จิตพร้อม? รับภัยพิบัติ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย ภูภู, 6 เมษายน 2012.

  1. ทิวลิปขาว

    ทิวลิปขาว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    134
    ค่าพลัง:
    +1,555

    คุณลุงUncleGee สบายดีไหมคะ หน่อยเห็นลุงเกาะกระทู้มานามมากแล้วนะคะ
    ไปเจอคุณลุงที่กระทู้อื่นๆด้วย
     
  2. PlaiifarPP

    PlaiifarPP เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    50
    ค่าพลัง:
    +1,194
    ปฏิบัติแบบ กระจุ๋มกระจิ๋ม

    ถ้าถามว่า วันหนึ่งจะใช้เวลาไหนที่เหมาะที่สุด ก็ต้องตอบว่า เวลาไหนสบายที่สุด เวลานั้นเหมาะที่สุด ถูกไหม ในวันหนึ่งจะนั่งทำหลายครั้ง หลายสิบครั้งก็ได้ โดยที่ไม่ต้องนั่งขัดสมาธิ
    ถ้าทำงานทำการไปด้วย ถ้าจิตมันว่างนิดหนึ่ง จับคำภาวนาหายใจเข้าพุท หายใจออกโธ หรือภาวนาอย่างใดก็ได้ หรือจับลมหายใจเข้าออกเฉยๆชั่วขณะ ๒-๓ครั้ง ทำอย่างนี้เรื่อยๆไปโดยไม่ต้องกำหนดเวลา

    ถ้าหากทุกท่านที่เคยเจริญมโนมยิทธิมาแล้ว ถ้าทำอย่างนี้เป็นปกติ ทำแบบกระจุ๋มกระจิ๋มอย่างนี้เรื่อยๆไป นั่งเฉยๆก็ภาวนาไปบ้าง ให้จิตมันสบายจิตไม่วุ่น ใครเขาคุยก็คุย เลิกคุยนึกขึ้นมาได้ก็ภาวนาไปไม่ต้องนั่งหลับตา หรือว่านั่งรถนั่งเรือไปนึกขึ้นมาได้ก็ภาวนา เดินไปด้วยก็ภาวนาด้วย ตามสบายนิดๆหน่อย ไม่ต้องมาก ถ้าทำอย่างนี้ได้ทุกคน กำลังของมโนมยิทธิจะใช้ได้ทุกเวลา ต้องการรู้อะไรเมื่อไร จะรู้จะพบได้ทันที เป็นประโยชน์ใหญ่มาก ให้เข้าใจตามนี้นะ


    หลวงพ่อฤๅษี วัดท่าซุง



    ปฏิบัติกันสบายๆ ว่างนิดว่างหน่อยก็จับภาพพระ อยู่กับพระตลอด
    เหมือนคำพูดที่ว่า รักกันน้อยๆ แต่นานๆนะคะ อิอิ

     
  3. PlaiifarPP

    PlaiifarPP เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    50
    ค่าพลัง:
    +1,194
    เตือนจิต เตือนใจของเราว่า
    เราเกิดมาเป็นมนุษย์ ได้พบพระพุทธศาสนาแล้ว อย่าให้เสียเวลา
    ทุกลมหายใจเข้าออก ให้ภาวนาอยู่ในจิตในใจ
    เอาจนจิตใจดวงนี้ รู้แจ้ง แทงตลอด ในธรรมะปฏิบัติ
    ความลังเลสงสัยก็หายไป
    จิตใจก็จะก้าวหน้า ไปสู่ความพ้นทุกข์ภายในวัฏฏสงสาร

    หลวงปู่สิม พุทธาจาโร
     
  4. PlaiifarPP

    PlaiifarPP เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    50
    ค่าพลัง:
    +1,194
    "ความโลภ ความโกรธ ความหลง
    เราหาช่องทางปลดเปลื้องมันออกไป
    โลภก็มาจากหลง
    โกรธก็มาจากหลง
    หลงเพราะขาดปัญญา
    หลงเพราะขาดธรรมะ
    หลงเพราะขาดความสงบ
    สอนตัวเจ้าของให้มาก
    เตือนตัวเองให้มาก
    แม้มันยากแสนยากก็ให้พยายาม"

    หลวงปู่จาม มหาปุญฺโญ
     
  5. ธรรมมณี

    ธรรมมณี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,044
    ค่าพลัง:
    +14,027
    ธรรมทาน

    แอบฉกเอามาจากเมล์ ขออนุญาติเอามาลงเป็นธรรมทานนะค่ะ พี่แนท

    สำหรับ คำถามของครูเกษ

    1.พี่แนทเห็นว่า ร่างกายขันธ์ 5 นี้ เป็นของเรามั้ยคะ?

    ตอบ ไม่ค่ะ... รู้สึกชัดเจน ว่า มันไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา รู้ชัดว่าเราแค่มาอาศัยมันอยู่ มันเหมือนบ้านเช่าสกปรก...แต่เรายังหนีไปไหนไม่ได้ ก็ต้องอยู่ไปก่อน จนกว่ามันจะพัง เราก็จะไป ไปบ้านเราจริงๆที่ถาวรที่ๆ เราจะไม่ขอกลับมาอาศัยร่างกายอันสกปรกอย่างนี้อีกแล้ว กำลังใจในการตัดสินใจแบบนี้ เข็มแข็งขี้นเรื่อยๆ....คิดทุกวันค่ะ ยิ่งฝึกสติ แยกกาย แยกจิต... พี่เห็นการทำงานของกาย และ จิต และ กิเลสที่เข้ามา อย่างชัดเจนค่ะ มันแยกกันทำงานเป็นส่วนๆ และพี่ก็ได้เห็นการทำงานของกิเลสที่มันพยายามปรุงแต่ง และยุให้จิต สั่งให้กาย กระทำอะไรลงไปในสิ่งที่ไม่ควรทำ..... แต่ก็ได้เห็นอาวุธที่เฉียบคม ที่หาซื้อไม่ได้ เกิดขี้น มาทันที นั่นคือสติค่ะ สติจะ มายับยั้ง จิต ทันที และ สั่งให้ จิต เป็นอิสระ เป็นเอกเทศไม่ขี้นอยู่กับการยุยงของกิเลส (ราคะ โทสะ โมหะ ) แล้วก็นั่งดูมันไป ก็เห็น มัน เกิด มัน ดับ โดยที่ไม่ยุ่งกับมัน จึงเรียนรู้ว่า อ้อ ไอ้อารมณ์ทั้งหลายที่เกิดขี้น มันก็เป็นส่วนหนี่งของกาย ฉะนั้น ถ้ากายตายไป มันก็ตาย สลายไปด้วย ..(.พี่ได้เรียนรู้ตรงนี้ค่ะชัดเจนมากขี้น เมื่อช่วง3-4 ก่อน ที่พี่หายไป)..ดังนั้น.จึงไม่เกิดผลแห่งการกระทำที่ไม่ดี เกิดขี้น ... ตอนนี้ รู้สึกถึง คุณค่า แห่งการมีสติ ที่ครูย้ำนักย้ำหนาว่า เร่งสติ ตามจิตให้ทัน.. .รู้สึกได้เลยว่า จิตเราถูก กิเลส ที่เป็นรากเหง้าแห่งความชั่วครอบงำ มาโดยตลอด

    2. ตัวมานะนี้ เป็น ของเรามั้ย ?

