มีท่านใดในนี้ ปรารถนาเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้าบ้างใหมครับ

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย tai yi fan, 2 เมษายน 2013.

  1. tai yi fan

    tai yi fan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2012
    โพสต์:
    50
    ค่าพลัง:
    +181
    อยากทราบว่าการบำเพ็ญเพียรบารมีทางด้านพระปัจเจกพุทธเจ้ามีลักษณะเด่นและข้อสังเกตุอย่างไรบ้างใหมครับ
     
  2. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,941
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    พระปัจเจกพุทธเจ้า

    --------------------------------------------------------------------------------



    ถาม : สงสัยคำว่า พระปัจเจกพุทธเจ้า ?

    ตอบ : ปัจเจก แปลว่า เฉพาะตน พระปัจเจกพุทธเจ้าเป็นพระพุทธเจ้าที่ท่านอยากจะรู้ทุกเรื่อง แต่ไม่อยากสอนใคร ท่านจึงอธิษฐานเพื่อความเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า ก็คือสามารถรู้ได้เท่ากับพระพุทธเจ้า แต่ไม่ต้องเสียเวลามาสอนบริวารของท่าน

    ถ้าคนทั่วไปไปหาท่าน ท่านก็สอนแค่ศีล สมาธิ ปัญญาเบื้องต้นเท่านั้น ยกเว้นท่านที่ปรารถนาจะเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้าด้วยกัน ท่านจึงจะสอนให้ถึงจุดจบ ในเมื่อท่านไม่ต้องสอนคนหมู่มาก จึงมีสิ่งหนึ่งที่ท่าน ไม่มี เหมือนพระพุทธเจ้าก็คือ สัพพัญญุตญาณ สัพพัญญุตญาณนี่ต้องรู้รอบ รู้ทุกเรื่อง จะได้สอนคนให้ถูกต้องตามกำลังใจของเขา

    ถาม : พระปัจเจกกับพระสาวกนี่ต่างกัน ?

    ตอบ : ต่างกัน..พระปัจเจกพุทธเจ้าสร้างบารมีมาอย่างน้อยต้องเท่ากับพระอัครสาวก ถ้าหากว่าพระมหาสาวกทั่วๆ ไป สร้างบารมีมาน้อยกว่าพระองค์เป็นเท่าตัว


    สนทนากับพระครูวิลาศกาญจนธรรม (พระอาจารย์เล็ก สุธมฺมปญฺโญ)
    เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนกันยายน ๒๕๕๕


    ที่มา : เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนกันยายน ๒๕๕๕ - หน้า 3 - กระดานสนทนาวัดท่าขนุน
     
  3. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,941
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    ผู้ถาม >> หลวงพ่อครับ พระปัจเจกพุทธเจ้า ท่านต้องบำเพ็ญบารมีนานไหมครับ จึงจะตรัสรู้ได้....?

    หลวงพ่อ >> พระปัจเจกพระพุทธเจ้า ท่านบำเพ็ญบารมีเท่ากับพระอัครสาวก คือ 2 อสงไขยกับแสนกัป

    ผู้ถาม >> ท่านตรัสรู้เองใช่ไหมครับ.....?

    หลวงพ่อ >> ใช่ ลงคำว่า พุทธเจ้า ต้องตรัสรู้เอง คือไม่ต้องรับคำสอนจากคนอื่น

    ผู้ถาม >> มีเฉพาะตอนที่มีพระพุทธเจ้าใช่ไหมครับ....?

    หลวงพ่อ >> เจ๊ง...พระปัจเจกพระพุทธเจ้าจะมีขึ้นก็ต่อเมื่อว่างจากพระพุทธเจ้า ไม่ใช้มีพร้อมพระพุทธเจ้า
    อย่างศาสนานี้สิ้นไป ในช่วงว่างก่อนจะถึงพระศรีอาริย์ ในช่วงนี้มีพระปัจเจกพระพุทธเจ้า
    สมัยพระปัจเจกพระพุทธเจ้าเวลานี้ก็ไม่มีสาวก ก็มีพระปัจเจกพระพุทธเจ้า ทั้งหมด
    เพราะปัจเจกพุทธเจ้าไม่ได้บรรลุเพียงองค์เดียวอย่างพ ระพุทธเจ้า ก็มีได้เป็นหมื่นเป็นแสน
    แต่พระพุทธเจ้าจะต้องมีองค์เดียว มีซ้อนไม่ได้

    ผู้ถาม >> แล้วทำไมพระปัจเจกพระพุทธเจ้าเมื่อท่านตรัสรู้แล้วจึงไม่สอนเหมือนกับพระพุทธเจ้าครับ....?

