มิติซ้อนมิติ โดย ดร.ครรชิต มาลัยวงศ์

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย piyaa, 12 กรกฎาคม 2012.

  1. piyaa

    piyaa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    1,730
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +16,072
    วารุณี สวัสดิภักดิ์


    หนังสือเล่มต่อไปเราจะเล่าเรื่อ<wbr>งที่เคยสัมผัสสื่อสารกับมนุษย์น<wbr>อกโลก จากดาวดวงอื่น เขามาทำไม เขาต้องการอะไร เขามานานแค่ไหน เขากินอาหารอย่างไรสืบพันธุ์แแบ<wbr>บไหน เหตุที่สัมผัสได้ เพราะเราสงสัยคำที่พระพุทธเจ้าต<wbr>รัส อนันตกาลไกลโพ้น มนุษย์ไม่สามารถไปถึง เป็นเหตุให้เราอยากรู้อยากเห็น เมื่ิอยี่สิบปีที่ผ่านมา และเราก็ได้รู้ได้เห็น เมื่อจะพูดจะเล่า แน่นอนคำถามจะเกิดสองฝ่าย เชื่อหรือไม่เชื่อ จริงหรือไม่จริง ก็พร้อมที่ตอบและอยากได้คำตอบจา<wbr>กท่านผู้มีความรู้ทางวิทยาศาสตร<wbr>์ เป็นการสรุป ว่าเพ้อเจ้อหรือเป็นจริงในบางเร<wbr>ื่อง ที่นักวิทยาศาสตร์ไม่ได้กล่าวถึ<wbr>งเลย เพราะเห็นคนเขาพูดเรื่องนี้กันม<wbr>ากเหลือเกิน ทำให้เกิดกระแสตื่นกลัว เลยอยากเล่าบ้าง
     
  2. คนที่หมดใจ

    คนที่หมดใจ สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    4
    ค่าพลัง:
    +5
    ข้าพเจ้าอยู่จังหวัดนราธิวาสจึงไม่ค่อยที่จะมีหนังสือดี ๆ มาวางจำหน่าย ข้าพเจ้ามีความสงสัยว่าคนเราตายแล้วไปไหน แล้วถ้าตายไปจะได้เจอกับญาติพี่น้องที่เสียไปหรือไม่ ผู้รู้ท่านใดมีความรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้ขอความกรุณาช่วยตอบคำถามด้วยค่ะ
     
  3. piyaa

    piyaa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    1,730
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +16,072
    ลองติดต่อที่เฟสบุ๊คอาจารย์วารุณี สวัสดิภักดิ์ | Facebook ดูสิครับ ท่านอาจตอบได้
     
  4. piyaa

    piyaa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    1,730
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +16,072
    ถาม หนูเป็นคนนึงที่พยายามฝึกนั่งสมาธิอยู่ค่ะ แต่มีอยู่สิ่งนึงที่เป็นมานานแล้วคือ รู้สึกมาเสมอว่าตัวเองเป็นตัวรับการสื่อสารทางโทรจิตที่ดีมากๆ อย่างเช่น ใจแว่บไปกำลังนึกถึงคนๆนนี้ เขาก็จะโทร.มาทันที หรือตอนนั่งสมาธิ จิตก็เผลอไปนึกถึงหน้าของเพื่อนรุ่นพี่ขึ้นมา หลังจากออกจากสมาธิหนูก็เลยส่งข้อความไปถามเขาว่า ช่วงที่ 10 นาทีที่แล้ว(หมายถึงช่วงที่หนูกำลังนั่งสมาธิอยู่) ได้นึกถึงเรื่องของหนูบ้างไม๊ เขาก็ตอบว่าใช่
    ทีนี่คำถามของหนูก็คือว่า จริงๆแล้ว หนูเป็นตัวรับสัญญาณหรือว่าเพราะใจของหนูสื่อไปถึงคนอื่นกันแน่ แล้วถ้าหนูเป็นตัวรับ หนูมีโอกาสไม๊ที่หนูจะเป็นผู้ส่งบ้าง คุณวารุณี มีข้อชี้แนะรึเปล่าคะ ? ขอบพระคุณค่ะ


