จิตพร้อม? รับภัยพิบัติ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย ภูภู, 6 เมษายน 2012.

  1. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    ขอเสริมธรรมะขี้หมาๆ
    หรือว่าอึหมาดี ก็เหมือนกันอีก
    คำพูด ภาษาเป็นสิ่งสมมุติ อย่าไปสนใจ ขอให้สนใจจิตตนเอง

    จะหมานอกบ้าน หรือว่าจะเป็นหมาในบ้านของเรา
    มันก็ไม่ใช่หมาของเราอยู่ดี เพราะว่าขันธ์5นี้ ก็ไม่ใช่เรา ของเราเลย
    นับประสาอะไรกับเรื่องหมาๆ หรือใครจะพูดชมหรือว่านินทา
    จิตเรายกแล้วนี่มันสะบายเจงๆ ใช่ไหม๊คุณแสงจันทร์

    สรุปแล้วทั้งหมาในบ้าน หมานอกบ้าน หรือคนนินทาหมากระทบคน
    ดันหูไปได้ยิน หรือแม้นกระทั่งตัวเราก็ช่างเถ๊อะ!
    อีกไม่นานก็ตายลาโลกนี้ไปทั้งหมดเหมือนกัน

    สรุปแล้ว ทุกธรรมย่อมเป็นไปตามกฎพระไตรลักษณ์ของพระพุทธองค์ทั้งหมด
    นี่คือ สัจจธรรม นี่คือความจริง นี่คือไม่เที่ยง เกิดมาแล้วเป็นทุกข์
    สรรพสิ่งล้วนไม่มีตัวตนอยู่จริงๆ มันเป็นธรรมดา อย่างนี้นี่เอง
     
  2. Wittayapon

    Wittayapon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    1,075
    ค่าพลัง:
    +19,233

    สู้ตายนะครับคุณหมอ
    ไม่ใช่เราตาย เอากิเลสให้หมอบไปเลยนะ

    อะไรที่ติด อะไรที่ขัด ปดูมัน แล้วพิจารณาสะนะครับ

    วิ่งชน ลุยเกาะพระเต็มที่

    ผมเอาใจช่วยนะครับ

    สู้ๆครับ
     
  3. jprabs

    jprabs เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    40
    ค่าพลัง:
    +1,229
    ผู้ไม่ปฏิบัติธรรมย่อมเป็นทุกข์
    แต่ผู้ปฏิบัติก็เป็นทุกข์ไม่แพ้กัน

    [​IMG]

    ผู้ไม่ปฏิบัติธรรมต่างเป็นทุกข์เพราะเสื่อมลาภ เสื่อมยศ และนินทรา
    ผู้ปฏิบัติอาจจะไม่ทุกข์เพราะโลกธรรมเท่าใดนัก แต่ก็ทุกข์
    เพราะจิตไม่สงบ ทำสมาธิไม่ได้ จิตไม่ยอมนิ่ง

    ผู้ไม่ปฏิบัติมักหลงไปยึดว่าลาภ ยศ สรรเสริญ เป็นสิ่งมีตัวตนและ
    เป็นสมบัติของตน เมื่อสิ่งเหล่านั้นสูญสลายไปก็เกิดความทุกข์โทมนัส
    ผู้ปฏิบัติที่ยังเป็นเสขะบุคคลส่วนมากก็หลงเช่นกัน คือไปยึดว่าจิตเป็นสิ่งมีตัวตน เป็นสมบัติของตน บังคับเอาได้ ควบคุมบงการให้เป็นไปตามใจปรารถนาได้ แต่จิตนี้มันดื้อยิ่งกว่าเด็ก Gen Y เสียอีกนะ พอมันไม่ยอมเป็นอย่างที่ตัวเองต้องการก็เกิดอาการจิตตก หดหู่ เครียด ซึมเศร้า ท้อแท้ คิดว่าตัวเองบุญไม่พอ แต่ก็มีบางครั้งเหมือนกันที่บังคับเอาไว้ได้ พอบังคับได้ก็ดีใจ หลงไปยึดกับความสำเร็จครั้งนั้นๆ เสียอีกนะ ทีนี้ก็ไปกันใหญ่อีก เพราะคราวต่อไปมันไม่สำเร็จเหมือนคราวก่อน แล้วก็กลับไปซึมเศร้า หดหู่ วกไปวนมา
    ก็มีอยู่เท่านี้นะสำหรับผู้ปฏิบัติที่ยังหลงทาง

    เวลาปฏิบัติให้ฝึกควบคู่กันไปทั้งการละวางสังขารร่างกายและจิต พยายามฝึกละวางไปพร้อมๆ กัน กายไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา จิตก็ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเราเช่นกัน จะไปเอาอะไรนักหนากับมันละ ที่เราจะเอาเก็บไว้และรักษาให้มั่นก็สตินี่แหล่ะ กายเคลื่อนไหว สัมผัสเย็นร้อนอ่อนแข็ง ก็ให้รู้ทัน เป็นกายานุสปัสสนาสติปัฏฐาน จิตแปรปรวนเปลี่ยนแปลงเพราะธรรมารมณ์มากระทบก็ให้รู้ทัน เป็นจิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน คีย์เวิร์ดอยู่ที่คำว่ารู้ทัน ไม่มีคำไหนเลยที่บอกว่าให้บังคับหรือดึงกลับมา ถ้าบังคับหรือดึงกลับมาไม่ใช่วิปัสสนกิจ การวิปัสสนาคือกำหนดรู้อารมณ์หรือสภาวะที่เกิดขึ้น ณ ขณะปัจจุบัน รู้และดูอยู่เฉยๆ ไม่เข้าไปแทรกแซงใดๆ ทำบ่อยๆ เข้าก็จะเกิดปัญญาญานขึ้นมาได้เองว่าทุกข์เกิดแต่เหตุ ทุกข์ดับเพราะเหตุดับ ไม่ใช่ใครที่ไหนไปดับ โดยกระบวนการของธรรมชาติมันเป็นอย่างนั้น "สิ่งใดสิ่งหนึ่งเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นย่อมดับไปเป็นธรรมดา" คำว่าเป็นธรรมดาแปลว่า เขาเป็นไปเอง
    โดยที่ไม่ต้องมีใครไปวุ่นวายบริการจัดการ

    หมั่นรู้หมั่นสังเกตบ่อยๆ และแยกให้ได้ว่า กายก็ส่วนนึง จิตก็ส่วนนึง สติก็ส่วนนึง สามอย่างที่เอ่ยมานี้ให้เก็บเอาไว้อย่างเดียวคือสติ ที่เหลือให้ละวางลงไปให้ได้ กายไม่ใช่เรา จิตก็ไม่ใช่เรา จะแปรปรวนเปลี่ยนแปลงไปยังไงก็ช่างเขา เราเอาสติตามรู้อย่างเดียว ใช้สติเป็นเครื่องมือสำคัญ

    ขอให้ผู้ปฏิบัติชาวจิตเกาะพระหมั่นเอาสติตามรู้กายและจิตอยู่เรื่อยๆ ทำไปจนกว่าจะยอมรับว่ากายและจิตไม่เที่ยงเป็นทุกข์เป็นอนัตตา ไม่ใช่ตัวเรา ไม่ใช่ของเรา เมื่อนั้นทุกข์ก็ดับ ยกจิตขึ้นไปรายงานตัวได้เลย

    ขอความเจริญในธรรมจงมีแด่ทุกๆ ท่าน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 31 กรกฎาคม 2012
  4. อุษาวดี

    อุษาวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2012
    โพสต์:
    531
    ค่าพลัง:
    +12,151
    ส่งการบ้าน 31 07 55 ค่ะ
    การแยกกายแยกจิต<O:p
    เมี่อวานกับเช้านี้ ตอนพยายามแยก ถ้ากำลังทำงาน อยู่ก็จะสะดุดๆ เหมือนกำลังพิมพ์งานก็ชะงักไปนิดนึงคิดอะไรก็ช้าลงเหมือนคอมอืดๆ<O:p
    ตอนเที่ยงไปโรงอาหาร ในขณะที่ไปเดินมองๆว่าจะซี้ออะไร ก็รู้สึกถึงเท้าที่กระทบพี้นอยู่ในขณะเดียวกัน พอดีใจก็กลับมาดูที่จิต
    วันนี้ พูดกับคนอื่นอยู่ก็นึกถึงพระไปด้วยก็ทำได้แต่ต้องใช้ความพยายามนิดนึง ยังไม่คล่องค่ะ
    <O:pขณะนั่งทานข้าวอยู่ที่โรงอาหารมีคุณป้าหิ้วของมานั่งหัวโต๊ะ มีเก้าอี้อยู่ตัวเดียว ก็ลุกขึ้นเลื่อนเก้าอี้ตัวที่นั่งอยู่ให้แกวางของ แล้วเลื่อนเก้าอี้ตัวในที่วางกระเป๋าถืออยู่มานั่ง เอากระเป๋าถือมาวางรวมกับของคุณป้า ทั้งๆที่คุณป้าไม่ได้ทำท่าอยากได้เก้าอี้เพิ่ม ถ้าเป็นเมี่อก่อนก็ไม่แน่ใจว่าจะทำอย่างนี้มั้ย <O:p
    มีคนรู้จักที่รู้สึกว่าเขาชอบอยากรู้เรื่องเรา เมื่อวานเจอก็ไม่อยากทัก แต่วันนี้เห็นก็หันไปยิ้มให้ปกติไม่รู้สึกเหมือนทุกครั้ง<O:p
    เลยคิดว่า เอ๊ะ อัตตาลดลงหรือเปล่า ก็เลยสำรวจจิตตัวเอง ว่ายังมีใครที่รู้สึกเกลียดอยู่ไหม ก็มองไม่เห็น พอดูว่าใครที่รู้สึกไม่ชอบบ้างก็เห็นเงาๆขึ้นมา 1 คน <O:pพอกลับมา มีใครทำอะไรให้นิดหน่อย แต่เป็นคนที่ชอบ ก็รู้สึกดีใจ ทั้งๆที่คนอี่นก็
    ทำเหมีอนกัน รู้สึกขอบคุณ แต่ไม่ได้ดีใจ
    <O:p
    ชอบละยากกว่าเกลียด สุขน่าจะเป็นกิเลสที่น่ากลัวกว่าทุกข์ ใช่ไหมคะ
    <O:p
    เช้านี้เจอคนที่เคยมีปฏิคะด้วย ที่เมื่อวานยิ้มให้กันแล้ว วันนี้พี่ยิ้มให้แต่แกหน้าบึ้งตอบ ดูจิตตัวเองก็รู้สึกเฉยๆ ไม่โมโห คราวนี้เห็นแล้วว่าเฉยเพราะติดเฉยกับเฉยเพราะอุเบกขาต่างกัน หลายสัปดาห์ก่อน ที่แม่บ้านทำหน้าบึ้งใส่ แต่ไม่ใส่ใจเอาจิตหลบใน รู้แต่ไม่สนใจ แล้วยังไปบอกว่าไม่สนใจจริยาของผุู้อื่น ถ้าไม่ได้ครูคอยชี้แนะคงยากที่จะถึงฝั่ง
    <O:p
    </O:p
    ช่วงนี้ชอบลืม นั่งพิมพ์การบ้านอยู่ มีโทรศัพท์มา ลุกไปรับ กลับมาจะทำงานต่อเห็นแว่นวางอยู่หยิบมาจะใส่ถึงรู้ว่าใส่อยู่แล้ว 1 อัน อิอิ<O:p
    <O:p
    ไปเติมน้ำมันจะจอดรถ คนเติมน้ำมันก็ทำท่าเหมือนจะจอดเลยไป ทั้งๆที่คิดว่าเติมถึง เลยจะถอยกลับมาให้นิดนึง ยังไม่ทันจะเข้าเกียร์เลย เขาเอามือตบข้างๆรถเสียงดังจะให้เปิดที่เติมน้ำมัน เริ่มรู้สึกเอ๊ะทำไมเร่งเหลือเกิน ตอนเขามาเก็บเงินถึงรู้ว่าไม่ใช่คนไทย รู้สึกสงสารวูบขึ้นมา และเห็นว่าไม่เที่ยง <O:pค่ำไปเดินเล่น ขณะเดินก็พิจารณาตัวเองเป็นศพไปด้วยจนถึงโครงกระดูกเป็นฝุ่น ปลิวหายไป จิตก็ร้องเป็นเพลงขึ้นมาว่าในที่สุดก็ไม่เหลืออะไรเลย

