จิตพร้อม? รับภัยพิบัติ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย ภูภู, 6 เมษายน 2012.

  1. dutchanee

    dutchanee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    1,127
    ค่าพลัง:
    +12,745
    ดูซิ ครูวัฒน์ตอนนี้กับคุณวัฒน์ตอนเข้ากระทู้ใหม่ๆ
    ใช่คนเดียวกันเปล่าอ่ะ อิอิ
     
  2. ธรรมมณี

    ธรรมมณี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,044
    ค่าพลัง:
    +14,027
    ไม่ใช่คนเดียวกันค่ะ ครูดัช คนละคนค่ะ คนนั้นเป็นบัวอยู่ใต้น้ำ แต่วัฒนาคนนี้เค้าเป็นบัวโผล่มาอยู่เหนือน้ำแล้วค่ะ อิๆๆ เค้าถึงได้เข้าใจคำว่าบัวสี่เหล่าได้อย่างลึกซึ้งยังไงล่ะค๊าาาา
     
  3. dutchanee

    dutchanee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    1,127
    ค่าพลัง:
    +12,745
    55555 เข้าใจพูด เดี๋ยวรอเจ้าตัวเข้ามาดู555555
     
  4. watjojoj

    watjojoj เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    562
    ค่าพลัง:
    +9,793
    5555 ที่ผมเอามาpostก็เพราะความแส่เองแหละครับ แฮะๆๆๆ ไม่ได้โกรธเกลียดอะไรใคร แต่ขอวางอุเบกขากับท่านที่ไม่พร้อมที่จะทำจริงๆ อ้างโน่น อ้างนี่สารพัด ผมก็ทำได้มากที่สุดก็แค่แผ่เมตตาให้ท่านได้เห็นธรรมก่อนที่ท่านจะไปนั่งเสียใจอยู่ที่นรก ซึ่งใครเล่าจะลงไปช่วยท่านได้ ตัวเองยังไม่ช่วยเลย
     
  5. watta chan

    watta chan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    71
    ค่าพลัง:
    +586
    ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ dutchanee [​IMG]
    ดูซิ ครูวัฒน์ตอนนี้กับคุณวัฒน์ตอนเข้ากระทู้ใหม่ๆ
    ใช่คนเดียวกันเปล่าอ่ะ อิอิ
    ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ dutchanee [​IMG]
    55555 เข้าใจพูด เดี๋ยวรอเจ้าตัวเข้ามาดู555555
    ก็เราฝาแฝดกัน ชื่อก็เหมือนกัน สงสัยหน้าตาคงเหมือนกันด้วยนะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 กันยายน 2012
  6. watjojoj

    watjojoj เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    562
    ค่าพลัง:
    +9,793
    ซํกวันต้องได้เจอกันแน่ๆครับ รอเจอคุณวัฒน์ที่บ้านขอนแก่น เอ้ย รากแก่นนะครับ:cool:หรือไม่ก็ข้างบนทีเดียวเลยเป็นไงครับ55555(เพราะ้เรามีพ่อเดียวกัน)
     
  7. อัญญะมณี

    อัญญะมณี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 เมษายน 2012
    โพสต์:
    144
    ค่าพลัง:
    +2,169
    OK จ้า
    ส่วนงานพี่ภูส่งไปแล้วตั้งแต่เมื่อวานเจ้า
     
  8. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    ได้จิตประภัสสรกลับคืนมา แต่ยังอยู่ร่างเก่า
    จิตบุญสายใครเนี๊ย พูดจาเข้าท่าดีนะ พออ่านมาถึงคำว่าบ้านขอนแก่นยังเฉยๆ แต่พออ่านมาเจอ คำว่า รากแก่นนี่สิ! พี่ภูสะดุ้งโหยงแทบตกเก้าอี้เลย 555 คุณwatjojoj อย่าเพิ่งไปพูดชื่อนี้บ่อยนะ เดี๋ยวคุณแม่เพ็ญก็ออกมาเท้าสะเอวพอดี
     
  9. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    ความแตกต่างระหว่าง จิตที่ฝึกมาดี กับ จิตไม่ได้ฝึก

