอพระแสงประจำตัว คือมีปืนเล็กๆ กระบอกหนึ่ง แล้วก็มาเสก เสกแล้วก็ส่งให้ ท่านบอกว่า "ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปถ้าหากพระองค์ติดปืนกระบอกนี้อยู่ละก็ปืนอื่นจะยิงไม่ออก อาวุธทุกอย่างจะทำอันตรายพระองค์ไม่ได้" พระองค์ก็บอกว่า "อาวุธอย่างนี้อาจจะไม่ติดตัวในบางขณะ แต่กระผมอยากจะให้ตัวผมเองไม่มีอันตรายจากอาวุธ" ท่านก็บอก "ถ้าอย่างนั้นก็ก้มพระเศียรมา" รัชกาลที่ ๖ ก็ก้มพระเศียรลงไป ท่านก็ลงกระหม่อมให้ และก็บอกให้มหาดเล็กลองยิง ให้ยิงเดี๋ยวนั้น ก็ไม่ติด รัชกาลที่ ๖ มีความเลื่อมใสมาก
    อันนี้เป็นปฏิปทาของหลวงพ่อสุ่น วัดบางปลาหมอ ซึ่งเป็นพระอุปัชฌาย์ของหลวงพ่อปาน สำหรับหลวงพ่อปั้นวัดพิกุลทอง นั้นท่านก็บอกว่ามีปาฏิหาริย์เหมือนกัน เพราะเป็นพระได้อภิญญาเหมือนกัน จะขอไม่เล่าประวัติของท่าน
    มีบารมีดี พบอาจารย์ดี
    ที่นำประวัติของคู่สวดและอุปัชฌาย์ของหลวงพ่อปานมาเล่าให้ฟัง ก็เพื่อจะให้ทราบว่าคนที่มีบุญญาธิการ คือหลวงพ่อปานเวลาบวชแล้วปรารถนาพุทธภูมิเพื่อความเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตกาล คนประเภทนี้ที่มีบุญมาก มีบารมีมากเมื่อบวชแล้วก็ดี หรือหวังปฏิบัติความดีใดๆ ย่อมจะได้อาจารย์ที่สำเร็จมรรคผลมาก่อน ไม่ใช่จะไปพบอาจารย์ที่สั่วๆ หมายความว่าตัวเองก็ไม่ได้อะไร แต่ก็สอนลูกศิษย์ไปตามความรู้ความเห็น ที่คิดว่ามันจะเป็นอย่างนั้น มันจะเป็นอย่างนี้ เมื่อตัวเองยังทำไม่ได้ ปฏิบัติผลอะไรไม่ปรากฏและจะสอนคนอื่นให้เขาทำได้อย่างไร
    อย่างนี้ถ้าจะเปรียบเทียบให้ฟังก็เช่นเดียวกับครูโรงเรียน ครูเองก็ไม่มีความรู้ในวิชาการต่างๆ และจะไปสอนศิษย์ให้มีความรู้ได้อย่างไร หรือว่าคนที่สอนวิชาช่างแต่ตัวเองไม่ได้เป็นช่าง ทำอะไรก็ไม่เป็นสักอย่างแล้วก็จะสอนคนอื่นให้เขาเป็นช่างได้อย่างไร
    ข้อนี้มีอุปมาฉันใด แม้ความรู้ในพระพุทธศาสนาก็เหมือนกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งความเป็นพระ คือพระต้องมีศีลบริสุทธิ์ มีสมาธิตั้งมั่น มีวิปัสสนาญาณแจ่มใส แต่ทีนี้ถ้าคนสอนคนอื่นให้เป็นพระ แต่ทีนี้ตัวเขาไม่เป็นพระ เขายังเป็นผู้ละเมิดต่อกฏบัญญัติคือศีล ไม่เคารพในศีล ปฏิบัติศีลได้ไม่ครบถ้วน สมาธิคือฌานสมาบัติไม่มี วิปัสสนาญาณไม่ปรากฏ คือจิตยังตกอยู่ในอำนาจของกิเลสและตัณหา แล้วคนประเภทนี้ถ้ามาเป็นพระอุปชฌาย์หรือคู่สวด อบรมสั่งสอนพระ ก็จะสอนตามความเห็นชอบของตัว
    ตัวเองเป็นคนโลภในลาภสักการะ ติดในรูปรสกลิ่นเสียงและสัมผัส มัวเมาในยศถาบรรดาศักดิ์ ติดอยู่ในความสุข และพอในใจคำสรรเสริญ ก็จะสอนลูกศิษย์ลูกหาให้มีอารมณ์เหมือนกัน ตกเป็นทาสของกิเลสและตัณหาเหมือนกัน
    เพราะตัวเองก็สั่งสอนทรัพย์ สมบัติไว้มากมาย กลายเป็นพระเศรษฐี พระร่ำรวย มีเจ้าหนี้มีลูกหนี้ ซื้อสวน ซื้อนา ซื้อไร่ ซื้อวัสดุต่างๆ ไว้เป็นสมบัติของตน ลูกศิษย์ก็คงจะคิดว่าอาจารย์ของเรานี้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบแล้วก็จะทำตามแบบอาจารย์ หรือเป็นคนเจ้าโมโหโทโส ผูกพยาบาทจองเวร จองล้างจองผลาญคนอื่น ชอบแช่งชักหักกระดูกคนอื่นให้เป็นอย่างนั้น ให้เป็นอย่างนี้ มีวาจาร้ายมีจิตชั่ว ลูกศิษย์ไม่เห็น เมื่อตัวอยู่ใกล้ๆ กับอาจารย์ เมื่อเห็นอาจารย์ปฏิบัติอย่างนั้นเขาก็จะคิดว่าอย่างเป็นความดี พระควรปฏิบัติอย่างนั้น อย่างนี้เป็นต้น
    รวมความว่าถ้าตัวเองไม่ใช่พระก็จะสอนใครให้เป็นพระไม่ได้ คนประเภทนี้เป็นอาจารย์ที่ไม่มีความหมาย มีศีลไม่บริสุทธิ์ มีสมาธิไม่ตั้งมั่น มีวิปัสสนาญาณไม่แจ่มใส ท่านที่มีบุญมากๆ ท่านไม่เกิดในสำนักเหล่านั้น ท่านไม่ได้บวชไม่อยู่ในสำนักเหล่านั้น
    ถ้าสำนักใดครูบาอาจารย์ทั้งหลายตั้งอยู่ในกฏของความดีคือเป็นพระจริงๆ มีความเคร่งครัด มีศีลบริสุทธิ์ มีสมาธิตั้งมั่น มีวิปัสสนาญาณแจ่มใส เช่นเดียวกับครูบาอาจารย์ของหลวงพ่อปาน คู่สวดก็ได้อภิญญาทั้ง ๒ องค์ คือ
    ๑. หลวงปู่คล้าย
    ๒. หลวงพ่อปั้น วัดพิกุล
    สำหรับพระอุปัชฌาย์ก็เป็นพระทรงอภิญญาทั้ง ๓ ท่านมีอภิญญาทั้งสิ้น ฉะนั้นเมื่อท่านเกิดมาเพื่อบำเพ็ญบารมีเป็นพระพุทธเจ้าคือปรารถนาพุทธภูมิ ท่านจึงได้ครูบาอาจารย์ที่เหมาะสม ที่สมควรแก่การสอน คือมีความรู้ครบถ้วนบริบูรณ์ทุกอย่างทั้ง ศีล สมาธิ ปัญญา อันนี้จัดว่าเป็นบารมีของท่านบังคับจริงๆ บารมีดลบันดาลให้พบครูบาอาจารย์เช่นนี้ "จงจำไว้ว่าคนดีย่อมพบอาจารย์ดี คนที่มีบารดีย่อมพบอาจารย์ที่มีบารมีดี"
    ฉะนั้นคนที่จะบรรลุมรรคผลใดๆ หรือแม้ว่าจะปฏิบัติกรรมฐานได้ในขั้นฌานโลกีย์ อันนี้ก็ต้องพบอาจารย์ดีที่มีฌานสมาบัติ คนที่พบครูบาอาจารย์ที่ได้ฌานโลกีย์ก็ดี หรือเป็นพระอริยเจ้าตั้งแต่พระโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ อันนี้เป็นของพบได้ยาก เป็นของค้นคว้าได้ยาก คนที่ต้องมีบารมีสมควรเท่านั้น ถ้ามีบารมีไม่สมควรจะไม่พบครูบาอาจารย์ประเภทนี้ได้เลย สำหรับหลวงพ่อปานท่านเป็นพระที่มีบารมีเพราะว่าท่านปรารถนาพุทธภูมิมาตั้งแต่ในชาติก่อน ท่านจึงได้มาพบกับครูบาอาจารย์ของท่าน แม้แต่พระคู่สวดหรือพระอุปัชฌาย์ก็เป็นพระผู้ทรงอภิญญาทั้งสิ้น
    และนอกจากนั้นครูบาอาจารย์ของท่านในกาลต่อไปข้างหน้าและแต่ละองค์ก็ล้วนแต่เป็นพระผู้ได้อภิญญาสมาบัติหรือเป็นพระอรหันต์หลายท่านด้วยกัน ดังจะเล่าให้ฟังต่อไปข้างหน้า
    อันนี้จะเล่าถึงตัวท่าน ท่านบอกว่าเมื่อได้เห็นอาการอย่างนั้นจากพระอุปัชฌาย์และคู่สวดก็มีความเลื่อมใสมาก ก็เลยจำพรรษาอยู่วัดบางปลาหมอ ๑ พรรษา คือพรรษาแรกทั้งๆ ที่จะไกลบ้านสักหน่อยก็ตามทีแต่เพราะอาศัยจิตที่รักวิชาประเภทนี้คือกรรมฐาน
    หลวงพ่อสุ่นได้เริ่มสอนหลวงพ่อปานให้เริ่มฝึกพระกรรมฐานตามแบบ วิสุทธิมรรค คือในกรรมฐาน ๔๐ ครบถ้วน โดยให้ท่องหัวข้อกรรมฐาน ๔๐ ให้จำได้ และก็แนะวิธีการปฏิบัติทุกอย่าง ตามที่ในหนังสือคู่มือปฏิบัติพระกรรมฐาน แล้วต่อแต่นั้นไปเมื่อหลวงพ่อปานมีความสนใจในด้านอภิญญาสมาบัติ หลวงพ่อวัดบางปลาหมอ คือหลวงพ่อสุ่น ก็มอบกุญแจให้หนึ่งดอก แล้วบอกว่า "ปาน! ถ้าแกอยากจะได้อภิญญาแล้วละก็ แกต้องหัดเป่ากุญแจดอกนี้ให้หลุด" คือกุญแจดอกนั้นท่านกดติดกันมาแล้วและให้คาถาไว้บทหนึ่ง...
    ท่านบอกว่า...กุญแจดอกนั้นนะ ฉันเป่าทุกวัน มีการเสกคาถาเป่าทุกวัน วันละหลายสิบครั้ง จนกุญแจดำ ดำที่เคลือบไปด้วยสีน่ะ สีลอกหมด ขาวเป็นเงินทีเดียว สีกุญแจนี่ขาวเป็นเงิน เพราะว่าการจับไปจับมา จับมาจับไปนี่สีมันก็ลอก ผลที่สุดก็กลายเป็นขัดกุญแจไป เหล็กแท้ๆ ขาวผ่อง ท่านบอกว่า ไอ้ที่เป่ามันไม่ออก ก็เพราะสมาธิมันดีไม่พอ อารมณ์จิตมันยังคิดข้องอยู่ เวลาที่เสกคาถาก็นึกอยากจะให้กุญแจหลุด
    มาวันหนึ่งตอนเช้า ท่านตื่นขึ้นมาแต่เช้า แต่ยังไม่ทันจะว่าคาถา นึกว่าไหนลองเป่าดูซิ ไม่ว่าคาถากุญแจจะหลุดไหม เพราะว่าจิตน่ะความจริงมันทรงสมาธิอยู่ เพราะภาวนาคาถาบทนั้น ทั้งกลางวันกลางคืน ไม่ได้ขาด ไม่ยอมให้ว่าง พอหยิบกุญแจขึ้นมาเป่า ก็ปรากฏว่าหลุดทันที
    ทีนี้ต่อไปเมื่อไหร่ก็ตามเมื่อหยิบกุญแจขึ้นมาเป่า จะว่าคาถาหรือไม่ว่ากุญแจมันก็ หลุด ต่อมาเมื่อดอกเดียวไม่พอ ก็เอามาเป่าคราวเดียวสองดอกสามดอก มันก็หลุด ผลที่สุดหนักๆ เข้าก็เอากุญแจมาแขวน แขวนในราวเป็นราวๆ อุดเข้าไว้ พอเอามือตบ ราวทีเดียวกุญแจก็หลุด
    ท่านบอกนั่นสมาธิมันทรง คือตั้งตัวเสียได้ รู้จักวางกำหนดใจ กำหนดจิตเข้าสู่อารมณ์ พอเหมาะพอดี เมื่อ
    หลวงพ่อสุ่น ได้ทราบอย่างนั้นแล้ว ท่านก็มาบอกว่า ปาน..! อารมณ์จิตแบบนี้แหล่ะ มันเป็นอารมณ์จิตสำหรับอภิญญา เพราะว่า อภิญญาสมาบัติ จะต้องทรงสมาธิแน่นอนอย่างนั้น เมื่อท่านทราบอารมณ์ของสมาธิสำหรับการจะบำเพ็ญ อภิญญาสมาบัติ แล้ว
    ในที่สุด ท่านก็พยายามเจริญกรรมฐานทุกกองเท่าที่ หลวงพ่อสุ่น ให้ปฏิบัติ ถึงระบบฌานในที่สุดของกรรมฐานกองนั้น ๆ ทั้งหมด ปรากฏว่าภายในพรรษาเดียว ท่านทรงกรรมฐานในด้านสมถะ ได้เกินกว่า ๑๐ กอง
    โปรดอ่านติดตามตอนต่อไป...
    จากนิตยสารธัมมวิโมกข์ ปีที่ ๒๘ ฉบับที่ ๓๑๕ มิถุนายน
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  5. noonei789

    noonei789 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มกราคม 2007
    โพสต์:
    1,079
    ค่าพลัง:
    +6,958
    การปรามาสหรือดูหมิ่นดูแคลนผู้อื่น
    อย่าตำหนิใครแม้เค้าทำผิดจริงเพราะจะกั้นมรรคผลของเรา จงเพ่งโทษโจษความผิดของเรา
    "นักปฏิบัติที่ดี เค้าต้องระวังเรื่องข้อนี้ เป็นเรื่องใหญ่
    ถ้าพลาดข้อนี้ไปล่ะก็ เห็นทีจะเดินไปสู่มรรคผลยาก
    ปกิณกธรรม ธ.ค.2552 ท่านจิตโต 6-12-52
    ความคิดเห็นโดยคุณ tamsak
    ถาม : คนที่ดูหมิ่นในความสามารถของบุคคลอื่น ในทางโลกที่ผู้ถูกดูถูกเป็นคนธรรมดา เป็นคนมีศีล เป็นคนที่เจริญฌาน เป็นผู้ที่มีจิตใจเมตตา บำเพ็ญทานรักษาศีล หรือผู้บำเพ็ญตนในวิปัสสนาญาณปรารถนาพระนิพพาน หรือคนที่ได้โมทนาบุญจากบุคคลทุกท่าน และพระทั้งหมดทั้งนิพพาน
    ตอบ: คนดูถูกนี้ซวยแน่ๆ สรุปแค่นั้นพอ ความดีของท่านมีผลมหาศาล ตัวอย่างที่ง่ายที่สุดก็คือ นางขุชชุตตรา ท่านไม่ทราบว่าเพื่อนท่านเป็นภิกษุณีอรหันต์แล้ว ได้ขอให้เพื่อนช่วยหยิบเครื่องแต่งตัวให้หน่อยเท่านั้นเอง ต้องไปเกิดเป็นคนใช้เขา ๕๐๐ ชาติ
    ท่านที่ทรงความดีอยู่ก็เหมือนอย่างกับไฟ ถ้าเราปฏิบัติถูกต้องก็เป็นคุณอนันต์ ถ้าปฏิบัติผิดก็โทษมหันต์ ความดีท่านยิ่งสูงเท่่าไหร่ ถ้าเราทำไม่ดีกับท่านก็ยิ่งโดนตอบแทนคืนมาแรงเท่านั้น ท่านไม่ได้ถือโทษโกรธเคืองอะไรหรอก แต่ว่ากฎของกรรมกับสิ่งที่เราทำมันจะเล่นเราเอง
    เพราะฉะนั้นสรุปได้ว่าไม่ต้องให้ถึงขนาดที่ว่ามาหรอก ขอให้คนที่มีความดีอยู่บ้างถ้าเราไปล่วงเกินเข้า มีโอกาสก็ขอขมาเสีย ไม่อย่างนั้นเกิดโทษกับตัวแน่ๆ

    ถาม : ถึงแม้จะเป็นเรื่องทั่วๆ ไปหรือครับ

    ตอบ: เรื่องทั่วๆ ไปไม่ว่าจะอะไรก็ตาม พระอรหันต์มีคุณอนันต์ก็มีโทษมหันต์ ดังนั้นฆราวาสที่เป็นอรหันต์ท่านเลยต้องจำเป็นให้ตัดให้ตาย อยู่นานไม่ได้หรอก คนไม่รู้ไปล่วงเกินเข้าเป็นโทษแน่ๆ อย่างเช่นว่า อาจจะเคยเป็นเพื่อนฝูง เป็นลูกไล่กันมาก่อน เตะตูดเขกกบาลเล่นได้ แต่ถ้าเป็นพระอรหันต์ไปแล้วเราไปทำอย่างนั้นเราก็ซวยไม่จบ หากท่านอยู่ต่อไปจะเป็นทุกข์เป็นโทษกับคนอื่น
    สนทนากับพระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ เดือนมกราคม ๒๕๔๖(ต่อ) ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ

    เครดิตจากคุณVANCO จากหนังสือ "พระประวัติ สมเด็จพระสังฆราช สุกไก่เถื่อน"
    ท่านกล่าวไว้ว่า บุคคลที่เป็นพระโสดาบันแล้ว ถ้าปรากฏว่า มีผู้อื่นผู้ใดประมาทพลาดพลั้ง หรือคะนองปาก กล่าวตำหนิติเตียน หรือนินทาว่าร้าย ด่าบริภาษ แม้จะเป็นพระอริยะบุคคลที่เป็นคฤหัสถ์
    ท่านกล่าวว่า ห้ามมรรค ผล นิพพาน แม้บุคคลผู้นั้นจะพากเพียรปฏิบัติธรรม อย่างไรก็มิอาจสามารถ บรรลุมรรคผลได้
    การติเตียน ด่าบริภาษพระอริยเจ้า จึงมีโทษมากเกิดความหายนะอย่างร้ายแรงที่สุด10อย่างคือ

    บุคคลผู้นั้นจะยังไม่บรรลุธรรมที่ยังไม่บรรลุ 1
    เสื่อมจากธรรมที่บรรลุแล้ว ฌาณ สมาธิ จะเสื่อมทันที 1

    สัทธรรมของบุคคลผู้นั้นย่อมไม่ผ่องแผ้ว 1
    เป็นผู้หลงคิดว่าตนเป็นผู้บรรลุสัทธรรม 1

    ไม่ยินดีในการประพฤติพรหมจรรย์ 1
    ถ้าเป็นภิกษุต้องอาบัติเศร้าหมองอย่างใดอย่างนึง 1

    ย่อมถูกโรคเบียดเบียนอย่างหนัก 1
    ถึงความเป็นบ้ามีจิตฟุ้งซ่าน 1

    หลงตามกาละ คือตายอย่างขาดสติ 1
    เมื่อตายย่อมเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก 1

    กรรมที่บริภาษ ด่าทอ พระอริยบุคคลนี้ เป็นกรรมตัดรอน มรรคผล นิพพาน
    มิใช่กรรมเก่า แต่เป็นกรรมที่สร้างขึ้นใหม่ และมีผลรุนแรงมาก มีอำนาจตัดรอนกรรมดีอื่นๆในทันใด

    วิธีแก้กรรมนี้ ต้องกล่าวขอขมาโทษ แก่พระอริยเจ้า เมื่อพระอริยเจ้าอดโทษไม่เอาโทษแล้ว ก็ไม่ห้าม มรรค ผล นิพพาน กลับมาเป็นปรกติดังเดิม

    ขอขอบพระคุณ องค์สมเด็จพระสังฆราช สุกไก่เถื่อน สำหรับธรรมะนี้

    ดังนั้นให้เราหมั่นขอขมาพระรัตนตรัยทุกๆวัน
    เพราะเราไม่รุ้ว่าบุคคลที่เราเดินผ่านไปผ่านมา หรือว่าพบเจอ แล้วเราไปแสดงอากัปกิริยานไม่เหมาะสม ใส่ท่าน บุคคลเหล่านั้น ท่านเป็นพระอริยเจ้าหรือไม่
    เพื่อความปลอดภัยและเจริญก้าวหน้าของตัวเราเอง ให้เราอย่าประมาท ปรามาสพระรัตนตรัยเด็ดขาด

    โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเว็บพลังจิต ที่ค่อนข้างจะมีทั้งพระโพธิสัตว์ ทั้งพระอริยเจ้า แวะเวียนมาเสมอๆ ดังนั้นอย่าไปปรามาสท่านใดเป็นอันขาดครับ

    ความหายนะที่ร้ายแรงก็คือ การหลงว่าเราบรรลุธรรมไปแล้ว เพราะถ้าเราหลงว่าตัวเองบรรลุโดยที่ยังไม่ได้บรรลุจริงๆแล้วล่ะก็

    ส่วนมากจะกู่ไม่กลับและมีอบายภูมิเป็นที่ไปครับ
    แล้วยิ่งเราไปสอนคนผิดๆ เพราะหลงว่าตัวเองบรรลุธรรมไปแล้ว
    ยิ่งสอนคนด้วยธรรมะผิดๆไปเป็นจำนวนมากเท่าไหร่ เราเองก็จะยิ่งต้องชดใช้กรรมนานเท่านั้นครับ

    ดังนั้นอย่าเผลอปรามาสพระเป็นอันขาด



    ขออนุญาตเชิญคำกล่าวของหลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ มาเป็นมงคลนำเปิดกระทู้ เพื่อเป็นเครื่องเตือนสติกันนะคะ
    การปรามาสพระก็ดี การพูดจาจาบจ้วงในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ หรือท่านที่มีศีลมีธรรมก็ดี จะเป็นกรรมติดตัวเรา และขัดขวางการปฏิบัติธรรมในภายหน้า

    ดังนั้น หากเห็นใครทำความดี ก็ควรอนุโมทนายินดีด้วย แม้ต่างวัดต่างสำนักหรือแบบปฏิบัติต่างกันก็ตาม”

    ไม่มีใครผิดหรอก เพราะจุดมุ่งหมายต่างก็เป็นไปเพื่อความพ้นทุกข์เช่นกัน เพียงแต่เราจะทำให้ดี ดียิ่ง ดีที่สุด

    ขอให้ถามตัวเราเองเสียก่อนว่า … แล้วเราล่ะถึงที่สุดแล้วหรือยัง ?

