ประเทศไทยจะเกิดอุบัติภัยอย่างที่ทำนายกันจริงๆหรือไม่

ประกาศ !! อ.นครไทย เป็นพื้นที่เสี่ยงภัยโคลนถล่ม <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"> <tbody><tr> <td bgcolor="#cccccc" height="1"></td> </tr> </tbody></table> <table border="0" cellpadding="4" cellspacing="0"> <tbody><tr> <td class="body" align="left" valign="baseline">โดย ผู้จัดการออนไลน์</td> <td class="date" align="left" valign="baseline">24 สิงหาคม 2550 17:57 น.</td> </tr> </tbody></table> <table border="0" cellpadding="4" cellspacing="0" width="100%"> <tbody><tr> <td align="center" valign="middle"></td> </tr> </tbody></table> จ.พิษณุโลก ประกาศให้ อ.นครไทย เป็นพื้นที่เสี่ยงภัยโคลนถล่ม หลังฝนตกหนักจนโคลนถล่มทับคนหาของป่า เสียชีวิต 1 คน และได้รับบาดเจ็บ 2 คน
ขณะที่มูลนิธิอาสาเพื่อนพึ่ง (ภาฯ) ยามยาก นำสิ่งของพระราชทาน มอบให้แก่ประชาชนใน จ.พังงา ที่ถูกน้ำท่วม โดยเฉพาะที่ ต.โคกเคียน อ.ตะกั่วป่า ที่มีผู้ประสบภัยถึง 655 ครัวเรือน

 

<table class="mxtable" align="center" bgcolor="#ffffff" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"><tbody><tr><td height="120" valign="top">

โคลนภูเขาถล่มดับ1เจ็บ2​

เกิดเหตุดินโคลนถล่มทับชาวบ้านที่เดินออกไปหาของป่าบนภูเขา เสียชีวิต 1 รายและบาดเจ็บ 2 ราย บริเวณหมู่ที่ 1 บ้านทุ่งนาใหญ่ ต.นครชุม อ.นครไทย จ.พิษณุโลก เมื่อเวลา 18.00 น. วันที่ 23 สิงหาคม ต่อมา ร.ต.อ.ภูวเนตร ภูวเนตรบดี ร้อยเวร สภ.ต.นครชุมเข้าตรวจสอบที่เกิดเหตุโดยเดินเท้าเข้าไปถึง 5 กิโลเมตร พบศพนายสำราญ รัตนโค้น อายุ 36 ปี เสียชีวิตจมอยู่ใต้พื้นดินโคลน ขณะที่ผู้ได้รับบาดเจ็บ 2 รายยังไม่ทราบชื่อ

ขณะที่นายกิตติพงศ์ ศิริสานนท์ นายอำเภอวัดโบสถ์สั่งการให้ฝ่ายปกครองและผู้ใหญ่บ้านเตรียมพร้อมรับมือสถานการณ์น้ำในแม่น้ำแควน้อยตลอดเวลา หลังจากฝนตกหนักต่อเนื่อง ส่งผลให้ระดับน้ำในแม่น้ำแควน้อยที่ไหลมายัง อ.วัดโบสถ์ และผ่านโครงการก่อสร้างเขื่อนแควน้อยในเขต ต.คันโช้ง อ.วัดโบสถ์สูงขึ้น ทำให้ประชาชนที่อยู่ท้ายเขื่อนตั้งแต่ ต.คันโช้ง ต.หินลาด ต.บ้านยาง และ ต.วัดโบสถ์เกรงโครงการเขื่อนแควน้อยที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างจะรองรับน้ำไม่ไหว อย่างไรก็ตาม นายประพล นุชจาวิทยาพร วิศวกรอาวุโส กล่าวว่า โครงการได้เปิดระบายน้ำและขอยืนยันว่ามีความปลอดภัย

ส่วนว่าที่ ร.ท.พงศ์ศักดิ์ สนั่นพัฒนพงศ์ ผู้อำนวยการวิทยาลัยเทคนิคพังงา มอบหมายให้นายสุเทพ ยงยุทธ์ รองผู้อำนวยการวิทยาลัยเทคนิคพังงา ออกสำรวจวางแผนและจัดส่งนักศึกษาออกไปให้การช่วยเหลือในจุดต่างๆ เช่น ที่หมู่ 3 ต.ถ้ำน้ำผุด อ.เมือง ภายใต้โครงการ "อาชีวศึกษาร่วมด้วยช่วยประชาชน"
(คอลัมน์:ข่าวหน้า 1)
</td><td rowspan="3" width="18"> </td></tr><tr><td align="right">มติชน </td></tr><tr><td align="right">24 ส.ค. 2550</td></tr></tbody></table>

 