    ไม่ใช่ของเราค่ะ ... เป็นของร่างกายมัน ... เมื่อร่างกายตาย สลายหายไปหมด ไอ้ตัวมานะ ตายเหมือนกัน มันก็ไม่มีตัวตนเหมือนกัน เมื่อเราวางการยึดถึอร่างกายแล้ว ไอ้ตัวมานะ ก็วางด้วย เพิ่งวางได้เมื่อวานนี้เองค่ะ เปิดสมองเลย วันนี้ก็เลยทำได้อย่างสบาย ทั้งกาย ทั้งใจ

    3. ถ้าธาตุลมดับ แล้วตายตอนนี้ เสียดายไหม? เพราะอะไร?

    ตอบ ได้ทันทีค่ะ ว่า พร้อมตาย ไม่เสียดายอะไรเลย พร้อมทิ้งขันธ์ 5 ทันที เพราะรู้สึกเบื่อมันมากขึัน รู้สึกถึงการเป็นภาระที่ต้องดูแลมัน ...ยิ่งเมื่อเช้าตอนเข้าห้องน้ำ ถ่ายออกมาเป็นเลือดหน่อยนีง..(จะเป็นเวลาท้องผูก).สติเช็คจิตทันที ...เรียบ เฉย ค่ะ ไม่ตกใจ ก็คิดทันที ช่างมัน เป็นเรื่องของมัน เป็นธรรมดาของมัน มันจะต้องเกิดถ้าไม่เรื่องนี้ก็ต้องเป็นเรื่องอี่น ...(ถ้าเป็นเมื่อก่อน ใจเต้นโครมคราม panic แล้ว) ก็ดีสิ...ถ้าตายตอนนี้ฉันก็จะทิ้งแกทันที ... ส่วนเรื่องอื่นที่ไม่ใช่ขันธ์5 ...เรื่องทรัพย์สินสมบัติ...ก็ไม่สนใจ เมื่อก่อนอยากได้ อยากมี อยากเป็น อยากไปหมด ... ตอนนี้พอมีทุกอย่าง.. กลับรู้สึกเฉยๆ มีก็รู้สึกเหมือนไม่มี ..มีให้ใช้ก็ใช้ไป ไม่ขวนขวายหามาเพิ่ม มาสะสม ไม่เอาแล้วค่ะ...พอ.. อารมณ์จิตตอนนี้ไม่ห่วงอะไรแล้วนะคะ... เพราะที่ผ่านมาครึ่งชีวิตนี้ ก็ได้ทำหน้าที่ต่างๆ ครบถ้วน สมบูรณ์ แล้ว .. หน้าที่ลูกที่ดี... หน้าที่ภรรยา...หน้าที่การเป็นพุทธมามกะ ก็ได้ทำล้วครบถ้วนและสมบูรณ์ยิ่งขี้น เมื่อมาปฏิบัติ จิต เกาะ พระ นี่ละค่ะ ครบ ทั้ง ศึล สมาธิ ปัญญา มองเห็นทิศทางของตัวเอง(จิต)ชัดเจนขี้น ...เห็นบ้านเราอยู่ไรๆ พร้อมทิ้งทุกสิ่งไว้บนโลกค่ะ จะไม่กลับมาเกิด มาอาศัยบนโลกนี้อีกแล้ว ..ไม่ว่าจะพรหม เทวดา ก็ไม่เอา เดี่ยวก็ต้องกลับมาอีก... ทุกข์อีก

    4. 20 ปีทีผ่านมา ทำบุญแต่ที่วัดท่าซุง แห่งเดียว มาตอนนี้ รู้สึกอย่างไร คิดอย่างไรบ้าง?

    เรื่องการทำบุญ ด้วยปัจจัย วัตถุสิ่งของต่างๆ ... เมือก่อนนี้ ทำเพราะอยาก หวังผลในนิพพานชาตินี้ แต่ถ้าไม่ได้ไป ก็ไปสวรรค์ก็ยังดี ไม่ต่อเอาข้างบน ก็จะเกาะบุญไว้ทีเดียว พอหลวงพ่อบอก โอ๊ย อานิสงฆ์อย่างนั้น อย่างนี้ กระเป๋า ก็เกลี้ยง ประจำ แต่มีความสุข... บุญไหนที่เราพลาดไม่ได้ทำ ไม่ได้ร่วมในพิธี โอ๊ยเสียดาย...

    แต่ตอนนี้มันแปลก..มันเฉย...รู้สึกว่าเราอิ่มแหละ...เราทำมาครบหมดแล้ว...มันรู้สึกพอเข้ามาในจิต.. ถ้าจะทำก็ยังทำได้ แต่ไม่หวังผลอี่นใด นอกจากเพื่อช่วยสงเคราะห์ในพระศาสนา ที่ไหนก็ได้ ไม่จำเป็นต้องเป็นวัดท่าซุง ถ้าเรามีโอกาส ที่จะทำได้ เราจะทำ และไม่จำเป็นต้อง เป็น เงิน อาจจะเป็นแรงกาย ก็ได้ คือถ้าตายตอนนี้ ไม่รู้สึกเสียดายเลยว่า โอ้ย บุญนั้น บุญนี้ เรายังไม่ได้ทำ ... เคยคิดไว้เสมอว่า ... ถ้าหากขันธ์ 5 นี้ ยังทรงอยู่ ก็จะใช้มันให้เป็นประโยชน์ และถ้าสิ้น คุณสามีไป อะไรที่เราพอจะช่วยเหลื่อ พระศาสนาได้ เพี่อเป็น การตอบแทน พระคุณ ของ พระศาสดา เราจะทำทันที

    ตอนนี้ เรื่องการขวนขวาย วิ่งหาทำบุญข้างนอก ไม่อยากแล้วค่ะ พอใจที่จะ ทำบุญ ด้วยการรักษาศีล และ เอาจิตเกาะพระ ตามดูจิตดูกาย ทำจิตให้ผ่องใส ขัดกิเลสออกจากจิต รู้สึกเป็นบุญใหญ่....เพราะเหมือนกับหาต้วเองเจอแล้ว

