จิตพร้อม? รับภัยพิบัติ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย ภูภู, 6 เมษายน 2012.

  1. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    12 เหตุผลที่ทำให้ชาวพุทธหลายคน
    ไม่สามารถเข้าถึงผลแห่งการปฏิบัติภาวนา!!!!!

    1. ถ้าไม่หายสงสัยจะไม่ทำ หมายความว่า เป็นคนที่ต้องเห็นถึงจะยอมทำ ต้องรู้ให้ได้ว่านรกมีจริง สวรรค์มีจริง ชาตินี้ชาติหน้ามีจริง ถ้าไม่เห็นด้วยตาตนเองจะไม่ยอมทำอะไรเลย ซึ่งถ้าคิดเช่นนี้ก็คงไม่ได้ทำอะไรจริงๆ เพราะสิ่งเหล่านี้ไม่ใช่พิสูจน์ไม่ได้ พิสูจน์ได้แน่นอนแต่ต้องใช้เวลา ต้องพัฒนาจิตไปได้ระดับหนึ่งจึงสามารถรู้เห็นสิ่งเหล่านี้ได้ เป็นไปไม่ได้ที่จะขอเห็นก่อนโดยไม่ลงมือปฏิบัติ คนพวกนี้จึงได้แต่โต้แย้งในสิ่งที่ตนเองสงสัย ทำให้สูญเสียเวลาชีวิตไปเปล่าๆ

    2. เห็นประโยชน์และมีความศรัทธา แต่มีข้ออ้างมากมายเพราะความเกียจคร้าน คนเหล่านี้จะชอบทำบุญมากกว่าการภาวนา เพราะทำได้ง่ายกว่า ซึ่งก็ไม่ผิด แต่การทำบุญ ทำทาน ก็ไม่ใช่ตัวที่จะทำให้เกิดปัญญาเห็นแจ้งได้ ถือว่าเป็นกลุ่มที่เข้ากระแสความดีแล้ว แต่ยังไปไม่ถึงตัวแก่นของพระพุทธศาสนา

    3. พูดมากเกินไป หมายความว่า เมื่อหาความรู้ได้แล้ว แทนที่จะลงมือปฏิบัติ กลับนำความรู้มาโต้เถียง วิเคราะห์ เที่ยวจับผิดสำนักนั้น สำนักนี้ โดยที่ไม่ได้ลงมือพัฒนาจิตใจของตน ผลที่ตามมาก็คือ จิตใจจะยิ่งตกต่ำลงเรื่อยๆ เพราะอัตตาตัวตนพอกพูน คิดว่าตนเองดีกว่าผู้อื่นเพราะรู้หลักธรรมมาก

    4. ติดความดีมากเกินไป หมายความว่า มุ่งมั่นในการทำสาธารณะประโยชน์มากเกินไป ช่วยเหลือผู้อื่นจนไม่มีเวลาช่วยเหลือตนเอง เมื่อช่วยเหลือผู้อื่นไปนานๆ มักจะมีความทุกข์ตามมาในภายหลัง เพราะเก็บเรื่องความทุกข์ของผู้อื่นมาคิดจนวุ่นวายปวดหัวไปหมด สุดท้ายก็เกิดความท้อแท้ เพราะไม่เข้าใจว่า โลกคือสิ่งที่เราไปควบคุมไม่ได้

    5. มุ่งอยู่กับความผิดของผู้อื่น หมายความว่า ใช้เวลาจับผิดคนทั้งโลก จนไม่มีเวลาจับผิดตนเอง วิพากษ์วิจารณ์ผู้อื่นมากเกินไป คิดจะเปลี่ยนโลก เปลี่ยนสังคม แต่ไม่เคยเปลี่ยนตนเอง เพ่งโทษความผิดพลาดของผู้อื่น จนจิตใจตนเองขุ่นมัว ไม่มีความเบิกบานพอที่จะปฏิบัติธรรมได้เลย

    6. ยึดติดกับรูปแบบ อัตลักษณ์ หมายความว่า มีความเข้าใจผิด ชอบคิดว่าการปฏิบัติธรรมจะต้องทำในวัด นุ่งขาวห่มขาว ต้องมีกฏระเบียบที่แตกต่างไปจากการใช้ชีวิตธรรมดา คนกลุ่มนี้จะติดวัดเป็นพิเศษ ชอบหาเวลาเข้าวัดไปปฏิบัติธรรม ถ้าไม่ได้ไปวัด จะรู้สึกว่า ปฏิบัติธรรมไม่ได้ สุดท้ายจึงกลายเป็นว่า ไปติดสังคมในวัด ไปหาเพื่อนคุยในวัด ซึ่งกลายเป็นกับดักอีกรูปแบบหนึ่ง

    7. ทำๆเลิกๆ หมายความว่า เมื่อฟังธรรมก็เกิดความเข้าใจ เห็นคุณค่า และลงมือปฏิบัติ หากแต่เป็นพวกขี้เบื่อ มีความเพียรน้อย ทำหนึ่งเดือน หยุดสองเดือน ในการปฏิบัตินั้น ถ้าปฏิบัติไปเรื่อยๆ ไม่หยุด ผู้ปฏิบัติก็จะได้รับผลแห่งการปฏิบัติเองอย่างไม่ต้องสงสัย หลายคนปฏิบัติไปไม่ถึงจุดแห่งมรรคผล แต่กลับล้มเลิกกลางคัน ทำให้ขาดประสบการณ์ทางจิต เมื่อเลิกไป แล้วกลับมาทำใหม่ ก็เท่ากับเริ่มต้นกันใหม่ไม่จบสิ้น ที่สุดแล้วก็เกิดความท้อแท้ คิดว่าตนเองเป็นผู้ไร้วาสนาไม่อาจบรรลุธรรมได้ คนพวกนี้ก็มีไม่น้อยเลย