จาก”แคทรีน่า” ถึง”ดอมเรย” เมื่อพระเจ้าส่งสาส์นถึงมนุษย์

เรื่อง: กฤษกร วงค์กรวุฒิ
แคทรีน่า คือ ”คำเตือน” ของพระเป็นเจ้า.....
Ta Kung Pao , ฮ่องกง
เมืองนิวออร์ลีนส์ ได้ถูกบันทึกในประวัติศาสตร์ว่า เป็นเมืองใหญ่เมืองแรก ที่ประสบหายนะจากสภาวะโลกร้อน
Taiwan News, ไต้หวัน
แม้ว่ายอดผู้เสียชีวิตจะน้อยกว่าคลื่นยักษ์สึนามิ แต่แคทรีน่า สร้างความตื่นตระหนกได้ยิ่งกว่า เมื่อได้ตระหนักว่า
มนุษย์เอง เป็นผู้เพิ่มอำนาจทำลายล้างให้กับพายุเฮอริเคน......ความเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิเพียงน้อยนิด ได้ก่อให้เกิดสภาพลมฟ้าอากาศที่เลวร้ายอย่างยิ่ง
The Sydney Morning Herald , ออสเตรเลีย
กรมอุตุนิยมวิทยาของสหรัฐ มีความก้าวหน้ามาก สามารถแจ้งข้อมูลที่แม่นยำวินาทีต่อวินาที แต่ภาวะผู้นำกลับล้มเหลว ในการเตรียมการรับมือความพิโรธของลมฟ้าอากาศ
Ma'ariv, อิสราเอล
มันยากยิ่งที่จะยอมรับความจริงว่า นี่คือผลจากสภาวะโลกร้อน ซึ่งเป็นสาเหตุของปรากฎการณ์ธรรมชาติที่นับวันจะ
ทวีความรุนแรงยิ่งขึ้นทุกที แคทรีน่า เป็นเพียงแค่คำเตือน
El Diario de Hoy, เอล ซัลวาดอร์