    (จากหนังสือ “ตามรอยธรรม ย้ำรอยครู” )
    ควรทำหรือไม่

    ครั้งหนึ่ง มีลูกศิษย์หลวงปู่ผู้สนใจธรรมปฏิบัติกำลังนั่งภาวนาเงียบอยู่ ไม่ห่างจากท่านเท่าใดนัก
    บังเอิญมีแขกมาหาศิษย์ผู้นั้นแต่ไม่เห็น
    ก็มีศิษย์อีกท่านหนึ่งเดินเรียกชื่อท่านผู้กำลังภาวนาอยู่ด้วยเสียงอันดัง
    และเมื่อเดินมาเห็นศิษย์ผู้นั้นกำลังภาวนาอยู่ ก็จับแขนดึงขึ้นมาทั้งที่กำลังนั่งภาวนา
    เมื่อผู้นั้นห่างไปแล้ว หลวงปู่ท่านจึงเปรยขึ้นมาว่า

    “ในพุทธกาลครั้งก่อน มีพระอรหันต์องค์หนึ่งกำลังเข้านิโรธสมาบัติ
    ได้มีนกแสกตัวหนึ่งบินโฉบผ่านหน้าท่านพร้อมกับร้อง “แซก”
    ท่านว่า นกแสกตัวนั้นเมื่อตายแล้วได้ไปอยู่ในนรก
    แม้กัปนี้พระพุทธเจ้าผ่านไปได้พระองค์ที่สี่แล้ว
    นกแสกตัวนั้นยังไม่ได้ขึ้นมาจากนรกเลย”

    โทษของการปรามาสพระรัตนตรัยมีสถานเดียว คือ ต้องลงนรกขุมที่ ๘ (อเวจีมหานรก)
    นรกขุมที่ ๙
    (โลกันตมหานรก)
    (โดย พล.ต.ท.นพ.สมศักดิ์ สืบสงวน)
    บุคคลส่วนใหญ่รู้จักกันแค่อเวจีมหานรก หรือ นรกขุมที่ ๘ จึงมีคนสมัครใจลงนรกขุมนี้กันมาก เพราะไม่เชื่อว่ามีนรก ไม่เชื่อว่ามีสวรรค์ ไม่เชื่อว่ามีเทวดา มีนางฟ้า มีพรหม และมีพระวิสุทธิเทพหรือพระอรหันต์อยู่ที่พระนิพพาน คิดเอาด้วยปัญญาของตนว่าตายแล้วสูญ ตายแล้วไม่เกิด เท่ากับผลของกรรมไม่มี, กฎของกรรมไม่มี, ไม่เชื่อว่าทำดีย่อมได้รับผลดี ทำชั่วย่อมได้รับผลชั่ว แม้แต่นักบวชที่บวชเข้ามาในพุทธศาสนาจำนวนมากก็เชื่อตามความคิดเหล่านี้ เมื่อตายไปจึงพากันไปอยู่นรกขุมนี้เป็นจำนวนมาก มากกว่าอาชีพใด ๆ ในโลกนี้ เพราะเป็นการปรามาสพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ซึ่งเท่ากับปรามาสพระพุทธเจ้าโดยตรง เพราะธรรมเหล่านี้พระองค์เป็นผู้ตรัสสอนไว้ทั้งสิ้น
    คำสั่งคือศีลหรือพระวินัยมีอยู่ ๒๒๗ ข้อ บางท่านยังไม่รู้ด้วยซ้ำไปว่ามีอะไรบ้าง ประกอบกับไม่เชื่อว่ามีนรก จึงไม่ค่อยสนใจที่จะรักษาศีล ความเป็นพระจึงไม่เกิดกับจิตของผู้นั้น บวชนานเท่าใดก็ไม่เป็นพระ เป็นแค่นักบวช หรือสมมุติสงฆ์เท่านั้น ตายแล้วจึงลงนรกหมด
    ส่วนคำสอน นั้นมีมากถึง ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ หรือ ๘๔,๐๐๐ อุบาย เพราะบุคคลมีจริตนิสัย และมีกรรมไม่เสมอกัน
    พระองค์ทรงตรัส เรื่องโทษของการปรามาสพระรัตนตรัย ไว้ มีความสำคัญย่อ ๆ ดังนี้
    ๑. สิ่งที่พระองค์ทรงตรัสไว้ กลับบอกว่าพระองค์มิได้ตรัส
    ๒. สิ่งที่พระองค์มิได้ตรัสไว้ กลับบอกว่าพระองค์ตรัส
    ๓. ตีความหมายผิด เข้าใจผิด
    ๔. พวกที่เขาไม่ศรัทธาในพระองค์ หรือพวกปทปรมะ หรือคนนอกศาสนา พวกนี้พระองค์ไม่สอนเขาอยู่แล้วเป็นธรรมดา โทษของการปรามาสพระรัตนตรัยมีสถานเดียว คือ ต้องลงนรกขุมที่ ๘
    ในพระไตรปิฎก มีบุคคลบางคนที่สงสัยเรื่องนรก-สวรรค์มีจริงหรือ ไปถามพระองค์ พระองค์ก็ทรงเมตตาแนะนำบุคคลเหล่านั้น มีใจความโดยย่อว่า...
    ก) ถ้าไม่มีนรก ไม่มีสวรรค์ หากตายไปก็เสมอตัว
    ข) ถ้าหากนรกมี สวรรค์มีจริง เมื่อตายไปก็พบกับความทุกข์หรือความสุขอย่างสุดประมาณ เพราะ...
    นรกขุมแรก (สัญชีพนรก) ๑ วันที่นั่นนานเท่ากับเวลาในโลกมนุษย์ถึง ๙ ล้านปี นรกขุมที่ ๒ เวลาก็นานขึ้นอีกเท่าตัว คือ ๑ วันที่นั่นนานเท่ากับเวลาในโลกมนุษย์ถึง ๑๘ ล้านปี ตามลำดับ จนถึงขุมที่ ๘ เธอควรจะยอมเสี่ยงดีหรือไม่ก็ตามใจเธอ พระองค์ไม่เคยบังคับใครให้เชื่อ เพราะศาสนาของพระองค์ ทุกคนต่างเข้ามาด้วยศรัทธาก่อนทั้งสิ้น (ศรัทธา คือ ความเชื่อโดยการยอมปฏิบัติตามคำสั่งคือศีลและคำสอนของพระองค์ด้วย) นอกจากนั้นยังเมตตาสอนวิธีหนีนรกแบบง่าย ๆ ให้กับบุคคลเหล่านั้น โดยเน้นเรื่องการรักษาศีลเป็นหลักสำคัญ (กรุณาอ่านเรื่อง ศีลและปัญญาเท่านั้นเป็นเลิศในโลกประกอบด้วย แล้วจะเข้าใจได้อย่างดี)
    บุคคลและนักบวชที่ไม่เชื่อว่า นรกมี สวรรค์มี จึงประมาท ไม่สนใจที่จะละกรรมชั่ว ไม่สนใจที่จะทำกรรมดี จิตใจเลยเศร้าหมอง ไม่ผ่องใส โดยเฉพาะเรื่องการรักษาศีลหรือพระวินัยอย่างจริงจังในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ ตายแล้วจึงพากันลงนรกมากมายสุดประมาณ ตามที่พระองค์ทรงตรัสไว้ มีความว่า " สัตว์โลกตายแล้วไปสู่สวรรค์ได้ มีปริมาณเพียงเท่าเขาโค แต่ไปสู่อบายภูมิ ๔ มีปริมาณเท่ากับขนโค "นี่คือคำนำเรื่องที่เกี่ยวกับนรกขุมที่ ๘ (อเวจีมหานรก)
    ทีนี้มาถึงเรื่อง โลกันตมหานรก หรือนรกขุมที่ ๙ ซึ่งเป็นนรกขุมพิเศษ ซึ่งนักปฏิบัติธรรมด้วยความประมาท มีโอกาสลงได้ง่าย ๆ เหมือนกัน หากไม่เชื่อและไม่ปฏิบัติตามคำสั่งและคำสอนของพระพุทธองค์ นรกขุม ๑ ถึง ๘ ล้วนถูกทรมานด้วยความร้อนทั้งสิ้น ด้วยวิธีการต่าง ๆ (รายละเอียดให้ศึกษาได้ในไตรภูมิ) ส่วนขุมพิเศษที่ ๙ นี้ กลับถูกทรมานด้วยความเย็นจัด บวกกับหาแสงสว่างไม่ได้เลย ทั้งมืดทั้งเย็นจัด ชนิดความเย็นของขั้วโลกเหนือและใต้เทียบไม่ได้ (ที่ขั้วโลกยังมีแสงสว่าง และยังมีฤดูร้อนให้พืชงอกงามได้)
    สาเหตุที่ต้องลงมีดังนี้
    ๑. ปากเชื่อว่ามีนรก แต่ใจบางอารมณ์คิดว่ามี บางอารมณ์สงสัยว่าอาจจะไม่มี คือ ยังสงสัยหรือเชื่อไม่จริง เช่น มาฝึกมโนมยิทธิโดยใช้ฤทธิ์ทางใจ ขอบารมีของพระองค์ ขอเมตตาให้ได้เห็นนรก และได้ไปเที่ยวชมนรกทั้ง ๘ ขุม และไปขุมพิเศษขุมที่ ๙ ด้วย เมื่อกลับมาแล้วยังสงสัยอยู่ ซึ่งเท่ากับปรามาสพระรัตนตรัยโดยตรงทางใจ หรือมโนกรรม หรือหลงตัวเองว่าตนเองสามารถหนีนรกได้ เพราะไปเที่ยวสวรรค์ เที่ยวพระนิพพานได้ แต่ลืมไปว่าไปได้เพราะบารมีจากพระพุทธองค์ หรือพระอรหันต์ท่านก่อนทั้งสิ้น ภาพที่เห็นนั้นเห็นจริง แต่เป็นพุทธนิมิตหรือธรรมนิมิตเท่านั้น ขณะที่เห็นนั้นเป็นของจริง แต่เมื่อลงมาแล้วไม่จริง เพราะลงมาแล้วอารมณ์โลภะ-ราคะ, โทสะ, โมหะ ก็ยังมีอยู่เป็นปกติ ทรงตรัสไว้ชัดเจนว่า "ธรรมของตถาคตจริงในปัจจุบันเท่านั้น" แดนพระนิพพานหรือแดนที่ไม่มีอายุ จึงไม่มีหมดอายุ แดนที่ไม่มีเวลาจึงไม่หมดเวลา เป็นแดนบริสุทธิ์จากสมมุติทั้งปวง คือ หมดทั้งกิเลส ตัณหา อุปาทาน และอกุศลกรรม ผู้ประมาทในธรรมจิตเป็นมิจฉาทิฎฐิ คิดว่าตนเองพ้นนรกแล้วอย่างถาวร จึงทำความผิด ทำความชั่ว ทั้ง ๆ ที่รู้ ขอยกตัวอย่าง ๒ ราย
    รายที่ ๑ เป็นแม่ชี
    รู้อยู่แก่ใจว่าตนเองมิใช่พระ แต่ก็รับสังฆทาน แล้วเอาทั้งวัตถุและเงินของที่เขามาถวายเป็นสังฆทานไปใช้จ่ายตามที่ตนเองเห็นว่าสมควร ทำไปทั้ง ๆ ที่รู้ เพราะความหลงคิดว่าตนเองเป็นพระอริยเจ้าพ้นนรกแล้ว จะทำอะไรก็ทำได้ มโนมยิทธิของตนแจ่มใสจะไปพระนิพพานเมื่อใดก็ได้ ผลพอตายหรือขันธ์ ๕ พัง จิตก็ตรงไปโลกันตมหานรกทันที โดยไม่ผ่านสำนักพระยายม ใครอยากทราบก็ไปถามลุงพุฒท่านดู (เจ้าพระยายมราช) หรือถามพระพุทธเจ้าโดยตรง
    รายที่ ๒ เป็นนักวิชาการ
    มีความรู้ทางปริยัติดี เคยบวชเรียนในวัดมีชื่อเสียง ซึ่งมีการสอนปริยัติธรรม และเชื่อเรื่องมีนรก มีสวรรค์ มีพระนิพพาน ตายแล้วไม่สูญ รายนี้จึงรู้ แต่ก็รู้แบบปริยัติ คือ รู้ไม่จริง ความสงสัยยังมีอยู่ในใจเป็นธรรมดา
    ตอนที่ยังเป็นฆราวาส เห็นแก่สินจ้างรางวัล จึงออกโจมตีหลวงพ่อฤๅษีตามที่ต่าง ๆ ทั้งในกรุงและต่างจังหวัด ขอเล่าย่อ ๆ ว่า ทุกครั้งที่เขาไปโจมตีด้วยข้อความที่เป็นเท็จ แม้แต่ในชนบทตามหมู่บ้านในป่า-ในเขา ก็จะมีประชาชนที่นั่นคัดค้านโต้เถียงด้วยเหตุผลอันชอบแทนหลวงพ่อท่าน จนนักวิชาการผู้นี้หน้าแตกกลับมาทุกครั้ง เมื่อไม่สำเร็จก็เงียบไปสักพักหนึ่ง คราวนี้ไปบวชเป็นนักบวช จากวัดที่มีชื่อเสียงนั่นแหละ แล้วออกโจมตีหลวงพ่อฤๅษีวัดท่าซุงอีก ทั้งในประเทศและต่างประเทศ (สหรัฐอเมริกา ที่รัฐ L.A) ก็ไม่มีผลอีกตามเคย ทั้ง ๆที่เอาผ้าเหลืองบังหน้า คิดว่าจะไม่มีฆราวาสกล้าขัดแย้ง แต่ก็มีฆราวาสขึ้นพูดขัดแย้งด้วยเหตุผลอันชอบ จนหน้าแตกกลับมาทุกครั้ง เมื่อไม่มีผลก็สึกจากนักบวชออกมาเป็นฆราวาส วันหนึ่งขับรถยนต์ส่วนตัวไปต่างจังหวัด กรรมที่ตนเองเป็นผู้ทำไว้หนักมาก เพราะทำชั่วทั้ง ๆ ที่รู้ในขณะที่ครองผ้าเหลืองเป็นนักบวช โทษจึงเพิ่มขึ้นเป็นร้อยเท่าทวีคูณ รถพลิกคว่ำหลายตลบ ตนเองคอหักชนิดจับคอหมุนได้ หมายความว่า ร่างกายหรือขันธ์ ๕ แตกดับหรือตายทันทีในขณะอุบัติเหตุ คนไปบวชเป็นพระแล้วไม่สนใจเรื่องศีล ไม่รักษาพระวินัยให้ครบ ๒๒๗ ข้อ เพราะขาดหิริโอตตัปปะ คือ ไม่ละอายในความชั่ว ไม่เกรงกลัวผลของความชั่วแล้ว ก็เป็นแบบท่านเทวทัตทุกราย ให้สังเกตศีลของพระเกือบทุกข้อ หรือทุกข้อมีต้นเหตุจากขาดหิริโอตตัปปะทั้งสิ้น (ปาจิตตีย์ แปลว่า จิตเป็นบาป) รายนี้ก็เช่นกัน ไปบวชเป็นพระ แต่ไม่สนใจศีลหรือพระวินัย บวชเท่าไหร่ก็ไม่เป็นพระ โทษก็ลงอเวจีมหานรกอยู่แล้วเป็นธรรมดา แต่ที่เลยไปอีก ๑ ขุม เป็นโลกันตมหานรกนั้น เพราะเขาทำชั่วทั้ง ๆ ที่รู้ (จุดนี้ พระพุทธองค์เป็นผู้ตรัสเมื่อมีผู้ถามพระองค์ท่าน)
    สรุปว่า ทั้ง ๒ รายนี้มีเหตุมาจากการทำความชั่วทั้ง ๆ ที่รู้ทั้งคู่
    ๒. มีจิตยินดีด้วย เมื่อเห็นหรือรู้ว่าบุคคลลงนรกขุมที่ ๙ (โลกันตมหานรก) หรือมีอารมณ์สะใจเมื่อทราบข่าว หรือจิตไปเห็น อาทิสมานกายของเขาลงนรกขุมที่ ๙ จิตเกิดอุปาทาน ไปยึดมั่นถือมั่นกรรมชั่วของผู้อื่นมาเก็บไว้ที่ใจของตน จึงเท่ากับยินดีด้วย หรือสะใจหรือพอใจในกรรมชั่วนั้น ๆ ชนิดไม่ยอมลืม เพราะพบใครก็จะเล่าให้เขาฟังกลัวจะลืม ยิ่งเล่ามากเท่าใด จิตยิ่งยึดมั่นมากเพียงนั้น จนที่สุดกลายเป็นฌาน หรือจิตชินต่อกรรมชั่วนั้น ๆ เกิดขันธ์ ๕ พัง หรือตายตอนนั้น จิตซึ่งมีสภาวะรู้และเร็ว เมื่อเราป้อนข้อมูลใดไว้ให้ จิตเขารู้จนชินแล้ว เมื่อกายแตกตายหรือพัง จิตก็จะเร็วไปตามนั้น เพราะจิตไม่มีเวลา เป็นอกาลิโก โดยไม่ผ่านสำนักพระยายม นี่เป็นจุดสำคัญที่ข้าพเจ้าต้องการจะเน้นให้ผู้อ่านจดจำให้ดี ๆ จะได้ไม่ประมาทในธรรมข้อนี้ พลาดเมื่อไหร่สามารถจะลงขุมที่ ๙ ได้แบบสบาย ๆ เพราะชอบนิทาปสังสา หรือนินทาสโมสร ชอบตำหนิกรรมชั่วของผู้อื่น ซึ่งก็เท่ากับยินดีด้วยเมื่อเห็นทราบว่าผู้อื่นกระทำชั่ว หรือทำผิดศีล-ผิดพระวินัย เท่ากับขาดกรรมบถ ๑๐ หมวดวาจา ๔ ด้วย (คือ ไม่พูดโกหก, ไม่พูดคำหยาบ, ไม่พูดส่อเสียดนินทาผู้อื่น และไม่พูดเรื่องที่ไร้ประโยชน์หาสาระอะไรมิได้) ในกรณีนี้ผิด ๒ ข้อหลัง หากท่านผู้อ่านต้องการทราบรายละเอียดให้มากกว่านี้ กรุณาไปอ่านเรื่อง "รำลึกถึงหลวงปู่บุดดา ถาวโร พระอริยเจ้าผู้ไม่เกิดไม่ตายตลอดกาล" ในหน้าแรกแล้วท่านจะเข้าใจได้ดีขึ้น
    ข้าพเจ้าขอยกตัวอย่างบุคคลท่านหนึ่ง เป็นหญิงไปเห็นกรรมชั่วของนักวิชาการ ซึ่งเป็นผู้ชายที่ลงนรกขุมที่ ๙ (ส่วนรายแรกลงนรกขุมที่ ๙ เป็นผู้หญิง ซึ่งเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อฤๅษี และได้มโนมยิทธิแจ่มใส แต่ไม่สนใจเรื่องศีล จึงเท่ากับดูถูกแม่ของ ตนเอง ดูถูกพระธรรม หรือดูถูกพระพุทธเจ้านั่นเอง) รายนี้ท่านก็ผู้หญิง ได้มโนมยิทธิ แจ่มใสมาก ชนิดเห็นภาพสว่างเหมือนพระอาทิตย์ตอนเที่ยงทุกครั้ง แม้จะเป็นกลางคืนเดือนมืดก็ตาม เธอเล่าให้ข้าพเจ้าฟังว่าเธอสงสัยจังว่าทำไมคนอื่นจึงเห็นได้ไม่ชัด ส่วนตัวเธอสว่างเหมือนตอนเที่ยงทุกครั้งไป รายนี้พอทราบข่าวว่ารายที่ ๒ ซึ่งเป็นชาย เกิดอุบัติเหตุรถคว่ำคอหักตาย เธอก็ใช้มโนมยิทธิตามดูกรรมของเขา ก็พบว่าเขาลงไปอยู่ขุมที่ ๙ เธอก็ติดตามไปขุมที่ ๙ ยืนอยู่ปากขุมนรกนั้น แล้วตะโกนว่า “สะใจจริงโว๊ย ๆ” สาเหตุเพราะบุคคลผู้นี้ชอบนินทาว่าร้ายอาจารย์ของเธอ (หลวงพ่อฤๅษี วัดท่าซุง) เธอพบใครก็จะเล่าเรื่องที่เธอไปพบ ให้เขาฟังทุกคน เพราะกลัวจะลืม แต่เธอโชคดีที่ไปเล่าให้หลวงพ่อท่านฟัง หลวงพ่อท่านก็เมตตาตักเตือนเธอว่า “ระวังให้ดี เวลาตายจะไปอยู่กับเขาด้วย” เตือนเพียงเท่านี้ เธอเป็นผู้มีปัญญาจึงคิดออกว่าอารมณ์สะใจ คือ อารมณ์ยินดีด้วยกับกรรมชั่วของผู้อื่น หากเล่าให้ผู้อื่นฟังซ้ำ ๆ เท่ากับเป็นการบังคับให้จิตเก็บความชั่วของผู้อื่นมาไว้ที่จิตของเรา ทำบ่อย ๆ จิตก็จะชินกับความชั่วนั้น ๆ ที่สุดจิตเลยชินกับกรรมชั่วนั้น ๆ จิตเลยเป็นฌานสมาบัติในความชั่วนั้น ๆ เวลากายพังหรือตาย จิตที่รู้อะไรเป็นฌานสมาบัติ จิตก็จะเร็วไปตามนั้น เพราะจิตไม่มีเวลา เป็นอกาลิโก จึงมีผลไปอยู่กับเขาผู้นั้นเป็นอัตโนมัติ
    ข้าพเจ้าเองเพียงแค่คิดถึงเรื่องนี้ก็ยังรู้สึกเสียว ๆ อยู่ กลัวจะได้ไปปีนหน้าผาร่วมกับเขาโดยไม่มีแสงสว่าง คือ มืดสนิทแล้วหนาวสุด ๆ ด้วย นี่แหละคือจุดอันตรายที่สุดในการปฏิบัติธรรมในพระพุทธศาสนา อ่านแล้วกรุณาคิดตามด้วยเหตุผล จะได้เกิดปัญญา การรู้ด้วยจิตของตนเองจึงจะเป็นของจริง เพราะผู้อื่นมาบอกให้รู้ว่า ๑๐๐ ครั้ง ๑,๐๐๐ ครั้ง ก็สู้เรารู้ด้วยจิตตนเองครั้งเดียวไม่ได้ เมื่ออ่านและเข้าใจดีแล้วจงพยายามระวังสังวรกาย-วาจา-ใจของตนให้ดี ๆ เลิกนิสัยนินทาผู้อื่น, เลิกนิสัยชอบพูดแต่กรรมชั่วของผู้อื่น (เลิกพูดถึงบุคคลที่ ๓) โดยเจตนาเพื่อจะส่อเสียดเขา เอาความชั่วของผู้อื่นมาประจานโดยเจตนาชั่ว แต่กลับไม่เห็นความชั่วของตนเอง เท่ากับเป็นการทำร้ายจิตตนเอง เบียดเบียนจิตตนเอง เพราะจิตหยาบเกินไป จึงไม่เข้าใจเรื่องเมตตา ความรักในพระพุทธศาสนา พระองค์ทรงสอนให้รักตัวเราก่อนเป็นประการแรก (ตัวเราจริง ๆ คือจิต หรือ อาทิสมานกาย ซึ่งมาอาศัยขันธ์ ๕ หรือร่างกายอยู่ชั่วคราว ดังนั้น ร่างกายก็คือผู้อื่น ซึ่งไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา) หากมีปัญญาทางพุทธศาสนา ซึ่งหมายถึงปัญญาที่เกิดจากสมาธิ ซึ่งตั้งมั่นอยู่บนศีลอันบริสุทธิ์ ซึ่งต่างกับปัญญาทางโลกอันเกิดจากสมาธิ ซึ่งไม่มีศีลเป็นเครื่องรองรับ หากท่านเข้าใจธรรมจุดนี้ ก็จะทราบได้ว่าอารมณ์สะใจ คือ อารมณ์พอใจหรือยินดีด้วย กับความชั่วของผู้อื่นนั่นเอง หลวงพ่อฤๅษีท่านชอบพูดว่า เป็นอารมณ์เก็บขี้ หมายถึงชอบเก็บแต่ของเหม็น ๆ ของไม่ดีหรือกรรมชั่ว (กายกรรม-วจีกรรม-มโนกรรม) ของผู้อื่นมาไว้กับจิตของตน ของดี ๆ ของหอม ๆ ไม่เอา หากจะให้อธิบายก็คงจะเขียนได้ยาวมาก
    ขอสรุปสั้นๆ ว่า การนินทาผู้อื่นนั้น ไฟลุกที่ใคร (ไฟหมายถึงไฟภายใน การนินทาย่อมนินทาเขาด้วยอารมณ์ไม่พอใจ หรือปฏิฆะด้วยกันทั้งสิ้น นินทาด้วยความเมตตาไม่มีแน่)
    ตอบ ลุกที่ใจเรา
    ใครเป็นผู้จุดไฟ
    ตอบ เราเองเป็นผู้จุด
    แล้วไฟนั้นเผาใคร
    ตอบ เผาใจตัวเอง
    แล้วเราโง่หรือฉลาดที่จุดไฟเผาตัวเอง
    ตอบ โง่สุด ๆเลย
    ให้ถาม (ปุจฉา) แล้วตอบ (วิสัชนา) ไม่ต้องไปถามใครให้ถามใจตนเองแล้วตอบเอง จะเกิดปัญญาทางพุทธศาสนา (กรุณาไปอ่านเรื่องศีลและปัญญาเท่านั้นเป็นเลิศในโลก หน้าแรก ข้อที่ ๒)
    : วิธีป้องกันไม่ให้ตกนรกขุมที่๙ (โลกันตมหานรก)
    ขอสรุปสั้น ๆ ว่า พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า ให้ตัดสังโยชน์ ๓ ข้อแรกให้ได้เด็ดขาด ก็จะปิดนรกหรืออบายภูมิทั้ง ๔ ได้ตลอดกาล หรืออย่างถาวร มีทางนี้ทางเดียว ทางอื่นไม่มี ทางอื่น ๆ นั้น เป็นการหนีนรกได้เพียงชั่วคราวเท่านั้น อุบายต่าง ๆ มีมาก ซึ่งหลวงพ่อฤๅษีท่านแนะนำพวกที่บารมีหรือกำลังใจยังต่ำอยู่ไว้มากมายหลายวิธี หากข้าพเจ้ามีโอกาสหรือขันธ์ ๕ ยังไม่พังเสียก่อน ก็จะพยายามรวบรวมให้ แล้วพิมพ์แจกเป็นธรรมทานต่อไป
    ขอให้ผู้อ่านทุกท่านจงโชคดี อย่าไปยินดีกับกรรมชั่วของผู้อื่น พยายามทำจิตของตนเองให้ดีเสียอย่างเดียว ทุกอย่างก็จะดีหมด
    ปรามาสพระอริยเจ้า

