<<<<<<<______คนส่องพระ ______>>>>>>>

ในห้อง 'ประสบการณ์ เรื่องเล่า' ตั้งกระทู้โดย อั๋นวัดสาม, 22 ตุลาคม 2012.

  1. nitikoon kongkhaw

    nitikoon kongkhaw เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,314
    ค่าพลัง:
    +53,508
    [​IMG]

    วิญญาณมีจริง

    ผีตายโหงอยากมีเมียมนุษย์

    โดย มนต์ พันลาย

    จากหนังสือ “วิญญาณอาถรรพณ์”


    เรื่องที่จะนำมาพรรณนาดังต่อไปนี้ เป็นเรื่องของวิญญาณที่เข้ามาข้องเกี่ยวกับ หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ วัดสะแก ตำบลธนู อำเภออุทัย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา แม้เรื่องนี้จะมิใช่ประสบการณ์ขณะท่านเดินธุดงค์ แต่ก็เป็นเรื่องวิญญาณของบุคคลผู้หนึ่งซึ่งตายไปแล้ว ทว่ายังวนเวียนคาบเกี่ยวอยู่ระหว่างโลกมนุษย์ และโลกวิญญาณด้วยอำนาจแห่งโมหะ คือ ยังหลงอยู่ในกิเลสตัณหา ไม่รู้ว่าตัวเองได้ตายไปแล้ว

    กล่าวคือ มีครอบครัวหนึ่งอยู่ที่อำเภอนครหลวง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ครอบครัวนี้อยู่กันมาด้วยความปกติสุข กระทั่งวันหนึ่งลูกสาวคนหนึ่งไปธุระนอกบ้าน พอกลับมาถึงบ้านก็ล้มฟุบลงไปเหมือนคนหมดสติกระทันหัน พ่อแม่ญาติพี่น้องพากันตระหนกตกใจ รีบเข้าไปปฐมพยาบาลเป็นโกลาหล

    ครั้นลูกสาวฟื้นคืนสติ กลับมีลักษณะท่าทางผิดแปลกไปจากเดิมดุจคนละคน แววตาขุ่นขวางน่ากลัว เวลาเอ่ยปากพูดออกมา น้ำเสียงก็เปลี่ยนเป็นแหบห้าว ประหนึ่งเป็นเสียงผู้ชาย รวมทั้งถ้อยคำวาจาดุจเป็นผู้อื่นพูด มีการเรียกเอา อาหารสด อาหารคาว มากินอย่างมูมมาม คล้ายกับอดอยาก หิวโหยมาช้านาน

    พ่อแม่เห็นลูกสาวมีกิริยาอาการผันแปรไปอย่างกะทันหัน อีกทั้งยังพูดกันไม่รู้ความดุจเสียสติ ก็รู้แน่ว่าคงมีวิญญาณร้ายมาเข้าสิง จึงออกไปตระเวนหาหมอผีผู้มีวิทยาอาคมขลังมาขับไล่วิญญาณที่เข้าสิงให้ออกไป เมื่อหมอผีมาถึงบ้านเริ่มทำพิธีไล่ผีด้วยกฤตยาคม ผีที่มาเข้าสิงลูกสาวก็รีบถอนถอยหนีออกไปง่าย ๆ ทำให้พ่อแม่ญาติพี่น้องโล่งอกโล่งใจ คิดว่าเหตุร้ายคงจะยุติลงเพียงเท่านี้

    ที่ไหนได้อีกไม่กี่วันต่อมา วิญญาณร้าย หรือผีตนเดิมก็มาเข้าสิงลูกสาวอีก คราวนี้ถึงกับประกาศว่า มันคือวิญญาณของชายคนหนึ่ง ซึ่งถูกยิงตายบริเวณหลังวัดใกล้ ๆ บ้าน เมื่อลูกสาวเจ้าของบ้านรายนี้เดินผ่านไป มันก็เกิดความพอใจรักใคร่ ต้องการได้ไปเป็นเมีย และตั้งใจจะเอาไปเป็นเมียให้ได้

    คราวนี้พ่อแม่ญาติพี่น้องของหญิงสาวก็ยิ่งตื่นตระหนกตกใจ เพราะถ้าผีตายโหงที่มาเข้าสิงถึงขั้นจะเอาลูกสาวตนไปเป็นเมียเช่นนี้ ก็เท่ากับวิญญาณร้ายมีเจตนาจะกระทำให้ถึงตายแน่ ๆ ผู้เป็นพ่อแม่พยายามพูดจาอ้อนวอนกับวิญญาณผีตายโหงที่สิงร่างลูกสาว ให้ละเว้นเจตนาซึ่งเป็นทุจริตคิดร้ายนี้เสีย แต่วิญญาณของผีตายโหงไม่สนใจใยดี ยังคงยืนกรานตามความประสงค์ของมันไม่เปลี่ยนแปลงพ่อแม่ของหญิงสาวก็ต้อง เที่ยวตระเวณหาหมอผี ผู้มีไสยเวทอาคมขลังมาขับไล่วิญญาณร้ายให้ออกไปจากร่างของลูกสาวทั่วทุกทิศ แต่ไม่มีผู้ใดกระทำได้สำเร็จเด็ดขาดแม้แต่รายเดียว

    หมอผีบางคนที่มีวิชาอาคมยังไม่แก่กล้า วิญญาณผีตายโหงยิ่งไม่ยำเกรงแม้แต่น้อย จะเสกคาถาสาดน้ำมนต์เข้าใส่อย่างไรมันก็วางเฉย จนฝ่ายหมอผีต้องยอมพ่ายแพ้ไปเอง ถ้าหมอผีคนใดมีพลังวิชาอาคมเข้มขลัง วิญญาณร้ายก็จะรีบถอนออกจากร่างหญิงสาว ที่มันปรารถนาจะได้เป็นเมียไปง่าย ๆ ทำทีคล้ายกับกลัวเกรงอำนาจเหลือหลาย แต่พอหายไปสักพัก มันก็จะย้อนกลับมาสิงใหม่ ที่น่าประหลาดก็คือ แม้หญิงสาวจะมีพระเครื่องรางของขลัง ด้ายสายสิญจน์ลงอาคม ติดตัวเต็มคอเต็มแขน เพื่อคุ้มครองป้องกันอย่างไร วิญญาณผีร้ายก็ยังมาเข้าสิงจนได้

    น่าเวทนาหญิงสาวเคราะห์ร้ายรายนี้ ที่วิญญาณผีตายโหงจับจ้องหมายปองชนิดไม่ยอมเลิกรา ทำให้เธอแทบจะเสียสติด้วยความหวาดกลัว เพราะไม่รู้ว่ามันจะมาเข้าสิงอีกเมื่อไหร่ เวลาที่ถูกผีสิงหญิงสาวจะมีอาการเหมือนคนหมดสติ ไม่รู้สึกตัวว่าได้กระทำอะไรลงไปบ้าง ตราบกระทั่ววิญญาณผีตายโหงออกไปเมื่อใด เมื่อนั้นสติสัมปชัญญะจึงจะกลับคืนมาเป็นปกติเหมือนเดิม

    เป็นเวลานานถึง ๓ ปีเต็ม ๆ ที่หญิงสาวถูกวิญญาณผีร้ายเข้าสิงไม่ขาดระยะ สภาพของเธอผู้นี้ไม่ผิดกับคนตกเป็นทาสของผีตายโหง ซึ่งจะมารังควานเป็นพัก ๆ ชนิดไม่มีทางหลบหนีไปไหน เพราะไม่ว่าจะแอบซ่อนอยู่ที่ใด วิญญาณร้ายก็จะติดตามไปเข้าสิงจนได้ กระทั่งหญิงสาวหวาดผวาไม่ไม่เป็นอันกินอันนอน ร่างกายผ่ายผอมทรุดลงอย่างน่าใจหาย และภาวะน่าพรั่นพรึงดังกล่าว ได้กดดันบีบคั้นครอบครัวนี้ให้เผชิญกับความทุกข์ทรมานใจอย่างสาหัส

