จิตพร้อม? รับภัยพิบัติ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย ภูภู, 6 เมษายน 2012.

  1. Golden Sky

    Golden Sky เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    575
    ค่าพลัง:
    +8,976
    คําว่าประชุมนั้นมีหลายระบบหลายเรื่องของการประชุม...เช่นการประชุมของธาตุทั้ง ๔ มีดิน นํ้า ลม ไฟ ที่มีอยู่ในร่างกายของเราก็ทําให้เป็นเราเป็นเขาขึ้นมาและอีกเรื่องก็"กิเลสตัณหา"มาประชุมตัวกันเข้ามากๆก็ทําให้เกิดทุกข์ได้...เพราะมีความโกรธ ความโลภ ความหลง มันมาประชุมกันก็มีแต่ทุกข์ถ่ายเดียวเท่านั้น...เพราะสัตว์โลกได้พากันสะสมกันมาหลายภพหลายชาติแล้ว...เพราะเรามองไม่เห็นเพราะความทุกข์นั้นมันปิดไม่ให้เราเห็นก็อยู่ที่การมองเห็นหรือไม่เห็นนั้น...เพราะถ้าเราเห็นตามความเป็นจริง คือ"มีสัมมาทิฏฐิ"ก็จะเห็นชอบเป็นความเห็นที่มีประโยนช์ และผู้ที่เห็นตามก็ไม่เป็นโทษต่อผู้เห็นมีแต่เป็นคุณเท่านั้นเพราะความเห็นถูกต้อง...เพราะผู้เห็นทางถูกต้องก็มีจุดมุ่งหมายเดียวกันก็คือ"นิพพาน"ผู้เห็นได้ตามนี้ต้องเห็นด้วยปัญญาเท่านั้น เพราะจะน้อยมากผู้ที่จะได้เห็นลมหายใจของตนว่าหายใจเข้าเป็นทุกข์ หายใจออกเป็นทุกข์นั้นมีน้อยเพราะผู้ที่ได้รู้คําว่า"พุทธะ"นั้นก็คือ"ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน นั้นเอง...ตื่นในที่นี่ก็คือเห็นลงในอริยสัจ ๔ นั้นเอง เพราะตื่นจากกิเลสตัณหา ไม่ตื่นเต้นไปกับสิ่งใดๆไม่เสียใจก็ไม่ยึดติด จะต่างจากการตื่นเต้นจากพวกที่ไม่ใช่ธรรมเพราะจะตื่นเต้นไปกับโลกถ้าสูญเสียก็โศกเศร้าเสียใจอยู่นั้นก็ยังไม่ใช่ผู้ตื่นที่ถูกทางยังไม่เป็น"สัมมาทิฏฐิ"นั้นเอง...
    ที่มาจากเทปธรรมะของหลวงปู่คําพอง ติสโส
    ลูกขอน้อมกราบหลวงปู่ด้วยเศียรเกล้าค่ะ
     
  2. Golden Sky

    Golden Sky เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    575
    ค่าพลัง:
    +8,976
    คําว่าพระธรรมนั้นเกิดขึ้นก่อนพระวินัย...เพราะสมัยก่อนถ้าสาวกได้ฟังธรรมจากพระพุทธเจ้าก็จะบรรลุธรรมได้...ส่วนการมีพระวินัยนั้นก็เพื่อป้องกันไม่ให้ตกไปในทางผิดหรือความคิดที่เห็นผิดนั้นเอง...แต่พระธรรมก็คือการรู้ตามความเป็นจริงของการปฏิบัติว่าสิ่งไหนควรหรือไม่ควรนั้นเอง... ส่วนการแต่งตั้งตราพระวินัยไว้ก็เพื่อไม่ให้ผู้ปฏิบัติแวกแนวนั้นเอง...ส่วนพระธรรมนั้นจะเกิดจากจิตที่ได้รู้ธรรมเห็นธรรม...จึงได้เกิดขึ้นก่อนพระวินัย...ถ้าท่านมีความคิดผิดไปจากวินัยก็จะเกิดใจเศร้าหมอง...เศร้าหมองที่นี่ก็คือการผิดพระธรรมวินัยนั้นเองจึงเกิดใจเศร้าหมองนั้นเอง...ส่วนฆารวาส ก็ต้องมีวินัยในตัวเองจึงจะปฏิบัติตนไปได้ดี ต้องมีความรู้ในทางธรรมคือ"การศึกษาในธรรม"เพราะถ้าไม่มีวินัยก็จะประมาทกลายเป็นความวุ่นวายในสังคม เพราะจิตใจมันไม่สงบก็ก่อให้เกิดแต่ทุกข์เพราะขาดวินัยในตัวเองนั้นเอง...
    ที่มาจากเทปธรรมะของหลวงปู่คําพอง ติสโส
    ลูกขอน้อมกราบหลวงปู่ด้วยเศียรเกล้าค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 มีนาคม 2013
  3. ภูทยานฌาน

    ภูทยานฌาน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    129
    ค่าพลัง:
    +188
    คู่รักคู่รส คอฟฟี่เมท
    คือคุณมาลินีUK กับคุณGolden Sky
    ขอโมทนาสาธุ กับธรรมาทานด้วยครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 22 มีนาคม 2013
  4. natatik

    natatik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 มกราคม 2012
    โพสต์:
    873
    ค่าพลัง:
    +3,607
    อย่าลืมกาแฟ คือ คุณภูทยานฌาน2 ด้วยนะค่ะ
    เดี๋ยวจะขาดสีสัน และความเข้มข้น ไปค่ะ
    ส่วนพวกเราก็ขอเป็นน้ำตาล แล้วแต่ว่าจะใส่ให้หวานมากหรือหวานน้อยตามชอบใจ
     
  5. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    ขอเป็นแค่กัลยาณมิตร ก็พอ
    อย่ายกผมเป็นอย่างอื่นเลย เช่น ครู อาจารย์หรืออาจารย์ใหญ่เลย
    อาจารย์ใหญ่ แปลว่า ศพ คนตายที่นศ.แพทย์เขาเรียกกัน อิอิ
    อย่ายกผมขึ้นสูง(หิ้ง)เลย เพราะยิ่งสูงยิ่งหนาว เดี๋ยวอัตตามานะมันจะกำเริบ
    (เข้าเรื่องดีกว่า)


    อย่าให้กิเลสมาร มาเป็นผู้บัญชาการตัวเรา
    จงมีสติปัญญา เพื่อกอบกู้ฐานบัญชาการกลับคืนมา
    อย่าปล่อยให้กิเลสมารมันยึดไปตลอดชีวิต
    อย่าให้กิเลสมารมากำหนดชะตาชีวิตเรา
    ชีวิตจะตกต่ำ เพราะตกเป็นทาสกิเลสมารจนเงยหัวไม่ขึ้น
    จะต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิดอยู่เช่นนี้
    จะต้องทนทุกข์ทรมานไปกี่ภพ กี่ชาติ
    เพราะเรามีร่างกายเหมือนมีตัวทุกข์ โรงงานผลิตทุกข์เคลื่อนที่
    เมื่อร่างกายถึงคราวต้องดับสูญ แต่เราก็ยังไม่พ้น คำว่า ทุกข์
    ถ้าตราบใด เรายังไม่ได้ฝึกจิตให้มีปัญญามากพอ
    ที่จะไปรู้เท่าทันกิเลส รู้ตามความเป็นจริงแห่งธรรม
    ขอให้พวกเราจงตื่นจากกองกิเลสทั้งหลาย ทั้งปวงนั้นเสีย
    ก่อนที่เราจะสิ้นลมหายใจ เพราะถ้าสิ้นลมหายใจไปแล้ว
    นั่นเท่ากับเราหมดโอกาสได้กระทำกรรมดีหรือกรรมไม่ดีแล้ว