    หลวงพ่อ >> เกิดทันรึ...รู้เหรอว่าท่านไม่สอน เคยพบหรือเปล่า....?


    ผู้ถาม >> ?....?....?

    หลวงพ่อ >> ท่านสอน จะว่าไม่สอนเลยนั้นไม่ใช่ แต่ว่าไม่สอนถึงอริยสัจ ถ้าไปศึกษากับท่าน
    ท่านก็สอนแค่อภิญญาโลกีย์ ส่วนที่ตัดเข้าถึงมรรคผลนั้นเป็นเรื่องของบุคคลนั้นเ อง ปัจเจก เขาแปลว่า รู้เฉพาะตน
    ความจริง คำว่า "เฉพาะ" ก็มีเฉพาะส่วนที่เป็นอริยสัจเท่านั้นเองนะ

    ผู้ถาม >> ถ้าอย่างนั้นพระปัจเจกพระพุทธเจ้าก็รู้หมดทุกอย่างใช ่ไหมครับ....?

    หลวงพ่อ >> รู้หมด....พระสัมมาสัมพุทธเจ้าซิ รู้ไม่หมด

    ผู้ถาม >> อ้าว...ทำไมยังงั้นล่ะครับ

    หลวงพ่อ >> ถ้าถามปัญหาพระพุทธเจ้า ท่านรู้ทุกอย่าง รู้ไม่หมดสักที
    พระปัจเจกพระพุทธเจ้าถามไปถามมา...หมด นี่เขา เรียกว่า รู้หมด

    ผู้ถาม >> อ๋อ...แหมศัพท์ภาษาไทยนี่ไม่รู้เรื่อง อยู่ห่างวัดเป็นอย่างนี้

    หลวงพ่อ >> เป็นอันว่าพระปัจเจกพระพุทธเจ้าท่านสอนเรื่องสวรรค์ เรื่องพรหม
    แต่เรื่องนิพพานท่านไม่สอนใคร เพราะไม่ใช้หน้าที่ของท่าน

    ฉะนั้นพระถ้าเข้าถึงจุดหมายปลายทาง ท่านจะรู้หน้าที่ของท่าน อย่างพระที่ยังไม่เป็นอรหันต์
    เป็นหมอดู เป็นหมอรักษาโรค เราใช้ได้ทุกอย่าง ท่านจะทำให้ทุกอย่าง พอถึงอรหันต์ปั๊บ
    ท่านรู้เลยว่าท่านเกิดมานี่เพื่อทำกิจอะไร.....อย่าง อื่นที่ไม่ใช่ของท่าน ท่านจะไม่ทำ จะงดหมด
    ท่านทำเฉพาะกิจ พระปัจเจกพุทธเจ้าก็เหมือนกัน ท่านสอนเรื่องสวรรค์ เรื่องพรหม แต่เรื่องนิพพานท่านไม่สอน

    จากหนังสือหลวงพ่อตอบปัญญาธรรม ฉบับพิเศษ เล่ม 4
    ( โดย หลวงพ่อฤาษี ลิงดำ )
     
  4. พูน

    พูน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    595
    ค่าพลัง:
    +2,479
    ก็อธิษฐานก่อนว่าจะไปแนวนี้ ข้อสังเกตคือทำบุญสร้างบารมีไม่ค่อยชวนใคร ตะลุยไปคนเดียว เหนือใต้ออกตก ไปทั่วหมด บินเดี่ยวเป็นอาชีพ ไม่ค่อยจะยุ่งกับคน เก็บตัวเงียบๆ ถ้าไม่ถามไม่เอ่ยปาก เวลาเจอปัญหาก็ไม่ค่อยมีบริวารมาช่วย ต้องแก้เอง ทำเอง เรียกว่าทำบุญกับคนไม่ค่อยขึ้น เหนื่อยครับ
    แต่ลองลา พุทธภูมิซิ มีเรื่องให้ทำเยอะเลย ช่วยพระศาสนา ช่วยสมเด็จฯ ท่านเผยแผ่ ชี้นำแนวทางกับคนที่ยังพอช่วยได้
    16 อสงไขย ท่านยังลามาช่วยกัน กำลังใจแบบนี้เป็นตัวอย่างครับ มาช่วยกันดีกว่า
     