    ผู้ที่ไม่ได้ฝึกจิต จิตผู้นั้นย่อมวิ่งตามสิ่งที่มากระทบเสมอ นี่คือ กระแสของคนส่วนใหญ่ ผลลัพธ์ก็คือ ความวุ่นวาย ความทุกข์ เป็นต้น
    แต่สำหรับผู้ที่ฝึกจิตมาดีแล้ว จิตของผู้นั้นย่อมไม่วิ่งตามกับสิ่งที่มากระทบ นี่คือ กระแสของคนส่วนน้อย หรือสวนกระแสมนุษย์ธรรมดาสามัญ ดั่งพระธรรมหรือคำสั่งสอนของพระพุทธองค์นั้น ซึ่งธรรมนั้นได้สวนกระแสของคนโดยทั่วๆไป เพราะคนทั่วไปหรือคนส่วนใหญ่จะทำตามสนองกิเลสของตนเองเป็นหลัก เพียงแต่ไม่รู้ตัวกันเท่านั้น เพราะจิตเราไม่นิ่งกัน นั่นเอง
    เมื่อก่อนผมฟังธรรมะคำนี้ไม่รู้เรื่อง แต่ดูเหมือนจะรู้เรื่อง ได้แก่ เห็นสักแต่ว่าเห็น เป็นต้น สรุปแล้วแค่เห็นเฉยๆก็พอ อย่าได้นำไปทำ-พูด-คิดต่อ ให้หยุดเพียงแค่นั้น หรือ อย่าไปคิดมาก อย่าไปยึดติด ก็แล้วแต่จะสรรหาคำมาพูดกัน มาสื่อให้เข้าใจกัน จิตนี่มันรู้มาก รู้ลึก รู้กว้าง รู้ละเอียดจริงๆ ไม่เหมือนภาษาสมมุตินะ มีความหมายจำกัด ก็คือ ความหมายจะขึ้นอยู่กับผู้พูด หรือผู้สื่อภาษาออกมาเท่านั้น หรือบางทีคนพูดอย่าง คนฟังก็เข้าใจอีกอย่าง อันนั้นก็ยิ่งไปกันใหญ่ เข้าใจผิดกันไปใหญ่จนเป็นเรื่องเป็นราวก็มีมากมาย

    ขอยกตัวอย่างในหลักธรรมที่พระพุทธเจ้าตรัสกับพระสาวก ชื่อพาหิยะ ว่า..."ดูกร พาหิยะ เมื่อใดเธอได้เห็นรูป สักว่าตาเห็น ได้ฟังเสียง สักว่าหูได้ยิน ได้ดมกลิ่น ก็สักแต่ว่าได้กลิ่น ได้ลิ้มรส ก็สักแต่ว่าได้ชิม ได้สัมผัสผิวหนัง ก็สักแต่ว่า เป็นการกระทบทางผิวหนัง จะคิดนึกขึ้นมาในใจ ก็สักแต่ว่ารู้สึกตามธรรมชาติขึ้นมาในใจ เมื่อเป็นดังนี้แล้ว เมื่อนั้นตัวเธอจักไม่มี (คือตัวกูไม่มี) เมื่อตัวเธอไม่มี การวิ่งไปทางโน้น หรือวิ่งมาทางนี้ หรือหยุดอยู่ที่ไหนก็ตาม มันก็ไม่มี นั่นแหละคือที่สิ้นสุดของความทุกข์ นั่นแหละคือ นิพพาน"
     
  10. urairatvi

    urairatvi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    170
    ค่าพลัง:
    +2,401
    ขออนุโมทนาบุญกับจิตบุญดวงที่ ๖๘, ๖๙, ๗๐, ๗๑, ๗๒, ๗๓ ด้วยคะ
    ขออนุโมทนาบุญกับครูจิตบุญที่สอนทุกท่านคะ
    ไม่ได้เข้ามาหลายวัน จิตยกขึ้นสว่างไสวไปหมด น่าปลื้มใจจริ้งจริง....
     
  11. ธรรมมณี

    ธรรมมณี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,044
    ค่าพลัง:
    +14,027
    ขอแชร์นิดส์ค่ะ หลังจิตยกมา 10 กว่าวัน ตอนนี้เริ่มเข้าใจคำว่า จิตนิ่ง กับ จิตเฉย มันแตกต่างกันอย่างไรแล้วค่ะ สาธุ
     
  12. huayhik

    huayhik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มกราคม 2010
    โพสต์:
    181
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +1,131
    สวัสดีครับ คุณDhammanee..และอาจารย์ทุกท่าน...
    ขอร่วมวงสนทนาด้วยครับ..สาธุ
    จากที่ผมศึกษามาบ้างและสัมผัสบ้าง...บ้างมากน้อย...ทำความเข้าใจได้ว่า..ต่างกัน...
    จิตนิ่งนั้น..ปกติจิตมันไม่นิ่งครับ..มันมีสภาพรู้...คำว่านิ่งในที่นี้น่าจะเป็นอาการจิตที่สงบเป็นสมาธิไม่ไหวไปมา...แน่วในอารมณืเดียว...หรือการที่เราตั้งสติรู้ชั่วขณะหนึ่งก็จะรู้ถึงความสงบนั้นได้...แต่นานแค่ไหนนั้นเป็นไปตามลำดับของจิตเอง..
    ส่วนคำว่าจิตเฉยนั้น..บางคนแปลเป็นไม่สุขไม่ทุกข์..นั้นก็เป็นเวทนาที่ไม่เที่ยง.คือเฉยๆ...อารมณ์เฉย...ที่เรียกว่าจิตเฉย..ที่ คุณDhammanee กล่าวนั้น..คงหมายถึงจิตเฉยแบบพระอริยเจ้า...คือจิตผู้ฝึกดีแล้วของพระอริยเจ้าน้้นย่อมสามารถกำหนดรู้ในสภาวะธรรมต่างๆที่เกิดขึ้นได้ แยก ขันธ์ 5 หรือ กาย เวทนา จิต และธรรม จิตย่อมรู้แต่รู้อยู่เฉยๆ..ไม่ปรุงแต่ง..ราคะเกิดก็รู้....ราคะดับก็รู้...เป็นกุศลก็รู้..เป็นอกุศลก็รู้.เกิดแล้วดับไป..มันเป็นความรู้สึกเฉยๆ...ก็ตามแต่ความละเอียดของจิต..