    ต่อไปนี้ เราจงกำหนดกรรมหรือชะตาชีวิตตนเองเสียแต่เนินๆ
    โดยละชั่วทั้งปวง และตั้งหน้าตั้งตากระทำแต่กรรมดีโดยฝ่ายเดียว
    กรรมในอดีตเปลี่นแปลงไม่ได้ แต่กรรมที่พอจะเปลี่ยนแปลงได้
    ก็คือ กรรมในอนาคต คือกระทำกรรมดีในปัจจุบันหรือในทุกขณะจิต
    การเจริญสติภาวนาหรือการปฎิบัติธรรม เป็นการเริ่มต้นในทิศทางที่ดี
    ถือเป็นการกระทำความดีหรือทำบุญทำกุศลแล้ว
    การกระทำความดีหรือทำบุญกุศลนี้ อย่ารอ!
    จงรีบเร่งปฎิบัติเสียแต่เนิ่นๆ เพราะเรารู้วันเกิด แต่ไม่รู้วันตาย
    เพราะผลของความดีหรือบุญกุศลในปัจจุบัน จะส่งผลในโลกนี้และโลกหน้า
    โลกหน้าก็คือ โลกหลังความตาย คือโลกอันแสนยาวนาน
    แต่ถ้าดวงจิตจุติสุคติภูมิก็ดีไป ก็เสวยสุขไป
    แต่ถ้าทุคติภูมิก็แย่ไป ก็เสวยทุกข์ไป
    และจะต้องทนทุกข์ทรมานไปอีกนานแสนนาน
    ไม่รู้ต่อกี่กัปป์ กี่กัลป์ กี่อสงไขย
    11111.html

    เพราะฉะนั้น เมื่อเรารู้อย่างนี้แล้ว ก็อย่าหายใจทิ้งกันเฉยๆ
    อย่าหลงติดสุขทางโลก อย่ามัวหลงสนุกเริงร่ากันอยู่เลย
    เพราะทุกคนมีความตายเป็นของตนเองแน่แท้ คือตายแน่ๆ
    ว่าแต่ว่า จะตายเมื่อไหร่ จะตายที่ไหน จะตายแบบไหน
    ทุคติภูมิเป็นโลกแห่งความทุกข์ เป็นโลกหลังความตาย เป็นโลกแห่งวิญญาณ
    แต่ทว่าเรายังมีชีวิตอยู่ หมั่นกระทำแต่กรรมดี เราก็อยู่เป็นสุขหรือนิพพานบนดิน
    แต่ถ้าทเราำตรงกันข้าม คือหมั่นทำแต่ความชั่ว เราก็เสวยทุกข์ก่อนจะลาจากโลกนี้แล้ว
    แต่ถ้าดับขันธ์หรือตายก็ไม่ต้องพูดถึง ทุกข์แน่ๆ มีทุคติภูมิคือที่ไปของดวงวิญญาณ

    ตราบใดเรายังมีขันธ์ ๕ หรือร่างกาย จงอย่าได้ประมาทแห่งตน
    จงหมั่นกระทำความดี โดยการเริ่มต้นที่ รักษาศีล ทำภาวนา
    ผู้ที่ไม่ปฎิบัติก็จะไม่มีวันรู้ว่า ความสุขมีมากกว่าทางโลกนี้อีกหรือ
    สุขยิ่งกว่าทางโลก หมายถึงจิตนิ่งเป็นสมาธิ อานิสงส์แรกก็คือ สุขแบบโลกทิพย์
    คือจิตเขาจะได้พักผ่อน นั่นเอง
    ในขณะเดียวกัน ความสุขทางโลกต่างล้วนไม่เที่ยง คือมีสุขได้ไม่นาน
    ถ้าเราจะเปรียบเทียบกับความทุกข์ทางโลกแล้ว คือมีความทุกข์มากกว่า
    ขอให้พวกเราปฎิบัตินะ ปฎิบัติให้ได้ ใช้เวลาไม่กี่นาทีภายในหนึ่งวัน
    ส่วนใครจะทำบุญแบบออมทรัพย์หรือกระแสรายวัน ก็ตามแต่กำลังใจของตนด้วยเถิด
    ตายไปขอให้ได้เสวยกรรมดีหรือบุญกุศล ก็คือ สุคติภูมิ
    อันได้แก่ สวรรค์ พรหม นิพพาน เป็นต้น
    ผู้ไม่ปฎิบัติ ส่วนใหญ่มีที่ไปก็คือ ทุคติภูมิ อบายภูมิหรือนรกภูมิ ปรโลก เป็นต้น
    และคุณเท่านั้น ที่จะต้องเป็นฝ่ายเลือกเอง
    แต่ถ้าไม่เลือก ขอบอกว่าไปตามยถากรรม ในครั้งที่ยังมีชีวิต
    แต่ถ้าใครรู้หรือไม่รู้การไปของดวงจิตตนเอง ก็ควรรีบเร่งละชั่วทำแต่ความดีอย่างเดียว
    เพราะนั่นหมายถึง เรากำลังกำหนดหรือจุติดวงจิตตนไปสุคติภูมิแล้ว แน่นอน

    ขอให้ทุกๆท่านเจริญในธรรมยิ่งขึ้นไปเถิด
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 22 มีนาคม 2013
  6. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    [​IMG]
    อย่ากังวล กับอุปสรรคใดๆ
    ที่เข้ามาในชีวิต ให้เห็นทุกสิ่งทุกอย่าง
    เป็นเรื่องธรรมดา เป็น "กฎของกรรม"
    อดทนไปสักพักหนึ่ง เหตุการณ์ทั้งหมด
    ก็จักคลี่คลาย ไปได้ ด้วยดี

    ใครจะคิดอย่างไร พูดอย่างไร
    ก็ให้ปล่อยวาง ไม่จำเป็นที่จัก
    กลับความคิดของใคร
    หรือ แก้ไขคำพูดของใคร
    ใคร่ยึดถือ นโยบาย
    "กรรมใคร-กรรมมัน" ให้มาก

    แม้ใครเขา จักใส่ร้ายป้ายสี มาถึงเจ้า
    เมื่อเจ้าไม่รับ เสียอย่างเดียว
    กรรมเหล่านั้น ก็ตกอยู่กับผู้พูด แต่เพียงผู้เดียว

    ทำจิต ให้สงบ เป็นสุข
    "มุ่ง-เพื่อพระนิพพาน" จักดีกว่า
    ดีกว่า จักมานั่งทุกข์เดือดร้อน เพราะบุคคลอื่น
    ทำงานทุกอย่าง ตามหน้าที่
    ตั้งใจทำ เป็นชาติสุดท้าย
    ต่อไป จักไม่ต้องกลับมาเกิดอีก

    (หลวงพ่อพระราชพรหมยาน)
     
  7. Golden Sky

    Golden Sky เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    575
    ค่าพลัง:
    +8,976
    การศึกษาทางโลกและธรรมจะต้องมีความศรัทธาก่อนเพราะทุกอย่างถ้าไม่มีความศรัทธาจะไปไม่รอด...ยกตัวอย่างทางโลกเช่นนักเรียนไปศึกษาที่โรงเรียนแต่ไม่มีความขยันมั่นเพียรก็โดดโรงเรียนคือไม่เข้าเรียน...เพราะขี้เกียจศึกษาผู้มีใจขี้เกียจอย่างนี้ก็จะไม่จบการศึกษาได้เพราะไม่มีใจนั้นเอง...แล้วก็จะไม่ได้ใบประกาศหรือใบรับรองว่าจบ...และเวลาไปสมัครงานพอเขาจะเอาวุฒิก็ไม่มีจะให้เขาก็จะไม่ได้งานนั้นคือทางโลกแล้วจะเอาตัวรอดก็จะยาก... เพราะความที่ไม่มีศรัทธาในการเรียนนั้นเอง...ส่วนทางธรรมนั้นก็คล้ายๆกันแต่ตัวเราเป็นผู้ออกใบประกาศให้ตนเอง... เพราะเราเป็นผู้รับรองตนเองว่าเราประกอบความเพียรไปถึงไหนแล้วมีแต่ตัวเราเท่านั้นจะรู้ได้เอง...เพราะทางธรรมจะต่างจากทางโลกคือการรับรองจากสถาบันการศึกษาว่าจบมาจากไหน... แต่ทางธรรมก็จะปฏิบัติตามพระพุทธเจ้า... แล้วเราผู้ปฏิบัติก็จะต้องเป็นผู้รับรองตนเองว่าเราจะจบขั้นไหนนั้นก็แล้วแต่เราๆท่านๆจะเป็นผู้รู้เอง...
     