    ผู้เป็นพ่อโกรธแค้นวิญญาณผีตายโหง ที่ตามรังควานลูกสาวไม่ยอมเลิก ถึงกับระเบิดโทสะออกมา ขู่ว่าจะยิงผีร้ายให้แหลกกระจายคามือ แทนที่วิญญาณซึ่งมาเข้าสิงลูกสาวจะหวาดหวั่นพรั่นพรึง มันกลับเยาะเย้ยท้าทายให้ยิงได้เลย เพราะถ้ายิงมันก็เท่ากับยิงลูกสาวตัวเอง จะกล้าทำล่ะหรือ

    การที่วิญญาณผีตายโหงมาเข้าสิงหญิงสาวอย่างต่อเนื่อง เป็นเวลายาวนานเช่นนี้ โดยไม่มีอำนาจสิ่งศักดิ์สิทธิ์ใด ๆ มาขัดขวางมันได้ อาจจะเป็นเพราะวิบากที่เธอผู้นี้ กับวิญญาณของชายผู้ถูกยิงตายมีกรรมพัวพันต่อกัน และถึงวาระจะต้องชดใช้ จึงไม่สามารถสกัดกั้นหรือหยุดยั้งทุกกรณี และหากไม่ได้รับการช่วยเหลือให้ผ่อนคลายหลุดพ้นจากวิบากนี้ ก็เชื่อแน่ได้ว่าหญิงสาวคงต้องถึงแก่ชีวิตอย่างแน่นอน

    หรือเหตุที่เกิดนี้ อาจเนื่องจากวิญญาณผีตายโหงเพราะถูกผู้อื่นยิงตาย สิ้นชีวิตเพราะกรรมมาตัดรอนก่อนถึงอายุขัย วิญญาณจึงกลายเป็นผีเร่ร่อนไม่รู้จะไปทางไหน ประกอบกับจิตยังหลงมัวเมาอยู่ในกามตัณหา มีความอยากในกิเลสราคะรุนแรง จนไม่อาจแยกผิดชอบชั่วดีได้ ไม่รู้ว่าตนกับหญิงสาวอยู่กันคนละภพภูมิ มีอัตภาพที่แตกต่างกัน ครั้นมีความปรารถนาในหญิงสาวที่ตนพึงพอใจ จึงกระทำทุกวิถีทางจะครอบครองเป็นของตน แม้กระทั่งพยายามเบียดเบียนจะเอาชีวิตหญิงสาวให้ได้ แต่วาสนากรรมดีของหญิงสาวผู้นี้ยังมีอยู่ วิญญาณผีตายโหงจึงทำลายล้างชีวิตเธอไม่ได้ และคล้ายดั่งเป็นวาระที่หญิงสาวจะหลุดพ้นจากเงื้อมเงาของวิญญาณร้าย ได้มีคนรู้จักกับพ่อของหญิงสาวมาบอกว่า ควรไปของความเมตตาจาก หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ วัดสะแก เถิด เพราะท่านเป็นพระเถระที่มีจิตตานุภาพสูงมาก อาจจะช่วยขจัดปัดเป่าความทุกข์ทรมาน ที่ยำยีบีฑาลูกสาวจากวิญญาณร้ายได้ ผู้เป็นพ่อจึงตกลงใจเดินทางไปวัดสะแกทันที

    วันที่ผู้เป็นพ่อหญิงสาวซึ่งถูกวิญญาณผีตายโหงเข้าสิงไปถึง วัดสะแก หลวงปู่ดู่กำลังพูดคุยอยู่กับศิษย์คนหนึ่งของท่าน พ่อหญิงสาวผู้เคราะห์ร้ายจึงเข้าไปกราบนมัสการท่าน หลวงปู่ก็ทักทายปราศรัยถามไปว่าอยู่ที่ไหน มีเรื่องอะไรถึงได้มาที่นี่ ชายผู้แบกทุกข์เรื่องของลูกสาวก็เล่าเนื้อความถวาย ที่มีวิญญาณผีตายโหงตามรังควานลูกสาวให้ท่านฟังโดยละเอียด ลงท้ายด้วยการขอความเมตตาจากท่านช่วยกรุณาเปลื้องทุกข์ให้ด้วยเถิด

    หลวงปู่ดู่นั่งรับฟังเงียบ ๆ เมื่อทราบจุดประสงค์ของผู้เป็นพ่อหญิงสาวที่ถูกผีสิง ท่านก็หันไปบอกลูกศิษย์ซึ่งนั่งอยู่ใกล้ ๆ ว่า “แกช่วยเขาที เอาบุญ” ศิษย์ผู้นี้เป็นผู้ปฏิบัติธรรม กระทำความเพียรทางจิตอยู่กับหลวงปู่มานานพอสมควร จนเป็นที่ไว้วางใจของหลวงปู่ ก็ประนมมือรับคำ พ่อหญิงสาวรีบนมัสการเรียนถามหลวงปู่ว่า จะให้นำตัวลูกสาวมาที่วัดนี้หรือไม่

    หลวงปู่ตอบสั้น ๆ ว่า “ไม่ต้อง”

    จากนั้น หลวงปู่และศิษย์ของท่าน ก็นั่งหลับตาเจริญสมาธิสงบจิตพร้อม ๆ กัน ณ ที่ตรงนั้น มิได้เคลื่อนย้ายไปไหน หรือให้จัดเครื่องสักการะบัดพลีมาประกอบพิธีอย่างใดเลย แม้แต่ดอกไม้ธูปเทียนก็ไม่มีแม้แต่สิ่งเดียว พ่อของหญิงสาวผู้เคราะห์ร้ายแอบคิดลังเลสงสัยว่า หลวงปู่ดู่จะช่วยลูกสาวให้พ้นจากอำนาจผีร้ายได้อย่างไร เพราะไม่เห็นมีพิธีกรรมอันเข้มขลัง ดังเช่นที่เคยเห็นพวกหมอผีมิวิชาอาคมกระทำกันมา

    เวลาผ่านไปไม่ถึงอึดใจเสียด้วยซ้ำ หลวงปู่ดู่ก็พูดขึ้นเพื่อบอกกับศิษย์ของท่านว่า “เรียกผีมารับบุญหลวงปู่ทวด รับบุญข้า ให้โมทนาซะ จะได้ไปดี เป็นผีก็ไปเอาเมียผี ไม่ใช่เอาเมียคน รับบุญไปจะได้เมียนางฟ้าเยอะแยะ ดูด้วยว่าผีรับแล้วหรือยัง”

    ศิษย์ของท่านนั่งลงสงบนิ่งอยู่ในสมาธิ คงจะติดต่อกับหลวงปู่ดู่โดยจิต จากนั้นหลวงปู่ก็กล่าวขึ้นอีก “รับแล้วใช่ไหม.....ไปเกิดซะ.....เอาละหมดเรื่อง”

    พ่อของหญิงสาวที่ถูกวิญญาณผีตายโหงเข้าสิงเป็นพัก ๆ นานถึง ๓ ปี แม้จะเคารพหลวงปู่ดู่เพียงไร ก็ยังไม่วายลังเลสงสัยว่า บารมีธรรมของหลวงปู่จะช่วยลูกสาวให้พ้นจากอำนาจผีร้ายได้อย่างไร เพราะไม่เห็นท่านประกอบพิธีที่ชวนให้เกิดความขลังอย่างใดเลย อีกทั้งลูกสาวก็อยู่ไกลถึงอำเภอนครหลวง ซึ่งท่านไม่รู้ว่าบ้านเรือนตั้งอยู่ที่ไหน กิริยาอาการที่วิญญาณผีตายโหงเข้าสิงลูกสาวเป็นอย่างไร และท่านไม่รู้เสียด้วยซ้ำว่า เป็นลูกสาวคนไหนของตนถูกผีสิง เมื่อเป็นเช่นนี้ ผีตายโหงมันจะหวาดกลัวหวั่นระย่อหลวงปู่ดู่ถึงกับยอมผละหนีไปจากลูกสาวง่าย ๆ ล่ะหรือ