    8. ปฏิบัติผิดวิธี หมายความว่า เป็นกลุ่มที่โชคร้าย เพราะคิดดี และต้องการทำดี แต่ไปเจออาจารย์ไม่ดี เจออรหันต์ปลอม เจอสิบแปดมงกุฏ จึงทำให้การปฏิบัติผิดทิศผิดทางไปหมด คล้ายๆกับองคุลีมาลที่ถูกอาจารย์หลอก ในข้อนี้สามารถแก้ไขได้ด้วยการคบหากัลยาณมิตร หาความรู้ที่ถูกต้อง ต้องหัดใช้หลักกาลามสูตร เช่นนี้ก็จะแก้ไขได้

    9. ให้เวลากับทางโลกมากเกินไป หมายความว่า ไม่รู้จักการแบ่งเวลา ไม่รู้จักสร้างสมดุลย์ให้ชีวิต คนพวกนี้จะใช้ชีวิตอย่างวุ่นวายไปเรื่อยๆ ต้องสุข ต้องทุกข์ไปเรื่อยๆ อาจอยู่ห่างไกลการพัฒนาจิตใจไปเรื่อยๆ จนมีจุดเปลี่ยนของชีวิต เกิดความทุกข์ครั้งใหญ่จนทำให้เขาต้องกลับมาสร้างสมดุลย์ชีวิตอีกครั้ง เป็นผลให้เสียเวลาปฏิบัติทางจิตไปมาก บางคนมาปฏิบัติในช่วงสุดท้ายของชีวิตก็ไม่สามารถปฏิบัติได้ดี เนื่องจากสังขารไม่อำนวย นั่งไปปวดไป ทำได้ไม่เท่าไหร่ ก็ลมจับ ล้มพับไปก็มี เป็นการเสียโอกาสเพราะความชราภาพโดยแท้

    10. คนจมทุกข์ หมายความว่า เป็นคนที่ไม่เห็นคุณค่าของตนเอง วันๆ เอาแต่ทุกข์ซ้ำไปซ้ำมา เหมือนพายเรือวนอยู่ในอ่าง จนเป็นคนเสพติดความเศร้า ความเหงาโดยไม่รู้ตัว นานวันเข้าก็เริ่มเป็นความเคยชินของชีวิต คนเหล่านี้จะชอบฟังธรรมะที่ปลอบประโลม ชอบให้คนอื่นปลอบ แต่ไม่ชอบช่วยตนเอง นิยมการใช้ธรรมะชั้นต้นเพื่อบำบัดทุกข์ แต่ในขั้นตอนของการปฏิบัติภาวนาจะไม่ชอบ ไม่มีกำลังใจพอที่จะเปลี่ยนตนเองได้เลย

    11. คนที่มีความสุข โลกสวยงาม คิดบวกตลอดเวลา หมายความว่า เป็นพวกที่ทำอะไรก็สำเร็จไปเสียหมด มีวิธีมองโลกให้สดใสไปทุกอย่าง ถ้าความจริงไม่ดี ก็มองให้มันดีเสีย จึงไม่ค่อยได้เจอความทุกข์ เมื่อไม่ค่อยได้พบความทุกข์ จึงไม่รู้จะปฏิบัติธรรมไปทำไม เชื่อว่าตนเองจัดการทุกอย่างได้ บุคคลพวกนี้ จัดเป็นหนึ่งในกลุ่มเสี่ยง เพราะเป็นไปได้ว่า ชั่วชีวิตเขาอาจไม่ได้ลงมือปฏิบัติธรรมเพื่อลดทอนภพชาติได้เลย เป็นกลุ่มที่น่าสงสาร เพราะต้องเวียนว่ายตายเกิดไปอีกนาน

    12. ฉลาดเกินไป หมายความว่า เป็นคนที่ตกเป็นทาสของความคิด ยึดติดอยู่กับการค้นหมายชีวิตเชิงปรัชญา คิดเอาเองว่า ความคิดจะทำให้เข้าใจทุกสิ่งทุกอย่างในโลกได้ คนพวกนี้จะถือความคิดเป็นใหญ่ ยึดติดอยู่กับการวิเคราะห์โดยไม่รู้ว่า มีภาวะบางอย่างที่เกินขีดความสามารถของสมองไปแล้ว คนกลุ่มนี้จะฉลาดทางโลก แต่กลายเป็นคนโง่ในทางธรรม

    การเวียนว่ายตายเกิดไม่ใช่ของสนุก พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า ความทุกข์ที่ยิ่งใหญ่คือทุกข์แห่งการเวี่ยนว่ายตายเกิด เพราะการเวี่ยนว่ายตายเกิดนั้นเป็นที่มาแห่งทุกข์ทั้งมวล เป็นการยากมากที่ใครสักคนจะเกิดมาเป็นมนุษย์ ยิ่งยากเข้าไปอีกที่จะได้พบกับศาสนาของพระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อเรามีคุณสมบัติครบบริบูรณ์เช่นนี้ ขอจงทำลายความโง่เขลาทั้ง 12 ประการนี้เสีย และเร่งความเพียรของตนเอง พัฒนาจิตตามคำสั่งสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อนำสันติสุขมาสู่เรา เข้าสู่นิพพานตลอดอนันตกาล
     
  2. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    ======

    ธรรมะดีๆ ขอsharing จากคุณ NOK NOKMAN ครับ
    อนุโมทนาสาธุครับ
     
  3. phiung_ay

    phiung_ay เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    52
    ค่าพลัง:
    +895

    สอนเลยค่ะ สอนเยอะๆเลยค่ะ ขอบพระคุณมากค่ะสำหรับคำสอน ผึ้งอ่านแล้วชื่นใจมาก ที่เราไม่เคยทิ้งกัน มันจริงทุกอย่างที่พี่พูดเลยค่ะ บางทีผึ้งต้องยอมรับว่าผึ้งลืมพิจารณา หรือตัดลงไตรลักษณ์ไป ทำให้เรื่องธรรมดา มันเป็นเรื่องไม่ธรรมดา ทำให้จิตไม่จับเอาอารมณ์ที่มากระทบมากไป ทำให้่เกิดทุกข์ที่เราเอง ถ้าต้องพิจารณามันบ่อยๆ และตัดลงไตรลักษณ์ให้หมด ขอบคุณค่ะ (^/\^)
     