    <O:pเห็นหมาที่ตลาดกินน้ำที่นองอยู่บนพื้น ที่ขอบๆน้ำ มีฟองอยู่เหมือนน้ำยาทำความสะอาด สงสารจับใจ ในที่สุดก็พิจารณาอุเบกขา แต่จะดูให้เป็นอนัตตาไม่ลง เห็นแล้วว่าถ้าปิดอบายภูมิไม่ได้ น่ากลัวจริงๆ ในทำนองเดียวกัน ถ้าใกล้ถึงแล้ว เกิดไปได้แค่พรหมก็น่าเสียดายอย่างยิ่ง เลยเข้าใจว่าทำไมครูๆทั้งหลายถึงเตือนนักเตือนหนา

    ขอบคุณพี่ภูที่กรุณาอธิษฐานจิตให้ ขอบคุณทุกท่านที่ช่วยชี้แนะและให้กำลังใจค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 31 กรกฎาคม 2012
  5. อุษาวดี

    อุษาวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2012
    โพสต์:
    531
    ค่าพลัง:
    +12,151
    ก่อนมาอ่าน mail ตอนกลางวัน ก็รู้สึกว่าวันนี้จิตนิ่ง ตรงกับที่พี่ช่วยตอบ
    สาธุค่ะ
     
  6. อุษาวดี

    อุษาวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2012
    โพสต์:
    531
    ค่าพลัง:
    +12,151
    คิดจะตรวจสอบ บารมี 10 เห็นคุณเมิล พูดถึงทำ checklist เลยนึกขึ้นมาได้ เลยลองทำดู ใส่ ตรวจศีลที่ copy จาก ที่พี่ลูกพลัง (ถ้าเกิดจำผิดเป็นท่านอื่น ขอโทษด้วยค่ะ) post ไว้ข้างหลังด้วย

    file นี้สำเร็จลงได้ด้วยความช่วยเหลือของคุณนก (ชาย) ค่ะ

    เผี่อท่านใดสนใจ copy ไปใช้
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 31 กรกฎาคม 2012
  7. natthapatpun

    natthapatpun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,124
    ค่าพลัง:
    +25,214

    ขอตอบอันนี้ก่อน

    คราวที่แล้วพอมองไม่เห็นพระก็เลยไม่ค่อยได้นึกถึงพระไปเลย

    นี่ไง จับได้แล้ว หลุดจริง ๆ ด้วย
    ขอตีก้นก่อน ป้าบๆๆ
    ไม่ได้ตีแบบครูตีลูกศิษย์
    แต่ตีแบบแม่ตีลูก
    เพราะรักนะจึงตี...ตีเพื่อให้ได้ดี
    ต่อให้คุณหมออาวุโสกว่าพี่เพ็ญ
    พี่เพ็ญก็จะตีในฐานะของจิตแม่ที่กำลังเลี้ยงดูจิตลูก

    พี่เพ็ญนึกแล้วเชียวว่าคุณหมอต้องหลุดจิตเกาะพระแน่ๆ จิตจึงไม่เข้าวิปัสสนาญาณเสียที แถมสมาธิก็ไม่ตั้งมั่น สติก็คอยแต่จะส่งออกนอก พี่เพ็ญกำลังจะมาตั้งคำถามเอาคำตอบตรง ๆ อยู่แล้วเชียว คุณหมอก็มาสารภาพรัก เอ้ย สารภาพว่าหนูพลั้งเผลอไปแล้วค่ะคุณแม่ขา แง้มๆๆ

    หนูพิมพ์ไทยช้า

    คุณหมอต้องใช้ธรรมะพยายามหน่อยนะคะ เพราะเราเรียนกันทางข้อความสื่อบนอินเตอร์เน็ต ถ้าไม่พิมพ์ข้อความให้เห็นกันแล้วก็จบเห่ โต้ตอบกันไม่รู้เรื่องเลย และช่องทางนี้เป็นช่องทางการเรียนรู้ที่ประหยัดที่สุดแล้ว แถมได้ทั้งธรรมะยกจิต จิตยก ได้มรรค ได้ผล ได้นิพพานกันไปหลายต่อหลายท่านแล้ว เพราะฉะนั้นพี่เพ็ญขอส่งกำลังใจให้คุณหมอค่ะ ธรรมะพยายามนะคะ สู้ตายค่ะ

    เช้านี้ตื่นมา มองไม่เห็นพระ แหมว่าจะพักสายตาต่ออีกหน่อย ดูๆไปเห็นโลโก้พี่ภู แทน เลยต้องลุกมานั่งสมาธิค่ะ :VO

    ขำเจง ๆ ตอนแรกอ่านแล้วงง อะไรคือโลโก้พี่ภู ตอนนี้ก็ยังนึกไม่ออก แต่น่าจะเป็นแรงบันดาลใจที่ขลังมาก ขนาดทำให้คุณหมอทนนอนเฉยต่อไปไม่ได้ เหมือนถูกพี่ภูจ้องหน้าตาถลนอยู่ป่าว 555

    ที่คุณหมอบอกว่า เช้านี้ตื่นมา มองไม่เห็นพระ พี่เพ็ญขออธิบายว่าอย่างนี้นะ...

    ขณะที่จิตทรงฌานสูงในระดับฌานสี่ประณีต(ละเอียด) จิตจะมองไม่เห็นภาพพระ เพราะจิตไม่เกาะของหยาบแล้ว จิตไม่เอาภาพแล้ว จิตจะทรงแต่ความนิ่งว่าง กลาง เบา และสบายเป็นหลัก

    ตอนรู้สึกตัวตื่นใหม่ ๆ นี่สำคัญมากเลย เราวัดได้ทันทีว่าตลอดคืนที่ผ่านมาจิตเกาะพระอยู่หรือเปล่า ถ้าจิตเกาะพระเข้าฌานสี่อยู่ตลอดคืนนะ พอตื่นนอนจิตจะมองไม่เห็นภาพพระหรอก ยิ่งเพ่งหาก็ยิ่งมึนหัวและปวดกระบอกตา

    แต่ให้ปฏิบัติอย่างนี้นะ ดูดีดีนะ...

    เมื่อมองหาภาพพระไม่เห็น ให้เอาสติวิ่งไปดูที่อารมณ์ใจก่อนเป็นอันดับแรก มีฟุ้งไหม มีคิดไหม ถ้าสติเห็นทั้งฟุ้งและคิด ให้ดูว่าฟุ้งเรื่องอะไรหรือคิดเรื่องอะไร บางทีอวิชชาตัวสุดท้ายมันอาจจะแฝงอยู่ในฟุ้งกับคิดนี่แหละ แต่ถ้าสติตามไม่ทันก็จะไม่เห็นอวิชชาที่นอนเนื่องอยู่ในจิต

    เพราะฉะนั้นสติของคุณหมอต้องทำงานให้ทันเกมของกิเลส อย่าปล่อยให้ข้ามไปแม้แต่ฉ็อตเดียว ฟุ้งก็ให้รู้ว่าฟุ้งเรื่องอะไร เช่น บางทีนึกไปถึงเรื่องความรักความหลังเก่า ๆ หรือเห็นภาพหวานแหว๋วในอดีตอยู่บ่อย ๆ อย่างนี้จิตมีอวิชชาในเรื่องความรัก

    หรือบางทีฟุ้งหรือคิดเรื่องทรัพย์สินเงินทอง ของเรามีน้อยของคนอื่นมีมาก หรือของเรามีมากแต่ไม่อยากให้พร่องไป หากจะต้องใช้จ่ายเงินเพื่อการงานใด ๆ ทั้งทางโลกและทางธรรม เราจะบอกบุญ เราจะทำโอทีเพิ่ม เราจะหารายได้พิเศษเพิ่ม กล่าวคือโลภรักษาของตัวเองไว้แล้วยอมทำกายให้เหนื่อยเพิ่มขึ้น เป็นทุกข์มากขึ้น เพื่อให้ได้ปัจจัยไปทำการสิ่งหนึ่งสิ่งใดตามใจปรารถนา แม้ว่าเราจะสามารถทำได้แต่ก็ถือเป็นเรื่องฟุ้ง ฟุ้งส่งจิตออกนอก หรือบางทีคิดฟุ้งเป็นห่วงลูก เป็นห่วงคนรอบกายเกรงว่าพวกเขาจะลำบาก ต้องขวนขวายหาเงินเป็นทุนไว้ให้พวกเขา เพราะไม่รู้ว่าเราจะตายเมื่อไร ฟุ้งไปสะระตะ อย่างนี้เข้าข่ายคิดฟุ้งไปในเรื่องโลภ

    หรือบางทีฟุ้งไปนึกถึงเรื่องงาน เคยทำงานเรื่องหนึ่งมีคนชม รู้สึกชอบใจมีความสุข(บนความเสื่อม) แต่ทำงานอีกเรื่องหนึ่งมีแต่คนด่า นินทา ตำหนิ กด ข่ม กลั่นแกล้ง นึกถึงเรื่องนี้ทีไรก็อดน้อยใจไม่ได้ อดคิดไม่ได้ว่าเราไม่ดี ตำหนิตัวเองเป็นคนไร้ค่าอยู่เสมอ แล้วก็ไปพาลเคืองว่าคนอื่นไม่ดีเพราะเขาไม่ยินดีกับเรา อย่างนี้จิตมีอวิชชาในเรื่องความโกรธ

    หรือบางทีคิดฟุ้งไปเรื่อง รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส หรือธรรมารมณ์ อย่างโน้นชอบ อย่างนี้ไม่ชอบ ต้องคัดต้องสรรอย่างดี ต้องเลือกแต่สิ่งที่คิดว่าดีที่สุด ต้องหาแต่ของถูกใจอยู่ร่ำไป อย่างนี้เข้าข่ายหลง หลงในกามคุณห้า