<table align="right"> <tbody><tr> <td height="149">
</td> <td valign="top"><table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"> <tbody><tr> <td bgcolor="#cccccc"></td> <td bgcolor="#cccccc"></td> <td bgcolor="#cccccc"></td> </tr> <tr> <td bgcolor="#cccccc"></td> <td></td> <td bgcolor="#cccccc" width="1"></td> </tr> <tr> <td bgcolor="#cccccc" width="1"></td> <td bgcolor="#cccccc"></td> <td bgcolor="#cccccc" width="1"></td> </tr> </tbody></table></td> </tr> <tr> <td height="149" width="15">
</td> <td valign="top" width="158"><table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"> <tbody><tr> <td bgcolor="#cccccc"></td> <td bgcolor="#cccccc"></td> <td bgcolor="#cccccc"></td> </tr> <tr> <td bgcolor="#cccccc"></td> <td></td> <td bgcolor="#cccccc" width="1"></td> </tr> <tr> <td bgcolor="#cccccc" width="1"></td> <td bgcolor="#cccccc"></td> <td bgcolor="#cccccc" width="1"></td> </tr> </tbody></table></td> </tr> <tr> <td height="28" valign="top">
</td> </tr> </tbody> </table> นี่คือ ทัศนะของหนังสือพิมพ์บางส่วนจากทั่วโลกต่อพายุ
เฮอริเคนแคทรีน่า ที่พัดถล่มพื้นที่ชายฝั่งอ่าวเม็กซิโกของสหรัฐ ได้แก่เมืองนิวออร์ลีนส์ หลุยส์เซียน่า และมิสซิสซิปปี้ สร้างความเสียหายครั้งร้ายแรงที่สุด นอกจากแคทรีน่า ยังมีเฮอริเคนอีกหลายลูกก่อตัวตามมา เดชะบุญ ที่สลายตัวไปก่อนที่จะขึ้นฝั่ง แต่ก็สร้างความระส่ำระสายไปทั่ว ในบ้านเราเอง ก็เป็นช่วงที่ต้องเผชิญกับพายุดีเปรสชั่นหลายต่อหลายลูก เมืองเชียงใหม่ถูกน้ำท่วมหลายต่อหลายครั้งในรอบปี ล่าสุดก็เผชิญกับพิษสงของดอมเรย
แม้ว่าเฮอริเคน จะเป็นปรากฎการณ์ธรรมชาติ ที่เกิดขึ้นตามฤดู โดยเกิดขึ้นระหว่างเดือนมิถุนายน – ตุลาคม แต่หากพิจารณาถึงอัตราเร่งของการทวีความรุนแรงที่ผิดปกติ ทำให้นัก
วิทยาศาสตร์ด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของโลก แน่ใจว่า ภาวะโลกร้อน มีส่วนอย่างยิ่ง ในการ ”เพิ่มอำนาจ” ทำลายล้างให้กับแคทรีน่า
นับจากยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม ซึ่งมนุษย์เริ่มนำเชื้อเพลิงจากฟอสซิลมาใช้ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ จนถึงปัจจุบัน มนุษย๋ได้ปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกขึ้นสู่บรรยากาศ โดยเฉพาะคาร์บอนไดออกไซด์ เพิ่มมากขึ้นจากวัฏจักรตามธรรมชาติ
ก๊าซเรือนกระจกเหล่านี้ จะกักความร้อนไว้ที่ผิวโลก เป็นเหตุให้โลกมีอุณหภูมิสูงขึ้น โดยพบว่า ในรอบสองร้อยปีที่ผ่านมา โลกมีอุณหภูมิสูงขึ้นกว่าในยุคก่อนปฏฺวัติอุตสาหกรรม 0.7 องศาเซลเซียส
โลกที่ร้อนขึ้น 0.7 องศา เพิ่มพลังทำลายล้างให้กับพายุได้อย่างไร ต้องมาทำความเข้าใจกับการก่อตัวของเฮอริเคน และพายุอื่น
เฮอริเคน คือ พายุหมุนกำลังแรงมีความเร็วลมใกล้ศูนย์กลางมากกว่า 118.4 กม.ต่อชม. ขนาดของพายุอาจสูงถึง 16 ก.ม. กว้างถึง 800 ก.ม. พายุชนิดนี้ หากเกิดในมหาสมุทรแปซิฟิก และแถบบ้านเรา เรียกว่า ไต้ฝุ่น ถ้าเกิดในมหาสมุทรอินเดีย เรียกว่า ไซโคลน
ปัจจัยหลักที่ก่อให้เกิดเฮอริเคน ก็คือ อุณหภูมิอากาศเหนือผิวน้ำ น้ำทะเลในเขตร้อน มีอุณหภูมิสูง ก็จะคายความร้อนให้กับอากาศเหนือผิวน้ำ ทำให้อากาศอุ่นขึ้น และลอยตัวสูงขึ้นในลักษณะหมุนเป็นเกลียว เกิดเป็นศูนย์กลางความกดอากาศต่ำ ทำให้ลมประจำฤดูพัดเข้ามาแทนที่ การหมุนของโลกทำให้ อากาศอุ่นชื้นที่ยกตัวขึ้นหมุนเป็นเกลียว เมื่อลอยสูงขึ้นไปก็เย็นตัวลง เกิดเป็นหอคอยเมฆฝนขนาดมหึมา ที่หมุนด้วยความเร็วสูงเคลื่อนที่ไปข้างหน้าด้วยความเร็ว 32 ก.ม.ต่อชั่วโมง หรือ 500 – 600 ก.ม.ต่อวัน ไปได้ไกลร่วม 5,000 ก.ม. ถ้าเฮอร์ริเคน อ่อนกำลังลงอย่างช้าๆ ก่อนขึ้นฝั่ง ก็จะเป็นพายุฝนฟ้าคะนอง เกิดน้ำท่วม
แต่ถ้ามีปัจจัยแวดล้อมอื่นๆ โดยเฉพาะอุณหภูมิอากาศเหนือผิวน้ำเพิ่มสูงขึ้น จะทำให้อากาศอุ่นลอยตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว อากาศที่ไหลมาแทนที่จะเคลื่อนมาด้วยความเร็วสูง ทำให้มันทวีกำลังแรงขึ้นหลายเท่า และนั่นหมายถึง หายนะความเร็วสูง ที่เคลื่อนไปข้างหน้าพร้อมกับความชื้นสะสมมากกว่า 2 , 000 ล้านตันต่อวันเข้าปะทะทุกสิ่งที่ขวางหน้า ดังที่เกิดขึ้นกับเมืองนิวออร์ลีนส์ และอีกหลายเมืองใหญ่ในสหรัฐฯ