    เมื่อหลวงปู่ดู่และศิษย์ถอนจิตจากสมาธิ ผ่อนคลายอิริยาบถแล้ว ศิษย์ของท่านก็บอกกับชายคนนั้นว่า “ตอนนี้เขาไปเกิดแล้ว ผีเป็นเหตุ ลุงกลับบ้านไปลองดู ถ้าลูกสาวไม่เป็นอะไร แสดงว่าหาย”

    ผู้เป็นพ่อของหญิงสาวเคราะห์ร้าย ก้มกราบหลวงปู่ดู่ด้วยความปีติยินดี แล้วนมัสการกราบลากลับไปบ้านตนที่อำเภอนครหลวง เวลาผ่านไปเกือบเดือน ชายคนเดิมก็เดินทางมาที่วัดสะแกอีก เข้าไปกราบนมัสการหลวงปู่ดู่ด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส แล้วรายงานให้หลวงปู่ทราบว่า

    “ลูกสาวหายดีแล้วครับ ตั้งแต่วันนั้น ไม่มีอาการผีสิงอีกเลย เพราะหลวงปู่เมตตาไว้ครับ”

    บารมีธรรมของ หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ เรื่องวิญญาณผีตายโหงเข้าสิงหญิงสาวอยู่อำเภอนครหลวงที่นำมาเสนอไว้ ณ ที่นี้ เป็นการแสดงให้เห็นถึงจิตตานุภาพเป็นอัศจรรย์ของผู้บำเพ็ญธรรมระดับสูง และบ่งชี้ให้รับรู้อีกประการหนึ่งนั่นคือ วิญญาณของผู้ที่ตายไปในลักษณะไม่ปกติ ตายเพราะมีกรรมมาตัดรอนก่อนถึงอายุขัยวันตายของตน ย่อมไปผุดเกิดในภพภูมิอื่นต่อไปไม่ได้ จึงต้องวนเวียนทุกข์ทรมานอยู่ในมิติของวิญญาณที่คาบเกี่ยวกับโลกมนุษย์ อีกทั้งยังมืดมัวด้วยกิเลสตัณหา หลงอยู่ในโมหะ อวิชชา ไม่ยอมรับรู้ตามความเป็นจริงว่า ตนเองตายไปแล้ว มีอัตภาพผิดแผกแตกต่างจากมนุษย์ ไม่อาจสามารถสัมพันธ์ข้องเกี่ยวกับมนุษย์ได้ทุกกรณี เหตุนี้ เมื่อมีกิเลสกามฟูขึ้นมากับหญิงสาวที่ตนหมายปอง จึงได้ตามรังควาน สร้างทุกข์ให้แก่ผู้อื่นนานถึง ๓ ปี

    หากมิใช่บารมีธรรมของหลวงปู่ดู่ ที่แผ่เมตตาให้วิญญาณของผีตายโหง วิญญาณนี้คงจะไม่พ้นจากสภาวะที่จมอยู่ในห้วงกิเลสซึ่งรัดรึงเอาไว้ ส่วนที่จะไปผุดเกิดในภพภูมิใดต่อไป ก็คงเป็นไปตามยถากรรมของตน

     
  2. nitikoon kongkhaw

    nitikoon kongkhaw เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,314
    ค่าพลัง:
    +53,508
    [​IMG]

    หลวงปู่ดู่ กล่าวถึง แดนพระนิพพาน
    แหล่งที่มา : หนังสือร่มเงาพุทธฉัตร พระอาจารย์ศุภรัตน์เป็นผู้เขียน


    หลวงปู่ดุลย์ อตุโล ท่านเป็นพระเถระ ลูกศิษย์พระอาจารย์มั่น ภูริทัตตะเถระ พระปรมาจารย์สายกรรมฐานของภาคอีสาน ผู้เขียนได้รับฟังข่าวคราวจากทางหนังสือพระเครื่อง เกี่ยวกับรูปถ่ายที่ช่างภาพถ่ายรูปท่านในท่านั่งห้อยขา แต่พอล้างฟิลม์ออกมากลับมีรูปซ้อนเป็นภาพนั่งสมาธิ โดยที่ท่านไม่ได้เปลี่ยนอริยาบท ซึ่งเขาเรียกว่าเป็นกายทิพย์ที่ท่านแสดง ขณะนั้นผู้เขียนทำงานเป็นพนักงานสินเชื่อ หัวหน้าแม่สอด-แม่ระมาด จังหวัดตากอยากไปนมัสการท่าน ความตั้งใจตอนนั้นเพียงเพื่อไปขอวัตถุมงคลและมีความเชื่อลึกๆ ในใจว่าท่านเป็นพระอรหันต์ เมื่อหยุดพักร้อนจึงเดินทางไปหาเพื่อนซึ่งจบมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ รุ่นเดียวกัน ซึ่งรับราชการเป็นอาจารย์ที่วิทยาเขตเกษตรสุรินทร์ พอถึงสุรินทร์เรียบร้อยเพื่อนก็ถามว่าทำไมอยากมากราบหลวงปู่ ได้ตอบเพื่อนว่า”เขาว่าท่านเป็นพระอรหันต์เลยอยากมาขอเหรียญทีท่านปลุกเสก” โดยใจตอนนั้นไม่ปรารถนาธรรมอะไรจากท่าน เพราะอยู่ในช่วง เป็นนักล่าวัตถุมงคล


    พอผู้เขียนไปถึงวัดหลวงปู่กำลังตื่นจาก จำวัดพอดี เพราะขณะนั้นท่านอายุมากแล้วจำเป็นต้องพักผ่อน เมื่อทางพระอุปัฎฐาก อนุญาตให้เข้าพบผู้เขียน ได้เข้าไปกราบท่านและได้ถวายปัจจัยแล้วนั่งเงียบอยู่ ไม่ทราบจะเริ่มต้นอย่างไร เสียงหลวงปู่พูดขึ้นว่า “เณรไปหยิบเหรียญมาให้ข้าที เขาอยากได้” ผู้เขียนดีใจมากรับเหรียญมาเก็บไว้แล้วกราบลาท่านกลับ


    ภายหลังได้อ่านหนังสือหลวงปู่ฝากไว้ ทำให้นึกเสียใจว่า ทำไมเราไม่ไปขอฟังธรรมจากท่านในตอนนั้นเพราะเนื้อธรรมที่แสดงนั้นเป็นธรรม ล้วนๆไม่ว่าทั้งทางคดีโลกและคดีธรรม โดยเฉพาะเรื่องจิตคือพุทธะ และประโยคที่กินใจมากคือ “คนเราเป็นทุกข์เพราะความคิด”


    มีคำพูดของหลวงปู่ที่กล่าวถึงความว่าง หรือสูญญตาว่า เป็นสมบัติของจิตเรา หรือที่เรียกว่าจิตเดิมแท้ มีสภาพบริสุทธิ์อย่างยิ่ง ถ้าเราทำให้ปราศจากความปรุงแต่ง จึงจะถึงสภาวะนี้ได้ แต่หลวงปู่ไม่ได้พูดถึงแดนนิพพานเหมือนกับสาย มโนมยิทธิของหลวงพ่อฤาษีลิงดำ และหลวงพ่อดู่ พรหมปัญโญ สิ่งเหล่านี้อยู่ในความกังขาข้องใจของผู้เขียนมาก หลวงพ่อดู่ท่านคงรู้ความคิด ท่านจึงพูดว่า “นิพพานจริงๆ แล้วเป็นความว่าง ไม่มีอะไรเลย” ผู้เขียนจึงเรียนถามว่าแล้ววิมานแก้วพระพุทธเจ้าที่เราขึ้นไปกราบกัน “ไม่ใช่หรือ” ท่านตอบว่า”ใช่” เป็นพุทธนิมิตเป็นเครื่องรองรับผู้ปฏิบัติ ทำให้นึกถึงในประวัติของพระอาจารย์มั่น ตอนที่สำเร็จเป็นพระอรหันต์ มีพระพุทธเจ้าเสด็จมาแสดงนิมิตให้เห็นพระอาจารย์มั่นเกิดความสงสัย จนกระทั่งพระพุทธเจ้าท่านตรัสขึ้น “จนถึงบัดนี้เธอยังสงสัยอะไรอีกหรือ ตถาคตมาในรูปธรรม ไม่ได้มาในนามธรรม” นอกจากนี้พระพุทธเจ้ายังได้แสดงนิมิต ให้พระอาจารย์มั่นดู คือในสมาคม เณรน้อยอรหันต์มาถึงก่อนก็นั่งหัวแถว พระผู้ใหญ่,พระพุทธเจ้าเสด็จมาทีหลังก็นั่งตามลำดับมา ซึ่งพระอาจารย์มั่นก็เข้าใจว่า “ความบริสุทธิ์ของพระองค์เสมือน ไม่มีใครมากน้อยไปกว่ากัน “แสดงถึงว่าเมื่อความเป็นพระอรหันต์แล้วถึงวิมุติธรรมคือความเสมอภาคของธรรม แต่ถ้าเป็นพุทธประเพณี นิมิตนั้นก็แสดงอีกโดยพระพุทธเจ้านั่งเป็นประธานตามด้วยพระอัครสาวกและพระ ผู้ใหญ่ตามลำดับอาวุโส