    แต่นักปฏิบัติก็จะทราบดีว่าสมถะ..กับ..วิปััสนาจะแยกกันไม่ได้.เขาหนุนกันและกัน
    ดังพระท่านตรัส...มรรค 8 ย่อเหลือ ศีล สมาธิ ปัญญา ขาดตัวใดตัวหนึ่งไม่ได้...

    หากผมเข้าใจผิดประการใดขอท่านมากด้วยปัญญาทั้งหลายชี้แจงด้วยเถิด...สาธุ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 กันยายน 2012
  13. ลูกพลัง

    ลูกพลัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    413
    ค่าพลัง:
    +8,932
    โมทนาสาธุกับท่านhuayhikด้วยครับ
    การเข้าใจในปริยัติธรรม เปรียบเสมือนเราเข้าใจแผนที่ของเส้นทางเพื่อไปสู่เป้าหมาย
    การลงมือปฎิบัติ เปรียบเสมือนเราเดินไปตามทางเดินนั้นๆ
    ผลแห่งปฎิเวธ เปรียบเสมือนเราเดินไปถึงเป้าหมายนั้นแล้ว
    เมื่อนั้นแล..เราจึงจะเข้าใจ อย่างท่องแท้และซาบซึ้ง
    แถมยังสามารถที่จะนำผลแห่งการปฎิบัตินั้นมาเปรียบเทียบกับแผนที่(ปริยัติ)ได้อีกด้วย
    ว่า..แท้จริงแล้วมีความถูกต้องเป็น"พระสัทธรรม"อย่างแท้จริง..หรือไม่อย่างไร?

    การเข้าใจในแผนที่ก็เป็นเเพียงแค่สัญญาในขันธ์5เท่านั้นเอง
    เมื่อสังขารขันธ์เสื่อมลง(เซลล์สมองตายไป) เราก็จะลืมแผนที่นั้นแล้ว..
    เกิดภพชาติใหม่..ก็มาเรียนรู้กันใหม่อีกที (ถ้าบังเอิญโชคดีได้พบพระพุทธศาสนานะครับ)
    แต่เมื่อถ้าปฎิบัติจนเป็นปฎิเวธแล้ว จิตจะจดจำข้ามภพข้ามชาติเลยนะครับ
    และถ้าปฎิบัติได้ถึงที่สุด ก็ไม่ต้องกลับมาเกิดและศึกษาใหม่ซ้ำแล้วซ้ำอีกนะครับ เบื่อไหม?
    สุดท้ายนี้จะบอกว่า เซลล์สมองของเราจะเข้าใจอย่างไรก็ไม่สำคัญเท่าจิตเราเข้าใจ รู้แจ้งแทงตลอด..

    ขอให้เจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไปด้วยเทอญ.. สาธุสวัสดี
     
  14. ลูกพลัง

    ลูกพลัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    413
    ค่าพลัง:
    +8,932
    นิพพานอยู่ที่ใจ