    ตอบ ถามสั้นเวลาอธิบายต้องยาวเพราะเป็นเรื่องของสมาธิ จิตและภาวะ ขอตอบสั้นๆว่า จิตนั้น เมื่อฝึกดีแล้วมหัศจรรย์ยิ่งนัก เป็นผู้รู้อันยิ่งใหญ่ สามารถเป็นทั้งผู้ส่งและผู้รับ กระแสจิตก็คือ คลื่นดีๆนั่นเอง เมื่อนึกถึงใคร ก็ส่งความคิดแน่แน่วถึงผู้นั้น เขาก็จะคิดถึงเรา เราจะเป็นผู้รับผู้ส่งได้ทั้งนั้น ถ้าเราฝึกจิตได้ดีแล้ว
     
  5. ชัยบวร

    ชัยบวร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กันยายน 2011
    โพสต์:
    928
    ค่าพลัง:
    +1,642
    ขอโทษที่มาตอบช้า ว่าแต่ว่าจะติดต่อท่านจันเป็นการส่วนตัวได้ยังไงครับ ? รวมทั้งเรื่องเฟสบุ็คของท่านจันด้วยนะครับ ท่านจันสนทนาภาษาไทยได้รึเปล่าครับ ทั้งภาษาเขียนและภาษาพูด ? เพื่อความสะดวกในการติดต่อนะครับ รึท่านใช้ภาษาเนปาล ซึ่งคงจะต้องใช้ภาษาอังกฤษในการติดต่อกันรึเปล่าครับ ?
     
  6. piyaa

    piyaa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    1,730
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +16,072
    เฟสท่านจัน Narawang Tamang | Facebook ท่านอ่านเขียนพูดฟังได้ดีทั้งภาษาไทย อังกฤษและเนปาลครับ
     
  7. piyaa

    piyaa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    1,730
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +16,072
    คืออะไรเหรอครับไม่เข้าใจจริงๆ
     
  8. piyaa

    piyaa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    1,730
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +16,072
    พลังจิตสัมผัสทำให้หินร้าว

