ใครตอบไม่ได้คนนั้นไม่มีวันที่จะบรรลุธรรมได้ สติคืออะไร?

ในห้อง 'Black Hole' ตั้งกระทู้โดย newamazing, 6 สิงหาคม 2013.

  1. MindSoul1

    MindSoul1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กันยายน 2012
    โพสต์:
    295
    ค่าพลัง:
    +496
    เจริญอานาปานสติ เป็นเหตุให้ สติปัฏฐาน ๔ – โพฌชงค์ ๗ – วิชชา และวิมุตติบริบูรณ์

    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=FGtWpiaCWz8#at=789]พุทธวจนบรรยาย ณ ปูนซีเมนต์นครหลวง - YouTube[/ame]
     
  2. MindSoul1

    MindSoul1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กันยายน 2012
    โพสต์:
    295
    ค่าพลัง:
    +496
    เหตุให้พระสัทธรรมตั้งอยู่นาน

    “ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ! อะไรเป็นเหตุ อะไรเป็นปัจจัย
    ที่เมื่อพระตถาคตปรินิพพานแล้ว พระสัทธรรมจะไม่ตั้งอยู่นาน ?

    ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ! อะไรเป็นเหตุ อะไรเป็นปัจจัย
    ที่เมื่อพระตถาคตปรินิพพานแล้ว พระสัทธรรมจะตั้งอยู่นาน พระเจ้าข้า !”

    ----------------------

    พราหมณ์ ! เพราะไม่มีการทำให้เจริญ เพราะไม่มีการกระทำให้มากซึ่งสติปัฏฐานทั้ง 4
    ในเมื่อตถาคตปรินิพพานแล้ว สัทธรรมย่อมไม่ตั้งอยู่นาน.

    แต่ พราหมณ์เอ๋ย ! เพราะมีการกระทำให้เจริญ มีการกระทำให้มาก ซึ่งสติปัฏฐานทั้ง 4
    ในเมื่อตถาคตปรินิพพานแล้ว สัทธรรมย่อมตั้งอยู่นาน

    ------------------------

    สติปัฏฐาน 4 อย่างไรเล่า ? พราหมณ์ ! ภิกษุในกรณีนี้

    เป็นผู้มีปกติตามเห็นกายในกายอยู่เป็นประจำ
    มีความเพียรเผากิเลส มีสัมปชัญญะ มีสติ นำออกเสียได้ซึ่งอภิชฌาและโทมนัสในโลก

    เป็นผู้ตามเห็นเวทนาในเวทนาทั้งหลายอยู่เป็นประจำ
    มีความเพียรเผากิเลส มีสัมปชัญญะ มีสติ นำออกเสียได้ซึ่งอภิชฌาและโทมนัสในโลก

    เป็นผู้ตามเห็นจิตในจิตอยู่เป็นประจำ
    มีความเพียรเผากิเลส มีสัมปชัญญะ มีสติ นำออกเสียได้ซึ่งอภิชฌาและโทมนัสในโลก

    เป็นผู้ตามเห็นธรรม ในธรรมทั้งหลายอยู่เป็นประจำ
    มีความเพียรเผากิเลส มีสัมปชัญญะ มีสติ นำออกเสียได้ซึ่งอภิชฌาและโทมนัสในโลก

    ----------------------

    พราหมณ์ ! เพราะไม่มีการทำให้เจริญ เพราะไม่มีการกระทำให้มาก ซึ่งสติปัฏฐานทั้ง 4 เหล่านี้แล
    ในเมื่อตถาคตปรินิพพานแล้ว สัทธรรมย่อมไม่ตั้งอยู่นาน.

    แต่เพราะมีการกระทำให้เจริญ มีการกระทำให้มาก ซึ่งสติปัฏฐานทั้ง 4 เหล่านี้แล
    ในเมื่อตถาคตปรินิพพานแล้วสัทธรรมย่อมตั้งอยู่นาน ดังนี้.

    -----------------------

    - พราหมณสูตร มหาวาร. สํ. 19/232/778 – 779.
     
  3. newamazing

    newamazing เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,704
    ค่าพลัง:
    +1,381
    ผมอ่านบทความของท่านผมไม่ได้ความรู้อะไรขึ้นมาเพิ่มเลยจริงๆในด้านความหลุดพ้นนี่ไม่ใช่เพราะอคตินะครับ ผมต้องตรงต่อตนเองเพราะบนเส้นทางเิดินแห่งความหลุดพ้นนั้นตองตรงต่ดความจริงที่ตนเองมี สิ่งที่ท่านกำลังกล่าวมาถ้าท่านไม่มีข้อปฎิบัติเพื่อความหลุดพ้นมีแต่ความคิด ใช่ท่านพูดถูกว่าร้อนนั้นเราอาจจะไม่ต้องตั้งชื่อมันว่าร้อนด้วยซ้ำไปเพราะมันก็คือความรู้สึกที่อาจจะเรียกว่า hot หรืออาจจะเรียกว่าอย่างอื่นมันก็คือความรู้สึก แต่ความคิดถึงความรู้สึกกับการรับรสชาติแห่งความรู้สึกมันต่างกันแน่นอน แต่ก็อาจจะพูดต่อว่ารู้ด้วยความคิดกับรู้ด้วยความรู้สึกก็ไม่น่าสนใจ ถูกต้องแล้วอะไรๆมันก็ไม่น่าสนใจทั้งนั้น แต่ที่จริงแล้วผมเพียงกำลังแยกสมมุติกับปรมัคถ์ให้คุณได้เข้าใจว่าการหลุดพ้นบนความคิดกับความหลุดพ้นโดยสภาวะจริงๆ แล้วถ้าถามว่าเราเอาอะไรมาวัดความหลุดพ้นกันได้จริงๆมันก็คงไม่มีวันจบสิ้นเพราะมันเป็นความคิดของทั้งสองฝ่าย

    ผมเคยเสนอนักปรัชญานักปฎิบัติทุกคนทุกท่านบนบทพิสูจน์เรื่องการสละ ผมยกตัวดย่างเช่นการบริจาคทรัพย์สินเงินทองสำหรับคนที่บอกตัวเองว่าหลุดพ้น ลองดูจะได้รู้ว่าเราหลุดพ้นจากของที่รักเราได้จริงมั้ยเอาแค่ทรัพย์สินภายนอกก่อน ลองเงินสักพันกล้ามั้ย เงินสักหมื่นกล้ามั้ย เงินสักแสนกล้ามั้ย เงินสักล้านกล้ามั้ย เงินนสักสิบล้านกล้ามั้ย เงินทั้งหมดกล้ามั้ย ผมไม่ได้บอกว่านี่เป็นวิธีที่ปฎิบัติเพื่อความหลุดพ้นมัน ที่จริงแล้วการบริจาคทานก็ถือเป็นการปฎิบัติเพื่อละความตระหนี่อยู่แล้วแต่ก็มีหลายท่านยังไม่ยอมรับส่วนนี้ก็ยกเอาไว้ก่อน ท่านก็จะได้พิสูจน์ใจตนเองเสียที่ว่าความหลุดพ้นที่ท่านคิดว่าที่ท่านมีอยู่จริงนั้นมันจริงเท็จประการใด ในวันที่ขาพเจ้ากับภรรยาบริจาคท่านครั้งหนึ่งเป็นจำนวนเงินไม่มากนักคือห้าหมื่นบาทในขฌะนั้นถ้าบริจาคหมดก็คือหมดไม่มีเหลือเราก็ได้บริจาคไป ไม่ต้องถามว่าเราทำเพื่ออะไรไม่ต้องถามว่าเราเดือดร้อนมั้ยมันไม่ใช่เหตุผลที่จะมาถาม เราเพียงอยากบอกว่าทำได้หรือไม่ได้ในขณะทำนั้นต่างหาก ท่านลองดูได้นะครับนี่ไม่ใช่ปรัชญาแน่นอน

