จิตพร้อม? รับภัยพิบัติ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย ภูภู, 6 เมษายน 2012.

  1. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    นี่น้อง! จิตเธอว่างมากใช่ไหม๊?
    เธออยากจิตนิ่งกว่านี้ไหม๊?
    จิตจะได้เป็นบุญเป็นกุศลกว่านี้หน่อย
    เดี๋ยวพี่ภูจะสอนเธอเป็นพิเศษที่สุด จะเอาไหม๊?
    ดีกว่าที่เธออยากได้ คำว่า อนุโมทนาซะอีกนะ
    อายุเท่าไหร่แล้ว เราเนี๊ย?
     
  2. natthapatpun

    natthapatpun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,124
    ค่าพลัง:
    +25,214
    พอมาเห็นคาถาคุณลินดาก็เลยต้องลาโลง เอ่อ ลาโรงไปก่อนค่ะพี่น้อง ขอให้ทุกท่านทำจิตเกาะพระได้แนบแน่นเหมือนคุณ wattha chan นะคะ เคล็ดลับของคุณ wattha chan คือ หัวใจใส่ตีนตะขาบลุยทำจิตเกาะพระไปแบบไม่หยุดยั้ง เอ้อ ขึ้นต้นเป็นคุณลินดาไหงมาลงท้ายเป็นคุณ wattha chan โมทนาสาธุกับจิตบุญทั้งสองท่านค่ะ ราตรีสวัสดิ์

    ปล.พี่ภูโลโก้อันนี้ก็ดูละมุนตาดีค่ะ
     
  3. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    พี่ภูขอโมทนากับจิตบุญใหม่ทั้ง 3 ท่าน
    สักล้านๆครั้งนะครับ ได้แก่...
    คุณหนึ่ง(taktay) จิตบุญ 53
    คุณปรีชา(Preechaniy) จิตบุญ 54
    คุณป้อม(กรรมบท 10) จิตบุญ 55

    คุณป้อม เธอคงจะสมใจเธอแล้วสินะ
    ต่อไปนี้เธอก็กลับไปแนะนำกับพี่สาวของเธอได้แล้วจ้า
    โดยเฉพาะท่านท้ายสุด จะงงหนักกว่าเพื่อนๆ
    เธอรู้ไหมว่าทำไมจิตเธอถึงยกได้ไวขนาดนี้(จากพระโสดาบัน-จิตบุญ)
    ไปถามครูวิทย์นะ แต่อนุญาตให้ไปถามได้คนเดียว เพราะจิตเธอยกไปแล้ว
    ครูวิทย์อย่าไปบอกท่านที่จิตยังไม่ได้ยกนะ เดี๋ยวเขาจะไม่ช่วยตนเอง

    ขอฝากจากจิตบุญใหม่...
    พยายามทรงฌานต่ำเข้าไว้(ฌาน๑-๒) เพราะเราจะได้สติสัมปชัญญะตลอด
    จิตบุญก็เปรียบเสมือนนักเรียน กศน.(ความรู้ยังไม่แน่น)
    หรือธาตุอินทรีย์ยังไม่แข็งแรง
    ขนาดพระที่ได้อรหันต์ ท่านก็ยังเจริญสติภาวนาอยู่ตลอดเวลา
    นั่นแสดงว่าท่านไม่ประมาท
    เพราะตราบใดพวกเรายังครองขันธ์5 อยู่
    ก็อย่าได้ประมาท เพราะถ้าสติห่างจิตเมื่อไหร่ จิตจะตกไปอยู่ในแดนกิเลส
    ถามว่าจิตท่านกลับมาเร็วมั๊ย เร็ว เพราะท่านฝึกจิตมาดี
    จิตรู้อย่างเดียว แต่ก็ยังชอบซุกซนอยู่นะ ถ้าสติพวกเธอน้อย
     
  4. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    สำหรับผู้ที่ปฎิบัติจิตเกาะพระ
    เมื่อทำกันสำเร็จแล้ว


    ปฎิเวธ หรือผลที่ได้จากการปฎิบัติธรรม แบบ "จิตเกาะพระ"
    ตัวอย่างที่เห็นได้ชัด ได้แก่...
    1.) พฤติกรรมภายนอกเปลี่ยนไป เช่น สมถะมากขึ้น
    เรื่องมากหายไป เป็นคนเรียบง่าย อะไรก็ได้
    2.) พฤติกรรมภายในเปลี่ยนไป เช่น จิตสำรวมมากขึ้น
    การกระทำ หรือการเบียดเบียนผู้อื่นแทบจะไม่มี
    พูดน้อยกว่าเดิม ชอบพูดแต่เรื่องสาระหรือธรรมะ
    ส่วนเรื่องความคิด จะคิดแต่แง่บวกมากขึ้น เพราะจิตตั้งอยู่ในเขตที่เรียกว่า บุญกุศล
    3.) ส่วนพฤติกรรมอย่างอื่น เช่น...
    สติมีมากขึ้น(สติเกิดบ่อยขึ้น) จนกลายเป็นสติสัมปชัญญะ(มีความรู้สึกตัว+ทั่วพร้อมมากขึ้น)
    ศีลละเอียดขึ้น(ไม่ต้องไประแวงเรื่องศีลจะขาด เพราะศีลจะคอยรักษาผู้ปฎิบัติ
    จิตเลยศีลไปแล้ว คือ จิตทรงฌาน ทรงญาณ เลยจิตบุญไปแล้ว ต่อไปจะเข้าเขตการสร้างบารมี
    จิตละเอียดมากขึ้น(ศีลก็ละเอียดตาม) จากเมื่อก่อน จิตที่ให้อภัยได้ยาก แต่ตอนนี้ได้เปลี่ยนไปแล้ว
    เมื่อจิตรู้จักคำว่าให้อภัยเป็น ความโกรธหรือความพยาบาทได้เปลี่ยนมาเป็นความเมตตาเข้ามาแทน
    นอกจากจิตทรงพรหมวิหาร ๔ จิตก็ยังทรงอิทธิบาท ๔
    หรือเริ่มอยากช่วยเหลือผู้อื่นมากขึ้น(สงเคราะห์)
    หรือจะแลเห็นถึงผลประโยชน์ของส่วนรวมมากกว่าตนเอง

