เชิญช่วยกันระดมความคิดเห็นเรื่อง"จิต" เพื่อสัจธรรมความจริง

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย ธรรมภูต, 17 มิถุนายน 2013.

  1. สันดุสิต

    สันดุสิต Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    33
    ค่าพลัง:
    +86
    มรรค 1 เดียวของพระโสดาบันคือ "สติ"! สติตั้งที่ใจ ไม่ใช่ที่จิต...
     
  2. Allymcbe222

    Allymcbe222 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    547
    ค่าพลัง:
    +1,445
    นำมาให้คุณธรรมภูติครับ
    ตัดมาส่วนหนึ่งนะครับ แต่จะหาฉบับเต็มก็ไม่น่ายาก เพราะมี reference ว่าที่ไหนเมื่อไหร่

    ใจนี้ไม่เคยตาย ตั้งกัปตั้งกัลป์ก็เป็นมาอย่างนี้
    แม้จะไปตกนรกตั้งกี่กัปกี่กัลป์ก็ตาม การที่ว่าได้รับความทุกข์ในแดนนรกแต่ละหลุมๆ นั้นยอมรับ
    ส่วนที่จะให้ใจนี้ฉิบหายไม่มี ทุกข์ขนาดไหนก็ยอมรับว่าทุกข์
    แต่ไม่เคยฉิบหายคือใจดวงนี้

    เวลาชำระสะสางแล้วด้วยอำนาจแห่งคุณงามความดีของเรา
    ก็ค่อยสงบผ่องใสได้บริสุทธิ์ขึ้นไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งถึงขั้นความบริสุทธิ์เต็มที่แล้ว
    ดังพระพุทธเจ้าและพระสาวกอรหันต์ทั้งหลาย ท่านถึงนิพพานเลย
    นั่น ถึงนิพพานก็ไม่สิ้นสูญ
    ใจดวงนี้ไม่มีคำว่าสูญ ตกนรกก็ไม่สูญใจดวงนี้
    จนกระทั่งบริสุทธิ์เต็มที่แล้วไปถึงนิพพานก็ไม่สูญ นี่แหละท่านว่านิพพานเที่ยง
    ก็คือจิตดวงที่ไม่สูญนี้แหละเป็นผู้บริสุทธิ์เต็มที่แล้ว

    เรียกว่าธรรมธาตุ อยู่ในแดนแห่งนิพพาน นี่แหละเป็นผู้เสวยความบรมสุขตลอดไป
    ท่านจึงเรียกว่านิพพานเที่ยง ๆ ก็เพราะจิตดวงนี้ไม่ตาย
    มีความเที่ยงตรงอยู่ด้วยบรมสุขตลอดไป
    นี่คือการสร้างความดีให้ผลแก่เราอย่างนี้ ให้พากันอุตส่าห์พยายามสร้างคุณงามความดี


    เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดเขาน้อยสามผาน จ.จันทบุรี เมื่อวันที่ ๑๑ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๔๖ (บ่าย)
     
  3. Allymcbe222

    Allymcbe222 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    547
    ค่าพลัง:
    +1,445
    อ้อ เพิ่งเห็น คุณ websnow ลงฉบับเต็มไว้นานมากแล้ว
    http://palungjit.org/threads/ความสุขอันแท้จริง-เทศน์อบรมฆราวาส.12438/

    กัณฑ์เทศน์นี้ หลวงตามหาบัวท่านเมตตากล่าวชัดเจนถึงที่สุด
    หวังว่ากัณฑ์เทศน์นี้ จะทำให้นักปฏิบัติ (ไม่ใช่นักกอดตำรา)
    ได้ข้อสรุปชัดเจนแล้วว่า จิตไม่ดับ แม้ถึงนิพพานก็ไม่ดับ
    แต่จะอยู่เสวยความสุขตลอดไปบนนิพพาน (เรียกว่า ธรรมธาตุก็ได้)