  4. tintin9888

    tintin9888 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    15
    ค่าพลัง:
    +56
    อนุโมทนาสาธุนะคะ

    ในทุกๆข้อธรรมที่นำมาแสดง

    ขอเป็นกำลังใจให้คุณ phiung ay ค่ะ

    ตัว tintin เองก็กำลังต่อสู้กับสิ่งที่มากระทบเหมือนกัน

    แต่เราต้องผ่านไปได้อย่างแน่นอน
     
  5. Pugsley

    Pugsley เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    282
    ค่าพลัง:
    +4,825
    อนัตตาภายนอก & อนัตตาภายใน

    คนข้างตัว คนใกล้ตัว และคนรอบตัว ไม่ให้คุณเลือกว่าวันไหนจะให้มาดีหรือมาร้าย นั่นแหละ เรียกว่า อนัตตาภายนอก ควบคุมบัญชาให้เป็นอย่างใจไม่ได้

    ตัวคุณ ใจคุณ ความคิดคุณ บางทีก็ไม่ให้คุณเลือกอย่างใจว่า เขาร้ายมาจะร้ายตอบ หรือร้ายมาจะดีอยู่ นั่นแหละ เรียกว่า อนัตตาภายใน เอาแน่ไม่ได้ ขึ้นอยู่กับเหตุปัจจัย

    อนัตตาภายใน สั่งให้เย็นอย่างใจตลอดไม่ได้ แต่ฝึกให้มีแนวโน้มที่จะเย็นได้ ด้วยการตั้งใจไว้ก่อนว่า
    ‘เราจะฝึกจิต’ โดยคิดเอาคนข้างตัว คนใกล้ตัว และคนรอบตัวเป็นแบบฝึกหัด หากไม่คิดไว้ล่วงหน้า ก็อย่าหวังว่าอนัตตาภายในจะบัญชาตัวเองให้โน้มเอียงสู่ความเย็น หรือไหลรวมลงสู่ความสงบได้เลย ทั้งชาตินี้และชาติหน้า


    อนัตตาภายในที่สงบเย็นลง หลังจากวันเดือนปีของการฝึกตนผ่านไป จะสอนให้เรารู้ว่าทุกสิ่งเกิดแต่เหตุ สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม และสัตว์โลกส่วนใหญ่ก็ยินดีจะเดินตามรอยเท้าคนบาป เหล่านั้นเป็นอนัตตาภายนอกที่เราไปยุ่งเกี่ยวไม่ได้มาก ถึงเขาฟังเรา เขาก็ต้องใช้เวลายาวนานเหมือนกับเรา กว่าที่จะเปลี่ยนอนัตตาในตนให้เป็นคนเต็มร้อย ถึงจุดนั้น เราจึงเป็นผู้เข้าใจอย่างถ่องแท้ว่า เหตุของแต่ละคนต่างกัน ผลคือสภาพความเป็นอนัตตาของแต่ละคนก็ต่างกัน หมดความคาดหวังจะเอาอย่างใจให้ได้ บังคับดังใจให้ได้ นั่นแหละ การเข้าถึงความสุขความเย็นในการอยู่กับอนัตตา


    โมทนาสาธุและขอบคุณที่มา : FaceBook คุณดังตฤณ
     
  6. Golden Sky

    Golden Sky เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    575
    ค่าพลัง:
    +8,976
    ขออนุโมทนา สาธุ ดีแล้วขอเป็นกําลังใจให้คุณผึ้งและกัลยาณมิตรทุกๆท่านที่เราได้มาเจอกันที่นี่ก็ไม่ใช่เรื่อง "บังเอิญ" เพราะเรามีจิตที่จะปฏิบัติเพื่อความหลุดพ้น จึงได้มาเป็นลูกของพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระสงฆ์ เพราะเราได้เข้าถึ่งไตรสรณะคม คือ ถึงคุณของท่านทั้งสามว่าเป็นพึงและก็ปฏิบัติบูชาท่าน...ผู้บูชาย่อมได้รับการบูชาตอบ ผู้ให้ย่อมได้รับความสุข เพราะผู้ให้เป็นผู้ที่ไม่ได้ยึดสิ่งๆนั้นไว้เป็นของตน เพราะการเข้าไปยึดสิ่งใดๆย่อมเป็นทุกข์ จิตที่ไม่ยึดนั้นแหล่ะจิตที่เข้าถึงซึ้ง "สัจจะธรรม" ขออนุโมทนาสาธุค่ะ
     
  7. Golden Sky

    Golden Sky เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    575
    ค่าพลัง:
    +8,976
    การที่เราจะทําประโยนช์ให้แก่สังคมได้นั้น... เราต้องมีใจที่จะเป็นผู้เสียสละก่อน เพราะผู้เสียสละนั้นจะเป็นผู้ทําประโยนช์ให้แก่ส่วนร่วมได้มาก... เพราะเขาไม่ได้มองถึงผลประโยนช์ส่วนตนนั้นเอง...ผู้ที่มองถึงผลประโยนช์ส่วนตนนั้นจะทําเพื่อที่จะได้มาและถ้าทําแล้วเกิดไม่ได้ตรงตามจิตที่คิดเอาไว้ก็จะเกิดอาการไม่พอใจหรืออาจจะมีการแตกแยกความสามัคคีได้เพราะเขาได้มองแต่ประโยนช์ตนเป็นฝ่ายเดี่ยว...ท่านถึงกล่าวไว้ว่าการเสียสละเป็นการสร้างความดีและทําให้เกิดความสามัคคีต่อสังคมนั้นๆ เพราะคนที่เป็นผู้เสียสละได้จะเป็นคนที่มีคนรักไปที่ไหนๆก็จะไม่ตีบตัน...ไม่เหมือนคนที่จะเป็นผู้รับฝ่ายเดียวก็จะทําให้เขาเป็นผู้เสื่อมได้เพราะรับมากๆก็จะทําให้คนที่ให้เกิดความเบื่อหน่ายจนถึงขั้นไม่ให้ได้นั้นเองจึงเรียกว่า"ผู้ให้คือผู้ได้ผู้รับคือผู้เสื่อม"นั้นเองสาธุ
     
  8. newwave1959

    newwave1959 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    200
    ค่าพลัง:
    +2,681
    ศีลบริสุทธิ์

    [​IMG]

    ศีลบริสุทธิ์

    ผู้ถาม : ผลที่เห็นชัดๆ ว่าเราได้ถือ ศีลบริสุทธิ์แน่ๆ เราพอจะรู้ไหมครับว่าตอนไหน....?