  5. bosslnwskr10

    bosslnwskr10 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    1,912
    ค่าพลัง:
    +1,512
    พระปัจเจกไม่ได้รุ้เท่าพระพุทธเจ้านะครับ
     
  6. tsukino2012

    tsukino2012 หยุดจึงพบ สงบจึงเกิด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    1,311
    ค่าพลัง:
    +3,090
    หมั่นทำแต่ความดี มีเมตตา รักษาศีล ก็พอแล้ว
     
  7. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,941
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819


    พระปัจเจกพุทธเจ้า ก็คือสามารถรู้ได้เท่ากับพระพุทธเจ้า

    พระปัจเจกพุทธเจ้า ก็คือสามารถรู้ได้เท่ากับพระพุทธเจ้า

    พระปัจเจกพุทธเจ้า ก็คือสามารถรู้ได้เท่ากับพระพุทธเจ้า
     
  8. เตีย

    เตีย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    12
    ค่าพลัง:
    +104
    ผมคนหนึ่งแหล่ะครับ ที่ตั้งความปรารถนาในเส้นทางพระปัจเจกพุทธเจ้า ผมรู้สึกได้ว่าผมตั้งจิตอธิษฐานมาหลายภพชาติมานานแล้ว ปัจจุปันจิตใจผมไม่ยอมเปลี่ยนใจแม้แต่น้อย ยังคงรักและมั่นคงหนักแน่นจนกว่าจะสำเร็จพระปัจเจกโพธิญาณในที่สุดนั่นแหล่ะ ผมจึงจะหยุด

    แต่สำหรับเส้นทาง "พระพุทธเจ้า" กำลังใจกำลังบารมีผมคงไม่ถึงหรอกครับ พระพุทธเจ้าท่านเปรียบเสมือนครูใหญ่ ท่านมีกำลังบารเข้มแข็งเข้มข้นมาก ผมจึงขอยกบูชาพระคุณ..ของพระพุทธเจ้าไว้เหนือหัวเลยครับ

    ผมยังหาเพื่อนที่ปรารถนาในเส้นทางพระปัจเจกพุทธเจ้าเหมือนกัน ก็หายากครับ มีท่านใดเดินเส้นทางเดียวกับผมบ้าง
     
  9. ธรรมมนุษย์

    ธรรมมนุษย์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มกราคม 2010
    โพสต์:
    397
    ค่าพลัง:
    +1,908
    เคยปรารถนาในใจแต่ไม่เคยเอ่ยบอกใครครับ รู้สึกว่าชีวิตตนเองเกิดมาเป็นแบบที่ท่านกล่าวมา เก็บตัวเงียบ เพื่อนน้อย ชอบศึกษาเองเรียนรู้เองจากตำราชอบเจริญกรรมฐานเงียบคนเดียว ปัจจุบันก็อธิฐานลาแล้ว (บารมีอ่อน) เห็นทุกข์จนเบื่อจนเหนื่อยจนท้อกลัวภัยวัฏสงสารกลัวอบายภูมิมากจะให้ลงนรกอีกสักครั้งก็ไม่เอาแล้ว ขอจบกิจอธิฐานบารมีเร่งรัดเอาตัวรอดนิพพานในอนาคตขอทนอยู่อย่างมากกัปเดียวพอครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 มีนาคม 2014
  10. naitiw

    naitiw เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มกราคม 2006
    โพสต์:
    1,611
    ค่าพลัง:
    +2,882
    เคย ลาแล้วเหมือนกัน ขอไปกับหลวงพ่อฤาษีลิงดำท่าน ไม่อยากมาเกิดแล้ว
     
  11. modxsuper_1

    modxsuper_1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    148
    ค่าพลัง:
    +373
    เช่นกันรู้ตัวมาตั้งแต่เป็นวัยรุ่น ว่าเราไม่ได้ปารถณาสาวก แต่พุทธภูมิก็สูงไปและรู้สึกไม่ชอบ เพราะภาระเยอะยุ่งยากอยู่กับบริษัทบริวาร พิจารณาถ้วนถี่แล้วมาตัดลงที่พระปัจเจกภูมิ ใจมันมีกำลังขึ้นมาทันที อาจจะรอจนสิ้นศาสนาของพระพุทธโคดมนี้ก็ได้ แต่ยังเป็นห่วงพระโพธิสัตว์ใหญ่อีกองค์ กลังท่านจะกลับมาสร้างบารมีในสมัยที่ว่างศาสนา จะคอยดูแลท่านให้ข้ามฝั่งให้ได้ก่อน
     