    ฟังนิทานอีกสักเรื่อง มีศาสตรจารย์ผู้หนึ่งเดินทางอยู่กลางทะเลกับกะลาสีเรือ วันหนึ่งกะลาสีเรือเข้าไปพบท่านศาสตรจารย์เพื่อจะพูดคุยกับท่านศาสตรจารย์ ท่าศาสตราจารย์ก็ถามกะลาสีเรือว่าท่านกะลาสีเรือท่านเคยเรียนรู้เรื่องสมุทรศาสตร์บ้างหรือเปล่า กะลาสีเรือบอกท่านศาสตรจารย์ว่าเป็นอย่างไรหรือครับวิชาสมุทรศาสตร์ ท่านศาสตราจารย์ตอบว่าก็เป็นวิชาที่ว่าด้วยการศึกษาคลื่นลมในทะเลนะสิ ผมไม่เคยเรียนเลยครับกะลาสีเรือตอบท่านศาสตราจารย์ ท่านศาสตรจารย์บอกกะลาสีเรือว่าน่าเสียดายจริงๆท่านได้เสียเวลาไปตั้งหนึ่งสวนของชีวิตแล้ว ท่านกะลาสีเรือรู้สึกกุ้มใจว่าตัวเองได้เสียเวลาตั้งหนึ่งส่วนในชีวิตแล้วหรือนี่

    อีกวันหนึ่งกะลาสีเรือก็เข้าไปพบกับท่านศาสตราจารย์อีก ท่านศาสตราจารย์ก็ถามกะลาสีเรืออีกว่า ท่านกะลาสีเรือท่านเคยเรียนรู้เรื่องวิชาดาราศาสตร์บ้างหรือเปล่า กะลาสีเรือถามว่าดาราศาสตร์เป็นอย่างไรครับท่านศาสตราจารย์ ท่านศาสตราจารย์ตอบว่าก็เป็นวิชาที่ว่าด้วยการดูดาวศึกษาเกี่ยวกับจักรวาล กะลาสีเรือบอกว่าผมไม่เคยเรียนเลยครับท่านศาสตราจารย์ น่าเสียดายจริงๆท่านได้เสียเวลาไปสองส่วนของชีวิตแล้ว กะลาสีเรือรู้สึกว่าตัวเองเสียเวลาไปตั้งสองส่วนของชีวิตแล้วหรือนี่ นิทานก็เป็นนิทานวันที่สามกะลาสีเรือก็เข้าไปพบท่านศาสตราจารย์อีก ท่านศาสตราจารย์ก็ถามกะลาสีเรือว่าท่านกะลาสีเรือท่านเคยเรียนรู้วิชาอุตตุวิทยาหรือไม่ กะลาสีเรือถามท่านศาสตราจารย์ว่าเป็นอย่างไรหรือวิชาอุตตุวิทยา ท่านศาสตราจารย์ตอบกะลาสีเรือว่าก็เป็นวิชาที่ว่าด้วยการพยากรณ์ดินฟ้าอากาศยังไงเล่า ผมไม่เคยเรียนเลยครับกะลาสีเรือตอบท่านศาสตราจารย์ แม้ท่านกะลาสีเรือท่านนี่แย่จริงๆเลยท่านเสียเวลาไปตั้งสามส่วนของชีวิตแล้วนะ กะลาสีเรือรู้สึกแย่มากที่ตัวเองเสียเวลาไปตั้งสามส่วนของชีวิต “จริงๆนั้นแหละกะลาสีเรือได้เสียเวลาไปตั้งสามส่วนจริงๆ”วันต่อมากะลาสีเรือรีบวื่งเข้าไปหาท่านศาสตราจารย์ถามท่านศาสตรจารย์ว่า ท่านศาสตราจารย์ครับท่านเคยเรียนวิชาว่ายน้ำศาสตร์มาบ้างหรือเปล่าครับ

    ท่านศาสตราจารย์ถามว่าเป็นอย่างไรวิชาว่ายน้ำศาสตร์ก็ว่ายน้ำเป็นหรือเปล่าครับท่านศาสตราจารย์ตอบว่าว่ายน้ำเราว่ายน้ำไม่เป็น ที่นี้เป็นทีของกะลาสีเรือบ้างแล้ว ถ้าท่านว่ายน้ำไม่เป็นท่านศาสตราจารย์ได้เสียเวลาของชีวิตของท่านหมดทั้งชีวิตแล้วละครับเพราะเรือกำลังจะจม..... ไม่ว่าท่านจะเรียนวิชาอะไรมามากมายบรรดามีแต่ถ้าท่านไม่ได้เรียนวิชาว่ายน้ำศาสตร์ซึ้งเป็นวิชาที่ว่ายออกจากมหาสมุทรแห่งความทุกข์ เท่ากับเราได้สูญเสียเวลามาทั้งชีวิต “พระสัมมาสัพุทธเจ้าได้ทรงสั่งสอนให้เราว่ายน้ำออกจากมหาสมุทรแห่งความทุกข์ วันนี้ขอท่านทั้งหลายจงตั้งใจจริง เวลาของเราเหลือไม่มากแล้ว” ขอสรรพสัตว์ทั้งหลายจงหลุดพ้นเทอดจงหลุดพ้นเทอด”

    .....................................................
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 สิงหาคม 2013
  4. newamazing

    newamazing เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,704
    ค่าพลัง:
    +1,381
    สนทนากับอีกท่านครับ :cool:
     
  5. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,478
    ค่าพลัง:
    +1,878
    ....แหม ไม่น่าเชื่อ ว่า คุณนิว จะมีลีลาแบบ นักเขียนอาชีพด้วย อันที่จริง โพสต์นี้คุณกำลังพูดเรื่องเดียวกันกับ น้าพจ อยู่เลยทีเดียว...
     