    พระเดชพระคุณพระอาจารย์มั่น ภูริทัตตมหาเถระ

    ๑๓. วิสุทธิเทวาเท่านั้นเป็นสันตบุคคลแท้ 
    อกุปฺปํ สพฺพธมฺเมสุ เญยฺยธมฺมา ปเวสฺสนฺโต บุคคลผู้มีจิตไม่กำเริบในกิเลสทั้งปวง รู้ธรรมทั้งหลายทั้งที่เป็นพหิทธาธรรม ทั้งที่เป็น อัชฌัตติกาธรรม สนฺโต จึงเป็นผู้สงบระงับ สันตบุคคลเช่นนี้แลที่จะบริบูรณ์ด้วยหิริโอตตัปปะ มีธรรมบริสุทธิ์สะอาด มีใจมั่นคงเป็นสัตบุรุษผู้ทรงเทวธรรมตามความในพระคาถาว่า หิริโอตฺตปฺปสมฺปนฺนา สุกฺกธมฺมสมาหิตา สนฺโต สปฺปุริสา โลเก เทวธมฺมาติ วุจฺจเร อุปัตติเทวา ผู้พรั่งพร้อมด้วยกามคุณ วุ่นวายอยู่ด้วยกิเลส เหตุไฉนจึงจะเป็นสันตบุคคลได้ ความในพระคาถานี้ย่อมต้องหมายถึง วิสุทธิเทวา คือพระอรหันต์แน่นอน ท่านผู้เช่นนั้นเป็นสันตบุคคลแท้ สมควรจะเป็นผู้บริบูรณ์ด้วยหิริโอตตัปปะ และ สุกฺกธรรม คือ ความบริสุทธิ์แท้ 

    ๑๔. อกิริยาเป็นที่สุดในโลก - สุดสมมติบัญญัติ 
    สจฺจานํ จตุโร ปทา ขีณาสวา ชุติมนฺโต เต โลเก ปรินิพฺพุตา สัจธรรมทั้ง ๔ คือ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ยังเป็นกิริยา เพราะแต่ละสัจจะๆ ย่อมมีอาการต้องทำคือ ทุกข์-ต้องกำหนดรู้ สมุทัย-ต้องละ นิโรธ-ต้องทำให้แจ้ง มรรค-ต้องเจริญให้มาก ดังนี้ล้วนเป็นอาการที่จะต้องทำทั้งหมด ถ้าเป็นอาการที่จะต้องทำ ก็ต้องเป็นกิริยาเพราะเหตุนั้นจึงรวมความได้ว่าสัจจะทั้ง ๔ เป็นกิริยา จึงสมกับบาทคาถาข้างต้นนั้น ความว่าสัจจะทั้ง ๔ เป็นเท้าหรือเป็นเครื่องเหยียบก้าวขึ้นไป หรือก้าวขึ้นไป ๔ พักจึงจะเสร็จกิจ ต่อจากนั้นไปจึงเรียกว่า อกิริยา อุปมา ดังเขียนเลข ๑ ๒ ๓ ๔ ๕ ๖ ๗ ๘ ๙ ๐ แล้วลบ ๑ ถึง ๙ ทิ้งเสีย เหลือแต่ ๐ (ศูนย์) ไม่เขียนอีกต่อไป คงอ่านว่า ศูนย์ แต่ไม่มีค่าอะไรเลย จะนำไปบวกลบคูณหารกับเลขจำนวนใดๆ ไม่ได้ทั้งสิ้น แต่จะปฏิเสธว่าไม่มีหาได้ไม่ เพราะปรากฏอยู่ว่า ๐ (ศูนย์) นี่แหละ คือปัญญารอบรู้ เพราะลายกิริยา คือ ความสมมติ หรือว่าลบสมมติลงเสียจนหมดสิ้น ไม่เข้าไปยึดถือสมมติทั้งหลาย คำว่าลบ คือทำลายกิริยา กล่าวคือ ความสมมติ มีปัญหาสอดขึ้นมาว่า เมื่อทำลายสมมติหมดแล้วจะไปอยู่ที่ไหน? แก้ว่า ไปอยู่ในที่ไม่สมมติ คือ อกิริยา นั่นเอง เนื้อความตอนนี้เป็นการอธิบายตามอาการของความจริง ซึ่งประจักษ์แก่ผู้ปฏิบัติโดยเฉพาะ อันผู้ไม่ปฏิบัติหาอาจรู้ได้ไม่ ต่อเมื่อไรฟังแล้วทำตามจนรู้เองเห็นเองนั่นแลจึงจะเข้าใจได้ ความแห่ง ๒ บาทคาถาต่อไปว่า พระขีณาสวเจ้าทั้งหลายดับโลกสามรุ่งโรจน์อยู่ คือทำการพิจารณาบำเพ็ยเพียรเป็น ภาวิโต พหุลีกโต คือทำให้มาก เจริญให้มาก จนจิตมีกำลังสามารถพิจารณาสมมติทั้งหลายทำลายสมมติทั้งหลายลงไปได้จนเป็นอกิริยาก็ย่อมดับโลกสามได้ การดับโลกสามนั้น ท่านขีณาสวเจ้าทั้งหลายมิได้เหาะขึ้นไปนกามโลก รูปโลก อรูปโลกเลยทีเดียว คงอยู่กับที่นั่นเอง แม้พระบรมศาสดาของเราก็เช่นเดียวกัน พระองค์ประทับนั่งอยู่ ณ ควงไม้โพธิพฤกษ์แห่งเดียวกัน เมื่อจะดับโลกสาม ก็มิได้เหาะขึ้นไปในโลกสาม คงดับอยู่ที่จิต ทิ่จิตนั้นเองเป็นโลกสาม ฉะนั้น ท่านผู้ต้องการดับโลกสาม พึงดับที่จิตของตนๆ จึงทำลายกิริยา คือตัวสมมติหมดสิ้นจากจิต 
    ยังเหลือแต่อกิริยา เป็นฐีติจิต ฐีติธรรมอันไม่รู้จักตาย ฉะนี้แล 