    สรุปว่า..
    จิตปุถุชน(คนธรรมดา/คนทั่วๆไป) สามารถเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ดีขึ้นได้ โดยการ...
    การปฎิบัติธรรม หรือ การเจริญสติภาวนา หรือ การเจริญวิปัสสนากรรมฐาน
    แต่ถ้ายังเปลี่ยนแปลงจิต(เลว)ของตนเอง ไม่ได้
    โดยเฉพาะเรื่องศีล ไม่มีทางจะรักษาศีล5 ได้เลย ถ้ายังหยาบอยู่
    นอกเสียจากจะผ่านขบวนการชำระล้างกิเลสหยาบ กลาง และละเอียด
    ด้วย ศีล สมาธิ และปัญญา
    หรือต้องนำจิตมาเจริญ/เดินรอยตาม คำว่า "อริยมรรค" เท่านั้น

    ขอแถมนิด...
    ก่อนที่เราจะไปโปรด/ไปสอนผู้อื่น ลองหันกลับมาดูตนเองเสียก่อนนะว่า...
    เรารักษาศีล5(เป็นอย่างต่ำ) ครบบริบูรณ์มั๊ย?
    ศีลและธรรมะที่มีอยู่ประจำใจของตนเองนั้น มันสอนตัวเราได้มั๊ย?
    หรือมันชำระล้างกิเลสของตนเอง
    ให้ลดน้อยถอยลงหรือหมดไปจากจิตใจของเรามั๊ย?


    ปล. กระทู้ผ่านมาถึงหน้าที่ 200+ และ ลำดับที่ 4500 กว่าแล้ว
    มีผู้ใดยังไม่เข้าใจชื่อกระทู้ จิตพร้อม?รับภัยพิบัติบ้าง?
    ไหนลองยกมือให้ดูกันบ้างสิ!
    แต่สำหรับจิตบุญ(จิตยก) ก็คงจะทราบกันดีอยู่แล้วนะครับ
    อย่าลืมนะว่า พวกเราไม่ได้มีแค่โลกก่อนความตายเท่านั้น
    แต่ยังมีโลกหลังความตาย หรือโลกทิพย์ หรือโลกจิตวิญญาณ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 30 สิงหาคม 2012
  5. ไผ่มรกต

    ไผ่มรกต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    248
    ค่าพลัง:
    +1,896
    สภาวะอันเป็นไปของโลก โดยท่านพระคุณเจ้าดาบส สุมโน