  6. newamazing

    newamazing เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,704
    ค่าพลัง:
    +1,381
    ลีลานักเขียนอะไร ผมไม่มีหรอกครับจำเขามาบ้างลอกเขามาบ้าง แต่สิ่งที่ไม่ได้จำเขามาลอกเขามาคือการลิ้มรสสภาวะของอสังขตะธรรมเท่านั้นเอง
     
  7. โกมีนัม

    โกมีนัม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    362
    ค่าพลัง:
    +440
    สติมีมาเกินไปเป็นผลดีมั๊ยล่ะ มีผลเสียมั๊ย
    แล้วๆสังขารกับสติมันต่างกันยังไง แล้วอนาคามีของพี่นิวอเมสซิ่งจะมีแนวทางจ่ายหนี้ยังไง
    บอกโกมีนัม เป็นธรรมทานด้วย
    เติมอีกนิด ที่พี่นิวอเมสซิ่งบอกเรื่องสติกับการบรรลุธรรม หมายถึง ยังไง มันมีกระบวนการยังไงแถวๆโคตรภูบ้าง
     
  8. โกมีนัม

    โกมีนัม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    362
    ค่าพลัง:
    +440
    อีกคำถาม หากพี่นิวอเมสซิ่งสำเร็จอนาคามีแล้ว จะทำอะไรเพื่อสังคมบ้าง
    แล้วรักเด็กรึเปล่า
    อีกๆๆๆนิด พี่นิวอเมสซิ่งได้ทำประกันความเสี่ยงในสกิทาคามีไว้รึเปล่ากรณีเกิดความเสียหายกับภาวะนี้
    ถ้ามี จ่ายค่าเบี้ยประกันเท่าไหร่ จ่ายยังไง เค้าคุ้มครองอะไรบ้าง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 12 สิงหาคม 2013
  9. อินทรบุตร

    อินทรบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +7,320
    newamazing เคยได้อรูปฌานมาก่อนไหม?
     
  10. สับสน!

    สับสน! เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 เมษายน 2010
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +3,984

    :cool: การเสียสละ..ต้องแยบคาย !
    และต้องเสียสละด้วยปัญญา..ไม่ใช่อวดตัวตน ตัวกู-ของกู
    ต้องแยบคาย..เสียสละในส่วนที่เรา ต้องรู้บารมีตนเอง ว่าสามารถเดินต่อไปข้างหน้าได้หรือไม่ ในกรณีที่ไม่ใช่เหตุคับขัน เกิดภัยอันตราย ที่ต้องเสียสละเพื่อปกป้อง เช่น แม่-พ่อ ปกป้องบุตร ยอมเสียสละชีวิตตนเอง หรือกรณี พระโพธิสัตว์ ..

    (k) คุณ แค่มาเล่นคอมกับผม จะเสียสละ เงินบริจาค จนทำให้คุณบรรลุเลยนั้น ผมไม่เชื่อ ทำบุญยังเลือกพระ สถาณที่ นี่นะ
    :cool:ครั้งหนึ่งนานมาแล้ว..ผมเคยเตรียมของอย่างดี ชุดใหย่ ไปตักบาตร-ถวายพระ ในวันนักขัตฤกษ์ มีไฟฉาย-ถ่านไฟ-สมุด-ปากกา-ร่ม-และอื่นๆอีกพอสมควร หลังจากที่ผมอ่านธรรมมะมาว่า ทำบุญกับใคร-พระ-หรือสุปฏิปันโณ อย่างนั้นจะได้บุญ มากมายกว่าอย่างนี้ ..การที่จะได้บุญมหาศาลต้องถวายสังฆทานต้องมีพระพุทธองค์เป็นประธาน บุญจึงมหาศาล เป็นต้น
    :cool:..วันนั้นผมเตรียมของไว้ 1 ชุดใหญ่ เตรียมตัวแต่เช้ามืด เบิกบานที่จะทำบุญ ไปใส่บาตรหน้ตลาดปรากฏว่า มีพระมากมาย-แม่ชี ออกมาบิณฑบาต มีเณร ด้วย ตาผมเหลือบไปเห็น เณร..เดินมาไม่มีของหิ้ว หรือลักษณะของมีในบาต แต่เห็น พระ-แม่ชี ของเต็มบาต
    วูบหนึ่งในความคิด ต้องใส่บาตกับพระ จะได้บุญมากกว่า ชี-เณร-ผ้าขาว ใจมันคิดอย่างนั้น ผมออกก้าวเดินเตรียมยกของในมือใส่บาตใจอีกหนึ่งมันบอกว่า ก็เณรไม่มีอะไรจะกินเลย ทำไมไม่ใส่เฌรล่ะ
    .. เท่านั้นเองผม ยืนงงเถียงกับตัวเองในใจเถียง..อยู่ในใจ แล้วตัดสินใจทันที กุไม่เอาแล้ววะ บุญมากๆเยอะๆน่ะ
    ..ผมใส่บาตเณรไปหมดเลยครับ..โอ้โฮ..เกิดอะไรขึ้นรู้ไหมครับ..มันโล่ง..โปร่งๆๆ..สบายยยย..ในใจจริงๆ บุญก็ไม่เอาเว้ยยยส์ สาธุ หักดิบจิตมันครับ. (k)
     
  11. โกมีนัม

    โกมีนัม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    362
    ค่าพลัง:
    +440
    ".. เท่านั้นเองผม ยืนงงเถียงกับตัวเองในใจเถียง..อยู่ในใจ แล้วตัดสินใจทันที กุไม่เอาแล้ววะ บุญมากๆเยอะๆน่ะ
    ..ผมใส่บาตเณรไปหมดเลยครับ..โอ้โฮ..เกิดอะไรขึ้นรู้ไหมครับ..มันโล่ง..โปร่งๆๆ..สบายยยย..ในใจจริงๆ บุญก็ไม่เอาเว้ยยยส์ สาธุ หักดิบจิตมันครับ."
    อัยย่ะ เท่ห์อะ
     
  12. โกมีนัม

    โกมีนัม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    362
    ค่าพลัง:
    +440
    ".. เท่านั้นเองผม ยืนงงเถียงกับตัวเองในใจเถียง..อยู่ในใจ แล้วตัดสินใจทันที กุไม่เอาแล้ววะ บุญมากๆเยอะๆน่ะ
    ..ผมใส่บาตเณรไปหมดเลยครับ..โอ้โฮ..เกิดอะไรขึ้นรู้ไหมครับ..มันโล่ง..โปร่งๆๆ..สบายยยย..ในใจจริงๆ บุญก็ไม่เอาเว้ยยยส์ สาธุ หักดิบจิตมันครับ."
    ทีนี้เราจะมาพิสูจน์ประโยคภาษาไทยกับครูลิลลี่กัน จะเห็นว่า ประโยคนี้ผู้พูด ไม่มีเจตนาชัดแจ้ง (โอ้โฮ) และยังไม่เล็งเห็นผลที่จะเกิดขึ้น กรณีนี้จะเรียกว่าผู้พูดมีสติ อันทำให้เกิดผล หรือไม่ อย่างไร
     