    ๑๕. สัตตาวาส ๙ 
    เทวาพิภพ มนุสสโลก อบายโลก จัดเป็นกามโลก ที่อยู่อาศัยของสัตว์เสพกามรวมเป็น ๑ รูปโลก ที่อยู่อาศัยของสัตว์ผู้สำเร็จรูปฌานมี ๔ อรูปโลก ที่อยู่อาศัยของสัตว์ผู้สำเร็จอรูปฌานมี ๔ รวมทั้งสิ้น ๙ เป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์ ผู้มารู้เท่าสัตตาวาส ๙ กล่าวคือ พระขีณาสวเจ้าทั้งหลาย ย่อมจากที่อยู่ของสัตว์ ไม่ต้องอยู่ในที่ ๙ แห่งนี้ และปรากฏในสามเณรปัญหาข้อสุดท้ายว่า ทส นาม กึ อะไรชื่อว่า ๑๐ แก้ว่า ทสหงฺ เคหิ สมนฺนาคโต พระขีณาสวเจ้าผู้ประกอบด้วยองค์ ๑๐ ย่อมพ้นจากสัตตาวาส ๙ ความข้อนี้คงเปรียบได้กับการเขียนเลข ๑ ๒ ๓ ๔ ๕ ๖ ๗ ๘ ๙ ๐ นั่นเอง ๑ ถึง ๙ เป็นจำนวนที่นับได้ อ่านได้ บวกลบคูณหารกันได้ ส่วน ๑๐ ก็คือ เลข ๑ กับ ๐ (ศูนย์) เราจะเอา ๐ (ศูนย์) ไปบวกลบคูณหารกับเลขจำนวนใดๆ ก็ไม่ทำให้เลขจำนวนนั้นมีค่าสูงขึ้น และ ๐ (ศูนย์) นี้เมื่ออยู่โดยลำพังก็ไม่มีค่าอะไร แต่จะว่าไม่มีก็ไม่ได้ เพราะเป็นสิ่งปรากฏอยู่ ความเปรียบนี้ฉันใด จิตใจก็ฉันนั้นเป็นธรรมชาติ มีลักษณะเหมือน ๐ (ศูนย์) เมื่อนำไปต่อเข้ากับเลขตัวใด ย่อมทำให้เลขตัวนั้นเพิ่มค่าขึ้นอีกมาก เช่น เลข ๑ เมื่อเอาศูนย์ต่อเข้า ก็กลายเป็น ๑๐ (สิบ) จิตใจเรานี้ก็เหมือนกัน เมื่อต่อเข้ากับสิ่งทั้งหลายก็เป็นของวิจิตรพิสดารมากมายขึ้นทันที แต่เมื่อได้รับการฝึกฝนอบรมจนฉลาดรอบรู้สรรพเญยฺยธรรมแล้วย่อมกลับคืนสู่สภาพ ๐ (ศูนย์) คือ ว่างโปร่งพ้นจากการนับการอ่านแล้ว มิได้อยู่ในที่ ๙ แห่งอันเป็นที่อยู่ของสัตว์ แต่อยู่ในที่หมดสมมติบัญญัติคือ สภาพ ๐ (ศูนย์) หรืออกิริยาดังกล่าวในข้อ ๑๔ นั่นเอง 

    ดูเพิ่มเติมที่หนังสือมุตโตทัย
     
  15. natthapatpun

    natthapatpun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,124
    ค่าพลัง:
    +25,214
    ขออนุญาตประกาศจิตบุญดวงที่ ๗๔ และ ๗๕ ณ วันที่ ๑๑ กันยาน ๒๕๕๕

    ขอท่านทั้งหลายจงโมทนา
    กับจิตบุญดวงที่ ๗๔

    ของกลุ่มจิตบุญเทอญ
    สาธุ สาธุ สาธุ
    [​IMG]

    สาธุ สาธุ สาธุขอท่านทั้งหลายจงโมทนา
    กับจิตบุญดวงที่ ๗๕
    ของกลุ่มจิตบุญเทอญ
    สาธุ สาธุ สาธุ

    [​IMG]
     