    เทศนาธรรมโดยท่าน พระคุณเจ้าดาบส สุมโน ในวันพระขึ้น15ค่ำ ของวันที่12กุมภาพันธ์ 2542 ดังมีใจความต่อไปนี้ คนเราคือมนุษยทั้งหลายในโลกนี้ ส่วนมากก็เป็นคนประมาท ส่วนมากตกอยู่ในความประมาท ทีนี้มาพูดถึงยุคใหม่ที่จะมาข้างหน้านั้น ตามคำทำนายของหลวงปู่วานิชย์ หรืออาจารย์หลายๆท่าน ได้ทำนายกล่าวไว้นั้นว่า ยุคศรีวิไลย์ อันจะมาเบื้องหน้านั้น ว่ากันว่าอีกตั้ง๓๐๐ปี๔๐๐ปี จะมีเพชรนิลจิลดา ผุดขึ้นมาเกลื่อนกลาดไปหมด เพชรนิลจิลดาของล้ำค่า ตลอดจนเงินทองหน่อเงินหน่อคำ เหล่านี้มันจะผุดขึ้นในแผ่นดิน มันจะมาในยุคศรีวิไลย์ จริงหรือที่ท่านว่ามานี้ มันก็เป็นเวลาที่ดูเหมือนจะไม่ตรงกับที่ท่านพระคุณเจ้าได้กล่าวมาตะกี้ข้างต้น ว่ายุคศรีวิไลย์ ไม่ใช่จะอีก ๓๐๐ ปี ๔๐๐ ปีข้างหน้า ยุคศรีวิไลย์ ที่ท่านพระคุณเจ้ากล่าวไว้นี้ มันอยู่ไม่ไกล คือมันอยู่ไม่ไกล เมื่อหมดจากพระเจ้าแผ่นดินของเรา องค์นี้แล้วมันก็จะเป็นยุคศรีวิไลย์แล้ว จะเป็นอีก ๓๐๐ ปี ๔๐๐ ปี ได้อย่างไร ท่านผู้ฟังทั้งหลาย ยุคหนึ่งๆ ท่านพระคุณเจ้า ได้กล่าวข้างต้นแล้วว่า มันหมายถึงชั่วพระเจ้าแผ่นดิน องค์หนึ่งๆ ทรงครองราชฯสมบัติบนแผ่นดินไทย เพราะฉนั้นยุคศรีวิไลย์ มันจะถึงอีก๓๐๐ ปี ๔๐๐ ปี นั้นไม่ใช่ คือมันจะมาในระยะใกล้ๆนี้เอง คือหลังจากเมื่อพระเจ้าแผ่นดินองค์นี้สิ้นสุดลง ก็จะเป็นยุคใหม่ ยุคศรีวิไลย์ ที่จะเปลี่ยนแปลง เป็นยุคที่ดีขึ้นมาทันทีทันใดนั้น มันจะต้องมีอะไรขึ้นมาสักน้อยหนึ่งกระมั้ง คือหมายความว่ามันต้องมีภัยพินาศเหมือนกัน ก็มีภัยพินาศเหมือนกัน ถ้าเรามาดูตามเรื่อง ภัยพิบัตินั้น มันจะมาในรูปแบบใหน เพราะยุคที่จะเปลี่ยนแปลงไปนั้น มันจะต้องมีอะไร ที่เป็นเหตุเป็นปัจจัยเสียก่อน เ้หมือนกับคนที่จะสร้างบ้าน สร้างเรือน จะทำสวน จะทำนา จะพัฒนาบ้าน จะพัฒนาเมือง ก็ต้องมีการปราบกัน คำว่าปราบ หมายความว่า ปรับปรุง ปราบปรามเสี้ยนหนาม ตอ หรือ แผ่นดินที่มันขลุๆขละๆ ไม่ราบเรียบ สม่ำเสมอ คือปราบให้มันราบ ปราบให้มันเรียบ ให้มันเป็นที่ตั้งบ้าน ให้มันเป็นที่ตั้งเมือง อะไรเหล่านี้ ถ้ามีต้นไม้ มีต้นตอ หรืออะไรที่ใช้ไม่ได้ ไม่เป็นประโยชน์ ก็จะต้องตัด ต้องขุด ก็จะต้องล้มลง จะต้องปราบลง หรือทำให้เป็นประโยชน์ จึงจะสร้างเป็นบ้านเป็นเรือน เป็นแผนป็นผังขึ้นมาได้ ไม่ต้องดูมาก ดูอย่างในไร่เขาเถอะ ในไร่ก่อนที่เขาจะปลูกอะไรลงไป ปีหนึ่งปีหนึ่ง แม้แต่ต้นผักต้นหญ้า ต้องปราบกันทุกปี ต้องไถกันต้องพลิกแผ่นดินกันจึงจะปลูกได้ พวกชาวดอยล้มต้นไม้กันเผาป่ากัน จะใส่ข้าวโพดข้าวไร่ไป ก็ต้องฟันต้นไม้เผาป่ากันจนหมด ราบคาบ พอฝนตกมาก็เอาแล้วทำที่ดินปลูกข้าว ปลูกผักปลูกอะไรต่อมิอะไรก็ปลูกกันไป ท่านผู้ฟังทั้งหลายฉันใดก็ดีอันนี้มันจะเปลี่ยนยุคขึ้นมาใหม่ ก็ย่อมจะมีอะไรอยู่บ้าง ก่อนที่จะเปลี่ยนมาเป็นยุคศรีวิไลย์ ก็หมายความว่ายุคศรีวิไลย์ นั้นก็คงไม่มีคนชั่วร้ายใจทราม ก็คงมีแต่คนดี คนไม่ดีก็จะหมดไปด้วยเหตุต่างๆ อันที่จะมาทำให้คนชั่วหมดไปนั่นแหละ แต่จะหมดไปด้วยอำนาจอะไร จะด้วยน้ำ ด้วยดิน ด้วยลม ด้วยไฟ หรือด้วยการถูกเข่นฆ่า หรือด้วยโรคภัย ไข้ พยาธิลงมาสู่แผ่นดิน อันเราก็อาจจะไม่รู้ได้ หลังจากนั้นคนชั่วคนอธรรมทั้งหลาย ก็คงจะหมดไป เมื่อหมดไปหลอยหล่อไป แล้วจะเหลือคนที่สืบสกุลศีล สืบสกุลธรรม คือศีลห้ากรรมบท๑๐ คนที่มีศีลห้ากรรมบท๑๐อันนี้แหละ จะเป็นคนที่สืบคน แล้วก็จะเป็นคนที่สืบไป จนเป็นต้นเหตุของผู้ที่จะสร้างสรรค์ วัฒนธรรม ให้ผู้มาบังเกิดเป็นคนที่มีศีลมีธรรมขึ้นมา สืบสายเลือด ท่านผู้ฟังทั้งหลายศีลห้า กรรมบท๑๐ ที่ท่านพระคุณเจ้าได้กล่าวมานี้ ท่านทั้งหลายคงได้ยินได้ฟังกันมาบ้างแล้ว ยุคศรีวิไลย์ จะมีแต่คนดี ก็มีแต่คนดีเพราะต่างมีศีลห้ากรรมบท๑๐กันทั้งนั้น แล้วก็ท่านว่ายุคศรีวิไลย์จะมีต้นกัลปพฤกษ์ บังเกิดขึ้น ก็ดูเหมือนจะมีอยู่ และขอให้คนเรานั้น ตั้งใจอยู่ในศีลห้ากรรมบท๑๐ อยู่ในศีลในธรรมกันแต้ๆ ยุคศรีวิไลย์ จะมีลักษณะเป็นอย่างไร คนนั้นก็จะเป็นคนสวย จะเป็นคนงาม จะเป็นคนดีมีน้ำจิตมีน้ำใจดีกันทั้งนั้น ไม่มีอาฆาตมาดร้าย ไม่มีโกรธไม่มีเกลียด ไม่มีภัยไม่มีเวร คือไม่กินเนื้อสัตว์อะไรเหล่านี้ ก็ไม่มี จะดูให้ง่ายๆก็ดูคนที่เข้าวัดปฎิบัติธรรม ไม่ต้องทำมาหากิน มันก็มีอยู่ มีกินเอง ไม่ต้องไปวิตกกังวลอะไร ก็คนในยุคศรีวิไลย์นั้นถ้าเปรียบแล้วก็เหมือนอย่างนี้แหละ การนุ่งการห่มก็จะเปลี่ยนยุคเปลี่ยนสมัยไป คนที่เป็นผู้หญิงผู้ชาย นุ่งห่มเหมือนกัน อันนี้ก็จะหมดไป เพราะสมัยนี้มันผู้หญิงก็นุ่งเตี่ยวกางเกงผู้ชาย ก็จะนุ่งแต่งตัวเหมือนผู้หญิง ไว้ผมยาวอะไรอย่างนี้ก็จะหมดไป ผู้ชายก็จะเป็นผู้ชาย ผู้หญิงก็จะเป็นผู้หญิง ท่านผู้ฟังทั้งหลายก็คนในยุคศรีวิไลย์นั้น จะมีอารยธรรม คือเป็นคนดี มีศีล มีธรรม อันสมบูรณ์ พืชพรรณธัญญาหาร ก็จะเกิดขึ้นเอง อุดมสมบูรณ์พูนสุข แก้วแหวน เงิน ทอง ก็ถึงจะมีขึ้นเกิดขึ้น มันก็ไม่มีประโยชน์ ก็เหมือนกับว่าจะไม่มีประโยชน์อะหยั๋ง ไม่มีใครปราถนา แก้วแหวนเงินทองเกิดขึ้นมาเป็นกอบ เป็นกอง ก็ไม่มีใครสนใจเท่าไร เพราะว่าจะเอาไปทำอะไร กินก็ไม่ได้ ใช้งานก็ไม่ได้ ที่ดีก็คือว่าของกินประทังชีวิตไปวันหนึ่งๆ ก็อยู่ดีมีสุขแล้ว เหมือนกับคนที่ปฏิบัติธรรม เหมือนกับคนที่พระคุณเจ้าได้ว่ามานี้