    และหวังว่ากัณฑ์เทศน์นี้ จะทำให้นักปฏิบัติ (ไม่ใช่นักกอดตำรา)
    หายสงสัยในหลวงพ่อวัดท่าซุง ที่กล้าหาญกล่าวว่า นิพพานเป็นเมืองแห่งดวงจิตพระอรหันต์ที่ลักษณะเป็นกายแก้ว หรือ พระวิสุทธิเทพ อยู่บนพระนิพพานอย่างเป็นสุขตลอดไป
     
  4. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    http://www.fungdham.com

    หลวงปู่สิม พุทธาจาโร
    สำนักสงฆ์ถ้ำผาปล่อง อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่

    ห้วงทุกข์ 31 พ.ค 26 - 3 ก.ย 26
    "จิตผู้รู้มีกันคนละดวงๆ ไม่มีมากกว่านั้น"

    เจริญในธรรมทุกๆท่าน
     
  5. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    ู^
    ^
    สาธุฯครับ...ที่นำมาให้อ่านเพื่อเปิดธรรมทัศน์ให้กว้างขวางขึ้น

    มีความเที่ยงตรง(คงที่)อยู่ด้วยบรมสุข(พระนิพพาน)ตลอดไป

    เจริญในธรรมที่สมควรแก่ธรรมครับ
     
  6. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,337
    ค่าพลัง:
    +6,846
    ผมพิจารณาดู


    ภาษาคำว่า เกิด-ดับ ของพี่ภูติ คงหมายถึง
    คำว่า ตายแบบภาษาไทยๆ หรืออย่างไร

    พอกล่าวถึง จิตเกิดดับ ก็ไปเข้าใจ ว่าเป็น จิตตาย
    อย่างั้นรึ

    ถ้าไปเข้าใจอย่างนั้น
    มันก็คุยกันลำบากในเรื่องของภาษา

    อย่างกรณี ที่หลวงตามหาบัว ท่านเทศน์

    พี่ภูติ ได้ฟังตรงประโยคนี้ไหม

    ที่ท่านกล่าวว่า
    """"

    จิตนี้พระพุทธเจ้าทรงรับรองอยู่แล้วว่าไม่ตาย เรา จะกลัวตายหาอะไร เราคือจิต ก็ไม่ตายนี่ เราจะกลัวตายไปทำอะไร ถ้าตัวจิตตายเราก็ตาย นี่ตัวจิตไม่ตายแล้วเราจะตายได้ที่ไหน เงาแห่งความตายมันมีอยู่ที่ไหน มันไม่มีนี่ ไม่มีจนกระทั่ง “เงา” แห่งความตาย เราตื่นเราตกใจ เรากลัวตายไปเฉยๆ กลัวลม ๆ แล้ง ๆ ความตายของใจไม่มี แม้กระทั่ง “เงา” ให้กลัว ก็ยังกลัวกันไปได้ เพราะความหลงของจิตนี่เอง

    ท่านจึงสอนให้สร้างปัญญาให้ทันกับเหตุการณ์ จิตนี้เป็นที่แน่ใจว่าไม่ตาย พิจารณาให้ชัด เอ้า อะไรเกิดก็เกิดขึ้นเถอะ จิตมีหน้าที่รู้ทั้งหมด จนกระทั่งวาระสุดท้ายเครื่องมือนี้แตกไป ปัญญาก็สลายไปด้วยกัน จิตที่ได้รับการซักฟอกจากปัญญาแล้วจะไม่ตายไม่สลาย จะ มีแต่ความผ่องใสเป็นอย่างน้อย มีความผ่องใสประจำตัว มากกว่านั้นก็ผ่านพ้นไปได้เลย จงเอากันในวาระสุดท้าย เอาชัยชนะอย่างสุดยอด ! ในวาระสุดท้ายนี้ให้ได้

    ไม่ต้องไปคาดโน้นคาดนี้ว่า เป็นหญิงเป็นชาย ว่าเราปฏิบัติมา เท่านั้นปีเท่านี้เดือน ได้มากได้น้อย ไม่ใช่เวลาจะมาแก้กิเลสตัณหาให้เราได้ มีความเพียรเท่านั้นเป็นเครื่องแก้ """"