    โทษของการปรามาสพระอริยะเจ้า ที่มา:โดยพระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดจันทาราม
    ผู้ถาม เรื่องพระอริยเจ้าก็มีอยู่นิดคือว่า การปรามาสพระอริยเจ้าด้วยเจตนาก็ตาม ไม่เจตนาก็ตาม โมโหด้วยความตั้งใจก็ตาม อยากเรียนถามว่า จะมีกรรมมากไหมครับ?

    หลวงพ่อ: ก็ลงนรกด้วย เจตนาก็ตาม ไม่เจตนาก็ตาม ลงเหมือนกัน

    ผู้ถาม: ไม่ต้องสอบสวนหรือครับ?

    หลวงพ่อ: ไม่ต้องสอบ... สบาย ก็ไม่ยาก ก็ไปขอขมาต่อพระพุทธเจ้าเสียซิ ถ้าไม่พบพระพุทธเจ้าก็พระพุทธรูป

    ผู้ถาม ต้องไปพบพระพุทธรูปที่วัดท่าซุง หรือว่า

    หลวงพ่อ ไม่จำเป็น...ที่บ้านก็ได้ ให้นึกว่าท่านคือพระพุทธเจ้า เพราะพระอริยเจ้านี่ ขอขมาโดยตรงตัวไม่มีผล อย่างสมมุติยกทรงเป็น “โสดาตาบัน” ใช่ไหม

    ผู้ถาม เดี๋ยว ๆ ครับ ตามศัพท์พระไตรปิฎกเขาเรียก “โสดาบัน” ครับ

    หลวงพ่อ ได้นี่มันหนักแน่ “โสดาตะบัน” นี่ขั้นเอกพิชีนะ เพราะตะบันจนกรทั่งแน่นปั๋งไม่คลายตัว สมมุติว่า ยกทรงเป็นพระโสดาบัน เขาไปด่าไปว่าเข้านินทาเข้าก็บาป ใช่ไหม...ไปขอโทษโดยตรงกับยกทรงนี่ไม่มีผล ต้อบงขอโทษโดยตรงกับพระพุทธเจ้า เพราะว่าความเป็นพระโสดาบัน ไม่ใช่เกิดจากยกทรงเกิดจากพระพุทธเจ้าท่านสงเคราะห์

    ผู้ถาม แล้วอย่างพระโสดาบันที่บวชเป็นพระ กับโสดาบันที่เป็นฆราวาส ถ้าเราปรามาสโทษจะเป็นอย่างไรครับ?

    หลวงพ่อ ครือกัน

    ผู้ถาม เพราะฉะนั้นพวกเราจำไว้นะ ฆราวาสที่เป็นพระอริยะมีเยอะแยะ

    หลวงพ่อ เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน พระโสดาบันไปตันแค่ศีล ๑.เคารพพระพุทธเจ้า ๒.เคารพพระธรรม ๓.เคารพพระอริยสงฆ์ ๔.มีศีล ๕ บริสุทธิ์ องค์พระโสดาบันมีแค่นี้

    ผู้ถาม อุ้ยตายแล้ว หลวงพ่อนี่เทศน์ไม่เหมือนกับโทรทัศน์เดี๋ยวนี้ยังออกอากาศปาว ๆ อยู่นะครับ ว่าพระโสดาบัน ๑.สักกายทิฏฐิ ต้องตัดขันธ์ ๕ โดยเด็ดขาด

    หลวงพ่อ เอาเลื่อยที่ไหนมาตัด เดี๋ยวก่อน ... พระโสดาบันถ้าตัดขันธ์ ๕ เด็ดขาด ลองคิดดู นางวิสาขา ท่านเป็นพระโสดาบันตั้งแต่อายุ ๗ ปี ขันธ์ ๕ นะคนเดียวนะ พออายุ ๑๖ ได้อีก ๕ ขันธ์...มีผัว ต่อไปก็ลูกชาย ๑๐ คน มีผู้หญิง ๑๐ คน ลูกทั้งหมด ๒๐ คน ตัดหรือไม่ตัด ตัดหรือต่อ ... พระโสดาบันกับสกิทาคามี สองอยางยังแต่งานได้ ไม่แต่งานก็อนาคามีขึ้นไปเท่านั้นเอง ไอ้เทศน์อย่างนั้น ท่านเทศน์ถูกของท่าน แต่ไม่ถูกตามพระไตรปิฎก

    ผู้ถาม อย่างนี้ฆราวาส ที่จะเป็นพระโสดาบัน แค่ศีล ๕ ก็

    หลวงพ่อ แค่นั้นแหละ เขาเรีย “สัตตักขัตตุง”

    ผู้ถาม อย่างนี้เป็นฆราวาสก็ดีกว่าเป็นพระซิครับ?

    หลวงพ่อ โอ้ย ดีกว่าเยอะ...ความจริงแล้วฆราวาสถ้าพูดตามส่วน เขาได้เปรียบกว่าพระมาก ๑.เจี๊ยะไม่เลือกเวลา ประการที่ ๒ เข้าวิกได้

    ผู้ถาม หลวงพ่อรู้ด้วยหรือครับ?

    หลวงพ่อ อ้าว...เคยเป็นฆราวาสมาก่อนนี่ ประการที่ ๓ มีผัวมีเมียได้ ประการที่ ๔ หลับตื่นสายได้ พระตื่นสายไม่ได้ใช่ไหม...เช้ามืดต้องทำวัตรสวดมนต์ ต้องเจริญกรรมฐาน ถ้าพลาดหน่อยเดียวพระลงนรก สมมุติว่ามีปลาหนึ่งตัวนะ พระมีปลาหนึ่งตัว ฆราวาสมีปลา ๑๐๐ ตัว ตัวขนาดเดียวกัน พระฆ่าปลาหนึ่งตัว ฆราวาสฆ่าปลา ๑๐๐ ตัว พระโทษมากกว่า ก็เพราะว่าทรงศีลเป็นบุคคลที่ชาวบ้านเขาต้องบูชา นี่ละบาปมาก พระไม่ใช่เรื่องเล็กนะ

    ผู้ถาม โอ้ย ไม่บวชดีกว่า

    หลวงพ่อ ใช่...ยกทรงก็เคยเสียท่ามา ๑๘ ปีแล้วซิ
    "กรรมปรามาสพระรัตนตรัย (พิเศษ)"
    กรรมปรามาสพระรัตนตรัยพิเศษ แต่อดีตชาติที่เคยเกิดในแผ่นดินของพระพุทธศาสนาของพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์ หนึ่ง แต่ด้วยความมีอัตตาสูง ทิฐิมานะสูง โดยไม่ยอมรับนับถือสัมมาทิฏฐิ ซึ่งเป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าได้รวบรวมเหตุและผลของธรรมชาติทั้งปวงไว้ สั่งสอนเพื่อให้บุคคลทั้งหลายไม่ประมาท พระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ไม่เคยเอาโทษใคร แต่ต้องแพ้ภัยตนเอง
    ด้วยเหตุนี้ ผู้ที่ปฏิเสธในหลักธรรมของพระพุทธเจ้า ได้ชื่อว่าปฏิเสธความเป็นธรรมดาของโลก เมื่อเป็นเช่นนี้ บุคคลประเภทนี้ จะมีความพยายามอย่างยิ่งที่จะฝืนกฏไตรลักษณ์ ซึ่งเป็นธรรมพื้นฐานในทุกสรรพสิ่งของโลก ถ้าเกิดผลสะสมอยู่หลายชาติ หลายรอบของการเกิด และนึกคิดเป็นเหตุขัดขวาง ๖ ลักษณะดังนี้
    ๑. ไม่รู้จุดยืนของตนเองว่าจะอยู่ในอธิษฐานใดให้มั่นคง เป็นคนอากัปกิริยาสำรวมกิริยาไม่เป็น ไม่สง่างามในทุกสถาน มักถูกสังคมรังเกียจในกิริยานั้นๆ เมื่ออยู่ในสังคม
    ๒. เป็นผู้วิตกวิจารณ์ในเหตุที่ไม่ควร ประเภทย้ำคิด ย้ำทำ โดยหาประโยชน์ไม่ได้ ใช้ชีวิตให้หมดไปวันๆ (เกิดมาเพื่อทิ้งลมหายใจไปเล่นๆ เท่านั้นเอง)
    ๓. มีความรับผิดชอบกับสังคมในครอบครัว และสังคมทั่วไปน้อยมาก
    ๔. ทรัยพ์สินที่ได้มาต้องเสื่อมสลายไปด้วยความรวดเร็ว เพราะขาดปัญญา ในการบริหารทรัพย์สินนั้น
    ๕. เป็นผู้ที่มีความรู้สึกสุขนิยม หมายถึงไม่ทำกิจการที่ก่อให้เกิดประโยชน์แก่บุคคลอื่น เห็นแก่ตัวเป็นปกติ
    ๖. เมื่อต้องการหลุดพ้นด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้าพระองค์ใดพระองค์หนึ่ง
    ๖.๑ เกิดอุปสรรคโดยบุคคลอื่นคอยขัดขวางการปฏิบัติธรรมนั้น
    ๖.๒ เกิดขันธมาร ไม่สบายตัว ไม่สบายตน ขณะปฏิบัติธรรม
    ๖.๓ เกิดความขัดข้องในการเข้าสู่ฌานสมาธิ แต่ละช่วงชั้นตั้งแต่ ขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิ ปฐมฌาน ทุติยฌาน จตุตฌาน และอรูปฌาน ๔
    ๖.๔ เกิดความขัดข้องในการเจริญวิปัสสนาญาณ คือ ใคร่ครวญหาเหตุผลไม่ตลอดสาย
    ๖.๕ การบรรลุธรรมให้ถึงพระโสดาบัน พระสกิทาคามี พระอนาคามี พระอรหันต์ยาก เพราะอกุศลเก่าที่ไปคบกับมิจฉาทิฏฐิเข้ามากินใจ (เป็นอุปกิเลส)

    ลักษณะ ๖ ประการนี้ ถ้าเกิดขึ้นกับเรา ลองคิดดูซิว่า จะเป็นความทุกข์เพียงใด ที่ถึงใช้เวลา ความรู้ที่เรียนมา พอประสบปัญหาแล้วนำมาใช้ไม่เป็น กล่าวคือไม่สอดคล้องกับเวลา สถานที่ บุคคล ถ้าเกิดบ่อยๆ ขึ้น จะเกิดความไม่เชื่อมั่นในตนเอง และทุกอย่างจะไม่สำเร็จ ฝรั่งเรียกว่า "โรคกลัวความสำเร็จ"
    โดย อ.คนเมืองบัว เมื่อวันที่ 25 พ.ย. 2545
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 มีนาคม 2016
  6. noonei789