  8. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    ลูกขอน้อมกราบท่านพ่อด้วยเศียรเกล้าเจ้าค่ะ.

    ...ในชาตินี้ลูกไม่เสียใจแล้วค่ะ ที่ได้ไปกราบองค์ท่านถึงที่...ช่างเป็นบุญ...

    ...อันใหญ่หลวงของลูกครั้งนี้ ทำให้ลูกได้สัมผัสกับความสงบ และความปิติ...

    ...อย่างที่ไม่เคยได้พบมาก่อน ซึ่งไม่สามารถที่จะบอกเล่ากับใครได้จริงๆ...

    ...ท่านเมตตาลูกมากจริงๆ ตอนแรกไปถึงประมานเที่ยงครึ่งของวันที่๒๖ก.พ๑๓

    ...ไปถึงที่วัดแล้วแต่เข้าไปชมยังไม่ได้ ต้องรอถึงเวลาบ่าย ๒ โมงก่อนเพราะ

    ว่าท่านใช้สถานที่ ปฏิบัติธรรมในวิ
    หารแก้ว ถามตัวเองว่าจะรอไหม? เพราะ...

    ...จะต้องขับรถไปถึงเชียงใหม่ แต่มีเหตุให้รอ เพราะมีเสียงกระซิบว่า...เอง

    จะไปนิพพานเองต้องมีความอดทน เหลือเพียงอีกก้าวเดียวเองจะถอยหรือ

    ไม่ทราบว่าเสียงนั้นมาจากใหน? แต่ตอบตัวเองทันทีว่านี่คือเสียงของท่าน...

    ...สองพี่น้องได้ยินและมีความรู้สึกเหมือนกันและได้คุยกันว่าความรู้สึกนั้น

    มาจากที่เดียวกันเราเลยตกลงรอ จนถึงเวลาที่จะเข้าไปกราบนมัสการท่านที่...

    วิหารแก้ว ความรู้สึกที่ได้กราบท่านพ่อเวลานั้นเกิดความปิติ เย็นเยื้อก ตัวเบา

    เหมือนตัวเองลอย เมื่อก้มลงกราบท่านแล้วแหงนหน้าขึ้นจึงพบท่านพ่อที่นอน

    อยู่ในตู้กระจกแก้วสวยงามมาก ซึ่งผู้เขียนได้อ่านธรรมะคำสั่งสอนของท่าน...

    และก็ขอเป็นลูกของท่าน ขอท่านได้โปรดเมตตาพาลูกกลับไปด้วย. ท่านก็ได้ให้

    เห็นแล้ว... ว่าท่านให้มาพบเห็นนั้นแล้วคือสวรรค์บนดิน...ที่สวยงามมาก การกลับไป...

    บ้านเกิดครั้งนี้พบแต่สิ่งดีๆค่ะ จะดีอย่างไรต้องไปพบและเจอด้วยตนเอง...

    ...จึงขอฝากไว้กับท่านผู้อ่านทุกท่าน...ว่าถ้าอยากเห็นว่าสวรรค์หรือวิมานบนดินว่า...

    ...เป็นอย่างไรให้ไปดูที่วัดท่าซุง จ. อุทัยธานีนะคะ...

    ลูกขอน้อมกราบแทบเท้าท่านพ่อองค์พระปฐม และท่านพ่อฤาษีลิงดำ

    ด้วยเศียรเกล้าเจ้าค่ะ. กราบ กราบ กราบเจ้าค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 มีนาคม 2013
  9. อุษาวดี

    อุษาวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2012
    โพสต์:
    531
    ค่าพลัง:
    +12,151

    องค์หลวงปู่จาม มหาปุญโญ
    เมตตาตอบคำถามเรื่อง ใครรักษาศีล ๕ ได้ผู้นั้นได้ภูมิพระโสดาบัน จริงหรือเท็จอย่างไร
    ***คัดจาก มหาปุญโญวาท 6
    ถาม : เคยได้ยินครูบาอาจารย์ พระเถระหลายรูป ท่านเทศน์ว่า ใครรักษาศีล ๕ ได้ผู้นั้นได้ภูมิพระโสดาบัน จริงหรือเท็จอย่างไรครับ ?
    ตอบ : จริงของพระโสดาบัน เท็จของปุถุชน ปุถุชนจะรักษาศีลได้มากข้อเท่าใดก็ตาม ก็ยังชื่อว่าอยู่ในเขตของโลกียศีลอยู่ดี และชื่อว่า โลกียศีลแล้วจะเป็นพระเณรก็ตาม จะเป็นฆราวาสหญิงชายก็ตาม จะเคร่งครัดใดๆ ก็ตาม จะย่อหย่อนก็ตาม ก็เป็นโลกียะทั้งสิ้นและตกอยู่ในฐานไม่เที่ยง บริสุทธิ์บ้าง ไม่สะอาดบ้าง ได้บ้าง เสียบ้าง เที่ยวไปอยู่ในภูมิต่างๆ

    แต่ศีล ๕ ของพระโสดาบันนั้นเป็นศีลปิดอบายภูมิได้ เป็นศีลในพุทธศาสนาเป็นศีลที่ประเสริฐกว่าศีลทั้งปวง เที่ยงตรงต่อพระนิพพาน โลกุตรศีลจึงเป็นศีลอันประเสริฐ ศีลนี้ทรงอยู่ในฆราวาสก็เป็นอริยะได้ ฆราวาสผู้ลุในภูมิพระโสดาบันจึงประเสริฐกว่าพระเณรปุถุชนผู้ทรงศีลอยู่ในโลกียภูมิ

    ถาม : น่าสนใจมาก ขอท่านอาจารย์จงอธิบายให้ความรู้จักกระจ่างใจต่อไป
    ตอบ : จะกระจ่างแจ้งทั้งหมดมิได้ ตราบใดที่ยังอยู่ในภาวะปุถุชน ศีล ๕ ของพระโสดาบันนั้น

    ๑. ไม่เอาความทุกข์ความสุขทางกายมาฆ่าเบียดเบียนกุศลธรรม คือปล่อยวางกายนี้ได้ ไม่หนักในทุกข์ ไม่เอนไปทางสุข ไม่ยึดมั่นสำคัญผิด มีแต่ใช้จ่ายกายใจนี้เพื่อกองการกุศลเท่านั้น
    ๒. รูปนี้ความจริงเป็นแต่ธาตุ ๔ มิได้เป็นอื่น มิได้เอามาด้วย และจักไม่เอาไปด้วย ปล่อยวางคืนแก่โลก เพราะเป็นของมีอยู่ประจำโลก
    ๓. กาม กามารมณ์ทั้งปวงเป็นโทษทุกข์ใหญ่ เบื่อหน่ายให้ระอา แม้จะยังมีจิตคิดจะสร้องเสพอยู่ก็มิได้ตกไปใน กามมิจฉา สันโดษอยู่ด้วยสทารกะ
    ๔. กายก็สัจจะ วาจาก็สัจจะ ใจก็สัจจะ เพราะเห็นเป็นของจริงไม่มีเท็จ
    ๕. ความไม่เมา ความไม่ประมาท เป็นปกติอยู่ในตนแห่งท่าน

