จิตพร้อม? รับภัยพิบัติ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย ภูภู, 6 เมษายน 2012.

  1. natthapatpun

    natthapatpun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,124
    ค่าพลัง:
    +25,214
    พระอาจารย์ชัชวาลฝากขอบคุณและโมทนาบุญกับจิตบุญทุกท่าน จิตบำเพ็ญทุกท่าน และจิตเกาะพระทุกท่านที่ร่วมด้วยช่วยกันบริจาคปัจจัยช่วยจัดงานอบรมผู้ปฏิบัติธรรมในพื้นที่ตำบลเขาโล อำเภอทุ่งสง จังหวัดนครศรีธรรมราช ในระหว่างวันที่ 3-5 ธ.ค. 55 หากท่านใดมีความประสงค์จะเข้าร่วมอบรมผู้ปฏิบัติธรรมเพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระเจ้าอยู่หัว โปรดติดต่อพระอาจารย์ชัชวาลได้ทางโทรศัพท์ โดย pm ขอเบอร์โทรศัพท์ได้ที่พี่เพ็ญค่ะ ขอความสุขสวัสดีจงมีแด่ทุกท่านเทอญ
     
  2. NOKMAM

    NOKMAM เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    300
    ค่าพลัง:
    +6,157
    อนุโมทนาสาธุ และขอแสดงความยินดีกับพี่ภูด้วยเจ้าค่ะ

    [​IMG] [​IMG]
     
  3. NOKMAM

    NOKMAM เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    300
    ค่าพลัง:
    +6,157
    [​IMG]

    แสงแห่งศรัทธา และ แสงแห่งธรรม ให้ความรู้สึกอบอุ่นเสมอ
     
  4. Pugsley

    Pugsley เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    282
    ค่าพลัง:
    +4,825
    อนุโมทนาสาธุ และขอแสดงความยินดีกับพี่ภู+คู่แท้คู่ร่วมชะตากรรมด้วยเจ้าค่ะ สาธุๆๆ

    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=M2klIOwi6p4&feature=colike]บ้านเรา - เบิร์ด ธงไชย - YouTube[/ame]

    บ้านของเรา...มีแต่ความสุข...ดีกันนะดีกัน...ไม่ใช่ตีกันตีกัน ^_^
     
  5. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    ขอขอบพระคุณทุกๆท่านอีกครั้งหนึ่ง
    สำหรับทุกๆำกำลังใจ และขอรับฟังทุกข้อคิดเห็นทุกประการ
    พี่ภู ครูเพ็ญ และชาวคณะจิตเกาะพระ จะทำให้ดีที่สุด
    โดยเฉพาะหน้าที่หลัก ก็คือ ภารกิจยกจิต หรือ ขนดวงจิตกลับขึ้นพระนิพพาน

    เพื่อสมเด็จองค์ปฐม เพื่อสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หรือ พระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์
    เพื่อครูบาอาจารย์ทุกๆท่านของพวกเรา อันได้แก่ พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน เป็นต้น
    และพวกเราทุกๆท่าน

    ผมจะไม่ลืมคำสัจจะและหน้าที่หลัก ยังคงมีสติสัมปชัญญะที่ดีอยู่เสมอ
    เพื่อรองรับสิ่งที่ดีที่สุดมาให้กับพวกเรา
    โดยเฉพาะผู้ที่ปรารถนาพระนิพพาน หรือ ความหลุดพ้น

    ปล. ขอบรรดาลูกรักทั้งหลายจงมีแต่ความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลสมบูรณ์พูนผล ธรรมใดที่องค์สมเด็จพระทศพลบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า และพระอรหันต์ทั้งหลายบรรลุแล้ว
    ขอบรรดาลูกรักของพ่อทั้งหมดจงเป็นผู้เข้าถึงธรรมนั้นในชาตินี้และโดยฉับพลัน และทุกคนจงมีโอกาสเข้าถึงซึ่งพระนิพพานในชาตินี้ทั่วทุกคน
    (พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน)

    ลูกขอน้อมกราบแทบพระบาทสมเด็จองค์ปฐม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ และพระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยานด้วยเศียรเกล้า..สาธุๆๆ
    (กราบ๑ กราบ๒ กราบ๓)

    ภู..ภูทยานฌาน
     
  6. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    ขออนุโมทนาสาธุๆๆ
     
  7. ไผ่มรกต

    ไผ่มรกต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    248
    ค่าพลัง:
    +1,896
    สวัสดีค่ะ ครูลูกพลัง ข้าเจ้าขอร่วม กับพระอาจารย์ ชัชวาล ส่งเงินเข้าบัญชี พระอาจารย์ ชัชวาล อภิชาโต ธ กรุงไทยแล้ววันนี้ 23 พ.ย 2555 เวลา 15.05 น 1000 บาทค่ะ และได้ร่วมทำบุญ กฐินสามัคคี 700 บาทที่วัดปากเหมือง อ.สารภี จ.เชียงใหม่ ในวันที่ 24 พ.ย 2555 นี้ค่ะ ด้วยมหาเมตตาบารมีศิลธรรม พระครูบาเจ้าบุญชุ่ม ญาณสํวโร ได้มอบผ้าไตร จีวร ตั้งเป็นกองกฐิน ถวายวัดปากเหมือง สารภี เชียงใหม่ ครูบาเจ้าฝากออกมาจากถ้ำ มหาโพธิสัตว์ ราชคฤห์ เมื่อวันออกพรรษา ที่ผ่านมาด้วยค่ะ หนูขออุทิศบุญที่ได้ร่วมบุญและถวายปัจจัยนี้ ให้ครูพ่อภู ครูแม่เพ็ญ ครูวิทย์ พี่แนทพี่สาวที่แสนดี ครูจิตบุญ จิตเกาะพระ จิตบำเพ็ญทุกท่านด้วยค่ะ สาธุ สาธุ สาธุ ****ลูกจะพยายามรักษาดวงจิต (เปรียบเหมือนดอกแก้ว ) จะคอยระมัดระวังฝุ่นที่จะมาจับดอกแก้ว ซึ่งจะมีทั้งฝุ่นบาง ( ไรฝุ่น ) เม็ดฝุ่น ก็ต้องคอยเช็ด ทำความสะอาดแก้ว (จิต) แม้บางครั้งจะเผลอลืมดูไปบ้าง แต่ก็จะระมัดระวังไม่ให้ฝุ่นจับจนเป็นตะกอนแข็งติดดอกแก้ว(จิต) ลูกจะพยายามเช็ดให้มันใสที่สุดค่ะท่านพ่อ**** จบ ๑๐๗
     