  13. โกมีนัม

    โกมีนัม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    362
    ค่าพลัง:
    +440
    "โอ้โฮ..เกิดอะไรขึ้นรู้ไหมครับ..มันโล่ง..โปร่งๆๆ..สบายยยย..ในใจจริงๆ บุญก็ไม่เอาเว้ยยยส์ สาธุ หักดิบจิตมันครับ."
    ทีนี้จามาวิเคราะห์กันให้ละเอียดนะ
    สมมุติว่า อาการคนกำลังข้ามโคตรภูแบบโหนเถาวัลย์ แล้วส่งเสียง
    "โอ้โหโหโห........."
    โหนโยนไปอีกฝั่งนึงละ จากมรรคแล้ว "มันโล่งโปร่งๆสบาย" ไปเห็นผลอยู่ที่อีกฝั่ง "สาธุ"
    ทีนี้ตัวสังขารเกิดอาการแทรกขึ้นมาว่า "บุญก็ไม่เอาเว้ยยยส์ หักดิบจิตมันครับ" มือไม่ปล่อยเถาวัลย์ ก็เลยเหวี่ยงตุ๊บถอยไปตกลงฝั่งเดิม
    "อิอิ" ไม่ปรากฏในรูปประโยค มีคำว่า "สาธุ" แทรก แสดงว่ารักเด็ก ไปประกวดชิงตำแหน่งอีกได้ล่ะ สู้ๆ
     
  14. สับสน!

    สับสน! เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 เมษายน 2010
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +3,984
     
  15. Shree Rajneesh buddha

    Shree Rajneesh buddha Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    18
    ค่าพลัง:
    +99
    มันก็ดีแล้วนี่ ที่ท่านไม่ได้อะไรจากคำพูดของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าเน้นย้ำเสมอว่า ท่านจะไม่ได้ข้อสรุปใดๆๆจากคำพูดของข้าพเจ้า นอกจากการทำลายความจริงที่ท่านคิดและยึดเอาไว้อยู่ อันที่จริงท่านน่าจะกลัวจะสูญเสียอะไรที่ท่านยึดถืออยู่จากคำพูดของข้าพเจ้ามากกว่า นะ

    ทีนี้เรื่องซ้ำๆๆแอย่างที่เล่ามาซะยาวก็คือ คำสอนของพระพุทธเจ้าพ้นทุกข์ได้จริง แต่พอถามว่าท่านรู้ได้อย่างไร? ท่านพ้นทุกข์เพราะปฏิบัติตามคำสอนนั้นเหล่าหรือ โอ๊ยใครเขาก็รู้ทั้งนั้นแหละคุณ ใครเขาก็เชื่อก็ว่าอย่างงั้น แต่อย่ามาถามผมนะเพราะผมยังปฏิบัติอยู่และก็ยังทุกข์อยู่มันไม่ใช่เรื่องง่ายๆๆเลยที่จะปฏิบัติให่สำเร็จตามนั้น สรุปก็คือ ท่านก็แค่เชื่อท่านไม่รู้จริงแต่ท่านคิดว่าท่านรู้ ดั้งนั้นมันก็เท่ากับว่าท่านกำลังพูดขัดกับสิ่งที่ตัวเองพูดอยู่เหมือนคนหลงละเมอ
    เพราะท่าน พูดว่า "การหลุดพ้นบนความคิดกับความหลุดพ้นโดยสภาวะจริงๆ ผมจะแยกสิ่งนี้ให้คุณเห็น" อันที่จริงน่าจะเขียนว่า " ความคิดเกี่ยวกับต้องทำยังไงจึ่งจะหลุดพ้นกับการทดลองดูว่าความคิดนั้นเป็นไปได้จริงหรือไม่มันต่างกัน และการคิดว่าตัวเองบรรลุธรรมกับได้มีประสบการณ์จริงๆๆกับการบรรลุธรรมก็ต่างกัน"ซึ่งมันก็ดูชอบกลๆๆๆ ท่านพูดว่าท่านจะสอนให้ข้าพเจ้าเข้าใจเรื่องนี้ แต่ดูเหมือนว่าท่านจะไม่เข้าใจในคำพูดของตัวเองเสียด้วยซ้ำไป....อันที่จริงเรื่องนี้ก็มักจะพบในคำพูดของคนที่เป็นชาวพุทธประเภทที่อ้างตัวเองว่าเป็นนักปฏิบัติ ในขณะที่เขาพูดเขาจะพูดกับคนอื่นที่เขาคิดเอาว่าไม่เคยมีประสบการณ์ในการปฏิบัติ เขาจึ่งพูดว่าความคิดของคุณใช้ไม่ได้ อย่าอ้างคัมภีร์สิอ้างการปฏิบัติ เพราะการปฏิบัติ มันต่างกันนะ ประสบการณ์จริงกับการคิดสิ่งนั้นมันคนล่ะเรื่อง
    มันเป็นการตอบสนองแบบเดิมๆๆเป็นกลไกที่เห็นชัด... ท่านเคยสังเกตคนพวกนี้ดูหรือไม่ ?มันเป็นไปในรูปแบบเดียวกันทั้งสิ้น แล้วตกลงปกิบัติแบบไหนหรืออะไรกันอยู่ถึงไม่เคยเห็นเรื่องความคิดแบบกลไกการตอบสนองแบบกลไกเหล่านี้ในตัวเอง ท่านน่าจะเห็นมันชัดในการภาวนา ท่านกำลังปฏิบัติอะไรกันอยู่ ท่านที่อ้างตัวเองว่าเป็นนักปฏิบัติ

    ดูเหมือนว่าข้าพเจ้าพูดอย่างหนึ่ง ท่านว่าข้าพเจ้าพูดอีกอย่างหนึ่ง มันเลยกลายเป็นว่า ท่านฟังข้าพเจ้าจริงๆๆหรือไม่ ตลอดที่เราสนทนากันหรือท่านฟังแต่เสียงตัวท่านเองแล้วอ้างว่านั้นคือสิ่งที่ข้าพเจ้าพูด ยกตัวอย่างท่านยังวนอยู่กับสิ่งที่ข้าพเจ้าพูดไปแล้ว และยกมาอีกเพื่ออะไรอีก...เป็นประเด็นเดิมๆๆราวกับติดอยู่ในนั้นและพระพุทธเจ้าก็ยังกลับมา พร้อมความรุ้สึกในใจของท่านว่า คำสอนของพระพุทธเจ้าดีที่สุด อันที่จริงท่านก็แค่เอาคำสอนของพระพุทธเจ้ามาเสวริมอัตตาตัวตนตัวเองเท่านั้น ท่านยืนข้างพระพุทธเจ้า ปฏิบัติตามคำสอนพระพุทธเจ้าที่ดีวิเศษจริงๆๆ เพราะมันช่วยให้เราว่ายน้ำออกจากมหาสมุทรแห่งความทุกข์ มันเป็นการเติมเต็มอัตตาตัวตนของตัวเองแบบหนึ่ง โดยยกเอาพระพุทธเจ้าและคำสอนมาเป็นเครื่องมือ ซึ่งดูผิวๆๆเหมือนกำลังชื่นชมพระพุทธเจ้าและคำสอนแต่อันที่จริงก็คือ การชื่นชมตัวเอง อัตตาของตัวเองอยู่เพราะข้อมูลเกี่ยวกับพระพุทธเจ้า คำสอนพระพุทธเจ้า ฉันปฏิบัติตาม นั้นคือรูปแบบหนึ่งของอัตลักษณ์ ความเป็นพุทธที่ท่านสร้างขึ้นเป็นส่วนหนึ่งของความเป็นฉันของท่าน ท่านจึ่งยกเอาพระพุทธเจ้าและคำสอนมาเป็นเครื่องมือเพื่อเติมเต็มความพึ่งพอใจของตัวเอง .....ท่านช่างชอบขุดผีพระพุทธเจ้าขึ้นมาเสียเหลือเกิด ขุดผีคนเมื่อสองพันปีขึ้นมา รอบตัวท่านจึ่งมีแต่ผีและเถ้ากระดูกผุๆๆ ไม่มีอะไรที่สดใหม่ที่เป็นความเข้าใจที่สดที่ตรงมาจากชีวิตของท่านเอง....เรื่องเมื่อวันก่อนนู้น สัปดาห์ที่แล้ว ปีก่อนนู้น ท่านฃนึกออกซะแค่ไหนกันเชียว อย่าว่าแต่เรื่องพวกนี้เลยแค่ไม่กี่ชั่วโมงก่อนนี้ก็พอ ขนาดเรื่องพวกนี้ยังไม่รุ้เลย แล้วทำไมถึงยกเอาเรื่องเมื่อ สองพันปีก่อนมาพูดซ้ำซากอยู่ได้....