    รวมความว่า ท่านได้กระทำสมาธิให้จิตตั้งมั่นจนได้ปัญญามาชำระสักกายทิฏฐิเห็นโทษแห่งกายใจอันหลงๆ อยู่ ตัดสักกายทิฏฐิได้ด้วยปัญญา จึงพ้นไปได้จากการหลงโลก หลงทางทุกข์สุขโลกโลกีย์นี้อยู่ ศีล ๕ ของพระโสดาบันเป็นศีลธรรม เที่ยงตรงถาวร ไม่กลับกลายไม่สกปรก ไม่เศร้าหมอง เป็นไท ความประพฤติเป็นอิสระ หมดสงสัยในความผิดหรือถูก เพราะได้ปัญญามาวินิจฉัยชี้ขาดอยู่ตลอด
     
  10. อุษาวดี

    อุษาวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2012
    โพสต์:
    531
    ค่าพลัง:
    +12,151

    ธรรมเมตตา ฉบับที่ 12
    31 สิงหาคม 2506

    การฝึกหัดจิตในสมาธิภายใน ให้ทำอยู่เสมอ ไม่ว่าเวลาใด
    จิตให้มีความระลึกอยู่ในดวงจิต ดวงที่รุ้อยู่ภายใน
    คอยระวังจิตดวงนี้ไม่ให้หลงใหลไปตามสังขารจิต
    จิตที่ไปไม่เอา ให้เอาดวงจิตที่รู้อยู่
    ดวงจิตที่รู้อยู่นี้ไม่ได้ไปที่ไหน ตั้งแต่เกิดมาก็อยู่ภายในใจนี้เอง
    ขณะใดที่จิตสังข่ารมันไปก็ยังรู่้อยู่ว่าจิตเราไปไหน
    ขณะที่จิตสังขารกลับมาก็รู้ว่ามันกลับมา ให้ทุกคนกำหนดให้ได้
    ว่าจิตดวงในนี้อยู่ภายในนี้แล้ว ไม่ต้องไปหาที่อื่น
    จงรู้เฉพาะหน้า เฉพาะใจเสมอ ๆ รู้ให้ได้ทุกอริยาบถ
    ทั้งนั่ง ทั้งนอน ตั้งมัน่อยู่ในจิตดวงที่รู้อยู่นี้
    ทั้งหมดเป็นสิ่งที่ไม่เที่ยงแท้แน่นอน
    นอกจากจิตนี้เป็นทุกข์ทั้งโลก นอกจากจิตที่รู้อยู่นี้
    เป็นของที่ไม่ใช่ตัวตนของเรา ไม่ควรลุ่มหลงไปกับสิ่งใด ๆ
    ทั้งหมด ควรรู้อยู่ เห็นอยู่ในเวลาปัจจุบันนี้อย่างเดียว
    ถ้าผู้ปฏิบัติมาทำความเพียรเพื่อละกิเลส
    รวมกำลังจิตลงไปสู่ดวงจิตผู้รู้อยู่นี้ให้เต็มที่แล้ว
    ก็จะเกิดความรู้แจ้งสว่างในธรรมปฏิบัติทุก ๆ คนไป

    โดยความเมตตาถึงทุกคนอยู่เสมอ
    พระครูสันติวรญาณ
    ที่มา fb หลวงปู่สิม พุทธาจาโร(สำนักสงฆ์ถ้ำผาปล่อง)
     
  11. อุษาวดี

    อุษาวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2012
    โพสต์:
    531
    ค่าพลัง:
    +12,151
    หลงแผนที่


    เรื่อง “หลงแผนที่” นี้ ต้องการขยายความคำสอนหลวงปู่ที่ว่า “ให้ปฏิบัติอย่างคนโง่”

    เพราะนักปฏิบัติที่อ่านหรือฟังธรรมะมามาก ก็เหมือนอ่านและจดจำแผนที่ พอนำมาระลึกนึกถึง หรือจินตนาการไปบ่อย ๆ ครั้งเข้า ก็อาจเผลอคิดว่าเราได้ลงมือเดินทางหรือกระทั่งไปถึงแล้วจริง ๆ ทั้ง ๆ ที่สิ่งที่พบบนหนทางหรือบรรยากาศของข้างทางที่เรารู้นั้น เป็นเพียงการจินตนาการตามคำของครูบาอาจารย์ที่เล่าให้ฟังเท่านั้น มิใช่สิ่งที่ประจักษ์ใจเจ้าของจากการลงมือปฏิบัติจิตภาวนา

    ตัวอย่างที่ชัดเจนก็คือการพูดคุยกันถึงเรื่องฌานหรือญาณต่าง ๆ จนดูเหมือนเป็นเรื่องง่าย ๆ ทั้ง ๆ ที่ฌาน ๔ นั้น ลมหายใจของผู้ปฏิบัติจะดับไปก่อน กายก็ไม่ปรากฏ หูก็ดับ ไม่มีปวดเมื่อย ไม่ได้ยินเสียงภายนอกเลย ในขณะที่ตัวรู้มีความบริบูรณ์ มิได้ตกภวังค์ จิตอิ่มเอิบมีกำลัง และกำลังนี้จะมีต่อเนื่องไปอีกหลายวัน หรือเอาแค่อุปจารสมาธิ จิตก็สามารถตั้งมั่นได้นานพอควร ไม่แวบออกไปชนิดบังคับไม่ได้

    หลวงปู่จึงมักพูดเตือนว่า “อย่าเอาตำรามาว่า แต่ให้เอาผลการปฏิบัติจริง ๆ มาว่า” การเอาสิ่งที่จดจำหรือจินตนาการมาพูด มันเป็นแค่เรื่องสำนวนโวหารโก้เก๋ เอามาพูดก็ไม่มีประโยชน์แก่การแก้ปัญหาการปฏิบัติ เพราะมันไม่ใช่ความจริงที่ตัวเรา

    สมาธิเป็นเครื่องช่วยให้เราถึงตัวใจ หรือฐานแห่งการใช้ปัญญา ฐานแห่งการดูรู้กาย เวทนา จิต ธรรม ฐานที่เกิดปัญญาชนิด “ภาวนามยปัญญา” มิใช่ปัญญาจากการคิดพิจารณาทั่ว ๆ ไป (จินตามยปัญญา) และมิใช่ปัญญาจากการอ่าหรือการฟัง (สุตมยปัญญา)

    แต่ปัญญาจากการอ่านการฟัง รวมทั้งปัญญาจากการคิดพิจารณาก็ล้วนเป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องอาศัยเพื่อการกรุยทางหรือนำร่องมาก่อน ก่อนที่จะมาถึงปัญญาที่ฆ่ากิเลสได้จริง คือ ภาวนามยปัญญา

    สมาธิเป็นเรื่องของเครื่องมือ ยังไม่ใช่เป้าหมายสูงสุด หรือแม้แต่ปัญญาก็เช่นกัน ยังไม่ใช่เป้าหมายสุดท้ายเช่นกัน เป้าหมายสุดท้ายที่พระพุทธเจ้าและหลวงปู่ครูบาอาจารย์สอนก็คือ ความพ้นทุกข์ การละโลภ โกรธ หลงได้อย่างสิ้นเชิง