    สาธุ สาธุ สาธุ กับคำตอบในทุกข้อของพี่แนทค่ะ จิตเค้าวิปัสสนาญาณ จนเกิด ปัญญาญาณ รู้แจ้งแล้วในทุกสิ่งนะค่ะ โดยเฉพาะข้อ 4 ที่เกษถามเพิ่มเติมเข้าไป เพราะอยากจะวัดกำลังใจพี่แนทว่าแตกต่างจากตอนที่ยังไม่ได้ฝึกจิดเกาะพระมั้ย ยังไง? เพราะตอนนั้นจิตยังหยาบ และติดเปลือก คือหลงทำบุญภายนอกอยู่ แถมด้วยตัวทิฐฐิ อัตตา มานะ และอื่นๆ อีกเพียบ เพราะว่า วัดไหนๆ ตรูไม่ทำ ตรูจะทำแต่ที่วัดท่าซุงอย่างเดียว เพราะตรูนับถือและศรัทธา ลพ.ฤาษีลิงดำมากว่าท่านเป็นพระอรหันต์บารมีท่านเยอะ ถ้าตรูทำบุญกับท่านก็จะทำให้ตรูได้บุญเยอะตามไปด้วย วัดอื่นๆ ตรูไม่ทำ เพราะตรูจะได้บุญน้อย ขยายธรรมให้ซะเลย อิๆๆๆ
    ตอนนี้จิตพี่แนทเปลี๋ยนไป๋ อิๆๆ จิตท่านถึงแก่น จิตท่านถึงธรรม เพราะจิตท่านรู้แจ้งด้วยประการทั้งปวงแล้วนั้นเอง สาธุ....

    ใครที่มาเดินเล่น เดินชมสวน ในกระทู้นี้ พอได้มาเจอธรรมทานบทนี้ หากท่านเป็นผู้มีปัญญาก็คงจะพอรู้ได้นะค่ะว่า ที่นี้เป็นเพชรแท้ หรือว่า เพชรปล๊อม...

    คุณครูใหญ่พี่เพ็ญขา...อยู่ไหนค๊า..ช่วยมายืนยันให้หนูอีกทีด้วยค๊า..หนูส่งเมล์ไปแล้ว แต่สงสัยเมล์เยอะจัด ตามตอบไม่ทันแน่ๆ เลย...หนูเลยเอาลงมาตามที่กระทู้ซะเลย...ยิงปืนนัดเดียวได้นกหลายตัว คิๆๆ


    วันนี้ ตอบแค่นี้ก่อนค่ะครู

    พี่แนท
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 26 กันยายน 2012
  6. Linda2009

    Linda2009 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    956
    ค่าพลัง:
    +9,998
    aaaaaaaaaaaaaaaaaaaaaaaaaaaaaaaaaaaaaaaaaaaaaaaaaaaaaa
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  7. kongyai3

    kongyai3 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    58
    ค่าพลัง:
    +162
    ขอฝากบทแผ่เมตตาให้กับจิตบุญทุกท่าน ช่วยกันลดภัยพิบัติ คัดลอกมาจากกระทู้ สัญญาณฟ้าเตือนภัย ของท่านฮั้วโต๋

    แผ่เมตตา 3 โลกธาตุ เพื่อช่วยลดภัยพิบัติ

    ...อิทังปุญญผะลัง ผลบุญใดที่ข้าพเจ้าทั้งหลาย ได้บำเพ็ญเพียรมาดีแล้ว ปฏิบัติดีแล้ว ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันชาติ พร้อมด้วยบัญชีบุญทองคำ-อักษรทองคำ
    ขอน้อมถวายแด่สมเด็จพ่อ-สมเด็จพระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์-พระปัจเจกพระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์-พระธรรม-พระอริยสงฆ์เจ้าทุก ๆ พระองค์-พระผู้เป็นใหญ่ทุก
    พระองค์ 16 ชั้นฟ้า-15 ชั้นดิน
    เป็นพุทธบูชา-ปฏิบัติบูชา ของข้าพเจ้าทั้งหลาย และขอแผ่เมตตาและบุญกุศลนี้ร่วมกับสมเด็จพ่อ-สมเด็จพระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์-พระปัจเจกพระพุทธเจ้าทุก ๆ
    พระองค์-พระธรรม-พระอริยสงฆ์เจ้าทุก ๆ พระองค์ ไปทั้ง 3 โลกธาตุ เพื่อให้ทุกดวงจิตทั้ง 3 โลกธาตุ เทวพรหมโลก-มนุษย์โลก-นรกโลก-เจ้ากรรม-นายเวร
    ของข้าพเจ้าตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันชาติ-ได้โมทนาบุญเพื่อพระนิพพาน..นิพพานสุขัง นิพพานสุขัง นิพพานสุขัง สาธุ สาธุ สาธุ โมทนาสาธุ โมทนาสาธุ โมทนาสาธุ.....

    บทแผ่เมตตานี้ สมเด็จพ่อเมตตาประทานให้เมื่อคืนนี้ อาจารย์ขึ้นเทวสภา ในวันพระ สมเด็จเมตตาประทานโอวาทธรรม พร้อมให้สวดบทแผ่เมตตา 3 โลกธาตุให้มาก ๆ
    จะได้ช่วยบรรเทาภัยธรรมชาติได้..
    อาจารย์จึงอาราธนาบทสวดแผ่เมตตา 3 โลกธาตุ ที่อาจารย์สวดเป็นประจำและสวดบ่อย ๆ ในแต่ละวัน นำมาบรรยายบทสวดนี้ให้ทุกท่านได้นำไปสวดกัน
    และท่านใดอยากเผยแพร่บอกต่อให้ผู้อื่น ก็สามารถนำบทสวดนี้เผยแพร่บอกต่อได้เลย โดยไม่ต้องขออนุญาตจากอาจารย์ เพราะอาจารย์ไม่ใช่เจัาของบทสวดนี้
    สมเด็จเป็นเจ้าของ....
    เจริญในธรรม มีพระพุทธเจ้าในจิตให้มาก ๆ
     
  8. ธรรมมณี

    ธรรมมณี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,044
    ค่าพลัง:
    +14,027
    เอ้า..ยังไม่เสร็จคุณอีกเหรอ ก็เห็นทิ้งทั้ง ฮ๊อดเมล์ โคลเมล์ ให้กันแล้วนี้...สงสัยงานนี้ เราจะได้สอนคู่กันอีกคนซะแล้วล่ะม๊างงง...อิๆๆ:boo:
     
  9. ธรรมมณี

    ธรรมมณี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,044
    ค่าพลัง:
    +14,027
    แฮ๊ก แฮ๊ก แฮ๊ก...กว่าจะวิ่งไล่อ่านตามมาทันเล่นเอาซะเหงื่อแตกพลั๊กๆ เลยอ่ะ ขนาดทางนี้หนาวๆ น่ะเนี่ย นี้ผ่านไปแค่ 1 วัน 1 คืนเองน่ะ..โอ้โห..กระทู้ฮ๊อดฮิตจริงๆ ไรจริงเลยนะเนี่ย อิๆๆ:cool::cool::cool:
     
  10. UncleGee

    UncleGee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2012
    โพสต์:
    4,104
    ค่าพลัง:
    +10,246
    สวัสดีครับ
    สุขภาพผมก็ไม่ค่อยดี ก็เป็นไปตามวัยครับ
    ตอนนี้ผมเรียนอยู่กับ คุณครูลูกพลัง และ คุณครูดัช ครับ
    ผมอยู่ที่กระทู้อื่น (พวกแผ่นซุนด้าฯลฯ) มาก่อนครับ
    ขอบคุณที่ทักทายครับ
     
  11. บัวบุษกร

    บัวบุษกร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    23
    ค่าพลัง:
    +565
    เรียกว่า สาวน้อย ดีมั้ยค่ะ? สาวน้อยTom Tana สาวน้อยบัว สาวน้อยพี่เพ็ญ อืมม..ฟังดูดี คริ คริ..
     