ภูมิอากาศโลก มีกลไกสำคัญที่ควบคุมไม่ให้เกิดความปรวนแปรของอากาศ นั่นคือ กระแสน้ำในมหาสมุทร ที่พาน้ำอุณหภูมิสูงไปยังซีกโลกตอนเหนือ จนมีอุณหภูมิลดลง แล้ววนกลับมา กระแสน้ำนี้เองที่ช่วยไม่ให้อุณหภูมิผิวน้ำมีความแตกต่างมากเกินไป
แต่ผลจากภาวะโลกร้อน ได้ทำให้อุณหภูมิของน้ำในมหาสมุทรทุกแห่งของโลกเพิ่มสูงขึ้น เพราะดูดซับความร้อนได้ดี เช่นเดียวกัน น้ำในมหาสมุทรแอตแลนติก แถบอ่าวเม็กซิโก ก็มีอุณหภูมิสูงขึ้น อากาศเนือผิวน้ำบริเวณนี้จึงอุ่นกว่า จากการติดตามการก่อตัวของพายุพบว่า แคทรีน่า เป็นเฮอริเคน ที่ไม่มีพลังมากนัก เพื่อพัดผ่านฟลอริด้า แต่ทันใดนั้น เมื่อข้ามมาถึงอ่าวเม็กซิโก ความรุนแรงก็เพิ่มอย่างไม่คาดฝัน จากเฮอริเคนระดับ 1 ไปเป็นระดับ 4 ภายในไม่กี่ชั่วโมง
แบบจำลองที่สร้างด้วยคอมพิวเตอร์ คาดการณ์ผลกระทบที่เกิดจากภาวะโลกร้อนออกมาในภาพรวม ดังที่ทราบกันทั่วไป คือ ทำให้น้ำแข็งขั้วโลกละลาย น้ำในมหาสมุทรเพิ่มขึ้น ในอนาคตอันใกล้ อาจทำให้หมู่เกาะปะการังหลายแห่งจมหายไป ที่ราบลุ่มชายฝั่ง ถูกน้ำทะเลท่วมถึง ซึ่งสิ่งเหล่านี้ คือผลกระทบในระยะยาว นอกจากนี้ การที่อุณหภูมิของโลกสูงขึ้นจากภาวะเรือนกระจก ยังส่งผลกระทบต่อ การหมุนเวียนของกระแสน้ำในมหาสมุทร เพราะน้ำที่เข้มข้นต่ำ จะไม่จมตัวลง ทำให้น้ำทะเลอุณหภูมิสูงกว่าจากเขตร้อน เคลื่อนมาแทนที่ได้น้อยกว่า ด้วยเหตุนี้ ซีกโลกเหนือ ที่ได้รับอิทธิพลจากกระแสน้ำอุ่น ช่วยบรรเทาความหนาวเย็น ก็จะต้องเผชิญกับอากาศหนาวจัดกว่าปกติ ส่วนในเขตร้อน น้ำทะเล จะมีอุณหภูมิสูงขึ้นไปอีก เพราะมีการสะสมความร้อนเพิ่มขึ้น เป็นสาเหตุให้พายุที่เกิดขึ้นมีความรุนแรงกว่าเดิม
สภาพการณ์ที่ดังกล่าวนี้ ทำให้มีแนวโน้มว่า จะเกิดพิบัติภัยทางธรรมชาติที่รุนแรงอย่างฉับพลันทันที และมีจำนวนครั้งมากขึ้น ไม่ใช่เหตุการณ์ที่จะนำการเปลี่ยนแปลงมาอย่างช้าๆ อีกต่อไป
สหรัฐอเมริกา ปฏิเสธลงนามในพิธีสารโตเกียว และเป็นประเทศที่ปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์จากภาคอุตสาหกรรม และขนส่ง สูงที่สุดในโลก คิดเป็นสัดส่วนถึงหนึ่งในสี่ ของคาร์บอนไดออกไซด์ ที่ปล่อยออกมาจากทั่วโลก พิบัติภัยจากแคทรีน่า ทำให้บางคนมองด้วยความสะใจว่า เป็นความรุนแรงที่สาสมแล้ว หากแต่วิกฤติโลกร้อนนั้นส่งผลกระทบถึงมนุษยชาติทั้งมวล ไม่เฉพาะประเทศใดประเทศหนึ่ง ไม่แบ่งความรับผิดชอบตามส่วน ทำนองใครปล่อยมากรับผลมาก ประเทศยากจน ก็ต้องเผชิญกับทุกขภิกภัยเช่นเดียวกันกับประเทศมีอันจะกิน แต่น่าเศร้าก็คือ ประเทศร่ำรวย มีศักยภาพในการป้องกัน และบรรเทาหายนะจากภัยธรรมชาติได้ดีกว่า ในขณะที่ประเทศยากจน จะเป็นความเลวร้ายอย่างที่สุด
สำหรับประเทศไทยนั้น มีแนวโน้มที่จะได้รับผลกระทบจากภาวะโลกร้อนที่เชื่อมโยงเป็นลูกโซ่ กล่าวคือ อุณหภูมิที่เพิ่มขึ้น จะทำให้อัตราการระเหยของน้ำสูงขึ้น เกิดภาวะแห้งแล้ง น้ำในเขื่อนลดลง ส่งผลต่อภาคเกษตรกรม ขณะเดียวกันในเขตที่มีฝนตกชุก จะมีปริมาณฝนหนาแน่นกว่าปกติ เพราะความชื้นในอากาศเพิ่มขึ้น ก่อให้เกิดปัญหาน้ำป่าไหลหลาก แผ่นดินถล่ม เกิดน้ำท่วมฉับพลันบ่อยขึ้น เนื่องจากเราตัดไม้ทำลายป่าในระดับต่ำไปมากจนเหลือป่าที่ช่วยจัดการน้ำน้อยลง ดังที่ภาคเหนือของเรากำลังเผชิญอยู่จากพิษสงของ ”ดอมเรย” ส่วนพายุที่รุนแรงระดับเกิดแบบฉับพลัน ระดับเดียวกับแคทรีน่า แม้จะยังไม่เคยเกิด แต่ไม่มีใครยืนยันจะไม่มีสถานการณ์เช่นนั้น
หากการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ยังดำเนินไปในระดับที่เป็นอยู่ เป็นที่คาดการณ์กันว่า อุณหภูมิโลก จะเพิ่มขึ้นอีก จาก 0.7 องศาไปถึง 1.5 – 4.5 องศาเซลเซียส ภายใน 50 – 100 ปีข้างหน้า แนวโน้วที่เกิดขึ้นทุกวันนี้ มนุษย์ยังคงใช้พลังงานจากฟอสซิล โดยเฉพาะถ่านหินในอัตราที่เพิ่มขึ้นทุกปี จึงเป็นไปได้ว่า อุณหภูมิจะเพิ่มสูงขึ้นเร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้ ห้วงเวลานับจากนี้ อาจกล่าวได้ว่า มนุษย์ ได้นำสิ่งมีชีวิตทั้งมวลก้าวมาสู่ยุคแห่งความเสี่ยงอย่างยิ่ง สภาพดินฟ้าอากาศ จะรุนแรง และทวีอำนาจการทำลายล้าง ชนิดที่ไม่อาจใช้ประสบการณ์เดิมตลอดยุคสมัยของมนุษยชาติมาเป็นบรรทัดฐานเพื่อสร้างเครื่องป้องกันใดๆ
อนาคตที่น่าพรั่นพรึงนี้ ป้องกันได้ด้วยการไม่ทำให้โลกร้อนไปกว่านี้ นั่นคือ ลด และ เลิกการใช้พลังงานที่ก่อให้เกิดก๊าซเรือนกระจกให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ อุณหภูมิเพิ่มขึ้น 2 องศา ที่โลกกำลังร้อนขึ้น อาจหมายถึงโลกอีกใบ ที่แคทรีน่า คือ เฮอริเคนธรรมดาๆ ลูกหนึ่ง แน่นอน มันย่อมไม่ใช่โลกสีน้ำเงินอันแสนงดงาม ที่เราเคยรู้จักอีกต่อไป