  12. pandykub

    pandykub Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มกราคม 2013
    โพสต์:
    30
    ค่าพลัง:
    +62
    อนุโมทนากับทุกท่านครับ กำลังใจสูงๆกันทั้งนั้น :)
    คตปัจจาคตวัตร อย่าทอดทิ้งอารมณ์พระกรรมฐาน
     
  13. สุชีโว

    สุชีโว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กุมภาพันธ์ 2013
    โพสต์:
    154
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +579
    สาธุ ขออนุโมทนากับทุกท่านด้วย
    ปรารถนาถึงความบรรลุเป็นปัจเจกพุทธเจ้า ก็ต้องเรียนถูก เรียนผิดกันต่อไป แต่ไม่ต้องเรียนรายละเอียดปลีกย่อยเพื่อเป็นบรมครูอย่างพระพุทธเจ้า ไม่ต้องสะสมบุญบารมีเพื่อให้มีญาณหยั่งรู้ทั่วสากลจักรวาล มีความรู้แค่ใบไม้ในกำมือ ก็เพียงพอ
    มีความรู้เท่าเทียมพระพุทธเจ้าในแง่เปรียบเทียบ คล้ายๆกับการสอบ คะแนน 100 คะแนน ก็ทำข้อสอบให้ได้ 50 คะแนนขึ้นไปก็สอบได้แล้ว
    ผู้ปราถนาปัจเจกพุทธเจ้าเกิดสะสมบารมีได้ในทุกช่วงของกัปป์ ถ้าไม่อยากเสียเวลา อธิฐานให้เกิดเป็นมนุษย์ทุกชาติ เน้นสมาธิ ภาวนา วิปัสสนา พิจารณาไตรลักษณ์(หลักสูตรพิ้นฐาน) ไม่เน้นทำฌานเดี๋ยวไปเป็นพรหมเสียเวลาสะสมบารมีไปเรื่อยๆก็สำเร็จได้
    ปัจเจกพุทธเจ้าก็มีเครือข่าย บริวารร่วมขบวนบุญได้ เพียงไม่ตั้งศาสนาเท่านั้นเอง (อันนี้ขึ้นอยู่กับกำลังใจว่ามีขนาดไหน)


    พระปัจเจกพุทธเจ้ามี ๓ ประเภท :

    สำหรับความปรารถนาของพระปัจเจกโพธิสัตว์ทั้งหลาย แม้ถึงจะมีบารมีเป็นปัญญาธิกะ
    ก็ยังต้องปรารถนาการเพิ่มพูนโพธิสมภารตลอดเวลา ๒ อสงไขยแสนกัป ไม่อาจต่ำกว่านี้
    พระปัจเจกพุทธเจ้ามี ๓ ประเภท คือ

    ๑. พระปัจเจกสัมพุทธเจ้าปัญญาธิกะ : บำเพ็ญบารมี ๒ อสงไขยแสนกัป

    ๒. พระปัจเจกสัมพุทธเจ้าศรัทธาธิกะ : บำเพ็ญบารมี ๒ อสงไขยแสนกัป และเกินแสนกัปไปเล็กน้อย

    ๓. พระปัจเจกสัมพุทธเจ้าวิริยาธิกะ : บำเพ็ญบารมี ๒ อสงไขยแสนกัป
    และเกินแสนกัปไปมากแต่ไม่ถึง ๓ อสงไขย

    ผู้ปรารถนาความเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า จำเป็นต้องปรารถนาสมบัติ ๕ ประการ
    เพื่อเกิดอภินิหารของพระปัจเจกพุทธเจ้ามี ๕ ประการ คือ

    ๑. ความเป็นมนุษย์

    ๒. ความถึงพร้อมด้วยเพศชาย

    ๓. การได้เห็นท่านผู้ปราศจากอาสวะ คือ พระอรหันต์ทั้งหลาย อาทิ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า,
    พระปัจเจกพุทธเจ้า, หรือพระอรหันต์สาวก ท่านใดท่านหนึ่ง