    ทีนี้ แล้ว ถ้า จิตที่ยังไม่ได้รับการซักฟอกจากปัญญาล่ะ

    ความไม่ตายจะปรากฎหรือเปล่า ลองคิดดู

    พระสายกรรมฐาน ท่านลงรอยเดียวกันหมด
    คือสิ่งที่ไม่ตายจะปรากกฎ ก็ต่อเมื่อได้ซักฟอกจากปัญญา
    ไม่มีเข้าไม่มีออก ไม่มีการมา ไม่มีการไป ลงกับพระไตรปิฎกเผงเลย



    อ้อ ในโพสนี้ อีกอย่างนึง

    ปรมัตถธรรม สำหรับพี่ภูติ มีเพียง นิพพานอย่างเดียวใช่ไหมครับ

    รูป จิต เจตสิก สามอย่างนี้ ไม่ใช่ ปรมัตถธรรม สำหรับพี่ภูติใช่มั๊ยครับ

    สำหรับกัณเทศน์นี้ อ่านต่อที่นี่ http://palungjit.org/threads/ตอบปัญหาเรื่องจิตไม่เคยตายและนิพพาน.216566/
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 19 มิถุนายน 2013
  7. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,337
    ค่าพลัง:
    +6,846


    พี่ภูติลองพิจารณาดูในกัณเทศน์นี้

    ลองพิจารณาตรงที่ จิตบริสุทธิ์เต็มที่แล้ว

    ท่านใช้คำว่า จิตบริสุทธิ์เต็มที่แล้ว

    แต่สำหรับ จิตที่ยังไม่บริสุทธิ์เต็มที่ล่ะ มันจะเรียกว่า ธรรมธาตุได้หรือเปล่า

    ถูกมั๊ยครับ
    ธรรมธาตุจะปรากกฎมาได้มั๊ย หากจิตยังไม่บริสุทธิ์เต็มที่
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 19 มิถุนายน 2013
  8. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    ^
    ^
    น้องรัก....

    ไม่เคยพูดไว้ที่ไหนเลยว่า ปรมัติถ์คือพระนิพพานอย่างเดียว

    แต่เป็นการยกมาอ้างถึงว่า ในตำรา...อ้างไว้เช่นนั้น "

    มีจริงแท้แน่นอน(เที่ยง)อย่างเดียว คือ "พระนิพพาน"เท่านั้น

    ในเมื่อปรมัติถแปลตรงตัวชัดๆว่า"จริงแท้แน่นอน" ตำราว่าไว้

    จึงขัดแย้งกันเองว่า จิ เจ รุ นิ ก็เป็นปรมัติถธรรม

    ส่วนเรื่องจิตเกิดดับ ที่มักจะปฏิเสธไปนั้นเพราะ อย่างที่น้องรักยกมา

    คำว่า"เกิด" สิ่งที่ไม่เคยมีอยู่ก่อนเกิดขึ้น จึงเรียกว่า "เกิด"

    คำว่า"ดับ" สิ่งที่มีอยู่ก่อนแล้วดับหายไป จึงเรียกว่า "ดับ"

    ทั้งที่จิตมีอยูก่อนนานแล้ว แม้ผู้มีปัญญายังอาจรู้ได้เลยว่า

    "มีมาตั้งเมื่อไหร่ และจะสิ้นสุดลงตรงไหน"(พระพุทธพจน์ทรงตรัสไว้)

    แค่พระพุทะพจนืที่ยกมาก็ชัดเจนแล้วนะว่า จิตไม่เคยดับตายหายสูญไปไหน

    เจริญในธรรมทุกๆท่าน


     
  9. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    ^
    ^
    น้องรัก...

    ใครที่เคยผ่านจิตรวมใหญ่มาแล้ว ย่อมรู้ว่าสภาวะธรรมเช่นนั้นมีจริง

    ถึงจะเป็นเพียงแค่ตทังควิมมุติ ที่เรียกว่า"อุเบกขาสติปาริสุทธิง"ก็ตาม

    น้องรัก...บางเรื่องที่คิดว่า ให้ค่อยๆเพียรปฏิบัติไปรู้ไปน่าจะดีกว่ามั๊ง

    เจริญในธรมที่สมควรแก่ธรรมทุกๆท่าน
     
  10. อินทรบุตร

    อินทรบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +7,320
    ธรรมภูต เคยผ่านมาหรือยังครับ?
     