  8. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,500
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,037
    .>
    ท่าน พ. ธรรมรังสี
    ห่วงตัวเองเถอะ ว่าตนเองพ้นจากนรกแล้วหรือยัง ปิดอบายภูมิได้หรือยัง อย่าไปวุ่นวายเรื่องของคนอื่นเลย

    รู้เรื่องของคนอื่นไปก็เท่านั้น ถ้าแก้ไขตนเองไม่ได้ ตนเองก็ใช่ว่าจะรอดปลอดภัยจากอบายภูมิ

    การปฏิบัติธรรม คือ ให้ดูตนเอง พิจารณาตนเอง ไม่ใช่ดูผู้อื่น

    ถ้าดูผู้อื่น แล้วได้ประโยชน์ ก็ดูได้ แต่ต้องมีสติปัญญาในการดูด้วย ไม่ใช่ดูแล้วจิตตก ดูแล้วจิตเศร้าหมอง ดูแล้วจิตวุ่นวายฟุ้งซ่าน ดูแล้วจิตเกิดบาปอกุศล ถ้าดูแบบนี้ ก็ไม่น่าดูเลย เสียเวลาดูเปล่าๆ ไร้ประโยชน์ ไร้สาระแก่นสารโดยแท้... ไม่ต้องไปนำเรื่องของคนอื่นมาใส่ใจให้มาก

    ใครมีหน้าที่อะไรก็ทำไป....

    ...> ท่าน พ. ธรรมรังสี
    จงมีความสุขกับการทำหน้าที่ มีความสุขกับการช่วยเหลือสังคม ช่วยเหลือผู้อื่น มีความสุขกับการปล่อยวางด้วยสติด้วยปัญญา และ ด้วยธรรมะ
    "พุทธบารมี ธรรมบารมี สังฆบารมี

    พุทธเตเชนะ ธรรมเตเชนะ สังฆเตเชนะ

    พุทธรตนัง ธรรมรตนัง สังฆรตนัง

    อุตตมัง วรัง มหาอานุภาเวนะ

    สัพพะโสตถี ภวัน ตุ เม

    พุทธัง ปกป้อง ธัมมัง คุ้มครอง สังฆัง ห้อมล้อม

    ครอบด้วย นะโมพุทธายะ"

    คาถาพุทธคุณ 9 ชั้น (หลวงปู่ทวดมอบให้ พ.ธรรมรังสี เมื่อปี 37 ***จนเตือนตนด้วยตนเอง ..
    by สาว ติสต์ on Sunday, October 9, 2011 at 1:06am · .. ตนเตือนตนของตนให้พ้นผิด ตนเตือนจิตตนได้ใครจะเหมือน.

    ตนเตือนตนไม่ได้ใครจะเตือน อย่าแชเชือนเตือนตนให้พ้นภัย

    ...............................................................................

    รู้ไหมว่า…เรามีเวลาอยู่ในโลกนี้คนละกี่ปี ชีวิตนั้นสั้นยิ่งกว่าหยดน้ำค้างเสียอีก

    จะตายวันตายพรุ่งก็ไม่มีใครรู้ล่วงหน้า ถ้าเราใช้เวลาอันแสนสั้นนี้ไปมัวหลับๆตื่นๆ

    อยู่ในความรัก โลภ โกรธ หลง หมั่นไส้คนนั้น ปลาบปลื้มคนนี้ ริษยาเจ้านายใส่ไคล้ลูกน้อง

    ปกป้องภาพลักษณ์ (อัตตา) กด (หัว) คนรุ่นใหม่หลงใหลเปลือกของชีวิต

    โดยลืมไปเลยว่าอะไรคือสิ่งที่ตนควรทำอย่างแท้จริง คิดดูเถิดว่า เราจะขาดทุนขนาดไหน

    ....................................................................

    บทความธรรมะดีๆ

    ท่านอังคาร กัลยาณพงศ์ เขียนบทกวีไว้ว่า

    “น้ำไหลอายุขัยก็ไหลล่วง ใบไม้ร่วงชีพก็ร้างอย่างความฝัน ฆ่าชีวาคือพร่าค่าคืนวัน จะกำนัลโลกนี้มีงานใด”

    คนเราไม่ควรพร่าเวลาอันสูงค่าด้วยการปล่อยตัวปล่อยใจ

    ให้ตกเป็นทาสของความชอบ ความชัง มากนัก

    เพราะถ้าเราวิ่งตามกิเลส กิเลสก็จะพาเราวิ่งทำสิ่งนั้นสิ่งนี้ต่อไปไม่รู้จบ

    กิเลสไม่เคยเหนื่อย แต่ใจคนเราสิจะเหนื่อยหนักหนาสาหัสไม่รู้กี่เท่า

    .....................................................................

    ควรคิดเสียใหม่ว่า เราไม่ได้เกิดมาเพื่อที่จะชอบหรือไม่ชอบใคร

    หรือเพื่อที่จะให้ใครมาชอบหรือมาชัง

    แต่เราเกิดมาสู่โลกนี้เพื่อทำในสิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์คนหนึ่งควรจะทำ

    เอาเวลาที่รู้สึกแย่ๆ กับคนอื่นนั้นหันกลับมามองตัวเองดีกว่า

    ชีวิตนี้เรามีอะไรบ้างที่เป็นแก่นสาร มีงานอะไรบ้างที่เราควรทำ

    .....................................................................

    นอกจากนั้นก็ควรมองกว้างออกไปอีกว่า เราได้ทำอะไรไว้ให้แก่โลกบ้างแล้วหรือยัง

    คนทุกคนนั้นต่างก็มีดีมีเสียอยู่ในตัวเอง ถ้าเราเลือกมองแต่ด้านเสียของเขา

    จิตใจของเราก็เร่าร้อน หม่นไหม้

    เวลาที่เสียไปเพราะมัวแต่สนใจด้านไม่ดีของคนอื่นก็เป็นเวลาที่ถูกใช้ไปอย่าง "ไร้ค่า"

    บางทีคนที่เราลอบมอง ลอบรู้สึกไม่ดีกับเขานั้น

    เขาไม่เคยรู้สึกอะไรไปด้วยกันกับเราเลย

    เราเผาตัวเราเองอยู่ฝ่ายเดียวด้วยความหงุดหงิด ขัดเคืองและอารมณ์เสีย

    วันแล้ววันเล่า สภาพจิตใจแบบนี้ไม่เคยทำให้ใครมีคุณภาพชีวิตดีขึ้นมาได้เลย

    ..........................................................................