  12. tuk187

    tuk187 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 เมษายน 2011
    โพสต์:
    91
    ค่าพลัง:
    +1,068
    จิตเกาะพระค่ะ มองแบบนี้หรือเปล่าคะ [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • fatboy.jpg
      fatboy.jpg
      ขนาดไฟล์:
      99.3 KB
      เปิดดู:
      44
  13. ThunwaNoppibool

    ThunwaNoppibool เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กันยายน 2012
    โพสต์:
    39
    ค่าพลัง:
    +500


    เดินเร็วๆ ก็ดีครับ ครูพี่เกษมีผ้าซับเหงื่อยังครับ อิอิ ผมว่าจะเหนื่อยอีก แน่นอนครับ ^^
     
  14. Kim_UoonSo

    Kim_UoonSo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    518
    ค่าพลัง:
    +5,937
  15. ลูกพลัง

    ลูกพลัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    413
    ค่าพลัง:
    +8,932
    อวิชชา8

    อวิชชา๘ อันมี

            ๑. ความไม่รู้ใน"ทุกข์" ที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนให้รู้ และให้ดับสนิทหมายถึงอุปาทานทุกข์หรืออุปาทานขันธ์๕, และมีสติรู้เท่าทันอุปาทานทุกข์ที่เกิดขึ้นเหล่านั้น  ที่ล้วนเกิดขึ้นมาจากเหล่าทุกขอริยสัจและทุกขเวทนาที่เป็นสภาวธรรม(ธรรมชาติ)หนึ่งของชีวิต ที่เมื่อเกิดขึ้นแล้ว แล้วต้องปฏิบัติอย่างไรจึงไม่เป็นเวทนูปาทานขันธ์ อันเป็นอุปาทานทุกข์ที่แสนเร่าร้อนเผาลน  คงเป็นเพียงทุกข์ธรรมชาติ,  และทุกข์นี้ มีกิจจญาณหรือกิจอันควรกระทำที่ประกอบปัญญายิ่ง คือ เป็นสิ่งที่ควร " รู้ "
            ๒. ความไม่รู้ใน"สมุทัย" เหตุให้เกิดทุกข์มาจากตัณหา ๓ (กามตัณหา-อยากในกามหรือในทางโลกๆ, ภวตัณหา-ความอยาก,  วิภวตัณหา-ความไม่อยาก, อยากดับสูญ) อันจักเป็นเหตุปัจจัยให้เกิดอุปาทานขันธ์ ๕ อันเป็นอุปาทานทุกข์,  สมุทัย มีกิจจญาณหรือกิจอันควรกระทำที่ประกอบปัญญา คือ เป็นสิ่งที่ควร " ละ "
            ๓. ความไม่รู้ใน"นิโรธ" เป็นเช่นใด ไม่เคยสัมผัส หรือไม่เข้าใจสภาวะนิโรธอันว่างจาก กิเลส ตัณหา อุปาทาน อันล้วนเป็นเหตุปัจจัยที่ต่อเนื่องสัมพันธ์กันอันยังให้เกิดอุปาทานทุกข์ ทําให้ไม่ทราบว่าดับทุกข์ได้แล้ว จักเป็นสุขสงบ หรือดับร้อน เยี่ยงใด?   คุ้มค่าให้ปฏิบัติไหม?   มีจริงหรือเปล่า?   หรือเข้าใจผิดไปจับสภาวะผลอันสงบเย็นของสมาธิหรือฌานเป็นสภาวะนิโรธ!  ทําให้จริงๆแล้วยังคงมีความสงสัยอยู่ลึกๆในจิต(วิจิกิจฉา),  นิโรธ มีกิจจญาณหรือกิจอันควรกระทำที่ประกอบปัญญา คือ เป็นสิ่งที่ควร " ทำให้แแจ้ง "
            ๔. ความไม่รู้ใน"มรรค" การปฎิบัติในการดับทุกข์ ควรปฏิบัติอย่างไร?   ศึกษาแล้วยังไม่เข้าใจ ปฏิบัติไม่ถูก ไม่รู้จะเริ่มตรงไหน?   วิธีใด?  ของใครถูกแน่? (อ่านรายละเอียดในอริยสัจ ๔),  มรรค มีกิจจญาณหรือกิจอันควรกระทำที่ประกอบปัญญา คือ เป็นสิ่งที่ควร " ปฏิบัติ "
            ๕. ความไม่รู้ใน"ความไม่รู้อดีต"  การไม่รู้ระลึกชาติ หรือภพที่เคยเกิดเคยเป็นในภพชาติต่างๆในปัจจุบันชาติ  หมายถึงการ ย้อนระลึกขันธ์๕หรืออุปาทานขันธ์๕ที่เคยเกิดเคยเป็น กล่าวคือไม่รู้ไม่เข้าใจขันธ์ ๕ ที่เคยเกิดๆดับๆ อันก่อให้เกิดอุปาทานทุกข์นั้นเกิดแต่เหตุปัจจัย และเหตุปัจจัยอะไร?  เพื่อเป็นเครื่องเตือนสติ เครื่องรู้ เครื่องระลึก อันก่อให้เกิดปัญญาญาณ และนิพพิทาญาณ อันยังให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้องในการดับทุกข์ (โยนิโสมนสิการปฏิจจสมุปบาทเรื่องภพ เรื่องชาติ จบแล้ว ลองย้อนมาพิจารณาอีกครั้ง)
            ๖. ความไม่รู้ใน"ความไม่รู้อนาคต" การไม่รู้อนาคต คือไม่รู้ไม่เข้าใจในการอุบัติ(เกิด) การจุติ(ดับ) ของขันธ์ทั้ง๕ว่าล้วนเกิดแต่เหตุปัจจัยจึงเกิดขึ้นและเป็นไปตามเหตุปัจจัยนั้น  เช่น  กรรมคือตามการกระทําที่มีเจตนาทั้งสิ้น  และอนาคตนั้นก็จักเป็นไปตามเหตุปัจจัยอันคือกรรมการกระทํานั่นเอง   ดังนั้นความทุกข์ในภายหน้าหรือชาติหน้าก็ล้วนเกิดดับอันเกิดแต่กรรมการกระทํา อันจักยังให้เกิดอุปาทานขันธ์๕เช่นเดิมหรือเกิดความทุกข์ขึ้นเฉกเช่นเดียวกับอดีต  ดังนั้นเพราะความไม่รู้ จึงประมาท จึงมิได้แก้ไขเยี่ยงไร เพื่อไม่ให้ทุกข์จะเกิดขึ้นมาได้อีก  กล่าวคือการรู้อนาคตเพราะรู้การเป็นไปตามเหตุปัจจัยนั่นเอง คือเมื่อเหตุเป็นเช่นนี้ ผลเยี่ยงนี้จึงเกิดขึ้นอย่างแน่นอน  อันเกิดขึ้นจากความเข้าใจในสภาวะธรรมอย่างถ่องแท้
            ๗. ความไม่รู้ในทั้ง"อดีตและอนาคต" จึงไม่เกิดการยอมรับและเข้าใจในเหตุปัจจัยต่างๆที่เกิดขึ้นอย่างถูกต้อง จึงไม่มีทั้งเครื่องระลึก เครื่องเตือนสติจากการระลึกอดีต,  และเกิดความประมาท ขาดการป้องกันจากการไม่รู้ทั้งอดีตและอนาคต
            ๘. ความไม่รู้ใน"ปฏิจจสมุปบาท"  ไม่ทราบ,ไม่รู้ กระบวนการเกิดขึ้นของทุกข์ และกระบวนการดับไปของทุกข์ จึงไม่รู้จักอาสวะกิเลส ตลอดจนตัณหาและอุปาทานที่แอบซ่อนนอนเนื่องอยู่ในจิตหรือในอวิชชา  เมื่อไม่รู้ไม่เข้าใจจึงไม่สามารถดับทุกข์ ที่เหตุปัจจัยได้อย่างเข้าใจและถูกต้องตามจริง  อันอุปมาได้ดั่งช่างยนต์ที่ไม่รู้ไม่ศึกษาเรื่องเครื่องยนต์ แล้วจักซ่อมเครื่องยนต์ให้ดีเยี่ยงใด?