  11. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192

    ^
    ^
    ที่ถามมานั้น ไม่ว่ามีจุดประสงค์ใดก็ตามสำหรับผู้ถาม

    ฉันขอเก็บเอาไว้เป็น"เรื่องเฉพาะตัว"เท่านั้น

    เพราะพิจารณาแล้วว่า ไม่เกิดประโยชน์ใดๆเลย ทั้งประโยชน์ตน และประโยชน์ท่าน

    เมื่อผู้อื่นรู้ที่ไป ก็ไม่ได้ช่วยให้ผู้นั้นมีความเพียรมากยิ่งๆขึ้น

    ในการปฏิบัติธรรมกรรมฐานภาวนา ยังคงเกียจคร้านแบบสม่ำเสมอเหมือนเดิม

    แล้วประโยชน์ตน ก็ไม่เห็นเช่นกัน เพราะ"ยังต้องสดับ ยังต้องกระทำให้ตื้น"

    ถ้าใครที่เคยมีประสพการณ์ "จิตรวมใหญ่" ที่ต้องการบอกกล่าว เชิญได้เลย

    ไม่ขัดข้องใดๆ เพราะยังอยู่ในประเด็น"เรื่องจิต"อยู่ดี

    แต่ขอให้เปิดโอกาส เมื่อมีผู้สงสัยซักถามด้วย ไม่ใช่โม้เสร็จแล้วหายไป

    เจริญในธรรมทุกๆท่าน
     
  12. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,337
    ค่าพลัง:
    +6,846
    คำว่าจิตไม่ได้ดับสูญนั้น
    แม้ยังไม่ต้อง นิพพาน มันก็ยังไม่ได้สูญหายไปไหน
    เพราะยังคงเวียนว่ายตายเกิด ในสังสารวัฏ

    ประเด็น ของคำว่าเกิด ดับ ที่กล่าวถึงในการสอนกัน

    คือเกิดขึ้นมาแล้ว ก็ดับไป แล้วก็เกิดขึ้น แล้วก็ดับไป
    เป็นอยู่อย่างนี้สืบเนื่องเป็นสันติ จึงเรียกว่า เกิดดับ เกิดดับ

    ยกตัวอย่างเช่น
    เดินก้าวเท้าซ้ายไป แล้วก็เดินก้าวเท้าขวา
    สลับไปสลับมาอย่างนี้ นี่เป็นตัวอย่างของการเกิดดับ

    เซลเม็ดหนึ่งเกิดขึ้น
    แล้วก็ดับไป
    เซลเม็ดใหม่ก็เกิดขึ้นแล้วก็ตาย
    การเจริญเติบโตของร่างกาย
    ก็เป็นการเกิดขึ้นแล้วก็ดับ
    เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป
    ซึ่งล้วนมีเหตุปัจจัยมาทั้งสิ้นอันนี้ก็เป็นตัวอย่างหนึ่งของการเกิดดับ
    ซึ่งในความเข้าใจผมแล้ว ก็ไม่เห็นว่า
    มันจะแตกต่างจากคำว่า แปรเปลี่ยน

    ส่วนคำว่า ดับของพี่ภูติหากไปแปลว่า ดับ สูญ
    อันนี้ก็ลำบากหน่อยครับ
    เพราะเข้าใจไม่ตรงกัน


    กรณีที่ชี้ว่า จริงแท้แน่นอนแล้วอย่างเดียวนั้น

    หากรูปไม่มีอยู่จริง จะมาบัญญัติทำไม
    หากจิตไม่มีอยู่จริง จะมาบัญญัติขึ้นทำไม
    หากเจสติกไม่มีอยู่จริง จะมาบัญญัติทำไม