    ฟุ้งที่กล่าวมานั้นเป็นฟุ้งไร้สาระ ก็ไม่ต้องไปพิจารณาอะไรกันมาก แค่มีสติรู้ว่า อ้อ เราฟุ้งเรื่องอะไร เข้าข่ายกิเลสตัวไหน ใช้สติปัญญาแยกแยะให้ออก ทำแค่รู้แล้ววางลงไป จบลงที่คำว่า "ไม่มีตัวตน" ถ้ายังมีติดใจอยู่ก็ให้มีสติจดจ่อดูมันไปเรื่อย ๆ ทำทุกเช้า ๆ ดูอย่างเดียวไม่ต้องคิดพิจารณาไรมาก เพราะถ้าจิตทรงฌานสูงระดับฌานสี่ละเอียด จิตจะวิปัสสนาโดยจิตเอง สมองไม่ต้อง ความจำไม่ต้อง สัญญาไม่ต้องเอาเข้าไปเอี่ยว

    แต่มีอีกกรณีหนึ่งถ้าจิตเกิดคิดถึงแต่เรื่องทุกข์อกทุกข์ใจในอดีต คือจิตมันคิดๆๆๆๆๆ แต่ไม่ฟุ้ง มันคิดอย่างเดียวเลย อันนี้จิตกำลังวิปัสสนาเรื่องอริยสัจจ์สี่อยู่ ให้มีสติตามดูจิตอย่างเดียว ไม่ต้องพิจารณาไรมาก มีสติตามดูจิตไปเรื่อย ๆ ว่ามันคิดอะไรยังไง เมื่อจิตคิดไปถึงที่สุดแห่งทุกข์ จิตมองเห็นธาตุแท้ของขันธ์ห้าว่าเป็นทุกข์จริง ๆ จิตจะปล่อยวางโดยจิตเอง

    หน้าที่ของจิตของคุณหมอคือทรงฌานสี่ประณีตให้ได้ทั้งวันทั้งคืนเท่านั้นเป็นพอ อย่างอื่นจิตจะจัดการไปตามกระบวนการละสังโยชน์ 10 ประการของเขาเอง

    สำคัญที่สติของคุณหมอต้องตามดูสิ่งที่เกิดดับอยู่ในจิตให้ทัน หมายความว่ามันอาจจะทันบ้างไม่ทันบ้างก็ถือว่าเป็นธรรมดานะ แต่ให้หมั่นเอาสติตามดูจิตอยู่เนือง ๆ ตามดูเฉย ๆ นะ อย่าเอาสติลงไปเล่นกับจิต แยกหน้าที่ของสติกับจิตให้ออก อย่าเอาไปปะปนกัน

    พี่เพ็ญได้ยินคุณหมอบ่นว่ายากอ่ะ ไม่ยากหรอกค่ะ ฝึกทำบ่อย ๆ ทำทุกวัน วันละเล็กละน้อยก็สะสมบารมีไปเรื่อย ๆ เดี๋ยวก็ต้องทำสำเร็จเข้าสักวัน

    หลังจากแยกแยะฟุ้งได้แล้วให้นอนนิ่ง ๆ นึกถึงพระในจิตสักครู่ แล้วให้เปลี่ยนไปดูลมหายใจแทน หรือจะดูอาการท้องเต้นพอยุบก็ได้ รอสักแป๊บหนึ่งให้จิตรวมเป็นสมาธิก่อน แล้วค่อยลุกไปทำกิจส่วนตัว

    เมื่อครั้งที่พี่เพ็ญปฏิบัติอยู่ในช่วงนี้ พี่เพ็ญต้องตั้งนาฬิกาเผื่อเวลาก่อนตื่นจริงหนึ่งชั่วโมง เพื่อจะมีเวลาคิดถึงพระ พิจารณาฟุ้ง และทำจิตให้เป็นสมาธิก่อนจะลุกไปทำกิจส่วนตัวเช่นเดียวกัน

    ที่พี่เพ็ญมาแนะนำให้คุณหมอทำตามที่กล่าวมานั้น เพราะเดิมคุณหมอติดรูปแบบการฝึกแบบสุขวิปัสสโก เพราะฉะนั้นกำลังใจในการวิปัสสนาของคุณหมอจะไม่ไหลแรง แต่เป็นแบบน้ำนิ่งไหลลึก เป็นพวกสุขุมลุ่มลึก จึงต้องฝึกแยกหน้าที่ของสติกับจิต ไม่งั้นทำงานกันไม่รู้เรื่อง แล้วคุณหมอก็จะสับสน

    เหมือนที่คุณหมอบอกว่าตื่นเช้ามามองภาพพระไม่เห็น ก็จะเห็นได้ยังไงเล่า ในเมื่อคุณหมอเอาสติไปดูภาพพระแทนจิต ตัวที่เกาะพระคือจิตไม่ใช่สตินะจ๊ะ เพราะฉะนั้นถ้าจะนึกถึงพระตอนเช้า ๆ เอาจิตไปนึก นึกรู้ว่าท่านอยู่กับเราในจิตแม้ว่าจะมองไม่เห็นก็ตาม

    เห็นไหมว่าจิตเขาทำงานเกาะพระของเขาอยู่เป็นปกตินะ แต่สติตามจิตไม่ทัน แถมยังเอาความคิดของขันธ์ห้าไปตัดสินจิตอีกว่าจิตไม่เห็นพระ ก็เลยคิดไปว่าจิตไม่เกาะพระ กลายเป็นประมาทไปเลย

    การทำงานของจิตนั้นละเอียดมาก ขันธ์ห้ามันไม่รู้เรื่องอะไรกับจิตหรอกว่าจิตกำลังทำอะไรอยู่ ต่อให้คุณหมอเพ่งจิตจนตาถลน คิดจนประสาทกลับ ขันธ์ห้าของคุณหมอก็ไม่สามาถเข้าใจการทำงานของจิตหรอก สิ่งเดียวที่จะเข้าไปดูไปรู้เรื่องราวของจิตได้คือ "สติ" ตัวเดียวเท่านั้น

    หนูขอถามแบบโง่ๆ เลยนะค่ะ ระหว่างทรงญาณสูงจนมองไม่เห็นพระ กับหลุดจากจิตเกาะพระแล้ว จะสังเกตุความแตกต่างยังไง พอมองไม่เห็นพระ ก็งงทุกทีว่าเราอยู่ตรงไหน

    คำถามนี้พี่ภูตอบไปแล้ว แต่พี่เพ็ญขอมาย้ำให้แน่นอีกที

    ระหว่างทรงญาณสูงจนมองไม่เห็นพระ

    วิธีวัดกำลังใจว่าจิตทรงฌานสี่อยู่หรือไม่ ให้เอาสติไปสังเกตที่อารมณ์ใจของตนเองนะคะ ถ้าจิตทรงฌานสูงจิตจะไม่แส่ส่ายออกไปหากิเลสข้างนอก จิตไม่อยากยุ่งเรื่องชาวบ้าน เมื่อชนกับกิเลสจิตไม่ไหลไปกับกระแสโลก จิตไม่เกาะกิเลสหรืออารมณ์ใด ๆ จิตเป็นสุขสงบอยู่ภายใน บางครั้งจิตก็ยิ้มเบิกบาน จิตรู้สึกเป็นกลาง ว่าง เบา อยู่ภายใน จิตคิดพิจารณาทบทวนธรรมอยู่ในจิตตลอดเวลาไม่ส่งส่ายออกไปหาธรรมารมณ์ข้างนอก อย่างนี้จิตทรงฌานสูงระดับฌานสี่ ให้ทรงอารมณ์ใจสบายไว้ และมีสติตามดูตามรู้สภาวธรรมที่เกิดขึ้นให้เนือง ๆ หรือต่อเนื่องได้ก็ยิ่งดี

    กับหลุดจากจิตเกาะพระแล้ว

    หากจิตหลุดจากเกาะพระแล้ว ให้สังเกตที่อารมณ์ใจของตัวเองค่ะ ฟุ้งมาเป็นอันดับแรก จิตกระวนกระวาย สับสน ป่วน หงุดหงิด รำคาญ กายที่เคยสำรวมได้ก็จะเริ่มกลับเข้าสู่บทละครของโลก ขันธ์ห้าก็เริ่มเป็นนักแสดงกายกรรม วจีกรรม มโนกรรมไม่หยุด ฟุ้ง เพ้อ ไร้สติ คืออารมณ์ใจมีอาการตรงข้ามกับจิตทรงญาณสูงทุกอย่าง

    พอมองไม่เห็นพระ ก็งงทุกทีว่าเราอยู่ตรงไหน

    ให้วางจิตอยู่ที่อารมณ์สบาย นิ่ง ว่าง กลาง เบา หรือเบิกบาน คืออารมณ์เหล่านี้บางทีเกิดพร้อมกันปะปนกัน บางทีเกิดอารมณ์ใดอารมณ์หนึ่งเด่นขึ้นมา ก็ให้วางจิตไว้ที่อารมณ์นั้น โดยมีสติตามดูตามรู้ไปด้วย สติห่างจิตไม่ได้เลยนะ ไม่งั้นทั้งจิตทั้งสติพากันงงเต๊กอย่างที่คุณพอถามมานั่นแหละ

    พี่เพ็ญบ่นจบแล้ว ถ้ายังไม่กระจ่างให้ถามมาใหม่ค่ะ เอาให้ใสทั้งสติ จิต ปัญญากันเลยเชียว ไม่ต้องเกรงใจครูค่ะ พี่เพ็ญเน้นสอนแก่นไม่ได้เน้นให้ติดครูหรือติดรูปแบบ เพราะฉะนั้นปัญญาต้องทำให้แจ้ง คนที่จะบรรลุธรรมขั้นสูงสุดได้ ปัญญาต้องเป็นใหญ่เหนืออินทรีทั้งห้า

    ขอให้เจริญสุขและเจริญในธรรมยิ่ง ๆ ขึ้นไปจนถึงซึ่งนิพพานโดยเร็วพลันในชาติปัจจุบันนี้เทอญ

    พี่เพ็ญ จบ.3






     
  8. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    จิตสแตนดาร์ด จิตมาตราฐาน

    การเจริญสติภาวนา หรือ การเจริญสติกรรมฐาน แปลว่าอะไร?