    ๔. การกระทำอันยิ่งใหญ หรือ อธิการ

    ๕. ความเป็นผู้มีฉันทะ

    พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลาย บำเพ็ญบารมีทั้งหลายตลอดกาลตามประเภทแล้ว ด้วยความปรารถนานี้
    และด้วยอภินิหารนี้ อย่างนี้แล้วเมื่อจะเกิดในโลก ย่อมเกิดในสกุลกษัตริย์ หรือ สกุลพราหมณ์

    พระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลาย ย่อมเกิดในสกุลกษัตริย์ สกุลพราหมณ์ หรือ สกุลคหบดี สกุลใดสกุลหนึ่ง

    ++++++++++
    จากข้อความในพระไตรปิฎกกล่าวว่า พระปัจเจกพระพุทธเจ้าเมื่อท่านได้ตรัสรู้ด้วยตนเองแล ้วนั้นท่านไม่ได้สอนผู้ใด
    เนื่องจากคำแปลที่เราอ่านจากพระไตรปิฎกนั้นแปลมาจากภ าษาบาลีซึ่งบางคำเป็นการแปลตรงตัว
    ซึ่งพระอริยเจ้าทั้งหลายหรือผู้ที่เข้าใจธรรมะด้วยปั ญญาญาณเมื่อได้อ่านแล้วย่อมเข้าใจได้อย่างแจ่มแจ้ง


    ประเด็นที่ 1 ที่บอกว่าไม่ได้สอนเพราะไม่มีใครให้สอน ไม่ได้หมายความว่าจะไม่สอนอะไรใครเลย
    ( ที่ไม่สอนคือไม่สอนเกี่ยวกับเรื่องมรรคผล นิพพาน เรื่องอริยสัจ เพราะเป็นเรื่องที่ลึกซึ้ง
    คนที่เกิดในสมัยนั้นไม่มีบารมีพอที่จะสามารถบรรลุธรร มได้ คือไม่มีภูมิธรรมสูงพอที่จะฟังท่านเข้าใจ
    แต่ท่านจะสอนเกี่ยวกับการทำทาน การถือศีล การทำความดีทั่วๆไปที่คนในยุคนั้นพอจะทำได้ )
    และอีกความความหมายหนึ่งคือ ไม่สามารถสอนได้เหมือนกับพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
    เนื่องจากบำเพ็ญบารมีน้อยกว่าพระพุทธเจ้า

    แต่บางคนเข้าใจเอาเองและตีความหมายผิดไปว่าที่ไม่สอน เพราะท่านไม่สามารถสอนใครได้
    ซึ่งความจริงไม่ใช่อย่างนั้นอย่าลืมว่าพระปัจเจกพระพ ุทธเจ้าท่านมีบารมีมากกว่าอรหันต์สาวก
    และสามารถบรรลุธรรมได้โดยไม่ต้องมีผู้ใดสอน ลองพิจารณาดูว่า เมื่อตรัสรู้ได้เองนั้นก็หมายความว่า
    ท่านรู้ทุกข์ รู้เหตุแห่งทุกข์ รู้หนทางแห่งการดับทุกข์ รู้ผลแห่งการดับทุกข์
    ในเมื่อท่านรู้ด้วยตนเองอย่างนี้แล้วทำไมท่านจะสอนคน อื่นไม่ได้
    ( เปรียบเหมือนคนที่บวก ลบ คูณ หารได้แล้ว ก็สามารถสอนคนที่ไม่รู้ให้รู้ได้ด้วยวิธีการที่ตัวเองรู้ได้ เป็นต้น )
    ขนาดพระอรหันต์สาวกในสมัยพุทธกาลหรือในปัจจุบันยังสามารถสอนฆราวาส สอนพระภิกษุลูกศิษย์ให้บรรลุธรรมได้เลย
    ( เช่น พระอัสสชิ กล่าวธรรมะเพียงสั้นๆให้พระสารีบุตรได้ฟัง ทำให้บรรลุเป็นพระโสดาบัน หลังจากได้ฟังธรรม )
    ทำไมพระปัจเจกพระพุทธเจ้าซึ่งมีบารมีมากกว่าจะทำไม่ได้


    ประเด็นที่ 2 ในพระไตรปิฎกยังกล่าวถึงคุณของพระปัจเจกพระพุทธเจ้าไว้หลายแห่งด้วยกัน
    ทรงสงเคราะห์ พระโพธิสัตว์