    <hr style="color:#FFFFFF; background-color:#FFFFFF" size="1">
    [FONT=&quot]เหตุ ที่มีจิตสัมผัสได้เริ่มขึ้น หลังจากที่มุ่งมั่นในการฝึกจิตด้วยการนั่งสมาธิภาวนา ก่อนหน้าที่ผู้เขียนจะเข้าวัด ผู้เขียนจะเป็นคนที่เชื่อยากในสิ่งที่ไม่อาจพิสูจน์ได้ โดยเฉพาะเรื่องการมองเห็นภพภูมิหรือตาทิพย์ หูทิพย์ จะไม่เชื่อแล้วยังต่อต้านอีกต่างหาก[/FONT]
    [FONT=&quot]อยู่มาวันหนึ่งวิบากกรรมตามทันทำให้สูญเสียการได้ยิน ความรู้สึกขณะนั้นมันรู้สึกสูญสิ้นไม่มีอะไรให้หวังอีกต่อไป[FONT=&quot] จิตใจฟุ้งซ่านไม่มีที่ยึด คิดมากอยากฆ่าตัวตายอย่างเดียว ซึ่งอันนี้ได้ทำแล้ว โชคยังดีที่สามีตามไปพบทันเวลาก่อนที่จะกระโดดน้ำบนสะพานกรุงธนแถวบางพลัด จึงต้องอยู่สู้ดูโลกมาจนถึงทุกวันนี้[/FONT][/FONT]
    [FONT=&quot]สามี พาเข้าวัดไปพบกับครูบาอาจารย์ของเขา เวลาที่ท่านเข้ามาพักวัดแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ เพื่อสอนธรรมะปฏิบัติทำสมาธิให้กับพระนวกะที่บวชใหม่ ปกติท่านจำพรรษาอยู่วัดแห่งหนึ่งที่จังหวัดระยอง ซึ่งต่อไปนี้จะใช้สรรพนามที่เหล่าลูกศิษย์ทั้งหลายใช้เรียกท่านด้วยความ เคารพยกย่องว่า [FONT=&quot]“ท่านพ่อ”[/FONT][FONT=&quot] สาเหตุที่พาเข้าไปกราบครูบาอาจารย์ก็เพราะสามีเห็นว่า ผู้เขียนเศร้าซึมจนตัวเขาเองก็หมดปัญญาจะปลอบโยน[/FONT][/FONT]
    [FONT=&quot]วัน นั้นท่านพ่อได้เข้ามาพักที่วัดในกรุงเทพฯ พอดี ประมาณทุ่มครึ่งผู้เขียนได้ไปถึงวัดพร้อมสามีกับเพื่อนรุ่นพี่อีกคนหนึ่ง สามีพาผู้เขียนเข้าไปในห้องโถงกว้างพอประมาณ ในห้องนี้ [FONT=&quot]“ท่าน พ่อ” ใช้เป็นที่รับแขกสอนนั่งสมาธิภาวนา และมีห้องพักสำหรับจำวัดอยู่ในตัว ภายในนั้นจะเปิดไฟสว่างไม่มากนักเปิดแอร์เย็นฉ่ำ ทำให้บรรยากาศสงบเงียบเหมาะกับการนั่งสมาธิภาวนา มีลูกศิษย์นั่งสมาธิภาวนากันหลายคน เมื่อนั่งเรียบร้อยแล้วก้มลงกราบ “ท่านพ่อ” ซึ่งท่านได้มองมาที่ผู้เขียน สามีจึงบอกกับท่านพ่อว่า [/FONT][/FONT]