    ***ความหมายเอามาจากภายในล้วนๆ ผิดถูกช่วยชี้แนะ/แก้ไขให้ด้วย อย่าปล่อยให้ผมโง่อยู่คนเดียว มาทำหน้าที่ช่วยกันยกจิต จรรโลใจกันและกัน หรือติเพื่อก่อ ให้อภัยความเมตตาโดยการให้อภัยกันและกัน เพราะว่าไม่มีใครดี่ที่สุด ไม่มีใครเลวที่สุด
    เราเห็นคนเลวก็ให้อภัยเขานะ เมตตาเขานะ สำหรับจิตที่สูงแล้ว ได้โปรดเมตตาสงสารกัน แต่อย่าไปเปรียบเทียบกับจิตคนอื่น
    คนเลว คนชั่ว คนทำผิดศีลนั้น พวกเขามิใช่คนเลว พวกเขามิใช่คนชั่วจริงๆ
    ที่พวกเขากำลังทำเลว ทำชั่วกันอยู่นั้น
    เพราะพวกเขากำลังเข้าใจผิด กำลังเดินหลงทาง มีความเห็นผิด
    เพราะพวกเขาไม่ได้มาฝึกจิตกัน สติจึงไม่มี จิตเขาไม่นิ่งกัน จิตเกิดมีความเห็นผิดเป็นถูก จิตไม่ประภัสสร เพราะถูกกิเลสมาจร มาบดบังความดี ความใสสะอาด ความบริศุทธิ์ นั่นเอง
    ได้โปรดเมตตากับพวกเขาด้วย อย่าหลงไปโทษว่าคนอื่นไม่ดี คนอื่นเลว
    แต่ถ้าทุกคนคิดกันใหม่ และมาฝึกสติ ฝึกจิตกัน แล้วคนในโลกนี้ จะมีคนไม่ดี หรือ มีคนเลวๆให้เห็นจนถึงทุกวันนี้กันไหม๊
    ต่อไปนี้ขอให้แก้ไขจุดอ่อน ความเลวของตนเองที่หลงเหลืออยู่ภายในจิตใจ
    อย่าไปคิดจะไปแก้ไขคนอื่น/สิ่งอื่น อันนั้นเป็นไปไม่ได้หรอก
    แต่พอจะแก้ไขกันได้ก็คือ ตัวของเราเอง ตามลำพังก็จะเปลี่ยนตนเองไม่ได้
    ถ้าพวกเราไม่มาทำกรรมฐาน หรือเจริญสติภาวนา จากกรรมฐานกองใด กองหนึ่ง
    เอ๊าเข้าเรื่อง...

    คำว่า เจริญ ก็หมายความว่า การทำ/การสร้างสติของเราให้บ่อยๆ ให้มากๆ นั่นเอง
    คำว่า สติ ก็หมายความว่า การระลึกรู้/การทำความรู้สึกตัว
    คำว่า ภาวนา ก็หมายความว่า หลังจาการทำให้มีสติเกิดขึ้นอยู่เป็นประจำ/เนืองนิจ/บ่อยๆ
    และก็ใช้สติที่มีนั้น ทำให้เกิดประโยชน์ไปในทางพิจารณากับสิ่งต่างๆที่มากระทบจิต
    โดยการฝึกสติก่อน ฝึกจิตจึงเริ่มต้นณ.บัดนั้น แล้วจิตจึงจะมีสมาธิและปัญญาตามมาทีหลัง
    เพราะว่า คำว่า ภาวนานั้น จึงหมายถึงว่า การทำจิตให้เกิดสติก่อน จิตจึงจะนิ่งสงบได้
    เมื่อจิตคนเรานิ่งได้ที่ดีแล้ว จิตก็จะเข้าสู่กระบวนการของความสงบ(การทำสมาธิ)
    พอจิตเป็นสมาธิมาก เราถึงจะเรียกว่า ฌาน
    พอจิตทรงฌานมากๆ นานๆเข้า จิตก็จะเกิดปัญญาขึ้นมาโดยธรรมชาติเอง
    เพราะฉะนั้นการเจริญสติภาวนานั้น จึงหมายถึง การทำความสะอาดจิตใจ หรือ
    ที่เราเรียกว่า ชำระล้างจิตใจ

    ซึ่งมีอยู่ด้วยกัน 3 ระดับ ก็คือ
    1.การชำระล้างจิตใจขั้นที่หนึ่ง/ขั้นต้น ก็คือ จิตที่มีศีล/สติ
    2.การชำระล้างจิตใจขั้นที่สอง/ขั้นกลาง ก็คือ จิตที่มีสมาธิ/ฌาน
    3.การชำระล้างจิตใจขั้นที่สาม/ขั้นสูง ก็คือ จิตที่มีปัญญา/วิปัสสนา

    การเจริญสติภาวนาของพระพุทธองค์นี้ มีไว้เพื่อเป็นอุบายที่จะทำให้จิตใจคนเรานั้นอ่อนนุ่มลง
    หรือทำให้จิตใจเยือกเย็น ไม่ต้องเป็นทุกข์เป็นร้อนกัน พวกเราขอให้สังเกตกันดูง่ายๆ ก็คือ
    เมื่อคนเรามีความทุกข์มาเยือน/เกิดขึ้น แต่พอมาเจริญสติภาวนา(ทำสมาธิ) จิตใจก็จะดีขึ้นไปตามลำดับ
    ของจิตผู้ที่ทำสมาธินั้น หรือจิตนิ่ง จิตละเอียดเพียงไร จิตยิ่งละเอียดมาก ก็จะมีปัญญามาก
    แต่ถ้าจิตมีปัญญามาก เราก็พลอยจะรู้มาก หรือสามารถเข้าใจธรรมชาติ เข้าใจคนอื่น
    เข้าใจความทุกข์ที่มาเยือนเรานั้นได้ พอจิตเข้าใจ ก็แปลว่า จิตของเรายอมรับกับความทุกข์นั้นได้
    แต่ถ้าจิตเราไม่ยอมรับ หรือทำสมาธิไม่ได้ ก็แปลว่า เราทำจิตใจไม่สำเร็จ หรือทำจิตใจไม่นิ่ง
    เมื่อจิตไม่นิ่ง จิตก็จะมองไม่เห็นทุกข์ ไม่เข้าใจทุกข์ เพราะทุกข์นั้นที่เกิดขึ้น ทุกข์นั้นที่ตั้งอยู่
    และทุกนั้นก็ดับไป มันเป็นธรรมดาอยู่อย่างนี้
    คนที่รู้สึกว่าตนเองยังเป็นทุกข์อยู่นั้น ก็แปลว่า จิตไม่นิ่ง จิตก็เลยไม่เข้าใจทุกข์
    สำหรับคนที่เข้าใจความทุกข์ของตตนเองนั้น ที่แท้ความทุกข์นั้น ก็แค่เกิดขั้น ตั้งอยู่ และก็ดับไป
    หรือความทุกข์มันแค่มาเยือนเราแค่ประเดี๋ยว ประด๋าวเอง
    แต่สำหรับผู้ไม่เคยฝึกจิตนั้น จึงทำใจยอมรับไม่ได้ ยังมีความรู้สึกไปเป็นทุกข์กับมัน ไปลงเล่นกับมัน
    แต่ถ้าใครสติเผลอ จิตก็จะไหลไปกับกิเลส/ความทุกข์นั้นๆได้ง่าย
    เมื่อจิตไหลไปกับกิเลส/กับทุกข์นั้นแล้ว สุดท้ายจิตก็หลงไปอยู่กับความทุกข์นั้น และก็ทุกข์เอง
    นี่ก็คือ ผลของผู้ที่ไม่ฝึกสติกัน ไม่สนใจจิตตนเองกัน
    เพราะทุกข์มีอยู่โดยธรรมชาติ ทุกข์นั้นมีอยู่ตามร่างกายของเรา ทุกข์มีอยู่ที่จิตใจเรา
    ทุกข์มีอยู่ ทุกข์ตั้งอยู่ ทุกข์ดับไป
    เมื่อพวกเราไม่ยอมมาเรียนรู้เรื่องทุกข์ เรื่องจิตกัน ก็เลยดูเป็นคนที่ไม่มีความอดทน
    จิตกลายเป็นมิจฉาทิฎฐิ(ความเห็นผิด)ไปโดยปริยาย ทุกอย่างเราจะต้องเรียนรู้
    แต่คนส่วนใหญ่ไปเรียนรู้แต่เรื่องภายนอกกายเสียมากกว่า ไม่รู้จักเรียนรู้เรื่องภายในกาย
    ก็คือ สติ จิต เพราะสองสิ่งนี้ถือว่ามีความสำคัญกับการดำเนินชีวิตมาก มากกว่าเงินทองเสียอีก
    ก็คอยสังเกตกันดูง่ายๆ ก็คือ คนร่ำรวยแต่ขาดสติ จิตใจก็จะพลอยไม่มีความสุขไปด้วย
    เมื่อขาดสติมากเข้า จิตใจแย่ลงจนถึงขีดต่ำสุด เขาจะอยู่บนโลกใบนี้ต่อไปได้อย่างไร
    แต่คนจนที่มีสติมาก คนพวกนี้จะไม่ได้เป็นพวกที่เดือดร้อนมากนัก เพราะเมื่อมีสติมาก
    จิตใจก็ไม่ได้รุ่มร้อน ไม่เดือดร้อนใดๆ เพราะเขามีสติมาก ปัญญาก็มากตามไปด้วย
    คนที่มีสติมาก ปัญญามากนั้น เขาคิดอะไรก็ออก ไม่ดิ้นรน แถมมั่นใจทุกย่างก้าว
    เพราะเขาฝึกสติ ฝึกจิตมาดี
    คนปกติ/คนที่ไม่ได้ฝึกสตินั้น จะไม่มีทางจะพบกับความสุขที่แท้จริงของตนได้เลย

    วันนี้จิตของเรา ก็เหมือนลูกเรา แล้วเราจะไม่เลี้ยงดูลูกเราให้ได้ดีเชียวหรือ?
    คนที่เลี้ยงลูกดี เสี้ยงสามี/ภรรยาดี เลี้ยงทุกคนดีหมด แต่ลืมเลี้ยง/ลืมดูแล/ลืมสนใจจิตตนเอง
    อันนี้ผมว่าแย่มากๆ ก็คือ ไม่มีความรับผิดชอบตนเอง เพราะนอกจากจากตนเองจะเป็นทุกข์แล้ว
    ต่อไปก็จะทำคนรอบข้างกายเราพลอยเป็นทุกข์ไปด้วย
    ทำไมถึงได้กล่าวเช่นนี้ ก็เพราะว่าคนที่ไม่ฝึกจิตนั้น มักเป็นคนที่ไม่สำรวม ทั้งกระกระทำ คำพูด ความคิดนึก
    เป็นคนชอบเบียดเบียนคนอื่นยังไม่พอ ยังมาทำร้ายจิตใจตนเอง โดยทำให้จิตใจรู้สึกเศร้าหมอง อันนี้ถือว่าเป็นการกระทำผิดศีลละเอียด
    (ปกติคนเรามักทำผิดศีลละเอียดมากกว่าศีลหยาบเสียอีก ใครพอจะมองเห็นบ้าง จิตละเอียดเมื่อไหร่ ท่านก็จะเห็นเอง)
    ขาดความเมตตา เพราะให้อภัยคนอื่นไม่ได้ จิตเข้าไปอยู่ฝ่ายอกุศลง่าย ทำบาปง่าย ทำอะไรก็มักง่าย ทำอะไรก็จะไม่เกรงใจผู้อื่นไม่อายใคร
    ไม่อายเทวดา หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ คราวนี้ก็จะไปกันใหญ่โตมโหราฬ