    วันหนึ่งหลวงพ่อ(ดู่)ได้เล่าถึงการปฏิบัติ โดยท่านเป็นผู้บอกว่า “เมื่อ ไปถึงวิมานแก้วได้แล้ว เป็นวิมานแก้วของพระพุทธเจ้าก็เหมือนกุฏิของพระพุทธเจ้า นอกจากนี้ก็มีวิมานพระธรรม อยู่ไปทางขวามือของพระพุทธเจ้ามีตู้พระไตรปิฎกอยู่หลายตู้ เขียนเป็นภาษาบาลีอักษรขอม ถ้าอยากรู้แปลว่าอะไรให้ถามหลวงปู่ทวด ซ้ายมือเป็นวิมานของพระสงฆ์ มีพระสงฆ์อยู่พระพุทธเจ้าเป็นประธาน แกเดินจิตให้ดีจากวิมานแก้วจะไปถึงพระพุทธรูป 4 องค์ของกัปป์นี้ มีลักษณะหน้าตักกว้างไม่เท่ากันตามบารมี องค์แรกเป็นของพระกกุสันโธมีหน้าตักกว้าง 20 วา องค์ที่สองพระโกนาคม หน้าตัก 15 วา องค์ที่สาม ของพระกัสสปหน้าตัก 10 วา องค์ที่สี่ หน้าตัก 5 วา ถ้าเป็นพระศรีอริย์องค์ที่ห้า ยังไม่ปรากฎถ้าอธิษฐาน ขอดูจะพบว่ามีหน้าตักเท่ากับองค์แรก เพราะท่านสร้างบารมีมาถึง 16 อสงไขยกับแสนมหากัปป์ ทำจิตให้ดี เดินจิตให้ถึงที่หลังพระทั้ง สี่องค์ มีที่เวิ้งว้างไม่มีประมาณนั้นแหละคือ แดนพระนิพพานจริงๆ ไม่มีอะไรเลยเป็นสภาพของความว่าง แต่ไม่ใช่สูญนะแก”


    ผู้เขียนถึงบางอ้อในคำสอนของท่าน ซึ่งสุดท้ายก็มาอยู่ในแบบเดียวกันตรงกับที่หลวงปู่ดุลย์ พูดไว้ไม่มีผิดเพี้ยน แต่หลวงพ่อท่านสอนแบบพระโพธิสัตว์ที่บุญญาธิการเต็มเปี่ยมแล้ว สาธุ สาธุ สาธุ
     
  3. nitikoon kongkhaw

    nitikoon kongkhaw เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,314
    ค่าพลัง:
    +53,508
    [​IMG]

    ของดีไม่รู้จักเอา


    พอดีวันนี้ผมได้มีโอกาสไปคุยกับอาจารย์สมัยผมเรียนมัธยม ซึ่งอาจารย์เคยมีโอกาสไปกราบหลวงปู่ดู่สมัยที่ท่านยังมีชีวิตอยู่หลายครั้ง ผมก็เลยถามอาจารย์ว่าสมัยที่อาจารย์ไปหาหลวงปู่นั้น หลวงปู่่ท่านเป็นยังไงบ้าง อาจารย์เลยเล่าให้ฟังคร่าวๆว่า

    สมัยก่อนไปหาหลวงปู่สีห์ที่วัดสะแกก่อน เคยเดินผ่านกุฏิหลวงปู่ดู่หลายครั้ง ก็เห็นคนมากราบท่านหลายคนแต่ก็ไม่ได้สนใจมากนัก ได้แค่ยืนไหว้ท่าน แล้วก็เดินเลยไปกราบหลวงปู่สีห์ ต่อมาพอหลวงปู่สีห์มรณภาพจึงได้มากราบหลวงปู่ดู่
    ไปหาท่าน ก็ไปเช่าพระ มาให้ท่านประสิทธิให้ (อาจารย์เป็นคนชอบสะสมพระเครื่องมาก) มีอยู่ครั้งนึง ไปกราบท่าน แล้วให้หลวงปู่ดู่ประสิทธิพระให้ พอท่านหลับตาประสิทธิพระได้สักพัก กุฏิก็สั่นทั้งกุฏิ ผมยังหันไปมองหน้าเพื่อนที่มาด้วยกัน เพื่อนก็รู้สึกว่ากุฏิสั่นเหมือนกัน ก็เลยช่วยกันมองหาว่า มีรถบรรทุกวิ่งผ่านมาไม๊ มีใครเดินไปมาแถวนั้นรึเปล่า... ก็ปรากฏว่าไม่มีเลย! มีแต่ผมกับเพื่อน แล้วก็หลวงปู่นั่งกันอยู่แค่นั้น... นั่นแหละ ที่ผมได้เจอปาฏิหาริย์ของหลวงปู่แบบจะจะเลย คิดดูสิ เสกพระที กุฏิสั่นทั้งหลังเลย
    ก่อนกลับ ผมหันไปเห็นผ้าประจำตัวของหลวงปู่ (ถ้าไปดูรูปหลวงปู่หลายๆรูปจะเห็นผ้าเหลืองๆเก่าๆผืนหนึ่งที่หลวงปู่จะเอาไว้ใช้เช็ดนั่นเช็ดนี่ติดตัวท่านอยู่เสมอ) ขนาดเสกพระยังสั่นไปทั้งกุฏิ ผมก็เลยขอท่านฉีกแบ่งมาบูชาเป็นสิริมงคล ท่านก็เลยบอกว่า "มาเอาอะไรกับของอย่างนี้ ของดีๆ(ธรรมะ)ไม่รู้จักเอา" แต่ถึงท่านจะบอกอย่างนั้น แต่ท่านก็เมตตาให้ผมฉีกเอาผ้าประจำตัวของท่านมาบูชาจนได้ล่ะนะ

    ก็ลองอ่านแล้วพิจารณากันดูนะครับ สำหรับคนทั่วๆไป แค่เสกพระจนดิ้นได้ก็ว่าเป็นของดีสุดยอดแล้ว นี่หลวงปู่ท่านเสกจนสั่นทั้งกุฏิ แต่ท่านก็ยังไม่ถือว่านั่นเป็นของดีสุดยอด ท่านยังคงเน้นในพระธรรมคำสอน การรักษาศีล สวดมนต์ไหว้พระ เจริญภาวนา ว่าเป็นของดีสูงสุดเสมอ
    "ห้อยพระไว้ในคอ แล้วอย่าลืมแขวนธรรมะไว้ในใจด้วยนะครับ"
     
  4. nitikoon kongkhaw

    nitikoon kongkhaw เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,314
    ค่าพลัง:
    +53,508
    [​IMG]