    จิต เจตสิก รูป หากไม่มีอยู่จริง จะมาบัญญัติทำไม

    จิต เจตสิก รูป นิพพาน

    คำว่าเที่ยงแท้แน่นอน คือปรมัถธรรม นั่นคือ สิ่งที่มีอยู่จริง

    แต่สิ่งที่มีอยู่จริง สี่อย่างนี้ มีเพียงอย่างเดียว
    ที่ไม่ตกอยู่ภาตใต้ กฎไตรลักษณ์ นั่นก็คือนิพพาน

    แต่นิพพานจะปรากฎมาได้นั้น
    ที่คำว่า เนื่องกันกับจิตที่พี่ภูติเข้าใจ

    หากฟังเทศน์หลวงตา
    มันจะปรากฎได้ก็ต่อเมื่อถูกซักฟอกแล้วด้วยปัญญา
     
  13. Allymcbe222

    Allymcbe222 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    547
    ค่าพลัง:
    +1,445
    หัวข้อกระทู้คือ เชิญช่วยกันระดมความคิดเห็นเรื่อง"จิต" เพื่อสัจธรรมความจริง
    คิดว่าตอนนี้คำตอบชัดเจนนะครับ
    สรุป "จิต"ของใคร มีแค่ดวงเดียวเท่านั้น
    ไม่ได้มีหลายร้อยดวงแบบเกิดๆดับๆอย่างที่เขาชอบว่ากัน
    ร่างกายไม่ใช่เรา เราคือจิต จิตดวงนี้ไม่มีวันตาย
    ร่างกายตาย แต่จิตไม่ได้ตายไปด้วย หากแต่ไปยังภพภูมิใหม่ วนเวียนเรื่อยไป
    เมื่อชำระจิตจนบริสุทธิ์เต็มที่ถึงที่สุด จิตดวงเดียวนี้ก็ไม่ได้ดับสลายหายไปไหน
    หากแต่ไปอยู่บนพระนิพพาน อันเป็นแดนบรมสุขตลอดไป
    ไม่ใช่ถึงนิพพานแล้วจิตดับ ไม่มีเหลือเลย อะไรอย่างที่เขาชอบว่ากัน

    ดวงจิตที่บริสุทธิ์บนพระนิพพาน
    หลวงตามหาบัวท่านเรียก ธรรมธาตุ
    หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านเรียก พระวิสุทธิเทพ
    หลวงพ่อสด วัดปากน้ำ ท่านเรียก ธรรมกาย

    นักกอดตำรา ท่านว่า อุปาทาน โอภาส มิจฉาทิฏฐิ อะไรก็ว่าไป
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 มิถุนายน 2013
  14. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,337
    ค่าพลัง:
    +6,846
    ถ้าจะหมายถึง สิ่งที่ไม่เกิดไม่ดับนะคือสภาวะธรรมนั้น
    หากยังมีการเข้า และมีการออกมา
    แล้วมาบอกว่าไปเห็นสิ่งที่ไม่เกิดไม่ดับ

    มันน่าพิจารนานะ
    เป็นหนึ่งไปแล้ว ยังจะมีแยกมาเป็นสองมาจากที่ไหนอีก



    ข้อสังเกตุ อีกอย่าง
    ตทังควิมุติ เป็นเพียงรวมจิตเข้ามาเฉยๆ
    ยังเจือด้วยอำนาจเจตนาเข้าไป
    สำหรับผมแล้ว ไม่ใช่จิตรวมใหญ่
    แต่เป็นการรวมจิต รวมอารมณ์จิตให้เป็นอารมณ์เดียว



    ปราบลิง
    อันนี้เอาไว้คิดถึงจริงๆครับ^^

    กรณีพี่ภูติ กล่าวว่าจิตไม่เกิดไม่ดับ
    ทำไมต้องใช้คำว่า จิตรวมใหญ่
    เมื่อมันไม่เกิดไม่ดับอยู่แล้ว จิตมันจะรวมใหญ่ทำไม
     
  15. อินทรบุตร

    อินทรบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +7,320
    ก็แค่สงสัยครับ ว่าเคยผ่านมาหรือยัง เพราะรู้สึกว่าจิตของธรรมภูต ยังมีนิวรณ์รุนแรงอยู่ ไม่ใช่ลักษณะของผู้มีเมตตา จึงสงสัยว่า ถ้าเคยผ่านมาแล้ว สิ่งที่เคยสะสมมา ไม่ว่าจะเป็นอกุศลข้อใด น่าจะลดลงบ้าง เท่านั้นเอง