    เมื่อเราไม่ยอมฝึกจิต ก็เหมือนเราไม่ดูแลลูก ไม่มีความรับผิดชอบชั่วดี ถึงศีลจะมีข้อเดียว ก็รักษาไม่ได้
    มีความหลงผิดต่างๆนานา สาเหตุเกิดจากจิตไม่นิ่ง จิตมีสติ แต่มีน้อยเกินไป
    ไม่เพียงพอที่จะไปตามกิเลส/รู้เท่าทันเล่ย์กลของกิเลสมัน กิเลสนั้นมันแยบยลเกินไป สลับซับซ้อนซ่อนเงื่อนเกินไป
    ดั่งสาวแรกรุ่นไม่เคยเจอหนุ่มที่กะล่อนมาก่อน(พ่อปลาไหล)
    หรือหนุ่มไม่เคยเจอเลย์เหลี่ยมคุณแม่ปลาไหล(แม่หม้าย)
    ทั้งสองคน สองประเภทนี้จะไปรู้เท่าทันไหม๊? รอดยาก โดนหลอกแหง๋ๆ เป็นทุกข์แหง๋ๆ ถ้าเขาโดนกระทำ

    สำหรับคนที่ไม่เคยฝึกจิต หรือว่าฝึกจิตมาบ้างแล้ว แต่ไปไม่ถึงฝั่ง ไปไม่ถึงไหน ให้พวกเราพยายามฝึกกันต่อไป
    ฝึกไปจนนาทีสุดท้าย ก็ยังไม่สำเร็จก็ไม่เป็นไร แต่ก็ยังดีกว่าผู้ที่ไม่ได้ฝึกเยอะเลย
    เพราะอย่างน้อยที่สุด เวลาเราเจอเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด ไม่คาดฝันมาก่อน เราก็จะยอมทำใจยอมรับกับมันได้
    จากเมื่อก่อนเคยเป็นทุกข์มาก พอฝึกจิตมาบ้าง ก็จะกลายเป็นคนทุกข์น้อย
    แต่ถ้าใครฝึกจิต จนจิตยก บรรลุธรรม อันนั้นไม่ต้องไปพูดถึงเขาแล้ว
    เพราะจิตรอด กายก็รอด แต่ไม่ได้รอดจากความตายไปได้
    เคยได้ยินพระอริยสงฆ์กันไหมว่า คนส่วนใหญ่ที่จะรอดตายจากภัยพิบัตินั้น จะต้องเป็นบุคคลอย่างไร
    กล่าวคือ จะต้องเป็นบุคคลที่มีศีลและมีธรรม(ภายในจิตใจตนเอง) แต่ถ้ามีแค่ศีลอย่างเดียว แต่จิตยังไปไม่ถึงธรรม ก็ต้องไปคอยลุ้นกันเอง
    แต่มิได้หมายความว่า คนมีศีล คนมีธรรมจะไม่ตายกันนะ อย่าเข้าใจผิด
    ขนาดพระอรหันต์ก็ยังละสังขาร หรือพระพุทธเจ้าก็ยังดับขันธ์ปรินิพพาน สรุปแล้วความตายเป็นของเที่ยงตรงที่สุด
    เพราะฉะนั้นแล้ว เมื่อพวกเราเกิดมาเป็นคน เป็นมนุษย์สุดประเสริฐสักปานใด ก็ต้องตายหมดนั่นแหล่ะ ท่องจำไว้กันให้ดีๆ (มรณังนุสสติ) อย่าประมาท
    เกิดเป็นคน เกิดเป็นมนุษย์ก็อย่าเสียชาติเกิด อย่าหลงไปทางเลว เพราะทุกคนก็รู้จัก คำว่า กฎแห่งกรรมกันดีแล้ว
    ต้นเป็นอย่างไร ปลายก็จะเป็นอย่างนั้น/ ต้นดีปลายดี ต้นเลวปลายก็เลว
    หมั่นสร้างแต่บุญกุศล หมั่นสะสมความดี ก็คือ หมั่นสร้างสติ คอยฝึกจิต หรือเราเรียกว่า ภาวนา
    อย่างอื่นไม่ต้องทำ อย่างอื่นไม่ต้องเดิน ทำตามนี้/ทำตามมรรคมีองค์๘
    (ศีล สมาธิ ปัญญา) ท่องจำให้แม่นมีสามคำเอง
    แต่ถ้าใครไม่ยอมทำ/เดินตามนี้ บอกได้คำเดียวว่า หลง มิจฉาทิฎฐิ
    แย่เลยนะ คอยสังเกตดูให้ดีก็คือ เปรียบเสมือนทางสองแยก คือทางดีกับทางเลว
    แต่ถ้าใครหลงเดินทางผิดกัน ก็เสร็จแน่ คำว่าผิดนี่ไม่ดีแน่แท้ คนที่มีปัญญาจักต้องแก้ไขด่วน
    อย่ามัวรอแต่กรรม ทำบุญอย่ารอพรุ่งนี้
    แค่ท่านระลึก/นึกถึงพระพุทธเจ้ากันตอนนี้ เดี๋ยวนี้ สติท่านก็เกิด บุญก็มีอยู่ในตัว จิตพลอยนิ่งสงบไปด้วย
    จิตใจได้พักผ่อน สะสมพลังจิต สะสมบุญบารมี
    แค่พูดก็ยิ่งสุข ก็ยิ่งอิ่มเอิบใจ

    สุดท้ายผมขอมอบความสุขทั้งหมดนี้ ให้กับทุกๆท่านเลยนะครับ
    ...ราตรีสวัสดี ก่อนหลับตาทุกครั้งขอให้นึกถึงพระพุทธเจ้ากันนะครับ
     
  9. Linda2009

    Linda2009 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    956
    ค่าพลัง:
    +9,998
    คำตอบสุดกระจ่าง เพิ่งบอกครูดัชไปว่าคราวที่แล้วตกม้าบาดเจ็บสาหัสก็แถวนี้แหละ พอ ว่าง โล่ง
    กลวงๆ วันต่อมามองพระก็ไม่เห็น เพ่งหาจนอ่อนอกอ่อนใจภาพท่านก็ไม่มา ก็เลยเรื่อยๆเฉื่อยๆอยู่ตรงร้อยแยก(ศ
    (สามแยกใช้ไม่ได้กับงานนี้) ใจนึกแต่ว่าเราเกาะไม่ติดแล้ว เมื่อนึกดังนั้นก็ยิ่งเค้นภาพพระ ยิ่งเค้นก็ยิ่งไม่
    เจอ เคราะหืซํ้ากรรมซัด(แน่ะแอบไปโทษ นั่นนี่ที่แท้ตัวเองโง่) ต้องจากรัฐสารขันธืไปยังต่างเมือง ไม่ได้เข้า
    เน็ตอีกสี่วัน ยังไปเค้นต่อยังต่างเมือง กว่าจะกอบกู้ขึ้นมาได้ คางเหลือง แถมยังโง่ต่อ เมื่อวานนึกถึงพระๆๆๆ
    ด้วยความกลัวหลุด ก็กลับไปเค้นภาพพระเป็นระยะๆ จนตกบ่ายปวดตรงหว่างคิ้ว ปวดกระบอกตา
    จนเกือบถูกจับไปหาหมอซะแหล่วเรา อิอิ(ping-love
     
  10. natthapatpun

    natthapatpun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,124
    ค่าพลัง:
    +25,214
    อ้างอิง : อุษาวดี

    ท้ายนี้ขอกราบขอบพระคุณครูเพ็ญ กับคุณหมอมากๆ
    ข้าน้อยมิบังอาจ
    และก็อยากให้คุณหมอกับครูเพ็ญตอบโจทย์กันทางนี้ ไปจนกว่าจิตจะยกจะได้ไหม๊?
    <O:pตอนเห็นประโยคนี้สติบอกเลยว่า เครียดก็ให้รู้ว่าเครียด แต่คิดอีกที ก็ดีเป็นการลดมานะอัตตาลง ตอนไปถวายดอกบัวแก้ว รู้สึกจิตโล่งมาก ก็เลยได้มาส่งการบ้านนี้แหละค่ะ

    .>.>.> เพ็ญ OK ค่ะ เพราะรู้ว่าคุณหมอจะได้กำลังใจกลับบ้านไปหลายแพ็คเลย อิอิ

    <O:p
    พี่ภู พี่เพ็ญ คุณนก ส่งการบ้านค่ะ
    <O:p
    การบ้าน 30-07-55
    <O:p
    มากล่าวถึงกฎไตรลักษณ์ที่คุณหมอกล่าวถึงว่ามันเดินไปแค่คำว่า "ไม่เที่ยง" แล้วไม่ยอมเดินต่อไปให้ถึง "ไม่มีตัวตน" อันนี้พี่เพ็ญก็เคยเป็นมาก่อนก็เพราะจิตเคยชินกับการตัดลงกฎไตรลักษณ์เพียงตัวเดียวคือ "ไม่เที่ยง"แต่มันตัดไม่ขาดสักที
    วิธีแก้ก็ให้เปลี่ยนเมื่อพิจารณาสิ่งที่มากระทบแล้วให้เปลี่ยนเป็นคำว่า "ไม่มีตัวตน"แล้วใช้ปัญญามองหาตัวตนของมันด้วยว่าเป็นจริงอย่างที่เรากำหนดตัดลงไปไหมถ้ามองหาแล้วไม่เจอตัวตนนั่นแลท่านจึงเข้าถึงความไม่มีตัวตนของอารมณ์และความคิดแล้ว<O:p</O:p
    วันนี้ตอนอาบน้ำ เจอน้ำร้อน ทุกข์ ไม่ชอบ เลยปิดน้ำร้อน อาบน้ำเย็น พอกายสบายจิตก็สบายไปด้วย ชอบ พอปิดน้ำ รู้สึกเฉยๆก็พิจารณาเป็น "ไม่มีตัวตน" ก็เห็นว่าความชอบไม่ชอบ ทุกข์มาก ทุกข์น้อยลง จากการอาบน้ำ มันหายไปหมดจริงๆ ไม่เหลืออยู่ ณ เวลานั้น อย่างนี้ควรพิจารณาแบบนี้ไปเรื่อยๆ มั้ยค่ะ

    .>.>.> ควรพิจารณาอย่างนั้นให้เนือง ๆ แต่อย่าไปกำหนดให้เป็นภาระกับจิตมาก ทำไปแบบใจสบายค่ะ

    <O:p
    กำหนดจิตขึ้นไปหาท่านพ่อแล้วฝากจิตไว้บนโน้นบนนิพพานเลย ไม่ต้องเอาจิตลงมาแล้ว<O:p
    ทำแล้วค่ะ วันนี้สังเกตุว่าช่วงที่คิดว่ากลัวเผลอลืมสติ ลืมนึกถึงภาพพระหรืองานยุ่งจะมีสติ แต่ช่วงที่รู้สึกผ่อนคลายจะเผลอ

    .>.>.> ช่วงที่รู้สึกผ่อนคลายพี่เพ็ญคิดว่าเป็นอาการจิตทรงฌานมากกว่านะคะ ไม่น่าจะใช่เผลอ ถ้ามีอารมณ์ผ่อนคลายใจรู้สึกสบาย ๆ และภาพพระหายไปก็ให้ทรงอารมณ์ใจสบายไว้ค่ะ แต่ให้มีสติรู้ตัวว่าเราทรงอารมณ์ใจสบายอยู่นะ ระหว่างที่ทรงอารมร์ใจสบายให้แว้บไปนึกถึงพระเป็นระยะ ๆ เป็นการเตือนจิตไม่ให้ลืมพระ เพราะเราต้องอาศัยพระเป็นเครื่องหมายให้เกิดสติรู้สึกตัวอยู่ตลอดเวลาในขณะที่จิตทรงฌานสูง