  16. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    ขออนุโมทนาสาธุ กับคุณhuayhik ตามที่คุณแสดงธรรมมานั้นถูกต้องแล้ว ชอบแล้ว ขอขอบพระคุณเป็นอย่างสูง วันหน้ามาแสดงให้กับพวกเราอีกนะ ผมก็คิดว่าจิตบุญนั้นพอจะเข้าใจดีแล้ว เพราะจิตผ่านสนามรบจริงๆ มิใช่ให้มาเชื่อครูบาอาจารย์ที่สอนและได้พิสูจน์ด้วยตัวของผู้ปฎิบัติไปแล้ว หรือแค่อ่าน/ฟังจากผู้อื่น หรือผ่านสมถะ+วิปัสสนากันมาแล้ว แต่อรรถธรรมหรือความหมายของภาษาสมมุติของแต่ละคนที่สื่อออกไปนั้นจะไม่เหมือนกัน แต่ความหมายเดียวกัน ดั่งแม่น้ำหลายสายไหลลงสู่ทะเล มหาสมุทรอันเดียวกัน ก็มิอาจแยกได้ว่าน้ำนั้นไหลมาจากที่ไหน น้ำก็คือน้ำ ธรรมก็คือธรรม หรือจิตพุทธ(จิตซึ่งถึงธรรมตัวเดียวกัน) เมื่อจิตซึ่งถึงธรรมตัวเดียวกันแล้วนั้นย่อมไม่ขัดแย้งกัน คอยพวกเราคอยสังเกตเช่นพระอรหันตเจ้า ท่านเคยได้ยินไหม๊ว่า พระอรหันตเจ้าทะเลาะกัน ผมเห็นแต่พระที่แอบอ้างตนเอง หรือใหลูกศิษย์เป็นคนบอกว่าท่านเป็นพระอรหันต์ แต่มีนิสัยไประรานผู้อื่น แต่ถ้าผู้ที่มีปัญญา(เป็นของตนเอง)ก็จะทราบได้จากจิตภายในนั้น(จิตทิพย์)ทันทีว่า พระองค์นั้นเป็นพระอรหันต์หรือเปล่า แต่ความจริงแล้ว พระสุปฎิปันโน(ผู้ปฎิบัติดี ปฎิบัติชอบ) หรือพระอรหันต์กันจริงๆนั้น ท่านไม่ได้ไปสนใจกับคำว่า ตนเองนั้นจะอรหันต์หรือไม่ ถึงอรหันต์จริงๆ ท่านก็จะไม่สนใจ เพราะว่าคำว่าอรหันต์นั้น จิตปุถุชนเท่านั้นที่ไปสนใจ แต่พระท่านเป็นพระอรหันต์จริงๆทำไมท่านกลับไม่สนใจคำว่า อรหันต์เลย นี่มุมมองมันมีอยู่แค่เนี๊ย แล้วท่านเคยเห็นพระอรหันต์(จริงๆ)มาเทศน์แข่งกันไหม๊ เหาะเหิรเดินอากาศไหม๊ อยากดังไหม๊ ท่านเคยนำธรรมะมาถกเถียงกันไหม๊ เหมือนปุถุชนกันไหม๊ ไม่เหมือนหรอก เพราะท่านมีแต่จะหลบหนีผู้คน แต่คนไม่อรหันต์นั่นแหล่ะ ชอบไปหาท่านดีนัก รู้ไหม๊ว่าพระอรหันต์นั้นท่านไม่อยากจะไปยุ่งเกี่ยวกับใครๆหรอก ท่านจะอยู่กับกาย กับจิตของท่านแต่ผู้เดียว แต่หารู้ไม่ ความจริงเป็นเช่นนั้นไม่ พระอรหันต์ที่หนีไม่ออก ก็ด้วยมีความเมตตสูง เพราะจิตจะชอบทำหน้าที่คล้ายๆกับพระโพธิสัตว์ ก็คือ ช่วยสงเคราะห์ เอ๊าทำไม อะไรทำให้ผมพูดแต่เรื่องนี้ได้
    สรุปจิตนิ่ง ก็คือจิตไม่นิ่งตามที่คุณแสดงมานั้นน่ะถูกต้องแล้ว เพราะจิตนั้นเกิดและดับอยู่ตลอดเวลา เพียงแต่ผู้ปฎิบัติเจริญสติมากๆแล้ว จิตนิ่ง=ปัญญา และตัวปัญญนี้เองเป็นผู้นำพาให้จิตไปพบความว่างก่อนแล้วต่อไปจิตจึงสามารถเข้าไปถึงธรรมหรือที่เรียกว่า จิตพุทธะ(ธรรมตัวเดียวกัน) ที่บอกว่าจิตนิ่งนั้นหมายความว่า จิตไปรู้ความจริงมาหมดแล้วนั่นเอง เมื่อพบเจออะไรก็ไม่สะท้าน ไม่มีผล เข้าไปไม่ถึงจิต ทำร้ายจิตไม่ได้ นั่นเอง เหมือนคนโตแล้วรู้แล้วหลอกไม่ได้แล้ว ตามทันแล้ว ไม่เหมือนเด็กคือผุ้ใหญ่ยังพอหลอกได้อยู่ แต่ไม่นะยิ่งสมัยนี้เด็กชอบผู้ใหญ่...ฮ่าๆ
    สำหรับจิตเฉย จิตเป็นอุเบกขา จิตประกอบด้วยสติสัมปชัญญะ(มิใช่สติธรรมดาๆ)+ปัญญา(ทางธรรม) เช่น รู้แล้วว่าคนนี้มันจะต้องตายแน่ในวันพรุ่งนี้ จิตอรหันต์ก็พูดไม่ได้ ถึงจะเป็นญาติของตนเองก็ตาม เพราะจิตเข้าใจธรรมทุกอย่าง
    สรุปของสรุปอีกทีนึงก็คือ อ่าน/ฟังธรรมะอย่างเดียว โดยมิได้ปฎิบัติตาม ไม่มีทางบรรลุธรรมได้อย่างแน่นอน นอกจากผู้นั้นจะต้องนำจิตของตนเองไปเรียนรู้+เข้าใจด้วย โดยเดินตามรอย(เจริญ)อริยมรรคด้วย หรือจิตจะต้องเจริญตามนี้ก็คือ ศีล สมาธิ ปัญญา (จำไว้นะนำจิตไปเรียนมิใช่ขันธ์๕เราไปเรียนนะ..) และขาดตัวใดตัวหนึ่งก็ไม่ได้ เหมือนไม้สามขาคือจะต้องค้ำยันกันไปตลอด เมื่อขาดขาใดขาหนึ่งก็จะพากันล้มทั้งหมด ธรรมนั้นอ่านอย่างไม่ได้ ถึงอ่านไปก็จะลืมตามทีหลัง ไม่มีประโยชน์ แต่ถ้าเรานำจิตไปเรียนรู้ จิตเขาจะจำได้นานข้ามภพข้ามชาติ เพราะกายตาย แต่จิตไม่ตายหรือไม่สูญ แต่ถ้าผู้ปฎิบัติไปเอง จิตเข้าจะรู้ธรรมะเองภายในจิตของเขาเอง หรือรู้เอง ชอบเอง ตามที่พระพุทธองค์ได้ตรัสไว้ดีแล้ว นั่นเอง
    ขอให้เจริญในธรรม...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 11 กันยายน 2012
  17. natthapatpun