    ... พระปัจเจกพุทธเจ้าในอดีต ได้สงเคราะห์พระโพธิสัตว์หลายครั้งหลายหนด้วยกัน
    ดังเรื่องตัวอย่างที่มาในชาดกนี้

    ... พระทรีมุขปัจเจกพุทธเจ้า : ได้ให้โอวาทพระพรหมทัตชักชวนให้ทรงผนวช โดยตรัสถึงโทษของกาม
    คุณของบรรพชา แสดงถึงทุกข์ทั้งที่มีการก้าวลงสู่ครรภ์เป็นมูลฐาน ทั้งที่มีการบริหารครรภ์เป็นมูลฐาน
    ทั้งที่มีการออกจากครรภ์เป็นมูลฐาน...

    ... พระปัจเจกพุทธเจ้า ๔ องค์ : เมื่อพระโพธิสัตว์ทูลถามถึงอารมณ์ที่พระปัจเจกพุทธเจ้าทรงเห็นแล้วจึงประพฤติภิกขาจาริยวัตร
    พระปัจเจกพุทธเจ้านั้นได้ตรัสบอกเรื่องราวการออกบวชของตนแก่พระโพธิสัตว์
    ภายหลังพระโพธิสัตว์ได้ออกบวชเป็นฤาษี...

    ... พระโพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็นคนยากจน : ได้ถวายขนมกุมมาส ๔ ก้อนแก่พระปัจเจกพุทธเจ้า ๔ องค์
    ท่านเสวยทันที ทรงทำอนุโมทนา แล้วได้ทรงเหาะไปสู่เงื้อมเขา นันทมูลกะ...พระโพธิสัตว์ประคองอัญชลี
    แล้วเอาปิติที่ไปในพระปัจเจกพุทธเจ้าเป็นอารมณ์ แล้วรำลึกถึงพระปัจเจกพุทธเจ้านั้นตลอดอายุจนถึงแก่กรรม แล้วไปเกิดเป็นพระราชา

    ... พระปัจเจกพุทธเจ้าองค์หนึ่งอยู่ที่ภูเขาคันธมาทน์ : ได้พิจารณาเห็นสังขพราหมณ์จะเดินทางไปหาทรัพย์เพื่อจะให้ทาน
    จักมีอันตรายในสมุทร ถ้าสังขพราหมณ์เห็นท่านแล้วจักถวาย ร่ม และรองเท้าแก่ท่าน
    เมื่อเรือแตกกลางมหาสมุทร สังขพราหมณ์ได้ที่พึ่งด้วยอานิสงส์ที่ถวายรองเท้า

    พระปัจเจกพุทธเจ้านั้น จึงได้อนุเคราะห์สังขพราหมณ์ ได้เหาะมา ณ ที่ใกล้สังขพราหมณ์
    เดินเหยียบทรายร้อนเช่นกับถ่านเพลิง เพราะลมแรงแดดกล้า ตรงมายังสังขพราหมณ์

    สังขพราหมณ์ได้นมัสการพระปัจเจกพุทธเจ้า เข้าไปที่โคนต้นไม้ แล้วพูนทรายขึ้นแล้วเอาผ้าห่มปูลาด
    นมัสการพระปัจเจกพุทธเจ้า แล้วล้างเท้าด้วยน้ำที่อบกรองใสสะอาด ทาเท้าด้วยน้ำมันหอม
    แล้วสวมเท้าพระปัจเจกพุทธเจ้า ถวายร่มและรองเท้าด้วยวาจา

    พระปัจเจกพุทธเจ้านั้นเพื่อจะอนุเคราะห์สังขพราหมณ์จึงรับร่มและรองเท้า และเพื่อให้ความเลื่อมใสเจริญยิ่งขึ้น
    จึงเหาะไปภูเขาคันธมาทน์ให้สังขพราหมณ์เห็น...