    [FONT=&quot]“ภรรยาของผมหูดับไม่ได้ยินอะไรอีกแล้ว ตอนนี้ลดทิฐิยอมมาวัดแล้วครับ”[/FONT]
    [FONT=&quot]ย้อน กลับไปก่อนที่หูจะดับ ผู้เขียนกับสามีมีปัญหาครอบครัวกัน เพราะสามีชอบไปวัดทุกวันหยุดเสาร์อาทิตย์ที่ต่างจังหวัด เพื่อไปช่วยท่านพ่อสร้างเจดีย์ สร้างโบสถ์ สร้างองค์พระบนเขา เป็นสิ่งที่ผู้เขียนไม่ชอบและมีความเห็นว่าที่เขาทำมันมากไป ปัญหาของเราถึงขนาดเกือบหย่าร้างกัน จึงเป็นเหตุที่ทำให้ต่อต้านสามี ชื่อเสียงของผู้เขียนจึงเป็นที่รู้จักของลูกศิษย์คนอื่นๆในวัดที่รู้จักกับ สามีเป็นไปในทางลบ ส่วนมากจะมองว่าร้ายกาจ ก็ต้องยอมรับว่าคำกล่าวหานั้นมันจริง ก็ตอนนั้นเข้าวัดยังไม่ได้ปฏิบัติธรรมทำให้ไม่เข้าใจอะไรเลย[FONT=&quot] ตามสามีเข้าวัดบ้างแต่ก็รับไม่ได้อีก ได้พบได้เห็นคนที่วัดเขาพูดกันแปลกๆ อย่างเช่น นั่งสมาธิแล้วไปเที่ยวสวรรค์ ไปเที่ยวนรก คนนอกวัดอย่างผู้เขียนก็รับไม่ได้ เราก็เห็นเขาแค่นั่งหลับตาสงบนิ่งนานๆ ลืมตาขึ้นมาก็พูดกันเป็นตุเป็นตะ ใครจะเชื่อ!! ท่านพ่อคงสงสารสามีและคงอยากให้ผู้เขียนเข้าวัดอีกคน ปัญหาครอบครัวจะได้หมดไป สามีมาเล่าให้ฟังทีหลังว่าได้เคยไปกราบเรียนถามท่านพ่อว่า [/FONT][/FONT]
    [FONT=&quot] “ผมเคยมีอดีตกรรมชาติก่อนอะไรกับภรรยาหรือครับ! เวลานั่งสมาธิภรรยาชอบแกล้งต่างๆนาๆ ทำเสียงดังรบกวน” [/FONT]
    [FONT=&quot] ท่านพ่อพูดปลอบใจว่า [/FONT]
    [FONT=&quot] “ให้แผ่เมตตาบ่อยๆไม่ต้องทำอะไร ถึงเวลาเดี๋ยวมันก็เข้าวัดเองแหละ.!”[/FONT]
    [FONT=&quot] เรื่องที่ผ่านมาผู้เขียนต้องยอมรับว่าโง่อยู่ตั้งนาน ในห้องท่านพ่อนั่งเป็นประธานติดผนังกำแพงด้านหนึ่ง ด้านขวาด้านซ้ายและด้านหน้ามีลูกศิษย์นั่งล้อมรอบตัวท่าน ผู้เขียนนั่งเป็นคนที่สองติดกับสามีด้านซ้ายมือ ในมือของท่านพ่อมีหินก้อนหนึ่งขนาดเท่าลูกมะพร้าวปอกเปลือกแล้ว รูปร่างของหินก้อนนั้นกลมเกลี้ยงเหมือนลูกนิมิตที่ฝังรอบโบสถ์ต่างกันก็ เพียงขนาดเท่านั้น ท่านพ่อพลิกหินในมือไปมา ลูกศิษย์คนหนึ่งถามขึ้นว่า[/FONT]