http://www.wwfthai.org/th/newsandfact/feature_stories/katrina.asp

 

ไฟไหม้ห้องเครื่อง รถปอ.538 ผู้โดยสารกว่า 50 ชีวิตวิ่งหนีตายอลหม่าน

เจ้าหน้าที่ระดมฉีดน้ำ โชคดีไม่มีใครได้รับบาดเจ็บ ด้านคนขับระบุ ขณะขับขึ้นทางด่วนหลักสี่ไฟลุกจากห้องเครื่อง ลามห้องโดยสาร ด้านตร.คาดสิ่งแปลกปลอมอุดตันคอท่อไอเสนีย เตรียมเรียกคนขับรถสอบละเอียดอีกครั้ง


(25สค.) เวลา 08.45 น.

พ.ต.ท.สืบศักดิ์ ภาษยะวรรณ สว.เวร สน.วิภาวดี ได้รับแจ้งเหตุเพลิงไหม้รถโดยสารประจำทางบนทางด่วนโทลล์เวย์หลักสี่ ด้านหน้าอาคารจุฑามาศ ถนนวิภาวดีขาเข้า แขวงตลาดบางเขน เขตหลักสี่ กทม. จนทำให้การจราจรติดขัดจึงรายงานให้ผู้บังคับบัญชาทราบแล้วรุดไปตรวจสอบพร้อมเจ้าหน้าที่ดับเพลิงจากศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธรณภัยบางเขน


เมื่อไปถึงที่เกิดเหตุ พบรถโดยสารประจำทางปรับอากาศสาย 538

สีฟ้า-ขาว ทะเบียน 12-8055 กทม. เลขข้างรถ 538-1 วิ่งระหว่างอนุสาวรีย์ชัยฯ-ม.ราชมงคล คลอง 6 จ.ปทุมธานี จอดอยู่ที่ขอบทางด้านซ้าย พบเพลิงกำลังลุกไหม้จากห้องเครื่องและลุกลามไปถึงห้องโดยสารด้านหน้าทั้งหมด เจ้าหน้าที่ดับเพลิงจึงใช้ค้อนทุบกระจกฝั่งคนขับ ระดมฉีดน้ำโดยใช้เวลาประมาณ 30 นาทีจึงควบคุมเพลิงไว้ได้ โชคดีที่ไม่มีผู้โดยสารบาดเจ็บและเสียชีวิต


จากการสอบสวน นายคณาญา ทิพย์พันธุ์ อายุ 59 ปี คนขับรถโดยสารคันดังกล่าว ให้การว่า

ก่อนเกิดเหตุตนเพิ่งจะขับรถรับผู้โดยสารออกมาจากอู่แถว ม.ราชมงคลคลอง 6 จ.ปทุมธานี เป็นเที่ยวแรก พอตนขับรถขึ้นทางด่วนหลักสี่มาได้สักระยะ ก็ได้กลิ่นหม็นไหม้มาจากบริเวณห้องเครื่อง จึงได้รีบนำรถชิดขอบทางเพื่อตรวจสอบ แต่ขณะนั้นได้มีแสงเพลิงลุกออกมาจากห้องเครื่องและลุกลามเข้ามาในห้องโดยสารส่วนหน้าอย่างรวดเร็ว ทำให้ผู้โดยสารกว่า 50 คนรีบวิ่งหนีลงจากรถกันอลหม่าน


เมื่อผมตั้งสติได้จึงรีบนำถังดับเพลิงที่ติดอยู่บนรถมาฉีดจนหมดไป 1 ถัง

แต่ก็ไม่สามารถควบคุมเพลิงได้ จนต้องวิ่งหนีลงจากรถเพื่อโทรศัพท์แจ้งเจ้าหน้าที่ดับเพลิงให้มาช่วยเหลือ นายคณาญา กล่าว


ด้านพ.ต.ท.สืบศักดิ์ กล่าวว่า

จากการตรวจสอบในเบื้องต้นคาดว่าแสงเพลิงน่าจะเกิดจากมีสิ่งแปลกปลอมเข้าไปอุดตันบริเวณคอท่อไอเสียซึ่งยึดอยู่กับห้องเครื่อง เนื่องจากพบรอยไหม้จนคอท่อไอเสียขาด อย่างไรก็ตามต้องรอสอบสวนนายคณาญาอย่างละเอียดอีกครั้งเพื่อหาสาเหตุที่แท้จริง โดยหลังเกิดเหตุได้สั่งการให้รถยกทำการลากรถโดยสารคันดังกล่าวลงมาไว้ที่ สน.วิภาวดี เพื่อเปิดเส้นทางการจราจรเรียบร้อยแล้ว

<center>ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: หนังสือพิมพ์คมชัดลึก
</center>

 

ระเบิด 2 ครั้งซ้อนตายกว่า 40 ในอินเดีย/เชื่อเป็นฝีมือก่อการร้าย <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"> <tbody><tr> <td bgcolor="#cccccc" height="1"></td> </tr> </tbody></table> <table border="0" cellpadding="4" cellspacing="0"> <tbody><tr> <td class="body" align="left" valign="baseline">โดย ผู้จัดการออนไลน์</td> <td class="date" align="left" valign="baseline">26 สิงหาคม 2550 15:34 น.</td> </tr> </tbody></table> <table border="0" cellpadding="4" cellspacing="0" width="100%"> <tbody><tr> <td align="center" valign="middle"></td> </tr> </tbody></table> <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"><tbody><tr> <td align="left" height="12" valign="bottom"></td> </tr> <tr> <td bgcolor="#cccccc"> <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="1" width="100%"> <tbody><tr> <td align="center" bgcolor="#ffffff" valign="top"> <table cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"> <tbody><tr> <td align="center" valign="top" width="160"> <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="4" width="100%"> <tbody><tr> <td align="center" valign="top"> <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"> <tbody><tr> <td align="center" valign="top"> <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"> <tbody><tr> <td class="body" align="center" valign="baseline">คลิกที่ภาพเพื่อดูขนาดใหญ่ขึ้น</td> </tr> </tbody></table> <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"> <tbody><tr> <td align="center" valign="middle"></td> </tr> <tr> <td align="center" valign="baseline">เหตุระเบิดในอินเดีย</td> </tr> </tbody></table>
<table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"> <tbody><tr> <td align="center" height="1" valign="middle" width="165"></td> </tr> </tbody></table> </td> </tr> </tbody></table></td> </tr> </tbody></table></td> <td background="/images/linedot_vert3.gif" width="4"></td> <td align="center" valign="top"> <table border="0" cellspacing="7" width="100%"> <tbody><tr> <td align="center" valign="top"> <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"> <tbody><tr> <td class="body" align="left" valign="baseline"> เอเอฟพี - เกิดเหตุระเบิด 2 ครั้งซ้อนในเมืองไฮเดราบัด ทางตอนใต้ของอินเดีย ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตมากถึง 40 ราย ด้านเจ้าหน้าที่กล่าวโทษว่าเป็นฝีมือของพวกมุสลิมหัวรุนแรง