    ลองเปลี่ยนวิธีคิด วิธีมองโลกเสียใหม่ดีกว่า คิดเสียว่าคนเราไม่มีใครดีพร้อมหรือ

    เลวไม่มีที่ติไปเสียทั้งหมดหรอก เราอยู่ในโลกกันคนละไม่กี่ปี

    ประเดี๋ยวเดียวก็จะล้มหายตายจากกันไปหมดแล้ว มาเสียเวลากับเรื่องไร้สาระทำไม

    อะไรที่ควรทำก็รีบทำเถิดปล่อยวางเสียบ้าง

    ความโกรธ ความเกลียดนั้นไม่มีคุณค่าอะไรต่อชีวิตอันแสนน้อยนิดนี้เลย

    มุ่งไปข้างหน้า ไปหาสิ่งที่มีคุณค่าให้ชีวิตดีงามดีกว่า

    .........................................................................

    วิธีที่แนะนำทั้งหมดนั้น นักภาวนาเรียกว่า “การกลับมาอยู่กับตัวเอง”

    กล่าวคือ ถ้าเราเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องอยู่กับคนที่ไม่ถูกโฉลก

    แทนที่จะปล่อยใจให้อยู่กับความรู้สึกแย่ๆ ไปตลอด

    ก็ควรหันกลับเข้ามา ”มองด้านใน” แก้ไขที่ตัวเอง

    อย่ามุ่งแก้ไขที่คนอื่น เพราะยิ่งพยายามแก้ไขคนอื่น ก็ยิ่งยุ่งเหมือนลิงทอดแห

    ยิ่งเราให้ความสำคัญกับคนที่เราเกลียดมากเท่าใด สภาพจิตใจก็ยิ่งแย่ลงมากเท่านั้น

    ................................................................................

    วิธีที่ดีที่สุดในการอยู่กับคนที่เรารู้สึกไม่ดีหรือเป็นปฏิปักษ์ก็คือ

    การดึงความรู้สึกจากเขามาอยู่เราทุกขณะ

    หรือถ้าเช่นนั้นก็ย้ายตัวเองออกไปเสียจากสภาพแวดล้อมเช่นนั้นให้เร็วที่สุด

    อย่าอยู่นานจนทุกข์นั้นกลัดหนองเป็นมะเร็งร้ายในอารมณ์

    ปราชญ์จีนบอกว่า “ถ้ามีขุนเขาขวางท่านอยู่ข้างหน้า อย่าเสียเวลาย้ายขุนเขาแต่จงย้ายตัวเอง”

    ดังนั้นเราควรจะย้ายภูเขาที่อยู่ข้างในหรือจะย้ายภูเขาที่อยู่ข้างนอก?

    ..........................................................................................

    ธรรมประจำใจ

    พูดมาก เสียมาก พูดน้อย เสียน้อย ไม่พูด ไม่เสีย นิ่งเสีย โพธิสัตว์



    ละได้ย่อมสงบ

    ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ ล้วนแต่เคลื่อนที่ไปสู่ความเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา

    ทุกอย่างในโลกนี้ เคลื่อนไปสู่การสลายตัวทั้งสิ้น ไม่ยึด ไม่ทุกข์ ไม่สุข ละได้ย่อมสงบ



    สันดาน

    ภูเขาถูกมนุษย์ทำลายลงมาได้

    แต่สันดานของคนเราที่นอนนิ่งอยู่ในก้นบึ้ง

    ซึ่งไม่เหมือนกันย่อมขัดเกลาให้ดีเหมือนกันได้ยาก



    ชีวิตทุกข์

    การเกิดมาเป็นมนุษย์ชาติหนึ่ง จะว่าประเสริฐก็ประเสริฐ จะว่าไม่ประเสริฐก็ไม่ประเสริฐ

    จะเห็นได้ว่า ตื่นเช้าก็มีความทุกข์เข้าครอบงำ

    จะต้องล้างหน้า ล้างปาก ล้างฟัน ล้างมือ

    เสร็จแล้วจะต้องกินต้องถ่าย นี่คือความทุกข์แห่งกายเนื้อ

    เมื่อเราจะออกจากบ้าน

    ก็จะประสบความทุกข์ในหมู่คณะ ในการงาน ในสัมมาอาชีวะ การเลี้ยงตนชอบ

    นี่คือ ความทุกข์ในการแสวงหาปัจจัย



    บรรเทาทุกข์

    การที่เราจะไม่ต้องทุกข์มากนั้น

    เราจะต้องรู้ว่า เรานี้จะต้องไม่เอาชีวิตไปฝากสังคม เราต้องเป็นตัวของเราเอง

    และเราจะต้องวินิจฉัยในเหตุการณ์ที่จะเข้ามาเกี่ยวข้องกับตัวเราว่า สิ่งใดเราควรทำ สิ่งใดไม่ควรทำ



    ยากกว่าการเกิด

    ในการที่เราเกิดมา ชีวิตแห่งการเกิดนั้นง่าย แต่ชีวิตแห่งการอยู่นั้นสิยาก

    เราจะทำอย่างไรให้อยู่ได้อย่างสุขสบาย



    ไม่สิ้นสุด

    แม่น้ำทะเล และมหาสมุทร ไม่มีที่สิ้นสุดของน้ำ ฉันใด

    กิเลสตัณหาของมนุษย์ก็ย่อมไม่มีที่สิ้นสุด ฉันนั้น



    ยึดจึงเดือดร้อน

    ทุกวันนี้ เกิดความทุกข์ ความเดือดร้อน ก็เพราะมนุษย์ไปยึดโนน่ ยึดนี่

    ยึดพวกยึดพ้อง ยึดหมู่ยึดคณะ ยึดประเทศเป็นสรณะ โดยไม่คำนึงถึงธรรมสากล

    จักรวาลโลกมนุษยนี้ ทุกคนมีกรรมจึงเกิดมาเป็นสัตว์โลก

    สัตว์โลกทุนคนต้องใช้กรรมตามวาระ ตามกรรม

    ถ้าทุกคนยึดถือเป็นอารมณ์ ก็จะเกิดการเข่นฆ่ากัน เกิดการฆ่าฟันกัน

    เพราะอารมณ์แห่งการยึดถืออายตนะ ฉะนั้น ต้องพิจารณาให้ถ่องแท้ว่า

    สิ่งใดทำแล้ว สัตว์โลกมีความสุข สิ่งนั้นควรทำ นี่คือ หลักความจริงของธรรมะ

    อยู่ให้สบาย

    ในภาวะแห่งการที่จะอยู่อย่างสบายนั้น

    เราต้องอยู่กันอย่างไม่ยึด อยู่กันอย่างไม่ยินดี อยู่กันอย่างไม่ยินร้าย

    อยู่กันอย่างพยายามให้จิตวิญญาณของนามธรรมนั้นเหนืออารมณ์

    เหนือคำสรรเสริญ เหนือนินทา เหนือความผิดหวัง เหนือความสำเร็จ เหนือรัก เหนือชัง



    ธรรมารมณ์

    การอยู่อย่างมีธรรมารมณ์ คือ การอยู่เหนือความรู้สึกทั้งปวง

    อยู่อย่างรู้หน้าที่การเป็นคน และรู้หน้าที่ในการงาน คือ รู้ว่าสิ่งที่เราทำนั้น เป็นสิ่งที่เราต้องทำ