    [FONT=&quot]“ท่านพ่อครับ! ลูกหินในมือได้มาจากไหนครับ”[/FONT]
    [FONT=&quot]“ได้มาจากลูกศิษย์คนหนึ่งเขานำมาถวาย บอกว่าได้มาจากเมืองเก่าอยุธยา”[/FONT]
    [FONT=&quot] หรือเป็นหินของสมเด็จพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังสี อันนี้ผู้เขียนไม่ค่อยแน่ใจ ขออภัยด้วย เสียงลูกศิษย์อีกคนถามขึ้น[/FONT]
    [FONT=&quot]“มันเป็นจริงหรือเปล่าครับ!”[/FONT]
    [FONT=&quot]“ไม่รู้เหมือนกันอยากรู้ก็นั่งดูเองซิ”[/FONT]
    [FONT=&quot]พูด จบท่านพ่อก็ส่งหินก้อนนั้นให้ลูกศิษย์คนนั้นรับไปดู ลูกศิษย์ท่านนั้นเมื่อรับก้อนหินไปก็นั่งประคองไว้ในฝ่ามือแล้วก็นั่งหลับตา สักครู่เขาก็มีอาการตัวสั่นและก็พูดออกมาว่า[/FONT]
    [FONT=&quot] “ท่านพ่อครับ! ไม่ไหวแล้วครับพลังแรงมาก”[/FONT]
    [FONT=&quot]พูดจบเขาก็ส่งหินก้อนนั้นให้คนที่นั่งข้างๆต่อไป คนที่รับก้อนหินคนต่อไปก็ทำแบบเดียวกับคนแรกแล้วก็พูดว่า[/FONT]
    [FONT=&quot]“โอ้.! สว่างโอภาสเหลือเกินค่ะท่านพ่อ”[/FONT]
    [FONT=&quot]จาก นั้นก็ส่งก้อนหินกันต่อๆไป ทุกคนจะมีอาการแตกต่างกันไป ผู้เขียนมองเห็นเหตุการณ์เช่นนั้น เริ่มรับไม่ได้อีกที่เห็นลูกศิษย์พากันทำท่าแปลกๆ ในใจก็เริ่มนินทาพวกเขาว่า[/FONT]
    [FONT=&quot]“พวกเขาเป็นอะไรกันนะ ดูซิทำท่าบ้าบอแตกต่างกันไป”[/FONT]
    [FONT=&quot]กำลัง นึกนินทาอยู่เพลินๆ เพื่อนที่มาด้วยก็ส่งหินก้อนนั้นมาให้ ซึ่งรับมาจากอีกคนหนึ่ง เพื่อนที่ไปด้วยก็ไม่เคยนั่งสมาธิเหมือนกันเขาจึงส่งต่อให้ผู้เขียน[/FONT]
    [FONT=&quot]“ทำยังไงดีล่ะ.! ถึงตาเราแล้ว”[/FONT]
    [FONT=&quot]ผู้ เขียนรับหินก้อนนั้นมามองดูแล้วก็รีบส่งให้สามี สามีก็ส่งต่อให้ท่านพ่อ ท่านพ่อรับหินจากสามีมาอยู่ในมือชั่วครู่ แล้วมองหน้าผู้เขียนก่อนจะพูดว่า[/FONT]
    [FONT=&quot]“เอ็งแบมือมาซิ ทั้งสองข้าง”[/FONT]
    [FONT=&quot]ท่านพ่อก็โยนหินก้อนนั้นใส่มือผู้เขียน พร้อมกับพูดว่า[/FONT]
    [FONT=&quot]“เอ็งดูซิว่าก้อนหินก้อนนี้เป็นยังไง”[/FONT]