    ไม่ต้องกังวลอะไรกับเรื่องทำมาหากิน ท่านทั้งฟังทั้งหลาย ยุคศรีวิไลย์ที่ท่านพระคุณเจ้าได้กล่าวมานี้ คือไม่ใช่หมายถึงอีก๓๐๐ ปี ๔๐๐ ปีหรือเป็นยุคของพระศรีอาริยะเมตตรัย ก็ไม่ใช่ แต่เป็นชื่อของยุคในส่วนหนึ่งของสมัยหนึ่งในราชการเรานี้ ของเมืองไทยเรานี้ อันจะมีต่อในยุคปัจจุบัน คือยุคถิ่นกาขาว หรือถิ่นนุ่งขาว ห่มขาวกัน แล้วก็จะต่อในยุคนี้ เพราะฉนั้นประเทศไทยเราก็คงไม่เหมือนกับประเทศอื่นๆ คำพยากรณ์ที่เป็นยุคๆ ๑๒ ยุคนี้ตามที่ท่านผู้รู้ทั้งหลาย ได้สังเกตมาก็เป็นความจริงทั้งนั้น เพราะฉนั้นเราจะไปเชื่อถือเอาคำใหม่ๆ หรือคำนอกๆนั้น โดยเอาเต็ม ๑๐๐ เปอร์เซ็น ก็จะทำให้เกิดความวิตกกันมากขึ้น หรือว่าบ้านเมืองจะถึงภัยพิบัติ ถึงขนาดนั้นก็จะทำให้ความเป็นอยุ่ หรือภาวะการนอนไม่หลับ ให้เกิดกังวลขึ้นมาได้ ก็เพราัะฉนั้นประเทศไทยเรา ท่านว่าคงไม่เหมือนอย่างนั้น แต่ถึงจะมีบ้างมันก็เป็นภัยธรรมชาติ ธรรมดาๆนั่นเอง แต่ว่ามันก็มีอะไีีรให้มากๆสักนิดสักหน่อย ในที่เขามีมากกว่าเราหลายสิบหลายร้อยเท่า แต่เมืองไทยเราก็นับว่าโชคดีกว่าเปิ้น ท่านว่าอย่างนั้น แต่ท่านพระคุณเจ้าก็อนุโลมว่ามันก็คงจะเป็นอย่างนั้น ในเมื่อคนเราตั้งอยู่ในศีลในธรรม พระพุทธศาสนายังไม่หมดไปจากโลกนี้
    เทพยดาอารักษ์ ก็จะต้องช่วยปกปักษ์ รักษา ช่วยถนุถนอมแต่ท่านหลวงปู่วานิชย์ หรืออาจารย์วานิชย์ ที่ท่านกล่าวนั้น ท่านว่าพวกมีฤทธิ์ทั้งหลาย ในครั้งที่แล้วนั้นเมืองไทยเราหรือโลกเรานั้น แทบจะถึงภัยพิบัติใหญ่หลวง แต่พวกมีฤทธิ์ทั้งหลายได้ช่วยยับยั้งไว้ แต่ท่านว่าควาวนี้ พวกมีฤทธิ์ทั้งหลายยับยั้งไม่ได้ เพราะเวรกรรมได้สะสมไว้มานานแล้ว ย่อมจะต้องมาชดใช้ซึ่งกันและกัน ไปตามอำนาจของกรรมเก่า คนที่มีอันเป็นก็ต้องจะเป็น คนที่มีอันตายก็จะต้องตาย คนดีๆก็จะต้องเหลือท่านว่าอย่างนั้น ศรัทธาญาติโยมท่านผู้ฟังทั้งหลาย ท่านพระคุณเจ้าได้แสดงมาถึงเรื่อง ยุคศรีวิไลย์ อันจะมีมาในข้างหน้า ก็คือยุคต่อจากรัชสมัยปัจจุบันภูมิพลอดุลยเดชของเรานี่เอง แสดงมาย่อๆถึงเรื่องราวอันเป็นมาเเละเป็นไปของกาลเวลาก็ขอยุติลงด้วยประการฉะนี้
     
