จิตพร้อม? รับภัยพิบัติ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย ภูภู, 6 เมษายน 2012.

  1. ธรรมมณี

    ธรรมมณี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,044
    ค่าพลัง:
    +14,027
    สาธุ ขออนุโมทนาบุญด้วยอย่างสูงกับคุณพี่หมออุษาฯค่ะ
     
  2. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    สวัสดีและขอต้อนรับการกลับมาของคุณหมออุษาวดีอีกครั้งนึง
    ท่านกลับมาแล้วหรือ? สบายดีนะครับ ผมนึกว่าพายุพัดไปติดเกาะไปแล้ว ฮ่าๆ ล้อเล่นๆ (พายุอะไรก็ไม่เท่าพายุอารมณ์ของคนนี่แหล่ะ โดยเฉพาะพายุของเราจะต้องระงับให้อยู่ แต่ถ้าปล่อยให้ปะทะกัน ก็มีแต่เสียทั้งคู่ ต่อกรรมกันต่อเนื่องไม่ที่สิ้นสุด เราไปตัดกรรมหรือแก้กรรมคนอื่นไม่ได้ แต่เราตัดกรรมของตนเองได้ เรียกได้ว่า ตัดทั้งเข้า-ออกเลย) ขอโมทนาบุญกับคุณหมอด้วย ที่จิตพบแสงสว่างแห่งธรรม

    "แสงสว่างที่มาจากพระอาทิตย์ ก็ยังไม่เท่ากับแสงสว่างในจิตที่พบธรรม"

    เพราะฉะนั้น อย่าไปหลงดูจิตคนอื่น ว่า...คนนั้นดีเลิศ คนนี้เลวสุดหาประมาณมิได้ อันนั้นมันเสียเวลามากกับผู้ที่จะปฎิบัติเพื่อมรรค เพื่อผล โดยเฉพาะผู้ที่จะไปนิพพาน ศีลจะต้องละเอียด จิตจะต้องละเอียด ธรรมะจะต้องละเอียด มองข้ามของหยาบไปเอาละเอียด และรีบมุ่งหน้าปฎิบัติเพื่อความหลุดพ้น หรือรีบนำจิตให้อยู่เหนือขันธ์ ๕ อยู่เหนือโลกมายานี้กันให้ได้ไวๆ

    (อย่าไปดูว่าคนอื่นนั้นดีหรือเลว จงหันกลับมาดูความเลวมันยังอยู่ที่จิตของตนเองไหม๊?)

    อย่าไปหลงดู อย่าไปหลงคิด ว่าภัยพิบัติมันจะมาตอนไหน ตอนนี้ขอให้เตรียมจิตตนเองก่อน พอมีสติปัญญา เดี๋ยวมันจะพาเราไปเอง แต่ถ้าเราไม่มีปีกเหมือนนก หนีไม่รอด ก็คิดซะว่า ร่างกายนี้เป็นสมบัติของโลก มิใช่ของเรา ถึงกายไม่รอด(ตาย) แต่จิตรอด(สุคติ) ดีกว่ากายรอดแต่จิตไม่รอด(คนบ้าดีๆนี่เอง)
    แต่ท่านรู้ว่ามันจะมาจริง ภัยเกิดจริงๆ แต่ติดลูกเรียนหนังสือ ตัวเราและคนรักติดทำงานหรือคนรักไม่เชื่อ ท่านก็เป็นทุกข์กันซะปล่าวๆ ภัยพิบัติยังไม่ทันมาถึงตัวเลย ทุกข์ก็มาก่อนภัยพิบัติเสียแล้ว เหมือนตายผ่อนส่งเลย
    ส่วนใครหนีได้ก็หนีไป ก็แล้วแต่เวรกรรม เราไปบงการอะไรไม่ได้เลย นอกจากฝึกจิตตนเองนี่เราก็สามารถทำได้เดียวนี้เลย โดยไม่ต้องไปคอยหรือปรึกษาใคร สร้างบุญภายในของเราไป บุญกุศลหรือบารมีนี้ ใครทำใครได้ เหมือนใครกินใครอิ่ม ทำแทนกันไม่ได้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 3 ตุลาคม 2012
  3. Linda2009

    Linda2009 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    956
    ค่าพลัง:
    +9,998
    ขอต่อกลอนท่าน อีกสักนิด
    "แสงสว่างที่มาจากพระอาทิตย์ ก็ยังไม่เท่ากับแสงสว่างในจิตที่พบธรรม"

    "ความร้อนจากแสงอาทิตย์ ยังร้อนน้อยกว่าจิตที่ติดกรรม " หึหึ:boo:
     
  4. natthapatpun

    natthapatpun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,124
    ค่าพลัง:
    +25,214
    ธรรมทานเกี่ยวกับอรูปพรหมชั้นเนวสัญญานาสัญญายตน = สัญญาดับแต่เวทนา(อารมณ์ละเอียด)ไม่ดับ

    หากจะให้สัญญาดับและเวทนาดับจิตต้องอยู่เหนือสมาบัติแปดกล่าวคือจิตเข้าถึงสัญญาเวทยิตนิโรธ ตามที่พี่ภูกล่าวไว้แล้ว

    *นิโรธสมาบัติหรือสัญญาเวทยิตนิโรธ หมายถึง การเข้าถึงความดับ หมายถึงการเข้าถึงความดับสัญญา (ความจำ) และเวทนา (ความรับอารมณ์) ทั้งหมด
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 ตุลาคม 2012
  5. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    คืนนี้ไม่มีคนเทศน์ คืนนี้จะมีคนตำหนิ ก็ช่างปะไร...ผมคือ อนัตตา
    เพราะมีหน้าที่เทศน์ก็เทศน์ไป ส่วนใครมีหน้าที่สอนจิตเกาะพระก็สอนไป

    จะขอพูดเรื่องโดยเฉพาะจิตบุญ เมื่อจบกิจไปแล้วให้หมั่นตรวจตราโดยเฉพาะเรื่อง สังโยชน์สิบประการนั้น ยังมีข้อใดบ้างที่ยังสอบไม่ผ่าน หรือผ่านไปแบบฉิวเฉียดหรือว่าเฉียดฉิว โดยเฉพาะที่ยกจิตไวเกินไป และตอนนี้ผมและครูฝึกสอนไม่นำจิตไปช่วยดันก้นให้แล้ว เพราะไม่อยากได้ปริมาณ แต่อยากได้คุณภาพมากกว่า เพราะถ้าเอาแต่ปริมาณก็เหมือนส่งเขาไปตายไว เพราะสติยังตามจิตไม่ค่อยจะทัน ผลก็คือ ยังรู้สึกเป็นทุกข์ แต่เป็นทุกข์เล็กๆน้อย หรืออาจจะทำใจยอมรับได้ช้า เพราะเราฝึกสติยังไม่ถึงเกณฑ์(ถามว่าเท่าไหร่ถึงจะเพียงพอ ก็ต้องตอบว่า สติมากพอที่จะทำให้จิตของผู้ปฎิบัตินิ่งโน้นแหล่ะ ถึงจะพอ เพราะจิตนิ่งเมื่อไหร่ ก็หมายถึงมีสติพอแล้ว)
    แต่ขอให้ผู้ปฎิบัติตั้งอธิษฐานจิตถึงท่านพ่อเอาเอง ตรงนี้จะช่วยยกจิตไวเหมือนกัน กับสิ่งที่มองไม่เห็นนี่ละ อย่าได้มองข้ามกันไป นอกจากจะเป็นความสามารถหรือความเพียรของผู้ปฎิบัติเองแล้ว แต่ถ้าผู้ปฎิบัติที่มีความรักเคารพ ศรัทธาและเลื่อมใสในพระรัตนตรัยมากๆ อันนี้จะได้ดีทุกคนไป