    ดังนั้น หากจะพูดอวดกัน ก็ไม่ควรมาพูดอวดเรื่องเครื่องมือ หรือภูมิสมาธิ แต่ควรอวดกันที่คุณภาพจิตอันเป็นผลจากการเอาเครื่องมือหรือสมาธิไปใช้ เช่น ความขี้โลภ ขี้โกรธ ขี้หลงที่ลดลง การเป็นผู้อยู่ง่ายกินง่าย การไม่หลงลาภสักการะ การมีทิฏฐิมานะที่เบาบาง การมีความสงบเย็นใจเป็นปรกติ การมีปัญญารู้ว่าอะไรใช่ทาง อะไรไม่ใช่ทาง อะไรควร อะไรไม่ควร การกลัวบาปกรรมแม้เพียงเล็กน้อย การทำความดีได้โดยง่าย แต่จะให้ทำชั่วเป็นเรื่องยาก (ไม่มีข้อแม้ หรือเหตุผลของกิเลสที่เข้าข้างตนเอง)

    โดยสรุป แผนที่นั้นจำเป็น โดยเฉพาะช่วงต้นที่จะใช้บอกเส้นทางเดิน และช่วงท้ายที่ใช้สำหรับเทียบเคียงกับผลการปฏิบัติว่ามาถูกทางหรือไม่ แต่ต้องตระหนักว่าความรู้เรื่องแผนที่ก็คือสัญญาความจำ ยังไม่ใช่ปัญญาที่เกิดจากประสบการณ์จริงของใจเรา แผนที่ที่ถูกตรงนั้นมีคุณเหลือประมาณ แต่ความหลงแผนที่ก็ให้โทษเหลือประมาณเช่นกัน

    ที่มา ขยายความคำสอนหลวงปู่ ดู่ พรหมปัญโญ ที่ว่า “ให้ปฏิบัติอย่างคนโง่”
     
  12. Natcha@uk

    Natcha@uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    618
    ค่าพลัง:
    +9,444
    [​IMG]


    คำสอนสมเด็จองค์ปฐม


    ให้มั่นใจในพุทธคุณ-ธรรมคุณ-สังฆคุณ ปัญหาใดๆ ถ้าหากไม่เกินวิสัยในกฎของกรรม ให้ขอบารมีพุทธคุณ-ธรรมคุณ-สังฆคุณ ย่อมขจัดปัดเป่าแก้ไขได้ พุทธคุณ คือคุณของผู้รู้ อันหมายถึงพระตถาคตเจ้า เป็นผู้รู้-ผู้ตื่น-ผู้เบิกบาน ดังนั้น บุคคลใดไม่ลืมพุทธคุณ ก็พึงกระทำตามให้ถึงซึ่งพุทธคุณด้วยธรรมคุณ คุณของพระธรรม อันหมายถึงทุกข์-สมุทัย-นิโรธ-มรรค นั่นแหละ บุคคลผู้ปฏิบัติถึงซึ่งพุทธคุณและธรรมคุณ อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง ด้วยกำลังใจเต็ม ก็ได้ชื่อว่าถึงซึ่งสังฆคุณใน ๔ ระดับ คือ พระโสดาบัน-พระสกิทาคา-พระอนาคา-พระอรหันต์

    คุณทั้งสามประการของพระรัตนตรัยในบวรพระพุทธศาสนานี้ ผู้ใดถึงแล้ว ผู้นั้นย่อมมีความสุข และจักสุขยิ่งๆ ขึ้นไป จนกระทั่งเข้าถึงซึ่งแดนเอกันตบรมสุข คือพระนิพพานเป็นที่ไปนั่นแหละ ให้มองดูจิต-ดูกายของตนนั่นแหละเป็นสำคัญ ถ้ามุ่งต้องการปฏิบัติให้พ้นทุกข์ได้จริง อย่าเพ่งโทษในจริยาของผู้อื่น ให้เห็นความร้อนในจิตของตนเองให้มาก และเห็นโทษของความร้อนในจิตนั้น ก็จักปฏิบัติฝึกจิตของตนให้พ้นไปจากความร้อนได้ในที่สุด


    ※ ธรรมที่นำไปสู่ความหลุดพ้น
    รวบรวมโดย พล.ต.ท.นพ.สมศักดิ์ สืบสงวน

    ขอบคุณ : FB ศูนย์พุทธศรัทธา
     
  13. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    "ระวัง...อันตราย ๕ จะพาชีวิตติดกรรม"

    ...พระอรรถกถาจารย์ กล่าวอันตรายที่เกิดแก่สัตว์โลกว่ามี ๕ อย่าง

    จึงฝากไว้ในที่นี้เสียเลย คือ.....

    ...๑. กิเลสันตราย...อันตรายเกิดจากกิเลส เช่น มีความโลภ โกรธ หลงที่

    ตายตามถนนมีมาก...ตายอย่างน่าเสียดาย...

    ...๒. กัมมันตราย...อันตรายเกิดจากกรรมชั่วที่ทำในปัจจุบันนั้น ไม่ต้อง

    ไปเอากันในชาติหน้า...กรรมนั้นเห็นทันตาเลย...

    ...๓. วิปากันตราย...อันตรายที่เกิดจากวิบากกรรม คือผลกรรมที่ทำไว้

    ในครั้งอดีต...ออกมาประสบในปัจจุบันนี้...

    ...๔. ทิฏฐิอันตราย...อันเป็นทิฐิที่ผิด คิดผิดคิดไม่ถูกต้อง

    ทำอะไรไม่มีตามคลองธรรม...เกิดอันตรายในปัจจุบันนี้...

    ...๕. อริยูปวาทันตราย...อันตรายเกิดจากการจ้วงจาบผู้มีบุญคุณ

    ผู้ทรงศีลทรงธรรม...เช่นพระสงฆ์องค์เจ้า คุณพ่อคุณแม่...ก็เป็นอันตรายในปัจจุบันนี้.

    ( พระธรรมสิงบุราจารย์ หลวงพ่อจรัญ) กราบหลวงพ่อจรัญด้วยเศียรเกล้าเจ้าค่ะสาธุๆ.
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 มีนาคม 2013
  14. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    มีของดีมาฝาก
    จะเอาไหม?


    ทำบุญแบบไม่ต้องใช้เงินทอง ไม่ต้องเสียเวลาไปทำที่ไหน
    สถานที่หรืออุปกรณ์ในการเรียน การปฎิบัติ นั่นก็คือ กายและจิต
    หรือการปฎิบัติธรรมแนวจิตเกาะพระก็ได้ง่ายดีด้วย เพราะการเจริญสติ
    หรือการสร้างสติแนวจิตเกาะพระนี้ก็ง่ายแสนง่าย คือสามารถปฎิบัติได้เลย
    มิต้องรีรอ ไม่ต้องรอลางานก่อน ต้องไปปฎิบัติตามสถานที่อันสงบ
    หรือปลีกวิเวกก่อน รอสวมใส่หรือต้องนุ่งขาวห่มขาวก่อน รอให้ว่างก่อน เป็นต้น
    อันนั้นถือว่าเป็นผู้ประมาทแทบทั้งสิ้น แค่เตรียมใจก่อนอื่นเลย
    การกระทำความดีให้ถึงพร้อมตามที่พระพุทธองค์สั่งสอนนั้น กระทำได้ทันทีอย่าไปรีรอ
    แค่ละชั่วทั้งหมดให้ได้ก่อน หรือรักษาศีลของตนให้ครบ ให้บริสุทธิืก่อน
    อย่าไปสนใจจริยาผู้อื่นในขณะที่เราปฎิบัติ ให้ดูกาย ดูใจของเราอย่างเดียว
    อันนี้ก็จะเข้าถึงพระรัตนตรัยกันได้ง่าย จิตจะพัฒนาไว จิตละเอียดไว
    ผู้ที่อยากจะออกทุกข์กันจริงๆ คือเราต้องมีความตั้งใจมากในการปฎิบัติ
    เพราะการปฎิบัติเพื่อออกจากทุกข์ เพื่อความหลุดพ้นนั้น ต้องธรรมปฎิบัติ
    มิใช่อามิสบูชา อันนี้เป็นการทำความดีหรือทำบุญกุศลภายนอกจิตเฉยๆ
    สรุปแล้ว อามิสบูชาก็แค่ทำจิตใจผู้นั้นมีความสุข ความสบายใจได้ชั่วคราวเท่านั้น
    แต่ถ้าจะให้เราออกจากทุกข์ถาวรหรือหลุดพ้นถาวรนั้น จะต้องธรรมปฎิบัติ
    โดยเริ่มต้นทำจิตให้นิ่งหรือละเอียดกันก่อน ด้วยการเจริญสติภาวนา นั่นเอง
    การเจริญสติภาวนาหรือเจริญพระกรรมฐานก็มีอยู่หลายกองด้วยกัน
    ให้เราเลือกมาหนึ่งหรือสองกองเท่านั้น ให้ถูกจริตในการปฎิบัติของเรา