    หลวงพ่อ : เมื่อเราตั้งใจเว้นแล้ว เราก็เว้นจริงๆ ไม่ทำ

    อย่างข้อที่ ๑ ปาณาติบาต สัตว์ที่ควรจะฆ่าเราไม่มีจิตคิดจะฆ่า
    ถ้าเรารักษาได้จะเป็นปัจจัย ให้เกิดเป็นคนสวย
    เพราะศีลข้อนี้เราจะรักษาได้ก็ต้องอาศัย เมตตา เป็นปัจจัย
    และศีลข้อนี้นี่แหละจะทำให้เรามีโรคภัยไข้เจ็บน้อย
    เพราะว่ามันเว้นจากการเบียดเบียนสัตว์ ที่ว่าน้อยก็เพราะว่า
    เราเคยเบียดเบียนกันมาบ้าง เมื่อเข้ามาในเขตรักษาศีล
    บางทีเราเผลอไปบี้มดเข้าบ้างนั่นเป็นเรื่องของการเผลอ
    เป็นอาการของความเคยชิน แต่ว่าอารมณ์ส่วนใหญ่เราระมัดระวังอยู่ในศีล
    นอกจากดังที่กล่าวมาแล้ว การรักษาศีลข้อที่ ๑ ผู้ที่รักษาได้
    จะทำให้เป็นคนที่มีอายุยืนยาวนาน อาจจะเต็มอายุขัยหรือเลยอายุขัยไปนิดหน่อย

    ข้อที่ ๒ เห็นของที่ควรจะขโมยได้ เราก็ไม่ขโมย ถ้าเรารักษาได้
    จะมีอานิสงส์เป็นพิเศษกว่าปกติ หรือทรัพย์สินของท่านทั้งหมดที่มีอยู่
    จะไม่มีภัยจากไฟไหม้ จากน้ำท่วม จากโจรขโมยแล้วก็หาความยากจนไม่ได้

    ข้อที่ ๓ เห็นโอกาสที่เราจะทำกาเมสุมิจฉาจารได้ เราก็ไม่ทำ
    ถ้าเรารักษาไว้ได้ คนในปกครองหรือใน คณะทั้งหมด
    จะเป็นคนที่อยู่ในโอวาท คือไม่ว่ายากสอนยาก คนในบังคับบัญชา
    จะไม่ล่วงละเมิดในแบบแผน หรือกฏระเบียบที่เรามีอยู่

    ข้อที่ ๔ เราจะโกหกได้ เราก็ไม่โกหก ถ้าเรารักษาได้ตามพระบาลี
    ท่านบอกว่า จะเป็นคนปากหอม (แต่อย่าไปดมเข้านะถ้าแกลืมแปรงฟัน
    ละก็หงายท้องเชียวนะ) คำว่าปากหอมในที่นี้หมายความว่า
    พูดแล้ว มีคนอยากฟังอยากเชื่อ

    ข้อที่ ๕ มีเหล้ากิน มีสุราดื่ม เราก็ไม่กิน ถ้าเรารักษาได้
    ก็จะกลายเป็นคนที่มีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ เมื่อเราประสบแล้วเราไม่ทำ
    คือเว้นได้จริงๆ ตอนนี้บริสุทธิ์แน่ และจะได้รับอานิสงส์ดังที่กล่าวมาแล้ว

    ผู้ถาม : ถ้าอย่างนี้ การสมาทานศีล หรือรับศีลเรียบร้อยแล้ว ก็ยังไม่บริสุทธิ์ใช่ไหมครับ...?

    หลวงพ่อ : การสมาทานศีล ไม่ได้หมายถึงศีลบริสุทธิ์นี่คุณ นั่นเป็นคำขอ
    จะบริสุทธิ์ได้ต่อเมื่อจิตตั้งใจงดเว้น จริงๆ ตัวตั้งใจงดเว้นตัวนี้แหละเป็นตัวศีล

    ผู้ถาม : แล้วอย่างชาวประมงที่เขามีอาชีพหาปลา โดยตรงจะทำยังไงล่ะครับ....?

    หลวงพ่อ : อาชีพเขาจริง แต่เวลาที่ก่อนจะตาย เขาคิดถึงบุญกุศล
    อย่าง ท่านสุปติฏฐิตะเทพบุตร เห็นไหม ทำชั่วทุกประตูเลย
    วันดีไม่ละวันพระไม่เว้น พอจะตายขึ้นมา นึกถึงพระพุทธเจ้าขึ้นมา
    ไปเป็นเทวดาชั้นดาวดึงส์ แล้วก็พบพระพุทธเจ้าอีกทีหนึ่ง
    ฟังเทศน์จบเดียวเป็น พระโสดาบัน

    ที่มา : หนังสือ หลวงพ่อตอบปัญหาธรรม (ปัญหาการรักษาศีล)


    ขอเจริญในธรรม

    ปาราเมศ.....นิวเวป จบ.๑๔
     
  9. Pugsley

    Pugsley เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    282
    ค่าพลัง:
    +4,825
    ทาน...หมายถึง?