    มาดูเรื่องสังโยชน์พร้อมๆกัน แต่ถ้าผู้ที่รู้ปริยัติมากกว่าผม ได้โปรดมาพูดเสริมให้กันได้นะ การปฎิบัติธรรมที่ดีนั้น ไม่มีใครไปคิดเปรียบเทียบกันหรอก แต่ขอให้เป็นไปเพื่อประโยชน์ของผู้ปฎิบัติมากกว่า ภูมิธรรม ภูมิปัญญาของผมยังอ่อนอยู่มาก แต่ผมก็พยายามฝึกฝนมันไป พูดถูกก็เสมอตัว ผิดก็รีบแก้ไขทันทีก็แค่นั้นเอง จักขอบพระคุณมากสำหรับผู้ที่มาช่วยชี้แนะให้กับผม เพราะผมก็คิดว่าตราบใดที่ตนเองยังเกิดอยู่ หรือมีขันธ์ ๕ อยู่ ก็จะถือว่าตนเองยังเลวอยู่มาก เพราะฉะนั้นแล้ว พี่ภูคนนี้ ไม่มีตัวตนจริงๆ เป็นสมบัติของโลกจริงๆ ทุกคนสามารถตำหนิได้ ด่าว่าหรือตักเตือนได้ ไม่ต้องเกรงใจ แต่ผมจะเชื่อหรือไม่นั้น ผมก็จะใช้สติและปัญญา(ทางธรรม)ที่มีอยู่นั้นตรองดูเอง (เดี๋ยวจะยาวไป ขอพูดต่อภาค#2)
     
  6. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    นั่น มีปลาหลงมาติดเบ็ดเราแล้ว ฮ่าๆ ปลาแซลมอนซะด้วย เนื้อหวานๆ...
    กรรมใครกรรมมัน แต่ถ้าเป็นกัมมันตรังสีก็ตัวใครตัวมัน ฮ่าๆ


    "เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร"

    ธรรมะอันนี้เห็นชัดแล้วนะ ผู้เจริญทั้งหลาย หรือผู้ที่มีสติ+ปัญญก็จะรู้ได้ด้วยตนเอง
     
  7. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    การตัดสังโยชน์ 10 เป็นพระอรหันต์
    (พระเดชพระคุณหลวงพ่อฤาษีลิงดำ)​

    อยากให้ผู้ที่กำลังปฎิบัติ หรือจิตบุญอ่านธรรมะของหลวงพ่อกันให้ได้นะ (พี่ภูขอร้อง)
    จะแยกเป็นตอนๆไป แต่ถ้ายาวไป เดี๋ยวผู้อ่านจะเบื่อเสียก่อน
    เอ๊า ใครอยากไปพระนิพพาน จงอ่านกันให้จบ...
    จะได้เกิดความมั่นใจ ก่อนที่จะหมดลมหายใจ...(สำหรับผู้ที่ยังไม่ได้อ่าน)

    ตอนที่ ๑

    ญาติโยมทั้งหลาย วันนี้เพลียมากหน่อย ก็จะพูดกันแค่พอมีแรงนะ สำหรับวันนี้จะขอแนะนำเรื่อง พระอรหันต์ ข้ามไปเลย เพราะอะไรรู้ไหม เพราะผลการปฏิบัติไม่มีความจำเป็นต้องเรียงลำดับ คือ 1. เป็นพระโสดาบัน 2. เป็นพระสกิทาคามี 3. เป็นพระอนาคามี 4. เป็นพระอรหันต์ อันนี้ไม่จำเป็นตามนี้ จะเห็นว่าบางท่านพอฟังเทศน์จบบรรลุพระโสดาบัน และฟังเทศน์อีกครั้งหนึ่ง หรือว่าปฏิบัติต่อเป็นอรหันต์เลยก็มี อย่าง พระอานนท์ หรือบางท่านฟังเทศน์จบเป็นอรหันต์เลยก็มี แต่ว่าจะขอพูดตอนต้นสักนิดหน่อย ในตอนต้นสำหรับนักปฏิบัติใหม่ อย่าลืมว่าอันดับแรกจะต้องรู้ลมหายใจเข้าออก เอาจิตเข้าไปรับทราบลมหายใจเข้าลมหายใจออก เวลาหายใจเข้ารู้อยู่หายใจเข้า เวลาหายใจออกรู้อยู่หายใจออก หายใจเข้ายาวหรือสั้น หายใจออกยาวหรือสั้นก็รู้อยู่ และประการที่สอง ให้ภาวนา สำหรับคำภาวนานี้ไม่จำกัดในตอนต้น จะใช้คำภาวนาว่า พุทโธ ก็ได้ สัมมาอรหัง ก็ได้ อิติสุคโต ก็ได้ อิติปิโส ภควา ก็ได้ ยุบหนอพองหนอก็ได้ ตามอัธยาศัย อะไรก็ได้สุดแล้วแต่ที่เคยปฏิบัติมา ถ้าท่านเคยปฏิบัติมาจากที่อื่นคล่องแบบไหนปฏิบัติตามนั้น ไม่มีความจำเป็นต้องเปลี่ยน เพราะการภาวนาก็ดี การรู้ลมหายใจเข้าออกก็ดี เป็นเครื่องโยงจิตให้มีสมาธิ ทีนี้ก็จะพูดถึงอารมณ์ เวลาปฏิบัติกรรมฐานให้ถืออารมณ์ความสุขใจเป็นเกณฑ์ อย่าคิดว่าเวลานี้เราต้องได้ฌาน 1 ฌาน 2 ฌาน 3 ฌาน 4 ฌาน 8 ฌาน ไม่มีความจำเป็น ถือความเป็นสุขของใจเป็นเกณฑ์ ถ้าจิตเข้าไปมุ่งฌานโน้นฌานนี้จิตจะวุ่นวาย คำว่าจิตวุ่นวายก็หมายความว่าจิตจะเกิดมีอารมณ์ฟุ้งซ่าน จิตจะไม่เป็นสมาธิ เวลานั้นมันจะเป็นฌานอะไรก็ช่าง ให้ถือว่าเวลานี้จิตเป็นสุขแล้วกัน ถ้าภาวนาไม่พิจารณาไป หรือรู้ลมหายใจเข้าออกไป จิตเกิดมีความฟุ้งซ่านเกิดขึ้นบังคับไม่อยู่ ก็ปล่อยอารมณ์เสียเลิกไปเลย พักไปชั่วคราวก็ได้ หรือว่าจะคิดตามจิตไป จิตจะคิดอะไรก็ปล่อยมันไปตามเรื่อง สักครู่เดียวมันก็เลิกคิด กลับมาจับใหม่มันจะทรงตัว อย่างนี้ก็ได้ วันนี้ก็มาพูดถึง อารมณ์พระอรหันต์ เมื่อวานนี้พูดถึง อารมณ์พระโสดาบัน ถ้าทำได้ก็ครึ่งทางพระนิพพาน คำว่า พระโสดาบัน แปลว่า ผู้เข้าถึงกระแสพระนิพพาน คือเข้าเขตพระนิพพาน ถ้าตายจากความเป็นคนอย่างน้อยก็เป็นเทวดาหรือพรหม ทีนี้อารมณ์ของเราถ้าได้พระโสดาบันแล้ว ถ้าเราต้องการนิพพาน ความจริงพระนิพพานนี่เป็นของไม่หนักสำหรับนักปฏิบัติที่มีความฉลาด และประการที่สองถ้าเชื่อพระพุทธเจ้า ต้องดูตัวอย่างตามพระสูตร ถ้าเราไม่ดูตัวอย่างตามพระสูตรจะปฏิบัติยาก ทำไปๆ ก็คิดแต่เพียงว่าสมาธิจะทรงหรือไม่ทรง จะทรงสมาธินานหรือไม่นานละเอียดหรือหยาบก็อยู่แค่นั้น ผลที่สุดแม้แต่พระโสดาบันก็ไม่ได้ ถ้าเราดูตัวอย่างตามพระสูตรจะรู้สึกว่าง่าย พระนิพพานตัดตัวไหนในสังโยชน์ 10 ประการ ...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 3 ตุลาคม 2012
  8. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    ตอนที่ ๒
    สังโยชน์ 10 ประการก็
    ข้อที่ 1 สักกายทิฏฐิ มีความรู้สึกว่าร่างกายนี้เป็น เราเป็นของเรา เรามีในร่างกาย ร่างกายมีในเรา
    ข้อที่ 2 วิจิกิจฉา สงสัยในคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระธรรม และพระอริยสงฆ์
    ข้อที่ 3 สีลัพพตปรามาส ลูบคลำศีลไม่รักษาศีลจริงจัง
    ข้อที่ 4 กามฉันทะ พอใจในกามคุณ
    ข้อที่ 5 ปฏิฆะ มีอารมณ์กระทบใจ จิตมีความโกรธ
    ข้อที่ 6 รูปราคะ หลงในรูปฌาน
    ข้อที่ 7 อรูปราคะ หลงในอรูปฌาน
    ข้อที่ 8 มานะ มีการถือตัวถือตน
    ข้อที่ 9 อุทธัจจะ มีอารมณ์ฟุ้งซ่าน
    ข้อที่ 10 อวิชชา ไม่รู้ตามความจริงของเรื่องนิพพาน