    ขอให้ทุกๆท่านเจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไปด้วยเทอญ.. สาธุสวัสดี
     
  16. Kim_UoonSo

    Kim_UoonSo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    518
    ค่าพลัง:
    +5,937
    "อย่าหาข้ออ้างว่าไม่ได้ไปวัด, ในเมื่อเราสร้างวัดในจิตตนได้
    อย่าหาข้ออ้างว่าไม่ว่างปฏิบัติฯ, ในเมื่อเราปฏิบัติฯเองได้ในทุกๆ วัน
    อย่าหาข้ออ้างว่าไม่ค่อยได้เจอพระ, ในเมื่อเราสร้างพระในจิตตนได้
    อย่าหาข้ออ้างไม่ทำสิ่งใดๆ, แล้วตัดสินใจที่จะปล่อยเวลาผ่านไปโดยไร้คุณค่า
    จงอยู่กับพระทุกวินาที, เพราะทุกวินาทีมีค่า
    จงอยู่กับพระทุกลมหายใจ, เพราะทุกลมหายใจ หมายถึงชีวิตและความตาย"


    ...ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าจิตที่มีแต่เจตนาที่ดี...




    [​IMG]
     
  17. ทิวลิปขาว

    ทิวลิปขาว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    134
    ค่าพลัง:
    +1,555

    สาธุด้วยค่า ขอเจรฺิญในธรรม ฝึกสำเร็จโดยไวนะคะ เป็นกำลังใจขอให้สุขแข็งแรงหายขาดจากโรคภัยทั้งหลาย
    โอม เพี้ยง...โดยบารมีท่านพ่อค่ะ
     
  18. Wittayapon

    Wittayapon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    1,075
    ค่าพลัง:
    +19,233
    40+ นั่นแค่สิ่งสมมุติครับ
    แต่ข้างในของจิตบุญนั้น สุดแจ่มมมมม

    สาวๆ ใสๆ อาย ครับผ้มมมมมมมม



    จบ.๑๑ เรือลำนี้จะไม่จม
     
  19. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    ขอกล่าวเรื่องนิมิต​

    โดยเฉพาะผู้ปฎิบัติจิตเกาะพระ ที่มีของเก่าติดตัวมาตั้งแต่อดีตชาติ หรืออภิญญาอย่างใด อย่างหนึ่ง หรืออภิญญา๕ ได้แก่ อิทธิวิธี ทิพพโสต เจโตปริยญาณ ปุพเพนิวาสานุสติญาณ ทิพพจักษุ
    (ยกเว้นอภิญญา๖(อาสวักขยญาณ คือรู้การทำอาสวะให้สิ้นไป)


    ผมเคยกล่าวไปก่อนหน้านี้แล้ว แต่ผู้กำลังปฎิบัติใหม่นี้ อาจจะยังไม่ทราบ เพราะนิมิตนั้นเปรียบเสมือนของหวานสำหรับนักภาวน หรือผู้ปฎิบัติธรรมทั่วๆไป ไม่มีรายใดที่จะอดหลงใหล หรือแอบดูนิมิต ที่อาจจะแอบแฝงมาในรูปภาพ(ตาทิพย์) ในเสียง(หูทิพย์) ในจิต(จิตทิพย์) มาให้ผู้ปฎิบัติรู้ทางใดทางหนึ่ง ผมเคยกล่าวไปแล้วว่า ถ้าผู้ปฎิบัติมีของเก่าเดิมอยู่แล้ว ได้แก่ อภิญญา ตั้งแต่ข้อ๑-๒-๓-๔-๕ (ยกเว้น อภิญญาข้อสุดท้าย หรือข้อที่๖ เพราะข้อที่๖ นี้เป็นของอริยบุคคลจะฝ่ายสงฆ์หรือฆราวาส ระดับอรหันต์ เพราะอภิญญาข้อที่๖ นี้จะหมาย อาสวักขยญาณ หมายถึง ผู้ที่ทำอาสวะให้สิ้นไป หรือผู้ที่ไกลจากกิเลส ผู้ที่ปราศจากกิเลส นั่นเอง ) เป็นต้น
    สำหรับผู้ที่มีของเดิม หรือของเก่าติดตัวมาตั้งแต่ในครั้งอดีต เมื่อจิตของผู้ปฎิบัติเข้าขั้นละเอียดแล้ว หรือในขณะที่จิตทรงฌานแล้ว จิตท่านก็จะพบนิมิตอาจจะแตกต่างกันไป โดยเฉพาะผู้มีของเดมมาก่อน อาจจะเป็นพวกหูทิพย์ ตาทิพย์ หรือจิตไปล่วงรู้ในวาระจิตของผู้อื่นและสัตว์ได้ แต่ผมเคยทราบมาจากในนิมิตและถามในนิมิตว่า ทำไม? บางคนเห็นนิมิตเป็นภาพชัดเจนเหมือนตาเปล่าดูทีวี เป็นภาพเคลื่อนไหวบ้าง เป็นภาพไม่เคลื่อนไหวบ้าง หรือเห็นเป็นภาพสี เห็นเป็นภาพขาวดำ คนจำพวกนี้เขาเคยได้อภิญญา ประเภทตาทิพย์ ส่วนหูทิพย์ คือ เมื่อจิตเข้าสู่ความสงบ ความว่าง หรือจิตละเอียดมาก หูก็อาจจะได้ยินเสียงคนกำลังคุยกัน ระยะทางห่างไกลไม่สำคัญ ได้ยินหมด และพวกที่รับรู้ทางจิตทั้งมนุษย์ อมนุษย์หรือแม้นกระทั่งสัตว์ เท่าที่ผมเคยถามในนิมิตว่า ทำไมบางคนหูทิพย์ บางคนตาทิพย์ มีอภิญญาไม่เหมือนกัน บางท่านอภฺญญาข้อเดียว บางคนมีครบ๕ข้อเลย ยกเว้นข้อ๖ แต่ถ้าใครมีอภิญญาข้อที่๖ตั้งแต่อดีจ ก็จะไม่กลับมาเกิด เพราะได้บำเพ็ญมาดีแล้ว คือจิตปราศจากกิเลสทั้งปวง ซึ่งหมายถึงจิตที่อรหันต์แล้ว ย่อมไม่มาเกิดในสังสารวัฎ ทั้ง ๓๑ ภพหรือภูมินั้นแล้ว นอกเสียจากมีเหตุอันต้องมาจุติเพื่อกาลใดกาลหนึ่งเท่านั้น