    เกินพอดี
    ที่มา : หนังสือกายสิทธิ์

    ทางสายกลางหรือมัชฌิมาปฏิปทา คือ ความพอดี ถ้ามากเกินหรือน้อยเกินไปจะมีผลต่อจิตใจ ผู้เขียนเคยเรียนถามหลวงพ่อเกี่ยวกับคนที่เสียจริต กรรมอะไรที่ทำให้ต้องเป็นเช่นนั้น หลวงพ่อท่านตอบแบบปัจจุบันกรรม คือ กรรมในชาตินี้ว่า "ผู้ที่เสียใจสุดขีด หรือดีใจสุดขีด จะทำให้เป็นบ้าได้"

    นอกจากนี้ หลวงพ่อยังได้กล่าวถึง คนที่อารมณ์ของตนไม่ปกติ ท่านบอกว่า เป็นโรคลมบาดจิต บาดทะยักเกิดขึ้นกับร่างกาย บาดจิตเกิดขึ้นกับจิตใจ มีผลถึงประสาท ดังนั้น การรักษาอารมณ์ของคนจึงมีความจำเป็น บุคคลบางประเภทเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายไม่แน่นอน หรือที่เรียกว่า "ลมขึ้นลมลง" เนื่องจากไม่ได้มีการฝึกจิตหรือฝึกสติให้มั่นคง การชำระแต่เพียงร่างกาย ถ้าไม่ได้ชำระจิตใจเสียบ้าง ในที่สุดจะเกิดการหมักหมมของอารมณ์ เช่นเดียวกับผลไม้ที่เกิดการหมักหมมกลายเป็นเหล้า ทำให้เกิดการมัวเมาหาทิศทางไม่เจอ จิตใจเต็มไปด้วยอธรรม มีการแก่งแย่งชิงดี ริษยา อาฆาตไปต่างๆ นานา เมื่อสิ่งแวดล้อมเป็นพิษ จิตก็เกิดการล้มละลายได้ ลำพังความรู้ทางโลกอย่างเดียวนั้น ไม่สามารถนำมาปฏิรูปจิตได้

    มีครั้งหนึ่งหลวงพ่อท่านอ่านวิชาการทางโลก เมื่อเจ้าของหนังสือได้เรียนถามว่า "หลวงพ่ออ่านเรื่องอะไร"

    หลวงพ่อ "ข้าอ่านไปอย่างนั้นแหละ ข้าถามหลวงปู่ทวดว่า อ่านแล้วจะได้อะไร ท่านตอบข้าว่า อ่านยังไงก็ไม่พ้นทุกข์ ที่ท่านทำอยู่นั้นคือ ทางพ้นทุกข์ นั่นคือการปฏิบัตินั่นเอง"


    พระพุทธองค์ทรงหยิบใบไม้ขึ้นมาหนึ่งกำมือแล้วตรัสถามพระภิกษุว่า

    พระพุทธองค์ "ปริมาณของใบไม้ในมือกับในป่า อันไหนมากกว่ากัน"
    พระภิกษุ "ในป่ามีมากกว่ากันจนประมาณไม่ได้"
    พระพุทธองค์ "ดูกรภิกษุทั้งหลาย ความรู้ที่ตถาคตนำมาสอนพวกเธอก็เช่นเดียวกัน เพราะความรู้มีมากมาย แต่ที่ให้พ้นทุกข์ คือสิ่งที่นำมาสอนพวกเธอเท่านั้น"
     
  5. nitikoon kongkhaw

    nitikoon kongkhaw เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,314
    ค่าพลัง:
    +53,508
    [​IMG]

    คำสอนหลวงปู่ดู่...