    [FONT=&quot] ตอนนี้ทุกคนในห้องหันมามองผู้เขียนกันเป็นจุดเดียว ก้อนหินในมือก็หนักหลายกิโล เมื่อถูกท่านพ่อสั่งก็ไม่รู้จะทำยังไง จึงได้แต่พิจารณาพลิกหินที่อยู่ในมือ สภาพหินก้อนนั้นกลมอย่างไม่น่าเชื่อ ผิวของหินเหมือนถูกแมลงกันกิน มีลักษณะแบบถูกฝังมานานแสนนาน ได้แต่จ้องมองแล้วก็พลิกไปพลิกมาดูไปรอบๆหินก้อนนั้น ยอมรับว่าขณะที่พลิกดูหินก้อนนั้นก็คิดอยู่ในใจว่า [/FONT]
    [FONT=&quot]“เอ้.! หินอะไรนะ ทำไมถึงหนักและกลมแบบนี้”[/FONT]
    [FONT=&quot]ทันใดนั้น[FONT=&quot]..! [/FONT][FONT=&quot]สิ่งที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น ได้ยินเสียงหินที่อยู่ในมือลั่น ดังเพี๊ยะ..[/FONT][FONT=&quot]![/FONT][FONT=&quot] มันดังมาก[/FONT][FONT=&quot] ขนาดหูของผู้เขียนไม่ได้ยินอะไรเลยในเวลานั้นยังได้ยินเสียงดังมาก ก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าคนอื่นๆจะได้ยินเหมือนผู้เขียนหรือเปล่า ด้วยความตกใจจึงหลุดเสียงร้องออกมา [/FONT][/FONT]
    [FONT=&quot]“ว้าย..! ท่านพ่อ มันระเบิดแล้ว” [/FONT]
    [FONT=&quot]ความตกใจจึงรีบโยนหินก้อนนั้นส่งคืนให้ท่านพ่อ[FONT=&quot] ท่านพ่อเองก็ตกใจที่ผู้เขียนร้องและโยนหินเข้าใส่ ท่านรีบยื่นมือมารับหินก้อนนั้นก่อนที่มันจะตกลงบนพื้นห้องได้ทันท่วงที เมื่อเหตุการณ์ปกติหายตกใจแล้ว ท่านพ่อได้พลิกหินก้อนนั้นตรวจดูแล้วก็พูดขึ้น[/FONT][/FONT]
    [FONT=&quot]“เอ้อ.! ไอ้นี้จิตมันแรง ดูซิ.!หินร้าวเป็นทางเลย จิตมันทำให้หินแตกได้”[/FONT]
    [FONT=&quot]พูดจบท่านก็ส่งหินก้อนนั้นให้สามี และเมื่อรับต่อจากสามีมาดูก็ต้องประหลาดใจที่เห็นรอยร้าวในหินก้อนนั้น โอ้.[/FONT][FONT=&quot]! โฮ.! เหลือ เชื่อหินก้อนนั้นเป็นรอยร้าวเหมือนกับว่าเราเอาสันมีดสับมะพร้าวยังไงยัง งั้นเลย มันเป็นไปได้ยังไงกันในเมื่อผู้เขียนไม่ได้ทำอะไร เพียงแค่พลิกดูเฉยๆหินก้อนนั้นร้าวได้ยังไงกัน รูปร่างของหินก็หนาทึบยากจะสับและร้าวได้ด้วยมีดหรือฆ้อนทุบ