    ในกรณีเดียวกัน น่าจะพิจารณาให้ดีก่อน post นะครับ ว่ากระทู้นี้ ก่อให้เกิดประโยชน์อะไรกับผู้อื่นบ้าง
    ทำให้ผู้อื่นเห็นธรรมไหม? ทำให้ผู้อื่นมีความเพียรมากขึ้นไหม? หรือว่ามีโอกาสทำให้ผู้อื่นหลงไปกับภาษาปริยัติ บดบังสภาวะจริง

    น่าจะคิดให้ดีก่อน post ไม่ใช่มาคิดได้ทีหลังนะครับ
     
  16. มะหน่อ

    มะหน่อ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    1,652
    ค่าพลัง:
    +1,210
    ความจริงเขาเป็นอยู่อย่างนั้น
    เขาปรุงแต่งของเขาตามปัญญาที่เขาเกิดอย่างนั้น
    แต่พอมีเราขึ้นมาอีก
    เลยขัดจัยขัดจิต
    หรือขัดจิตขัดจัยและขัดใจตัวเองขึ้นมาอีกว่ามีความต่างเลยฟุ้งวุ่นวาย
    เริ่มถามตัวเอง
    แล้วเริ่มตามพยาบาท
    พอตามมากๆแล้วง่วง
    ................สงสัย

    หากหารกันลงตัวไม่มีเขาไม่มีเรามีกลางนะคือการหาฉันทะ
    ให้ตัวเองแก้ได้ปันได้แบ่งคนละครึ่งสักครู่
    แล้วหันหน้าเข้ามาหากันใหม่แล้วไปด้วยกัน
    ไปไหน

    ขอท่านเจริญในธรรมขอรับ
     
  17. มะหน่อ

    มะหน่อ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    1,652
    ค่าพลัง:
    +1,210
    ตรงนี้
    ท่านตรัสว่า
    มโนบ้าง
    วิญญานบ้าง
    จิตบ้าง
    หรือไม่อย่างไร

    หากมาไม่ถูกทางก็ทำหรือไม่อย่างไร

    กระโดดข้ามไปข้ามมา
    ขอชัดๆขอรับ
     
  18. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    ^
    ^
    เพิ่งรู้เหมือนกันว่า มีพยาธิในลำไส้ตัวใหม่เกิดขึ้นมาอีกแล้ว

    รู้ไปหมดว่าธรรมภูตมีสภาวะจิตอย่างไร? มีนิวรณ์รุนแรง55+

    สงสัยไปรับวิชา"ทักจิต" เดาสวดมามั๊ง จึงรู้ไปหมด

    อย่าเดาสวดไปเลย พระพุทธศาสนานั้นสอนให้ดูกันที่ภูมิรู้ภูมิธรรม

    ไม่ใช่ดูกันที่ปากหวานพูดเพาๆะ แลดูมีเมตตา เห็นมาเยอะแล้วว่า

    แค่สร้างภาพใหดูดีเท่านั้น แต่ก้นเปรี้ยวหาความซื่อสัตย์ต่อตนเองไม่ได้

    นี่หรือลักษณะของบุคคลที่มีเมตตา ต้องเมตตาเพื่อให้ผู้อื่นพ้นทุกข์นั่นสิ "เมตตาจริง"

    เฮ้อ!!! อย่าทึกทันเอาสิ ที่ธรรมภูตพูดไปหนะ

    มันเรื่องไม่ต้องการให้อวดผลออกไป เพราะไม่เห็นประโยชน์

    มันคนละเรื่องกับกระทู้ที่โพส

    ถ้าคิดว่าไม่มีประโยชน์ ก็ไม่น่าจะต้องเข้ามาสนทนาด้วย

    หรือคิดว่าตนเองทำประโยชน์ได้ดีกว่านี้ก็แสดงสิ การทึกทักแบบนี้ ไม่เกิดประโยชน์อะไรหรอก