    หรือนิมิตจึงเปรียบเสมือนผู้หญิงแสนสวย ที่ต่างผู้ชายก็ต้องแลมอง อยากที่จะชม หรืออยากจะได้มาครอบครอง นั่นเอง มันเป็นธรรมดา มันเป็นธรรมชาติของสัตว์มนุษย์โลก ผู้ซึ่งไม่รู้ ผู้ที่มีสติปัญญารู้ไม่เท่าทันกิเลสตนหรือกิเลสจรมา นิมิตที่มาให้เห็น ที่จะได้กล่าวต่อไปนี้
    หรือนิมิตตามที่ครูเรียกชื่อเฉพาะ หรืออาจจะเรียกไปตามลักษณะอาการของจิตที่ไปรู้มาทั้งของตนเองหรือของผู้ปฎิบัติ นั่นก็แค่ภาษาสมมุติเท่านั้น สำหรับผู้ปฎิบัติท่านใดมีความรู้ปริยัติมากกว่าครูผู้สอน จงได้โปรดเก็บไว้ในใจชั่วคราวก่อน อย่าเพิ่งไปถาม อย่าไปอวดรู้ตอนที่กำลังปฎิบัติ แต่อยากให้ผ่านไปก่อน อย่าสงสัยนอกเรื่อง นอกประเด็น เดี๋ยวจะทำไม่สำเร็จ เพราะติดตัวสงสัย หรือตัวรู้มากของตนเองนี่แหล่ะ คนที่ฉลาดเขาจะเก็บ หรืออบภูมิไว้ก่อน อย่าไปเพิ่งแสดงว่าตนเก่งกว่าครู เก็บความเก่งของตนไว้ก่อน แต่ตอนนี้เรากำลังจะเอาความรู้จากครูหรือผู้แนะนำ อย่าเพิ่งไปขัด เดี๋ยวท่านจะเสียโอกาส เสียเวลามรรคผลเสียปล่าว
    ภาษาสมมุติที่ครูเรียกกันที่นี่ (เป็นภาษเฉพาะ ภาษเหตุการณ์ ซึ่งครูจะนำมาตอบให้กับผู้ปฎิบัติ อย่าได้ถือเอาเป็นจริง เป็นเอาจัง กับภาษาสมมุติหรือเปลือกภาษา เพราะอาจจะเรียกเอาตามที่ตนเองรู้ ตามที่ตนเองเข้าใจ เพราะครูส่วนใหญ่ที่นี่ไม่มีใครไปเรียนปริยัติ แต่ที่นี่เน้นปฎิบัติมากกว่าปริยัติ แต่ถ้าใครอยากรู้ให้ถูกต้อง100%เต็มก็อาจจะไปหาความรู้จากตำรา หรือไปเทียบตำราอีกทีนะ เพราะครูที่นี่ไม่ได้บวชกาย แต่บวชจิตเฉยๆ ได้โปรดอย่าดูภายนอก ให้ดูจิตท่านละเอียดไหม)

    เปลือกภาษา ภาษาเปลือก หรือภาษาสมมุติ ได้แก่ (พี่ภูกับครูเพ็ญหรือครูท่านอื่น หรือผู้ปฎิบัติ พากันขำ+กลิ้งถ้าเป็นคนอวบระยะสุดท้ายนะ เพราะไม่ได้ขำเปล่าๆจะต้องมีกลิ้งด้วย..อิอิ)
    รูหนอน(จิตเริ่มรวมตัวเป็นหนึ่ง จิตกำลังเป็นสมาธิล้วน(ฌาน) บางทีเราเรียกกันว่า อุปจารสมาธิ(อาการที่จิตเฉียดฌาน)) อันนี้รากศัพท์มาจากครูดรรชนี(ดัชชี่)
    กระโดดฌาน(สลับฌาน) อันนี้ผม ครูเพ็ญบอกว่าตั้งแต่ปฎิบัติธรรมาจนหัวจะงอกแล้ว(ป่านนี้หงอกรึยังไม่รู้ ฮ่าๆ) ท่านบอกว่า ยังไม่เคยพบเคยเห็น แต่เคยได้ยินแค่ฌานถอย ฌานเสื่อม หรือสลับฌานไปมาเท่านั้น ฮ่าๆ พอท่านมาเจอภาษาพี่ภู มะนาวต่างดุ๊ดเข้าให้ ครูเพ็ญท่านไปไม่เป็นเหมือนกัน ฮ่าๆ
    หรือว่าผู้ปฎิบัติเจอศัพท์แสลงที่ไหนอีก มาแลกเปลี่ยนกัน เอาแบบสร้างสรรค์นะ อย่ามาพูดวิชาการมากนัก ที่ฝึกจิต ไม่ใช่มาฝึกเอาเป็นเอาตาย ไม่ใช่ฝึกมนุษย์กบ ไม่ใช่เสือคาบดาบ หรือแมวคาบหนู ฮ่าๆอะไรก็ได้ มาแชร์กันนะ ขำดี นี่แหล่ะธรรมะคือ ธรรมชาติ น่าปฎิบัติทำหน้าตาย หรือว่าหน้าเด้ง(ตอนนี้กำลังขายดี) เด้งไปเด้งมา เด้งจนเน่าไปก็มี อันนี้ไม่ขำแร๊ะ มีแค่ไหนก็แค่นั้นนะ ออย่าให้กิเลสมันพากันไปมากนัก เพราะในที่สุด จะสวยแค่ไหน เวลาตายไป เห็นเหม็นเน่าทุกรายไป ปลงซะ...