    <O:p
    ส่วนการเดินนั้นคุณหมอเดินจงกรมอยู่แล้วแต่ขอให้ปรับนำไปใช้ตอนเดินทำงานด้วยจะดีมากขณะเดินให้มีสติอยู่ที่ฝ่าเท้ากระทบพื้นทุกย่างก้าว<O:p
    ทำอยู่เป็นช่วงๆเมื่อไม่เผลอค่ะ วันนี้เพิ่มนั่งสมาธิรอบเช้าก่อนไปทำงาน

    <O:p
    2-3 วันนี้เจอคนที่เคยมีปฎิคะด้วยแบบมากๆ 2-3 คน รู้สึกเฉยๆแล้ว ยิ้มให้ได้อย่างจริงใจ ตอนยิ้มได้จิตโล่งไปเลย มีบางคนแผ่เมตตาให้เขาตอนเดินสวนกัน พอเดินสวนกัน ครั้งถัดไป เขายิ้มให้ด้วย เป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่เขายิ้มให้

    .>.>.> โมทนา สาธุค่ะ ท่านทำดีแล้ว


    <O:p
    ช่วงนี้โดนทดสอบเรื่องโดนชักชวนให้พูดในเชิงลบต่อผู้อื่น เมื่อเช้ามีคนมาบ่นเรื่องคนอื่นให้ฟังอยู่เรื่อยๆ ก็เป็นความจริงตามที่เขาบ่น ดันเผลอไปตอบว่า เขา 2 คนเหมือนกันคือไม่มีศีล นึกขึ้นได้ แย่แล้วศีลข้าพเจ้าก็ไปเหมือนกัน<O:p
    เที่ยงเจออีก เป็นเรื่องคนที่รู้จัก คน1 กลุ่ม รุมแกล้งคน1 คน แล้วคนที่เราสนิทด้วยไปช่วยคนที่โดนแกล้งเลยทำท่าจะโดนหางเลข แต่กรณีนี้ ไม่พยายามให้ความเห็น ได้แต่พูดว่าสงสัยเขาจะเกี่ยวกรรมกันมา<O:p
    กรณีแรกเราเป็นคนวงใน กรณีที่ 2 เราเป็นคนวงนอก สงสัยเพราะมีเรา เลยเผลอในกรณีแรก

    .>.>.> โดนทดสอบเรื่องสติค่ะ แยกกายแยกจิตให้ออกว่าอะไรเป็นหน้าที่ของกาย อะไรเป็นหน้าที่ของจิต ไม่เอาจิตไปเกาะกรรมของกาย ไม่เอากายมาเป็นภาระของจิต ต่างคนต่างอยู่ในร่างเดียวกัน เหมือนงูอยู่กับพิษงูแต่งูไม่ตายเพราะพิษงู ดังคำสอนของหลวงพ่อชาท่านได้กล่าวไว้

    <O:p
    ตอนหัวค่ำเห็นพระจันทร์สวย ก็นึกถึงท่านพ่อขึ้นมา กำลังเผลออยู่พอดี (เพราะหิว) รู้สึกเหมือนท่านพูดว่าพ่อรอเจ้าอยู่

    .>.>.> ให้เชื่อจิตตนเองค่ะ จิตเป็นใหญ่ จิตเป็นประธาน ความรู้สึกของขันธ์ห้านำมาวัดเรื่องจิตไม่ได้ ท่านมาคอยเตือนจิตคุณหมอไม่ให้ลืมท่าน ให้จำอารมณ์นี้ไว้นะคะ แล้วหมั่นระลึกถึงท่านบ่อย ๆ

    <O:p
    <O:p
    ไม่ทราบการบ้านนี้จะเป็นประโยชน์มั้ยนะค่ะ น้อมรับคำชี้แนะจากทุกท่านค่ะ วันนี้ซื้อน้ำบัวบกมาตุนไว้แล้ว อิอิ:cool:<O:p
    ขอบคุณสำหรับกำลัง และคำอวยพรค่ะ


    .>.>.> พี่เพ็ญก็ชอบดื่มน้ำบัวบกอ่ะ พี่ภู ถ้าบ้านเกิดแล้ว ปลูกบัวบกไว้เยอะ ๆ นะ เพราะลูกศิษย์เรามีหลายคน เผื่อใครโดนตีกิเลสขั้นสูงอีกจะได้มีน้ำสมุนไพรดื่มแก้ร้อนใน อิอิ

    การบ้านของคุณหมอเป็นประโยชน์อย่างแน่นอนค่ะ เพราะบนกระทู้นี้มีพระอนาคามีมาเดินชมทุ่งอยู่หลายองค์ ^^


    โมทนา สาธุค่ะ


    ขอให้เจริญสุขและเจริญในธรรมยิ่ง ๆ ขึ้นไปจนถึงซึ่งนิพพานโดยเร็วพลันในชาติปัจจุบันนี้เทอญ


    พี่เพ็ญ จบ.3 <O:p
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 สิงหาคม 2012
  11. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    ขอเอาใจช่วยนะ คุณอุษาวดี
    ถาม-ตอบ ในกระทูสดๆนี่แหล่ะดี ทั้งคนถามและคนตอบก็ได้บุญเยอะ เพราะธรรมาทานนี้เอง
    อาจจะช่วยให้จิตคุณยกได้ไว เพราะบนกระทู้นี้คนอ่านทั้งประเทศไทย ทั่วโลกด้วย
    นี่แหล่ะก็อาจจะเป็นตัวชี้วัดของผู้ปฎิบัติเป็นอย่างดี
    จะได้รู้กันไปเลยว่า ผู้ปฎิบัตินั้นละปล่อยวางกับที่เรียนเรียกกันว่า สมมุติ กันได้เพียงไร
    อุปาทาน อัตตา มานะ อะไรยังหลงเหลืออยู่ภายในจิตตนเองอยู่ไหม๊?
    เพราะผู้ปฎิบัติธรรมก็เพื่อละ นอกจากละทุกข์ ละสุขภายหลัง
    กิเลสตัวละเอียดคือ มานะ(สังโยชน์ข้อที่๘) จงระวังกันให้ดี
    เพราะกิเลสตัวนี้มีความละเอียดมาก คนอื่นบอกก็ไม่ฟัง ไม่เชื่อ
    นอกเสียจากปัญญาของตนเอง
    ทางเดินของสายปัญญาก็คือ ศีลหรือว่าสติ และก็สมาธิ นั่นไง๊
    ง่ายนิดเดียว
    แต่ก่อนอื่นจิตจะนิ่ง เราก็ต้องเจริญสติกันมากๆ จิตก็จะเป็นสมาธิ จิตจึงจะเกิดปัญญา
    ***นักภาวนา หรือปู้ปฎิบัติธรรม มักติดกันมากที่สุด ก็คือ ฌาน+นิมิต= กำลังหลงทาง คือ
    กำลังเดินอ้อม หรือมารนิพพาน
    คนฉลาดรีบกลับใจไวๆ เดี๋ยวหมดลมหายใจซะก่อน
    พวกที่ติดสุขจากฌานนั้น ให้รีบออกมาไว แต่ถ้ายังออกไม่ได้ ก็ให้เราสร้างสติเพิ่มเข้าไปอีกให้มากๆ
    สรุปแล้วสติตัวเดียว ที่จะช่วยจิตได้ สติตัวเดียวที่จะช่วยแยกแยะให้จิตรู้ว่า
    อะไรคือดี อะไรคือเลว เพราะตามธรรมชาติจิตนั้น รู้อย่างเดียว แต่ไม่สามารถแยกแยะความผิดถูกได้
    นักภาวนาก็หมั่นสังเกตดูนะว่า เวลาเราทำสมาธิกัน เมื่อจิตเข้าสู่ความนิ่งได้แล้ว จิตจะรู้ถึงความถูกผิดนั้น
    จะแยกออกจากกันเป็นกองให้เราเห็นได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น และสังเกตดูจิตพระอรหันต์ก็ได้
    เมื่อจิตเข้าสู่ความนิ่งสงบได้แล้ว จิตท่านจะบริสุทธิ์มากๆก็ด้วยเหตุนี้
    จิตเรียนรู้ได้ครั้งเดียว ไม่เหมือนสมอง เพราะสมองเป็นส่วนหนึ่งของร่างกาย
    อีกไม่นานก็เสื่อม

    คุณอุษาวดี คุณก็เป็นคนฉลาดในทางโลกอยู่แล้ว
    เธอจะไปโง่กับกิเลสของตนเองหรือ
    คุณเป็นคุณหมอ เรียนทางโลกก็นับว่ายากแล้ว แต่ก็ผ่านมาได้ดวยดี
    แต่พอมาเรียนรู้เรื่องจิต(ตนเอง) กลับบอกว่า หาจิตตนเองไม่เจอ เธอไม่ผิดหรอก เพราะว่าเธอกำลังฝึกจิตอยู่
    บางครั้งเธอเจอบ้างแล้ว แต่ยังไม่เด่นชัดมากนัก จึงเลยอดนึกสงสัยไม่ได้
    คนที่เรียนเก่งๆนั้น จะไม่มีทางเป็นคนเชื่อคนง่ายหรอก อันนี้โดยธรรมชาติของเขา แต่ตอนนี้เธอเริ่มดีขึ้นแล้ว
    แต่อย่าลืมท่านพ่อนะ รู้สึกว่าท่านพ่อจะคอยเรียกเธออยู่ตลอดเวลา คอยสังเกตให้ดีนะว่า เมื่อจิตไปอยู่กับท่านพ่อ
    จิตเธอจะดูนิ่งและสงบมาก จนอยากทำสมาธิอะไรประมาณนั้น
    แต่เมื่อไหร่ สติเธอมีมากขึ้น จิตก็จะนิ่งมากขึ้น ละเอียดมากขึ้น
    คุณหมอก็จะเห็นกิเลสตนเองลอยเด่นอยู่กลางนภา เห็นจิตตนเองแจ่มใส
    สว่างไสวเหมือนหลอดไปที่เขาเปิดทิ้งไว้ นอกจากส่องตนเองแล้ว
    ก็แถมไปส่องให้กับผู้อื่นด้วย
    เหมือนครูเพ็ญในเวลานี้นี่แหล่ะ ท่านกำลังทำสอน/ทำให้ผู้คนมีแสงสว่างในตัวตน นั่นก็คือ ให้มีดวงธรรมในดวงจิต
    หรือที่เขาเรียกว่า มีดวงตาเห็นธรรม มิใช่ไปเพิ่มดวงตาที่สามกันนะ