    ... พระปัจเจกพุทธเจ้าองค์หนึ่ง : ทราบความที่ดาบสพระโพธิสัตว์มีมานะ เพราะอาศัยชาติของตน
    ไม่สามารถจะยังฌานให้เกิดขึ้นได้ จึงไปข่มมานะดาบส โดยไปนั่งเหนือกระดานหินของดาบส

    ดาบสขุ่นใจเพราะความมีมานะ ปรี่เข้าไปหาท่านดาบสเพื่อตวาดท่าน พระปัจเจกพุทธเจ้านั้นจึงกล่าวกะท่านว่า :

    " พ่อคนดี เหตุไฉนพ่อจึงมีมานะ อาตมาบรรลุพระปัจเจกพุทธญาณแล้วนะ ในกัปนี้เอง
    พ่อจักเป็นสัพพัญญูพุทธเจ้า พ่อเป็นหน่อเนื้อพระพุทธเจ้านะ พ่อบำเพ็ญบารมีมาแล้ว รอเวลาเพียงเท่านี้
    ข้างหน้าผ่านไปจักเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พ่อดำรงในความเป็นพระพุทธเจ้า จักมีชื่อว่า "สิทธัตถะ"

    บอกนามตระกูลโคตรและอัครสาวกเป็นต้นแล้ว ได้ประทานโอวาทว่า :

    " พ่อยังจะมัวเอาแต่มานะ เป็นคนหยาบคาย เพื่ออะไรเล่า นี้ไม่สมควรแก่พ่อเลย "

    ดาบสนั้นแม้พระปัจเจกพุทธเจ้ากล่าวอย่างนี้แล้ว ก็ยังไม่ไหว้ท่านอยู่นั่นเอง...มิหนำซ้ำไม่ถามเสียด้วยว่า
    ข้าจักเป็นพระพุทธเจ้าเมื่อไร

    พระปัจเจกพุทธเจ้ากล่าวว่า :

    " เธอไม่รู้ความใหญ่หลวงแห่งชาติ และความใหญ่โตแห่งคุณของเรา หากเธอสามารถ ก็จงเที่ยวไปในอากาศเหมือนเรา "
    แล้วเหาะไปในอากาศ โปรยฝุ่นที่เท้าตนลงไปใน มณฑลชฏา ของดาบสนั้น ไปสู่หิมพานต์ตอนเหนือดังเดิม

    พอท่านไปแล้วดาบสนั้นจึงสลดใจ สมาทานอุโบสถข่มมานะ เจริญกสิณ ยังอภิญญาและสมาบัติ ๘ ให้เกิดขึ้น
    เมื่อหมดอายุขัยจึงได้ไปบังเกิดยังพรหมโลกแล


    ประเด็นที่ 3 พระปัจเจกพระพุทธเจ้าท่านมักจะเข้านิโรธสมาบัติ เมื่อออกจากนิโรธสมาบัติแล้วท่านจะดูด้วยญาณว่า
    ใครที่ท่านสามารถโปรดได้บ้าง หรือใครมีศรัทธาใส่บาตรท่านบ้าง ท่านก็จะไปยังที่นั้นในทันที
    ในพระไตรปิฎกก็มีกล่าวไว้ว่าผู้ที่ได้ทำบุญ หรือใส่บาตรกับพระที่ออกจากนิโรธสมาบัติจะได้รับผลบุ ญมหาศาลภายใน 7 วัน
    คือถ้าเป็นยาจก คนยากจนจะเป็นมหาเศรษฐีในทันที หรือผู้ที่ขัดสนติดข้องในเรื่องอะไรจะได้รับผลมีความ สุขในทันที )
    ซึ่งผลบุญที่ได้ไม่ได้มีเพียงชาติเดียวแต่ยังให้ผลข้ามชาติด้วย ซึ่งเป็นผลอันเนื่องมาจากนิโรธสมาบัติ
    +++++++++
    ประมวลจากหลายแห่ง

    ขอความปราถนาในโพธิญาณ ปัจเจกพุทธเจ้าของท่าน สำเร็จโดยเร็ว เทอญ... สาธุๆๆๆ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 มีนาคม 2014
  14. bosslnwskr10

    bosslnwskr10 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    1,912
    ค่าพลัง:
    +1,512
    พระปัจเจกรู้สึกว่า จะสามารถจำกัดการระลึกชาติได้นะครับ
    ไมไ่ด้มีปัญญากว้างไร้ที่สิ้นสุดเหมือนพระพุทธเจ้า
    พระพุทธเจ้าสามารถเห็นเส้นขอบจักรวาล ซึ่งไม่มีจริง จึงเรียกว่าอนันตะ
    ระรึกชาติไม่ไ่ด้จำกัด