    [​IMG]

    ที่มา : หนังสือธรรมะชาวบ้าน
     
  10. Pugsley

    Pugsley เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    282
    ค่าพลัง:
    +4,825
    ศีล...หมายถึง?

    [​IMG]

    ที่มา : หนังสือธรรมะชาวบ้าน
     
  11. Pugsley

    Pugsley เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    282
    ค่าพลัง:
    +4,825
    ภาวนา...หมายถึง?

    [​IMG]

    ที่มา : หนังสือธรรมะชาวบ้าน
     
  12. ลูกพลัง

    ลูกพลัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    413
    ค่าพลัง:
    +8,932
    บัลลังก์เมฆ..

    สัพเพ ธัมมา อนัตตา..





    เจ้่าก็ไปตัวเปล่าเหมือนเจ้ามา..
     
  13. ลูกพลัง

    ลูกพลัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    413
    ค่าพลัง:
    +8,932
  14. pporjai

    pporjai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    8,907
    ค่าพลัง:
    +16,490
    วันนี้ วันหยุด เอาเพลงสนุก ๆ มาลงมั่งก็ดีนะคะ ครูลูกพลัง..จิตแจ่มใส ๆ ๆ ไว้

    [​IMG]

    สาวอิสานรอรัก
    อรอุมา สิงห์ศิริ


    ดนตรี 13 Bars..11...12...
    13.น้องเป็นสาวขอนแก่น
    ยังบ่เคยมีแฟน บ้านอยู่แดนอีสาน
    น้องเป็นสาววัยอ่อน
    ได้แต่นอนตะแคงยามเมื่อแล้งฝันหวาน
    จะมีชายใด ไผเดต้องการ
    จะมีชายใด ไผเดต้องการ
    หมายปองน้องนั่น แม้ต้องการ จะคอย
    สาวอีสานบ้านป่า เช้าก็ไปทำนา
    ค่ำลงมาเหงาหงอย
    เขาว่าน้อง เป็นลาว เป็นสาวเมือง อีสาน
    ใจน้องนั้น เลื่อนลอย
    จง เอ็นดู แน้เด้อ อ้ายเด้อ
    จง ปรานี น้อง แน่ จั๊กหน่อย
    ฮักน้องบ่อยบ่อย พอน้องได้พลอยดีใจ
    ใจดวงเดียวที่น้องมีอยู่
    เปิดประตูให้แล้วดวงใจ
    พี่อย่ามองว่าน้องต้อยต่ำ
    หากจะดำ ก็ดำแต่กาย
    สาวอีสานมองเหม่อ นอนละเมอเหม่อคอย
    ใจเลื่อนลอย คอยหาย
    เห็นเป็นลูกชาวนา
    อ้ายจึงบ่อยากเจอ บ่อยากมาหมั้นหมาย
    คอยแรมปี น้องนี้เอียงอาย
    คอยคอยคอย น้อง คอย จนอาย
    คิดแคลงแหนงหน่ายหรืออ้ายบ่อยาก มาแล
    ดนตรี 9 Bars..7...8...
    9.ใจดวงเดียวที่น้องมีอยู่
    เปิดประตูให้แล้วดวงใจ
    พี่อย่ามองว่าน้องต้อยต่ำ
    หากจะดำ ก็ดำแต่กาย
    สาวอีสานมองเหม่อ นอนละเมอเหม่อคอย
    ใจเลื่อนลอย คอยหาย
    เห็นเป็นลูกชาวนา
    อ้ายจึงบ่อยากเจอ บ่อยากมาหมั้นหมาย
    คอยแรมปี น้องนี้เอียงอาย
    คอยคอยคอย น้อง คอย จนอาย
    คิดแคลงแหนงหน่ายหรืออ้ายบ่อยาก มาแล..

    [​IMG]

    [MUSIC]http://palungjit.org/attachments/a.2530609/[/MUSIC]

     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  15. อุษาวดี

    อุษาวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2012
    โพสต์:
    531
    ค่าพลัง:
    +12,151
    เมื่อรับศีลแล้ว กระทำผิดศีล ทั้งมีเจตนาบ้าง ไม่เจตนาบ้าง จะเป็นบาปหรือไม่ ?

    “การรับศีลไปแล้วทำผิดบ้างถูกบ้าง แต่ว่าไม่ได้เจตนา เป็นแต่เพียงขาดการสำรวม ขาดสติ ทำให้ศีลเศร้าหมองนิดหน่อย

    ทีนี้การที่มารับศีลแล้วรักษาให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ไม่ได้ มีขาดตก บกพร่องบ้าง ถ้าข้อเปรียบเทียบก็เหมือนกันกับว่า ผู้ที่มีเสื้อใส่แต่เป็นเสื้อขาด ก็ยังดีกว่าผู้ที่ไม่มีเสื้อจะใส่เสียเลย

    การสมาทานศีลนี้ ถึงแม้ว่าจะขาดตกบกพร่องบ้างก็ยังดี อันนั้นเป็นเรื่องวิสัยธรรมดาของปุถุชน ก็ย่อมมีการบกพร่องบ้าง ในเมื่อฝึกไปจนคล่องตัวแล้ว มันก็สมบูรณ์ไปเอง ดีกว่าไม่ทำเลย”

    หลวงพ่อพุธ ฐานิโย
    ที่มา fb ธรรมโอสถ

     
  16. อุษาวดี

    อุษาวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2012
    โพสต์:
    531
    ค่าพลัง:
    +12,151
    ::: เพื่อนที่ดี :::