มีผู้ได้รับบาดเจ็บมากกว่า 50 คน จากเหตุระเบิดเมื่อวันเสาร์ (25) เกิดขึ้นบนถนนที่แออัดไปด้วยร้านอาหารในเมือง ซึ่งเป็นที่อาศัยของทั้งชาวฮินดู-มุสลิม รวมทั้งยังเป็นแหล่งสันทนาการที่ผู้คนหลายร้อยเข้าไปชมการแสดงแสงสี

รัฐบาลได้ส่งกองกำลังเข้าไปประจำการในรัฐอานธรประเทศ เพื่อสร้างความแน่ใจว่าจะไม่เกิดความตึงเครียดระหว่างศาสนา จากเหตุระเบิดที่เกิดในจุดที่ใกล้เคียงกัน และยังไม่มีใครออกมาอ้างความรับผิดชอบ

“ยอดผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นไปเป็น 10 จากเหตุระเบิด 2 ครั้งเมื่อวานนี้...เหยื่อผู้เคราะห์ร้ายมาจากทุกส่วนของสังคม --พวกเขามีทั้งชาวฮินดูและมุสลิม” ประธานผู้บริหารรัฐอานธรประเทศเผย พร้อมมีผู้ได้รับบาดเจ็บกว่า 10 คนที่มีอาการสาหัส

ด้านรัฐมนตรีมหาดไทยอินเดีย กล่าวว่า “กลุ่มก่อการร้าย ตั้งใจจะทำลายความเป็นเอกภาพของประเทศ” พร้อมระบุว่า จากข้อมูลที่ได้นับชี้ว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเชื่อมโยงกับกลุ่มก่อการร้ายที่มีฐานอยู่ในประเทศเพื่อนบ้านอย่างปากีสถานและบังกลาเทศ

เจ้าหน้าที่ได้คุมเข้มมาตรการรักษาความปลอดภัยในวันนี้ (26) เนื่องจากจะมีคู่รักชาวฮินดูกว่า 10,000 คู่ พร้อมใจกันแต่งงานในวันที่พวกเขาเชื่อว่าเป็นฤกษ์งามยามดี ขณะที่ตำรวจอ้างว่าค้นพบระเบิดอีกลูกในโรงภาพยนตร์เมื่อวันเสาร์ (25) ก่อนที่จะมีผู้คนต้องสังเวยชีวิตไปมากกว่านี้</td></tr></tbody></table></td></tr></tbody></table></td></tr></tbody></table></td></tr></tbody></table></td></tr></tbody></table>

 

อิทธิพลของดวงดาวในวันแสดงประชามติ <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"> <tbody><tr> <td bgcolor="#cccccc" height="1"></td> </tr> </tbody></table> <table border="0" cellpadding="4" cellspacing="0"> <tbody><tr> <td class="body" align="left" valign="baseline">โดย พล.ต.ต.สุชาติ เผือกสกนธ์</td> <td class="date" align="left" valign="baseline">26 สิงหาคม 2550 18:06 น.</td> </tr> </tbody></table> <table border="0" cellpadding="4" cellspacing="0" width="100%"> <tbody><tr> <td align="center" valign="middle"></td> </tr> </tbody></table> <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"><tbody><tr> <td class="body" align="left" valign="baseline"> .
ผมได้ตรวจสอบจุดที่ตั้งของดาวพระเคราะห์ต่างๆ ในวันอาทิตย์ที่ 19 สิงหาคม 2550 เวลา 16.00 น. ซึ่งเป็นที่มีการออกเสียงแสดงประชามติว่า จะรับร่างรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 หรือไม่ ได้พบว่า ในวันเวลาดังกล่าว ลัคนา หรือ จุดเริ่มต้นชีวิตของเจ้าชะตา สถิตอยู่ในราศีธนู ซึ่งมีดาวพฤหัสบดีเป็นเจ้าของราศี และมีดาวพระเคราะห์อื่นๆ สถิตอยู่ในราศี เรือนและภพต่างๆ ซึ่งผมได้แสดงรายละเอียดไว้ในภาพประกอบที่ 1