    natthapatpun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,124
    ค่าพลัง:
    +25,214
    คุณหน่อย (ชื่อบนกระทู้ว่าไรจ๊ะ ไม่อยากจะเดาเลย เดาทีไรผิดทุกที ขอเจ้าตัวมารายงานเองก็แล้วกันนะจ๊ะ)

    คุณหน่อย จิตบุญ 74 ศิษย์ครูดัชนี ครูลูกพลัง ครูแทนนี่
    จบกิจจิตเกาะพระเมื่อวันที่ 11 กันยายน 2555
    ขอให้คุณหน่อยขึ้นรายงานตัวกับพ่อภูบนกระทู้ด้วยค่ะ
    ส่งข้อมูลส่วนตัวให้น้องลูกหว้าเพื่อทำทำเนียบจิตบุญด้วยค่ะ
    คุณหน่อยเข้ามาฝึกจิตเกาะพระไม่น่าจะถึงเดือนนะ
    ใช่ป่าวคะพี่ลูกพลัง?


    ป้าภา จิตบุญ 75 อยู่จันทบุรี ศิษย์พระอาจารย์ชัชวาล และคุณแม่ลำดวน
    จบกิจจิตเกาะพระเมื่อวันที่ 11 ก.ย. 55
    ฝึกจิตเกาะพระอยู่ประมาณ 3 วัน
    คือท่านที่ทำได้เร็วอย่างนี้
    กำลังใจต้องหนักแน่นมั่นคงในสมาธิมาก
    สติต้องตามจิตให้ทัน
    ตัดอยาก ทิ้งสงสัย
    เน้นเกาะพระทุกเวลานาที
    ทำต่อเนื่องทั้งวันทั้งคืน(หลับในฌาน)
    จิตจะเกิดวิปัสสนาญาณและปัญญาญาณตามมา
    ตัดอวิชชาตัวสุดท้าย(ไม่แน่นอนขึ้นอยู่กับกรรมใครก็กรรมคนนั้น)ก็เป็นอันจบกิจ
    ถามว่ายากไหม?
    ตอบไม่ยากเลย
    แต่ที่หลายท่านทำจิตเกาะพระกันนาน ๆ
    หนึ่งจิตไม่เกาะพระ
    สองสติไม่เกาะจิต
    สามส่งจิตออกนอกบ่อยไม่พยายามดึงจิตกลับมาอยู่กับพระ
    จิตเกาะพระทำแค่นี้เอง
    เน้นทำเข้ม ๆ สักระยะ ไม่เกิน 7 วันก็น่าจะจบกิจกันแล้ว