    ติดตามตอนต่อไปได้นะครับที่นี่

    จาก หนังสือมิติซ้อนมิติ เรื่องจริงเล่าสู่กันฟัง วารุณี สวัสดิภักดิ์ | Facebook
    [/FONT]


    <hr style="color:#FFFFFF; background-color:#FFFFFF" size="1">
     
  9. piyaa

    piyaa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    1,730
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +16,072
    [FONT=&quot]ศิษย์หลายคนในห้องนั้นรับหินไปดูก็เห็นเหมือนกันว่า ก่อนหน้านั้นไม่มีรอยร้าวในหินก้อนนั้นจึงได้ถามท่านพ่อว่า[/FONT]
    [FONT=&quot]“ท่านพ่อคะ.! หินมันร้าวได้อย่างไร ในเมื่อหนูไม่ได้ทำอะไรกับก้อนหินเลย”[/FONT]
    [FONT=&quot]ท่านพ่อให้สามีจดลงในสมุดถ่ายทอดคำพูดของท่านให้ผู้เขียนฟัง [/FONT]
    [FONT=&quot]“ก็ มันร้าวเพราะพลังจิตของเอ็งนะซิ.! เอ็งไม่ได้ตั้งใจแต่เอ็งมีมันอยู่ในตัวเอง เมื่อเอ็งเพ่งมองจิตของเอ็งมันก็ทำงานโดยอัตโนมัติ จิตของเอ็งไม่ได้พุ่งไปไหน มันพุ่งแน่แน่วอยู่กับหินก้อนนี้เป็นหนึ่งเดียวโดยเอ็งไม่รู้สึกตัว มันเป็นโอกาสให้จิตเอ็งทำงาน ของเก่าที่เคยมีมาก่อนส่งผลในตอนนี้”[/FONT]
    [FONT=&quot]ยอม รับว่าไม่รู้เรื่องที่ท่านพ่อพูดเลยไม่รู้จริงๆ ตอนนั้นได้แต่พยักหน้าหงึกหงักไปตามเรื่อง ไม่รู้เรื่องที่ท่านพ่อพูดสักนิด หินก้อนนั้นต่างหากที่ทำให้รู้สึกสับสนอยู่นั่นแหละว่ามันร้าวได้อย่างไร[/FONT][FONT=&quot]? งง.! มาก เมื่อทุกคนค่อยๆกราบลาท่านพ่อกลับบ้าน คณะผู้เขียนก็กราบลาท่านบ้าง ท่านพ่อหันมาสั่งสามีว่า[/FONT]
    [FONT=&quot]“หมั่นพามันมานั่งสมาธิบ่อยๆ ตอนนี้หูมันบอดแล้วคงละทิฐิได้บ้างล่ะ” (กลับถึงบ้านสามีบอกเล่าให้ฟัง)[/FONT]
    [FONT=&quot]เมื่อ กลับถึงบ้านพักผ่อนพยายามข่มตาให้หลับ รู้สึกว่ามันช่างยากเย็นเหลือเกิน ความทุกข์ใจเรื่องหูบอดผู้เขียนรู้สึกเลิกกลุ้มไปได้ จิตใจไม่จดจ่อกับมันเหมือนทุกวัน ทำให้ลืมความทุกข์ทรมานใจไปได้บ้าง แต่เรื่องหินเรื่องคำพูดท่านพ่อต่างหากที่รบกวนจิตใจ ทำให้ครุ่นคิดว่า[/FONT]
    [FONT=&quot]“พลังจิตของคนมันรุนแรง และสามารถทำให้หินร้าวได้จริงหรือ?”[/FONT]
    ก็ น่าขอบใจเหตุการณ์นี้ที่เกิดขึ้นมีส่วนทำให้ผู้เขียนได้มีโอกาส นี่คือจุดหักเหจุดแรกที่ทำให้ผู้เขียนเลิกต่อต้านสามี และเริ่มค้นหาความอัศจรรย์ของจิต ทุกวันนี้เวลาล่วงเลยมานานยี่สิบกว่าปี ก็ไม่เคยลืมเหตุการณ์เกี่ยวกับพลังจิตที่ได้พบในครั้งนั้นเลย
    ปัจจุบัน นี้เข้าใจแล้วว่า เรื่องการนั่งสมาธิให้ผลแบบไหน เรื่องของพลังจิตเป็นอย่างไรเกิดขึ้นได้ยังไง ธรรมปัญญาสมาธิแตกต่างจากนิมิตพลังจิตแบบไหน ทุกวันนี้กล้าพูดได้ว่า ธรรมขององค์พระสัมมาฯยิ่งใหญ่ไม่มีอะไรเปรียบเทียบ และจะไม่ขอกลับไปเป็นคนหยาบมืดบอด เปรียบเหมือนบัวในตมหมือนก่อนหน้านั้นอีกต่อไป ปัจจุบันผู้เขียนก็ใช้ตรงนี้แหละค้นหาโรคภัยไข้เจ็บของเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน และวิญญาณของผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว เป็นการช่วยเหลือทั้งวิญญาณและมนุษย์ได้ในเวลาเดียวกัน เป็นการเพิ่มบุญบารมีอีกด้านหนึ่ง โดยไม่มีปัจจัยเป็นสิ่งแลกเปลี่ยน ถ้าหากบุคคลหรือวิญญาณต่างมีกุศลร่วมกัน ในการมองเห็นก็ไม่ใช่เรื่องยาก แต่ใช่ว่าจะสงเคราะห์ไปได้หมดทุกคน ซึ่งบางครั้งก็ไม่เห็นอะไรเลยก็เคยมี มันขึ้นอยู่กับกุศลร่วมกันกับจิตของผู้นั้นเองด้วย
    จาก มิติซ้อนมิติ เรื่องจริงเล่าสู่กันฟัง เล่ม1 โดย [​IMG]
    วารุณี สวัสดิภักดิ์
     