    "... เพื่อนต้องเตือนกัน ถ้าทำไม่ถูกต้องเตือนกันนะ แล้วเพื่อนที่ดีจริงๆ ต้องรับคำเตือนของเพื่อนและแก้ไขตามที่เพื่อนบอกเพราะเห็นตามความเป็นจริงว่าเป็นประโยชน์ ถ้าเพื่อนชมในสิ่งที่เราทำผิด เราก็ต้องเตือนเพื่อนว่า “เพื่อน เนี่ยมันผิด” เพื่อนไม่เข้าใจใช่มั้ยว่าผิดกับถูกเป็นยังไง มานี่ นั่งลง เดี๋ยวเพื่อนจะสอนเพื่อนให้ฟัง การทำแบบนี้เรียกว่าผิด เพื่อนไม่ต้องชมนะ ถ้าเพื่อนชมเนี่ยเป็นการว่าประจบเพื่อน อย่างนี้ไม่เรียกว่าเป็นมิตรนะ ถือว่าเพื่อนเป็นศัตรูแล้ว เพื่อนกำลังส่งมีดและก็ฆ่าเพื่อนนะ อันนี้ไม่ควรชมเพราะอันนี้เราผิดอยู่ เพื่อนจงศึกษาไว้นะถ้าลักษณะนี้ถ้าการทำแปลว่าผิด เพื่อนอย่าชม ควรเตือนเราในขณะที่เราไม่มีสติ ... นี่ เพื่อน เพื่อนเป็นอย่างนี้ ... พออยู่กับครูบาอาจารย์ก็จะบอกว่าอันนี้ถูก อันนี้ไม่ถูก อันนี้ผิดนะ อันนี้ไม่ผิด นี้เป็นประโยชน์มากๆ เลย อันนี้ไม่เป็นประโยชน์เลย อย่าไปสนใจ ...”

    ตอนหนึ่งของพระธรรมเทศนา ณ บ้านสามัคคีธรรม 2/1/56
    โดย หลวงพ่อครูบาเจ้าเพชร วชิรมโน
    ที่มา fb ธรรมคำสอน หลวงพ่อครูบาเจ้าเพชร วชิรมโน
     
  17. Golden Sky

    Golden Sky เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    575
    ค่าพลัง:
    +8,976
    ทุกข์เสมอด้วยขันธ์นั้นไม่มี​

    ขันธ์ คือ ขันธ์ ๕ กายกับใจนี้แบ่งออกเป็น ๕ กอง เรียกว่าขันธ์ ๕ คือ
    ๑.รูป ๒.เวทนา ๓.สัญญา ๔.สังขาร ๕. วิญญาณ รวมกันลงเป็นตัวเราขึ้นมา เมื่อถูกกิเลสตัณหาเข้าครองงําก็ได้รับความทุกข์ เมื่อถูกกุศลกรรมคุ้มครองก็ได้รับความสุข มันเป็นอยู่อย่างนี้ จัดได้ว่าเป็นกองทุกข์ ถ้าต้องการจะละไปจากกองทุกข์ก็ต้องละจากกิเลสตัณหาให้ได้ด้วยการดําเนินตามทางสายกลาง หรือ"มัชฌิมาปฏิปทา" คือมรรคมีองค์ ๘ จึงจะดับทุกข์ลงได้จนถึงนิพพาน
    ที่มา หนังสือ นักธรรมและธรรมศึกษา
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 กุมภาพันธ์ 2013
  18. Golden Sky

    Golden Sky เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    575
    ค่าพลัง:
    +8,976
    ผู้โกรธย่อมไม่เห็นธรรม​

    ผู้โกรธ คือ ผู้มีจิตใจขุ่นเคือง หงุดหงิด เป็นคนเจ้าอารมณ์ ไม่สามารถควบคุมอารมณ์ไว้ได้
    ปล่อยให้ไปตามอํานาจของความโกรธ ให้ความร้อนแรงของความโกรธเผาผลาญ ครั้นความโกรธเผาผลาญจิตใจนานๆเข้าก็จะร้อนมากขึ้นทุกที ทําให้เห็นผิดเป็นชอบและไม่เห็นธรรมขาดเมตตากรุณา ทําให้กรรมอันสนับสนุนให้ทําความชั่วได้โอกาส และบดบังดวงปัญญาอันเกิดเครื่องส่องทางให้สว่างให้รู้แจ้งเห็นจริง...
    ที่มา หนังสือ นักธรรมและธรรมศึกษา
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 กุมภาพันธ์ 2013
  19. Golden Sky

    Golden Sky เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    575
    ค่าพลัง:
    +8,976
    มิตรนั้นมีทั้งดีและชั่ว มิตรชั่วเรียกว่า"มิตรบาป"มิตรดีเรียกว่า"กัลยาณมิตร"มิตรนับว่าเป็นปัจจัยภายนอกอันแรงกล้า ที่จะพาให้ผู้นั้นถึงความเจริญและเสื่อมได้ และบุคคลที่เป็นมิตรที่ดีนั้น ต้องประกอบด้วยลักษณะของมิตรแท้ ๕ ประการ คือ
    ๑.ให้ปันสิ่งของ ๒.พูดจาไพเราะ ๓.ประพฤติประโยนช์ ๔.ไม่ถือตัว ๕.มีความซื่อตรง บุคคลผู้ประกอบลักษณะ ๕ อย่างนี้ชื่อว่า "มิตรแท้"เป็นผู้ไม่ประทุษร้ายมิตร ไปในที่ไหนก็มีคนรักนับถือและเขายอมล่วงรู้ศัตรูทั้งหลายได้ด้วยอํานาจของความดี มีเมตตา และสุจริตธรรมอยู่เสมอ...
    ที่มา หนังสือ นักธรรมและธรรมศึกษา
     
  20. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089

    เหนื่อยไหม? ตั้งแต่ทำจิตเกาะพระ​

    (น้องผึ้งตอบว่า เหนื่อยจวนตาย ฮ่าๆ ตอบแทนน้องเขาดิ ว่าทำไม๊ ถึงเหนื่อย)​

    สตินะ..สติ ทีสตังค์งี้ นึกถึงเช้าเย็น แฟนก็เหมือนกัน นึกถึงอยู่ได้วันละหลายๆนาที หลายๆชั่วโมงเลย
    ทีสติตนเองทำเป็นลืม ทำเป็นเผลอ
    กัน