    ไม่ใช่ทำเพื่อหวังผลตอบแทน เพราะถ้าเราทำงานเพื่อหวังผลตอบแทนต่างๆ แล้ว

    ถ้าสิ่งต่างๆไม่สัมฤทธิ์ผลตามความหวังนั้น เราย่อมเกิดความโทมนัส เสียใจน้อยใจ เป็นทุกข์



    กรรม

    ถ้าเรามีชีวิตอยู่อย่างที่ว่า

    เกิดเพราะกรรม อยู่เพื่อกรรม ทำเพราะกรรม ตายเพราะกรรมแล้ว

    ชีวิตการเป็นมนุษย์ย่อมมีความภิรมย์ มีความรื่นเริง



    มารยาทของผู้เป็นใหญ่

    ผู้ใหญ่ไม่ใช่อยู่ที่เกิดก่อน ผู้ดีไม่ใช่อยู่ที่เรียนสูง

    มารยาทจรรยาของการเป็นผู้ใหญ่ ก็คือต้องสุขุมรอบคอบ และไม่ยึดติดเสียงเป็นหลัก

    คือ ต้องไม่หวั่นไหวกับคำนินทาและสรรเสริญ



    โลกิยะ หรือ โลกุตระ

    คนที่เดินทางโลกุตระ ย่อมไปดีทางโลกิยะไม่ได้

    คนที่เดินทางโลกิยะ ย่อมสำเร็จทางโลกุตระได้ยาก เพราะอะไร ?

    ถ้าคนหนึ่งสำเร็จได้ทั้งโลกิยะ และโลกุตระง่ายแล้ว

    ทำไม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธโคดม ต้องสละราชบัลลังก์แห่งจักรพรรดิไปเป็นธรรมราชาเล่า ?

    ถ้าเป็นไปได้ พระองค์เป็นมหาจักรพรรดิพร้อมทั้งธรรมราชา ไม่ดีหรือ?

    แต่มันเป็นไปไม่ได้ เพราะโลกของโลกิยะและโลกุตระเดินคู่ขนานกัน

    เราต้องตัดสินใจ ต้องมีความเด็ดเดี่ยวและกล้าหาญในการที่จะเลือกทางใดทางหนึ่ง



    ศิษย์แท้

    พิจารณากายในกาย พิจารณาธรรมในธรรม พิจารณาวิญญาณ ในวิญญาณ

    นั่นแหละ คือ สานุศิษย์อันแท้จริงของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า



    รู้ซึ้ง

    ทุกอย่างจะต้องมีเหตุ เมื่อมีเหตุจึงจะมีผล ผลนั้นเกิดจากเหตุ

    เราได้วินิจฉัยข้อนี้แล้ว เราจึงรู้ซึ้งถึงพุทธศาสนา



    ใจสำคัญ

    การทำบุญนั้น จะต้องทำด้วยจิตใจบริสุทธิ์

    จะต้องทำด้วยความศรัทธา

    ผลสะท้อนมันจะเกิดขึ้นเกินความคาดหมาย



    หยุดพิจารณา

    คนเรานี้ ถ้าไม่มีอะไรทำอยู่ในที่วิเวกคนเดียว จิตมันจะฟุ้งซ่าน

    และถ้าภาวะนั้น ตนไม่ปล่อยให้จิตฟุ้งซ่านไปเรื่อยๆ คือ หยุดพิจารณา

    แล้วค้นสัจจะของ ศีล สมาธิ ปัญญา ย่อมที่จะค้นหาสัจจะในธรรมะได้



    บริจาค

    ทำบุญสังฆทานเป็นจาคะ จาคะเป็นการบริจาคโภคทรัพย์ภายนอก

    การสวดมนต์เป็นการภาวนา การภาวนาเป็นการบริจาคภายใน

    เพราะฉะนั้น ถ้านับในด้านทิพย์อำนาจ

    การบริจาคภายในย่อมได้กุศล มากว่า การบริจาคภายนอก

    นี่คือเรื่องของนามธรรม



    ทำด้วยใจสงบ

    เราจะทำบุญก็ดี เราจะทำอะไรก็ดี จงทำด้วยความสงบ

    อย่าทำด้วยอารมณ์แห่งความร้อน เพราะการทำด้วยอารมณ์ร้อนนั้น มันจะพาเราไปสู่หายนะ

    เมื่อเกิดอารมณ์ร้อน เราจะทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง จงอย่าทำ

    นั่งให้จิตใจมันสบายเสียก่อน เมื่อจิตใจสบายแล้ว ปัญญาก็เกิด

    เมื่อเกิดปัญญาแล้ว จะทำสิ่งใดก็เป็นไปโดยความสะดวก



    มีสติพร้อม

    จะทำสิ่งใดก็ตาม เราต้องมีสติพร้อม

    คือ อย่าให้มีโทสะ อย่าให้อารมณ์เข้ามาควบคุมสติ

    อย่าให้เรื่องส่วนตัวและขาดเหตุผล มาอยู่เหนือความจริง



    เตือนมนุษย์

    มนุษย์ผู้ใด เห็นแก่งานส่วนตัว มนุษย์ผู้นั้น จะไม่มีง านทำในไม่ช้า

    มนุษย์ผู้ใด เห็นแก่ทรัพย์ส่วนตัว มนุษย์ผู้นั้น จะไม่มีทรัพย์ครองในไม่ช้า

    มนุษย์ผู้ใด เห็นแก่นอนมาก มนุษย์ผู้นั้น จะไม่ได้นอนในไม่ช้า



    พิจารณาตัวเอง

    คืนหนึ่งก็ดี วันหนึ่งก็ดี ควรให้มีเวลาว่างสัก 5 นาที หรือ 10 นาที ไม่ติดต่อกับใคร

    ให้นั่งเฉยๆ คิดถึงเหตุการณ์ที่เราทำไปแต่ละวันๆ ว่า ที่เราทำไปนั้นเป็นอย่างไร

    คือให้ปลีกตัวมีเวลาเป็นของตัวเองบ้าง คิดเอาแต่เรื่องของตัว อย่าไปคิดเรื่องของคนอื่น

    เพราะมนุษย์เราส่วนมากทุกวันนี้ มักเอาแต่เรื่องของคนอื่นมาคิด ไม่ค่อยคิดเรื่องของตัวเอง

    คัดลอกจากหนังสือ เรียนธรรมะบูชาพระสุปฏิปันโน เล่มของหลวงปู่ทวด

    .....................................................................