</td> </tr> <tr> <td class="body" align="left" valign="baseline"> <table align="center" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"> <tbody><tr> <td align="center" valign="top"> <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="550"> <tbody><tr> <td align="center" valign="top" width="550"> </td> </tr> <tr><td class="Image" align="left" valign="baseline">ภาพที่ 1 จุดที่ตั้งของดาวพระเคราะห์ต่างๆ ในวันแสดงประชามติ วันที่ 19 สิงหาคม 2550</td></tr> </tbody></table></td> </tr> <tr> <td align="center" height="5" valign="top"></td> </tr> </tbody></table> ในการตรวจสอบอิทธิพลของดาวพระเคราะห์ครั้งนี้ ผมจะคัดเลือกเฉพาะดาวพระเคราะห์ที่เป็นศุภเคราะห์สำคัญที่ให้คุณแก่เจ้าชะตาได้แก่ดาวพฤหัสบดี ดาวพระเคราะห์ที่เป็นบาปเคราะห์ที่ให้ทุกข์โทษแก่เจ้าชะตาได้แก่ดาวเสาร์ และดาวอังคาร รวมทั้งดวงอาทิตย์ และดาวจันทร์ซึ่งเป็นชนวนให้เกิดประกายในการสร้างพลังให้ดาวพระเคราะห์ต่างๆ สรุปได้ดังนี้

1. ดาวพฤหัสบดีเป็นเจ้าของราศีธนูซึ่งลัคนา หรือ จุดเริ่มต้นชีวิตของเจ้าชะตา เป็นเจ้าของราศีมีน เป็นเรือนที่ 4 ภพที่เกี่ยวกับการปฏิสนธิของเจ้าชะตา ดาวพฤหัสบดีนี้สถิตอยู่ในเรือนที่ 12 ภพวินาศ ถึงแม้ว่าดาวพฤหัสบดีได้โคจรเป็นปกติแล้วตั้งแต่วันที่ 7 สิงหาคม 2550 แล้วก็ตาม แต่เมื่อเข้าไปสถิตในเรือนที่ 12 ภพวินาศ ดาวพฤหัสบดีจึงไม่มีพลังเพียงพอที่จะให้คุณแก่เจ้าชะตาได้ เพราะเรือนที่ 12 หมายถึงสถานที่กักขัง ทัณฑสถาน โรงพยาบาล หากวิเคราะห์ตามหลักพระพุทธศาสนาก็หมายถึง กรรมที่ส่งผลมาให้เกิด หรือ ปฏิสนธินั้นเป็นอกุศลวิบาก เป็นเหตุปัจจัยทำให้เกิดเป็นเด็กที่ไม่สมประกอบ เป็นโรคปัญญาอ่อน หรือโรคเอ๋อ เป็นต้น

2. ดาวเสาร์สถิตอยู่ในราศีสิงห์ เป็นประ อาศัยอยู่ในเรือนที่ 8 ภพมรณะที่เกี่ยวข้องกับอายุขัยของเจ้าชะตา ในเรือนนี้ ยังมีดวงอาทิตย์ ดาวพุธ และดาวศุกร์อาศัยอยู่ด้วย ดาวเสาร์กับดาวอื่นๆ ในภพนี้ มีองศา ลิปดา ต่างกับดวงอาทิตย์เพียงเล็กน้อยจึงเข้าสู่จุดดับทั้งสิ้น จึงบั่นทอนอายุขัยของเจ้าชะตาให้สั้นลง

3. ดาวอังคารสถิตอยู่ในราศีพฤษภ เป็นประ อาศัยอยู่ในเรือนที่ 6 ภพอริที่เกี่ยวข้องกับข้าทาสบริวาร ศัตรูที่ไม่เปิดเผย สุขภาพของเจ้าชะตา

4. ดาวจันทร์สถิตอยู่ในราศีตุลย์ อาศัยอยู่ในเรือนที่ 11 ภพที่เกี่ยวกับลาภผลประโยชน์ต่างๆ โดยปกติแล้วจะเป็นคุณแก่เจ้าชะตา แต่เมื่อถูกดาวอังคารเล็งทำมุม 180 องศาเกือบสนิท (ห่างกันเพียง 54 ลิปดา) ทั้งเมื่อตรวจสอบตามหลักวิชาโหราศาสตร์ฮินดูที่เรียกว่า “Vedic Astrology” แล้ว ยังได้พบว่า ดาวจันทร์ ดาวศุกร์ และดาวเสาร์ เป็นดาวพระเคราะห์ที่ส่งผลเบียนเป็นทุกข์โทษแก่เจ้าชะตา

นอกจากนี้ เมื่อได้คำนวณกำลังของดาวพระเคราะห์ต่างๆ ตามหลักวิชาโหราศาาสตร์ฮินดูดังกล่าว ปรากฏว่า ดาวพระเคราะห์ทุกดวงยกเว้นดวงอาทิตย์มีกำลังอ่อนมาก อาทิ ดาวพฤหัสบดีมีกำลังเพียง 0.86 ดาวเสาร์มีกำลัง 0.97 ดาวอังคารมีกำลัง 1.05 ดาวจันทร์มีกำลัง 0.93 เป็นต้น ส่วนดวงอาทิตย์มีกำลังสูงถึง 1.56 (โดยปกติ กำลังดาวพระเคราะห์มีกำลังเข้มแข็งจะต้องมีกำลังมากกว่า 1 ขึ้นไป)

หากนำเอาหลักธรรมขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาพิจารณาประกอบคำพยากรณ์ในเรื่องนี้ ก็จะเกิดจินตามยปัญญาเห็นรูปร่างลักษณะของรัฐธรรมนูญปี พ.ศ. 2550 ได้ชัดเจนขึ้น ดังจะกล่าวต่อไปนี้