    นี่สังโยชน์ทั้งหมดมี 10 ถ้าเราจะปฏิบัติเข้าถึงความเป็นพระอริยเจ้าต้องตัดสังโยชน์ 10 ประการ ถ้าทำส่งเดชไปยังไงก็ไม่เป็นพระอริยเจ้า ได้แต่นั่งสมาธิอย่างเดียว คิดโน่นคิดนี่อยู่ตามเรื่องตามราว ตามที่เราคิดว่ามันถูก ดีไม่ดีมันก็อาจจะไม่ถูก ถ้าถือตามตำราเกินไปก็ไม่แน่นอนนัก เพราะคนเขียนตำราไม่แน่ว่าจะรู้จักพระนิพพานเสมอไป ก็มีตำราหลายสิบเล่มพูดเรื่องนิพพานไม่ถูก ถ้าเราเกาะตำรามากเกินไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งวิปัสสนาญาณแก่ก็สอนเสียยาวเหยียด แต่ก็เป็นธรรมดาของนักเขียน ถ้าเขียนก็จำเป็นต้องเขียนให้ละเอียด แล้วผู้ปฏิบัติต้องฉลาดในการเลือก เลือกเฉพาะจุดใดจุดหนึ่งที่เราพอจะทำได้ ทีนี้ตามที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า นิพพาน เราจะไปนิพพานจริงๆ เราจะตัดตัวไหน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหวังความเป็นพระอรหันต์ ก็ต้องดูตัวอย่าง พระสารีบุตร ที่ท่านแนะนำพระ เมื่อพระบวชใหม่บวชเสร็จก็ไปลาพระพุทธเจ้าจะเข้าป่า เมื่อพระพุทธเจ้าสอนแล้ว พระพุทธเจ้าถามว่า เธอไปลาพระสารีบุตรแล้วหรือยัง พระบอกว่ายัง ท่านบอกให้ไปลาพระสารีบุตรด้วย แต่ความจริงพระพุทธเจ้าท่านทราบ ไม่ได้นัดกันว่าพระสารีบุตรจะพูดเรื่องอะไร ฉะนั้นพระจึงไปแวะหาพระสารีบุตร พระพวกนั้นก็ถามพระสารีบุตรในธรรมะต่างๆ ข้อปฏิบัติต่างๆ พระสารีบุตรก็อธิบายให้ฟัง ในที่สุดก็ถามว่า เวลานี้ผมเป็นปุถุชน ต้องการเป็นพระโสดาบันจะทำยังไง
     
  9. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    ตอนที่ ๓
    ต้องการเป็นพระโสดาบันจะทำยังไง ท่านบอกว่า ให้ตัดขันธ์ 5 ให้ตัดรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ขันธ์ 5 ถ้าตัดได้อย่างหยาบก็เป็นพระโสดาบัน พระพวกนั้นถามว่า ผมเป็นพระโสดาบันแล้วต้องการเป็นพระสกิทาคามีจะทำยังไง ท่านก็บอกว่า ก็ตัดตัวเดียวกัน ถ้าละเอียดลงไปอีกหน่อยหนึ่งก็พระสกิทาคามี พระท่านถามว่า ถ้าเป็นพระสกิทาคามีแล้วต้องการเป็นพระอนาคามีจะทำยังไง ก็ตัดตัวเดียวกัน จนเกิดความเบื่อหน่ายในร่างกาย เบื่อหน่ายในกามคุณ เบื่อหน่ายในความโกรธ ก็เป็นพระอนาคามี พระก็ถามว่า ในเมื่อเป็นพระอนาคามีแล้วทำยังไง ก็บอกว่าตัดตัวเดียวขันธ์ 5 ตัดขาดทั้งหมด อวิชชาด้วย ก็เป็นพระอรหันต์ พระพวกนั้นก็ถามว่า เมื่อเป็นพระอรหันต์แล้วเลิกทำใช่ไหม ท่านบอก ไม่ใช่ พระอรหันต์ขยันทำมากกว่าพระธรรมดา เพราะรู้จักความทุกข์ เหตุของความทุกข์และผลของความทุกข์ ปฏิบัติเพื่อความอยู่เป็นสุข อันนี้จะเห็นว่าการตัดสังโยชน์ 10 ประการ เขาตัดกันตัวเดียวคือ สักกายทิฏฐิ สักกายทิฏฐิต้องใช้อารมณ์ไม่เหมือนกัน อย่างพระโสดาบันกับพระสกิทาคามี ที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า มีสมาธิเล็กน้อย กับมีศีลบริสุทธิ์และมีปัญญาเล็กน้อย ใช้ปัญญาแค่คิดว่าชีวิตนี้ต้องตาย นี่เป็นสักกายทิฏฐิ ตัดตรงนี้ให้มีความรู้สึกจริงๆ ว่าร่างกายนี้มันต้องตายแน่ วันนี้น่ะมันไม่ตาย แต่วันหน้ามันอาจจะตายก็ได้ ยังไงๆ มันก็ตายกันแน่นอน ทีนี้ต่อไปถ้าเป็นอารมณ์พระอนาคามี จะมีความรู้สึกเบื่อหน่ายในร่างกาย เบื่อหน่ายทุกสิ่งทุกอย่างในโลก เบื่อหมดจนไม่มีความรู้สึกพอใจอะไรทั้งหมด อันนี้เป็นอารมณ์พระอนาคามี ถ้าเป็นพระอรหันต์มี สังขารุเปกขาญาณ วางเฉยทุกอย่าง ร่างกายเราก็เฉย จะแก่ก็เชิญแก่ มันจะป่วยก็เชิญป่วย มันจะตายก็เชิญตาย เป็นหน้าที่ของมัน ร่างกายคนอื่นก็เช่นเดียวกัน ทรัพย์สมบัติก็เหมือนกัน มันมีอยู่ก็มี ไม่มีมันจะพังมันจะหายไปก็เรื่องของมัน เป็นของธรรมดา อันนี้ก็มาดูตัวอย่าง แค่นี้เราจะเห็นว่าการตัดสังโยชน์ 10 ประการอยู่ข้อเดียวคือ สักกายทิฏฐิ ไม่ต้องทำมากตามตำรา ความจริงที่พูดนี่ก็พูดตามตำราเหมือนกัน ไอ้ตำราง่ายๆ คนไม่ชอบ ชอบตำรายากๆ ก็รวมความว่าถ้าเราต้องการเป็นพระอรหันต์หรือไปนิพพาน ก็ไปนิพพานก็แล้วกัน อรหันต์ด้วยก็ได้ ก็ตัดที่ร่างกายตัวเดียว
     