    noonei789 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มกราคม 2007
    โพสต์:
    1,079
    ค่าพลัง:
    +6,958
    ขนาดปู่ย่าตาทวดของเราลงมาถึงเรายังมีอยู่แล้ว ก็ลูกหลานเหลนโหลนของเราก็มีอยู่ ถ้าหากว่าไม่ใช่คนขี้สงสัยจริง ๆ ก็ไม่จำเป็นต้องใช้ปัญญามากมายอะไร ก็เห็นอยู่เป็นปกติอยู่แล้ว ถ้าขี้สงสัยจริง ๆ ต้องเอาให้ได้อย่างน้อยวิชชาสองนะ ถ้าหากอย่างกลางก็อภิญญาห้า หนัก ๆ หน่อยก็เล่นปฏิสัมภิทาญาณไปเลย ปฏิสัมภิทาญาณทำง่ายกว่าอภิญญา เพราะว่าใช้พื้นฐานของกสิน ๙ กอง แต่ปฏิสัมภิทาญาณได้ยากกว่าอภิญญามหาศาลเลย เพราะว่าปฏิสัมภิทาญาณกำลังคลุมได้ทั้งอภิญญาหก ทั้งวิชชาสาม ทั้งสุกขวิปัสสะโก เมื่อความสามารถสูงขนาดนั้นต้องระมัดระวังในการใช้เป็นพิเศษ
    ดังนั้น ผู้ที่ได้ปฏิสัมภิทาญาณ จะใช้ได้ก็ต่อเมื่อกำลังใจเข้าถึงพระอนาคามีแล้วเท่านั้น เพราะว่าเข้าถึงพระอนาคามีนี่ตัวโลภ ตัวโกรธ ตัวรักหมดแน่ ๆ หลงน่ะยังหลงอยู่นิดเดียวคือคิดว่าความเป็นพระอนาคามีแค่นี้ก็พอแล้ว นอนพักมั่งก็ได้ อะไรอย่างนั้น ใช่มั้ย ? แต่ความจริงถ้าท่านทำต่ออีกก็หน่อยเดียวเท่านั้นเอง
    ดังนั้น ปฏิสัมภิทาญาณจะเกิดขึ้นได้ต่อเมื่อกำลังใจเข้าถึงความเป็นพระอนาคามี ไม่อย่างนั้นแล้วจะฝืนกฎของกรรม โดยเฉพาะนิสัยอย่างพวกเราเห็นคนลำบาก เดี๋ยวก็ไปช่วยเขาเห็นมันเดินมาประเภทขาลีบ มือหงิก แค่เราคิดให้หาย มันหายเลยนะ เพราะความคล่องตัวในตัวกสิณ ตัวอภิญญาแค่ตั้งใจให้ธาตุสี่ประสานเสมอกัน อาการเจ็บป่วยของเขาจะหายหมด แต่เราไม่ได้ดูไปว่าเขาเจ็บไข้ได้ป่วยเพราะในอดีตทำกรรมอะไรมา เราเป็นผู้ฝืนกฎของกรรม ทำให้ระเบียบของโลกของจักรวาลบรรลัยหมด ภพภูมิไหน ๆ เราก็ไม่สนใจ ความสามารถมันถึงใช่มั้ย ? ก็เลยจำกัดเอาไว้ว่า ถ้าหากว่าจะทำ จะใช้ความสามารถปฏิสัมภิทาญาณได้ ต่อเมื่อเป็นพระอนาคามีขึ้น
    แล้วอีกข้อหนึ่ง อย่างอภิญญาหก ก็ไม่ใช่ว่าจะใช้ได้ทั่วไป ถ้าเป็นอภิญญาหกจริง ๆ ท่านรู้ว่าสมควรจะใช้อย่างไร ? เพราะว่าจะเป็นอภิญญาหกได้ ต่อเมื่อเป็นพระโสดาบันขึ้นไป คือตัวสุดท้ายอาสวักขยญาน ทำกิเลสให้สิ้นไปได้ ถ้าไม่ใช่พระโสดาบันขึ้นไปนี่ไม่สามารถทำกิเลสให้สิ้นไปได้ ถ้าเป็นพระโสดาบันขึ้นไปก็สิ้นได้ส่วนหนึ่ง สกิทาคามีได้อีกส่วนหนึ่ง อนาคามีได้อีกส่วนหนึ่ง อรหันต์นี่สิ้นกิเลสได้ทั้งหมด
    คราวนี้ก็ได้แค่อภิญญาห้า กำลังอภิญญาห้า ถ้าหากว่าคุณฝืนกฎของกรรม หรือว่าทำผิดศีล ผิดธรรมอภิญญาจะเสื่อมเลย ต้องไปตั้งหน้าตั้งตา รวบรวมกำลังใจกันอีกขนานใหญ่กว่าจะฟื้น กลับมาใหม่ได้ ถ้าผิดอีกก็เสื่อมอีก ดังนั้นไม่ใช่เรื่องที่จะใช้กันได้ง่าย ๆ สำคัญตรงที่ว่าถ้าหากเราอยากรู้ เราอยากพิสูจน์ เราต้องทุ่มเทฝึกไปเลย
    ถาม : แล้วอย่างเดวิด คอปเปอร์ฟิลล์ อย่างไร ?
    ตอบ : อันนั้นอภิญญาไม่ใช่มายากล อันนั้นอภิญญาจริง ๆ เขาเองเขาก็บอกตามประวัติเขาไปฝึกกับพระแต่เป็นพระจีน ทางนิกายมหายาน คราวนี้พื้นฐานเก่าเขามีเยอะ พอฝึกสมาธิใจสงบ อภิญญามันคืนมา แรก ๆ แกก็แปลกใจ แต่พอใช้ไปใช้มา ความเคยชินอดีตเคยใช้ได้ ปัจุบันนึกอย่างไงเป็นอย่างนั้น แป๊บเดียวมันก็คล่องแล้ว เปิดหลังทีวีหิ้วตัวละครออกมาดูเล่นข้างนอกได้ คนทั่ว ๆ ไปทำได้มั้ยเล่ามายากล ประเทศไหนมันทำได้ ? ประเภทตำรวจไล่ยิงผู้ร้ายอยู่ในจอ มันเปิดหลังทีวีหิ้วผู้ร้ายออกมา ตำรวจยืนงง ในจอมันหายไปแล้วนี่ (หัวเราะ) สนุกดี เครื่องบินโบอิ้งทั้งคัน เขาสามารถทำให้หายได้ใช่ไหม เอาผ้าคลุมอยู่สองฝั่งของกำแพงเมืองจีน เดินมุดผ้าคลุมไปหายไปทะลุอีกฝั่งหนึ่ง นั่นจริง ๆ ก็คือ กำลังของกสิณ อธิษฐานให้มันมีช่องว่าง แล้วก็เดินผ่านไปแค่นั้น
    อาตมาเองไม่ได้อย่างเขายังเดินทะลุประตูฝั่งพม่า มาไม่รู้เท่าไหร่ต่อเท่าไหร่นี่นา มันเปิดตีสี่ครึ่ง แต่เราไปตั้งแต่ตีสี่ เรื่องอะไรจะยืนให้ยุงกิน ก็เข้าไปสวดมนต์ข้างใน ที่หลวงพ่อพระมหามุนีที่เขาทำพิธีสรงพระพักตร์ล้างหน้ากันนั่นแหละ เราก็เข้าไปสวดมนต์ข้างในก่อน ก็เล่นอิติปิโส ๓ ห้อง ล่อไป ๗ จบ พอตีสี่ครึ่งเขาก็เปิดประตู ทั้งพระทั้งโยมก็กรูกันเข้ามา ครูบาน้อยเขาตามหลังมา เขาถามหลวงพี่เข้ามาอย่างไรครับ ? บอกวิธีเดิม รายนั้นเขาเห็นบ่อยเขาไม่แปลกใจหรอก คนอื่นไปแล้วมันติดกุญแจ เราไปนี่กุญแจมันไม่ติด เราก็เข้าไปเรื่อยนะ
    จากกระโถนข้างธรรมาสน์ ฉบับที่3หน้า7
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  7. noonei789

    noonei789 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มกราคม 2007
    โพสต์:
    1,079
    ค่าพลัง:
    +6,958
    ปัจฉัมโอวาทของหลวงพ่อปาน
    ท่านบอกว่า ลูกทุกคนเมื่อพ่อตายไปแล้วจงอย่าทิ้งกรรมฐานที่พ่อให้ไว้ เป็นกรรมฐานขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อย่าถือว่าเป็นของพ่อ ต้องถือว่าเป็นของพระพุทธเจ้า
    ฆราวาสทุกคนอย่าทิ้งคาถาพระปัจเจกพุทธเจ้านะแล้วจะเอาตัวรอดได้ แต่ถ้าใครไม่ปฏิบัติจะเอาตัวไม่รอดแล้วจะมาโทษพ่อไม่ได้ เพราะสมบัติส่วนใหญ่พ่อให้ไว้หมดแล้ว คือมนุษย์สมบัติ สวรรค์สมบัติ พรหมสมบัติ นิพพานสมบัติ พ่อให้หมดแล้ว ลูกทุกคนจงพยายามรักษาไว้ให้ดี แล้วท่านก็อธิบายกรรมฐานตามสมควร พูดไม่เหน็ดไม่เหนื่อย พูดจริงๆ
    พอจวนถึงเวลาเที่ยง ก็บอกหลวงพ่อครับ เหลือเวลาอีก ๕ นาทีจะเที่ยง
    ท่านถามว่างั้นเหรอ เอาล่ะเวลานี้เหลืออีก ๕ นาทีจะเที่ยง ต่อไปนี้ฉันจะไม่พูดอะไร เพราะทุกอย่างฉันพูดมาแล้วสิ้นเวลา ๔๐ ปี เศษๆ ต่อนี้ไปฉันจะไม่พูดอะไร เมื่อเที่ยงแล้วฉันไม่มีธุระสำหรับใครอีกแล้วนะ ให้เป็นภาระของฉันฝ่ายเดียว เพราะฉันจะเตรียมตัวของฉัน เวลาหกโมงเป๋งวันนี้ นาฬิกาตีครั้งแรก ฉันขอลาทุกคน
    ความตายเป็นของธรรมดา
    แหม..บรรดาท่านสตรีทั้งหลายจำนวนหลายร้อยคน ร้องเพลงพร้อมกัน แต่ว่าไม่ใช่เพลงเพราะ เพลงร้องไห้ เสียงโฮเข้ามา
    ท่านถามว่า "ใครร้องไห้"
    ตอบท่านว่า "คนที่เขามาเยี่ยมครับ"
    ท่านบอก "อย่าร้องไห้สิลูก ความตายเป็นของธรรมดา พ่อตายไปสบายนะลูก พ่อไม่ลำบาก พ่ออยู่นี่พ่อลำบากกว่าตาย แต่ที่อยู่ก็เพราะจะสงเคราะห์ลูก พ่อสงเคราะห์ตามเวลาแล้ว"
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 1_4.jpg
      1_4.jpg
      ขนาดไฟล์:
      37.5 KB
      เปิดดู:
      114
  8. noonei789

    noonei789 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มกราคม 2007
    โพสต์:
    1,079
    ค่าพลัง:
    +6,958
    ภาพพระอุปคุตกลางน้ำที่วัดท่าขนุนค่ะ
    [​IMG]
    หลวงพ่อแนะนำวิธีตอบคำถามอภิญญาสมาบัติกับคนภายนอก
    “...พ่อขอเตือนลูกรักทั้งหลาย จงจำไว้เสมอว่า ขณะที่ฟังพ่อพูด ให้ตั้งใจไว้ในสมาธิ ศีล สมาธิ ปัญญา ฟังไปด้วย ใช้ศีล สมาธิ ปัญญา รวมตัวกันเข้าไว้ในใจจุดเดียวกันจะทำให้สะอาด
    ศีล ขัดเกลาภาคพื้นของใจให้ดี
    สมาธิ จับอารมณ์ใจให้นิ่ง
    ปัญญา ชำระล้างความสกปรกของจิต จิตมีอารมณ์ผ่องใส
    เมื่อจิตมีอารมณ์ผ่องใส กำลังใจก็เป็นทิพย์ เมื่อกำลังใจเป็นทิพย์อยากจะรู้อะไรก็รู้ได้ทันทีทันใด ที่เราเรียกกันว่า ใช้ทิพย์จักขุญาณ หรือจุตูปปาตญาณ เจโตปริยญาณ อตีตังสญาณ อนาคตังสญาณ ปัจจุบันนังสญาณ ปุพเพนิวาสานุสติญาณ และยถากรรมมุตาญาณ
    โดยเฉพาะลูกรักของพ่อทุกคนได้ อภิญญาเล็ก คือ มโนมยิทธิ หมายถึงมีฤทธิ์ทางใจ คำว่า ฤทธิ์ทางใจ ก็คือ ใจมีฤทธิ์ คำว่า ฤทธิ์ หมายถึง เก่ง คือ ใจเก่งกว่าใจธรรมดา สามารถถอดจิตออกจากร่างไปสู่ภพต่างๆ ได้ เราจะไปเที่ยวเมืองสรรค์ก็ได้ ไปเที่ยวพรหมโลกก็ได้ ไปเที่ยวเมืองนิพพานก็ได้ ไปเที่ยวเมืองนรกก็ได้ สู่แดนเปรต อสุรกายก็ได้ และในโลกมนุษย์นี่จะไปมุมไหนก็ได้ ประเทศไหนๆ ก็ไปได้ บ้านใครสำนักงานไหนเขาหวงเราก็ไปได้ นี่การมีฤทธิ์ทางใจเป็นของดี
    แต่ทว่ามีบางคน ตำหนิพระพุทธเจ้าว่า พระพุทธเจ้าไม่น่าจะสอนหลัก วิชชาสาม อภิญญาหก ปฏิสัมภิทาญาณ เพียงสอนขั้น สุขวิปัสโก อย่างเดียวก็พอ คำว่า สุขวิปัสโก หมายความว่า จิตสะอาดปราศจากกิเลส ไม่มีความรักในเพศ ไม่มีความโลภ ไม่มีความโกรธ ไม่มีความหลง จิตมีอารมณ์เป็นสุข จิตมีความเยือกเย็น ไม่มีทุกข์ มีอารมณ์สบาย นี่ความเป็น พระอรหันต์
    เตวิชโช (วิชชาสาม) สามารถทำทิพย์จักขุญาณให้ปรากฏ และ หมดกิเลส สามารถระลึกชาติได้ มีวิชชา ๘ อย่าง ที่เรียกว่า ญาณ ๘
    ฉฬภิญโญ หมายถึงอ ภิญญาหก สามารถเนรมิตอะไรก็ได้ มีหูเป็นทิพย์ มีทิพย์จักขุญาณ มีญาณ ๘ ครบเช่นเดียวกับ เตวิชโช และมีอิทธิฤทธิ์ มีฤทธิ์ทางใจ เป็นต้น และ จิตหมดกิเลส
    ปฏิสัมภิทาญาณ หมายถึงความรู้พิเศษ สามารถรู้ธรรมะทุกอย่าง ทรงพระไตรปิฏก คำว่า ไม่รู้ ไม่มี และสามารถรู้ภาษาสัตว์ และภาษาทุกภาษา ได้โดยไม่ต้องศึกษาแต่ทว่าเนื้อแท้จริงๆ ก็คือ ความเป็น พระอรหันต์ มีความรู้ทั้ง เตวิชโช และฉฬภิญญโญด้วย
    เป็นอันว่าบางท่านบอกว่า พระพุทธเจ้าไม่น่าจะสอนแบบนี้ เสี่ยงภัยเกินไป แต่พ่อก็ขอเตือนลูก ถ้ามีใครเขาถามวา "ทำไมต้องเรียน อภิญญาสมาบัติ ทำไมจะตองมีทิพย์จักขุญาณ เห็นผี เห็นเทวดา เห็นสวรรค์ เห็นนรกได้ ทำไมต้องมีการยกจิตไปท่องเที่ยวภพต่างๆ ได้ การรู้ว่าคนและสัตว์นี่ ก่อนเกิดมาจากไหน ตายแล้วไปไหน เจโตปริยญาณ รู้วาระนำจิตของคนและสัตว์ว่า มันชอบอะไร คิดอะไร คิดดี คิดชั่ว มีกิเลสตัวไหนอยู่บ้าง ปุพเพนิวาสานุสติญาณ สามารถระลึกชาติต่างๆ ได้ถอยหลังไปดูว่าเราเกิดมาแล้วกี่ชาติ เคยเกิดเป็นอะไรมาบ้าง อตีตังสญาณ รู้เหตุการณ์ในอดีต อนาคตังสญาณ รู้เหตุการณ์ในอนาคต ปัจจุบันนังสญาณ ว่าเวลานี้ใครอยู่ที่ไหน ใครกำลังทำอะไรอยู่ ยถากรรมมุตาญาณ รู้ว่าเขามีสุข มีทุกข์เพราะผลจากอะไรเป็นสำคัญ ความจริงรู้แบบนี้ ถึงแม้ว่าเราไม่เป็นพระอรหันต์ เราก็รู้ได้ถ้าใครเขาถามว่า ศึกษาทำไม" ก็ควรตอบว่า "ศึกษาเพื่อกันความสงสัย จะได้ไม่สงสัยคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะได้ไม่ประมาทในชีวิต"
    ถ้าใครเขาแย้งว่า "ดูอย่างพระเทวทัต เพราะอาศัยได้อภิญญาสมาบัติจึงลงอเวจีมหานรก
    อย่างนี้ก็ต้องย้อนถามเขาไปว่า "ท่านที่ได้อภิญญาสมาบัติ....ถ้าใครเขาจะแย้งว่า "ดูอย่างพระเทวทัตเพราะอาศัยได้อภิญญาสมาบัติลงอเวจีมหานรก"
    อย่างนี้ก็ต้องย้อนถามเขาลงไปว่า "ท่านที่ได้อภิญญาสมาบัติ ในสมัยที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์อยู่ หรือว่าปรินิพพานไปแล้วก็ตาม คนที่ได้อภิญญาสมาบัติลงนรกกี่คน และคนที่ได้อภิญญาสมาบัติไปนิพพานเท่าไร โดยเฉพาะอย่างยิ่งพระเทวทัต ถ้าไม่อภิญญาสมาบัติความยับยั้งก็ไม่มี ต้องลงอเวจีตามกฎของกรรมคือ ๑ กัป แต่นี่พระเทวทัตลงอเวจีเพียงแค่ไม่ถึง ๑ วัน อเวจี เพราะผลความดีที่มีความรู้ด้านอภิญญา มีการยับยั้ง...
    ..."เหมือนกับคนตาดี เดินไปในกลุ่มหนาม หรือเ ดินไปบนลานแก้วแตก จะวางเท้าลงไปก็ค่อยๆ วาง เพราะมองเห็นหนาม และแก้วแตก เกรงว่าจะบาดเท้า ตำเท้า จะเจ็บบ้างก็เล็กน้อย" ...
    "ไม่เหมือนกับคนตาไม่ดี ไม่เห็นว่าที่นั้นมีอันตราย เดินสวบๆ เข้าไป ผลที่สุดก็โดนทั้งแก้วแตก ทั้งหนาม ตำเต็มกำลัง"...
    ข้อนี้ฉันใด แม้คนที่ได้ "อภิญญาสมาบัติ" และ "วิชชาสาม" ก็เช่นเดียวกัน ถึงแม้ว่ากฎของกรรมบางอย่างจะบีบบังคับ ก็มีการยับยั้ง รู้ผิดรู้ชอบ เหมือนคนที่รู้กฎหมายกับคนที่ไม่รู้กฎหมาย คนที่เขารู้กฎหมายเขาทำผิดก็จริงแหล่ แต่ทว่าเขารู้ทางออกจะรับโทษก็รับไม่มาก ไม่เหมือนคนไม่รู้กฎหมาย อยากจะทำอะไรก็ทำตามใจชอบ ดีไม่ดีติดคุกติดตะราง คิดว่าของมันเล็กน้อย แต่ที่ไหนได้ของมันใหญ่ เช่น คิดจะฆ่าควายตัวมันใหญ่โทษจะมาก ฆ่าคนดีกว่าตัวเล็กกว่า แต่ที่ไหนได้ฆ่าคนมีโทษมากกว่า ฆ่าควายมีโทษน้อย (นี่ในแง่ของกฎหมายนะ) เช่น ฆ่าไม่เอาหนักไป ด่าดีกว่า แอบไปด่าพระมหากษัตริย์เข้า เจ๊งไปเลย ถูกลงโทษหนักฐานหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ หรือด่าศาลว่า ศาลคด ศาลโกง ศาลไม่ยุติธรรม นี่ถือว่าหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ มีโทษหนัก อันนี้ คนมีความรู้ แม้จะมีโทษหนัก ก็มีการยับยั้งในการทำความผิด ซึ่งผิดกับคนที่ไม่รู้อะไรเลย ทำก็ทำลงไปเต็มอัตราศึก ไม่รู้บาปบุญ คุณโทษ ประโยชน์ มิใช่ประโยชน์เป็นอันว่า ที่พ่อให้ลูกศึกษาวิชาความรู้อันนี้ ต้องระมัดระวัง รักษาไว้ด้วยดี อย่าไปอวดเขา "รักษาไว้เพื่อชำระจิตใจของเราให้เป็นสุข"
    เวลานี้ลูกรักของพ่อ กำลังรบกับสงครามสำคัญ คือ กิเลส สงครามภายนอกนะมันเรื่องเล็ก สงครามครามกิเลสมีความสำคัญมาก เจตนาของพ่อก็มีอยู่ว่า "ความเกิดมันเป็นทุกข์" ลูกทุกคนนี่ต่างคนต่างมีความทุกข์กันหมด แต่ว่า "ให้ทุกข์มันมีเฉพาะขันธ์ ๕ จิตเราจงอย่าทุกข์" บรรดาลูกรักของพ่อทุกคนต่างคนต่างมีศีล มีสมาธิ มีปัญญา พ่อดีใจ เวลาฟังพ่อพูดพยายามใช้สมาธิให้คล่องตัว
    สำหรับอภิญญาสมาบัติ อิทธิฤทธิ์ ยกจิตไปตามที่ต่างๆ ให้คล่อง ทิพย์จักขุญาณทำให้แจ่มใส ศีล สมาธิ ปัญญา ดีแล้วจะเห็นชัดเจน จุตูปปาตญาณ มองหน้าคนมองหน้าสัตว์ อยากรู้ว่าก่อนเกิดมาจากไหนจะรู้ได้ทันที ตายแล้วไปไหนก็รู้ได้ทันที, เจโตปริยญาณ ถ้าเราอยากรู้วาระน้ำจิตของคนอื่น ให้รู้กระแสจิตของตนเองไว้เสมอก่อน เรารู้ได้ไม่ยาก คนมีกิเลสหนามีความชั่ว ใจจะมีสีดำบ้าง แดงบ้าง ขาวบ้าง แต่เป็นเนื้อ ถ้าใจดีปานกลาง ใจจะเป็นแก้ว แต่คนที่ดีจริงๆ จะเป็นแก้วประกายทั้งดวงเหมือนดาว นี่ไม่ยาก แต่รู้แล้วก็นิ่งเสีย, ปุบเพนิวาสาสติญาณ ฝึกให้คล่อง นึกถอยหลังเราเกิดมาแล้วกี่ชาติ แต่อย่าไปไล่ทีละชาติเลย เห็นอะไรก็นึกว่าเราเคยเกิดไหม เช่น เห็นสัตว์เรานึกว่า เราเคยเกิดเป็นสัตว์ชนิดนี้ไหมกี่ชาติ ภาพจะปรากฏชัด เป็นอันว่า ธรรมะ ส่วนนี้มีความสำคัญ พ่อให้ลูกไว้ชำระจิตของลูกให้บริสุทธิ์ ถอยหลังไปดูการเกิดแต่ละคราวเต็มไปด้วยความทุกข์ ดูบรรดาบรรพบุรุษกษัตริย์ทั้งหลาย ที่พ่อพูดมา และคนทั้งหลายที่กล่าวถึง ต่างคนต่างตายไปหมดแล้ว
    ผืนแผ่นดินที่เราเดินอยู่นี่ ถ้าเราใช้ “อตีตังสญาณ” รู้ว่าเราเดินอยู่บนร่างกายและเลือดเนื้อของบรรดาบรรพบุรุษของเรา ฉะนั้นถ้าใครเขาจะมาเชือดเฉือนเอาร่างกายเลือดเนื้อบรรพบุรุษของเราไป เราก็ไม่ควรยอม นี่พูดอย่างเป็นทางโลก คือ “โลกไม่ช้ำ ธรรมไม่เสีย” สำหรับกิเลสที่เราจะชนะได้ต้องทำกำลังใจตามนี้
    ถ้าเรื่องของ ความรักชาติ เรื่องของความสามัคคี จะเกิดขึ้นได้ก็ต้องมีสังคหวัตถุ ๔