  6. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    แด่..ผู้ติดสุขจากฌาน
    อ่านทางนี้

    พระอาจารย์ทูล ขิปฺปปญฺโญ แห่งวัดบ้านค้อ ตำบลเขือน้ำ อำเภอบ้านผือ จังหวัดอุดรธานี
    ได้พูดถึงอุบายวิธีการพิจารณาด้วยปัญญาไว้อย่างเฉียบขาด


    ในพระธรรมเทศนาของท่านชื่อ “ทวนกระแส” ท่านกล่าวว่า
    สมถะภาวนาล้วนๆต่อให้มีสมาธิลึกจนถึงสมาบัติ 8 ก็ไม่มีทางที่ปัญญาจะเกิด
    และอาจติดอยู่ในสมถะโดยไม่มีทางออก หรือบางคนทำสมาธิจิตสงบจนนึกว่าเป็นพระอรหันต์โดยไม่ได้เป็นก็มี
    จะขอยกข้อความตอนหนึ่งในหนังสือของพระอาจารย์ทูล ขิปฺปปญฺโญ มาไว้ให้อ่านดังนี้


    ... และขอย้ำเพื่อทำความเข้าใจกับผู้อ่านสักนิด ขณะนี้ท่านเป็นนักปฏิบัติมีความมุ่งหวังและตั้งใจว่า เมื่อจิตมีความสงบเต็มที่แล้ว จะมีปัญญาเกิดขึ้นเพื่อจะพิจารณาธรรมต่อไป ใครๆก็มุ่งหวังปัญญา จึงได้ตั้งหน้าตั้งใจทำสมาธิหวังความสงบเพื่อคอยให้ปัญญาได้เกิดขึ้น ผู้ที่ไม่เคยคิดพิจารณาในแง่ธรรมต่างๆมาก่อนก็จะทำความสงบนั้นก็ทำได้

    แต่สายทางแห่งความสงบของผู้ที่ไม่เคยมีปัญญามาก่อน ถึงจะสงบลึกจนถึงสมาบัติ 8 ก็ตาม ผลที่ได้รับก็คือความสุขกายสุขใจ บางทีอาจมีเครื่องเล่นคืออภิญญาญาณ คือมีญาณหยั่งรู้ในเรื่องอดีต อนาคต และรู้เหตุการณ์ต่างๆที่จะเกิดขึ้น และมีจักขุญาณบ้าง โสตญาณบ้าง คือ มองเห็นด้วยตาใน หูภายใน หรือแสดงฤทธิ์ในวิธีต่างๆได้ หรือรู้วาระจิตของคนและสัตว์อย่างใดอย่างหนึ่ง ผู้นั้นก็จะติดความรู้ในญาณของตนแบบไม่รู้ตัว ญาณดังกล่าวนี้ ก็จะทำให้คนคิดว่าตนเป็นพระอรหันต์ได้ง่ายที่สุด เพราะเชื่อในญาณของตัวเอง

    เช่นในครั้งพุทธกาลมีพระ 30 รูป ไปเจริญสมถะเพื่อความสงบ เมื่อจิตมีความสงบเต็มที่แล้ว ก็มีความสุขใจ ความสุขกาย และรักษาความสงบนั้นได้ติดต่อกันมาหลายวัน ก็มาคิดว่านี่พวกเราหมดกิเลสตัณหาอวิชชาแล้ว พวกเราได้ถึงขั้นพระอรหันต์แล้ว เพราะราคะตัณหาพวกเราไม่มี ไปเถอะไปกราบนมัสการพระพุทธเจ้าเพื่อจะได้รับพยากรณ์ แล้วพากันเดินมาจวนจะเข้าวัด พระพุทธเจ้าได้ตรัสกับพระอานนท์ว่า ดูก่อนอานนท์ เธอจงไปบอกกับภิกษุ 30 รูปนั้น ให้เข้าไปพักอยู่ป่าช้าก่อน ทีหลังจึงเข้ามาหาเรา พระอานนท์ก็ออกไปดักทางแล้วบอกดังคำที่พระพุทธเจ้ารับสั่ง ภิกษุ 30 รูปก็พากันเข้าไปในป่าช้านั้นๆ เมื่อเข้าไปก็บังเอิญเห็นหญิงสาวกำลังนอนตายหงายท้องอยู่แบบสดๆร้อนๆเหมือนกับอาการนอนหลับผ้าชิ้นหนึ่งจะปกปิดร่างกายนิดเดียวก็ไม่มี พระ 30 รูปนั้นก็กรูเข้าไปรุมล้อมดูด้วยความอยากเห็น ต่างองค์ก็ต่างดูต่างองค์ก็ต่างคิดไปในอารมณ์แห่งความใคร่ ความกำหนัด ไฟของราคะจึงเกิดขึ้นภายในใจจนถึงขีดแดง ผลที่สุดอรหันต์ที่พากันคิดเอาเองก็แสดงตัวร้องโวยวายขึ้นทันทีว่า พวกเรายังมีราคะตัณหาอวิชชาอยู่ จากนั้นก็พากันเจริญด้วยปัญญาพิจารณาในไตรลักษณ์ พิจารณาไปพิจารณามาด้วยปัญญาธรรมดา เมื่อใจรู้เห็นจริงตามปัญญาธรรมดานี้แล้ว วิปัสสนาญาณก็เกิดขึ้น ผลที่สุดก็บรรลุอยู่ในป่าช้านั่นเอง