    ใครว่าเรื่อง"จิต" เป็นเรื่องไร้สาระ ต้องถือว่า"ผิด"

    เพราะพระพุทธศาสนานั้น สอนเรื่อง"จิตกับอารมณ์"เท่านั้น จำเอาไว้นะ

    เจริญในธรรมทุกๆท่าน
     
  19. kengkenny2

    kengkenny2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    592
    ค่าพลัง:
    +289
    อ่านไปอ่านมาก็สรุปไม่ได้ว่า จิต คืออะไร ถ้าจิตคือธรรมชาติที่รับรู้อารมณ์จริงๆ การรับรู้นั้นก็เรียกว่าสังขารจิต หรือ จิตสังขาร ย่อมมีการเกิดขึ้นตั้งอยู่และดับไป ถ้าจะฟันธงกันเดะๆ เลยต้องกล่าวว่า จะพิจารณาเกิดดับก็พิจารณาที่จิตสังขารหรือสังขารจิต แต่ถ้าจะพิจารณาว่าอันไหนเที่ยงแท้อันไหนไม่เที่ยงแท้ ก็ต้องหมายถึงจิตที่ขึ้นตรงกับสังขารคือความแปรเปลี่ยน ย่อมไม่เที่ยงแน่ๆ แต่จิตที่ไม่ขึ้นกับสังขารหรือความแปรเปลี่ยนใดๆ นั้นก็ย่อมเที่ยงแท้และแน่นอน ปัญหาคือ เรากำลังถกกันด้วยเรื่องที่ว่า จิต แบบใดกันแน่ และจากที่ผมบังอาจกล่าวอะไรออกไปนั้นก็ใช่ว่าผมจะเข้าใจมันถ่องแท้เสียเมื่อไหร่ ก็ฝากไว้พิจารณาแล้วกันครับ
    สาธุคั๊บ
     
  20. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    ^
    ^
    โอ้น้องรัก...ถ้าปักธงว่าไม่ต่างกันไว้ก่อน
    เหตุผลสารพัด ที่จะมาสนับสนุนตน ตอบชัดๆเชื่อหรือไม่เชื่อว่า"จิตไม่เกิดดับ"
    แต่ที่ยกมานั้น มันมีเหตุผลเสียที่ไหนหละ?

    ไปดูคำนิยามว่า"สันตติ"ให้ดีๆเสียก่อนๆที่จะนำมาอ้าง
    สันตติการสืบต่อไม่มีระหว่างขั้น ที่ยกมานั้นมีระหว่างคนละเรื่อง
    เช่นที่ยกตัวอย่างมา เรื่องการเดินแบบต่อเนื่อง


    ^
    ^
    ไปดูคำนิยามว่า"สันตติ"ให้ดีๆเสียก่อนๆที่จะนำมาอ้าง
    สันตติการสืบต่อไม่มีระหว่างขั้น ที่ยกมานั้นมีระหว่างคนละเรื่อง
    เช่นที่ยกตัวอย่างมา เรื่องการเดินแบบต่อเนื่อง

    ยิ่งไปเปรียบเทียบกับเรื่องเซลในตัวคนแล้ว คนละเรื่องเลย
    เซลมีอายุขัยของมันเองตามปัจจัย จิตมีอายุขัยด้วยหรือ? เฮ้อ!!!
    แล้วได้อ่านที่นิยามคำว่า"เกิด-ดับ" เข้าใจหรือไม่?
    ภาษามีไว้สื่อให้เข้าใจ ไม่ใช่มีไว้เลี่ยง คำว่า"ดับ" ชัดเจนแล้ว
    จะมาลำบากอะไร แค่ความจริงที่ตริตรองตามได้ ไม่ถูกใจเท่านั้นเอง

    ส่วนเรื่องจิ เจ รุ นิ ต้องไปถามกับพวกนักตำรา"อภิธรรม"นั่น

    ซักฟอกด้วยปัญญา ซักฟองอะไรด้วยปัญญา? คขอำตอบชัดๆ

    เจริญในธรรมทุกๆท่าน
     

แชร์หน้านี้

Loading...