    คนเราเกิดมาไม่เห็นมีอะไรดี มีดีอยู่อย่างเดียว คือ สวดมนต์ไหว้พระปฏิบัติภาวนาคือ มองทุกสิ่งทุกอย่างในโลกเป็นของชั่วคราว มีแต่ปัญหามีแต่ทุกข์ แล้วก็เสื่อม พังสลายไปในที่สุด
    ดูก่อนท่านผู้เห็นภัยในวัฏฏสงสาร(การเวียนว่ายตายเกิด) ทั้งหลาย ถ้าท่านต้องการพ้นภัยจากการเกิดแก่เจ็บตาย ท่านควรมีคุณธรรม 6 ประการนี้ไว้เป็นประจำจิตประจำใจ ทุกท่านย่อมจะได้บรรลุมรรคผลนิพพาน ถึงความสุขใจอย่างยอดเยี่ยม
    คุณ 6 ประการนั้นคือ
    1. ข่มจิตในเวลาที่ควรข่ม
    2. ประคับประคองจิตในยามที่ควรประคับประคอง
    3. ทำจิตให้ร่าเริงในยามที่ควรร่าเริง
    4. ทำจิตวางเฉยในยามที่ควรวางเฉย
    5. มีจิตน้อมไปในอริยมรรค อริยผลอันประณีตสูงสุด
    6. มีจิตตั้งมั่นในพระนิพพานเป็นจุดหมายปลายทางของชีวิตผู้ปฏิบัติที่มีความสามารถฉลาด
    ย่อมจะต้องศึกษาจิตใจและอารมณ์ของตนให้เข้าใจ และรู้จักวิธีกำหนดปล่อยวางหรือควบคุมจิตใจและอารมณ์ให้ได้ เปรียบเสมือนเวลาที่เราขับรถยนต์ จะต้องศึกษาให้เข้าถึงวิธีการขับขี่ที่ปลอดภัย บางครั้งควรเร่ง บางคราวควรผ่อน บางทีก็ต้องหยุดเร่งในเวลาที่ควรเร่ง ผ่อนในเวลาที่ควรผ่อน หยุดในเวลาที่ควรหยุด ก็จะสามารถถึงที่หมายได้อย่างปลอดภัย
    ข้อสำคัญที่สุดของการปฏิบัติคือ ต้องไม่ประมาท ต้องปฏิบัติให้เต็มที่ตั้งแต่วันนี้ ใครจะรู้ว่าความตายจะมาถึงเราเมื่อไร ถ้าเราปฏิบัติไม่เป็นเสียแต่วันนี้ เวลาใกล้จะตายมันก็ไม่เป็นเหมือนกัน เหมือนคนที่เพิ่งคิดหัดว่ายน้ำ เวลาใกล้จะจมน้ำตาย นั่นแหละก็จมตายไปเปล่า ๆ ถ้าใน 1 วันนี้ไม่ปฏิบัติภาวนาวันนั้นขาดทุนเสียหายหลายล้านบาท
    จงมองดูทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ไม่ว่า คนสัตว์สิ่งของ เงิน ทอง ลาภ ยศ นินทา สรรเสริญ เป็นของโกหกของสมมุติ ภาพมายาทั้งนั้น ทุกอย่างไม่ใช่ของจริงเป็นของหลอกลวงที่คนไม่ฉลาดต่างพากันหลงใหลกับสิ่งของ สมมุติของโกหก ไม่ว่าอารมณ์ดี อารมณ์ร้าย ก็ไม่ใช่ของเราจริงผ่านมาแล้วก็ผ่านไป ทุกข์ทั้งหลายเกิดจากเหตุ(คือ ความไม่รู้ ความอยากได้) ถ้าต้องการดับทุกข์ ต้องดับเหตุก่อน คือ ให้รู้ว่าทั้ง 3 โลก เป็นอนิจจัง เปลี่ยนแปลงเป็นโทษเป็นทุกข์เป็นปัญหา และสูญสลายตายกันในที่สุด ถ้าเรามีญาณก็จะรู้ ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดในชีวิตเราไม่มีการบังเอิญเลย
    ผู้ปฏิบัติธรรมย่อมพิจารณาร่างกายคนสัตว์ในโลกว่าน่าเกลียดน่ากลัว เป็นทุกข์เป็นโทษเป็นภาระต้องดูแลอย่างหนัก เน่าเหม็นแตกสลายตายไปกันหมด ผู้ที่มีศรัทธาแท้คือผู้ที่เชื่อและยอมรับ พระพุทะ พระธรรม พระสงฆ์เป็นที่พึ่งแทนที่จะเอาความโลภ ความโกรธ ความหลงมาเป็นที่พึ่ง ผู้ปฏิบัติตามพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสอน คือ ให้ขยันภาวนา แล้วความโลภ ความโกรธ ความหลงจะน้อยลงและหมดไป
    ผู้ปฏิบัติต้องหมั่นตามดูจิต รักษาจิต ผู้ฝึกจิตถ้าทำจิตให้มีอารมณ์หลายอย่างจะสงบไม่ได้ และ ไม่สภาพของจิตตามเป็นจริง ถ้าทำจิตให้ดิ่งแน่วแน่อยู่ในอารมณ์อันเดียว โดยเห็นว่าทุกสิ่งทุกอย่างแตกสลายตายหมดสิ้นแล้ว จิตก็มีกำลังเปล่งรัศมีแห่งความสว่างออกมาเต็มที่ มองสภาพของจิตตามเป็นจริง ได้ว่าอะไรเป็นจิต อะไรเป็นกิเลส อะไรควรรักษา อะไรควรละทิ้งออกจากจิต ไม่ควรใส่ใจสนใจเรื่องของผู้อื่น ควรตั้งใจตรวจสำรวจดูจิตของเราเองว่ายังมีความโลภ ความโกรธ ความหลง คิดว่าร่างกายนี้ยังเป็นของจิตหรือไม่ ตามความเป็นจริงแล้ว จิตกับกายไม่ใช่อันเดียวกัน เพียงแต่มาอาศัยกันชั่วคราวเท่านั้น
    อารมณ์วางเฉยมี 3 อย่าง
    1. วางเฉยแบบหยาบ คือ อารมณ์ปุถุชนที่เฉย ๆ ไม่คิดดี ไม่คิดชั่ว ซึ่งมีเป็นครั้งคราวเท่านั้น
    2. วางเฉยแบบกลาง มีในผู้ปฏิบัติสมาธิภาวนา มีความรู้ตัว มีความสงบของจิต วางอารมณ์จากความดี ความชั่ว สุข ๆ ทุกข์ ๆ ใด ๆ ในโลกีย์วิสัย เฉยบ่อยมากขึ้น
    3. วางเฉยแบบละเอียด คือ อารมณ์ของพระอริยเจ้า พระอรหันต์ ซึ่งไม่มีอารมณ์สุขหรือทุกข์ ดีหรือชั่ว ดีใจปนเสียใจ วิตกกังวลฟุ้งซ่านรำคาญใจ ไม่มี ไม่คิดปรุงแต่งไปในอดีต ปัจจุบัน อนาคต มีความวางเฉยในร่างกายของท่านเอง จะเจ็บปวดทรมาน จิตท่านนิ่งเฉยอยู่ในจิตของท่านว่าจิตส่วนจิต กายเป็นเพียงของสมมุติของชั่วคราว ตายเมื่อไร ท่านก็พร้อมที่จะทิ้งรูปนามขันธ์ เสวยวิมุติสุขแดนอมตะทิพย์นิพพานติดตามองค์พระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า
    ของดีนั้นมีอยู่ในตัวเราทุกคน ของดีนั้นอยู่ที่จิตของท่านทุกท่าน ของไม่ดีอยู่ที่ร่างกาย
    จิตมี 3 ขั้น ตรี โท เอก
    ถ้าตรีก็ต่ำหน่อย ยังวุ่นวายเป็นทุกข์กับเรื่องของโลก
    ขั้นโท ก็มีศีลครบ มีเมตตา ทำบุญทำทาน
    ขั้นเอกนี่ ดีมาก จิตก็มองดูทุกสิ่งทุกอย่างในโลกมนุษย์ สัตว์ นรก เป็นทุกข์ มีความเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา แล้วก็ตายสลายผุพังไปกันหมดสิ้น ตัวอนัตตา ไม่ใช่ตัว ไม่ใช่ของตน ไม่มีใครเป็นเจ้าของ บังคับเอาไว้ให้คงที่ก็ไม่ได้ ตัวนี้แหละเป็นตัวเอก ไล่ไปไล่มา ให้มันเห็นร่างกายคนเรา ตานแน่ ๆ คนเราหนีตายไม่พ้น แม้เพียงวันเดียว
    1. ตายน้อย ก็คือ นอนหลับทุกคืน หลับชั่วคราว คือ ตายทุกคืน ตื่นตอนเช้า
    2. ตายใหญ่ ก็คือ นอนหลับตลอดกาล แต่จิตไปตื่นตรงที่มีกายใหม่ มีกายใหม่ที่อื่นเป็นกายผี กายสัตว์ กายเทวดา กายพรหม แล้วแต่ผลบุญหรือผลบาปที่ทำไว้ตอนเป็นคน
     
  6. nitikoon kongkhaw

    nitikoon kongkhaw เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,314
    ค่าพลัง:
    +53,508
    [​IMG]

    หลวงปู่ท่านมักกล่าวถึงมงคลที่สำคัญที่ท่านอยากให้ลูกศิษย์ได้นำไปปฏิบัติ คือ มงคล 38 ประการ มงคลที่ท่านพูดถึงบ่อย ๆ
    นั่นคือ สัมมาวาจาชอบ คือ พูดแต่สิ่งที่เป็นมงคล

    ท่านว่าคนส่วนมากมักสร้างกรรมทางวาจา เพราะกรรมนี้สร้างได้ง่ายแต่เขาไม่รู้หรอกว่าผลของกรรม เมื่อส่งผลจะร้ายแรงเพียงไร
    คำพูดนั้นสำคัญมาก บางคนพูดไม่ดีกับผู้อื่น จนเป็นเหตุถึงโกรธเกลียดกันชั่วชีวิตก็มี

    บางรายคำพูดเพียงไม่กี่คำ ก็ทำให้ไม่พูดกันไปหลายปีคนส่วนมากที่ขึ้นโรงขึ้นศาล หรือทะเลาะกันจนไปถึงฆ่ากันตาย ก็เพราะคำพูดที่ไม่ดีนี่แหละ

    หลวงปู่ท่านสอนอยู่เสมอว่า อย่าไปพูดไม่ดีกับใครเขาถ้ามีคนมาว่าหรือด่าเราแต่เราไม่ว่าหรือด่าเขาตอบมันก็จะไม่มีเรื่องกัน
    แต่ถ้าแกไปด่าเขาเมื่อไรนั่นแหละเรื่องใหญ่ ท่านสอนศิษย์เสมอว่าอย่าไปพูดทำลายความหวังของใครเขา
    เพราะนั้นอาจจะเป็นความหวังเดียวที่เขามีอยู่ถ้าแกไปพูดเข้าเมื่อไหร่กรรมใหญ่จะตกแก่ตนเอง

    ท่านบอกไว้อีกว่า คนที่ชอบด่าหรือใส่ร้ายผู้อื่นรวมไปถึงการพูดไม่ดีต่าง ๆ กับคนอื่นนั้น กรรมจะมาเร็วมากเขาผู้นั้นจะเป็นคนที่มีศัตรูทั้งภายนอกและภายใน
    ไม่เป็นที่รักของคนทั่วไป ตรงกันข้ามกับเป็นคนที่น่ารังเกียจแก่คนทั้งหลาย กรรมนี้จะทำให้เขามีเรื่องและเดือดร้อนอยู่เสมอ ๆ
    ทั้งทางกายและทางใจ บางคนทำกรรมนี้ไปเรื่อย ๆ อย่างไม่รู้ตัวพอกรรมดีที่ตนเคยสร้างมาแต่ปางก่อนหมดหรือเหลือน้อยลง
    กรรมชั่วที่สร้างนี้ก็จะสนองเขาอย่างหนักทั้งในภพนี้และภพหน้า

    ในภพนี้เวลาที่กรรมดีแต่ปางก่อนจะส่งผลให้มีความสุขหรือมีโชคลาภกรรมชั่วก็จะเข้ามาตัดรอนกรรมดี เหมือนอย่างเขาผู้นั้น
    ซื้อหวยเลข 56 หวยก็จะออกเลข 55 หรือ 57 บางทีก็ติดต่อการค้าหรืองานต่าง ๆ มองเห็นอยู่ว่างานนี้ได้แน่นอน
    แต่พอถึงเวลาก็ไปไม่ทันบ้าง ไปแล้วไม่เจอหรือมีเหตุต่าง ๆมาทำให้มีอุปสรรคอยู่เสมอ ๆ