    ๑. ทาน การให้เกื้อกูลซึ่งกันและกัน
    ๒. ปิยะวาจา พูดจาไพเราะ
    ๓. อัตถจริยา ทำตนให้เป็นประโยชน์แก่บุคคลอื่น ช่วยกิจการงาน
    ๔. สมานัตตตา ไม่ถือตัว ไม่ถือตน
    นี่แค่ ๔ ประการ ถ้าเราทำกันไม่ได้ เรามีความสุขไม่ได้ ฉะนั้น ชาติเราจะมีความสุข จะมีความสามัคคีก็ต้องทำ ๔ ประการนี้ได้ นี่กิเลสหยาบที่เราต้องละให้ได้ จะมีความสุข คำว่า สุข นี่อย่าเอาสุขกายนะ เอาสุขใจก็แล้วกัน....ฯลฯ
    ที่มา:คัดลอกบางตอน จากหนังสือ เรื่องจริงอิงนิทาน ฉบับพิเศษ หน้า ๙๓ - ๙๖
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 มีนาคม 2016
  9. noonei789

    noonei789 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มกราคม 2007
    โพสต์:
    1,079
    ค่าพลัง:
    +6,958
    หลวงปู่ศุข เกสโร วัดปากคลองมะขามเฒ่า เกิดปีวอก ในรัชสมัย พระบาทสมเด็จ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๔) ครอบครัวของท่านเป็นชาวนา เมื่อท่านมีอายุ ๗ ขวบ บิดาได้นำตัวไปฝากไว้ที่วัดปากคลองมะขามเฒ่า เพื่อให้ได้เล่าเรียนเขียนอ่าน กระทั่งแตกฉานทั้งหนังสือไทยหนังสือขอม
    หลวงปู่ศุขกลับมาอยู่บ้าน เมื่อเป็นหนุ่มแล้ว และมีคู่ครองกับสาวงามคนหนึ่ง มีลูกชาย ด้วยกันหนึ่งคนชื่อ สอน เกศเวช สุริยา ครั้นอายุครบบวช ท่านก็อุปสมบท เป็นพระภิกษุ ณ วัดปากคลองมะขามเฒ่า ศึกษาทั้งพระปริยัติและปฏิบัติได้ระดับหนึ่ง ก็ออก จาริกธุดงค์ แสวงหาพระอาจารย์ และโมกขธรรม หลายปีดุจสาบสูญ เพราะไม่กลับ วัดปากคลองมะขามเฒ่าเลยตั้งแต่ออกธุดงค์
    เมื่อหลวงปู่ศุข กลับคืนลำเนาบ้านเกิด ภูมิจิตรภูมิธรรม ของท่านก็บรรลุถึงขั้น เป็นอัศจรรย์ และว่ากันว่าท่านสำเร็จกสิณ ๑๐ แสดงฤทธิ์อภิญญาได้อย่างมหัศจรรย์ เมื่อหลวงปู่ศุขกลับมาอยู่วัดปากคลองมะขามเฒ่า และดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาส ท่านก็ได้บูรณปฏิสังขรณ์วัดให้เจริญรุ่งเรืองขึ้นเป็นลำดับ
    หลวงปู่ศุข เกสโร เป็นพระอาจารย์ที่เคารพศรัทธาที่สุดของ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ พระบิดาแห่งกองทัพเรือ การที่กรมหลวงชุมพรฯ มีโอกาสมอบตัวเป็นศิษย์ หลวงปู่ศุข จะกล่าวว่าเป็นเพราะมีกรรมผูกพันต่อกัน แต่ปางก่อนก็คงไม่ผิดนัก ทั้งนี้เนื่องจาก กรมหลวงชุมพรฯ มิได้มีจุดประสงค์เจตนามุ่งตรงไปนมัสการหลวงปู่ศุข หากบังเอิญผ่านไปพบท่านโดยบังเอิญ กล่าวคือ......
    เมื่อครั้ง พระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ เสด็จไปตากอากาศทางภาคเหนือ พระองค์เสด็จทางเรือ ล่องไปตามแม่น้ำเจ้าพระยา โดยใช้เรือกลไฟลากจูงเรือประเทียบ ที่พระองค์ประทับและหม่อม พร้อมทหารมหาดเล็ก เมื่อตอนเสด็จกลับ พระองค์สั่งให้เข้าทางแม่น้ำท่าจีน ขณะล่องเรือมาถึง หน้าวัดปากคลองมะขามเฒ่า เครื่องยนต์เรือกลไฟ เกิดขัดข้องขึ้นมาอย่างกะทันหัน ทำให้แล่นต่อไปไม่ได้ จะแก้ไขอย่างไรก็ไม่ติด พวกทหารเรือมหาดเล็กจึงช่วยกัน ชะลอเรือ เข้าเทียบท่าหน้าวัดปากคลองมะขามเฒ่า เพื่อแก้ไขเครื่องยนต์
    การที่เครื่องยนต์เรือกลไฟเสีย เป็นการแสดงฤทธิ์ของหลวงปู่ศุข ซึ่งขณะนั้นท่านนั่งอยู่ตรงศาลาท่าน้ำ และกำลังให้เด็ก ตัดหัวปลีกล้วย มากองตรงหน้า เมื่อได้หัวปลีกองใหญ่หลวงปู่ศุขก็เดินไปนั่งข้าง ๆ กองหัวปลี หยิบหัวปลีขึ้นมาทีละหัว เอามือลูบ แล้ววางลง หัวปลีนั้นก็กลายเป็นกระต่ายสีขาวน่ารัก กระโดดโลดเต้นไปมา หลวงปู่ศุขทำให้หัวปลีทั้งกอง กลายเป็นกระต่ายฝูงใหญ่ กระโดดไปมาเต็มหน้าศาลาด้วยฤทธิ์ทางใจของท่าน เหตุการณ์ อัศจรรย์ทั้งหมดนี้ กรมหลวงชุมพรฯ ทรงเห็นโดยตลอด ด้วยความมหัศจรรย์พระทัยอย่างยิ่ง หลังจากหลวงปู่ศุข ปล่อยให้ฝูงกระต่ายขาวโลดเต้นสักพักหนึ่ง ท่านก็เรียกกระต่ายขาว มาหาทีละตัว ช้อนมันขึ้นมา เอามือลูบหลังเบา ๆ พอวางกระต่ายลงก็กลายเป็นหัวปลีดังเดิม ในที่สุดกระต่ายทั้งหมด ได้กลายเป็น หัวปลีกองอยู่ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ จึงเสด็จขึ้นจากเรือพร้อมทหารเรือมหาดเล็ก ดำเนินมานมัสการหลวงปู่สุข พูดคุยสนทนากับท่านและขอฝากตัวเป็นศิษย์
    กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์เป็นพระราชโอรส ในพระบาทสมเด็จ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว แต่พระองค์ไม่ถือพระองค์ ว่าเป็นลูกเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดิน รู้จักนอบน้อมถ่อมตน เป็นที่ถูกอัธยาศัยของหลวงปู่ศุขอย่างยิ่ง
    หลวงปู่ศุขได้ถาม กรมหลวงชุมพรฯว่า อยากเห็นท่านทำให้คนกลายเป็นจระเข้หรือไม่ กรมหลวงชุมพรฯ ตอบว่าอยากเห็น ท่านจึงให้คัดมหาดเล็ก ที่มีรูปร่างล่ำสันแข็งแรง มาคนหนึ่ง กรมหลวงชุมพรฯ ได้รับสั่งให้พลทหารจ๊อกเป็นผู้อาสา หลวงปู่ศุข บอกให้ หาเชือกมะนิลาขนาดเขื่องมาหนึ่งเส้นและมัดเอวพลทหารจ๊อกไว้ ปลายเชือกอีกด้าน ท่านถือเอาไว้ จากนั้น ก็พาไปยังสระน้ำของวัด ให้พลทหารจ๊อกนั่งคุกเข่าลงข้าง ๆ สระพร้อมกับหลับตาพนมมือแล้วหลวงปู่ศุข ก็สงบจิตหลับตานิ่ง สู่ภูมิแห่งสมาธิ อธิษฐานจิต ให้เกิดฤทธิ์ทางใจอันแก่กล้า จากนั้นท่านก็เอื้อมมือข้างหนึ่งตบหลังพลทหาร ร่างของพลทหารจ๊อก ก็ถลาหล่นตูมลงไปในสระ
    พลันนั้น....ความมหัศจรรย์อันเหลือเชื่อก็เกิดขึ้นเบื้องหน้าสายตาของทุกคน นั่นคือเมื่อร่าง ของพลทหารจ๊อก จมหายไปในน้ำ และผุดโผล่ขึ้นมาใหม่ กลายเป็นจระเข้ตัวใหญ่ดำผุดดำว่าย ฟาดหัวฟาดหางตูมตามน้ำแตกกระจาย ทำให้กรมหลวงชุมพรฯ และพลทหารมหาดเล็กตื่นเต้นเหลือจะกล่าว
    หลวงปู่ศุขให้ทุกคนได้ชมจระเข้พลทหารจ๊อกพอสมควรแล้ว ก็ยื่นปลายเชือกให้พวกทหารถือไว้ สั่งว่าให้ดึงเชือก ที่ผูกเอว จระเข้ตึง ๆ อย่าให้จระเข้ดำลงไปกบดานได้ แล้วท่านก็เดินไปยังกุฏิ เอาน้ำใส่ในบาตรทำพิธี อธิษฐานจิต ลงไปยังน้ำในบาตร เสร็จแล้ว ก็ประคองบาตรน้ำพระพุทธมนต์มาที่ริมสระ แล้วรดน้ำพระพุทธมนต์ไปที่ร่างของจระเข้ตั้งแต่หัวจรดหาง จระเข้ใหญ่ ก็ดำน้ำลงไป ครั้นโผล่ขึ้นมากลายเป็นพลทหารจ๊อกมีเชือกผูกติดเอวอยู่เช่นเดิม
    ทันทีที่ร่างกายคืนสภาพกลับเป็นคนเช่นเม พลทหารจ๊อกก็สาวเชือกผูกเอวขึ้นมาจากสระ มีการสอบถามกันขรมว่า ขณะที่เป็นจระเข้ มีความรู้สึกนึกคิดอย่างไร พลทหารจ๊อกได้เล่าให้ฟังว่า ตอนที่หลวงปู่ศุขบอกว่าจะเสกตนให้กลายเป็นจระเข้ ก็ไม่เชื่อเท่าไหร่ เพราะคนจะกลายเป็นจระเข้ นั้นเป็นไปไม่ได้เลย ครั้นถูกหลวงปู่ศุขท่านตบลงที่กลางหลัง มีความรู้สึกเหมือนกับถูกผลัก ให้ลอยละลิ่วลงไปในสระ ขณะนั้นมีอาการขนลุกขนพองสยองเกล้าบอกไม่ถูก เมื่อร่างกายสัมผัสน้ำ พลันเกิดความรู้สึกว่ามีพละกำลัง เกิดขึ้นอย่างมากมาย ไม่รู้ว่ากำลังมาจากไหน ตนจึงดำผุดดำว่ายเล่น อย่างสนุกสนาน แต่ก็เกิดความสงสัยอยู่อย่างหนึ่ง คือคนที่มุงดู อยู่รอบสระทำไมถึงได้ แสดงอาการตื่นเต้นตะลึงตาค้างเป็นแถว ทั้ง ๆ ที่เหลือบมองดูตัวเองก็เห็นแขนขาเป็นปกติทุกอย่าง ร่างกาย ก็เป็นคนเช่นเดิม ไม่เห็นเปลี่ยนเป็นจระเข้ ตามคำพูดของหลวงปู่ศุข จิตใจรู้สึกเฉย ๆ สบายดี ไม่เห็นตื่นเต้น เหมือนกับพวกที่อยู่บนฝั่ง
    การที่หลวงปู่ศุขแสดงฤทธิ์ได้เช่นนี้ ท่านอาศัยจิตภาวนาอันเป็นขั้นสุดยอดแห่งสมถกรรมฐานระดับฌาน หรือที่เรียกว่า "ฌานสมาบัติ" จนมีความชำนาญอย่างยิ่งในเรื่องของวสีเครื่องอาศัยเหล่านี้เอง จึงปรากฏว่าหลวงปู่ศุข สามารถบรรลุธรรมขั้นสูง ที่เรียกว่า อภิญญาญาณ
    จากนั้นหลวงปู่ศุข ท่านจะอธิษฐานฤทธิ์ ด้วยวิธีการหรือความต้องการใด ๆ ก็จะปรากฏผลดังจิตปรารถนาได้อย่างฉับพลัน ซึ่งนอกจากจะมีความคล่องแคล่วว่องไวแล้ว ยังทรงอานุภาพสูงยิ่ง เพียงแค่ชั่วกะพริบตาเดียวก็จะบรรลุผลทันที
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  10. noonei789

    noonei789 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มกราคม 2007
    โพสต์:
    1,079
    ค่าพลัง:
    +6,958
    รอคนมาเเชร์ประสบการณ์อยู่นะคะ จะได้เป็นวิทยาทานเเละธรรมทานไปในตัว ต้องมีสักคนสองคนที่เคยฝึก หาคนฝึกยากนะเรื่องเเบบนี้
     
  11. มรรค 8 ประการ

    มรรค 8 ประการ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    884
    ค่าพลัง:
    +2,642
    อนุโมทนาสาธุกับคุเนยมากครับ ผมยังฝึกได้ไม่คล่อง ต้องเพียรอีกเยอะ แต่อย่างมากก็จำอุคหนิมิตได้บ้างครับ
     
  12. noonei789

    noonei789 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มกราคม 2007
    โพสต์:
    1,079
    ค่าพลัง:
    +6,958
    วันที่ 3 มีนาคม 2559 เวลา 21.50-22.30 น.
    ปฏิบัติภาวนาโดยทำจิตเเบบสะสมกำลังก่อน ยังไม่ได้อธิษฐานการสะเดาะกุญเเจ
    วันที่ 4 มีนาคม 2559 เวลา 03.00-03.40 น.
    ปฏิบัติภาวนาโดยทำจิตเเบบสะสมกำลังก่อน ยังไม่ได้อธิษฐานการสะเดาะกุญเเจ
     
  13. noonei789

    noonei789 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มกราคม 2007
    โพสต์:
    1,079
    ค่าพลัง:
    +6,958
    อนุโมทนากับผลการฝึกค่ะ.
     
  14. noonei789

    noonei789 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มกราคม 2007
    โพสต์:
    1,079
    ค่าพลัง:
    +6,958
    หลวงพ่อปานท่านชอบฤทธิ์ หลวงพ่อสุ่นท่านก็รู้ใจเข้าไปทีแรกท่านก็ให้คาถาสะเดาะกุญแจ ท่านก็กล่าวถึงคุณสมบัติของขุนแผน ว่าขุนแผนน่ะเก่ง จะเข้าไปหาใครที่ไหนก็ตาม จะมีกลอนอยู่หรือมีกุญแจอยู่ ขุนแผนเข้าได้ คือว่า ไม่ต้องใช้สว่านเจาะ ใช้คาถาสะเดาะกุญแจ คาถาบทนี้เขาว่าไม่ยากหรอก ว่า นะ มะ พะ ธะ ๔ คำเท่านั้น แต่ก็ถอยหลังนะ ถอยหลังว่ายังไงฉันไม่รู้หรอก ถึงฉันรู้ก็ไม่บอก ถึงใครจำได้อยากจะเป็นขุนแผนบ้างก็เชิญซิ เอาไปว่าเอาไปทำกัน ไม่หวงไม่ห้าม ของดีไม่หวงไม่ห้าม แต่ว่าเวลาจะขโมยของเขาบางทีมันจะเป่าไม่ออกก็ได้นะ หลวงพ่อปานท่านสามารถทำได้ในระยะ ๑ เดือน แล้วก็ทำได้ดี ต่อมาวันหนึ่งหลวงพ่อสุ่นเรียกเข้าไปหาถามว่า ปานเอ๊ย เอ็งท่องขานนาค คือ ว่าคำบรรพชาได้หรือยัง หลวงพ่อปานบอกว่าได้แล้วขอรับ แล้วก็หนังสือสวดมนต์ล่ะลูกเอ๊ย ท่องได้หรือยัง หลวงพ่อปานก็บอกว่าได้ กี่บท ๆ ก็ว่าไป หลวงพ่อสุ่นก็กล่าวคำชมเชย บอก เออ ปานเอ๊ย เอ็งเข้ามาอยู่วัดได้เดือนเดียว เจ็ดตำนานจวนจะจบอยู่แล้วนะ ขานนาคก็ได้ เออ คาถาเป่ากุญแจที่พ่อให้นี่น่ะเอ็งทำได้หรือยัง หลวงพ่อปานก็บอกว่า ทำได้แล้วขอรับ ท่านก็หยิบกุญแจจีนเข้ามา แล้วก็กระทุ้งเสียจนแน่น บอก ลองเป่ากุญแจดอกนี้ซิออกไหม หลวงพ่อปานพอเอื้อมมือเข้าไปจับกุญแจ พอถูกกุญแจลั่นผัวะเลย นี่ท่านเก่งขนาดนี้นะ นี่เป็นวิธีฝึกสมาธิของพระแบบเก่า ในเมื่อหลวงพ่อปานชอบฤทธิ์ ท่านก็เลยไม่บอกว่าเป็นกรรมฐาน ท่านบอกว่าเป็นเรื่องของฤทธิ์ เป็นเรื่องของการสะเดาะกุญแจ หลวงพ่อปานทำได้ หลวงพ่อสุ่นหัวเราะชอบใจบอกว่า ปานเอ๊ย ถ้าเอ็งทำได้อย่างนี้นาลูกนา ต่อไปอะไรเล่าที่เอ็งต้องการพ่อให้หมดไม่เหลือ ไม่ว่าอะไรทั้งหมด แต่ว่าเอ็งจงจำไว้ให้ดีนะลูกนะ การบวชเป็นพระต้องจำไว้คำหนึ่ง คำขอบรรพชาว่า นิพพานัสสะ สัจฉิกิริยายะ เอตัง กาสาวัง คะเหตวา เราขอรับผ้ากาสาวพัสตร์จากพระอุปัชฌาย์เพื่อจะทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพาน การบวชพระน่ะมีความหมายอย่างเดียวนะลูกนะ มีความหมายเพียงทำให้แจ้งพระนิพพาน ถ้าหากว่าจะบวชเพื่อเป็นประเพณีแล้วก็อย่าบวชเลย ตกนรก เพราะพระนี่ตกนรกง่ายกว่าฆราวาส แล้วฆราวาสเขาตกก็เรียกว่ามีโทษไม่หนักเท่าพระ พระมีบุญมาก ฆราวาสทำบุญร้อยครั้ง พระทำบุญครั้งเดียวมีอานิสงส์มากกว่า ตานี้หากชาวบ้านทำบาป ๑๐๐ ครั้ง พระทำบาปครั้งเดียวก็บาปมากกว่าเหมือนกัน ทีนี้เวลาลงนรกชาวบ้านเขาก็ลงเบากว่า พระลงหนักกว่า พระทุกองค์ที่บวชเข้ามาในพระพุทธศาสนานะ ปานต้องจำไว้ เอ็งจะต้องบวชต่อไปตลอดชีวิตนะลูกปานนะ ไม่มีโอกาสได้สึก เอ็งนี่ะชาตินี้เป็นชาติที่สุด ตอนนี้หลวงพ่อปานท่านบอก ท่านไม่เข้าใจเหมือนกันว่าชาตินี้เป็นชาติที่สุดหมายความว่ายังไง ท่านเล่าให้ฟังนะ ท่านเล่าให้ฟังว่าตอนนั้นท่านไม่รู้ หลวงพ่อสุ่นท่านก็พูดย้ำลงไปว่า การบำเพ็ญบารมีชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย ต่อไปก็มีการเกิดจะตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าเท่านั้น