  10. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    ตอนที่ ๔
    ตัวอย่าง ในสมัยเมื่อองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้ายังทรงพระชนม์อยู่ เวลานั้นพระสาวกรุ่นแรกของพระพุทธเจ้าคือ พระอัสสชิ ป่วยหนัก เป็นโรคกระเพาะ มีอาการไม่ไหว มันเสียดแทงหนักทั้งอืดทั้งเสียด ก็บอกพระบอกว่าให้ไปกราบทูลองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยเถิดว่า อัสสชิสาวกของพระองค์ทนไม่ไหวแล้ว ความดีที่ได้มาอาจจะเสื่อมไปแล้ว หมายความความเป็นพระอรหันต์อาจจะเสื่อมไป (เพราะท่านไม่เข้าใจ) พระจึงไปกราบทูลพระพุทธเจ้าให้ทรงทราบ เมื่อพระพุทธเจ้าทรงทราบแล้วก็เสด็จมาที่พระอัสสชิ พระอัสสชิจะลุกจากที่เดิมลงมานอนต่ำ ให้พระพุทธเจ้าทรงนั่งสูง เพราะที่นั่งมันอยู่ต่ำกว่า ที่นอนมันเป็นแคร่ พระพุทธเจ้าบอก อัสสชิ นอนที่เดิม ตถาคตจะนั่งในสถานที่ที่เขาจัดไว้ให้ หมายความว่าท่านไม่เลือก ที่ตรงไหนก็ได้ เพราะพระอัสสชิป่วย พอพระพุทธเจ้านั่งเสร็จ พระอัสสชิกราบทูลว่า “ภันเต ภควา ข้าแต่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เจริญ เวลานี้ความดีของข้าพระพุทธเจ้าน่ากลัวจะหมดไปเสียแล้ว เพราะว่ามันอืดมันเสียดมากทนไม่ไหวตั้งสติไม่อยู่” พระพุทธเจ้าถามว่า “อัสสชิ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ คือขันธ์ 5 เป็นของเธอหรือ?” พระอัสสชิตอบ “ไม่ใช่” “หรือว่าขันธ์ 5 เป็นเธอ” ก็บอกไม่ใช่ ก็รวมความว่า ท่านถามยังไงๆ ก็ตาม พระอัสสชิก็ยืนยันว่าร่างกายนี้ไม่ใช่ของท่าน ร่างกายนี้เป็นส่วนร่างกาย จิตใจเป็นส่วนของจิตใจ พระพุทธเจ้าก็ตอบว่า “อัสสชิ ความดีของเธอไม่สลายตัว ยังคงอยู่ ยังมีความเป็นอรหันต์อยู่” เพียงแค่นี้ หลังจากนั้นพระอัสสชิก็นิพพาน ข้อนี้บรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่าน จะพึงเห็นได้ว่า การไปนิพพานตัดจุดเดียวคือที่ร่างกาย มีอีกเรื่องหนึ่ง พระติสสะ พระติสสะเป็นโรคพองทั้งตัว มีร่างกายพอง ทีแรกก็พองเม็ดเล็ก ๆ ทีหลังก็พองเม็ดใหญ่ ใหญ่จนกระทั่งเท่าผลส้ม แล้วมันก็แตก แตกแล้วก็เป็นน้ำเหลือง เป็นน้ำเหลืองทั้งตัว พระปฏิบัติทนไม่ไหวก็เลิกลาไป พระติสสะก็นอนคอยความตาย คืนนั้นองค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดานั่งพิจารณาว่า วันพรุ่งนี้จะมีใครบรรลุมรรคผลบ้าง ก็ทราบว่าพระติสสะท่านนอนป่วยเวลานี้ พรุ่งนี้จะไปนิพพานจะเป็นอรหันต์ไปนิพพาน แต่ความจริงท่านยังไม่ได้พระโสดาบัน ในตอนเช้าพอฉันเสร็จ สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็เสด็จออกจากวิหาร ทำทีเหมือนเดินชมตามห้องต่าง ๆ ตามสถานที่ต่างๆ เดินเลียบๆ ไป พระเห็นพระพุทธเจ้าเดินไปก็เดินตามไป ในเมื่อถึงห้องพระติสสะก็ทรงแวะเข้าไปแล้วก็ทรงเปลื้องผ้าที่พระติสสะนุ่งห่มอยู่ จัดการต้มน้ำร้อน พอดีพระก็ช่วยต้มให้ เอาสบงจีวรแช่น้ำร้อนจนหายเปื้อน และพระองค์ก็ทรงเอาผ้าชุบน้ำร้อนพออุ่น ๆ เช็ดร่างกายพระติสสะตั้งแต่ศีรษะถึงเท้าจนเกลี้ยง น้ำเหลืองหมดจากตัว ตัวสะอาดดีแล้ว หลังจากนั้นองค์สมเด็จพระประทีปแก้วทรงตรัสว่า “ติสสะ.. (อย่าลืมนะว่าคนน่ะ ถ้าพระพุทธเจ้าทำอย่างนั้น ปีติมันก็เกิด ความดีใจมันเกิด ทั้งๆ ที่พระทิ้งแล้วนะ พระที่ปฏิบัติอยู่เห็นว่าไม่ไหวก็ทิ้งไปแล้ว ก็เหลือคนเดียว คิดว่าหมดที่พึ่ง นอนรอความตาย ในเมื่อพระพุทธเจ้าเอาไปทำอย่างนั้นเข้า ปีติความอิ่มใจก็เกิด ความดีใจมันก็เกิด) พระพุทธเจ้าตรัสว่า “อะจีรัง วะตะยัง กาโย ปาฐะวิง อะธิเสสสะติ ฉุฑโฑ อะเปตะวิญญาโน นิรัตถังวะ กะลิง คะรัง” ซึ่งแปลว่า “ติสสะ ร่างกายนี้ไม่ช้าก็มีวิญญาณไปปราศแล้ว ร่างกายก็ต้องถูกทอดทิ้งเหมือนกับท่อนไม้ที่ไร้ประโยชน์” เพียงเท่านี้พระติสสะฟังจบ ก็เป็นพระอรหันต์พร้อมปฏิสัมภิทาญาณ นิพพานในวันนั้น นี่แหละบรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่าน การเจริญพระกรรมฐานถ้ามีความฉลาดมันก็ไม่ยาก ถ้าไม่ฉลาดมันก็ยาก หรือการเจริญภาวนาก็เป็นของดี
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 3 ตุลาคม 2012
  11. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    ตอนที่ ๕
    มีจดหมายไปที่วัดหลายสิบฉบับ บอกว่าเจริญกรรมฐานมาประมาณ 20 ปีเศษ ส่วนใหญ่บอก 20 ปีเศษ ไม่เคยได้อะไรเลยไม่มีผลก้าวหน้า นั่นก็หมายความว่า เจริญแบบคนโง่ ไอ้คนโง่นี่อะไรมันหาความเจริญไม่ได้ ไม่ได้ดูตำราหรือตำราที่ดูแล้วก็ไม่จำไม่รู้จักคิด อ่านแล้วมันต้องคิดตามแล้วก็ต้องเลือกว่าตำราส่วนไหนเป็นของพระพุทธเจ้า ส่วนไหนเป็นของคนเขียน ต้องดูคนแต่งตำราด้วย คนแต่งตำราถ้าไม่รู้ ไม่รู้เรื่องก็แต่งส่งเดชตามความรู้สึกของตัวเอง ไอ้ตัวเองก็ไปนิพพานไม่ได้ ทีนี้จะสอนให้คนอื่นไปนิพพานจะไปได้ยังไง เมื่อมีความไม่รู้อยู่ก็สอนแบบผิดๆ ไอ้เราก็ปฏิบัติตามเขาสอนก็ปฏิบัติผิดๆ ทีนี้บรรดาท่านพุทธบริษัทที่จดหมายไปก็เช่นเดียวกัน คงจะอ่านตำราประเภทที่คนเขียนไม่ได้อะไรเลย ไม่รู้เรื่องของความเป็นพระอริยเจ้า จึงปฏิบัติไม่มีความก้าวหน้า ถ้าจะปฏิบัติให้ก้าวหน้าจริง ๆ อันดับแรก ก็ขึ้นต้น ทีแรกเมื่ออาตมาเรียนกับ หลวงพ่อปาน ท่านสอนไม่ว่ากับใครทั้งหมด ท่านให้ขึ้นวิปัสสนาญาณก่อน ท่านบอกว่าอันดับแรก กำหนดรู้ลมหายใจเข้าออก นี่เป็นสมถะ หลังจากนั้นก่อนภาวนาให้พิจารณาร่างกายว่า รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ มันเป็น อนิจจัง เป็นของไม่เที่ยง เป็น ทุกขัง มีความทุกข์เป็น อนัตตา มีความตายไปในที่สุด และไม่ใช่ว่าจนคล่อง ให้มองเห็นทุกข์จริงๆ ว่าร่างกายมันทุกข์อย่างไหน ทำไมมันจึงทุกข์ ความหิวทุกข์ ความกระหายทุกข์ ความป่วยไข้ไม่สบายเป็นทุกข์ ความปวดอุจจาระปัสสาวะเป็นทุกข์ ความปรารถนาไม่สมหวังเป็นทุกข์ ความพลัดพลาดจากของรักของชอบใจเป็นทุกข์ ความตายจะเข้ามาถึงก็เป็นทุกข์ มันเป็นอนิจจังคือไม่เที่ยง มันไม่เที่ยงมันก็เป็นทุกข์ อันดับแรก มีความสำคัญให้เห็นทุกข์ให้ชัด แล้วก็ต่อไปเห็น อนัตตา ว่าร่างกายต้องตายแน่ อย่างนี้เป็นวิปัสสนาญาณอย่างอ่อน และต่อจากนั้นไปท่านก็ให้ภาวนา คำภาวนาท่านก็สอนแค่ พุทโธ ให้ตั้งใจ คำว่า พุทโธ นี่ความจริงไม่ใช่เล็กน้อยนะบรรดาญาติโยมพุทธบริษัท ท่านสอนนี่เป็นของใหญ่มาก คือพระพุทธเจ้าไม่ต่ำ พระพุทธเจ้าน่ะสูงมาก พุทโธ เป็นชื่อของพระพุทธเจ้านั่นเอง หลังจากนั้นก็ให้กำหนดรู้ลมหายใจเข้าออก หายใจเข้า นึกว่า พุท หายใจออกนึกว่า โธ จากนั้นไปถ้าใครต้องการใช้ทางวิชชาสาม อภิญญาหก ปฏิสัมภิทาญาณก็ต้องหาเอง อันนี้ท่านไม่สอน แต่อาตมานี่สอน อาตมาสอนทั้ง 2 อย่าง ควบกันคือ วิชชาสามกับอภิญญาเล็กน้อย อภิญญานี่สอนมากไม่ได้ พอสอนขนาดกลางได้ เวลา 1 ปี คนทำได้ ฝึกถึงแค่ 10 นาทีก็ทำกันได้ ขนาดกลาง ไม่ใช่ขนาดหนัก ต่อมาหลังจากปีนั้นมา 10 ปีไม่มีใครได้เลย พระพุทธเจ้าสั่งให้ลดกำลังลง ลดกำลังสมาธิลง สอนแค่เบา ๆ ถึงทำกันได้มาก อย่าง 2 วันที่ผ่านมานี่ได้ 300 คนเศษ นี่ทำกันได้ ถ้าอย่างหนักนั่นหมายความว่าจะไปนรก สวรรค์ เอาร่างกายไปเลย ก็คงจะทำกันไม่ได้เลย แต่ยังไม่ถึงกาลเวลา เวลานี้กาลเวลาเริ่มเข้ามาถึงแล้ว เพราะตัวอย่างก็มี พระที่สุราษฎร์ธานี แต่นั่นไม่ใช่อภิญญา เป็นปีติตัวที่ 4 แต่ไม่ช้าก็ได้อภิญญาถ้าเป็นแบบนั้น สามารถลอยไปบนอากาศได้เมื่อจิตเป็นสมาธิ วนไปรอบเมืองสุราษฎร์ได้ เห็นทุกอย่างทั้งหมด แต่ถ้าตั้งใจจะมาวัดท่าซุงมันกลับลงที่เดิม นั่นมันเป็นอาการของปีติ ถ้าเป็นอภิญญาแล้วสามารถบังคับได้ เราจะไปไหนมันจะไปที่นั่นทันที จะไปช้าหรือไปเร็วก็ได้ ตามปกติมันจะไปเร็ว พอนึกปั๊บมันก็ถึงเลย ถ้าเราจะไปได้ช้าต้องประคองกำลังให้ไปช้า ๆ มันถึงจะช้าตามชอบใจ หรือถ้าบรรดาญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลายต้องการอภิญญา ก็ได้ ก็ต่อจากนั้นไปท่านก็สอนวิปัสสนาญาณ หลวงพ่อปานนะในด้านวิปัสสนาญาณนี่ท่านตั้งอกตั้งใจสอนเฉพาะ สักกายทิฏฐิ อย่างอื่นท่านสอนแต่ไม่เน้นนัก เน้นสักกายทิฏฐิเป็นใหญ่ให้มีความเข้าใจว่า ร่างกายนี้ไม่ใช่เราไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในร่างกาย ร่างกายไม่มีในเรา พอทำสมถะกับวิปัสสนาข้อนี้ควบกัน จิตใจก็สดใสมีอารมณ์สงบ ในช่วงนั้นยังเป็นฌานโลกีย์กันอยู่ บรรดาพระทั้งหลายที่สนใจวิชชาสามก็ทำวิชชาสาม ที่สนใจอภิญญาหกก็ทำอภิญญาหก ควบกันไป แต่การทำนี่ต้องค้นคว้ากันเองนะ การค้นคว้าต้องค้นคว้าในวิสุทธิมรรค ก็ทำถูกบ้างผิดบ้าง ผิดบ้างถูกบ้าง ที่ทำได้เร็วก็มี ทำได้ช้าก็มี ที่ไม่ได้เลยก็มี แต่เขาก็สามารถทำได้ แต่ทว่าจุดจบจริง ๆ ของการปฏิบัติก็ต้องการจุดเดียวคือ พระนิพพาน วิชชาสามก็ดี อภิญญาก็ดี ถ้าเรายังไม่ได้เราก็อยากจะได้ ดิ้นรนอยากจะได้ พอได้แล้วก็เบื่อ มันไม่รู้จะไปไหนไอ้สวรรค์ก็มีวงแคบ พรหมก็มีวงแคบ นรกก็มีวงแคบอยู่แค่นั้นเที่ยวไปเที่ยวมามันก็แค่นั้นแหละ มันไม่รู้จะไปไหน อยากกินก๋วยเตี๋ยว ก๋วยเตี๋ยวก็ไม่มีขาย ไม่มีก๋วยเตี๋ยวขายที่นรก สวรรค์ แปลก…กินน้ำชาก็ไม่มีน้ำชาขาย อยากกินโอเลี้ยงก็ไม่มี มันแห้งมันแล้งจะตายไปไม่น่าไป เราก็ไปจบกันดินแดนพระนิพพาน พอไปถึงพระนิพพานแล้วก็หมดอยาก ความต้องการจะไปไหนอีกไม่มี พอถึงนิพพานแล้วอารมณ์ก็จบ คือดินแดนที่สวยที่สุดคือพระนิพพาน ที่เขาบอกว่าสูญ แต่ความจริงมันไม่สูญ ตอนแรกไปเที่ยวสวรรค์ก็สนุก ที่นั่นก็สวยที่นี่ก็สวย ที่นั่นก็ดีที่นี่ก็ดี ไปมาใหม่ๆ ที่ไปแล้วก็อยากไปใหม่ ยังไม่เคยก็อยากจะไปอีก ไปจนทั่ว หนักเข้า ๆ คืนเดียวไปจบสวรรค์ หนักเข้าๆ คืนเดียวไปทั้งสวรรค์และนรก ไปทั้งหมดจรดแดน มันก็แค่นั้นแหละ แต่ก็ดีอย่างหนึ่ง ไปเห็นนางฟ้าเทวดาที่เกิดใหม่หรือพรหมที่เกิดใหม่ เราก็เข้าไปถาม ก็ได้ความรู้จากพวกนั้นว่าไปทำอะไรมาจึงเป็นนางฟ้าได้ เป็นเทวดาได้ เป็นพรหมได้ บางคนทำบาปไว้มากแต่ก่อนจะตายจิตเป็นบุญเล็กน้อย พอกราบพระประเดี๋ยวก็ตาย ก็ไปสวรรค์ได้ บาปตามไม่ทันไปเมืองนรกก็เหมือนกัน บางคนสร้างความดีไว้มาก อย่างพระองค์หนึ่งบวชตั้ง 72 พรรษา ไปลงนรกขุมที่ 7 เจ็ดเหมือนกันใช่ไหม ท่านชอบเลข 7 เพราะอะไร เพราะว่าตอนหลังมีความเข้าใจผิด คือหลงผิดเป็นมิจฉาทิฏฐิ เป็นอุปัชฌาย์ได้ของมากๆ ก็ส่งขายไปบ้าง ให้ชาวบ้านไปบ้างโดยไม่ถูกธรรม ของเขาถวายสงฆ์นี่ให้ชาวบ้านไม่ได้ ถ้าจะให้ไปต้องซื้อสงฆ์ เราต้องคู้ค่าของของ เมื่อของให้ไปก็จ่ายสตางค์ให้กับส่วนกลางเท่ากับจำนวนของอย่างนี้ได้ เอาไว้เป็นของส่วนกลาง นี่แหละบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย พูดมาพูดไปวันนี้ก็ทำท่าจะพูดไม่ไหวแต่พอพูดไปได้ เป็นอันว่าทุกท่านต้องการนิพพาน ให้หันมาหากายลูกเดียว คือ สักกายทิฏฐิ ที่แนะนำให้ทุกคนว่าก่อนจะหลับให้คิดในใจว่า เราต้องการพระนิพพาน แล้วนอกจากนั้นก็รับรู้ว่าร่างกายต้องตาย หนึ่ง 2. เคารพพระไตรสรณาคมน์ 3. เคารพในศีล เคารพในศีลต้องนับศีลด้วย ศีลข้อไหนเราบกพร่องบ้างพยายามทำศีลให้สมบูรณ์แบบ ให้จิตตั้งไว้เฉพาะพระนิพพานจุดเดียว โดยเฉพาะอย่างยิ่งท่านที่ได้มโนมยิทธิ คืออภิญญาและวิชชาสามควบกัน ก่อนจะหลับเมื่อศีรษะถึงหมอนเอาจิตไปตั้งไว้ที่นิพพาน ไปที่วิมานพระพุทธเจ้าก็ได้ไปที่วิมานของเราก็ได้ ถ้าไปที่วิมานของเราให้นึกถึงพระพุทธเจ้าจะพบท่านทันที แล้วตัดสินใจว่า ถ้าร่างกายนี้ตายเมื่อไรขอมาที่นี่เมื่อนั้น หมดเวลาพอดี ต่อนี้ไปขอบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย ตั้งใจสมาทานศีล สมาทานกรรมฐาน