1. พระพุทธองค์ได้ทรงแสดงไว้ว่า ในสุริยจักรวาลซึ่งประกอบด้วยดวงอาทิตย์ โลก และดาวพระเคราะห์ต่างๆ นั้น มีเพียงโลกเท่านั้นมีสิ่งที่มีชีวิต และไม่มีชีวิตอาศัยอยู่ ส่วนดวงอาทิตย์ และดาวพระเคราะห์อื่นๆ ล้วนแต่เป็นสิ่งที่ไม่มีชีวิต ดวงอาทิตย์ทำหน้าที่เป็นต้นกำเนิดพลังงานให้แก่สิ่งที่มีชีวิต และไม่มีชีวิตที่อาศัยอยู่บนโลกทั้งที่เป็นคุณเมื่อได้นำมาใช้ในทางที่ถูกต้อง และให้โทษเมื่อนำมาใช้ในทางที่ไม่ถูกต้อง ฝืนธรรมชาติ โดยมีดาวพระเคราะห์อื่นๆ ทำหน้าที่ถ่ายทอดพลังงานจากดวงอาทิตย์มาให้แก่โลกเป็นการเสริมพลังงานอีกทางหนึ่ง

2. ผู้ที่ยกร่างรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 ได้แก่ คณะกรรมาธิการร่างรัฐธรรมนูญซึ่งประกอบด้วยคณะบุคคลที่มีความเป็นมนุษยธรรม (มีศีลธรรม มีคุณธรรม และมีจริยธรรม) แตกต่างกัน เท่ากับเป็นผู้ให้กำเนิด และปฏิสนธิกาลแก่รัฐธรรมนูญฉบับนี้ซึ่งจะมีรูปร่างลักษณะอย่างไร จะสามารถอำนวยประโยชน์ หรือสร้างปัญหาให้แก่ประชาชนคนไทยหรือไม่เพียงไร จึงขึ้นอยู่กับความเป็นมนุษยธรรมของบุคคลเหล่านี้ พฤติกรรมของคณะกรรมาธิการคณะนี้บางคนในช่วงเวลาที่มีการรณรงค์จึงน่าจะเป็นคำตอบที่ดี ซึ่งสามารถพิสูจน์ด้วยเวลาอย่างแน่นอน แต่ในช่วงเวลาที่รอการพิสูจน์ ประชาชนคนไทยจำนวนไม่น้อยก็จะต้องได้รับบทเรียนของชีวิตในรูปแบบต่างๆ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

3. ในกรณีนี้ เราต้องถือว่า รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 ที่กำลังจะเกิดขึ้นตามประชามตินี้เป็นสิ่งที่ไม่มีชีวิต จึงไม่สามารถก่อกรรมทำเข็ญ สร้างบุญสร้างบาปขึ้นได้ด้วยตนเองได้ คณะบุคคลที่ทำหน้าที่เป็นนายกรัฐมนตรี คณะรัฐมนตรี และผู้บริหารราชการแผ่นดินในองค์กรต่างๆ ตามรัฐธรรมนูญฉบับนี้คือ ผู้ที่จะนำความเจริญก้าวหน้า สร้างความร่มเย็นเป็นสุข หรือ นำความวิบัติฉิบหายมาหยิบยื่นให้แก่ประชาชนคนไทย เป้าหมายสำคัญของประชาชนคนไทยจึงควรจะอยู่ที่การเลือกตั้งที่กำลังจะเกิดขึ้นโดยรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 ที่จะนำมาใช้ ดังนั้น เมื่อถึงวันเลือกตั้ง จงอย่าละเลยในการไปใช้สิทธิ ขอให้ใช้วิจารณญาณของตนเองคัดเลือกตัวบุคคลที่เป็นคนดี มีศีลธรรม มีคุณธรรม มีความรู้ประสบการณ์มากเพียงพอที่จะเป็นผู้แทนของท่านไปนั่งในรัฐสภาให้ได้มากที่สุด พึงมีความละอาย และความเกรงกลัวต่อบาป รู้จักสำรวมอินทรีย์คือ กาย วาจา และใจ มิให้อิทธิพลของอกุศลจิต คือ ความโลภเห็นแก่เงินทองที่เขามาหยิบยื่นติดสินบนให้เพื่อจ้างวานให้ท่านไปลงคะแนนเสียงให้เข้ามาครอบงำโดยเด็ดขาด จึงจะเป็นเหตุปัจจัยให้พวกเราได้รัฐสภาที่ดี เป็นสถานที่ชุมนุมของคนดีที่พระท่านเรียกว่า “สัตบุรุษ”

เมื่อได้พิจารณาตามหลักวิชาโหราศาสตร์ดวงดาวที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น จึงน่าเชื่อว่า อิทธิพลของดาวพระเคราะห์ต่างๆ ในวันทำประชามติเกี่ยวกับร่างรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 มีกำลังมากเพียงพอที่สร้างอกุศลวิบากให้รัฐธรรมนูญฉบับนี้ปฏิสนธิขึ้นมีลักษณะไม่สมประกอบพิกลพิการ เป็นภาระแก่ประชาชนคนไทยที่จะต้องเลี้ยงดูอุ้มชูกันต่อไปไม่น้อยหน้ากว่ารัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540 ซึ่งผมได้เคยพยากรณ์ไว้มาแล้ว แต่ยังโชคดีที่อายุขัยของรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 นี้ไม่ยืนยาวนัก

หมายเหตุ : บทความเรื่องนี้ได้เขียนขึ้นเมื่อวันที่ 14 สิงหาคม 2550 แต่มิได้นำออกเผยแพร่เพื่อมิให้เกิดความเข้าใจผิดว่า เป็นการชี้นำในการแสดงประชามติ</td></tr></tbody></table>