    บรมสุข คือ สภาวะจิตที่สะอาดบริสุทธิ์ ว่างเปล่า

    ปราศจากความดี ความชั่ว บาปและบุญ

    คือ .. กระบวนการย้อนกลับที่สวนทางกับสิ่งที่เคยเป็นมาอย่างสิ้นเชิง

    เป็น .. เวลาที่จิตอันเข้มแข็งจะต้องกล้าที่จะทำลายอวิชชาในจิตของเรา

    เราต้องกล้าจะเริ่มทำลายกิเลสและความหลง ที่เราสะสมมันมาทั้งชีวิต

    สมบัติ เงินทอง ชื่อเสียง เกียรติยศ และทุกสิ่งทั้งหลายที่ดวงจิตเข้าไปยึดมั่นไว้

    ......................................................................

    ค้นหาให้พบอวิชชาเหล่านั้นและทำลายทั้งหมดสิ้นด้วยการ ปล่อยวาง สิ่งสมมุติทั้งหลาย

    เพราะ "ปัญญา" แห่งสภาวะบรมสุขนั้นจะทำลายจนหมดสิ้น ..

    สภาวะบรมสุขนั้นคือ การไม่เกิดนั้นเป็นบรมสุข

    เป็นกระบวนการทางจิตอันละเอียดอ่อนที่ทวนกระแสความคิดของโลก

    สมมุติบัญญัติโลกจะถูกทำลายลงได้อย่างสิ้นเชิง .. เพื่อเข้าสู่สภาวะ "บรมสุข"

    หมดสิ้นอวิชชา ความหลง ความยึดมั่นถือมั่น

    อัตตาตัวตนจะถูกทำลายลง เหลือแต่ความว่างเปล่าอันเป็น "อนัตตา"

    ไร้ตัว ไร้ตน มีเพียงปัญญาธรรมในขั้นนี้เท่านั้นจะนำพาดวงจิต

    ให้กลับสู่ความเดิมแท้และหลุดพ้นการเวียนว่ายตายเกิดไปได้

    ภาวะนิพพาน จึงเป็นภาวะที่อยู่ใกล้กับตัวเรามากที่สุด

    ดวงจิตวิญญาณทุกดวงล้วนมาจากที่เดียวกัน ...

    ..................................................................

    และในที่สุด ............

    ก็จะต้องเดินทางกลับไปสู่ที่แห่งเดิมที่ตนนั้นจากมาทั้งหมดทั้งสิ้น

    เพียงแต่จะช้าหรือเร็วแตกต่างกันเท่านั้น ..

    แต่สุดท้ายแล้วละครโรงนี้ก็ต้องปิดตัวลง

    นักแสดงทุกคนก็ต้องกลับบ้านของตน .. ในที่สุด

    ....................................................................

    บทส่งท้าย ..

    มิติแห่งความคิดความฝันนั้นเป็นมิติที่ซ้อนอยู่ภายในจิตใจของเรา

    ถึงแม้บางทีเราจะเข้าใจกระบวนการเวียนว่ายตายเกิดในมิติความคิด

    แต่ก็ยังยากที่มนุษย์จะสามารถหลุดพ้นออกไปจากมิติแห่งความคิดนั้นได้

    ถึงแม้ต่อให้เรารู้และเข้าใจในอวิชชา ความหลง ความยึดมั่นถือมั่น

    แต่เราก็ไม่อาจกำจัดสิ่งเหล่านั้นให้หมดไปจากความคิดและจิตใจของเราได้

    .....................................................................

    วิธีเดียวเท่านั้นที่จะทำให้เราค้นพบเส้นทางกลับบ้านที่จากมานานแสนนาน

    ต้องอาศัยการฝึกฝนอบรมจิตด้วยความพอดีในสายกลาง พอดี แต่อย่าหยุดปฏิบัติ

    จิตจึงจะเกิดภูมิปัญญาความรู้ และในที่สุดจิตที่ผ่านการฝึกฝนเป็นอย่างดี

    จะเกิดปัญญา .. เอาชนะอวิชชาและกิเลสมายาทางโลกทั้งปวงลงได้

    เหลือทิ้งไว้แต่เพียงภาพแห่งความฝัน ..

    ที่ปราศจากอารมณ์การยึดมั่นถือมั่น หมดสิ้นอัตตา หมดสิ้นอวิชชา

    เริ่มจากจิตว่าง สุดท้ายคือว่างจิต .. และหลุดพ้นจากทุกสรรพสิ่ง
    ----------------------------------------------------

    ขอให้เจริญในธรรมทุกๆท่านค่ะ
    ----------------------------------------------------
    ขอเป็นกําลังใจให้ท่านอาจารย์ภูค่ะ "ผู้มีวิจารณาญาณ" อันสูงสุด
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 พฤศจิกายน 2012
  9. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,500
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,037
    Phra Sombat Summapalo

    แนะนำชาดกในพระพุทธศาสนา(๒๐)
    กุรุงคมิคชาดก
    ชาดกว่าด้วยการรู้เท่าทันเล่ห์เหลี่ยมคน

    สถานที่ตรัสชาดก
    เวฬุวันมหาวิหาร นครราชคฤห์

    สาเหตุที่ตรัสชาดก
    ในสมัยพุทธกาล หลังจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ได้ไม่นาน ก็ทรงออกประกาศศาสนา พร้อมด้วยบรรดาทรงสงฆ์สาวกไปทั่วชมพูทวีป ครั้งนั้นมีผู้เลื่อมใสศรัทธาออกบวชปฏิบัติธรรมตามพระองค์จนบรรลุอรหัตผลเป็นพระอรหัตผลเป็นพระอรหันต์จำนวนมากมาย

    แต่เป็นที่น่าสลดใจว่า พระญาติของพระองค์ท่านหนึ่งคือ พระเทวทัต ถึงแม้จะบวชแล้วก็ไม่อาจซึมซับเอาพระธรรมอันวิเศษเข้าไปชำระล้างจิตใจอันมากด้วยความอิจฉาริษยา มักใหญ่ใฝ่สูงอยากเด่นอยากดังให้เบาบางลงได้ ท่านกลับคิดจองล้างจองผลาญพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอยู่ตลอดเวลา เช่น ยุยงให้คณะสงฆ์แตกแยกจ้างนายขมังธนูให้มาลอบยิงพระพุทธองค์ ปล่อยช้างธนพาลที่ตกมันและถูกมอมเหล้าจนคลุ้มคลั่งให้เข้าทำร้าย จนกระทั่งท้ายที่สุดลงมือลอบปลงพระชนม์ด้วยต้นเอง โดยขึ้นไปกลิ้งหินบนภูเขาให้ตกลงมาทับพระผู้มีพระภาคเจ้า แต่ไม่ว่าจะใช้วิธีใดๆ ก็ไม่อาจปลงพระชนม์พระบรมศาสดาได้