    เห็นไหมล่ะท่าน
    สมาธิ คือความสงบนั้นก็ยังทำให้เราเข้าใจผิดได้
    นี้ในครั้งสมัยที่มีพระพุทธเจ้า
    ก็ยังมีนักปฏิบัติที่มีความเข้าใจผิดในผลการปฏิบัติในสมถะมาแล้วเป็นจำนวนมากทีเดียว
    เพราะความสงบนี้ถ้าไม่มีครูอาจารย์องค์ที่ท่านเคยได้ผ่านไปแล้วเข้าแก้ไขก็ผิดได้ง่ายเหมือนกัน
    และติดอยู่ในสมถะโดยไม่มีทางออก
    ถ้าในสมัยปัจจุบันนี้ ถ้าผู้ภาวนาเป็นเหมือนกับภิกษุ 30 รูปแล้ว ก็จะไม่มีใครๆเข้าแก้ไขได้เลย
    และก็จะเป็นอรหันต์ดิบอยู่อย่างนั้นตลอดไปจนถึงวันตาย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 30 สิงหาคม 2012
  7. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,488
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
    ความตายเป็นสิ่งที่น่ากลัว(สําหรับคนทั่วไป)..แต่..หลังจากตายแล้วนั่นซิที่น่ากลัวกว่า
    กราบท่านอาจารย์ภูค่ะcatt1
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 สิงหาคม 2012
  8. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    พระพุทธเจ้า
    สุภัททะ ศาสนาใดไม่มีมรรคอันมีองค์แปดประการ สมณะผู้สงบก็ไม่มีในศาสนานั้น …
    หากภิกษุหรือใครก็ตาม ปฏิบัติตามมรรค อันเป็นทางประเสริฐ โลกก็จะไม่พึงว่างจาก พระอรหันต์
    เธอจงตั้งใจฟังธรรมะจากเราเถิด
    จิตนี้เป็นธรรมชาติที่ผ่องใสมีรัศมีเหมือนดวงจันทร์ แต่ถูกกิเลสที่จรมาเป็นครั้งคราว
    จิตนี้จึงเศร้าหมองเหมือนก้อนเมฆบดบังดวงจันทร์ให้อับแสง

    พระพุทธเจ้า
    ภิกษุทั้งหลาย … เมื่อเราปรินิพพานแล้ว พระธรรมวินัยทั้ง ๘๔,๐๐๐
    (แปดหมื่นสี่พัน)พระธรรมขันธ์ จะเป็นครูสอนแทนตัวเรา อย่าได้คิดว่า พระศาสดาของเรา
    ปรินิพพานแล้ว ศาสดาของเราจะไม่มีด้วย เพราะแท้จริงแล้ว ธรรมก็ดีวินัยก็ดีที่เราแสดง
    และบัญญัติเอาไว้ จะเป็นศาสดาแทนเราต่อไป
    ภิกษุทั้งหลายเธอทั้งหลายจงมีธรรมและวินัย เป็นที่พึ่งเถิด อย่าได้มีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่งเลย
    แม้ตถาคตก็เป็นแต่เพียงผู้บอกทางเท่านั้น
     
  9. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    ข้าพเจ้าขอมีพระพุทธเจ้าอยู่ในดวงจิตตลอดไป
    ภูทยานฌาน​

    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=dshJD6HFUp4&list=PL270B95E11A3A7C9A&index=1&feature=plpp_video]Buddha Thus Have I Heard - Official Trailer - YouTube[/ame]​
    ผู้ใดหมั่นดูจิตตนเอง
    ในไม่ช้าก็จะเห็น จิตในจิต ธรรมในธรรม
    และในไม่ช้าจะเห็น พระตถาคต...หรือสมเด็จองค์ปฐม
    ภายใน จิตในจิต จิตเป็นธรรม และจิตที่เป็นพุทธะนั้นเอง
    และมีอยู่หนทางเดียวที่พบจิต พบธรรม หรือพบพระพุทธเจ้า
    นั่นก็คือ มรรคมีองค์ ๘ (ศีล-สมาธิ-ปัญญา)​
     
  10. watjojoj

    watjojoj เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    562
    ค่าพลัง:
    +9,793
    เห็นโลโก้คุณภูแล้วขนลุกเลย อิ่มๆใจขึ้นมาเลยครับ
     
  11. กรรมบท 10

    กรรมบท 10 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 มกราคม 2012
    โพสต์:
    30
    ค่าพลัง:
    +237
    สวัสดีค่ะ