    แต่ความมารถพระปัจเจกไมไ่ด้ขนาดนั้นนะครับ
    การบำเพ็บก็น้อยกว่ามากด้วย
     
  15. bosslnwskr10

    bosslnwskr10 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    1,912
    ค่าพลัง:
    +1,512
    บุคคลผู้ระลึกถึงขันธ์ในอดีตของตนได้ มี ๖ ประเภท





    ๑. เดียรถีย์ระลึกได้เพียง ๔๐ กัป

    ๒. พระปกติสาวกทั้งหลาย ระลึกได้ ๑๐๐ กัป ก็มี ๑๐๐๐ กัปก็มี

    ๓. พระมหาสาวกทั้งหลาย ระลึกได้แสนกัป

    ๔. พระอัครสาวกทั้งสององค์(พระสารีบุตร และพระโมคคัลลา)ระลึกได้ ๑ อสงไขยกับแสนกัป

    ๕. พระปัจเจกพุทธระลึกได้ ๒ อสงไขยกับแสนกัป

    ๖. พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ระลึกได้ตลอด ไม่มีที่สุด หากำหนดกาลไม่ได้.



    ที่จริงเอาตำรามาตีกันก็ไม่ค่อยดีหรอกนะครับ แต่ลองๆทำดู
     
  16. bosslnwskr10

    bosslnwskr10 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    1,912
    ค่าพลัง:
    +1,512
    ความสามารถในการระลึกต่างกัน

    ๑. เดียรถีย์ทั้งหลาย ระลึกได้แต่ลำดับขันธ์ ไม่อาจปล่อยลำดับมาระลึกโดยจุติ ปฏิสนธิได้

    ๒. พระปกติสาวก ระลึกโดยลำดับขันธ์บ้าง ระลึกก้าวไปโดยจุติ ปฏิสนธิบ้าง

    ๓. พระมหาสาวก เช่นเดียวกับพระปกติสาวก

    ๔. พระอัครสาวก กิจด้วยการระลึกตามลำดับขันธ์หามีไม่ ระลึกก้าวไปในจุติ ปฏิสนธิทีเดียว เห็นจุติอัตภาพหนึ่ง เห็นปฏิสนธิในอัตภาพอื่น

    ๕. พระปัจเจกพุทธทั้งหลาย ก็เช่นเดียวกับพระอัครสาวก

    ๖. พระพุทธเจ้าทั้งหลาย มีพระประสงค์จะทรงทราบ ตรงที่ใด ในกาลใด แม้หลายโกฏิกัป ในที่นั้นๆ ก็ปรากฏแก่พระองค์โดยแท้



    (ที่มา - คู่มือการศึกษา วิสุทธิมัค [สังเขป] รวบรวมโดยอาจารย์วรรณสิทธิ ไวทยะเสวี)
     
  17. bosslnwskr10

    bosslnwskr10 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    1,912
    ค่าพลัง:
    +1,512

    พระปัจเจกก็มี 3 สายเหรอครับ เพิ่งรู้นะครับ

    ขอบตุณสำหรับความรู้ใหม่นะครับ
     
  18. modxsuper_1

    modxsuper_1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    148
    ค่าพลัง:
    +373
    เป็นดังเช่นนั้นแล สาธุ
    เรื่องสอนหรือไม่สอนนี่ตามความเห็นของผม เมื่อพระปัจเจกพระองค์นั้นได้ บรรลุธรรมแล้วย่อมถึงพร้อมประกอบด้วยญาณหยั่งรู้ เป็นเรื่องธรรมชาติเมื่อได้พบเจอผู้ที่เคยมีกรรมเกี่ยวข้องกันมาจะสงเคราะห์ ให้เกิดประโยชน์ด้วยวิธีใดก็ตามสมควร ยิ่งถ้าได้เจอกับผู้ที่ปารถณาที่จะสำเร็จเป็นพระปัจเจกด้วยแล้ว ในกรณีย์นี้ยิ่งสอนน้อยที่สุดเท่าที่จะสอนได้ เพราะอะไร เพราะเมื่อผู้นั้นปารถณาจะเป็นพระปัจเจก และบำเพ็ญบารมีมาจนพร้อมแล้ว ก็ต้องสำเร็จได้ด้วยตัวเองไม่ต้องรอใครมาสอน ถ้าจะสอนใคร หรือรอใครมาสอน ก็ไม่ใช่วิสัยของพระปัจเจก
     

แชร์หน้านี้

Loading...