    ผู้ที่ต้องการปฎิบัติ อยากออกจากทุกข์ อยากหลุดพ้นนั้น
    สำหรับขั้นตอนในการปฎิบัตินั้นถือว่าสำคัญมาก เราจำเป็นจะต้องทำความเข้าใจให้ดี
    เพราะในโลกทิพย์นั้น เราจักต้องอยู่แต่เพียงผู้เดียว และจะเป็นอันตราย
    สำหรับผู้ที่ยังเข้าไม่ถึงพระรัตนตรัย จิตยังไม่ละเอียดพอ เกรงว่าจะหลงทาง
    หลงเชื่อตนเองหรืออุปาทานรับประทาน เพราะด้วยสติหรือปัญญาไม่มากพอ
    แต่ถ้าผู้ที่มาถูกทาง ปฎิบัติดีแล้ว เดี๋ยวจะมีพระพุทธเจ้าหรือครูบาอาจารย์สายเรา
    จะมาช่วยบอก ชี้แนะแนวทางการปฎิบัติให้ถูกต้อง อันนี้ก็ถือว่าโชคดีไป
    แต่ถ้ายังปฎิบัติไม่ถึงตามที่กล่าวมา ก็พยายามนำธรรมะของพระพุทธองค์
    หรือครูบาอาจารย์ที่ได้ปฎิบัติสำเร็จมาแล้วนั้น นำมาปฎิบัติเป็นแนวทางของเรา
    เพื่อป้องกันหลงทาง หลงตน หลงการปฎิบัติ
    สำหรับในการเดินทางตรงหรือสายกลาง ในตำราก็มีอยู่แล้ว คืออริยมรรค
    นั่นก็คือการเรียนภาคปฎิบัติ ส่วนภาคทฤษฎีนั้น ก็เช่น อริยสัจ กฎพระไตรลักษณ์
    คอยอ่านตำราหรือคอยฟังเทศน์ฟังธรรมของครูบาอาจารย์ไปด้วย พยายามเทียบเคียง
    ในการปฎิบัติของเรา นำไปเทียบดูว่า เราปฎิบัติได้ถูก ได้ตรงกับพระสุปฎิปันโนหรือไม่
    พยายามคอยปรับ แก้ไขจิตหรือการปฎิบัติอยู่ตลอดเวลา เพราะการปฎิบัติธรรมจริงๆแล้ว
    เราจะปฎิบัติเพื่อน้อมจิตไปในทิศทางให้ถูกต้อง อ่อนน้อมถ่อมตน
    เราก็จะได้ตรวจดูอัตตามานะของเราไปด้วย
    สำหรับผู้ที่สอนธรรม ผู้ที่เผยแผ่ธรรมก็เช่นเดียวกัน แต่ถ้าจิตเรายังไม่ถึงซึ่งนิพพานจริงๆ
    ก็อย่าเพิ่งไปเชื่อมั่นตนมากนัก อย่าเป็นผู้สอนคนอื่นได้อย่างเดียว
    แต่ต้องให้คนอื่นสอนตนได้ด้วย แต่ถ้าเราถึงอรหันต์จริง ก็จะไม่มีใครกล้าปรามาสท่านแน่
    เพราะผู้ปฎิบัติด้วยกันเท่านั้นถึงจะดูกันออก แต่ถ้าผู้ไม่ปฎิบัติหรือปฎิบัติ
    แต่จิตยังห่างไกลก็จะดูไม่ออก
    หรือดูออกก็มักจะเกรงใจ โดยเฉพาะนิสัยคนไทย มีมาครั้งโบาราณกาล คือยึดอาวุโส
    ยึดในตัวบุคคล แต่มิใช่ยึดติดเป็นตัวเป็นตน สำหรับผู้ปฎิบัติยังไปไม่ถึงไหน
    เขาให้ยึดหลักแนวทางผู้ที่เป็นครูไปก่อน แต่มิได้หมายรวมถึงการกระทำต่อครูบาอาจารย์
    ว่าจะต้องวางท่านไว้ตรงไหน อันนั้นให้เราละไว้ในฐานที่เข้าใจเอง
    ไม่ใช่ให้ไปตามครูหรือผู้สอนสั่งเสียทั้งหมด ทั้งๆที่เราก็รู้ว่ามันผิด แต่เราก็ปฎิบัติตาม
    อันนี้ต้องโทษตัวเราว่า ไม่มีปัญญาเป็นของตน สำหรับเรื่องนี้เป็นเรื่องละเอียดอ่อน เช่นกัน
    ผู้ปฎิบัติจักต้องใช้ปัญญาพินิจพิจารณา หรือดูให้ดี