    กราบ กราบ กราบ ขอบพระคุณในพระมหาเมตตาของสมเด็จพ่อองค์พระปฐม ขอกราบขอบพระคุณพี่วิทย์อย่างสุดซึ้งที่ช่วย ดึงดัน จิตป้อมจนได้กลับบ้านสมใจ ป้อมจะพยายามรักษาสถานจิตบุญไว้นะคะ เพราะก็เกรงว่าจะจิตตกกลับมาเหมือนเดิมอีก กลัวที่สุดเลยละค่ะ ฮ่าๆๆ เมื่อวานครูวิทย์บอกให้มาเปิดกระทู้ดูนะ เห็นชื่อตัวเองก็ งง งง งง อย่างเดียวเลยค่ะ


    สุดท้ายต้องขอกราบขอบพระคุณครูวิทย์ที่มีความเมตตาสั่งสอน คอยเป็นกำลังใจ อดทนกับลูกศิษย์จิตดื้อคนนี้ ขอยกความดีความชอบในการยกจิตครั้งนี้ให้ครูวิทย์ทั้งหมดค่ะ รวมถึงหากป้อมเคยล่วงเกินครูวิทย์ ทั้งกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม ทั้งที่ตั้งใจก็ดี ไม่ตั้งใจก็ดี ขอครูวิทย์งดโทษและอโหสิกรรมให้ด้วยเทอญ
     
  12. Wittayapon

    Wittayapon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    1,075
    ค่าพลัง:
    +19,233
    บุญบารมีทั้งหมดทั้งมวลที่ท่านมอบให้ ผมขอบคุณมากๆ

    ขอส่งต่อให้ผู้ฝึกทุกท่าน ขอให้มีกำลังใจ ความเพียรในการฝึก การปฏิบัติ จนจบกิจด้วยเทอญ ..สาธุ

    ธรรมชาติสวัสดี

    วิทย์ จบ.11
     
  13. Wittayapon

    Wittayapon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    1,075
    ค่าพลัง:
    +19,233
    ทุกสิ่งอย่างเกิดจากตัวผู้ปฏิบัติเป็นใหญ่ จิตเป็นประธาน
    จิต + สติ + การเดินมรรคที่ถูกต้อง ... ใจว่าง ไม่อยาก นี่แหละเคล็ดลับที่พึงมีเสมอมิให้ขาด

    ขอให้น้อมนำไปใช้นะทุกดวงจิต

    เราเฝ้ามองดูเจ้าอยู่

    ขอให้เจริญในธรรม

    ...
     
  14. เมิล

    เมิล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    421
    ค่าพลัง:
    +3,132
    วางใจในสิ่งที่มี เชื่อมั่นในพระ ไม่หวั่นไหว ท่านอยู่กับเราเสมอถึงไม่เห็นแต่สัมผัสได้ถึงความเย็นที่คลุมจิตเราอยู่ กล้าเผชิญเรื่องกระทบ 12 ริกเตอร์ จะได้รู้ถึงความเร็วในการตัด ถ้าตัดได้ทันทีแต่มีฟุ้งต่อเล็กน้อยได้ไม่เป็นไร ยอมโง่ 1 หน หนที่ 2 ไม่ได้กินเราอีกหรอก...จบละ สรุปอย่างที่พี่ภูบอกไม่อยู่กับลมหายใจก็อยู่กับพระเสมอนะคะคุณป้อม อิ ๆ :cool:
     
  15. อุษาวดี

    อุษาวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2012
    โพสต์:
    531
    ค่าพลัง:
    +12,151
    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=dshJD6HFUp4&list=PL270B95E11A3A7C9A&index=1&feature=plpp_video"]Buddha Thus Have I Heard [/ame]
    ขอโมทนาสาธุกับผุ้สร้าง เป็นอย่างยิ่ง
    ขอขอบคุณพี่ภูด้วยค่ะที่ นำมา post
    ขนลุกตั้งแต่ ฟัง ตอนเริ่ม "ชาตินี้ เป็นชาติสุดท้าย บัดนี้ภพใหม่ไม่มีอีก..."
    ดูจนจบก็ ซาบซึ้งใจมาก
    keyword ที่สำคัญก็อยู่ในนี้หมด
    ฟังได้ทุกเพศ ทุกวัย จิตเกาะพระ จนถึง จิตบุญ
    ธรรมะของพระพุทธเจ้า เป็นอกาลิโก จริงๆ

    ขอบอกก่อนนะคะ ที่ post ไปเป็นการ post ด้วยใจจริงๆ
    ถ้าอยากทราบว่า จิตเกาะพระ ดีอย่างไร ทำไมถึง เชียร์กันนัก
    ต้องลองทำดูค่ะ ไม่มีค่าใช้จ่ายนะคะ สมัครมาเรียน ติดต่อพี่เพ็ญ หาครู ในกระทู้ได้เลยค่ะ
    แต่ต้องมีครูนะค่ะ จะได้ต่อแต่ละขั้นตอนไปได้ โดยไม่ติด หรือหมดกำลังใจไปก่อน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 สิงหาคม 2012
  16. Numtrn

    Numtrn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    1,408
    ค่าพลัง:
    +1,571

    จิต ขำๆนะครับ ..... อย่างเครียด !