    หลวงพ่อปานท่านบอกว่า แม้หลวงพ่อสุ่นจะพูดอย่างนั้นท่านก็ยังไม่เข้าใจ แล้วท่านก็สอนต่อไปว่า การบวชเป็นพระ ไม่ว่าใครทั้งหมด หนึ่ง ถ้าปรารถนาความร่ำรวย สะสมทรัพย์สินที่บรรดาพุทธบริษัทมาถวาย แล้วก็เอาไปใช้ในทางที่ไม่เป็นพระ หมายความว่า เอาไปลงทุนค้าขาย เอาไปซื้อไร่เอาไปซื้อนา จะตั้งใจเอาเงินไปหมั้นสาว ๆ จะแต่งงาน อะไรก็ตามอันเป็นเรื่องของฆราวาส พระองค์นั้นแม้จะบวชอยู่สักกี่ร้อยปีก็ไม่เป็นพระ เพราะว่าการเป็นพระนี่มันเป็นที่ใจ การที่จะโกนหัวห่มผ้าเหลืองอธิษฐานว่าตนเป็นพระน่ะไม่ใช่ นั่นเป็นผีหลอกชาวบ้าน เรียกว่า เอาผ้าเหลืองมาห่มเปรตเข้าไว้ ในตอนต้นเป็นเปรตก่อน เพราะเปรตช่วยตัวเองไมได้ ต้องอาศัยโมทนาบุญจากคนอื่น นักบวชก็เหมือนกัน นักบวชที่เข้ามาแล้วก็บิณฑบาตข้าวจากชาวบ้าน ชาวบ้านถวายเงิน ชาวบ้านให้ผ้าผ่อนท่อนสไบ ชาวบ้านให้ที่อยู่ ทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ใช่ทรัพย์สินที่ตนหามาได้โดยชอบธรรม เรียกว่าเป็นทรัพย์สินของชาวบ้านเขา พระก็มีสภาพเหมือนเปรต เห็นไหมลูกหลาน มีสภาพเหมือนเปรตน่ะ เปรตถ้าทำตัวไม่ดีเวลาตายก็ไปนรก นี่ถ้าอยู่อย่างเปรต เราบวชเข้ามาแล้วมีสภาพเหมือนเปรต คือ ต้องอาศัยชาวบ้าน ก็ต้องทำทรัพย์สินของชาวบ้านให้เป็นประโยชน์จริง ๆ ใช้ในฐานะที่เรียกว่าสมณวิสัยจริง ๆ คือ วิสัยของพระ วิสัยของพระนี่น่ะจะทำยังไง ก็เอาเงินของชาวบ้านมาใช้มากิน อะไรมันไม่มีก็ซื้อใช้สอยตามความสุขอย่างพระ ไม่ใช่ความสุขอย่างชาวบ้าน เรียกว่า ตามสมควร ไม่โอ่โถงนัก ถ้าเงินมันเหลือก็เอาเงินจำนวนนั้นไปก่อสร้างสาธารณประโยชน์ จะก่อสร้างวิหารการเปรียญก็ตาม หรือจะสงเคราะห์คนที่มีความทุกข์หิวโหยเข้ามาให้มีความสุขก็ตาม หรือว่าจะสร้างส่วนใดที่เป็นไปตามธรรมของพระพุทธเจ้าก็ตาม ทำให้หมดนะลูกปานนะ อย่าสะสมเงินให้เป็นกองใหญ่ ใจจะไม่ใช่พระ ถ้าลงใจไม่ใช่พระเสียแล้วละก็ ตอนนี้ลงนรก ๆ ที่จะไปก็คือ อเวจีมหานรก ใช่ไหม ลุงพุฒิแหงานหน้าขึ้นมา พนักหน้าบอกว่าใช่ เวลาพูดนี่ลุงพุฒิเขาคุมอยู่ข้าง ๆ นะ เขาคุมอยู่ พูดตอนนี้น่ะ เขาสะกิดข้างบอกให้พูด หลวงพ่อท่านก็รับรอง หลวงพ่อท่านก็มาอยู่ด้วยนะ ตอนนี้น่ะ ทั้งสองหลวงพ่อนั่นแหละ ทั้งหลวงพ่อสุ่น หลวงพ่อปาน ท่านยิ้ม พอบกว่าท่านมาอยู่ด้วยท่านยิ้ม หลวงพ่อสุ่นท่านบอกว่า เออ ดีแล้ว บอกว่าข้ามาอยู่ด้วยยังงี้ดีแล้ว ข้าเป็นพยาน นี่เอาพยานผีนะ เอ้า ลุงพุฒิอย่างนี้มันถูกไหม ถามจริง ๆ เถอะ พระที่ทำความชั่วอย่างนี้แกเอาไปเก็บไว้ที่ไหน เขาว่ายังไงรู้ไหม เขาบอกว่ามีที่เก็บแห่งเดียว คือ อเวจีมหานรก แล้วประการที่ ๒ นอกจากทรัพย์สินแล้วก็อย่าบ้ายศ (เวลาใครเขาแต่งตั้งยศให้) เวลาใครเขาแต่งตั้งยศให้น่ะ ถ้ามีความดี เขาจะถวายยศก็รับเถอะ รับได้ แล้วก็จงอย่าเมายศที่เขาให้ไป เราอย่าติดใจในมัน อย่าถือว่าเป็นสำคัญ คำว่ายศก็ดี ลาภก็ดีนี่น่ะ เป็นสิ่งที่นอกเหนือจากคำปฏิญาณว่า นิพพานัสสะ สัจฉิกิริยายะ เอตัง กาสาวัง คะเหตวา การทำให้แจ้งถึงพระนิพพานต้องตัดลาภ ต้องตัดยศนะ ถ้าไปคบลาภไปคบยศเข้าแล้วไปมัวเมาลาภไปมัวเมาในยศ ก็ชื่อว่าเราหาของมาถ่วงใหม่ คนที่จะถึงพระนิพพานได้ต้งอมีความเบาของจิต ต้องละกิเลส ๆ มันหนัก เกาะจิตมันหนัก ให้เข้าถึงพระนิพพานไม่ได้ ได้ลาภก็ดี ยศก็ดี มันเป็นเรื่องของกิเลส แต่ถ้าเราใช้มันถูกมันก็เป็นคุณ ถ้าเราใช้มันไม่ถูกมันก็เป็นโทษ พระที่บวชเข้ามาในพระพุทธศาสนา ถ้าดิ้นรนหายศหาลาภ คำว่าดิ้นรนน่ะหมายความว่าเขามาให้ด้วยความเลื่อมใสไม่เป็นไร แล้วก็ไม่เมาในยศในลาภ ถ้าดิ้นรน ไม่มีลาภอยากจะหาลาภ หาอาชีพเป็นเครื่องประกอบ เป็นหมอดู เป็นหมอยา เป็นนักเทศน์ เป็นนักก่อสร้าง หวังจะได้ผลกำไร หรือไม่มียศก็ดิ้นรนอยากจะให้เขาแต่งตั้งยศ เมื่อแต่งตั้งแล้วก็เมาในยศ อยากจะเลื่อนยศ พระประเภทนี้ว่าไงลุงพุฒิ อ๋อ ลงอเวจีหมดหรือ นี่ลุงพุฒิเขาเป็นพยาน เขาว่าลงอเวจีหมด เขาจดไว้ที่เดียวหมด ลูกหลานรู้จักลุงพุฒิไหมล่ะ รู้จักแล้วใช่ไหม รู้จักแล้วก็แล้วไป ไม่รู้จักก็ช่างปะไร จำชื่อแกไว้นะ แกอยู่ไม่นานหรอก พอสิ้นศาสนานี้แล้วแกก็เปิดแล้ว ไม่อยู่แล้ว แกไม่กลับมาเกิดอีก ลุงพุฒิแกเป็นคนบุญบารมีมาก มีเมตตาสูง สงเคราะห์คนและสัตว์อยู่เสมอ

    แล้วต่อไป การนินทาและสรรเสริญอีกเหมือนกัน ความสุข ความทุกข์ รวมความว่าพระต้องเป็นพระละ เอายังงี้แล้วกันนะ มองง่าย ๆ นะลูกหลานนะ พระจะรวยไม่ได้ เขาให้เงินมาแล้วเก็บไว้ได้ถ้ายังไม่ถึงโอกาสที่จะทำ แต่ขณะเมื่อได้เงินมาต้องใช้ในส่วนที่เป็นสาธารณะประโยชน์ หรือในสมณวิสัยจริง ๆ จะไปทำพินัยกรรมให้น้อง ทำพินัยกรรมให้พี่ ให้พ่อให้แม่ นี่ไม่ได้นะ นี่เป็นเงินที่ได้มาในระหว่างความเป็นพระนะ ถ้าเป็นมรดกตกทอด อันนี้เป็นส่วนที่ทำได้ไม่บาป ไม่เป็นไร หากถ้าเงินที่เขาถวายมาแล้วสะสมแบบนั้นมีหวังลงอเวจี นี่ลุงพุฒิแกว่ายังงั้นนะ ลูกหลานที่รักเคยเห็นไหม เคยเห็นพระไหม พระรวย ๆ มีไหม และมีเงินเป็นล้านมีไหม ถ้ามีแล้วอย่าเพิ่งตำหนิท่านนะ ไปถามท่านก่อนว่าเงินก้อนนี้ท่านจะเก็บไว้ทำไม หากท่านบอกว่าท่านคิดสร้างนั่นสร้างนี่ ยังงี้ใช้ได้นะ ไม่ใช่หรือ ยังงี้ใช้ได้ บางทีท่านสะสมไว้เพื่อทำความดี นี่ลูกหลานเคยเห็นพระที่มียศไหม ไปถามท่านซิว่ามียศน่ะดีตรงไหน ถ้าท่านว่าในฐานะที่พระราชาถวายยศให้ ท่านก็รับเพื่อสนองความตั้งใจของพระราชา และตัวท่านเองก็ไม่ตั้งตัวเต๊ะท่าในตำแหล่งที่ท่านมีอยู่ เว้นไว้แต่พระราชฐานที่พระราชาท่านนิมนต์ วางตนให้สมกับตำแหน่งที่พระราชท่านทรงแต่งตั้งถวายมา ในยามปกติท่านก็เป็นหลวงตาม หลวงพี่ หลวงน้า หลวงปู่ตามปกติ อย่างนี้ท่านไม่เลวนะ ท่านไม่ถูกจดตามบัญชีที่ลุงพุฒิว่า แต่ลุงพุติเขาว่ายังไง เขาว่าประเภทนี้มีไม่ถึง ๒ เปอร์เซ็นต์ นอกนั้นติดยศหมด ติดลาภหมด จริงไม่จริงก็เป็นเรื่องของหมอพุฒิเขานะ หมอพุฒิเขาเป็นหมอดูนี่ ฉันไม่ดูหรอก เป็นอันผ่านตรงนี้ไปก็แล้วกัน เพราะว่าเขาให้พูดตรงนี้ หลวงพ่อท่านก็ว่าให้ผ่านไป

    หลังจากนั้นมา ปรากฏว่ารุ่งขึ้นอีกวันหนึ่ง หลวงพ่อสุ่นกำลังรับแขกอยู่ แขกของหลวงพ่อสุ่นก็คือแขกคนไข้ คนไข้มาให้ท่านรักษาโรค เออ จะพูดถึงการรักษาโรคของหลวงพ่อสุ่นไว้ก่อนนะ เพราะว่าหลวงพ่อปานท่านก็เรียนมา ยาของท่านมีอยู่ ๒ ขนาน คือ ใบมะกากับข่า ๑ ขนาน ใบมะกากับหญ้าแพรก ๑ ขนาน บอกขนาดไว้ก็ได้ อีตอนนี้ฉันรู้ ท่านใช้ข่า ๔ ตำลึง แล้วก็ใบมะกา ๔ ตำลึง คำว่า ตำลึง ๆ เอาสมัยนั้นนะ เขาชั่งด้วยตาชั่ง ข่า ๔ ตำลึง ใบมะกา ๔ ตำลึง ใส่ลงไปในหม้อ เอาน้ำใส่ลงไป สวดอิติปิโสภควาไปทั้ง ๓ ห้อง แล้วก็ยาใบมะกากับหญ้าแพรกอีกขนานหนึ่ง สวดด้วยอิติปิโสเหมือนกัน เสกด้วยอิติปิโสเท่านั้น ไม่มาก ยาใบมะกากับข่าสำหรับไว้รักษาโรคคนผู้หญิงที่ไม่มีครรภ์ หรือว่าคนไข้จะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชายก็ตามที่ไม่ปวดศีรษะ ถ้าเขาไม่มีครรภ์ ไม่ปวดศีรษะ ก็ให้กินใบมะกากับข่า หรือถ้าคนไข้หญิงมีครรภ์หรือว่าปวดศีรษะ ให้กินยาใบมะกากับหญ้าแพรก ยามี ๒ ขนานเท่านั้น ถ้าหมอนิดอยากจะเป็นหมออย่างนี้บ้างก็ใช้ได้ ว่าอิติปิโสเสียให้คล่อง เวลาเขาเอายามาให้แล้วก็เอาธูปเทียนปักลงไป น้ำใส่ลงไป เวลาหลับตาลงไปให้เห็นภาพหม้อยา แล้วตั้งใจอาราธนาบารมีพระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ พระอริยสงฆ์ทั้งหมด พรหมและเทวดา ครูบาอาจารย์ทั้งหมด มีหลวงพ่อปานเป็นที่สุด อธิษฐานว่าขอให้ยานี้รักษาโรคนั้นให้หาย แล้วก็ว่าอิติปิโสตามชอบใจ เวลาไปก็ให้ใจนั้นมองเห็นหม้อยานั้นให้แจ่มใสนะ ถ้าใจเห็นหม้อยาไม่แจ่มใส โรคนั้นหายยาก ยาขนานนั้นไม่ค่อยศักดิ์สิทธิ์ ถ้าใจเห็นหม้อยานั้นแจ่มใส ยาขนานนั้นศักดิ์สิทธิ์ ดีไม่ดีหม้อเดียวโรคหายเลย

    อีกอย่างหนึ่ง ท่านเป็นหมอน้ำมนต์ อีกอย่างหนึ่งท่านก็ใช้คาถาสับกระดาน คนไข้นั่งเรียงกันเป็นแถว เรียง ๒ เรียง ๓ ก็ได้ เหยียดขามาทางท่าน ใช้มีดหมอสับกระดาน โก๊ก ๆ ๆ ว่าคาถาไปด้วย คนไข้ก็ดิ้นกันตึงตัง ๆ ๆ อย่างนี้เรียกว่าคาถาเรียกลม นี่ก็อีกคาถา นะ มะ พะ ธะ ถอดกันไปถอดกันมาฉันว่าไม่ไหว ฉันย่องไปเปิดตำราของหลวงพ่อปานดูแล้วไม่เห็นมีอะไร วิธีตรวจโรคคนไข้ที่จะมารักษาโรคจากท่าน ท่านมีตำรา มีวิธีตรวจโรค คือ เสกหมากให้กิน หมากจะมีรสหวาน รสเปรี้ยว รสขม รสเฝื่อน รสยัน ร้อนหูร้อนหน้า ถ้ามีอาการอย่านี้ท่านจะรู้เลยว่าคนนี้เป็นโรคอะไร ถ้ากินไปแล้วหมากมีอาการปกติเป็นโรคธรรมดา ถ้าเป็นโรคธรรมดาท่านก็อยากจะรู้ว่าเป็นโรคอะไร เป็นโรคไทฟอยด์ เป็นมาเลเรีย หรือว่เป็นโรคพวกมดลูกหรืออะไรก็ตามนะ ท่านก็ใช้อำนาจอาโลกกสิณเข้าไปพิสูจน์ดูไข้ภายใน ท่านจะเป็นไข้ ท่านบอกว่าเห็นแจ่มใสแล้วก็ให้ยา รดน้ำมนต์ เรียกสับ เวลาเสกขาก็อธิษฐานขอให้ยานี้รักษาโรคนั้นโดยเฉพาะให้หายไปเดี๋ยวนี้ หมอนิดชอบใจไหมล่ะ ถ้าชอบใจก็จำเอาไว้นะ จุดธูปจุดเทียนขอจากท่าน ฉันไม่ได้เรีนยจากท่านหรอก ขี้เกียจ ฉันขี้เกียจเรียน ฉันไม่เอาหรอก แต่ว่าจำมาได้คร่าว ๆ เป็นขโมยดูตำราท่าน ฉันเป็นคนดีที่ไหนล่ะ นักขโมยนะมีฉันคนเดียวขโมยเปิดดู เป็นเรื่องของฉัน แล้วท่านเคยว่าต่อหน้าแขกมาก ๆ ว่า อ้ายลิงดำนี่มันขโมยก่งนัก อะไรเผลอไม่ได้ แล้วแถมคุยกับเขาเสียด้วยซิว่า มันไม่ได้ขโมยมาแต่ชาตินี้ชาติเดียวนะ หลายร้อยชาติแล้ว ฉันเผลอไม่ได้ เคยเป็นลูกฉันนะ เผลอมันเป็นขโมยเด็ด ประกาศต่อหน้าประชาชนเสียด้วย นี่ขโมยมีเกียรตินะ ขโมยมีศักดิ์ศรี แต่ผู้ถูกขโมยไม่ว่าอะรไ พอชาวบ้านเขาถามว่า ท่านลิงดานี่ขโมยแล้วหลวงพ่อว่าอะไรบ้างไหม ช่างมัน วิสัยมันชอบขโมย ก็ให้มันขโมยไป มนไม่เป็นเวรเป็นภัยแค่ใครนี่ ชอบลองอย่างเดียว ไม่เอาจริง ไม่ว่าอะไรถ้ามันลองได้แล้วเลิก มันทำเป็นผลตามที่มันคิด ตามที่เขียนไว้ ตามตำรา พอทำได้แล้วมันเลิก มันไม่เป็นเวรเป็นภัยกับใคร ก็เลยหมดเรื่องกันไป

    นีก็ว่ากันถึงวิชาหมอนะ ว่าให้ฟัง แล้วต่อมาหลังจากวันรุ่งขึ้นจากหลวงพ่อสุ่นเรียกหลวงพ่อปานไปถามเรื่องสะเดาะกุญแจ นี่เรามาทวนหลังกันใหม่นะ อีตอนนั้น วันนั้น แขกมาหา ปรากฏว่าน้ำในตุ่มไม่มี น้ำในตุ่มที่สำหรับทำน้ำมนต์น่ะไม่มีแล้ว หลวงพ่อสุ่นท่านก็เรียกหลวงพ่อปานเข้าไป กำลังเป็นนาค ว่า ปานเอ๊ย ปานมารดน้ำมนต์ให้คนไข้ทีเถอะ หลวงพ่อปานท่านเดินเข้าไปแล้วท่านก็กราบ พอกราบเรียนหลวงพ่อสุ่นว่าน้ำในตุ่มไม่มีขอรับ เมื่อกี้ผมไปดูแล้ว ประเดี๋ยวผมจะไปตักน้ำมาใส่ตุ่มก่อน ท่านก็ลุกขึ้นคว้าหาบคว้าถัง ๒ ลูกใส่คานจะไปหาบน้ำจากท่าน้ำ หลวงพ่อสุ่นท่านก็โบกมือพูดว่า ปานเอ๊ย ไม่ต้องตักหรอกลูกเอ๊ย น้ำพ่อตักมาแล้ว พ่อตักใส่ตุ่มเต็มแล้ว อีตอนนี้ชักยุ่ง ท่านว่าเข้าไปดูอยู่ตะกี้นี้ประเดี๋ยวเดียว เห็นแล้วว่าน้ำในตุ่มมันไม่มี พอแขกเขามาก็ย่องไปดูน้ำในตุ่มเห็นว่าไม่มี ก็เตรียมหาบเอาไว้ คิดว่าท่านสั่งจะได้ลงไปตักทันที เพราะรดน้ำมนต์นี่ ตอนหลวงพ่อปานเป็นนาค ดูจะเป็นภาระเป็นตำแหน่งจะต้องทำเป็นหมอรดน้ำมนต์ แลเห็นอยู่แล้วว่าน้ำไม่มี แล้วท่านว่าน้ำมี ก็เลยเดินไปดู ก็ปรากฏว่าน้ำเต็มตุ่ม ก็ชักแปลกใจมาก ๆ อีตอนนี้น้ำเต็มตุ่มแล้ว หลวงพ่อสุ่นบอกว่า พ่อตักไว้แล้ว ตักเมื่อกี้นี้เอง หลวงพ่อปานบอกว่า เราก็นั่งดูท่านอยู่ ไม่เห็นท่านไปไหน ท่านบอกว่าท่านตักน้ำไม่มี ท่านนั่งอยู่ตรงนั้น คุยอยู่กับแขก ฉันก็นั่งไม่ไกลนัก เวลาท่านบอกว่าตักน้ำไม่เห็นท่านลุกไปไหน ปรากฏว่าน้ำมี อันนี้แปลกใจ แล้ววันนั้นก็รดน้ำมนต์กันไปมีประมาณ ๕๐ คน น้ำในตุ่มยุบลงไปไม่ถึงคืบ ตุ่มลูกนั้นไม่โต เป็นตุ่มเล็ก ๆ หากจะรดกันจริง ๔ คนหมดตุ่ม กระถางเล้ก ๆ แต่ว่าวันนั้นแขกตั้ง ๕๐ คน ยุบลงไปไม่ถึงคืบ เป็นเรื่องอัศจรรย์ พอแขกไปหมดแล้ว หลวงพ่อสุ่นก็เรียกหลวงพ่อปานเข้าไป บอกว่า ปานเอ๊ย เอ็งแปลกใจหรือลูก แปลกใจหรือว่าน้ำในตุ่มมันมาได้อย่างไร หลวงพ่อปานบอกว่า แปลกใจขอรับ ท่านก็บอกว่าไม่เป็นไรปาน เรื่องนี้เป็นเรื่องของพระนะลูกนะ พระที่บวชเข้ามาในพระพุทธศาสนานี่ ถ้ามีความเลื่อมใสในพระพุทธเจ้าจริง ๆ ทำอะไรก็ได้นะ อ้ายเรื่องน้ำนี่ไม่ต้องเดินไปตักก็ได้ ที่พ่อบอกว่าตักน่ะ พ่อเอาใจตัก เอาเข้านั่น นี่เรื่องมันยุ่งกันใหญ่ ท่านว่าเอาใจไปตักน้ำ ท่านว่าท่านไม่ได้เอาถังของท่านลงไปตักหรอก เป็นยังไงลูกหลานที่รัก แปลกใจไหม พระแก่เอาใจตักน้ำได้ แล้วท่านก็บอกว่า ปานอยากจะได้ไหมคาถาตักน้ำนี่ หลวงพ่อปานบอกว่าอยากได้ เรื่องอยากได้คาถาตักน้ำเป็นเรื่องไม่อัศจรรย์ แล้วปานอยากจะเรียนหมออย่างหลวงพ่อไหมล่ะ เรียนหมอนี่มันดีนาลูกนา เราได้มีโอกาสสงเคราะห์คน หมอของเรานี่เวลาจะยกครูต้องใช้เงิน ๖ บาท หัวหมู บายศรีซ้ายขวา แต่เวลาจะรักษาเขาจะเรียกเขาไม่ได้นะ อ้ายเงิน ๖ บาทนี่ พอปีหนึ่งเรายกครูครั้งเดียว เราหาของเราเองเราหาได้ ต้องรักษาด้วยอำนาจเมตตาจิตนะ เธอจะทำได้ไหมเล่า หลวงพ่อปานท่านบอกว่าท่านรักอยู่แล้ว บอกว่าทำได้ขอรับ หลวงพ่อสุ่นก็หัวเรา ก็เลยบอกว่า พ่อรู้ว่าเจ้าต้องการละเจ้าทำได้ ปานเอ็งน่ะมีคนเดียวนะ พ่อบวชพระมาหลายร้อยองค์แล้ว วิชาความรู้ที่พ่อมีอยู่นี่พ่อไม่สามารถจะถ่ายทอดให้ใครได้หมด มีเอ็งคนเดียวเท่านั้นที่พ่อคิดจะถ่ายทอดให้ได้ ตั้งแต่เอ็งเป็นเด็ก ๆ ที่พ่อเอ็งพามาหา พอมองเห็นหน้าแล้ว พ่อคิดว่าพอเอ็งบวชแล้วพ่อจะต้องเอาเอ็งมาอยู่ด้วย มีคนเดียวที่พอจะถ่ายทอดความรู้ความสามารถที่พ่อมีอยู่ได้ หลวงพ่อปานปลื้มใจ หลวงพ่อสุ่นก็ว่า เอายังงี้ก็แล้วกันนะลูกปานนะ ก่อนที่จะเรียนหมอ เราก็ขึ้นต้นทำใจกันเสียก่อน เพราะว่าหมอของเรานี่น่ะ เราใช้กำลังใจเป็นสำคัญ เราไม่ได้ใช้วัตถุ ว่าพวกพระนี่ไม่มีทรัพย์ไม่มีสิน ไม่มีเงินทองจะมาซื้อเครื่องมือเครื่องไม้เหมือนหมอหลวงเขา หมอหลวงเขามีเงินงบประมาณรัฐบาลให้ อ้ายเรานี่มันเงินชาวบ้าน ชาวบ้านก็เป็นคนจน เราจะไปกะเกณฑ์ว่าคนนั้นเอาเงินมาเท่านั้น คนนี้เอาเงินมาเท่านี้ แล้วก็ไม่มีใครสามารถหาเอามาให้ได้หรอก คือ เราต้องใช้ทางใจ พระพุทธเจ้าของเราท่านสอนกำลังทางใจไว้ ถ้าเรามีกำลังทางใจเสียอย่างเดียวนะ อะไร ๆ เราทำได้หมด แล้วท่านก็ถามอีก ปานเอ๊ย เอ็งเห็นอ้ายพวกทำโบสถ์ไหม อีตอนที่หลวงพ่อปานเข้าไปเป็นนาคน่ะ ช่างกำลังทำโบสถ์ จวนจะเสร็จอยู่แล้ว หลวงพ่อปานพบเขาเหมือนกัน ท่านก็บอกว่าเห็น เอ็งรู้ไหมว่าพวกทำโบสถ์มันกินปลาที่ไหน เขากินปลาในสระขอรับ หลวงพ่อปานถามว่าเขากินปลาในสระไม่บาปหรือ ไม่บาปหรอก หลวงพ่อสุ่นท่านว่ายังงั้น บอกว่าไม่บาป ก็พ่อเอาใบไม้ทำปลาให้มันกิน ทีแรกมันซื้อหมูกิน พ่อสงสารมันเลยเอาใบไม้ทำปลาไว้ในสระให้มันกินกัน มันกินกันจนขี้เขียวเลย อ้ายปลาประเภทนี้มันเป็นปลาที่พ่อเสกให้มันเกิดขึ้น กินยังไงมันก็ไม่บาป รสชาติมันอร่อยเสียยิ่งกว่าปลาธรรมดาอีก เออเอ็งอยากได้ไหมคาถาบทนี้ หลวงพ่อปานก็บอกว่าอยากได้ ท่านเลยบอกว่า ไม่เป็นไร พ่อให้หมด พ่อบอกแล้วนี่ ไม่มีอะไรที่พ่อจะหวงลูก ไม่มีอะไรที่จะกีดกัน สิ่งไรที่พ่อมีอยู่พ่อให้หมด เอายังงี้ก็แล้วกัน ก่อนจะทำอย่างนั้นเราต้องเริ่มต้นวางพื้นฐานกันเสียก่อน หลวงพ่อปานก็ถามว่าวางพื้นฐานอย่างไร วางพื้นฐานด้วยกำลังใจซิ เราต้องสร้างกำลังใจกันเสียก่อน ถึงจะเป็นหมอได้ เสกใบไม้เป็นปลาก็ได้ ตักน้ำด้วยใจก็ได้ เอ็งเอาไหมล่ะ เอาเทียนหนักบาทมา ๕ เล่ม ธูป ๕ ดอก ดอกไม้ ๕ กระทง ข้าวตอก ๕ กระทง พ่อจะให้เรียน เรียนวิชาหมอกัน