    เรื่องพระเทวทัตลอบทำร้ายพระผู้มีพระภาคเจ้าด้วยวิธีการต่างๆ เป็นที่ล่วงรู้กันทั่วเมือง ประชาชนพากันสาปแช่ง พระภิกษุทั้งหลายต่างพากันตำหนิติเตียนกล่าวโทษพระเทวทัต แต่ก็ไม่รู้จะทำประการใดจึงจะให้ท่านสำนึกผิด จึงได้แต่นั่งสนทนาปรับทุกข์กันอยู่ในโรงธรรมสภาเท่านั้น

    พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงทราบเรื่องนี้ จึงทรงระลึกชาติหนหลังด้วยบุพเพนิวาสานุสติญาณ ตรัสแก่พระภิกษุเหล่านั้นว่า

    “ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย พระเทวทัตไม่ได้คิดจองล้าง จองผลาญเราแต่เฉพาะชาตินี้หรอกนะ แรงพยายาทของพระเทวทัตที่มีต่อเรานั้นมีมาในอดีตหลายภพหลายชาติแล้ว”

    แล้วตรัสว่า กุรุงมิคชาดก ดังนี้

    เนื้อหาชาดก

    ครั้งหนึ่งในอดีต ณ ป่าใหญ่ใกล้นครพาราณสี มีกวางหนุ่มตัวหนึ่งเป็นกวางที่เฉลียวฉลาด ท่าทางปราดเปรียว ทะมัดทะแมงและตื่นตัวอยู่เสมอ มีระมัดระวังตัวเป็นอย่างดีตลอดมา จึงรอดพ้นจากการถูกล่ามาได้

    ครั้นถึงต้นฤดูฝน ไม้ผลผลิดอกออกผลเต็มต้น กวางนั้นก็ออกมาหา ผลมะรื่น กิน แต่เนื่องจากพื้นดินเปียกชื้น เวลาย่ำไปที่ใดก็ปรากฏรอยเท้าชัดเจนที่นั้น

    ในครั้งนั้นพรานป่าคนหนึ่งชอบขัดห้างล่าสัตว์ วันหนึ่งนายพรานผู้นั้นสังเกตเห็นรอยเท้ากวางที่ใต้ต้นมะรื่นต้นหนึ่ง จึงปีนขึ้นไปขัดห้างไว้บนต้นไม้นั้น พอเช้ามืดวันรุ่งขึ้น หลังจากกินข้าวเช้าเสร็จแล้วก็ถือหอกปีนขึ้นไปนั่งคอยท่าอยู่บนต้นมะรื่น

    ฝ่ายกวางนั้น พอรุ่งเช้าก็ออกจากที่อาศัยตรงไปยังต้นมะรื่นเพื่อกินผลของมันเช่นเคย แต่เนื่องจากเป็นกวางที่ฉลาดรอบคอบไม่ประมาท จึงไม่ด่วนผลุนผลันเข้าไปทันที เฝ้าวนเวียนสังเกตอยู่ห่าง เพื่อดูว่าจะมีอันตรายบ้างหรือเปล่า ครั้นเห็นอะไรอย่างหนึ่งผิดสังเกตอยู่บนต้นไม้ก็สงสัยจึงอยู่ห่างๆ ไม่ยอมเข้าไปใกล้

    นายพรานคอยอยู่นานเห็นกวางไม่เข้ามาแน่ จึงเด็ดผลมะรื่นขว้างไปให้ตกลงตรงหน้ากวาง หวังจะล่อให้กวางเดินเข้ามาใกล้อีกสักนิดพอที่ตนจะพุ่งหอกไปถึง กวางเห็นดังนั้นจึงคิดในใจว่า
    “ธรรมดาผลไม้ถ้าตกเอง จะต้องหล่นลงมาตรงๆ เหมือนคนเขย่าของที่ห้อยอยู่ตกลงมา แต่ผลมะรื่นนี้กลับกลิ้งมาหาเราได้ชะรอยจะมานายพรานซ่อนตัวอยู่บนต้นไม้ คอยดักทำร้ายเราอยู่เป็นแน่”
    คิดดังนั้นแล้ว จึงชำเลืองมองขึ้นไปบนต้นไม้ พิจารณาดูสักครู่ก็เห็นนายพรานแต่แสร้งทำเป็นไม่เห็น แล้วเดินหลีกห่างออกไป แต่ก่อนไปกวางนั้นก็แกล้งพูดกระทบนายพรานขึ้นดังๆ ว่า

    “เฮ้ย!…เจ้าลูกไม้ เมื่อก่อนนี้เจ้าเคยตกลงมาตรงๆ แต่เดี่ยวนี้เจ้ามันผิดธรรมชาติเสียแล้ว กลิ้งมาหาเราได้เอง เจ้าล่อเราด้วยอุบายใด กวางกุรุงคะรู้อุบายนั้นแล้ว เพราะฉะนั้นเราจะไปหาไม้มะรื่นต้นอื่น ผลของเจ้าเราไม่ชอบใจแล้ว”

    ฝ่ายนายพรานนั่งอยู่บนห้างได้ยินดังนั้นก็แค้นใจ เพราะอุตส่าห์เหน็ดเหนื่อยขัดห้างนั่งรอคอยจนเมื่อยขบอยู่เป็นเวลานาน แต่กลับไม่สามารถหลอกกวางได้ ซ้ำยังถูกกวางพูดกระทบกระเทียบเปรียบเปรยเอาอีก จึงพุ่งหอกออกไปจนสุดแรงเกิด หวังจะให้ถูกกวางนั้น แล้วตะโกนตามหลังไปว่า
    “เจ้ากวางตัวดี วันนี้เอ็งทำให้ข้าผิดหวังมาก เอ็งตายเสียเถอะ!”
    หอกนั้นพุ่งไปไม่ถึงตัวกวางเพราะอยู่ไกลเกินไป กวางนั้นหันกลับมาแล้วพูดเย้ยนายพรานอีกว่า
    “พรานเอ๋ย ถึงท่านจะฆ่าเราได้ แต่ท่านก็ต้องลงไปใช้กรรมในนรกแน่ๆ” แล้วจากไป

    ประชุมชาดก
    พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประชุมชาดกว่า
    นายพรานขัดห้าง ในครั้งนั้น ได้มาเป็นพระเทวทัตผู้มากด้วยความพยาบาท
    กวางกุรุงคะ ได้มาเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเอง

    ข้อคิดจากชาดก
    ๑. จงอย่าเป็นคนเห็นแก่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเห็นสิ่งใดที่รู้สึกว่าเป็นลาภลอยได้มาง่ายๆ อย่าไปฉวยเอา เพราะจะถูกล่อลวง ด้วยลูกไม้ต่างๆ โดยง่าย โบราณจึงพูดเตือนสติไว้เสมอๆ ว่า