    ขอให้คุณหมอมีจิตสดใส สว่าง หรือมีไฟในดวงจิตตนเองไวๆนะครับ
    โดยการวางทุกอย่างในการปฎิบัติจิตเกาะพระ และลืมไปได้เลยกับ คำว่า คุณหมอ โดยทำจิตให้นิ่ง
    วางอีโก้ให้หมด เพราะสิ่งเหล่าจะไปขวางกั้นการเจริญธรรมของตนเอง มิใช่ใคร
    เพราะว่าเวลาจิตอยู่ที่ในโลกทิพย์นั้น โดยเฉพาะ คำว่า นิพพาน จะไม่มีเพศ ไม่มีเวลา ไม่มีระยะทาง
    ไม่มีกลางวันกลางคืน ไม่มีอาชีพต่างๆ ไม่มีวรรณะ ไม่มีโลกธรรม๘ ไม่มีแม้นกระทั่งตนเอง ไม่มีกายหยาบ มีแต่ความว่าง
    เพราะเวลาตายไป ก็ไม่เห็นสิ่งที่พวกเราไปยึดเอาสมมุติมาเป็นของตนนั้น
    กันเลย เห็นมีแต่บาปกับบุญที่พอจะติดต่อไปกันเท่านั้น
    แล้วพวกเราที่กำลังหายใจกันอยู่นี้ เพื่ออะไรหรอ?
    เพื่อยึด เพื่อหากันต่อไป หรือว่าปล่อยวาง ก็ไปคิดกันเองเอง

    ขอให้เจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไปด้วยเทอญ
     
  12. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    ทุกคนในนี้ต่างก็รักครูเพ็ญนะ

    ผมก็เหมือนกัน ว่าแต่ว่า อย่านอนดึกนักนะ
    เพราะนอกจากครูต้องมาทำงานทางโลก(ตอนกลางวัน)
    ส่วนกลางคืน หรือวันหยุด ครูเพ็ญก็ต้องมาทำหน้าที่ในทางธรรมอีก
    ผมสงสารครูเพ็ญที่สุดเลย
    ผมขอโทษนะครับ ที่ทำให้ครูต้องมาลำบากก็เพราะผมคนเดียวเลย
    เมื่อก่อนผมจำได้ว่า ครูเพ็ญมีลูกศิษย์อยู่คนเดียว ก็คือผม
    เอ๊ะหรือว่าเราแกแล้ว เล่าความหลังผ
    ผมน่ะแก่แล้ว แต่จะมีคนแถวๆนี้ จะแก่ตามพี่ภูหรือเปล่า
    เอิ๊กๆ ทานไรก่อนนอนนะครับ ครูเพ็ญ
    ผมเป็นวงนะ...เป็นห่วงก็ได้

    ขันธ์จ๋าขันธ์ ขันธ์ใครหล่ะ ก็ขันธ์ของครูเพ็ญนั่นแหล่ะ รักษาให้ดี
    จะได้อยู่กับพวกเรานานๆ
    ขอให้ครูเพ็ญ และคนที่อ่าน จงมีความสุขกาย สบายใจ และเจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไป สาธุๆ
     
  13. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    จิตเกาะพระ
    จิตบุญ ๓


    [​IMG]

    ผมชอบโลโก้ครูเพ็ญจัง!
    ไปทำมาจากร้านที่ไหน? บอกกันมั่งดิ่ มันเท่ดี ครูคิดได้ไงเนี๊ย!
    จิตเกาะพระ
    จิตบุญ ๓


    สงสัยครูเพ็ญนี่รับมุกคุณหมอไม่ทัน
    ครูเพ็ญท่านเก่งแต่เรื่องทางโลกทิพย์ จิตท่านไวและละเอียดเป็นยิ่งนัก
    แถมสัญญาครูหายไปเกือบหมด เพราะวันๆนึงจิตท่านอยู่แต่ปัจจุบัน
    พอมาเจอมุกคุณหมอนิดเดียว ครูก็เลยตามไม่ทัน เพราะจิตครูเพ็ญไปกับโลกทิพย์มากง่ะ จะไปตามทันชาวโลก ชาวช่องกันได้อย่างไรหล่ะ เห่อๆ
    ครูเพ็ญไปอ่านหลายๆรอบนะ แล้วจะเข้าใจว่า คุณหมอเขาหมายถึงอะไร

    ไม่ทราบการบ้านนี้จะเป็นประโยชน์มั้ยนะค่ะ น้อมรับคำชี้แนะจากทุกท่านค่ะ วันนี้ซื้อน้ำบัวบกมาตุนไว้แล้ว อิอิ

    ก็ครูเพ็ญนำคำถาม-ตอบเธอบนกระทู้นี้อ่ะ คุณหมอก็รับมุกครูเพ็ญเหมือนกัน(เหมือนจะกินปูร้อนท้อง) เธอก็สารภาพว่ารู้สึกผิดด้วย คุณหมอก็เลยคิดไปว่างานนี้คงจะโดนยำใหญ่แน่ ครั้งแรกเธอทำท่าเครียดๆ ต่อมาภายหลัง คงทำใจได้แร๊ะ
    งานนี้เหมือนนำเธอมาขึ้นคาน เอ๊ย!ไม่ใช่ดิ่ ขึ้นเขียง ยิ่งมาเจอพี่ภูช่วยยำอีกคนนึง แล้วอย่างนี้คุณหมอจะไปเหลืออะไรเล่า ฮ่าๆ
    คุณหมอก็เลยประชดครู โดยการซื้อน้ำบัวบกมาตุนไว้ซะงั้น!
    ก็คุณหมอคิดไว้ล่วงหน้าแล้วว่า คุณหมอจะต้องโดนแน่ๆ ไม่อะไรก็ไม่อะไร
    นี่ครูเหมือนจะยกคุณหมอเป็นตัวอย่างของพรหมดื้อ อิอิ
    แต่ดื้อไปในทางที่ดี ไม่เป็นไรเน๊อะคุณหมอ คุณหมอคนเก่งที่หนึ่งเลย...เหมือนพี่ภูตบหัวแล้วลูบหลังยังไงก็ไมรุ๊...ฮ่าๆ
    คราวนี้อัตตาตัวตน หรือนายมานะของคุณหมอก็เลยเผ่นกลับบ้านเก่าไม่ทันเลย
    ว่าแต่ว่า งานนี้คุณหมอได้กำไรเพี๊ยบ มิใช่ขาดทุนนะ คิดให้ดี
    นี่คือ ตัวอย่างจิตอนาคามี ที่มีอินทรีย์อ่อน/สติอ่อนไปหน่อย
    จะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม เพราะจิตอนาคามีนั้นต้องเข้ม จิตจะต้องพยายามทรงฌานให้ได้ทั้ง กลางวันและกลางคืน แม้นกระทั่งนอนหลับ หลับแต่กาย แต่จิตไม่หลับนะ
    คอยสังเกตจิตระดับนี้จะมีสติสัมปชัญญะสูง คือ นอนเหมือนไม่ได้นอน
    แต่ตื่นนอนมาไม่รู้สึกเพลีย แต่กลับตรงกันข้าม จิตรู้ ตื่น เบิกบานตลอดเวลา
    นี่แหล่ะ! จะเป็นตัวชี้วัดผลของการปฎิบัติโดยตรงสำหรับคุณหมอเป็นอย่างดี แถมได้บุญกับคนอื่น คือเขาจะร่วมอนุโมทนาด้วย จะไม่ให้คุณหมอได้กำไรอย่างไรเล่า

    คุณหมอจะเลียนแบบคุณDhammanee ก็ไม่ว่ากันนะ
    คุณDhammanee จิตยังไม่ทันยกเลย เธอเล่นมาขายตรงเสียแล้ว
    คือเธอขยันสร้างdown line เหมือนบริษัท แอมแอม อะไรสักอย่างนี่แหล่ะ
    เธอเล่นค้ากำไรบุญเห็นๆ อันนี้ผมถือว่าได้กำไรนะ ไหนๆจะเอาบุญทั้งที
    ถึงว่ากระทู้นี้มีลูกค้าบุคคลภายนอกเยอะ ผู้ไม่ประสงค์ออกนามก็เข้ามาอ่านกันเยอะ
    นี่ดีนะ ถ้าครูเพ็ญไม่เก่งเรื่องสติ จิต สมาธิ ปัญญา มีหวังคนด่าเพี๊ยบไปแล้ว
    บังเอิญครูแถวนี้ชำนาญเฉพาะด้าน โดยเฉพาะเรื่องจิตเกาะพระ ก็เลยรอดไป
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 1 สิงหาคม 2012
  14. ลูกพลัง

    ลูกพลัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    413
    ค่าพลัง:
    +8,932
    อ๋อ..เรื่องตรวจสอบศีล.. ของท่านพี่นิวเวปครับ..

    โมทนาสาธุ.. กับทุกๆท่านเรื่องfile checklist นี้ ดีมากเลยครับเป็นธรรมทานกับท่านอื่นๆด้วย..สาธุ สาธุ
     
  15. watjojoj

    watjojoj เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    562
    ค่าพลัง:
    +9,793
    ขอโมทนากับคุณเกษอีกสักรอบ เห็นชื่อแล้วอดทราบซึ้งไม่ได้เลย
     
  16. ่jarunee

    ่jarunee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2012
    โพสต์:
    118
    ค่าพลัง:
    +1,917
    ขอนำธรรมะของสมเด็จองค์ปฐม และสมเด็จองค์ปัจจุบันมาให้ทุกท่านได้พิจารณา

    [FONT=&quot]“ธรรมนำไปสู่ความหลุดพ้น”

    [/FONT]

    [FONT=&quot]สมเด็จ องค์ปฐมทรงตรัสว่า อย่าไปเอาวิชา - ความรู้ - ศักดิ์ศรี - ฐานะ - ตระกูลมาเป็นเครื่องตัดกิเลส เพราะนั่นเป็นสิ่งภายนอก มิใช่ตัวจิตแท้ๆ ใครยึดถือก็เป็นมานะกิเลส ให้พิจารณาถึงตัวจิตล้วนๆ ตามที่สมเด็จองค์ปัจจุบันตรัสไว้ในคิริมานนทสูตรว่า ผู้มีความรู้จักฉลาดสักปานใด ไม่ควรถือตัวว่าเป็นผู้รู้ยิ่งกว่าผู้มีศีล

    [/FONT]​

    [FONT=&quot] สมเด็จองค์ปัจจุบัน ทรงตรัสสอนพระอานนท์

    [/FONT]​

    [FONT=&quot]ดูกรอานนท์ บุคคลผู้ไม่มีศีล ปราศจากการรักษาศีล หรือเข้าใจว่า ตนเองดีกว่าผู้มีศีล จัดเป็น มิจฉาทิฎฐิ เป็นคนหลงทาง ห่างจากความสุขในมนุษย์ - สวรรค์และพระนิพพานมาก เพราะเหตุว่าผู้มีศีล ได้ชื่อว่าใกล้ต่อพระนิพพานอยู่แล้ว จะถือเอาความรู้และความไม่รู้เป็นเครื่องวัดความดีไม่ได้ ต้องถือเอาการละกิเลสได้เป็นเครื่องวัด เพราะผู้จะเข้าถึงพระนิพพานต้องอาศัยการละกิเลสได้ส่วนเดียว เมื่อละได้แล้ว แม้จักไม่มีความรู้มาก รู้แต่เพียงการละกิเลสได้เท่านั้น ก็อาจถึงพระนิพพานได้ จักเห็นได้ว่าชาวนา - ชาวสวน - ชาวไร่ที่มุ่งเข้ามาปฏิบัติธรรม มิได้มีวิชา - ความรู้ - ศักดิ์ศรี - ฐานะ - ตระกูลเลย แต่เอาจิตที่เต็มไปด้วยศรัทธาเข้ามาปฏิบัติด้วยกำลังใจเต็ม ในศีล - สมาธิ - ปัญญา มุ่งปฏิบัติกันที่จิตโดยตรง อันเป็นธรรมภายในด้วยกันทุกคน ไม่เอาธรรมภายนอก ๕ อย่างนั้นมาใช้ตัดกิเลส จัดได้ว่าเป็นหนูประเภทที่สอง คือ มิได้ขุด แต่ได้อยู่[/FONT] ​