    นี่ลูกหลานลองคิดดูนะ นี่หลวงพ่อสุ่นสอนวิชากรรมฐานหลวงพ่อปานนะ แต่ว่าหลวงพ่อปานชอบหมอ ชอบมีฤทธิ์ ท่านเลยไม่บอกว่ากรรมฐาน บอกว่าเป็นคาถาหมอ คาถามีฤทธิ์ นี่เป็นความฉลาดของพระรุ่นเก่า เรียกว่าท่านปฏิบัติตามแนวพระพุทธเจ้าจริง ๆ สมัยพระพุทธเจ้าน่ะ ท่านไปพบใครเขาชอบอะไรเข้าท่านก้จะสอนวิชานั้นให้เขา แต่ความจริงเป็นกรรมฐาน อย่างพวกชฎิลบูชาไฟ ท่านเห็นเข้าท่นาบอกว่า การบูชาไฟน่ะเป็นการดี ๆ มาก ท่านไม่ตำหนิของเขาว่าเลวนะ ดี แต่นี่ยังเป็นไฟภายนอก ควรจะบูชาไฟภายใน แล้วท่านก็ยกกิเลสขึ้นมาเป็นไฟ ราคัคคิ ไฟคือราคะ โทสัคคิ ไฟคือโทสะ โมหัคคิ ไฟคือโมหะ นี่ท่านไม่ได้ไปเที่ยวลบล้างใครเขา คนที่เขามีความคิดอะไรอยู่อย่างใดอย่างหนึ่ง แล้วเราก็ไปชมความคิดของเขาว่าดี แล้วเราเอาสิ่งที่ดีกว่าแทรกเข้าไป อย่างนี้ฉันคิดว่ามันดีกว่าไปหักล้างความต้องการเดิมของเขา อย่างที่เขาคิดว่าการยกศาลพระภูมิเป็นของดีนี่แหละ ก็มีเพื่อนฉันหลายคนไปเที่ยวว่าเขาว่าไม่ควรจะไปยกศาลพระภูมิ ไม่เป็นเรื่องไม่เป็นราว นี่ฉันก็ไม่เห็นด้วยเหมือนกัน ฉันคิดว่าเจ้าเพื่อนของฉันมันฉลาดมากเกินไป แต่ความจริงถ้ามันจะบอกว่าพระภูมินี่เป็นเทวดา เขาเป็นเทวดา เขาสามารถมีอำนาจเหนือเรา เขาควบคุมเราได้ เขาลงโทษเราได้ แต่หากว่าเราอยากจะเป็นเทวดาบ้างก็ทำตนอย่างพระภูมิ คือ ปฏิบัติให้มีหิริและโอตตัปปะ คือ อายความชั่ว เกรงความชั่ว สร้างความดี ต่อไปเขาก็จะเป็นเทวดาอย่างพระภูมิบ้าง เราจะมีโอกาสเข้ามาควบคุมมนุษย์บ้าง อย่างนี้จะดีกว่า นี่ตามแบบฉบับของพระพุทธเจ้านะ การหักล้างไม่เป็นเรื่อง แต่ความจริงใครเขาจะบูชาพระภูมิ ใครเขาจะบูชาเจ้า ฉันไม่ตำหนิเขา ฉันว่าเขาทำดี ดีเพราะอะไร ดีเพราะเขายังรู้จักบูชา จิตใจของเขาก็ยังรู้จักนอบน้อม รู้จักมีความเคารพ คนประเภทนี้เป็นคนดีแล้วนี่ ถ้าเราจะให้เขาดียิ่งกว่านั้น เราก็เอาความดีอื่นแทรกเข้าไปซิ อย่าไปล้างความดีของเขา ถ้าล้างความดี ถ้าเขาเหลือแต่ความไม่ดี ทีนี้เราจะเอาของดีไปให้เขาได้ยังไง นี่เป็นความคิดโง่ ๆ ของพระแก่ ๆ อย่างฉันนะ ฉันเป็นคนแก่แล้วฉันก็โง่ หลวงพ่อสุ่นท่านมีความฉลาด เรียกได้ว่าลอกแบบฉบับของพระพุทธเจ้า ไม่หักล้างน้ำใจคน ในเมื่อหลวงพ่อปานชอบฤทธิ์ชอบเดช ท่านก็สอนกรรมฐานให้ แต่ท่านไม่บอกว่าเป็นกรรมฐาน บอกว่าเป็นพื้นฐานของความเป็นหมอ เป็นพื้นฐานของความเป็นผู้มีฤทธิ์ เอากะท่านซี ลองดูทีนี้

    พอถึงตอนกลางคืน หลวงพ่อปานเข้าไปหาท่าน ท่านก็ให้สมาทานพระกรรมฐาน หลวงพ่อปานบอกว่า ท่านก็สอนกรรมฐาน ๔๐ นี่แหละครบถ้วน อันนี้ฉันจะไม่อธิบายนะ หนังสือคู่มือพระกรรมฐานมีอยู่แล้ว ไปดูกันตามนั้นแหละ ฉันเขียนตามแบบฉบับที่ท่านสอนฉันมา เพราะฉันเป็นลูกศิษย์ของท่าน ท่านก็สอนตามแบบฉบับของพระพุทธเจ้าไม่มีผิด ฉันรับรองว่าไม่ผิด ถ้าผิดแล้วก็ย่องไปดูบ้านลูกบ้านหลานไม่ได้ซิ บ้านเมืองมนุษย์นี่ฉันไม่ดูหรอก บ้านที่มันสวยน้อยนี่ฉันไม่ดู ฉันต้องดูบ้านสวยมาก ที่บอกว่าฉันปลื้มใจ ความประสงค์ของฉันเต็มบริบูรณ์ เกณฑ์อันใดก็ตามที่ฉันจะต้องทำ ฉันทำเสร็จเรียบร้อยแล้ว คือ ภาระที่จะต้องแบกลูกแบกหลาน ฉันแบกแล้ว ทำลูกหลานของฉันให้มีความเลื่อมใส รู้จักเสียสละ ฉันทำได้แล้ว สถานที่ใดเป็นดินแดนของความสุขอันนั้นฉันทำแล้ว แนะนำแล้ว ชักจูงแล้ว แต่ว่าทำกันแบบลับ ๆ ทำแบบปกปิด เมื่อผลปรากฏฉันก็พูดให้ฟัง เพราะว่าหลวงพ่อปานท่านก็อย่างนั้นนี่ ท่านเป็นอาจารย์ฉันน่ะ เวลาพวกฉันทำอะไรท่านไม่บอกหรอก ท่านไม่บอกมันจะดีมันจะชั่วแบบไหน แต่ว่าพอปรากฏผลเข้าจริง ๆ ท่านก็ย่องขึ้นไปดูแล้วท่านก็อธิบายให้ฟัง พวกฉันก็ปลื้มใจ แล้วต่อมาฉันไปได้ ฉันไปดูขอฉันบ้าง เมื่อท่านบอกแล้วฉันก็ย่องไปดูของฉันบ้าง ก็จริงตามท่านว่า ลูกหลานก็เหมือนกัน ทำความดีกันแล้วนี่ ดีเยอะแล้วนะ ไม่ใช่ดีน้อย ดีมากแล้ว แต่ว่าดียังไม่หมด อย่าเพิ่งเลิกดีเสีย ดีมีเท่าไร มีกำลังเท่าไร เอามาให้หมด เราต้องเป็นมหาเศรษฐีใหญ่ ถ้าเราเป็นขั้นคหบดีเกิดบนสวรรค์ สวรรค์นี่ฉันเทียบเท่าคหบดีนะ ถ้าเป็นพรหมโลกฉันเทียบเท่าเศรษฐีธรรมดา ถ้าหากว่าถึงพระนิพพานจัดว่าเป็นมหาเศรษฐีใหญ่ ตำแหน่งมหาเศรษฐีใหญ่นี่น่ะต้องเอาให้ได้ เพราะที่นั่นมันสบายจริง ๆ ไม่ต้องนึกไม่ต้องคิด สิ่งที่เราต้องการปรากฏเอง สิ่งไรก็ตามถ้าเป็นความเหมาะสมจะพึงมีจะพึงใช้จะปรากฏทันทีโดยเราไม่ต้องคิด ขั้นพรหมขั้นสวรรค์ยังต้องคิด ยังต้องนึก ว่าสิ่งนั้นจงปรากฏ สิ่งนี้จงปรากฏ ยังต้องใช้กำลังใจหา แตนิพพานนี่ไม่ต้องหา เราจะนอนตรงนี้ เราคิดว่าเราจะนอนเท่านั้นแหละ ที่นอนมันมารองพอดี เราคิดว่าเราจะนั่ง ที่นั่งมันมารองรับพอดี นี่เป็นยังงี้นา สบายมาก แค่เทวดาแค่พรหมก็ไม่กล้วยแล้ว ถึงกล้วยก็เป็นกล้วยน้ำว้าสุก ไม่ใช่กล้วยน้ำว้าดิบ กินง่าย นึกจะไปไหนก็ไปได้ทันทีไม่ต้องใช้พาหนะ ต้องการปรารถนาอะไรก็สมหวัง นี่สมบัติทั้งหลายเหล่านี้ลูกหลานของฉันทุกคนมีแล้ว ฉันสบายใจ ฉันจะตายอย่างนอนตาหลับ อ้าว นี่มาพูดอะไรกันอีกล่ะ นี่ฉันเผลอไปอีกแล้วซี

    เอาว่ากันต่อไป ในเมื่อหลวงพ่อปานเข้าไปหาหลวงพ่อสุ่น ท่านก็สอนพระกรรมฐานในขั้นต้น ท่านสอนให้ละนิวรณ์ ๕ ประการ ดูตามแบบนะลูกนะ ลูกหลานที่รักดูตามแบบ กามฉันทะ ความพอใจในรูป เสียง กลิ่น รส และสัมผัสในเพศตรงกันข้ามหรือว่าของตัวเอง แล้วก็พยาบาท การจองล้างจองผลาญ การง่วงเหงาหาวนอน มีอารมณ์ฟุ้งซ่าน นอกแบบนอกแผน สงสัยในผลของการปฏิบัติความดี สิ่งทั้งหลายนี้ท่านเรียกกันว่านิวรณ์ เป็นเครื่องกันความดี สิ่งเหล่านี้ต้องระงับ ต่อไปก็รักษาศีลให้บริสุทธิ์ มีพรหมวิหาร ๔ นี่แหล่ะหลวงพ่อสุ่นสอนให้หลวงพ่อปานต้องทำอย่างนี้ เสร็จเรียบร้อยท่านบอกว่า ปานเอ๊ย ลูกปานเป็นคนดีมีความสามารถ ฟังให้ดีนะ ฟังให้ดี เพราะคนทุกคนถ้ายังมีกิเลส ต้องการการชม วาจาที่ชมเชย เวลาที่หลวงพ่อสุ่นท่านต้องการให้หลวงพ่อปานได้ดี ท่านชมทุกครั้ง ดูความฉลาดของพระโบราณ เคยมีบุญวาสนาบารมีมาก เอาอย่างนี้นะ ขั้นแรก กำหนดรู้ลมหายใจเข้าออก หายใจเข้ากระทบจมูก กระทบหน้าอก กระทบริมท้อง หายใจออกกระทบริมท้อง กระทบหน้าอก กระทบฝีปาก ลมกระทบ ๓ ฐาน กำหนดให้ได้นะ พร้อมกันนะ หายใจเข้าให้รู้กำหนดนึกถึงคำภาวนาว่า พุท หายใจออกนึกว่า โธ แล้วก็เพ่งรูปพระสักองค์หนึ่ง พระพุทธรูปองค์ไหนก็ได้ เพ่งรูปพระให้จำได้ นึกถึงรูปพระไปพร้อมกัน กับรู้ลมหายใจเข้าออกและภาวนา นี่เป็นการสอนกรรมฐานทีเดียว ๓ อย่าง คือว่า หนึ่ง อานาปานุสสติกรรมฐาน รู้กำหนดลมหายใจเข้าออก อันทรงได้ถึงฌาน ๔ แล้ว คำว่า พุทโธเป็นเครื่องโยงใจ เป็นพุทธานุสสติกรรมฐาน การเพ่งรูปพระเป็นกสิณ ท่านสอนทีเดียว ๓ อย่าง นักปราชญ์สมัยใหม่อย่าเพิ่งตำหนิท่านนะ ฟังผลของท่านไปก่อน เมื่อท่านสอนอย่างนั้นแล้ว หลวงพ่อปานก็มาทำตาม เวลาทำท่านเข้าไปในโบสถ์ เพราะพระในโบสถ์องค์ใหญ่ พระประธานเขาปั้นไว้ใหญ่ ชอบใจเห็นง่าย เห็นชัด ท่านไปนั่งทำในโบสถ์ ท่านบอกว่า ๗ วันเห็นชัด ๗ วันเท่านั้นแหละ พอวันแรกก็จับพระได้ไร ๆ พอวันที่ ๒ วันที่ ๓ จะบังคับให้สูงก็ได้ต่ำก็ได้ ใหญ่ก็ได้ ตามใจชอบ อันนี้เป็นกสิณสำคัญจริง ๆ เป็นตัวกสิณ ฝึกอยู่อย่างนั้นต่อไปอีก ๕ - ๖ วัน อารมณ์สบาย นึกถึงภาพพระเมื่อไรก็เห็นเมื่อนั้น จะเดินไปบิณฑบาต จะเดินไปกลางลานวัด จะกลับมาเยี่ยมพ่อเยี่ยมแม่ นึกถึงภาพพระเมื่อไรก็เห็นเมื่อนั้น บังคับให้อยู่ข้างหน้าก็ได้ ให้อยู่ข้างหลังก็ได้ เห็นทางใจ คือว่าติดอยู่ในอารมณ์ พอสบายใจถึงวันที่ ๑๐ หลวงพ่อสุ่นก็เรียกเข้าไปหา เมื่อเข้าไปหาก็ถามว่า ปานเอ๊ย พื้นฐานกำลังใจที่พ่อให้ไว้ทำได้หรือยังลูก หลวงพ่อปานก็บอกว่าทำได้แล้วขอรับ หลวงพ่อสุ่นก็ถามว่า เจ้าเห็นพระเป็นสีแก้วประกายพฤกษืแล้วใช่ไหม หลวงพ่อปานตกใจ บอกเอนี่มันเรื่องอารมณ์จิตของเราท่านรู้ได้ยังไง ก็นึกในใจ พอสงสัย ท่านก็ยิ้งบอกว่า ปานไม่ต้องสงสัย สิ่งใดก็ตามที่เจ้าทำได้ พ่อต้องรู้ เพราะพ่อได้มาก่อน สิ่งที่ได้ก่อนพ่อต้องรู้ เจ้าทำทีหลัง ไม่ยังงั้นพ่อจะสอนเจ้าไม่ได้