    บทสรุปของคำว่า "นิมิต"
    ในขณะจิตของผู้ปฎิบัติที่กำลังทรงฌานอยู่นั้น ไม่เห็น ไม่มี ไม่เกิดนิมิตใดๆทั้งสิ้น อันนี้ท่านบอกว่าเป็นข้อดีนะ เพราะในขณะที่จิตเงียบสงัดอยู่ภายในนั้น แต่ถ้าไม่มีนิมิตมารบกวนจิต จิตก็จะพัฒนาหรือยกระดับสูงขึ้นไปตามลำดับจิตของเขาเอง โดยอัตโนมัติ แต่ถ้าผู้ปฎิบัติเกิดเห็นภาพต่างๆ ได้ยินเสียงต่างๆ หรือจิตไปรับรู้เรื่องราวต่างๆ อันนี้ถือได้เปรียบคนอื่น แต่ถ้า..(ฟังให้ดี)ผู้ปฎิบัติท่านั้น สติยังอ่อนหรือสติน้อยเกินไป หรือสติมีเยอะนะ แต่ติดตัวอยาก ตัวรู้ของตนเอง เพราะผู้ปฎิบัติลืมคำสอน ลืมคำเตือนจากครูวิทย์ไปแล้ว ท่านบอกกับผู้ปฎิบัติว่า อย่าอยาก อย่าดื้อให้เชื่อฟังครู อย่าไปคาดหวังกับผลการปฎิบัติของตน อย่าไปเน้นภาพพระชัดหรือไม่ชัด ตรงนี้ผู้ปฎิบัติก็หลงทางกันมาก (โดยเฉพาะนักภาวนาหรือผู้ปฎิบัติ ไม่ว่าจะกรรมฐานกองไหน ท่านให้ทำอยู่สามอย่าง ก็คือ หนึ่งตามดูจิต ตามรู้จิต ที่บอกว่าให้ตามดูจิต ตามรู้จิตนั่นน่ะมันหมายถึงอะไร คือให้ตามดูอาการหรืออารมณ์ของจิต นั่นเอง อย่างอื่นเขาไม่ได้บอกให้ทำ ก็อย่าไปทำ เช่น อย่าไปหลงดูนิมิต เพราะนิมิตนั้นมีทั้งจริงและหลอก อย่าได้ถือเอามาเป็นจริง เป็นจัง บางคนถือเป็นบ้า เป็นบอ เพราะสติตามจิตไม่ทัน เพราะฉะนั้นจิตก็ตามนิมิตหรือสิ่งมาหลอกไม่นั้นนั่นเอง จำไว้ นิมิตก็ไม่เที่ยง แล้วผู้ปฎิบัติจะเอาทำเกลือ หรือเอาไปเพื่ออะไร เพราะในเมื่อผู้ปฎิบัติบอกกับตนเองก่อนที่จะมาปฎิบัติว่า ปฎิบัติเพื่อมรรคผลนิพพาน ก็แปลว่า ปฎิบัติเพื่อความหลุดพ้น จิตผู้ที่จะไปพระนิพพานจะต้องไม่มีคำว่า หลงเด็ดขาด จำไว้ให้แม่นๆ แต่มีบางท่านพอปฎิบัติไปสักพัก เริ่มหลงตนเอง เพราะคนอื่นทำไม่ได้ เห็นหรือได้ยินหรือจิตไปรับรู้เรื่องราวมากมายเหมือนตนเอง บางรายหลงตนไปยึด หลงตนเองว่าเป็นผู้วิเสษ แต่ถ้าผู้ปฎิบัติท่านใดเป็นแบบนี้นะ เตรียม...เตรียมตัวบ้า ธรรมะตรงนี้หลวงพ่อฤาษีลิงดำท่านก็เคยกล่าวให้พวกเราฟังมานานแล้ว แต่ผมอ่านมาจากธรรมะของท่าน แล้วนำมาปฎิบัติตนเองอีกทีนึง จึงไม่หลง จึงไม่บ้า เพราะหลวงพ่อบอกวิชากันบ้ามาให้พวกเราแล้ว ทำไมผู้ปฎิบัติไม่น้อมจิตมาปฎิบัติ แต่ดันไปหลงสิ่งชั่วคราว แทนที่ปฎิบัติเพื่อปราศจากกิเลสทั้งปวง หรือเพื่อความหลุดพ้น แต่กลับได้อัตตามานะเพิ่มมากขึ้น อันนี้หนักกว่ากิเลสหยาบซะอีกนะ เพราะท่านหลังนี้สอนยาก ไม่มีใครสอนได้ ออกทะเลไปไกล อุปาทานบันธ์กินหัวกบาลก็ยังไม่ทราบ แต่จะทราบก็ต่อเมื่อ มีสติมากและมีปัญญาเป็นของตนเอง โน้นแหล่ะ ไม่รู้เมื่อไหร่จะพ้นจุดตรงนี้ ระวังกันนะ อย่าไปโทษคนอื่นหรือว่ามาร เพราะตนเองนี่แหล่ะ มีสติไม่เพียงพอ) แต่ถ้าตักเตือนแล้วไม่ฟังทำหูทวนลม ครูไม่ปล่อยเกาะ แต่จะปล่อยแฮนด์ฟรี คือตรูไม่อยากสอนคนดื้อนะเฟ๊ย อะไรประมาณนี้ ไม่มีครูบาอาจารย์ที่ไหนชอบเด็กดื้อหรอก เพราะดื้อได้แต่อดวิชาความรู้(บ่นจบ) เพราะฉะนั้นแล้วความอัศจรรย์ของจิตคนเรานี้ ก็คือ เมื่อเรียนรู้ครั้งเดียว จิตเขาจะจำตลอดไป หรือจำข้ามภพ ข้ามชาติ เพราะนิมิตนั้นถือเป็นกรรมของแต่ละบุคคล กรรมหมายถึง อาจจะเป็นกรรมดีหรือกรรมไม่ดี