    ที่มา:
    http://www.palungjit.org/smati/books/index.php?cat=183

    ลูกขอน้อมกราบแทบเท้าองค์ของหลวงพ่อฤาษีลิงดำด้วยเศียรเกล้าขอรับ _/|\_ สาธุๆ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 3 ตุลาคม 2012
  12. pporjai

    pporjai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    8,909
    ค่าพลัง:
    +16,491
    อนุโมทนากับคุณหมอด้วยค่ะ สาธุ สาธุ สาธุ
     
  13. pporjai

    pporjai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    8,909
    ค่าพลัง:
    +16,491
    ตื่นเช้าได้อ่านธรรมะสั่งสอนจากท่านหลวงพ่อฤาษีลิงดำ ผ่าน อ.ใหญ่ภู..
    ลูกจะน้อมนำมาปฏิบัติเพื่อสู่ทางสว่าง สาธุ สาธุ สาธุ..
     
  14. pporjai

    pporjai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    8,909
    ค่าพลัง:
    +16,491
    <TABLE class=tborder border=0 cellSpacing=1 cellPadding=6 width="100%"><TBODY><TR><TD class=thead>ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 13 คน ( เป็นสมาชิก 10 คน และ บุคคลทั่วไป 3 คน ) </TD><TD class=thead width="14%"><CENTER">[ แนะนำเรื่องเด่น ] </TD></TR><TR><TD class=alt1 width="100%" colSpan=2>pporjai*, Kim_UoonSo, kokojazz, Dhammanee, supatorn+, newwave1959, UncleGee, ภูทยานฌาน2, Natcha@uk </TD></TR></TBODY></TABLE>

    ธรรมะสวัสดีเช้าวันพุธทุก ๆ ท่านค่ะ
    ขอให้ทุก ๆ ท่านมีความสุขกาย สบายใจนะคะ
     
  15. pporjai

    pporjai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    8,909
    ค่าพลัง:
    +16,491
    ห้องเงียบจัง..พอใจส่งเพลงมาเป็นกำลังใจให้ทุก ๆ ท่านนะคะ..

    <EMBED id=music height=50 type=application/x-mplayer2 pluginspage=http://microsoft.com/windows/mediaplayer/en/download/ width=320 src="" showcontrols="true" showstatusbar="-1" autostart="true" loop="true">
    </EMBED>
    <INPUT id=song1 onclick=document.all.music.filename=document.all.song1.value; value=http://palungjit.org/attachments/a.2275079/name=Music type=radio>ทะเลใจพอใจร้อง...