    ซึ่งที่จริงแล้วผู้นั้นจะมีโชคที่ควรได้ประมาณเป็นล้าน ๆ เขาก็จะได้แค่หมื่นสองหมื่นหรือโชคครั้งนี้จะได้หลายหมื่น
    แต่เขากับได้เพียงไม่กี่พันบาทหรือเพียงได้ไม่กี่ร้อยเท่านั้นเอง

    นี้เป็นเพราะกรรมชั่วเข้ามาตัดรอนกรรมดีและรวมถึงญาติพี่น้องลูกหลาน เขาเหล่านั้นก็จะทำความ
    เดือดร้อนเสียหายมาให้ มีพี่น้องหรือญาติไปจนถึงเพื่อนฝูงก็จะโกงทรัพย์สินเงินทองของเราบ้าง

    บางครั้งก็พูดใส่ร้ายให้โทษ ด่าว่าทะเลาะวิวาททำให้เราไม่สบายกายและสบายใจเป็นอย่างมาก
    มีเรื่องเดือดร้อนต่าง ๆ อยู่ตลอดเวลาอย่างไม่จบสิ้นมีลูกหลานก็จะดื้อด้าน ว่านอนสอนยาก ทำความเดือดร้อน
    ให้เสียเงินทองอยู่มิได้ขาด ว่ากล่าวลูกหลานไม่เชื่อฟังไม่เคารพนับถือ ลูกหลานบางคนก็จะอกตัญญูตนเองมัก
    จะเดือดร้อนด้วยการเป็นโรคร้ายที่รักษายากหรือรักษาไม่หายเช่น อัมพฤต อัมพาต มะเร็ง เบาหวาน โรคหัวใจ และโรคร้ายต่าง ๆ
    อีกมากมายหลายชนิด หลวงปู่ท่านบอกไว้ว่า กรรมทางวาจามีร้ายแรงมาก การที่เราพูดใส่ร้ายหรือพูดไม่ดีจนทำให้ผู้อื่นเดือดร้อนและเสียใจ
    หรือไปพูดทำลายความหวังต่าง ๆ ของเขาถ้ารู้ตัวให้หยุดเสียถ้าไม่หยุดหรือเลิกทำเสียกรรมไม่สนองแต่ในชาตินี้
    พอตายลงไปยังต้องไปใช้กรรมยังนรกตามขุมต่าง ๆ อีกท่านจะพูดและสอนศิษย์อยู่เสมอว่า "คนดีเขาไม่ตีใคร"
    ความหมายว่าคนดีไม่ตีใคร ไม่ใช่เอาไม้หรือของแข็ง ๆ ไปตีเขาแต่ท่านไม่ให้พูดจากไม่ดีด่าว่าใส่ร้ายทำให้ผู้อื่นเดือดร้อนเสียหาย และ "ทุกข์ใจ"

    หลวงปู่บอกว่าคนดีเขาไม่ว่าใคร ถ้าแกไปว่าเขาแกก็จะเป็นคนไม่ดี
     
  7. nitikoon kongkhaw

    nitikoon kongkhaw เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,314
    ค่าพลัง:
    +53,508
    [​IMG]

    หลวงปู่ดู่ท่านเทศน์สอนคณะศิษย์วัดท่าซุงที่ได้มโนมยิทธิ
    ซึ่งได้เดินทางไปกราบหลวงปู่ดู่ ตามคำสั่งหลวงพ่อฤาษีฯ


    หลวงปู่.....เอ้า คณะนี้มาจากไหน (แล้วหลวงปู่ท่านก็เงียบ)...อ๋อเด็กฝาก

    คณะมโนมยิทธิ...หลวงพ่อ(ฤาษี) ท่านให้มากราบเจ้าค่ะหลวงปู่รู้จักไหมเจ้าคะ

    หลวงปู่ดู่...รู้จัก

    คณะมโนมิยทธิ....หลวงปู่เจ้าคะดิฉันฝึกมโนขึ้นไปกราบพระข้างบนดีไหมเจ้าคะ?

    หลวงปู่ดู่.....การไปกราบพระ พบพระนั้นเป็นของดี
    ให้หมั่นรักษาองค์พระ(ภาพพระ)เข้าไว้ พระท่านจะสอน
    ท่านจะบอกวิธีการปฏิบัติ เราก็นำมาประพฤติปฏิบัติตามด้วยความตั้งใจ
    เคร่งครัด แต่ถ้าพบพระแล้ว ท่านสอนแล้วไ ม่นำมาประพฤติปฏิบัติ
    หรือปฏิบัติจนพบพระแล้วไม่สามารถทำให้อารมณ์ชั่วทั้ง ๓ คือ
    โลภ โกรธ หลง มันเบาบางหลง อย่างนี้ยังใช้ไม่ได้ ถือว่าปฏิบัติผิดทาง
    คนที่มัวแต่เอาสิ่งที่ตนเองได้ (ญาณ) ไปดูนั้นดูนี่ ทำนายทายทัก
    ไม่นานอุปทานก็เข้าแทนที่ ทีนี้แทนที่มันจะไปสุคติภูมิ
    มันก็ไปอบายภูมิแทน เหตุจากการแอบอ้าง คำสอนของพระ
    เพราะอารมณ์อุปาทานนั้นเอง จงระวังไว้ ท่านมหาวีระ
    ท่านมีบารมีสูง มีข้างบนเป็นกำลังหนุน เป็นอาจารย์ใหญ่สอน
    คนได้จำนวนมาก ข้าขอโมทนา พวกแกเกิดมาพบพระอรหันต์
    ที่มีบารมีสูง อย่าให้เสียทีที่ได้พบ เอาสิ่งที่ตนปฏิบัติบัติได้(ญาณ)
    มาอบรมตนเอง อย่าเที่ยวไปทำนายทายทักชาวบ้าน
    ข้ออันนั้นเห็นจะไม่ใช่จุดประสงค์ แม้ลูกศิษย์ อยู่ใกล้ข้าแท้ๆ
    ยังเฝือได้ แล้วถ้าพวกแกยังประมาท ระวังนรกจะกินหัวเอา....

    คณะมโนมยิทธิ...เราจะรู้ได้ยังไงเจ้าคะว่าเวลาเราขึ้นไปกราบนั้น เราเห็นจริงๆ

    หลวงปู่....แกลองใช้อารมณ์นั้น(ญาณ) ตรวจสิ่งที่มองไม่เห็นแต่สิ่งนั้นยังมีอยู่สิ เช่น แกลองตรวจดูว่าในกระเป๋าของเพื่อน
    ที่มาด้วยกันมีเงินอยู่เท่าไหร่ ถ้าแกตอบถูก อารมณ์ที่แกขึ้นไปกราบพระ แกก็เห็นจริง แต่ถ้าแกตอบไม่ถูก พระที่แกเห็นก็ไม่จริง...