    สรุปของสรุป นิมิตเป็นแค่ตัวหลอก แต่จะหลอกได้เฉพาะผู้ปฎิบัติมีสติน้อยเกินไป สติคือเพื่อนแท้ของจิต สติเป็นอาหารเลิศรสของจิต เพราะสตินี้เองที่จะทำให้จิตนิ่ง จิตมีความสุข เช่น ติดสุขจากฌาน แต่ผู้ปฎิบัติฌานฌานก่อนในเบื้องต้น แต่พอถึงแล้ว ทั้งครู ทั้งสำนัก ทั้งฌาน ทั้งสุข ทั้งบุญก็ไม่เอาสักอย่าง อย่าลืมนะ โดยเฉพาะผู้ที่จะไปพระนิพพาน จะต้องทำให้จิตว่างมากที่สุด หรือปราศจากิเลสทั้งปวง ตัด ดับ ฆ่าให้หมด อย่าให้เหลือเชื้อ จิตที่ฝึกมาดีแล้ว ย่อมอยู่กับร่างกาย อันเต็มไปด้วยความทุกข์ กิเลสหนาของร่างมนุษย์ได้ โดยไม่ได้รู้สึกร้อนใจใด คืออยู่ก็เป็นสุข ตายไปก็เป็นสุข แค่นี้พอ อย่าไปสนในคำว่า จิตอรหันต์ แต่ถ้าใครสนใจ ก็แสดงว่า จิตยังมีความโลภอยู่ลึกภายในใจ เพราะเราจะได้คำว่า อรหันต์ไปทำไป เอาไว้อวดใครหรอ ต้องถามตนเองให้ดีๆนะ โดยเฉพาะจิตบุญขี้สงสัยไม่เลิก หรือจิตบุญที่มีอินทรีย์อ่อน ครูที่นี่ได้มอบยานหรืออุปกรมณ์หากินให้แล้ว บอกวิธีใช้ให้ไปแล้ว ดูสิว่าสอนทานอาหารเวิศรสแล้ว จะหวนกลับไปชิมกิเลสอันแสนสกปรกกันอีกไหม ตามใจท่านแล้ว เพราะหมดหน้าที่ของครูที่นี่แล้วนะ ขนาดพระท่านเป็นพระอรหันต์แล้ว ท่านก็ยังเจริญสติภาวนาอยู่เป็นนิจ เป็นนิสัย ทำจนชำนาญ เช่น ท่านยังเดินจงกรม ทำสมาธิกันเลย แล้วเราๆท่านๆหล่ะ จะละทิ้งสติกันหรอ? ทิ้งได้เลย แต่ถ้าทิ้งสติเมื่อไหร่ จิตก็โง่เขลาเมื่อนั้น แล้วอย่ามาร้องกันนะว่าจิตเป็นทุกข์ เดี๋ยวจิตก็สั่งตนเองให้ไปหาที่สงบเอง ไม่เชื่อจิตบุญ ท่านลองทำสติห่างจิตกันดูก็ได้

    ปล. ผิดพลาดประการใด กระผมขอน้อมรับผิดแต่เพียงผู้เดียว และขอบพระคุณมาก ที่อ่านจนจบ และขอขอบพระคุณเป็นอย่างสูงที่ตำหนิเตียนมา และผมจะรีบนำไปแก้ไขให้ถูกต้องต่อไป เพราะคนที่ตำหนิ ว่ากล่าวตักเตือนผมนั้น ผมถือว่าเป็นครูอาจารย์ผมครับ
    เพราะผมถือว่าสุภาษิตว่า "ทำดีได้แต่อย่าเด่นจะเป็นภัย" หรือพายุสุริยะจะมา ฮ่าๆ คนด่ายังยิ้มได้ สงสัยพวกเดียวกับพลพล ไม่ต้องมาด่าอีกนะ เพราะผมยอมแพ้ทุกประเด็น
    หรือ "คนที่ไม่เคยทำอะไรผิดพลาด คือคนที่ไม่เคยทำอะไรเลย"
    อาทิเช่น คนที่เข้ามาอ่านกระทู้อย่างเดียวเลย หรือคนที่จะจ้องคอยจะจับผิดชาวบ้าน เอ่อ สงสัยหน้าที่ของท่าน แต่ผมมีหน้าที่ทำให้ท่านจับผิด คนอุตส่าห์ตั้งใจทำดี ยังมีคนมาด่าได้เน๊อะ แถมด่าเสร็จ บ้านเขาอยู่ที่ไหนไม่รุ๊(กระทู้หรือสำนัก?) แต่ช่างเขา ความสุขเขาก็ทำไป ผมบ่นคนเดียวไม่เกี่ยวกับ ไม่เกี่ยวก็ถอยไป ใครกันเปิดเพงนี้ให้ผมฟัง ตอนพายุถล่มกระทู้ ฮ่าๆ เอาขำอีก รู้ตัวว่ามีความเห็นต่างแล้วจะเข้ามาทำไม๊ก็ไม่รุ๊ จะว่าหลงเข้าก็ไม่ใช่ เห็นนนั่งจ้องมาหลายวันแล้ว อย่าหาว่าไม่รู้ว่าใครเป็นใครนะ รู้แต่จะพูดหรือเปล่าเท่านั้น มาอีกผมก็ยกมืออีก แฮ๊ะๆยอมแพ้ ยกธงขาวก่อนแล้วนะ อย่ามาอีกนะ กลัวแล้วๆ ผมเปิดกระทู้เพื่อวัตถุประสงค์เดียวก็คือ ยกจิต ไม่ใช่มาทำจิตตนเองหรือผู้อื่นตกนะ ฟังให้ดีๆเสียก่อน บอกตามตรงว่าผมไม่กล้าทะเลาะด้วย เพราะอายท่านพ่อและหลวงพ่อฤาษีลิงดำเขกหัวเอา ท่านไม่ต้องการให้ลูกหลานท่านทะเลาะกัน ท่านอยากให้พวกเราพากันรักษาศีล ทำภาวนากัน ต่างคนต่างปฎิบัติ จิตใครจิตมันดูแลกันเอง กิเลสใครกิเลสมันฆ่ากันเองเด้ออีนางเด้อ อ้ายเด้ออ้าย ฮ่วยยย

    แค่นี้ก่อน เดี๋ยวจะยาวไป ฮ่าๆ
     
  20. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=X_xlJrSf59I]อย่าคิดมาก - ขจรศักดิ์(Thailovesong.com) - YouTube[/ame]​


    เดี๋ยวจะหาว่ากระทู้นี้มีแต่ธรรมะ ธรรมะะ

    เพลงก็มี นักร้องก็มีแล้ว นักตลกก็มีเยอะ เด็กเสิร์ฟก็มีแล้ว ดีกรีเป็นถึงจิตบุญทั้งนั้น ไม่มีคำว่า "หลง" หลงลงรูหนอน...อิอิ
    อยากจะขำให้กลิ้ง ธรรมะวันนี้ขอเสนอเรื่อง "รูหนอน" สำนวนโวหารของครูดรรช(คฝปค.)เขา
    ตายล่ะหว๋า คราวนี้พี่ภูจะรอดไหม๊เนี๊ย พายุเพิ่งจะสงบไปไม่นาน พี่ภูจะหาเรื่องอีกแล้ว "ความวัวไม่ทันหาย ความควายเข้ามาแทรก" เห่อๆ เรื่องนี้จะถึงหูครูดรรชหรือเปล่าก็ไม่รู้ครูเพ็ญ คุณลินดา หรือคุณปุ๋มว่าไงหล่ะเราน่ะ ขอยาลม ยาอม ยาทาหน่อย ทำไมจิตมันขำ+แจ่มใสจัง!
    อย่าคิดมากนะ...ตะเอง
     

แชร์หน้านี้

Loading...