    อันที่จริงจิตก็ว่างนะ ถ้าจิตไม่ว่าง ฟุ้งตลอดเลยเนี่ยล่ะ ปัญหาหนัก



    ก็ที่นั่งขัดสมาธิหลับตาปี๋ หมอเห็น____ อยู่ร่ำไป เนี่ยก็เพื่อ ให้จิตว่างไม่ใช่หรือ ?
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 สิงหาคม 2012
  17. watjojoj

    watjojoj เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    562
    ค่าพลัง:
    +9,793
    "ของจริง ของปลอม" (หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ)

    เมื่อหลายปีก่อน ได้เกิดไฟไหม้ที่วัดสะแกบริเวณกุฏิตรงข้ามกุฏิหลวงปู่ แต่ไฟไม่ไหม้กุฏิหลวงปู่
    เป็นที่น่าอัศจรรย์ใจแก่ศิษย์และผู้ที่พบเห็นเป็นอย่างยิ่ง ถึงขนาดมีฆราวาสท่านหนึ่ง คิดว่า
    หลวงปู่ท่านมีพระดี มีของดี ไฟจึงไม่ไหม้กุฏิท่าน

    ผู้ใหญ่ท่านั้นได้มาที่วัดและกราบเรียนหลวงปู่ว่า
    “หลวงปู่ครับ ผมขอพระดีที่กันไฟได้หน่อยครับ”

    หลวงปู่ยิ้มก่อนตอบว่า
    “พุทธัง ธัมมัง สังฆัง ไตรสรณคมน์นี่แหละ พระดี”

    ผู้ใหญ่ท่านนั้นก็รีบบอกว่า
    “ไม่ใช่ครับผมขอพระเป็นองค์ ๆ อย่างพระสมเด็จน่ะครับ”

    หลวงปู่ก็กล่าวยืนยันหนักแน่นอีกว่า
    “ก็พุทธัง ธัมมัง สังฆัง นี่แหละมีแค่นี้ล่ะ ภาวนาให้ดี”

    แล้วหลวงปู่ก็มิได้ให้อะไร จนผู้ใหญ่ท่านนั้นกลับไป หลวงปู่จึงได้ปรารภธรรมอบรมศิษย์ที่ยังอยู่ว่า
    “คนเรานี่ก็แปลก ข้าให้ของจริงกลับไม่เอา จะเอาของปลอม”

    ที่มาจากหนังสือ "ตามรอยธรรม ย้ำรอยครู หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ"
    ฉบับปรับปรุง พิมพ์ครั้งที่ ๓ : ๖ เมษายน พ.ศ.๒๕๕๓
    จัดทำโดย : กลุ่มเพื่อนธรรมเพื่อนทำ
     
  18. Numtrn

    Numtrn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    1,408
    ค่าพลัง:
    +1,571
    ไปไหนล่ะครับ ?

    ขอตั๋ว VIP นะ business class !

    [​IMG]


    ตั๋ว ECO อย่างส่งมา
     
  19. natthapatpun

    natthapatpun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,124
    ค่าพลัง:
    +25,214
    ขออนุญาตประกาศจิตบุญดวงที่ ๕๖ และ ๕๗ ณ วันที่ ๓๐ สิงหาคม ๒๕๕๕

    ขอท่านทั้งหลายจงโมทนา
    กับจิตบุญดวงที่ ๕๖
    ของกลุ่มจิตบุญเทอญ
    สาธุ สาธุ สาธุ
    [​IMG]
    ขอท่านทั้งหลายจงโมทนา
    กับจิตบุญดวงที่ ๕๗
    ของกลุ่มจิตบุญเทอญ
    สาธุ สาธุ สาธุ
    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  20. puk777

    puk777 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2012
    โพสต์:
    17
    ค่าพลัง:
    +492
    กราบสวัสดีพี่ภู คุณครูเพ็ญ และคุณครูทุกๆท่าน หนูขอส่งการบ้านคะ เมื่อวานนี้ได้วางกำลังใจใหม่ ทำใจสบายๆและกำหนดภาพพระใหม่ ภาพพระได้เปลี่ยนไปโดยเห็นภาพพระได้ย้ายมาอยู่ข้างหน้าโดยท่านหันหน้าเข้าหาหนู (เป็นภาพโลโก้ของคุณครูเพ็ญ) โดยไม่ต้องเค้นหรือพยายามนึกภาพ ทำใจเบาๆสบายๆเห็นภาพต่อเนื่องนานขึ้น ระหว่างเห็นภาพ ใจก้อคิดเรื่องอื่นตลอดก้อพยายามเตือนตัวเองตามที่พี่ภูแนะนำ - สติ...สติ , ของครูเพ็ญ - อย่าปรุงแต่งๆ ช่วยได้มากๆๆทำให้หนูอยู่กับภาพพระได้นานและคิดเรื่องอื่นน้อยลง และในระหว่างทำงานได้มีลูกค้าเข้ามาซื้อของ , ถามหาสินค้าที่ต้องการโดยเข้ามาพร้อมๆกัน หนูเริ่มหงุดหงิดนิดหน่อยเพราะน้องในร้านไม่อยู่หายไป1คนไม่รู้ไปไหน สักครู่น้องคนนั้นก้อกลับมาและตัวหนูวิ่งหาของให้ลูกค้าดูหลายรอบก้อยังไม่ถูกใจ หนูเริ่มเหนื่อยและหงุดหงิดบ้าง สรุปจบหนูถามน้องๆในร้านว่า "ตกลงขายของได้แค่รายเดียวเท่านั้นใช่มั้ย " น้องๆในร้านก้อตอบว่า "ใช่ " จากนั้นประมาณ1-2 นาทีความรู้สึกหงุดหงิดหายไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ( ตลอดระยะเวลาที่ขายของหนูนึกภาพพระเป็นระยะและรับรู้ถึงอารมณ์หงุดหงิดที่เกิดขึ้นกับตัวเองตลอดแต่ก้อยังหงุดหงิด ) คุณครูช่วยชี้แนะหนูด้วยค่ะ ขอบพระคุณมากค่ะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...