    คณะมโนมยิทธิ....เราถามเทวดาเลยได้ไหมเจ้าค่ะ

    หลวงปู่....เอ้า เงินในกระเป๋านี้มันเป็นของหยาบแกยังมองไม่เห็นเลย นับประสาอะไรกับเทวดา แกจะไปมองเห็นล่ะ กายเทวดาละเอียดกว่ากันเยอะ


    คณะมโนมยิทธิ...ต้องตรวจอารมณ์เช่นนี้ก่อนใช่ไหมค่ะ

    หลวงปู่ดู่...ใช่ ข้าก็ให้ลูกศิษย์ตรวจอารมณ์อย่างนี้ก่อนแล้วค่อยขึ้นไปกราบพระ ถ้าตรวจแล้วไม่ตรงก็ต้องหัดวางอารมณ์ใหม่
    ไม่นานก็ตรง คราวต่อไป ไม่ต้องกำหนด เขาจะรู้เลยว่า อะไรซ่อนอยู่ตรงไหน .....(หลวงปู่เงียบสักพัก) (แล้วท่านก็พูดขึ้นว่า)
    พระมหาวีระยังสอนให้แกหัดทำเวลาตอนเช้ามืด ให้ลองตรวจว่า เช้าวันนี้จะมีใครมาหาไหม เขาจะมาทำอะไรใส่เสื้อสีอะไร ใช่ไหมล่ะ

    คณะมโนมยิทธิ....หลวงปู่รู้ได้ยังไงเจ้าคะ

    หลวงปู่ดู่...ก็พระมหาวีระบอกข้า อยู่ข้างๆนี่แหละ บอกว่า..
    พวกแกมันลิงทะโมน ต้องจับไปมัด เฆี่ยนแล้วสอน
    (เสียงหลวงปู่หัวเราะ แล้วพูดว่า)ต่อไปให้รีบตั้งใจปฏิบัติ
    อย่าสนใจคนอื่น สนใจจิตตัวเองให้มากๆ รักษาจิตตนเองให้ดี
    รักษาองค์พระ(ภาพพระ)ไว้อย่าให้หาย ชำระใจให้
    ปราศจากความโลภ โกรธ หลง มันก็ถึงเองแหละนิพพาน
    ไม่ใช่ปากก็บอกจะไปนิพพาน แต่ไม่ชำระโลภ โกรธ
    หลงให้ขาดไป อธิษฐานยังไงมันก็ไม่ถึงนะแก
    นิพพานเข้าไม่ได้ด้วยการอธิษฐาน แต่ต้องอาศัยการปฏิบัติ
    ซึ่งจุดสำคัญคือการละอารมณ์ โลภ โกรธ หลง

    ละได้เมื่อไหร่ถึงทันที ละไม่ได้มันจะถึงแค่หัวตะพาน....

    คณะมโนมยิทธิ...สาธุเจ้าค่ะ หลวงปู่

    หลวงปู่ดู่ ...(ให้พร)
    ......
     
  8. nitikoon kongkhaw

    nitikoon kongkhaw เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,314
    ค่าพลัง:
    +53,508
    [​IMG]

    [​IMG]

    "หมั่นทำเข้าไว้ หมั่นทำเข้าไว้ ต่อไปจะได้เป็นที่พึ่งภายหน้า"

    นะโมโพธิสัตโต พรหมปัญโญ
    นะโมโพธิสัตโต พรหมปัญโญ
    นะโมโพธิสัตโต พรหมปัญโญ


    "ข้าไม่มีอะไรให้แก
    (ธรรม)ที่สอนไปนั้นแหละ ให้รักษาเท่าชีวิต"

    "แกคิดถึงข้า ข้าก็คิดถึงแก
    แกไม่คิดถึงข้า ข้าก็ยังคิดถึงแก"
     
  9. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,810
    กระทู้เรื่องเด่น:
    80
    ค่าพลัง:
    +225,528
    [​IMG]
     
  10. พลศิริ

    พลศิริ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    7,978
    ค่าพลัง:
    +18,982
    กราบครูบาอาจารย์ด้วยความเคารพ
    อรุณสวัสดิ์เ้ช้าวันครอบครัวครับผม
    มื้อนี้ติดงานเลี้ยง แต่อาจออกไปร่วมทอดกฐินแถวบ้านนี้หละ
    มาร่วมอนุโมทนาบุญนำกันเด้อครับ:cool:
     
  11. พลศิริ

    พลศิริ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    7,978
    ค่าพลัง:
    +18,982
    ตามย้อนจนเมื่อยเลย เอาอีกเด้ออ้าย:cool:
    ของดีดีทั้งนั้นเลยครับ หายากนะครับความรู้ดีดีเนี่ย
     
  12. MrCHAN

    MrCHAN เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2012
    โพสต์:
    5,812
    ค่าพลัง:
    +97,448
    deeja__a อรุณสวัสดิ์เช้าวันอาทิตย์ครับทุก ๆ ท่าน
     
  13. tee_tores

    tee_tores กะยิราเจ กะยิราเถนัง สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    19,057
    ค่าพลัง:
    +53,093
    <br> <a href="http://upic.me/show/40739176" target="_blank"><img src="http://upic.me/i/cv/sam_0371.jpg" border="0"></a> <a href="http://upic.me/show/40739299" target="_blank"><img src="http://upic.me/i/ej/0sam_0372.jpg" border="0"></a> <a href="http://upic.me/show/40739301" target="_blank"><img src="http://upic.me/i/ps/sam_0373.jpg" border="0">
     
  14. Norragate

    Norragate เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    19,518
    ค่าพลัง:
    +37,735
    อ้ายพลและพี่โญตื่นเช้าจังครับ...(^^)
    สวัสดีวันอาทิตย์ครับ ..
     
  15. MrCHAN

    MrCHAN เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2012
    โพสต์:
    5,812
    ค่าพลัง:
    +97,448
    วันธรรมดาต้องตื่นไปส่งเจ้านายไปโรงเรียน

    วันหยุดก็ยังตื่นตามความเคยชินครับน้องนอร์
    :z5
     
  16. Norragate

    Norragate เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    19,518
    ค่าพลัง:
    +37,735
    สวัสดีเช้าวันอาทิตย์ครับ,พี่บอย,,พี่กูล,พี่ถิรวุษิ,พี่โญ,พี่Amuletism,คุณเอ็ม,พี่เจริญ,พี่บางแสน,พี่ เอ๊ะ,พี่ชาญ,เพื่อนซัน,เพื่อนเป้,น้องบ่าวเอก,พี่พจน์,เสือนุ,อ้ายพล,พี่ ลับแล,พี่ช้าง,พี่รุ่ง,พี่ตี่,พี่อาร์ท,พี่จันท์,พี่กวาวชไม,พี่รักษ์สยาม,พี่หมอ,น้องช้าง ป่า,คุณchokaku,คุณโอ๊ต,พี่เอท,พี่ลูกเสือ,เสี่ยล้างใจ,ป๋าโมทนา,สหายเชน,พี่โต้งประธานพิมพ์นิยม,คุณลูกคุณย่า,คุณkeal,พี่ดนุ,พี่JirLe,คุณญานกร,และชาวเมืองคนอวดพระทุกๆท่าน...(^_^)
     
  17. Norragate

    Norragate เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    19,518
    ค่าพลัง:
    +37,735
    คุณเอ็มสบายดีนะครับ.....?
    ตื่นเช้าจังเลยครับ^^
    เห็นองค์นี้แล้วนึกถึงแม่ทัพใหญ่วัดคงคาอย่างพี่อ้วนเลยครับ ^^
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 พฤศจิกายน 2012
  18. Norragate

    Norragate เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    19,518
    ค่าพลัง:
    +37,735
    แถมสดชื่นมากกว่า จ- ศ ด้วยคร้าบพี่โญ 555^^
     
  19. Norragate

    Norragate เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    19,518
    ค่าพลัง:
    +37,735
    คนเราเกิดมาไม่เห็นมีอะไรดี มีดีอยู่อย่างเดียว คือ สวดมนต์ไหว้พระปฏิบัติภาวนาคือ มองทุกสิ่งทุกอย่างในโลกเป็นของชั่วคราว มีแต่ปัญหามีแต่ทุกข์ แล้วก็เสื่อม พังสลายไปในที่สุด

    อนุโมทนาครับพี่กูล...(^^)
    แค่ประโยคแรกก็ได้สติและสัจธรรมเลยครับ..
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 พฤศจิกายน 2012
  20. ลูกเสือ รอ.

    ลูกเสือ รอ. เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มกราคม 2010
    โพสต์:
    1,124
    ค่าพลัง:
    +2,834

    สวัสดีตอนเ้ช้าวันอาทิตย์ครับ ...

    ส่วนเรื่องลูกชิ้นปิ้งนี่ไม่ทราบเลย เพราะยังไม่ได้ชิมครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...