    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=r-DgZo1u274"]talejai pporjai 2 10 55 - YouTube[/ame]​
     
  16. watjojoj

    watjojoj เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    562
    ค่าพลัง:
    +9,793
    ขณะนี้มีเพียงเรา คู่หูคู่ฮา (ลูกศิษย์หายหมดแล้ว 5555555 ครูเกษดุ )
     
  17. ลูกพลัง

    ลูกพลัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    413
    ค่าพลัง:
    +8,932
    ของมีอยู่เหมือนไม่มี

    ของมีอยู่เหมือนไม่มี

    โดย หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี
    เทศน์ ณ วัดเจริญสมณกิจ จ.ภูเก็ต
    วันที่ ๙ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๐๖

    วันนี้ไม่ใช่วันพระ แต่เป็นวัน ๔ ค่ำ ซึ่งเป็นวันอบรมกันเป็นพิเศษ ฉะนั้นต่อไปนี้จะได้แสดงธรรมว่าด้วย ของมีอยู่เหมือนไม่มี ให้ฟัง อันของมีอยู่เหมือนไม่มีนี้ ท่านว่าไว้มี ๔ อย่าง คือ

    มีโคนม ๑ มีโคถึก ๑ ไปฝากไว้ให้เขาเลี้ยง
    มีภรรยาเอาไปฝากในตระกูลพ่อปู่ ๑
    มีเงินให้เขายืม ๑

    ของ ๔ อย่างนี้นั้นมีเหมือนกับไม่มี นั่นเป็นของภายนอกตั้งหลักสูตรไว้ให้เรานำมาคิด เทียบเข้ามาในตัวของเรานี้ ตัวของเราที่ว่าเป็นเรา เป็นของๆ เรานั้นเป็นจริงหรือไม่ จะเหมือนกับของสี่อย่างที่ว่ามีเหมือนไม่มีอย่างไร

    คนเราเกิดมาเป็นหญิงเป็นชายแล้ว ก็ถือว่านั่นเป็นเรา เป็นของๆ เรา แท้จริงเป็นของสูญเปล่า สมกับที่พระพุทธเจ้าตรัสว่าเป็น “อนัตตา” ทั้งนั้น ที่ว่านั่นเป็นหญิง นั่นเป็นชาย หรืออะไรต่ออะไรนั้น เป็นเพียงชื่อสมมุติในวงที่รู้กันแคบๆ เท่านั้น เช่นคำที่เรียกว่า คนก็ดี ว่าหญิง ว่าชายก็ดี จะรู้กันได้ก็แต่เหล่ามนุษย์ชาติเราเท่านั้น สัตว์เหล่าอื่นเขาหาได้รับรู้ด้วยพวกเราไม่ เขาจะเห็นพวกเราเป็นอะไรก็ไม่ทราบ เหตุนั้น โดยมากเขาจึงพากันกลัวพวกเรา ดังพวกเราที่กลัวสัตว์บางจำพวกที่ไม่เคยเห็นฉะนั้น

    ดังเคยได้อธิบายมาให้ฟังแล้วว่า ตัวคนเรานี้ เมื่อสิ่ง ๔ อย่าง คือ ธาตุทั้ง ๔ ประกอบควบคุมกันเข้าแล้ว ก็เป็นรูปเป็นตัวขึ้นมา สิ่งทั้ง ๔ สลายตัวออกจากกันแล้ว รูปตัวก็ไม่มีเป็นธาตุ ๔ ตามเดิม แต่ถึงกระนั้น เมื่อได้รูปตัวอันนี้มาแล้วก็เข้ารับเลี้ยงดูปกปักรักษา ทะนุถนอมด้วยความเอาใจใส่เป็นพิเศษ เพราะความหลงไม่รู้เท่าเข้าใจตามเป็นจริง เป็นเหตุให้มีอุปาทานเข้าไปถือมั่นว่านั่นเป็นเรา นั่นเป็นของๆ เรา แต่รูปตัวนั้นก็หาได้รับรู้กับเราไม่ ว่าเราหลงยึดถือเอามันเป็นของตัว

    เรื่องรูปตัวเองที่ว่าเป็น “อนัตตา” นี้ ถ้าเราวางจิตของเราให้เป็น “กลาง” อย่าได้นึกคิดว่ารูปตัวอันนี้เป็นของเรา หรือเป็นของใครอะไรทั้งหมดแล้ว มาตั้ง “สติ” พิจารณาให้เป็นธรรม จะเห็นได้ง่ายอย่างชัดเจนทีเดียว คือ พิจารณาตามอาการที่มันเป็นอยู่ทุกๆ อย่าง เช่น เราเลี้ยงดูถนอมหอมรักมันอย่างดีที่สุดก็ดี หรือเราเห็นโทษเกลียดชังมันอย่างขนาดหนักก็ดี นี่เรื่องของเราที่มีต่อมัน

    คราวนี้เรื่องของรูปกายที่มีต่อเรา ใครจะทำอย่างไร ว่าอะไรก็ตามที มันไม่รับรู้ด้วยกับเราทั้งนั้น หน้าที่ของมันจะต้องแก่ก็แก่เรื่อยไป ไม่มีเวลาพักผ่อนให้โอกาสแก่ใครเลยตลอดเวลา ตั้งแต่นาทีแรกปฏิสนธิจนตาย ความเจ็บก็เช่นเดียวกัน เราจะพยายามรักษาสุขภาพอนามัยให้ดีที่สุด ก็รักษาได้เพียงเปลี่ยนหน้าความเจ็บเท่านั้น เช่น เจ็บในเวลานั่งเราจะต้องนอน เจ็บเวลานอนเราจะต้องลุกเดิน เจ็บในขณะเดินเราจะต้องยืนหรือนั่ง เปลี่ยนเจ็บอย่างนี้ตลอด ๒๔ ชั่วโมง หรือตลอดวันตาย (หมายความถึง ป่วยในอิริยาบถสี่)

    หากเจ็บไข้ด้วยโรคอื่น มีเป็นไข้ เจ็บหัว ปวดท้อง เป็นต้นก็เช่นเดียวกัน แต่นั้นเป็นอาการเจ็บจรมาเป็นครั้งคราว เจ็บดังกล่าวมาเป็นเบื้องต้นเป็นการเจ็บประจำซึ่งใครจะแก้ไขไม่ได้ ความตายก็เหมือนกัน ไม่ว่าหนุ่มแก่เด็กเล็กแดง แม้แต่อยู่ในครรภ์ของมารดาซึ่งพ่อแม่ยังไม่ได้เห็นหน้าเลยก็ตายได้ ใครจะร่ำไห้บ่นทุกข์อย่างไร ความตายมันไม่รับรู้ทั้งนั้น นี่ก็แสดงให้เห็นอย่างชัดแจ้ง ไม่มีเรื่องปิดบังอำพรางแล้วว่า รูปกายอันนี้เป็นของที่ไม่ใช่ของใคร ไม่อยู่ในอำนาจของใครทั้งนั้น

    ตา ที่มองเห็นรูปสวยๆ น่ารัก ตามันรักสวยยินดีพอใจด้วยหรือ ถ้าหากตารู้จักรักรูปสวยงามและพอใจแล้ว คนตาบอดก็คงจะหมดความชอบรูปสวยงามได้แล้ว หูฟังเสียงก็เช่นเดียวกัน อายตนะทั้ง ๖ เมื่อพิจารณาโดยนัยนี้ทั้งหมดแล้ว เขาจะไม่ได้รับประโยชน์อะไร จากการสัมผัสอายตนะภายนอกเลย ที่เห็นรูปและฟังเสียงได้เป็นต้นนั้น เป็นเพียงเสียงสะท้อน คลื่นของเสียงกระทบ เป็นต้นเท่านั้น ส่วนตาและหู เป็นแต่เพียงลำโพง หรือแว่นขยายเท่านั้น หาได้มีส่วนอะไรกับเขาไม่ ตา หู เป็นต้น ก็มิใช่ของเรา และก็มิใช่ของมันเองอีกด้วย เพราะมันเองก็ไม่มีสิทธิเสรีแก่ตัวเอง เพียงแต่เป็นเครื่องมือของคนอื่นเท่านั้น