    [FONT=&quot] สมเด็จองค์ปัจจุบัน ทรงตรัสสอนพระอานนท์เรื่องหนู มี ๔ ประเภท มีความโดยย่อว่า[/FONT]
    [FONT=&quot]
    [/FONT]​
    [FONT=&quot] หนูประเภทที่ ๑ มันขุด (รู) แต่มิได้อยู่[/FONT]​
    [FONT=&quot] คือ พวกรู้ปริยัติ แต่มิได้ปฏิบัติ[/FONT]
    [FONT=&quot]
    [/FONT]​
    [FONT=&quot] หนูประเภทที่ ๒ มันมิได้ขุดด้วย แต่ได้อยู่[/FONT]​
    [FONT=&quot] คือ พวกไม่รู้ปริยัติ แต่มุ่งปฏิบัติอย่างเดียว[/FONT]
    [FONT=&quot]
    [/FONT]​
    [FONT=&quot] หนูประเภทที่ ๓ มันขุดด้วย และได้อยู่ด้วย[/FONT]​
    [FONT=&quot] คือ พวกรู้ปริยัติ และปฏิบัติด้วย[/FONT]
    [FONT=&quot]
    [/FONT]​
    [FONT=&quot] หนูประเภทที่ ๔ มันไม่ได้ขุด และไม่ได้อยู่[/FONT]​
    [FONT=&quot] คือ พวกไม่รู้ทั้งปริยัติ และไม่ปฏิบัติด้วย[/FONT]
    [FONT=&quot]
    [/FONT]
    [FONT=&quot] สมเด็จองค์ปฐมทรงตรัสว่า การบวชใจนั้นบวชได้ทุกคน ไม่จำกัดทั้งเพศและวัย อายุตั้งแต่ ๗ ขวบ ก็บวชใจได้ทุกคน และบวชใจแล้วปฏิบัติตาม ศีล - สมาธิ - ปัญญา หากตัดสังโยชน์ ๑๐ ประการได้ขาด ก็เป็นพระอรหันต์ได้ แต่การบวชกายนั้น มีได้แต่เฉพาะบางคนเท่านั้นที่โอกาสอำนวย มีพร้อมทั้งกายและครอบครัวด้วย จัดเป็นหนูประเภทที่ ๓ สำหรับพวกที่โอกาสไม่ได้อำนวย เช่นคุณหมอ และพวกที่เป็นทั้งเพศชายและหญิง โอกาสไม่อำนวยให้บวชกายได้ แต่ก็นับว่าโชคดีที่เกิดมาพบพระพุทธศาสนา ได้พบท่านฤๅษีเป็นครูบาอาจารย์ สอนให้ทั้งปริยัติและปฏิบัติเพื่อมรรคผลนิพพาน ให้เป็นหนูประเภทที่ ๓ คือได้ขุดด้วย และได้อยู่ด้วย ที่ยังเอาดีกันไม่ได้ อยู่ที่ขาดความเพียรนี่แหละ ควรจักพิจารณาตนเองว่าเราเป็นหนูประเภทไหนกันแน่ อยากไปพระนิพพานก็ต้องปฏิบัติธรรมเพื่อสู่พระนิพพานด้วย อยากแต่ไม่ยอมปฏิบัติก็ไปพระนิพพานไม่ได้[/FONT]


    [FONT=&quot]ทุกท่านที่ได้พิจารณาแล้วคงมีคำตอบอยู่ในจิตของท่านแล้วว่าท่านเป็นหนูประเภทไหน[/FONT]
    [FONT=&quot]
    [/FONT]
    [FONT=&quot]ลูกขอกราบนอบน้อมบูชาคุณ บูชาธรรม สมเด็จพ่อองค์ปฐม สมเด็จพ่อองค์ปัจจุบัน สมเด็จพ่อทุกๆพระองค์ พระอริยะสงฆ์ทุกองค์
    และคุณครูบาอาจารย์ทุกท่าน ด้วยจิตเคารพยิ่ง
    [/FONT]


    ขอเป็นกำลังใจให้คุณอุษาวดีและทุกท่านที่ปฎิบัติอยู่ และชาวจิตเกาะพระทุกท่านถึงพระนิพพานในชาตินี้ทุกท่านเทอญ​

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 สิงหาคม 2012
  17. natthapatpun

    natthapatpun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,124
    ค่าพลัง:
    +25,214
    [FONT=&quot]สมเด็จองค์ปัจจุบัน ทรงตรัสสอนพระอานนท์เรื่องหนู มี ๔ ประเภท มีความโดยย่อว่า[/FONT]


    [FONT=&quot]หนูประเภทที่ ๑ มันขุด (รู) แต่มิได้อยู่[/FONT]
    [FONT=&quot]คือ พวกรู้ปริยัติ แต่มิได้ปฏิบัติ[/FONT]


    [FONT=&quot]หนูประเภทที่ ๒ มันมิได้ขุดด้วย แต่ได้อยู่[/FONT]
    [FONT=&quot]คือ พวกไม่รู้ปริยัติ แต่มุ่งปฏิบัติอย่างเดียว[/FONT]


    [FONT=&quot]หนูประเภทที่ ๓ มันขุดด้วย และได้อยู่ด้วย[/FONT]
    [FONT=&quot]คือ พวกรู้ปริยัติ และปฏิบัติด้วย[/FONT]


    [FONT=&quot]หนูประเภทที่ ๔ มันไม่ได้ขุด และไม่ได้อยู่[/FONT]
    [FONT=&quot]คือ พวกไม่รู้ทั้งปริยัติ และไม่ปฏิบัติด้วย[/FONT]


    โมทนา สาธุ โดนใจอ่ะครูแอ๋ว ขอบคุณค่ะ
    ปัญญาท่านนี้เป็นเลิศในการใช้คำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาเป็นอุบายสอนจิต
    ท่านยกมาแต่อรรถแต่ละธรรมคำสอนล้วนมีแต่แก่นทั้งนั้น
    ใครปัญญาดีจักเห็นธรรมได้แจ่มแจ้งตามท่านแล

    พี่เพ็ญแว้บมาแล้วก็จะแว้บไป การบ้านที่เหลือแปะไว้ตอนค่ำค่ะ

    พี่ภูชอบโลโก้หนูเหรอ ส่งรูปมาจิหนูจะทำส่งไปให้เลือกหลาย ๆ แบบ
    ทำในอะไรช็อบ ๆ นั่นอ่ะ แต่หนูทำเป็นแบบง่าย ๆ งู ๆ ปลา ๆ นะ ใส่ลูกเล่นเยอะ ๆ ไม่เป็นอ่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 สิงหาคม 2012
  18. UncleGee

    UncleGee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2012
    โพสต์:
    4,104
    ค่าพลัง:
    +10,246
    ผมได้ตามอ่านกระทู้นี้มานานประมาณเดือนหนึ่งแล้วครับ
    ขอกราบขอบคุณในธรรมทานจากทุก ๆ ท่าน ด้วยครับ

    ไม่ทราบว่า ถ้าไม่ได้สมัครเรียน "จิตเกาะพระ" จะขอถามในสิ่ง
    ที่เกิดขึ้นในใจ แล้วไม่ทราบว่าเป็นอะไร คือ เป็นความรู้สึกเหมือนกับ
    ตกลงไปอยู่ในที่ ๆ กว้าง ๆ โล่ง ๆ ซึ่งเป็นเกือบทุกครั้งเวลาทำความสงบ
    เช่น สวดมนตร์ ฟังสวดมนตร์ กำหนดภาพพระ กำหนดลมหายใจเข้าออก
    และเวลาแผ่เมตตา ครับ
    ซึ่งผมไม่ทราบว่าความรู้สึกแบบนี้คืออะไรครับ
     
  19. ธรรมมณี

    ธรรมมณี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,044
    ค่าพลัง:
    +14,027

    สวัสดีค่ะ คุณพี่ปักธงชัย สบายดีนะค่ะ ไม่ได้หายไปไหนไกลหรอกค่ะ ก็อยู่แถวๆ บ้าน(กระทู้) นี้แหล่ะค่ะ พอดีไม่ได้เม้นท์ค่ะ อ่าน+ทำความเข้าใจ+ทำๆๆๆ ต้องตอบให้ครบค่ะ เดียวคุณครูทั้งหลายมาอ่านเจอจะดุเอา ว่าอ่านอย่างเดียว ไม่ทำรึ อิๆๆ อู๊ยยยย...ยังมิบังอาจรับคำนี้ไว้ค่ะ ครูเกษ อ่านดูแล้วมันจักกะดึ๋ย ยังไงก็ไม่รู้ อิๆๆ คุณพี่ปักธงชัย ก็พยายามนะค่ะ นอกจากอ่านแล้วก็หมั่นสร้างสติจับภาพพระไปด้วยใจสบายๆ นะค่ะ อย่าเครียดค่ะ ค่อยๆ ทำความเข้าใจไปด้วย ให้ปฏิบัตินำสงสัยนะค่ะ แล้วก็หมั่นตรวจเช็คศีล5 ตัวเองดูด้วยนะค่ะว่าครบมั้ย เกษก็เป็นเต่าเดินมาเหมือนกันค่ะ (ถึงจะเป็นเต่าเดินแต่ถ้าเดินไม่หยุดก็ถึงเส้นชัยได้นะค่ะ) แค่นี้ก่อนนะค่ะ ต้องขอตัวไปส่งการบ้านก่อน เกเรมาหลายวันแล้วค่ะ อิๆๆ

    ปล. แล้ว บทแผ่เมตตา คุณพี่ปักธงชัยได้ไปยังค่ะ ถ้ายัง เกษรบกวนถามท่าน อาจารย์ทั้งหลายให้ก็แล้วกันนะค่ะ ว่าคุณพี่ปักธงชัย อยากจะได้บทแผ่เมตตาค่ะ เห็นคุณพี่บอกมีหลายบทแล้วเกิดสับสนไม่รู้จะเอาแบบไหนดี คุณครูทั้งหลายช่วยแนะนำคุณพี่แกด้วยนะค่ะ ขอบพระคุณค่ะ
     
  20. ธรรมมณี

    ธรรมมณี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,044
    ค่าพลัง:
    +14,027
    ขอบคุณค่ะ เกษก็ขอโมทนาสาธุกับคุณวัฒน์ด้วยจริงๆ นะค่ะ ที่ท่านเข้ามาแล้ว ท่านก็ตั้งใจทำจิตเกาะพระจริงๆ สาธุค่ะ (เอ...เราจะยกเดือนเดียวกันรึเปล่าหนอ อิๆๆ)
     

แชร์หน้านี้

Loading...