    ที่นี้มีประเด็นที่น่าสนใจคือเรื่อง การสละ ซึ่งเป็นตรรกะที่ใช้ได้ของศาสนาทุกศาสนาบนโลก ประเด็นก็คือคนทุกคนบนโลกใบนี้มีความทุกข์ มีปัญญา มีความยากจน มีนั้นนี่ ที่นี้ก็เป็นหน้าที่ของศาสนาล่ะและ บุคลากรที่จะให้ความช่วยเหลือ เป็นเรื่องของมหากรุณานะ บารมีทำไง เราทำแบบนี้เพราะเห็นแก่พระคริสต์แก่พระเจ้า แก่คุรุเทพนานัก มาๆๆเรามา ระดมเงินบริจาคเพื่อสร้างโรงพยาบาล โรงเรียน

    และสิ่งนี้ก็เป็นกลยุทธ์ชั้นดี ที่จะเผยแพร่ศาสนาออกไป ทำไมศาสนาคริสต์จึ่งมีคนนับถือไปทั่วโลก เหตุผลหนึ่งก็เพราะ มีคนส่วนใหญ่บนโลกที่ยังมีปัญหา อย่างน้อยก็ทางกาย เช่น ความหิวโหย ความเจ็บไข้ได้ป่วย
    และชาวคริสต์ก็พร้อมที่จะช่วย ซึ่งนั้นก็ตรงข้ามกับศาสนาที่มีศักยภาพน้อยกว่าอย่างศาสนาพุทธ ที่จะสามารถกระจายความช่วยเหลือได้เท่าอันที่จริงเรื่อง ระดมเงินบริจาคเพื่อสร้างโรงพยาบาล โรงเรียน ไม่เคยอยู่ในความคิดของนักบวชในศาสนาพุทธมาก่อน แน่นอนว่า ที่วัดกลายเป็นสถานที่รักษาพยาบาลให้ความรู้มันเป็นไปเอง แต่ไม่มีเรื่อง นักบวชเดินไปตามบ้านของเงินบริจาคสร้างสร้างโรงพยาบาล โรงเรียน เหล่านี้


    มันมีแต่ในศาสนาคริสต์ มันเป็นกลยุทธ์ทางการตลาดชั้นดี คนที่ความหิวโหย ความเจ็บไข้ได้ป่วย เหล่านั้นก็จะพูดว่า ศาสนาพุทธทำอะไรให้เราบ้าง ดูนี่สิชาวคริสต์ก็พร้อมที่จะช่วย แค่เป็นคริสต์อันที่จริงศาสนาคริสต์ไม่ต้องชวนเสียด้วยซ้ำเพราะมันเป็นเรื่องของความประทับใจและการโน้มน้าวใจ ซึ่งศาสนาคริสต์ก็ทำได้สำเร็จ มันเป็นกลยุทธิ์ที่ดีกว่าการใช้ดาบและปืนของศาสนาอิสลามมากทีเดียว...
    และรูปแบบนี้ก็ได้กลายมาเป็นต้นแบบที่ถูกศาสนาอื่นหยิบยืมไป พระในศาสนาพุทธเริ่ม ระดมเงินบริจาคเพื่อสร้างโรงพยาบาล บ้าง และดูจะหวาดกลัวเอามากๆๆ นี่คือความจริงในแง่มุมหนึ่ง ไม่ใช่วาดกลัวในศาสนาธรรมแต่เป็นกลยุทธ์ทางการตลาดชั้นดี สิ่งนี้เกิดกับศาสนาฮินดู มุสลิม ทุกศาสนาที่เคยอยู่เดิม เมื่อ กองทัพmissionaryศาสนาคริสต์ไปถึง เพราะไม่เช่นนั้นศาสนาคริสต์และกองทัพ missionary ก็จะแย่งคนของเขาไปหมด เราต้องทำอะไรสักอย่าง..........
    แต่ไม่ใช่เพราะเห็นว่า คนส่วนใหญ่บนโลกที่ยังมีปัญหา อย่างน้อยก็ทางกาย เช่น ความหิวโหย ความเจ็บไข้ได้ป่วย และเรื่องพวกนี้ควรจะหมดไป
    แต่เพราะมันเป็นธุรกิจชั้นเยี่ยมในการสร้างความประทับใจว่า ศาสนาพุทธหรือคนในศาสนาพุทธได้ทำประโยชน์เพื่อสังคมเช่นกัน ดั้งนั้นจงอย่าเปลี่ยนไปนับถือศาสนาอื่นเลย .....ศาสนาเดิมดีที่สุด....