    อ๊ะ มีคนพยายามจะเถียงว่า "แหม ก็กิเลสมันพาเพลินนี่คะครูขา"

    คุณลินดาขา ขอยืมไม้หน้าสามหน่อยค่า ฮ่าๆ
    โมทนา สาธุไม่มีประมาณค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 กันยายน 2012
  18. UncleGee

    UncleGee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2012
    โพสต์:
    4,105
    ค่าพลัง:
    +10,246
    _/\_ สาธุ สาธุ
    ขออนุโมทนากับจิตบุญดวงที่ ๗๔ และ ๗๕ รวมทั้งคุณครูจิตบุญทุก ๆ ท่านด้วยครับ
     
  19. huayhik

    huayhik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มกราคม 2010
    โพสต์:
    181
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +1,131

    ...อาจารย์แต่ละท่านจัดหนักมากเลยครับผม../ยิ้มๆ/..
    .ขอบคุณท่านทั้งหลาย ขอโมทนาเป็นอย่างสูง ที่ช่วยชี้แนะเป็นเครื่องเตือนสติอย่างดีครับขอน้อมรับธรรมนั้นด้วยใจจริง...สาธุ.../ยิ้มๆ/

    พรอันประเสริฐใดๆที่ท่านเมตตา ด้วยคุณพระรัตนตรัย ขอพรนั้นจงมีแด่ท่านทั้งหลายขอให้เจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไปด้วยเทอญ.. สาธุ
     
  20. ลูกพลัง

    ลูกพลัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    413
    ค่าพลัง:
    +8,932
    คุณหน่อย หรือนามแฝงในกระทู้ว่า "ทิวลิปขาว"
    อาศัยอยู่ที่ประทศเนเธอร์แลนด์ ทางยุโรป (เวลาช้ากว่าเราประมาณ6ชม.)
    คุณหน่อยเริ่มฝึกจิตเกาพระอย่างจริงจังเมื่อวันที่ 20 สิงหาคม 2555
    เรียนกับคุณครูทั้งหมด4ท่านคือ ครูเพ็ญ ครูดัช ครูลูกพลัง และครูแทนนี่
    ใช้เวลาในการปฎิบัติรวมทั้งสิ้น 22วันเป็นอันเสร็จกิจ

    ในระหว่างที่ฝึกคุณหน่อยถือว่าเป็นผู้ที่มีความเพียรเป็นเลิศ
    เชื่อฟังคำครู และน้อมไปปฎิบัติอย่างเคร่งครัด จนบังเกิดผลเป็นลำดับชั้นๆตลอดเวลา
    มีพื้นฐานบารมีเดิมอยู่ไม่น้อย(กำลังใจ) เคยปฎิบัติธรรมด้วยตนเองมาก่อน
    เป็นบุคคลที่มี"สติ"คล่องแคล่วปราดเปรียวว่องไวมาก อะไรกระทบจะรู้ได้ทันที
    คงเนื่องจากได้เจริญวิปัสสนาสติปัฏฐานมาก่อนนั่นเอง
    แต่อินทรีย์ยังอ่อนอยู่ในเรื่องกำลังแห่งฌานสมาบัติ ซึ่งเป็นบาตรฐานที่สำคัญมาก
    เมื่อเธอทราบ เธอจึงเร่งความเพียร เกาะพระทั้งวันทั้งคืน น่าชื่นชมยิ่งนัก
    จนกระทั่งสามารถทรงฌานสูงได้อย่างต่อเนื่อง ตลอดเวลานาที
    พิจารณากายและอสุภะกรรมฐานอยู่เนืองๆมิได้ขาด
    (เราสอนอสุภะกรรมฐาน10ให้แค่เพียงวันเดียว เธอสามารถทำได้จนเห็นกาย/ซากศพป่นเป็นผงธุลี.. น่าอัศจรรย์ยิ่งนัก)
    ปฎิบัติอย่างต่อเนื่อง ละวางความสงสัย ปฎิบัติตามคำครูลูกเดียว..
    จวบจนกระทั่ง วิปัสสนาญาณเกิด ปัญญาญาณเกิด เป็นอันจบกิจ..

    ขอทุกท่านร่วมโมทนาสาธุกับคุณหน่อย (ทิวลิปขาว) จิตบุญดวงที่ 74 พร้อมด้วยคณะครูฝึกด้วยครับ..

    และร่วมโมทนาสาธุกับคุณป้าภา จิตบุญดวงที่ 75 พร้อมด้วยคณะครูฝึกด้วยเช่นกันครับ.. สาธุครับ

    .
     

แชร์หน้านี้

Loading...