    การปฎิบัติธรรมนั้น ไม่ยาก แต่จะยากตรงที่ทำจิตเราให้นิ่งกัน นี่แหล่ะ
    จิตนิ่งในที่นี้หมายถึง จิตเป็นสมาธิ คือปกติก่อนนั้นเป็นจิตหยาบ
    เมื่อทำจิตนิ่งพอสมควร เราก็จะสามารถเข้าให้ถึงกระแสจิตของเราได้
    เมื่อผู้ปฎิบัติเข้าถึงกระแสจิตของเราได้หรือยัง ดูง่ายที่สุดก็คือ ทุกข์จะค่อยๆคลายลงไป
    ความสุขก็จะเข้ามาแทนที่ นี่คืออานิสงส์แรกของการทำจิตนิ่งเป็นสมาธิ
    จิตเรานิ่งเป็นสมาธิได้เมื่อไหร่ ปัญญาก็จะตามมาทีหลัง แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรเล่า
    ตอบว่า เราจะรู้ทันที รู้โดยมิต้องมีใครมาบอกหรืออธิบาย รู้แบบไม่มีเหตุผล
    นี่เขาเรียกว่าตัวรู้จริง แต่จะรู้มากกว่าสติ แต่ปัญญาจะรู้น้อยกว่าปัญญาญาณ
    เพราะปัญญาคือความรู้ ตัวรู้เฉยๆ แต่ความรู้ระดับนี้ยังไม่เพียงพอ
    ที่จะทำให้จิตปล่อยวางได้สนิท แต่อาจจะจะปล่อยวางได้แค่ระดับกิเลสหยาบและกลาง
    แต่กิเลสละเอียดยิ๊บนั้น ยังไม่ได้ เพราะจำเป็นจะต้องใช้ปัญญามาก
    คือปัญญาญาณหรือญาณ แปลว่า ผู้หยั่งรู้ หรือผู้รู้แจ้งแทงตลอด
    คือจะมีอาการลักษณะจิตก็คือ รู้ตัวทั่วพร้อม แต่ยังไม่พอ
    จะต้องรู้แบบปล่อยวางได้สนิทใจ ถามว่าใครเป็นผู้รู้ ก็ตอบว่าผู้ปล่อยวางได้สนิทใจ
    ก็ลองตอบตนเองกันดูนะว่า เราหรือจิตเรานั้นพัฒนาไปถึงไหนแล้ว
    โดยเฉพาะผู้ปฎิบัติที่มีภูมิรู้หรือภูมิปัญญาค่อนข้างสูง ย่อมตอบตนเองได้
    เพราะถือว่ามีตัวปัญญาทุกคน
    ผู้ปฎิบัตินี้มักค่อนข้างจะหลอกยาก แต่ระวังจะหลอกตนเอง หลงตนเอง
    ผู้เขียนเองก็ระวังตัวนี้มากที่สุดเช่นกัน ตราบใดที่เรายังมีขันธ์๕ ประมาทมิได้
    พยายามเจริญตามมรรคตลอดเวลา โดยเฉพาะมรรค ข้อที่๗และ๘นั้น สำคัญมาก
    พยายามคอยเช็คเรื่องศีลตนเอง แต่ถ้าไม่แน่ใจก็ให้สมานทานศีลทุกคืน
    และคอยเช็คธรรมอย่างอื่นไปด้วย เช่น สังโยชน์ กรรมบท พรหมวิหาร อิทธิบาท๔
    โดยเฉพาะเราจะต้องหมั่นทรงอิทธิบาท๔ แต่ถ้าไม่ การงาน การปฎิบัติธรรมก็จะไม่คืบ
    ไม่เจริญในธรรมเท่าที่ควร แต่ถ้าไม่แน่ใจ ก็ให้เริ่มนับหนึ่งกันใหม่ นั่นก็คือ สติหรือศีล
    จะสร้างบ้านหรือตึก คำว่า ฐานนั้นก็ถือว่าำคัญมาก เพราะฉะนั้นการปฎิบัติธรรม
    เรื่องสติหรือเรื่องศีลจึงมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่งยวด คือสำคัญมากๆ
    ศีลหรือสติเสมือนเป็นบันไดขั้นแรก หรือเบื้องต้นของการปฎิบัติธรรมเลยทีเดียว
    แต่ถ้าเบื้องกลาง สมาธิหรือฌานจะมีความสำคัญมาก เพราะถ้าผู้ปฎิบัติไม่ได้สมถะ
    คือไม่ได้สมาธิหรือฌาน คำว่า วิปัสสนาก็จะเกิดขึ้นไม่ได้ เพราะจะกลายเป็นวิปัสสนึก
    วิปัสสนึกก็แปลว่า ข้านึกเอาเอง เพราะการวิปัสสนานั้น
    จำเป็นต้องใช้ปัญญาในการพิจารณาธรรม เข้าไปค้นหาความจริง
    สภาวธรรมตรงนี้ถือว่าสำคัญมาก ละเอียดอ่อน เหมือนยิ่งสูงก็ยิ่งหนาว
    การปฎิบัติในขั้นอุกฤษฎ์หรือขั้นสูงก็เช่นกัน ผู้นั้นจะต้องมีสติมาก ปัญญามาก
    คือมีสัมปชัญญะหรือมหาสติ มหาสมาธิ มหาปัญญาถึงจะไปรอด
    เพราะทุกขั้นตอนในการปฎิบัติมีนัยยะ มีวินัย มีความละเอียดในตัวของมันเอง
    ผู้เข้าถึงการปฎิบัติ คือผู้เข้าถึงกระแสจิตตนเอง คือผู้ที่มีสิทธิไปรู้ในผลการปฎิบัติ
    แต่ผู้นั้นจะต้องลงมือปฎิบัติเอง

    ผู้ปฎิบัติจะเอาดีให้ได้ จะต้องเดินตามศีล สมาธิ ปัญญา
    เห็นไหม เรื่องศีลนำหน้ามาก่อนเลย เรื่องภาวนามาทีหลัง
    ถ้าใครให้ความสำคัญเรื่องงภาวนามากกว่าศีล บอกได้คำเดียวว่า
    ไปไม่ไกล หรือไม่เจริญในธรรมเท่าที่ควร นั่นเอง เพราะอะไร
    ก็เพราะว่านิวรณ์จะคอยรบกวนจิตใจของผู้ปฎิบัติเอง คือความไม่สบายใจ
    ผู้เจริญทั้งหลาย จะต้องปฎิบัติอย่างผู้มีปัญญา มิใช่ปฎิบัติลวกๆหรือมักง่าย
    อันนี้ถือว่าใช้ไม่ได้ ขอให้ปฎิบัติมากๆ มากกว่าอ่านท่องจำมาจากตำรา
    ที่พูดได้นี่ก็เพราะพบเจอมาก่อน เดี๋ยวจะเสียเวลา เสียมรรคผล
    เพราะลมหายใจเราไม่เที่ยง อย่ารีรอ อย่ารอช้า รีบเร่งปฎิบัติกันซะ
    เดี๋ยวจะหาว่า พบเจอของดีแล้วไม่มาบอกกล่าวกัน ยิ่งกว่าถูกหวย เจอขุมทรัพย์
    แต่ที่นี่ก็เป็นทรัพย์เหมือนกัน แต่เป็นอริยทรัพย์ คือทรัพย์ภายใน คือบุญใหญ่หลวง
    ทุกท่านสามารถพิสูจน์กันได้ทุกคน
    คำว่ามรรค ผล นิพพานนั้น จึงมิใช่เป็นของผู้ใด ผู้หนึ่ง หรือนักบวชอาชีพ
    แต่เป็นได้หรือเป็นเจ้าของได้ สำหรับผู้ที่ปฎิบัติจริงๆจังๆ เท่านั้น

    สวัสดี..

     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 23 มีนาคม 2013
  15. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    46,875
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,043
    การสร้างบุญที่ไม่ต้องใช้เงินทอง (หลวงพ่อจรัญ ฐิตธมฺโม)
    กรรมฐาน คือการทำให้ฐานของกายเป็นที่ตั้งของสติ ซึ่งถ้าท่านทำได้อย่างลึกซึ้งในจิตใจ ท่านจะเห็นความดีในจิต สามารถระลึกชาติคือ การกระทำของตนได้เพราะการเจริญกรรมฐาน ก็เพื่อต้องการให้จิตยึดมั่นในความดีให้จิตไม่แกว่งไปในทางชั่ว

    การเจริญกรรมฐาน ถ้าทำถึงขั้นดันถึงที่ทำดีถึงขั้นจิตท่านจะไม่กลับไปสู่ที่ต่ำ จิตจะไม่ดำ จิตจะงาม จะเกิดแสงสว่างและความสงบ จบด้วยหัวใจ ด้วยมีสติสัมปชัญญะ อยู่ที่จิตตลอดรายการ

    นี่คือกรรมฐานที่เรามาเจริญกัน การเจริญกรรมฐานทำให้จิตของเราเบิกบาน ทำให้จิตไม่หลงทางจะมีจิตเป็นกุศล ได้ผลเป็นอนันต์เป็นหลักฐานสำคัญในชีวิตต่อไปในโอกาสหน้าได้แน่ ขอเจริญพรต่อไปว่ากฎแห่งกรรม ไม่มีทางอื่นช่วยได้กรรมฐานเท่านั้น ช่วยแก้ไขกรรมได้แน่ถ้าท่านทำได้จริง ดังนั้น การเจริญกรรมฐาน จึงเป็นการแก้ไขกรรมไปในตัว สามารถทำให้กฎแห่งกรรมที่ตามสนองเราทุเลาเบาลงได้

    ในส่วนที่เป็นกรรมเก่าก็ยอมรับชดใช้เขาไป ขออโหสิกรรมเขาเสียจะช่วยบรรเทาโทษได้ในส่วน
    ของกรรมใหม่เราก็จะไม่สร้างเวรสร้างกรรมในทางชั่วอีกต่อไป นี่คือ การเจริญกรรมฐาน ทำให้เรามีสติในเมื่อต้องรับผลของกรรม