    จากนั้นศาสนาก็จะพูดว่า ท่านต้องทำแบบนี้เพื่อลดความเห็นแก่ตัวการปฎิบัติเพื่อละความตระหนี่อยู่แล้ว มาเร็วเรามาร่วมบุญกันเถอะ ซึ่งมันก็ฟังดูดี และถ้ามันยังไม่จูงใจพอก็จะมี ท่านจะได้รับผลตอบแทนเป็นร้อยเท่าพันเท่านะ ในอนาคต และชีวิตก็สั้นจริงๆๆดั้งนั้นดูนั้นมีชีวิตหลังความตาย ซึ่งท่านจะมีเวลาเสพสุขกับผลบุญได้นานกว่า...นี้คือความโลภ และถ้าความโลภยังไม่พอก็มีเรื่องความกลัว ความเกลียดที่มาพร้อมการผลักออกไป ความโลภมาพร้อมการดึงเข้ามาความเกลียดที่มาพร้อมการผลักออกไป นั้นมีนรกมีอบายภูมิ ข้าพเจ้าไม่ได้บอกว่าไม่มีจริงนะ แต่มันเป็นเครื่องกระตุ้นชั้นเยี่ยมและถ้าท่านทำแบบนี้ ท่านก็ตีตั๋วไปสวรรค์ ได้เลย นี้แหละคือปาฐกถาของศาสนาซึ่งยังคงจูงใจคนจำนวนมาก ศาสนาจำเป็นต้องมีคนที่คงความทุกข์ยาก เพราะไม่เช่นนั้นศาสนาจะอยู่ได้อย่างไร?อันที่จริงไม่ใช่เพียงความทุกข์ยากเพราะขาดวัตถุแต่เป็นคนที่ทุกข์เพราะความวิปริตทางใจ เป็นเรื่องของจิตวิญญาณ ถ้าไม่มีคนเหล่านี้ศาสนาก็หมดความจำเป็น ....ซึ่งไม่มีศาสนาไหนอยากสูญหายไปเป็นแน่ มันต้องดำรงอยู่ตลอดไปเพื่อใคนบางพวกได้ใช้ประโยชน์

    ดังนั้นนี่คือเรื่องหลอกลวงขนานใหญ่ ศาสนากำลังช่วยผู้คนเพื่อประโยชน์ของศาสนาเอง และหุ้มมันด้วยถ้อยคำที่สวยหรู..........นี่คืออีกด้านหนึ่งของความเป็นจริง ทำไมศาสนาคริสต์ถึงต่อต้านวิทยาศาสตร์นัก ทำไมศาสนาคริสต์ถึงกลัวศาสนาพุทธแบบเซนและทิเบตนัก ทั้งนี้ทั้งนั้นเพราะ ในโลกตะวันตกวิทยาศาสตร์กำจัด ความหิวโหย ความเจ็บไข้ได้ป่วย ปัญหาทางกายไปได้มาก จึ่งไม่มีกองทัพmissionaryศาสนาคริสต์พูดเรื่องบริจาค เสียสละอีกผู้คนไม่ต้องการความช่วยเหลือและเขาก็จะถามว่า พระเจ้าอยู่ไหน? ซึ่งศาสนาคริสต์ยอมไม่ได้ แต่มันเป็นไปแล้ว วิทยาศาสตร์กำจัด ความหิวโหย ความเจ็บไข้ได้ป่วย ปัญหาทางกายไปได้ แต่กระนั้นก็กำจัดความวิกลจริตทางใจไม่ได้ คนในประเทศเหล่านี้จึงหันเข้าหาสมาธิภาวนา ซึ่งศาสนาพุทธแบบเซนและทิเบตตอบใจทย์ได้ แน่นอนว่ามันจะต่างกันในประเทศที่หิวโหย อดยาก ที่รายได้ไม่สูง ผู้คนจะต้องการเทคโนโลยีและ กองทัพmissionaryศาสนาคริสต์มากกว่า ศาสนาคริสต์ไม่มีตรงนี้คือเรื่องสมาธิภาวนา ที่จะมาเยียวยาความป่วยไข้ทางจิตใจ ดังนั้นศาสนาคริสต์จึ่งพูดเรื่องภาวนาบ้าง นักบวชเริ่มไปอินเดีย เพื่อศึกษาวิธีภาวนาของพุทธแบบเซนและทิเบตแล้วมาแปลงเป็นศาสนาคริสต์...เริ่มพูดเรื่องการเข้าเงียบ เรื่องการภาวนา มันเป็นเรื่องของผลประโยชน์....การแย่งชิงมวลชน .....

    ข้าพเจ้าพูดเรื่องความเป็นทั้งหมดจึ่งต้องมองทุกๆๆด้านโดยไม่ทิ้งด้านใดด้านหนึ่งไป...

    ทำไมคนเราถึงต้องกำจัดความตระหนี่ถี่เหนียว ทำไมคนเราต้องกำจัดความเห็นแก่ตัว นี่มันเป็นเรื่องไร้สาระ จงหยุดเกมพวกนี้เสียที.... อันที่จริงถ้าคนเราไม่มีความตระหนี่ถี่เหนียว ความเห็นแก่ตัว เสียบ้าง...คนเราก็คงจะสูญพันธ์ไปแล้ว อันที่จริงวิทยาศาสตร์เปิดเผยว่า ในร่างกายของคนเรามียีนความตระหนี่ถี่เหนียว ความเห็นแก่ตัวอยู่ ท่านรู้จักselfish gene หรือไม่ ทั้งนี้เป็นผลมาจากวิวัฒนาการ ถ้าไม่มียีนเหล่านี้ คนเราก็คงจะสูญพันธ์ไปแล้ว และที่น่าตกใจยิ่งกว่านั้น ก็คือ ความตระหนี่ถี่เหนียว ความเห็นแก่ตัวเป็นยีนที่กำหนดพฤติกรรมทางศีลธรรมของมนุษย์ให้เรา แสดงในสิ่งที่ดูเหมือนตรงกันข้ามเช่นการแบ่งปัน ดั้งนั้นมันไม่มีกรอบตายตัวที่จะแบ่งแยกสิ่งต่างๆๆ .......

    ท่านพูดว่าทำไมคนนั้นนี้ไม่ทำแบบนี้แบบนั้นเพื่อจะพิสูตรว่าเขาเป็นอย่างงี้อย่างนั้น พิสูตรสิแล้วผมจะเชื่อคุณ เช่น "ผมเคยเสนอนักปรัชญานักปฎิบัติทุกคนทุกท่านบนบทพิสูจน์เรื่องการสละดั้งนั้นท่านจงสละสิ่งที่ท่านมีทั้งมดเสียสิ แล้วผมจะเชื่อว่าท่านคือของจริง" ท่านช่างเจ้ากี้เจ้าการกับคนนั้นเสียจริง....... ท่านช่างรู้มากเสียเหลือเกินถึงมานั่งขีดว่าคนนู้นคนนี้ควรจะทำอะไร ท่านก็ไม่ต่างจากอิหม่านหนุ่ม ซึ่งคิดว่าเขารู้ว่าโลกต้องการอะไรและคนอื่นต้องการอะไร โลกในนี้มีคนแบบนี้มาก แต่ประเด็นก็คือยิ่งมีคนแบบนี้มากโลกก็ยิ่งวุ่นวายสับสน คอมมิวนิสต์ว่าประชาธิปไตยก็ว่าอย่าง ยังมีศาสนา มีนักอะไรต่อมมิอะไร แต่ล่ะคนต่างอ้างว่าพวกเขารู้คำตอบว่าโลกนี้และคนอื่นต้องการอะไร? มันเป็นความรับผิดชอบของพวกเขา ที่จะต้องทำให้สำเร็จ