    เหนื่อยจิ! เพราะเรามัวแต่เอาสติไปวิ่งไล่จับอารมณ์ตนเองที อารมณ์คนอื่นที
    พวกเราเป็นอย่างนี้กัน ใช่ไหม
    แล้วมันรู้สึกอะไรไหม? สุข ทุกข์ หรือว่า เฉยๆ

    พี่ภูบอกไปแล้วนะว่า เป็นเพราะอะไร เผลอสติหรือว่าตกฌาน
    (ไปเอาไม้เรียวมาสิ จะฟาดให้บอกกี่ครั้งๆก็ไม่จดไม่จำ)
    ถึงจะเป็นนักภาวนาเก่งแค่ไหน ถ้าเผลอบ่อยหรือตกฌาน(ปราศจากสมาธิจิต) เรียบร้อยทุกรายไป
    เพราะสายปลายทางนั้นก็คือ ทุกข์นั่นเอง
    (เห็นมันพ้นไตรลักษณ์กันไหม๊ เรียนธรรมะ อย่าเอาแต่ท่องๆจำๆ ตายเมื่อไหร่ เราคงจะไปได้ไปสวรรค์พรหมนิพพานมั้ง?)

    ตั้งแต่เป็นจิตบุญมานี้ ผู้ปฎิบัติท่านใดยังออกจากทุกข์ไม่ได้บ้าง ยกมือขึ้นดิ
    แต่ถ้ายังออกไม่ได้ พี่ภูแนะนำไปเรียนจิตเกาะพระใหม่เลย ครูท่านใดยกจิตท่านมาหรอ

    ต้องให้ครูลูกพลังสอนซะละมั้ง สอบไม่ผ่าน ทั้งๆที่จิตสอบผ่านไปกันแล้ว
    ต้องกลับมาเรียนซ้ำชั้นกันใหม่ อย่ามาอ้างเหตุผลมนุษย์อึเหม็นกันดีกว่า เหตุผลมนุษย์มีตั้งแต่ 108 ประการขึ้นไป
    พอเห่อๆ เป็นเพราะเราไปเกาะกับทางโลกมากเกินไป(สมมุติ)

    รู้ว่าเป็นผู้ปฎิบัติฝ่ายฆราวาส ต้องขยันมากกว่านักบวชสิ!

    ครูสอนการวางกำลังใจให้ไหม หลังจิตยกกันน่ะ แต่ถ้าครูแนะนำไปแล้ว เราเคยหัดไปทบทวนกันบ้างไหม๊
    เวลาเราหายใจกัน ทำไม๊ ไม่มีใครลืมหายใจกันบ้างเล่า

    พอถามว่า ตายแล้วไปไหน ไม่เห็นมีคนไหนบอกว่า หนู/ผม จะไปลงนรกครับ/ค่ะ
    เห็นไหม ไม่มีใครอยากไปสู่ทุคติภูมิกันหรอก แต่เราคงจะลืมกันไปแล้วกระมังว่า
    การที่จิตเราจะไปนรกภูมินี่มันง่าย เพราะทำชั่วจะส่งผลเร็วกว่าทำดี
    ทำชั่วง่ายกว่าทำดี(อันนี้คนชั่วเขาทำกัน) แต่ถ้าทำดีง่ายกว่าทำชั่ว(อันนี้คนดีเขาทำกัน)

    และการที่จิตเราจะไปสวรรค์ พรหม หรือนิพพานกันนั้น เราต้องทำจิตให้ละเอียดหรือบริสุทธิ์กันขนาดไหน รู้ป่าว?
    (ขอให้ผู้ปฎิบัติตอบตนเอง ไม่ต้องไปตอบกับผู้อื่น)

    ผู้มาใหม่หรือผู้ปฎิบัติธรรม ในแนวจิตเกาะพระ ว่าไปอย่างนึง ที่เอาสติเที่ยวไปวิ่งไล่กับกิเลส
    สำนักที่ไหนใครเขาสอนกันแบบนี้หรอ?
    งั้นพระพุทธองค์จะให้กรรมฐานทั้ง 40 กองมาให้พุทธบริษัทปฎิบัติกัน ทำไม๊
    พระองค์ท่านให้มาก็เพื่อทำจิตใจตนเองให้นิ่งสงบ สงัดให้ได้เสียก่อน ด้วยการเจริญสติภาวนานั้น
    เพราะตราบใด ถ้าผู้ปฎิบัติไม่สามารถทำจิตตนเองให้นิ่งหรือสงบสงัดได้แล้ว
    เราก็ไม่มีทางเข้าใจตนเองหรือผู้อื่นๆได้เลย ยิ่งกิเลสละเอียดด้วยแล้ว ไม่ต้องพูดถึงกันเลย
    เพราะนอกจากปัญญาตัวเดียวเท่านั้น ที่สามารถจะรู้เท่าทันหรือตามทันกิเลส หรือความเกิด-ดับของจิตตนได้
    นอกนั้นไม่มี

    สำหรับผู้ที่จะรู้ธรรม เข้าใจธรรม และเข้าถึงธรรมได้นั้น มีอยู่วิธีเดียวก็คือ นำจิตมาเดินมรรค
    ไม่ใช่ เอาสติมาเดินมรรค เพราะสติมันมาจากไหน ลองตอบตนเองสิ!