    ท่านทั้งหลาย คนเรามีเวรกรรมด้วยกันทั้งนั้น แต่เราก็ไม่ทราบจะแก้ได้แค่ไหน ปัญหาชีวิตทั้งหมดเป็นกฎแห่งกรรม แก้ได้ด้วยการเจริญกรรมฐาน การเจริญกรรมฐาน ถ้าใครปฏิบัติได้ถึงขั้นรับรอง

    ท่านจะรู้กฎแห่งกรรมว่ามันมาจากจุดไหนตัวเองมีกรรมอะไร รู้แล้วก็จะยอมรับใช้ทุกข้อหาไม่ปฏิเสธอย่างอาตมา นี่โดนมากับตัวแล้ว

    การเจริญกรรมฐานจึงดีที่สุด เป็นการสร้างบุญที่ไม่ต้องใช้เงินทองแต่ประการใด แต่มีผลกำไรอย่างมหาศาลสุดจะประมาณได้ อยู่ที่ท่านตั้งใจจริงหรือไม่ ขอฝากอีกอย่างว่าเราอย่าสร้างเวรสร้างกรรมกันเลย ถ้าทำกรรมฐานกันอย่างจริงจังแล้ว ปาณาติบาต ก็จะไม่ทำเพราะนักกรรมฐานจะมีเมตตา

    รักชีวิตเขาเหมือนกับชีวิตตน, อทินนาทาน จะไม่อยากได้ของคนอื่น, กาเมสุ-มิจฉาจาร จะไม่สนใจ ไม่มักมากในเรื่องพรรค์นั้น, มุสาวาทจะไม่โกหกหลอกลวงกันอีกต่อไป เพราะเข้าใจว่ามันบาป, สุราเมรัย เครื่องดองของเมาที่จะทำให้เราประมาท เราจะไม่เสพไม่ดื่มจะเลิกไปได้โดยปริยาย เพราะเข้าใจว่ามันจะทำให้เป็นโรคประสาทเกิดชาติหน้าจะปัญญาอ่อน นี่ชัดเจนมากตามกฎแห่งกรรม

    แต่ถ้าทำกรรมฐานเราจะทราบได้ และจะไม่ทำอย่างนั้นจึงเป็นการแก้ไขกรรมในปัจจุบันของตนให้ดีขึ้น
    ท่านสาธุชนทั้งหลายเป้าหมายที่ท่านทำบุญทำกุศล ก็เพราะต้องการความสุขในชีวิตพระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า

    นัตถิ สันติ ปะรัง สุขัง
    สุขอื่น ยิ่งกว่าความสงบไม่มี


    อย่าวุ่นวายกันนะ ใครว่าอะไร นิ่ง อย่าไปโต้ตอบ อย่าไปประกอบกรรมร้าย จงสร้างแต่กรรมดีให้มีปัญญา ยิ้มแย้มแจ่มใสต่อกันด้วยจิตใจเบิกบาน ด้วยน้ำใสใจจริง ทุกสิ่งเกิดขึ้นด้วยความจริงในจิตใจคือกรรมฐาน
    ขอท่านทั้งหลายจงอย่าประมาท ให้เจริญกรรมฐานไปจนชีวิตสิ้นปราณสามารถจะสำเร็จมรรคผลตามที่ตนต้องการ ที่สำคัญ คือ รู้บุญคุณต่อท่านผู้มีบุญคุณอันนี้จะเป็นบุญหนุนนำตัวให้เจริญยศ เจริญฐาน เจริญศักดิ์ศรี หน้าที่การงาน จะทำอะไรถูกธรรมลูกหลานจะได้เป็นใหญ่เป็นโตมีชีวิตแจ่มใสในสังคมด้วยกัน

    วันนี้ก็หมดเวลาเท่านี้ ขอส่วนกุศลและปัญญาอันยิ่งใหญ่ดลบันดาลให้ญาติโยมมีสติปัญญาสูง
    โรคภัยไข้เจ็บ จะมีบ้าง ก็ขอให้หายสาบสูญไปด้วยอนัตตา ด้วยอำนาจ ทาน ศีล ภาวนา ที่ท่านได้บำเพ็ญ จงเจริญด้วยอายุ วรรณะ สุขะ พละ ปฏิภาณ ธนสารสมบัติ คิดสิ่งหนึ่งประการใดก็ขอให้สมความมุ่งมาดปรารถนาทุกๆ ท่าน ณ โอกาสนี้เทอญ ขออำนวยพร


    พระธรรมสิงหบุราจารย์ (หลวงพ่อจรัญ ฐิตธมฺโม)


    เครดิต : หนังสือ "กฎแห่งกรรม บุญกรรมฐานแก้ไขเวรกรรมได้ดีที่สุด หน้า ๔๗-๕๐"
    ส่งเสริมคุณธรรม พัฒนาชีวิต นึกถึงธรรมะ คิดถึงหนังสือธรรมะ
    ******************************
    ขอให้เจริญในธรรมทุกๆท่านค่ะ
     
  16. pporjai

    pporjai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    8,909
    ค่าพลัง:
    +16,491
    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=dy2jVX3GcMo"]http://www.youtube.com/watch?v=dy2jVX3GcMo[/ame]​
     
  17. ธรรมมณี

    ธรรมมณี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,044
    ค่าพลัง:
    +14,027
    ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 43 คน ( เป็นสมาชิก 1 คน และ บุคคลทั่วไป 42 คน ) [ แนะนำเรื่องเด่น ]
    Dhammanee


    ไปไหนกันหมด สมาชิก..555 มีเราเฝ้ากระทู้อยู่คนเดียว ในวันหยุดสุดสัปดาห์เช่นนี้.. แต่บุคคลทั่วไป 42 ท่านนั้น อย่าบอกน่ะว่า เข้ากระทู้ผิด..อิๆๆ:cool:
     
  18. ธรรมมณี

    ธรรมมณี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,044
    ค่าพลัง:
    +14,027
    สวัสดีค่ะ คุณพี่พอใจ ไม่ได้เจอกันตั้งนาน สบายดีน่ะค่ะ วันนี้เปลี่ยนบรรยากาศ เอาเพลงปะกิดมาฝากเหรอค่ะ..ขอบคุณค่ะ..ก็เพราะไปอีกแบบ....:cool:
     
  19. Amata_club

    Amata_club เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    27,075
    ค่าพลัง:
    +52,176
    สาธุครับ _/\_
     
  20. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=0YiCg9LHCRI]Ru Wa Khao Mot Chai Thammai Yang Rak Lueakoen-Tai Orathai - YouTube[/ame]รู้ว่าเขาหมดใจ
    (ต่าย อรทัย)

    แต่ถ้าเป็นเมื่อก่อนนะ ถ้าฟังเพลงแนวรักๆ หวานๆ ซึ้งๆ หรือเพลงอกหัก
    จะมีอารมณ์ร่วม อินหรือคล้อยตามทันที
    แต่เดี๋ยวนี้ นับตั้งแต่ปฎิบัติธรรม มองเห็นอารมณ์ได้อย่างชัดเจน
    และอารมณ์นั้นก็เป็นไปเหมือนเดิมทุกอย่าง แต่จิตไม่ได้ไหลตามอารมณ์นั้นแล้ว
    เพราะเราไม่เอาอารมณ์ทั้งดีหรือไม่ดี ดีใจหรือเสียใจ พอใจหรือไม่พอใจ
    พวกเราก็พยายามอยู่เหนืออารมณ์ทั้งสองอย่างนี้ให้ได้
     

แชร์หน้านี้

Loading...