    เหล่านี้จะเป็นอะไรสักอีกนอกจาการยึดเอาตัวเองเป็นใหญ่ ทำไมถึงต้องสนใจคนอื่น กังวลกับเรื่องคนอื่น คนอื่นจะเป็นอย่างไรก็ปล่อยพวกเขาไป นั้นเป็นปัญหาของพวกเขา ซึ่งยังจิ๊บจ้อยเสียยิ่งกว่าการเอาตัวเองเป็นใหญ่ คนพวกนี้ไม่ต่างอะไรจากคนวิกลจริต พวกเขามาพร้อมสายตาที่จะตัดสินว่า นั้นคนอื่นควรจะทำอย่างงั้นอย่างงี้ คนอื่นช่างไม่รู้อะไรเลย และ มีแต่ข้าที่รู้ มันไม่ใช่แบบนั้นท่านยังไม่ไปถึงภาวะนั้น ท่านตองเชื่อนั้นนี่ ช่างรู้มากเสียเหลือเกิน คนเหล่านี้อาจจะอ้างพระพุทธเจ้า อ้างตำราว่าเขาไม่ได้เอาเองนะ ว่านี่ถูก เขามีคนที่รู้สนับสนุน แต่เอาเข้าจริง ถ้าเขาเจอ พระพุทธเจ้า เขาก็คงไม่วายจะแนะนำพระพุทธเจ้าว่า ขอทานแก่ ท่านต้องทำแบบนี้แบบนั้น เพรา ว่าเขารู้ มันต้องเป็นเช่นนั้น เขาช่างรู้ไปหมด และ การปรากฏตัวของพระพุทธเจ้า ก็จะกลายเป็นการทำให้เขาเห็นว่าเขาไม่รุ้ ดั้งนั้นเขาจึ่งต้องพิสูตรว่ามันไม่จริง มันเจ็ดปวดที่จะอมรับ ดั้งั้นเราต้องพิสูตรว่า คนๆๆนี้ไม่ใช่พระพุทธเจ้า เขาไม่รู้จริง เขาพูดมันไม่ใช่เลยไม่มีประโยฃน์มันต้องแบบนี้แบบนั้น.....ท่านมันไม่รู้อะไรเลย ข้าสิรู้ นี้แหละคือปมด้อย...หรือไม่ใช่กันล่ะ คนที่มีปมด้อยก็คือ คนที่รู้ว่าตัวเองด้อยไม่สมบรุณ์แบบและพยายามที่จะกลบเกลื่อนข้อเท็จจริง เขาจึ่งมาพร้อมการตัดสิน และ ข้อแนะนำทุกรูปแบบว่าคนนู้นไม่ดีอย่างงั้นอย่างงี้ ต้องงั้นต้องงี้ เพื่อพรางความจริง เขาจะทำตัวเหมือนผู้รู้ เป็นนักบุญ ซึ่งไร้สาระ ใช่แล้ว..... ข้อ ตำหนิความบกพร่องทุกคนล้วนมี ท่านก็แค่ยอมรับมันมันมีแต่สิ่งที่ตายแล้วท่านนั้นที่สมบรูณ์แบบ ท่านเคยเห็นรูปปั้นดาวิดหรือไม่เขาเป็นชายที่สมบรุณืแบบงดงามที่สุด แต่ปราศจากชีวิต....การยอมรับในสิ่งที่ตัวเองเป็น นั้นคือบทเริ่มต้นของความผิดชอบต่อตัวเอง มันไม่ใช่การตำหนิตนเองและทำเพื่อพิสูตรตนเอง ท่านบอกว่าท่านรู้ว่าท่านตระหนี่ดั้งนั้นท่านจะบริจาคให้มากที่สุดแล้วความตะหนี่จะหายไป แต่มันหายไปหรือ มันหายไปจากใจท่านจริงๆๆ หรือท่านแค่เสแสร้งแกล้งทำ เพื่อให้คนอื่นว่าโอ้คนขี้งก มันไม่งกแล้วมันบริจาคหมดเลยแนะ

    ดูนี่สิ"วันนั้นผมกับเมียบริจาคเป็นจำนวนเงินไม่มากนักคือห้าหมื่นบาทในขณะนั้นถ้าบริจาคหมดก็คือหมดไม่มีเหลือเราก็ได้บริจาคไป ไม่ต้องถามว่าเราทำเพื่ออะไรไม่ต้องถามว่าเราเดือดร้อนมั้ยมันไม่ใช่เหตุผลที่จะมาถาม เราเพียงอยากบอกว่าทำได้หรือไม่ได้ในขณะทำนั้นต่างหาก" เห็นไหมล่ะเราได้ทำแล้วตรงตามอุดมคติของเราเลย เราได้พิสูตรแล้วว่าเรา"ปฎิบัติเพื่อละความตระหนี่"แล้ว มันเยี่ยมเลย มันเป็นเพียงแค่เสแสร้งแกล้งทำ ก็ถ้าเป็นอย่างที่ท่านว่าจริง ทำไมท่านถึงต้องเอามาพูดเหมือนให้คนอื่นเห็นว่า ท่านได้ทำจริงๆๆ ทำไมท่านถึงเก็บความรู้สึกภูมิใจลึกๆๆเอาไว้ว่า เราได้บริจาคแล้วเราไม่มีเหตุผลด้วยล่ะเราทำได้ตามอุดมคติเลย ทำไมไม่ทิ้งเสียให้หมด มันก็เป็นเพียงกลลวงอย่างหนึ่งเท่านั้น ท่านบริจาคเพื่อตัวท่านเอง เพื่ออัตตาตัวตนของท่าน มันสะท้อนในคำพูดได้ชัดเจนมาก...และขณะนี้ท่านก็พูดด้วยความรู้สึกมีความสุขปิติยิ่ง คุณดูนี่สิเราได้ทำตามที่เราพูดแล้ว มาดูสิ คุณน่าจะลองบ้างนะ เป็นการยึดตัวเองเป็นศูนย์กลางอยู่ดี ข้าพเจ้าไม่ได้ต่อต้านการแบ่งปัน แต่ต่อต้านการยึดตัวเองเป็นศูนย์กลาง ท่านช่างรู้มากเสียจริงๆ และ ชีวิตท่านช่างขึ้นอยู่กับการมองของคนอื่นซะจริง...อันที่จริง ท่านไม่จำเป็นต้องรับผิดชอบต่อศาสนา ต่อสังคม หรืออะไร ท่านแค่รับผิดชอบต่อตัวเอง แล้วความมหัศจรรย์จะเกิดขึ้น....ท่านจะลุถึงความรับผิดแบบอื่นโดยไม่ต้องพยายามอะไรเลย.....
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 สิงหาคม 2013
  16. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    เอ้ย จะก๊อปปี้ ไปพูด มันต้อง ก๊อปปี้ให้ครบสิ หากไป เผลอตรึกตาม
    แทนที่จะก๊อปปี้ไปพูด คนเขาจะจับได้ทันทีว่า