    แล้วถามว่า การปฎิบัติเพื่อความหลุดพ้น อะไรพ้น? พ้นอะไร? (พ้นทุกข์ใช่ไหม๊?)
    ทุกข์เกิดที่ไหน จิตใจใช่ไหม? แล้วตอนนี้เรากำลังทำอะไร ฝึกอะไร
    ฝึกสติโดยตรง แต่ฝึกจิตกันทางอ้อมกันใช่ไหม ถูกต้อง
    เพราะถ้าคนปฎิบัติใหม่ ต้องเจริญสติหรือฝึกสติกันก่อน
    พอเราฝึกสติมาก จิตเราถึงจะนิ่งได้ สงบสงัดได้ เดี๋ยวก็ลืมความทุกข์ จิตจึงจะเป็นสุขได้
    เมื่อจิตเรานิ่งดีแล้ว เราก็จะรู้ว่าจิตตนเองอยู่ที่ไหน กำลังทำอะไร มันสุขหรือว่าทุกข์
    ตราบใด ถ้าจิตเรายังไม่นิ่งเป็น(ปราศจากสมาธิจิต)เสียแล้ว เราก็หาความสุข ความสงบกันไม่ได้

    ไปอ่าน ไปหาความรู้เรื่องจิตโดยเฉพาะกันให้มากๆนะ ถ้าจะเอาดีกันทางนี้
    การปฎิบัติธรรมนั้น เขาให้ทำกันแค่ 3 อย่างเท่านั้นเอง ไม่ต้องไปทำอะไรมันมากมาย ปวดหัว

    ก็คือ ตามดูจิต(ตนเอง มิใช่จิตคนอื่น) ตามรู้จิต(ตนเอง มิใช่จิตคนอื่น) และทำสองอย่างแล้วใช่ไหม
    ต่อไปให้แค่นั่งดูจิต นั่งรู้จิตตนเองกันเฉยๆเป็นไหม?
    ที่พระท่านบอกปากจะฉีกถึงหูนั้น เช่น เห็นสักแต่ว่าเห็น (หมายถึงอะไร รุ่นนี้ไม่ต้องแปลกันแร๊ะ)
    หรือ หูได้ยินสักแต่ว่าได้ยิน(ต้องแปลกันอีกมั๊ย) ทำแค่สามอย่างนี้เอง
    แล้วทำไปทำไม ทำแล้วได้อะไร ก็ได้สติไง๊ ได้สติแล้วไปทำอะไร เมื่อเรามีสติมากๆกันใช่ไหม จิตเราก็จะนิ่งเป็น นี่ไง๊
    นี่ไงที่เราพยายามทำกันเหลือเกิน ก็คือ การเจริญสติหรือการฝึกสติกัน
    ก็เพื่อสิ่งนี้กัน คือต้องการให้จิตนิ่ง แค่เนี๊ย! ทำเข้าไปๆ เจริญสติจนหัวจะงอก
    แต่ถ้าทำไปไม่ถึงไหนกัน เพราะอะไร ขอให้รีเช็คเรื่องศีลตนเองก่อนเลย ไม่ใช่ให้ไปดูว่าว่า
    ใครมั่ง..ที่ทำผิดศีล ดูตัวเอ็ง นั่นแหล่ะ! ดูเอง เรื่องศีล ไม่มีเทวดาหรือเจ้าที่มาคอยรักษาให้กัน ตัวของเราเองนั่นแหล่ะ
    ต่อไปเมื่อศีลเราครบบริบูรณ์ดีแล้ว ต่อไป(ถามตนเองว่า) พกความศรัทธามาเท่าไหร่ ความเพียรเท่าไหร่
    หรือใจมีไหม๊ เพราะการปฎิบัติธรรมนั้น ไม่ใช่มาแต่กาย ห่มขาวนุ่งขาว
    (ซื้อมาใหม่เอี่ยมเลย บางท่านยังไม่ทันสักด้วยซ้ำไป เกรงว่าจะไม่ขาวเหมือนผ้าที่สวมใส่ เดี๋ยวไม่ขลัง)
    แต่หารู้ไม่ การปฎิบัติธรรม ไม่ต้องเตรียมอะไรมาก สถานที่ใดก็ได้ แต่สาระสำคัญมันอยู่ที่ จิตเราน่ะ ใจเราน่ะ
    มีให้ไหม๊ มีความตั้งใจจริงแค่ไหน เราจะปฎิบัติธรรมเพื่ออะไร มาหาเพื่อนใหม่ มาหาแฟนใหม่ มาหาธรรม
    มาหาพระหาเจ้าเท่านั้น หรือ ปฎิบัติเพื่อจะเอาแก่นหรือแค่เปลือก ลองตอบตนเองกันดูนะ

    พี่ภูพร่ำจนงงแร๊ะ การปฎิบัติธรรมนั้น จะต้องไม่ต้องไป ไม่หย่อนไป เอาพอดีๆ เน้นที่จิตใจสบายๆก่อนนะ
    หรือที่เราเรียกว่า มัชฌิมาปฏิปทา

    ขอปริยัติวันละคำนิดนึงนะผู้เจริญทั้งหลาย เดี๋ยวหาว่าเอาแต่แก่น หรือเอาแต่ปฎิบัติ ไม่เอาปริยัติ
    พร้อมที่มา(เจ้าเก่า) ตำราประจำกายของข้าพเจ้า แต่ถ้าวันใด เน็ตล่ม ปริยัติก็ล่มไปตามปริยายหรือล่มอัตโนมัติ
    (สัญญาก็เลยหายตามเน็ต)

    มัชฌิมาปฏิปทา - วิกิพีเดีย
    แปลว่า ทางสายกลาง คือ การไม่ยึดถือสุดทางทั้ง 2 ได้แก่ อัตตกิลมถานุโยคคือ การประกอบตนเองให้ลำบากเกินไป
    กามสุขัลลิกานุโยคคือ การพัวพันในกามในความสบาย หรือ อริยมรรคมีองค์ 8 เมื่อย่นย่อแล้ว เรียกว่า "ไตรสิกขา" ได้แก่ ศีล สมาธิ ปัญญา



    คำถามวันละคำ
    คนเราโกรธ เกลียด อาฆาต พยาบาท ไม่พอใจ หรือว่า น๊อตหลุด ทำไม?
    คำตอบง่ายที่ซู๊ดดดด ก็คือ อัตตาไง๊
    เพราะถ้าจิตเราเป็นอนัตตา หรือไม่มีอัตตา วิมุตติจริงๆแล้ว เราจะเอาอะไร ไปโกรธ ไปเกลียด กันเล่า!
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 25 กุมภาพันธ์ 2013

แชร์หน้านี้

Loading...