    “ถ้ามีใครชี้แนะว่า สิ่งใดจะทำให้รวยเร็วๆ เก่งเร็วๆ มีชื่อเสียงเร็วๆ โดยไม่ต้องลงทุนลงแรง ให้ต้องข้อสังเกตไว้เลยว่า นั่นคือ ลูกไม้ ไม่ควรให้ความสนใจจะดีกว่า”
    ๒. หมั่นสั่งสมบุญมากๆ ถ้ามากเต็มที่จริงๆ แล้ว ใครก็ทำอันตรายไม่ได้ ใส่ความไม่ได้ บุญของเราที่มีอยู่จะตามเตือนสติไม่ให้หลงลูกไม้ใคร จนเกิดโลภ โกรธ หลง เห็นแก่ได้ เห็นแก่เกียรติยศ
    ๓. จากชาดกเรื่องนี้จึงทำให้รู้ว่า คำว่า ลูกไม้ ได้กลายมาเป็นสำนวนไทย หมายถึง เล่ห์เหลี่ยม ชั้นเชิง

    อธิบายศัพท์
    กุรุงคมิคชาดก (อ่านว่า กุ-รุง-คะ-มิก-ชา-ดก)
    กุรุงค, มิค กวาง
    มะรื่น, มะลื่น ชื่อต้นไม้ขนาดใหญ่ ใบรูปไข่ ผลเท่ามะกอก หรือมะปรางขนาดเขื่อง บ้างเรียกว่า กะบก หรือตระบก
    ห้าง ที่พักเล็กๆ ชั่วคราว ที่ทำไว้คอยเฝ้าดูเหตุการณ์

    พระคาถาประจำชาดก
    ญาตเมตํ กุรุงคสฺส ยํ ตฺวํ เสปณฺณิ เสยยสิ
    อญฺญํ เสปณฺณึ คจฺฉามิ น เม เต รุจฺจเต ผลํ
    ดูก่อน ไม้มะรื่น เจ้าล่อใจเราด้วยอุบายใด
    กวางกุรุงคะ รู้อุบายนั้นแล้ว
    เพราะฉะนั้น เราจะไปหาไม้มะรื่นต้นอื่น
    ผลของเจ้า เราไม่ชอบใจแล้ว

    @@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@

    ธรรมะสวัสดีค่ะ ขอให้ทุกๆท่านเจริญในธรรมยิ่งๆขึนไปค่ะ
     
  10. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,500
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,037
    ขอเชิญท่านสาธุชนผู้ใจดีใจงาม จงอ่าน-ทรงจำ-สาธยาย พระคาถาอุณหิสสวิชัย ดังต่อไปนี้
    อุณหิสสะวิชะยะคาถา
    (สวดจำเริญอายุ)
    อัตถิ อุณะหิสสะ วิชะโย ธัมโม โลเก อะนุตตะโร
    สัพพะสัตตะหิตัตถายะ ตัง ตะวัง คัณหาหิ เทวะเต
    ปะริวัชเช ราชะทัณเฑ อะมะนุสเสหิ ปาวะเก
    พะยัคเฆ นาเค วิเส ภูเต อะกาละมะระเณนะ วา
    สัพพัสะมา มะระณา มุตโต ฐะเปตะวา กาละมาริตัง
    ตัสเสวะ อานุภาเวนะ โหตุ เทโว สุขี สะทา
    สุทธะสีลัง สะมาทายะ ธัมมัง สุจะริตัง จะเร
    ตัสเสวะ อานุภาเวนะ โหตุ เทโว สุขี สะทา
    ลิกขิตัง จินติตัง ปชัง ธาระณัง วาจะนัง คะรุง
    ปะเรสัง เทสะนัง สุตะวา ตัสสะ อายุ ปะวัฑฒะตีติ
    @@@@@@@@@@@@@@@
     
  11. toplus99

    toplus99 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    1,621
    ค่าพลัง:
    +13,004
    น้ำใจแม่ต้อย Supatornประเสริฐนัก ขยันเฟ้นหาสาระธรรมดีๆมานำเสนอ

    แต่ว่า ตัวอักษร..มันเล็กๆน้อยๆ น่อย น้อย น๊อย..น้อยๆ

    อยากอ่านชัดๆ แต่ปวดหัวใจ เอ๊ย ปวดตา

    ...ด้วยรักและเคารพดังเดิม
     
  12. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,500
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,037
    พระพุทธองค์สอนแปรงฟัน

    ทันตกัฏฐสูตร

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย โทษเพราะไม่เคี้ยวไม้สีฟัน ๕ ประการนี้ ๕ ประการเป็นไฉน คือ ตาฟาง ๑ ปากเหม็น ๑ ประสาทที่นำรสอาหารไม่หมดจดดี ๑ เสมหะย่อมหุ้มห่ออาหาร ๑ อาหารย่อมไม่อร่อยแก่เขา ๑ ดูกรภิกษุทั้งหลาย โทษเพราะไม่เคี้ยวไม้สีฟัน ๕ ประการนี้แล ฯ

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย อานิสงส์เพราะเคี้ยวไม้สีฟัน ๕ ประการนี้ ๕ ประการ เป็นไฉน คือ ตาสว่าง ๑ ปากไม่เหม็น ๑ ประสาทที่นำรสอาหารหมดจดดี ๑ เสมหะย่อมไม่หุ้มห่ออาหาร ๑ อาหารย่อมอร่อยแก่เขา ๑ ดูกรภิกษุทั้งหลายอานิสงส์เพราะเคี้ยวไม้สีฟัน ๕ ประการนี้แล ฯ
    @@@@@@@@@@@@@@@@@@@@
    เรื่องไม้ชำระฟัน

    สมัย นั้น ภิกษุทั้งหลายไม่เคี้ยวไม้ชำระฟัน ปากมีกลิ่นเหม็น ภิกษุทั้งหลาย กราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาค ... ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย การไม่เคี้ยวไม้ชำระฟันมีโทษ ๕ ประการนี้ คือ นัยน์ตาไม่แจ่มใส ๑ ปากมีกลิ่นเหม็น ๑ ลิ้นรับรสอาหารไม่บริสุทธิ์ ๑ ดีและเสมหะหุ้มห่อ อาหาร ๑ ไม่ชอบฉันอาหาร ๑ ไม่เคี้ยวไม้ชำระฟันมีโทษ ๕ ประการนี้แล ดูกรภิกษุทั้งหลาย การเคี้ยวไม้ชำระฟันมีอานิสงส์ ๕ ประการนี้ คือ นัยน์ตา แจ่มใส ๑ ปากไม่มีกลิ่นเหม็น ๑ ลิ้นรับรสอาหารบริสุทธิ์ ๑ ดีและเสมหะไม่หุ้มห่ออาหาร ๑ ชอบ ฉันอาหาร ๑ การเคี้ยวไม้ชำระฟัน มีอานิสงส์ ๕ ประการนี้แล เราอนุญาตไม้ชำระฟัน ฯ