    ถ้าเช่นนั้น ก็ใครเล่าเป็นผู้เห็นรูป ฟังเสียง เป็นต้น

    วิญญาณ ต่างหาก เป็นผู้เห็นรูป ฟังเสียง เป็นต้นเหล่านั้น แต่แล้ววิญญาณก็ไม่ได้อะไรจากการเห็น และการได้ฟังเสียงนั้นๆ วิญญาณทำหน้าที่เพียงเป็นผู้รู้ในการเห็นรูป ฟังเสียง ฯลฯ และหน้าที่อื่นๆ อีก แล้วก็หมดหน้าที่ของวิญญาณไป เหมือนกับลมมาปะทะต้นไม้ให้ปรากฏว่ามีลมเท่านั้น แต่ลมก็มิได้ติดอยู่ที่ต้นไม้นั้น

    แล้วใครเล่าที่ว่ารูปสวยงามน่ารักน่าใคร่พอใจ เสียงไพเราะน่าเพลิดเพลินสนุกจริง

    สัญญา สังขาร กับเวทนา สามอย่างนี้เป็นผู้รับหน้าที่ต่อ แล้วทั้งสามนั้นได้อะไร ก็ไม่ได้อะไร สัญญาเป็นเพียงประมูลได้ สังขารเป็นผู้รับเหมาก่อสร้าง เวทนาเป็นเพียงผู้รับค่าจ้างเท่านั้น ตกลงไม่มีใครได้อะไร

    ถ้าอย่างนั้น ค่าแรงงานใครเป็นผู้ใช้จ่าย ?

    ก็ จิต นั้นแหละเป็นผู้ใช้จ่าย เมื่อจิตได้รับค่าแรงงานอันเวทนาหยิบยื่นให้แล้ว จิตก็จะใช้จ่ายไปดูรูป ฟังเสียงอีก ยิ่งใช้จ่ายมากเท่าไร ก็จะได้ค่าแรงงานมากเท่านั้น ค่าแรงงานที่จิตได้นั้น เป็นค่าแรงงานลมเพราะจิตก็ไม่มีวัตถุ เป็นตัวลมเหมือนกัน ลมได้ลมมาเป็นสมบัติก็ไม่มีวันอิ่มวันเต็มได้ ตกลงลมได้ลม ลมยึดลม ลมเกิดขึ้นแล้วลมก็ดับไปเอง ไม่มีใครเป็นคนได้คนเสีย เป็นอันจบกันที

    เรื่องของมีอยู่เหมือนกับไม่มี มันเป็นอย่างนี้ ว่าไม่มีก็ปรากฏอยู่ ว่ามีก็ไม่เห็นได้อะไร เมื่อไม่ได้ ไม่เห็นผลแล้ว ทำอย่างไร ตามธรรมดาก็ต้องล้มเลิกกัน แต่เรื่องของอนัตตาแล้ว ไม่รู้จักล้มเลิกเป็น ยิ่งทำไม่เห็นก็ยิ่งขยัน จนเรียกว่าหลง ว่าเมา จนควันหลง ควันเมาเข้าตา ก็ไม่เห็นเอาเสียเลย

    มีปัญหาต่อไปว่า เมื่ออะไรๆ ก็เป็นอนัตตา และไม่มีใครได้ใครเสียแล้ว ก็อะไรจะมาเมามาหลงอยู่อีกเล่า

    ความหลงความเมา อนัตตา นั่นแหละยังเหลืออยู่ ถ้าหากรู้อนัตตาเสียแล้ว ความหลงความเมาก็หายไป อัตตาและอนัตตาก็ไม่มี คราวนี้ของไม่มีกลับเป็นของมีขึ้น คือ ตาเห็นรูป หูฟังเสียง เป็นต้น ดังได้อธิบายมานั้น ต่างก็ไม่มีของใครและไม่มีผู้ได้ผู้เสีย เป็นแต่ของเหล่านั้นสืบเนื่องเป็นปัจจัยแก่กันและกัน แล้วทำให้เกิดปฏิกิริยาขึ้นมา เป็นไปในรูปต่างๆ ทำให้จิตหลงเข้าใจผิด เข้าไปยึดถือเอาด้วยอาการต่างๆ ที่เรียกว่า “อัตตานุทิฏฐิ” เลยกลายเป็นกิเลส

    อุบายแยกอัตตา ถือว่ามีตนมีตัวด้วยความเข้าใจผิด เป็นเส้นชีวิตของสัตว์ทั้งหลายแต่ตั้งโลกมา โลกอันนี้จะตั้งเป็นโลกอยู่ได้ ก็เพราะความถือนั้น ศาสดาในโลกทั้งหมดก็ต้องมีมติอย่างนั้น พระพุทธเจ้าองค์เดียวเท่านั้น เป็นผู้ทรงรู้เห็นอุบายนี้ก่อนคนอื่นๆ ฉะนั้น เป็นโชคดีแล้ว ที่พวกเราพากันได้พระศาสดาที่มีหูตาสว่างกว่าศาสดาอื่นๆ และพวกเราก็ได้มาเลื่อมใสตั้งใจปฏิบัติตามคำสอนของพระองค์

    ยังเหลืออย่างเดียวว่า ทำไฉนพวกเราจะเข้าถึงธรรมของพระองค์ เห็นรูปกายอันนี้เป็นอนัตตาตามที่พระองค์ท่านแสดงไว้ เมื่อพวกเราพากันหยิบยกเอารูปกายตัวตนอันนี้ขึ้นมาพิจารณา ตามนัยที่ได้แสดงมาแล้วข้างต้น ก็คงไม่เป็นของเหลือวิสัย อย่างน้อยอาจมองเห็นทางแห่งอนัตตา เพราะอุบายนี้เป็นทางตรงเข้าถึงความเป็นจริงทุกประการ ดังได้แสดงมาสมควรแก่เวลา เอวัง.


    ขอให้ทุกๆท่านเจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไปด้วยเทอญ..สาธุสวัสดี
     
  18. klangprai

    klangprai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    5,167
    ค่าพลัง:
    +6,057
    สาธุค่ะ ท่าน อ.ภู เข้ามาทยอยอ่านธรรมค่ะ สำหรับเอ๋ผู้ยังมีอินทรีย์อ่อน จะค่อยๆนำไปพิจารณานะคะ

    ..................​
    สวัสดีค่ะคุณครูจิตบุญทุกท่าน และพี่ๆเพื่อนร่วมกระทู้จิตบุญ
     
  19. klangprai

    klangprai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    5,167
    ค่าพลัง:
    +6,057
    สวัสดีค่ะ ท่าน อ.ภูฯและคุณครูจิตบุญทุกท่าน รวมทั้งพี่ๆเพื่อนๆร่วมกระทู้ค่ะ
    เข้ามาอ่านธรรมมะ น้อมนำไปพิจารณาค่ะ​
     
  20. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,417
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
    พอใจส่งเพลงมาเป็นกำลังใจให้ทุก ๆ ท่านนะคะ..

    ++++++++++++++++++++++++++++++++++

    ขอบคุณคุณน้องพอใจค่ะ ฟังแล้วชื่นใจ เย็นใจ สบายใจค่ะ
    :cool:(kiss)
     

แชร์หน้านี้

Loading...