    คุณ ยังภาวนาในระดับที่เรียกว่า " แยกธาตุ แยกขันธ์ " ไม่เป็นเอาเลยนะนั่น

    การภาวนา วิปัสสนาญาณ ระดับต้นๆ ยังมะงุมมะงาหราอยู่เลย เขาจะรู้ทันที
    เลยหละ หาก พลาด ก๊อปปี้ไปพูดไม่หมด เจือปนทิฏฐิตนนิดเดียว แบ เบอร์

    เอาฟังดีๆนะ แล้วพยายามตั้งใจ อย่าให้ พลาด อย่าให้ คำนี้ หายไป หาก
    หายไป เขาจะจับได้ว่า ก๊อปปี้มาพูด ไม่ได้ ภาวนาแยกธาตุแยกขันธ์ เอง

    " การภาวนาของพุทธศาสนา ที่เรียกว่า แยกธาตุ แยกขันธ์ " เขาจะหมาย
    เอาตรง เห็นเหตุการดับไปของความคิด

    งง ไหม คือ คำสำคัญที่อย่าเผลอทำให้หายไปคือตรงคำว่า " เห็นเหตุการดับ "

    ศาสนาพุทธเป็น ศาสนาของคนมีปัญญา ไม่ใช่ คนโง่ ต้อง ทวนกระแสไปเห็น
    ที่ " เหตุ " ไม่ใช่ไป จมกับการเห็นสิ่งที่เกิดที่ดับ อันนั้น หมามันก็เห็น โดน
    ตบหัวโป๊ะ มันเห็น หน้าคนตบติดตามันเลยหละ มันจำของมันได้ เหมือนกด
    ชัตเตอร์ แช๊ะ ถ่ายรูปเอาไว้เลยว่า ไอ้หน้าท้ายเท้าแบบนี้ ตบหัวมัน แล้วก็
    เกิด ดับ แช๊ะ !!!

    คนทำฌาณ ต่อให้เป็น ฌาณ8 ก็ยังไม่เห็น " เหตุของการดับไปเลย " ดังนั้น
    พวกเล่นฌาณ8 มุดฟ้าดำดินหายไปในวิมานบางพวก พระพุทธองค์ยังคงเรียก
    ว่า มาร หรือ เดียรถีย์ เพราะอะไร เพราะ พวกเล่นฌาณ8บางจำพวก ก็ไม่เห็น
    " เหตุของการดับไปของ... " ไม่เคยเห็นสักแอะ จึงบัญญัติได้แค่ สภาวะ
    " สิ้นคิด " " หมดคิด " " พ้นคิด " " คิดดับ " " ดับคิด" ล้วนแต่ชี้ความ
    โง่เขลา เบาปัญญา

    พวกที่ ภาวนาที่เน้นคำว่า เข้าถึงสภาวะ " สิ้นคิด " พวกนี้ แยกธาตุแยกขันธ์
    ไม่เป็นทั้งนั้น จำเอาไว้ให้ดีๆ

    แต่ถ้าคนใด พยายามก๊อปปี้พูดว่า "เห็นเหตุการดับไปของ...." อันนี้
    ก็ให้นั่งนิ่งๆ รับฟังไป จะรู้จริง หรือ จะก๊อปปี้มาพูด ก็ปล่อยไป เพราะดีกว่า จำ
    ธรรมมาผิดแล้ว " ทำมาปู๊ดดดดดด "
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 สิงหาคม 2013
  17. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    อ้อ แล้วบอกคุณ ปิ๊ดตู่ เอาไว้อีกนิดนะ

    ต่อให้เห็น " เหตุของการดับไปของ...." อันนี้ แค่ การฝึก สติ ให้เกิดนะ

    ยังไม่ได้หมายความว่า " มีสติ มีสัมปชัญญะ " ยังเป็นขั้นต้นๆ ของ จิตสิกขา

    ดังนั้น ภาวนาจนเห็น " เหตุของการดับไปของ..." ก็อย่าทะลึ่ง รีบร้อน
    ประกาศ บรรลุธรรมฮาอะไร อีก มันจะ ไก่โต้งยอโย้งซ้ำซ้อน !!!

    ได้ยินแบบนี้ แล้ว อาจจะ มึนๆ อีกนะ เอ๋ ทำไม การภาวนามันซับซ้อน
    แบบนี้ มันจะอะไรขนาดนั้น แบบนั้นไม่เป็น อรหันต์ไปแล้ว รึ

    ก็นะ อย่าลืม อันนี้ แค่ "ปุถุชนที่เคยสดับธรรม แล้วหัวมาพิจารณาจิต "
    ยังไม่จัดเป็น อริยะอะไรทั้งนั้น

    ถ้า งง และ คิดจะถามว่า ตกลงต้อง ภาวนายังไง

    อ้าว !!!

    ก็ทำทานไปสิ ของมันก็เริ่มต้นแบบนั้นแหละ เตาะแตะเตาะแตะไป
    ไม่ว่ากัน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 สิงหาคม 2013
  18. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    นี่ๆ มาดูกัน คนที่ผมยกตัวอย่างมานี้ เธอทำบุญทีเดียว 18ล้าน !!!

    โดยไม่จำเป็นต้อง เสียตังค์ตัวเองสักบาท(ก็ยังได้) แต่ ถือว่า ทำบุญ
    ให้กับศาสนาไปแล้ว 18ล้าน ทันที ที่จบกระแสความ

    ฮะเอ่อ

    คนพุทธเขาฉลาดในการทำบุญแบบนี้ เข้าใจไหม
     
  19. สับสน!

    สับสน! เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 เมษายน 2010
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +3,984
    ขันธ์5..รูป-เวทนา-สัญญา-สังขาร-วิญญาณ..
    นิวรณ์" การภาวนาของพุทธศาสนา ที่เรียกว่า แยกธาตุ แยกขันธ์ " เขาจะหมาย
    เอาตรง เห็นเหตุการดับไปของความคิด

    งง ไหม คือ คำสำคัญที่อย่าเผลอทำให้หายไปคือตรงคำว่า " เห็นเหตุการดับ "

    การไม่คิดนี่ แยกรูป-นาม ขันธ์5..ได้หรือ
    นิวรณ์..ขอโทษนะ สงสัยใช้ปากอมส้นตีน ตอบ..แน่จริงสึกมาหากินเองดิใช่แน่เลย อิอิ:'(
     
  20. สับสน!

    สับสน! เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 เมษายน 2010
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +3,984
    นิวรณ์.." การภาวนาของพุทธศาสนา ที่เรียกว่า แยกธาตุ แยกขันธ์ " เขาจะหมาย
    เอาตรง เห็นเหตุการดับไปของความคิด ..

    ..ความคิดดับ..แล้วจะแยกขันธ์ ได้ยังไง นิวรณ์ เอาอะไรมานั่งพิจราณา แยก ดิน-น้ำ-ลม-ไฟ-จิต..ความคิดที่คุณว่านี่ คือตัวอะไร เจตสิกหรือจิต..มั่วซะน่าตืบ ไอ้ขี้ฟ้อง. :'(
     

แชร์หน้านี้

Loading...