    สมัยนั้น พระฉัพพัคคีย์เคี้ยวไม้ชำระฟันยาว และตีสามเณรด้วยไม้ชำฟันเหล่านั้น ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาค ... ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงเคี้ยวไม้ชำระฟันยาว รูปใดเคี้ยว ต้องอาบัติทุกกฏ ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตไม้ชำระฟันยาว ๘ นิ้วเป็นอย่างยิ่ง และไม่พึงตีสามเณรด้วยไม้นั้น รูปใดตีต้องอาบัติทุกกฏ ฯ

    สมัย ต่อมา ภิกษุรูปหนึ่งเคี้ยวไม้ชำระฟันสั้นเกินไป ไม้ชำระฟันหลุดเข้าไปติดในคอ ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาค ... ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงเคี้ยวไม้ชำระฟันสั้นเกินไป รูปใดเคี้ยว ต้องอาบัติทุกกฏ ฯ ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตไม้ชำระฟันขนาด ๔ องคุลีเป็นอย่างต่ำ ฯ

    @@@@@@@@@@@@@@@@

    Supareak Mulpong แสดงกระทู้ - พระพุทธองค์สอนแปรงฟัน • ลานธรรมจักร
    ----------------------------------------------------------
    “ภาราหเว ปญฺจกฺขนฺธา ขันธ์ห้าเป็นภาระหนัก”
    ---------------------------------------------------------
    ไฟกิเลสไหม้อยู่ตลอดเวลา
    “ไฟคือ ราคคฺคินา โทสคฺคินา โมหคฺคินา”
    ราคัคคิ ไฟ คือ ราคะ
    โทคัสคิ ไฟ คือ โทสะ
    โมหัคคิ ไฟ คือ โมหะ
    ----------------------------------------------------------
    อัสฺสามิกตา ปรมา ลาภา
    ความไม่มีสามีเป็นลาภอันประเสริฐ
    สามิกตา ปรมา ทุกฺขา
    การมีสามีเป็นทุกข์อย่างยิ่ง
    ---------------------------------------------------
    ธมฺมกาโม ภวํ โหติ
    ผู้ฝักใฝ่ในธรรมเป็นผู้เจริญ
    ธมฺมเทสฺสิ ปราภโว
    ผู้ชังธรรม เป็นผู้เสื่อม
    นตฺถิ สนฺติ ปรมัง สุขํ
    สุขอื่นยิ่งกว่าความสงบไม่มี.
    -----------------------------------------------

    คุณครูยังไม่มาเลยลงตามชอบใจ ขอให้เจริญในธรรมทุกๆท่านค่ะcatt1
     
  13. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,500
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,037
    ------------------------------------------------------------
    ท่านอาจารย์มาจาก*เมื่อพระอภิญญาท่านว่า เขื่อนป่าสักจะกลายเป็นบางแสน *
    ขอบพระคุณที่ติ ค่ะ ต่อไปจะพยายามเขียนให้เล็กลง (อุส่าห์แวะมาเยี่ยม) อ้าว ไม่เข้าใจว่าตัวมันโตไปหรืออย่างไรตามประสา สว นะ
     
  14. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,500
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,037
    ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 20 คน ( เป็นสมาชิก 12 คน และ บุคคลทั่วไป 8 คน ) [ แนะนำเรื่องเด่น ]
    supatorn, PlaiifarPP, watjojoj, kwansuwee, LalintipMai, Pajjuban, watta chan, Wittayapon+, natthapatpun+, fein, phai-put, sine90
    --------------------------------------------------------------------
    กราบสวัสดีคุณครูเพ็ญและทุกๆ่ท่านค่ะ เดี๋ยวมาค่ะ
     
  15. toplus99

    toplus99 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    1,621
    ค่าพลัง:
    +13,004
    แม่ต้อย..นี่ก็เน๊อะ..ร้ายน๊า

    สาว สว.แห่ง เมืองมดตะนอย USA.

    วันนี้ก็ค่ำวันศุกร์ เอากระปุก.. มาใส่กระเป๋า มีเวลาสบายๆ

    พรุ่งนี้สบายๆ เพราะวันเสาร์..จะเอากระเป๋าไปใส่กระปุก สุขจังเลย

    ครับ ๆ..ขออนุโมทนากุศลจิตทุกกรณี
     
  16. lomdadbaimai

    lomdadbaimai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    217
    ค่าพลัง:
    +1,379
    ย่องตามคุณ toplus99 มา

    สวัสดีคุณพี่ต้อย และสมาชิกบ้านจิตบุญทุกท่านค่ะ
     
  17. ธรรมมณี

    ธรรมมณี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,044
    ค่าพลัง:
    +14,027
    สาธุ สาธุ สาธุ ขออนุโมทนาบุญกับพี่ภูและคู่กรรมใหญ่ทั้งหลายในการทะลุแรงกรรมในครั้งนี้ออกไปได้แล้วด้วยเถิด สาธุ๊ ยินดีด้วยค๊า...:cool::cool:
     
  18. ธรรมมณี

    ธรรมมณี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,044
    ค่าพลัง:
    +14,027
    สวัสดีค่ะ คุณลมแดดใบไม้ ตื่นมาเจอเข้าอีกแล้ว อิๆๆๆ

    ยินดีต้อนรับเข้าสู่บ้านจิดเกาะพระค่ะ ขอเชิญเดินเล่นชมนกชมไม้ในสวนไปพลางๆ ก่อนนะค่ะ
    เดี๋ยวจะไปเรียกเด็กมาเสริมฟ์น้ำให้ค่ะ อิๆๆ:cool::cool:

    ครูเกษ จบ.52({)({)({)
     
  19. Golden Sky

    Golden Sky เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    575
    ค่าพลัง:
    +8,976
    จิตบุญที่100 ขอขอบพระคุณ ท่านธรรมภูมิ ที่ได้มอบภาพที่เป็นสิริมงคลให้แก่เรา เราขอน้อมรับและขอให้ท่านจงเจริญๆในภูมิธรรมของท่านยิ่งๆขื้นด้วยเืทอญ สาธุ สาธุ ๆ
     
  20. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    พี่ภูขอโมทนาบุญทั้งหมดทั้งปวงที่เธอได้กระทำไปนั้น
    ขอให้กลับคืนไปหาเธอแสนเท่า ล้านเท่านะครับ
    ขอให้เธอมีแต่ความสุข ความเจริญ ความรุ่งเรือง และร่ำรวยทั้งทางโลกและทางธรรมตลอดไปด้วยเทอญ
    สาธุๆๆ
     

แชร์หน้านี้

Loading...