    หลังจากนั้นไปท่านก็บอกว่า ปานนี่ถึงที่สุดแล้วนะ ต่อไปนี้เราจะเปลี่ยนกันใหม่ อันนี้ได้เต็มที่แล้ว ได้เต็มที่แต่ต้องรักษาอารมณ์ไว้นะ อย่าให้สูญไป ของที่ได้ไว้แล้อย่าให้สูญ ตอนนี้เรามาตั้งต้นกันใหม่ ตอนนี้ลูกปานจะเอาอะไรล่ะ ลูกจะเรียนอะไรต่อ จะเรียนพื้นฐานกำลงใจน่ะ จะเรียนอะไรต่อ เรื่องเสกยา เสกน้ำมนต์ยังไม่ต้องเรียน เราสร้างกำลังใจกันก่อน หลวงพ่อปานท่านก็เลยบอกว่าท่านคิดอยู่เสมอเรื่องน้ำในตุ่ม ท่านคิดอยู่เสมอว่าอยากจะตักน้ำด้วยใจ หลวงพ่อสุ่นก็รู้ใจ ท่านบอกว่าเธออยากได้วิชาตักน้ำด้วยใจใช่ไหม หลวงพ่อปานก็กราบเรียนท่านบอกว่า ใช่ขอรับ ท่านบอกว่าได้ปาน พ่อตั้งใจไว้แล้ว มาเรียนวิชาตักน้ำกัน เห็นไหม ลูกหลานที่รัก ท่านฉลาดในการสอน แทนที่จะบอกว่าเป็นกรรมฐาน ท่านก็มาบอกว่าเป็นวิชาตักน้ำเสียอีก ทีนี้ใคร ๆ ก็ไม่ได้ขยันตักน้ำนักนี่ ปั๊ดโธ่ มันเหนื่อยมันหนัก ถ้าเราเอาใจตักน้ำกันได้ละก็ เราก็เลิกวิธีอื่นละ ใช้เอาใจตักกันดีกว่า ท่านก็บอกว่า ต่อแต่นี้ไปไม่ยากนะ อารมณ์เดิมที่ลูกทำมาแล้ว ที่พ่อสอนไปก่อน เราตั้งอารมณ์อย่างไหนเราก็ทำอย่างนั้น แต่ว่าวิชาที่เราจะทำวิชาตักน้ำ ก็เอาน้ำมาขันหนึ่งวางไว้ตรงหน้า ห่างออกไปสักศอกคืบ ลืมตามองดูน้ำแล้วก็หลับตานึกถึงภาพน้ำ ภาวนาว่า อาโปกสิณัง ว่าเท่านี้นะ แล้วก็ถ้าภาพน้ำมันหายไปละก็ ลืมตาดูใหม่ ใช้อารมณ์ตามเดิมนะ กำหนดรู้ลมหายใจเข้าออก แต่ไม่ต้องภาวนาว่าพุทโธ ไม่ต้องนึกถึงภาพพระ นึกถึงภาพน้ำแทน ใช้คำภาวนาว่า อาโปกสิณัง แทนนะ หลวงพ่อปานก็รับคำ แล้วบอกว่าเจ้าไปทำในโบสถ์หรือในป่าช้าก็ได้ หลวงพ่อปานก็ไปทำ ลูกหลานที่รัก ขึ้นชื่อว่าอารมณ์ของสมาธิ ถ้าได้เสียแล้วมันก็เหมือนกันหมด เหมือนกับเราอ่านหนังสือออกแล้ว เราจะไปอ่านหนังสือเรื่องอะไรมันก็อ่านได้ มันก็ยากอยู่ตอนแรกเท่านั้น ท่านบอกว่าท่านไปทำอยู่ ๒ - ๓ วัน ภาพน้ำปรากฏเป็นสีแก้วประกายพฤกษ์ ก็ปรากฏว่าเป็นกสิณเต็มที่ สำหรับวันนี้ก็ของดเพียงเท่านี้ก็แล้วกันนะ ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลสมบูรณ์พูนผลจงมีแก่ผู้รับฟัง สวัสดี
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 มีนาคม 2016
  15. noonei789

    noonei789 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มกราคม 2007
    โพสต์:
    1,079
    ค่าพลัง:
    +6,958
    ยังไม่ได้ถ่ายรูปกุญเเจที่ซื้อใหม่ที่สะเดาะได้โดยพระปัจเจกพุทธเจ้ามาสงเคราะห์เเละพระอาจารย์เล็กมาสอนอารมณ์กรรมฐานในการสะเดาะกุญเเจให้ อันนี้ขอยืนยันนะว่าเเม่กุญเเจหลุดจริงๆเพราะกำเเม่กุญเเจไว้ในมือตลอดเเม้เเต่ตอนอนในคืนนั้น อำนาจของจิตมีจริงๆเเละฤทธิ์อภิญญามีจริง อันนี้เเค่ขั้นเบื้องต้นนะการสะเดาะกุญเเจ ในบันทึกของหลวงพ่อสุ่นที่สอนหลวงพ่อปานท่านบอกว่า วิธีฝึกสมาธิของพระแบบเก่า เป็นทั้งกรรมฐานเเละเรื่องของฤทธิ์ ตั้งเเต่วันที่2มีนาคม 2559 ให้ดูไว้จะมาลงรูป จะฝึกต่อไปเรื่อยๆให้ชำนาญกว่านี้ เเล้วจะไปซื้อกุญเเจจีนมาเพิ่มสัก10ถึง20ตัว มาห้อยเป็นพวงๆ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 มีนาคม 2016
  16. noonei789

    noonei789 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มกราคม 2007
    โพสต์:
    1,079
    ค่าพลัง:
    +6,958
    ประวัติความเป็นมาของบทอิติปิโสถอยหลัง
    สมัยพุทธกาล มีเหล่าพระสงฆ์อยู่กลุ่มหนึ่งได้ออกธุดงค์ไปในป่าเขาแห่งหนึ่งซึ่งเป็นป่า ที่ว่ากันว่าไม่มีนักบุญท่านใดอยู่ได้นาน เพราะมักจะมีเหล่าอสูรกายมาหลอกหลอน ให้ตบะพังจนสติแตกอยู่ร่ำไป พระสงฆ์กลุ่มนี้ได้ปักกรด และจำศีลอยู่ที่นั่น ซึ่งมีกันทั้งหมด 8 องค์ // ตกกกลางคืน เหล่าอสูรกายก็ออกฤทธิ์ ทั้งหัวเราะทั่วหุบเขา ทั้งแปลงเป็นผี ควักไส้พุง ตาถลน ทั้งหมดกลัวสุดขีดแต่ได้ตั้งสติและสวดมนต์ โดยเฉพาะอิติปิโส // แต่พอสวด อสูรกายกลับกลายร่างเป็นยักษ์โล้น(ร่างแท้ๆ) ปัดกลดกระเด็นไปคนละทิศละทาง ทั้งหมดทุกท่าน และนำเรื่องนี้ไปกราบทูลพระพุทธเจ้า
    พระพุทธเจ้า ได้ให้บทสวด อิติปิโส แต่ให้สวดถอยกลับ เพื่อไปปลดปล่อยยักษ์ตนนั้นที่หวงที่ เหล่าพระสงฆ์เหล่านั้น ก็กลับไปที่เดิม ตกกลางคืน มาอีกหนักกว่าครั้งที่แล้ว // ทั้งพายุห่าฝนทั้งฟ้าผ่า และมันกำลังจะกระทืบไปที่เหล่าพระสงฆ์กลุ่มนั้น ทั้งหมดห้อมล้อม // และท่อง อิติปิโส ถอยหลัง ยักษ์ตนนั้น ปวดหัวทรมานอย่างแรง จนต้องอ้อนวอนให้พระสงฆ์กลุ่มนั้นหยุดท่องคาถานี้
    หัวหน้าคณะได้ให้ยักษ์สาบานด้วยวาจาสัตย์ว่าต้องไม่ทำร้ายใครอีก และต้องจำศีลเพื่อให้หลุดพ้นจากวัฏสงสารที่เป็นอยู่นี้ // ยักษ์จึงตกลง..และในที่สุดก็มาเป็นบทคาถาบทหนึ่งที่ไม่ใช่แค่คุ้มครองผู้สวดแล้ว ยังป้องกันภัยอันตรายทั้งหลาย ยามจำเป็นต้องพักในที่ที่เราไม่คุ้นเคย
    คาถาบทนี้มี 56 ตัว ให้ภาวนา 3 หรือ 7 คาบ ก่อนออกเดินทางไปสารทิศใด ๆ จะแคล้วคลาดปราศจากทุกภัยพิบัติทั้งปวง หากภาวนาได้ครบ108คาบ ติดต่อกัน จะมีตัวเบา เดินตัวปลิว เสกหรือสะเดาะเคราะห์ สะเดาะกุญแจ หรือโซ่ตรวนของจองจำทั้งปวงได้สิ้น

    "ติ วา คะ ภะ โธ พุท นัง สา นุส มะ วะ เท ถา สัต ถิ ระ สา มะ ทัม สะ ริ ปุ โร ตะ นุต อะ ทู วิ กะ โล โต คะ สุ โน ปัน สัม ณะ ระ จะ ชา วิช โธ พุท สัม มา สัม หัง ระ อะ วา คะ ภะ โส ปิ ติ อิ ฯ"
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • hqdefault.jpg
      hqdefault.jpg
      ขนาดไฟล์:
      17.2 KB
      เปิดดู:
      118
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 มีนาคม 2016
  17. noonei789

    noonei789 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มกราคม 2007
    โพสต์:
    1,079
    ค่าพลัง:
    +6,958
    ถาม : การท่องคาถาเป็นกรรมฐาน เวลาเราจะใช้ สมมติว่าจะสะเดาะกุญแจ อารมณ์นี่ต้องถึงขั้นไหน ?
    ตอบ : เรื่องของคาถานี่ตั้งแต่อุปจารฌานก็ได้ผลแล้ว คือมากกว่าตอนนี้นิดเดียวก็เริ่มใช้ได้ผล ยิ่งสมาธิสูงเท่าไรยิ่งได้ผลมากเท่านั้น อารมณ์แน่นกว่าปกตินิดเดียวก็เริ่มมีผลแล้ว ส่วนใหญ่เป็นเพราะอยากมากเกินไปก็เลยไม่มีผล
    ตอนนี้ที่วัดมีพระอยู่รูปหนึ่งอยากทุกเรื่อง แต่อยากแล้วไม่ทำ ชาติหน้าบ่าย ๆ คงจะได้อย่างที่ตัวเองอยาก
    ระยะหลังนี้ท่านกลัว ไม่กล้าเข้าใกล้เลย อาตมาอยู่ทางด้านนี้ ท่านจะหนีไปอยู่อีกมุมวัด เพราะว่าท่านอยู่ใกล้ ๆ แล้วคิดอะไรอาตมาจะพูดออกไปหมด เพื่อเตือนสติ ท่านเข็ด..ไม่กล้าอยู่ใกล้ อาตมาก็ไม่ได้ว่าอะไร เขาคิดผิดอาตมาก็จะบอกเขาว่าอย่างนั้นผิด ต้องตั้งอารมณ์อย่างนี้ ว่าไปหลายทีด้วยความเมตตาแท้ ๆ ดันกลัวจนไม่กล้าเข้าใกล้เลย ...ตกลงว่าคุณอ่านลายมือคุณผิดใช่ไหม ? ท่องคาถาเป็นกรรมฐาน อ่านไปว่าเป็นธรรมทาน ขนาดเขียนเองยังอ่านไม่ออกเลย ...(หัวเราะ)...
    ถาม : เวลาท่องคาถา ถ้าเกิดอารมณ์เลยฌาน ๑ แล้วจะมีกรรมฐาน จะต้องติดต่อกันไหม ?
    ตอบ : ถ้าหากว่ากำลังใจของคุณละเอียดอยู่ในลักษณะของฌานใช้งาน ก็จะภาวนาอยู่ ยังเป็นอยู่ตลอด แต่ถ้าหากว่าไม่ใช่ลักษณะฌานใช้งาน เป็นการเริ่มต้นใหม่ ๆ ถ้าถึงช่วงนั้นแล้ว คำภาวนาจะหายไป บางทีลมหายใจก็จะหายไปด้วย

    พอจิตกับประสาทเริ่มแยกเป็นคนละส่วนกัน เราจะบังคับร่างกายไม่ได้ พอบังคับร่างกายไม่ได้ ต่อให้หายใจอยู่...เราก็ไม่รับรู้ ฉะนั้น..บางทีคำภาวนาหายไป ไม่หายไปเปล่าลมหายใจก็หายไปด้วย ถึงตรงนี้อย่าตกใจตะกายไปหายใจใหม่ ไม่เป็นอะไรหรอก เราอยู่ได้สบายมาก

    ถาม : จำเป็นไหมครับต้องหลับตา หรือลืมตาก็ได้ ?
    ตอบ : อยู่ที่ตัวเรา บางคนหลับตาแล้ว ป้องกันอะไรที่เข้าทางประสาทตา ตัวเองจะได้ไม่วอกแวก หรือจะลืมตาภาวนาก็ได้ เก่งกว่าด้วย แต่ถ้าหากว่าเรารู้สึกว่าลืมตาแล้วเดี๋ยวอันนั้นมา เดี๋ยวอันนี้มา ทำให้วอกแวกไปสนใจ จะเสียการภาวนา เราก็หลับตาเสีย


    สนทนากับพระอาจารย์เล็ก สุธมฺมปญฺโญ
    เดือนสิงหาคม ๒๕๔๔
    ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  18. noonei789

    noonei789 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มกราคม 2007
    โพสต์:
    1,079
    ค่าพลัง:
    +6,958
    เคล็ดการสวดคาถาเงินล้าน จากหลวงพี่เล็ก วัดท่าขนุน ที่ท่านเมตตาแนะนำไว้มาฝาก

    เมื่อปี๒๕๒๘พระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านได้ขอให้บรรดาลูกหลานใช้พระคาถาเงินล้านเพื่อเสริมสร้างความคล่องตัวในการดำเนินชีวิตพระท่านก็อนุญาตให้เราจะสังเกตได้ว่าใครก็ตามที่ทำพระคาถาเงินล้านเป็นกรรมฐานอย่างสม่ำเสมอความคล่องขัดในการดำเนินชีวิตจะมีน้อยกว่าคนอื่นเขาขอยืนยันคำว่าจริงจังและสม่ำเสมอเพราะว่าเรื่องคาถาเป็นพื้นฐานของอภิญญาคนจะเป็นอภิญญาได้จะต้องมีความจริงจังและสม่ำเสมอ ไม่ใช่ทำ ๆ ทิ้งๆเมื่อท่านทั้งหลายได้ทำจริงจังและสม่ำเสมอ โดยเฉพาะทำในจำนวนที่มาก อย่างเช่นว่าอาจจะภาวนาวันละ ๑๐๘ จบ เป็นต้นก็จะมีความสะดวกคล่องตัวกว่าคนอื่นเขา
    โดยเฉพาะอาตมานั้น ตั้งแต่ท่านบอกมา ใช้การภาวนาจากที่เคยใช้อยู่ ๙ จบก็เพิ่มมาเป็น ๓๐ จบ....
    จากที่ใช้ ๓๐ จบ แล้วรู้ว่าเวลามันเหลืออีกเยอะ ก็เพิ่มเป็น ๓๐๐จบ.......
    ไล่มากเพิ่มขึ้นไปเรื่อย ๆ เป็น ๓๖๐ จบ เป็น ๖๐๐ จบ เป็น ๙๐๐ จบเป็น๑,๒๐๐ จบ เป็นต้น
    การท่องใช้วิธีท่องอย่างช้า ๆ โดยจับลมหายใจภาวนาไปด้วย เป็นการเน้นคุณภาพไม่ใช่จ้ำ ๆ ให้จบไป สักแต่ว่าเอาปริมาณ เรื่องของคาถาถ้าทำด้วยความเคารพจริงจังและสม่ำเสมอแล้ว ไม่เกิน ๒เดือนผลก็จะเกิดขึ้น
    credit:


    พระปัจเจกพุทธเจ้าท่านมาโปรด ท่านบอกว่า "ถ้าภาวนาคาถาเงินล้านเป็นกรรมฐาน ทรงอารมณ์โดยไม่เคลื่อนเลยวันละ ๑ ชั่วโมงจะสร้างโบสถ์กี่หลังก็ทำได้"

    ญาติโยมทั้งหลายนั้นแม้จะทราบว่าคาถาเงินล้านเป็นของดีแต่ไม่ค่อยจะทำอย่างสม่ำเสมอ ไม่ค่อยต่อเนื่องบางคนก็มาบ่น บอกว่ามีความลำบากในการทำมาหากินมาก อาตมาก็บอกคาถาเงินล้านให้ไปใช้เขาบอกว่าเขาภาวนาเป็นประจำทุกวันอยู่แล้ว ถามว่า "โยมภาวนาวันละกี่จบ ?"โยมบอกว่า"๑ จบ"อาตมาก็อยากจะบอกว่า"จบเห่"คนอยากรวยทำงานวันละ ๑ นาที ขนาด ๒๔ ชั่วโมงทำ ๘ ชั่วโมงยังไม่ค่อยจะพอกินเลย จึงได้บอกให้ญาติโยมทั้งหลายไปเพิ่มจำนวนขึ้นทำให้จริงจังและสม่ำเสมอ โดยให้ยึดที่ ๑๐๘ จบ เป็นหลักเพราะว่าภาวะเศรษฐกิจไม่ใช่แต่บ้านเราเท่านั้น เศรษฐกิจโลกก็พลอยแย่ไปด้วยถ้าหากว่าเราอาศัยบารมีพระยึดท่านเป็นที่พึ่งสุดท้ายจริง ๆ ทำแบบมอบหมายถวายชีวิตจริง ๆขอยืนยันว่าทุกอย่างก็จะเป็นจริงไปด้วย

    ท่านให้ภาวนาคาถาเงินล้านอย่างเดียว ตอนที่ภาวนาตามที่ท่านสั่ง ทำไป ๆเหมือนกับตัวเองดิ่งลึกลงไปเรื่อย ๆจนในที่สุดลมหายใจมันก็ลึกหมือนกับเหวที่ไม่มีก้นญาติโยมทั้งหลายจำตรงนี้ไว้ให้แม่น ๆหากว่าภาวนาจับลงที่ศูนย์กลางกายถ้าตรงจุดพอเหมาะพอดีมันจะลึกลงไปเรื่อย ๆ เหมือนเหวที่ไม่มีก้นแบบที่หลวงปู่สดท่านบอกว่าให้หยุดลงตรงกลาง....ตรงกลางลงไป...ตรงกลางลงไปก็จะไปได้เรื่อย ๆ อาตมาเองมีประสบการณ์หลายครั้งแล้วว่าไม่ว่าภาวนาคาถาบทไหนก็ตาม ถ้าหากว่ามาถึงตรงจุดนี้คาถาบทนั้นจะมีผลมาก เพราะฉะนั้นพวกเราทุกคนทำให้ถูกตรงนี้ถ้าทำถูกไม่ต้องไปท่องเป็นร้อยเป็นพันจบก็ได้เพราะว่าอารมณ์เต็มที่มันก็จะไม่เกินนั้น
    **
    องค์พระปัจเจกพุทธเจ้าต้องการให้พวกเราทุกคนเข้าใจถึงวิธีในการเจริญภาวนาคาถาเงินล้านเพื่อให้เกิดผลสูงสุดที่จะพึงมีพึงได้ตามวาสนาบารมีของแต่ละคนดังนั้นขอให้ทุกท่านตั้งกายให้ตรง แต่ไม่ใช่เกร็งเวลาหายใจเข้า นึกถึงคาถาเงินล้านที่เราภาวนา ไหลตามลมหายใจเข้าไปจนสุดลมหายใจของเรา ให้อยู่ตรงนั้น นั่นคือศูนย์กลางกาย
    ให้ทุกคนขยับโยกหน้าโยกหลัง หาความตรงพอดี ๆ ให้เป็นศูนย์กลางของเราเสร็จแล้วคำภาวนาทั้งหมดของเรา ให้กำหนดจดจ่อลงตรงนั้น โดยใช้สมาธิเพียงเบา ๆท่านที่ทรงสมาธิในระดับใช้งานได้จะเข้าใจตรงจุดนี้เลยแต่ถ้าหากว่าท่านที่ยังไม่เข้าใจ ให้รู้สึกเหมือนลมหายใจแตะแผ่ว ๆอยู่ตรงศูนย์กลางกาย แล้วภาวนาคาถาเงินล้านของเราไปเรื่อย ๆ
    องค์พระปัจเจกพุทธเจ้าได้ตรัสเอาไว้ว่าถ้าใครสามารถทำอย่างนี้ได้ต่อเนื่องกัน วันละประมาณ ๑ ชั่วโมงจะมีความคล่องตัวมาก จะทำงานใหญ่ขนาดไหน เงินทองก็จะไม่ขาดมือยิ่งถ้าเป็นบุคคลที่เริ่มด้วยทานบารมีมาตั้งแต่อดีตทรัพย์สินเงินทองจะไหลมาเทมามากเป็นพิเศษ
    ดังนั้น..ให้ทุกคนขยับหาจุดกึ่งกลางของเราที่พอดีโดยไม่ต้องเกร็งตัวเอง กำหนดความรู้สึกทั้งหมด พร้อมลมหายใจและคาถาเงินล้านของเราให้ลงไปที่กึ่งกลาง ให้ออกมาจากกึ่งกลาง โดยให้สัมผัสเพียงเบา ๆ เท่านั้นให้รักษาอารมณ์ใจอย่างนี้ไว้จนกว่าจะได้ยินเสียงสัญญาณบอกหมดเวลา
    ที่มา:เว็บพลังจิต
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  19. noonei789

    noonei789 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มกราคม 2007
    โพสต์:
    1,079
    ค่าพลัง:
    +6,958
    คาถาหลวงปู่ศุข (วัดมะขามเฒ่า)

    สัตถา เทวะมะนุสสานัง พุทโธ ภะคะวาติ มะอะอุ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  20. noonei789

    noonei789 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มกราคม 2007
    โพสต์:
    1,079
    ค่าพลัง:
    +6,958
    คนที่จะฝึกเเล้วได้ผลดี ต้องมีลักษณะบางอย่างต่อไปนี้ถึงจะทรงฌาณไว้ได้ดีค่ะ
    1.เคารพในพระรัตนตรัย
    2.ไม่สงสัยในพระธรรมคำสั่งสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
    3.รักษาศีล5เเละกรรมบท10
    4.อุปสมานุสสติกรรมฐาน นึกถึงพระนิพพานเป็นอารมณ์
    5.ไม่ประมาทในความตาย นึกถึงความตายเป็นอารมณ์
    6.ตัดปฏิฆะ คือ ความกระทบกระทั่งกับอารมณ์ของจิต ด้วยอำนาจความโกรธ ความพยาบาทให้สิ้นไป
    7.ไม่มีมานะทิฏฐิ ใช้ปัญญาเข้าควบคุมกำลังใจว่าอารมณ์ใดที่จะเกิดขึ้นนั้น เราไม่ต้องการ เรามุ่งเฉพาะพระนิพพานอย่างเดียว
    8. เราพยายามหาทางทำลายกามฉันทะให้พินาศไปจากจิต
    9.เราจะต้องไม่ติดอยู่เฉพาะในอรูปฌาน ใช้ปัญญาใคร่ครวญ พิจารณาศีลของเราให้เป็นปกติ อย่าให้มันด่าง มันพร้อย มันขาดทะลุ อย่าให้มันบกพร่อง ถ้ามีปัญญาเสียอย่างเดียว ไม่มีอะไรยาก และก็ใช้ปัญญาพิจารณาว่าร่างกายของตน ร่างกายของสัตว์ ที่เรียกว่า รูป เสียง กลิ่น รส และสัมผัส เอาร่างกายคนก็แล้วกัน คนก็ดี สัตว์ก็ดี วัตถุก็ดี มันสกปรกหรือสะอาดให้ พิจารณาใน กายคตานุสสติ และอสุภกรรมฐาน
    10.เราจะไม่หลงใหลใฝ่ฝันติดอยู่เฉพาะในรูปฌาน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 มีนาคม 2016

แชร์หน้านี้

Loading...