  10. piyaa

    piyaa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    1,730
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +16,072
    บารมีหลวงปู่เณรคำ

    <hr style="color:#FFFFFF; background-color:#FFFFFF" size="1"> ใน ปี พ.ศ.2550 การก่อสร้างศาลาประดิษฐานพระพุทธชินราชจำลองแล้วเสร็จ ใช้ปัจจัยในการก่อสร้างสี่ล้านกว่าบาท หลังจากก่อสร้างเสร็จเงินก็หมด ต้องติดหนี้ค่าวัสดุเป็นเงินหกหมื่นบาท ความที่ไม่เคยเป็นหนี้ใครแบบไม่รู้จะไปเอาที่ไหนใช้เขา เพราะว่าร้านค้า้เขาไม่เคยรู้จักเรามาก่อนทำให้จิตตกอึดอัดมาก แล้วในวันหนึ่งตอนตีสามหลังจากจิตถอนออกจากสมาธิ ผู้เู้ขียนได้อธิษฐานจิตต่อพระพุทธชินราชจำลองกับพระแม่กวนอิมว่า “เวลานี้ข้าพเจ้ากำลังทุกข์เรื่องเป็นหนี้ค่าวัสดุก่อสร้าง แต่ขาดปัจจัยใช้หนี้เขา รู้สึกเป็นทุกข์ใจ”แล้วก็รำพึงต่อไปว่า “ที่จริงแล้ว ถ้าข้าพเจ้าไม่ถูกกำหนดให้มาเป็นผู้สร้างศาลา เพื่อนำเอาพระแม่กวนอิมออกจากวัดป่าตามที่ท่านสื่อผ่านจิต ขอให้นำเอารูปปั้นของท่านออกไปจากวัดเอาไปไว้ยังที่ที่เหมาะสม เรื่องอย่างนี้ก็คงไม่อยู่ในความนึกคิดที่จะทำ แน่นอน เพราะอุปนิสัยชอบความสันโดษแล้วก็ไม่ชอบเป็นผู้นำใคร ส่วนเรื่องความเป็นมาเกี่ยวกับเรื่องของพระแม่กวนอิม จะรวบรวมเป็นเรื่องเล่าถึงที่ไปที่มาและความศักดิ์สิทธ์ิของพระแม่กวนอิมให้ ฟังกันเล่มต่อไปถ้ามีโอกาสได้เขียน
    เมื่อก่อสร้างแล้วเสร็จผู้เขียนก็ต้องเป็นผู้ดูแล ความที่ยึดมั่นศรัทธาองค์พระสัม มาสัมพุทธเจ้า เป็นสรณะหนึ่งเดียว จะอัญเชิญพระแม่กวนอิมมาประดิษฐานเพียงองค์เดียว ทำให้รู้สึกว่าขาดๆ สำหรับผู้เขียนจึงต้องมีทั้งพระพุทธรูปและพระแม่กวนอิมเพื่อความถูกต้องแล้ว ทุกอย่า่งก็เ็สร็จเรียบร้อยมีเพียงสิ่งเดียว คือ ยัง ติดหนี้เขาอยู่ดังที่เล่ามาข้างต้นจะทำอย่างไรดี เรานี้เป็นฆราวาสผู้ใฝ่ธรรม หวังมรรค ผล นิพพาน ปรารถนาพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด ที่สำคัญ เรานี้ไม่ใช่ทั้งพระ ทั้งชี ใครที่ไหนเลยจะมาช่วยสร้าง แล้วอย่างนี้จะเอาอะไรไปบอกบุญเรี่ยไรปัจจัยใครเขา จะมีก็เพียงคนที่รู้จัก เราดีเท่านั้น ที่มีจิตเกิดบุญร่วมสร้างด้วยใจเขาเอง ไม่เคยเอ่ยปากบังคับใครเลย ที่ผ่านมาจนกระทั่งก่อสร้างเสร็จก็ด้วยบารมีของพระพุทธองค์ และพระแม่กวนอิม เทพ เทวดา ดลจิตดลใจ
    เทวดาในร่างมนุษย์ ให้มาเห็นแล้ว เกิดอยากช่วยสร้างให้เ้สร็จ ทำไมนะ
    เราจะทำอะไรแต่ละอย่างยากลำบากนัก จิตก็เกิดความท้อแท้หมดกำลังใจ
    ก็เลยอธิษฐานจิตแล้วพูดออกมาดังๆ ว่า
    “พระอรหันต์ใ์นโลกนี้ ที่มีชีวิตอยู่ในโลกนี้มีไีหม ถ้า้หากมีแีละเคยอุปัฏฐากเคยเกี่ยวข้องกันมาก่อน ขอได้โปรดมาช่วยให้เ้กิดกำลังใจผ่านเรื่องเหล่านี้ไปได้ด้วยเถิด ตอนนี้กำลังถูกกิเลสทางโลกโจมตีแทบหมดกำลังใจต่อสู้แ้ล้ว ถ้า้หากยังมีบุญวาสนาทางธรรมในชาตินี้ ขอให้ภายในเจ็ดวันนี้มีพระอรหันต์เข้ามาโปรดข้าพเจ้าที่ภวันตุเตด้วยเถิด ถ้าหากไม่มีบุญในชาตินี้คงข้ามวัฏสงสารไม่พ้น จะหมดกำลังใจภาวนาเสียก่อน เพราะเป็นหนี้เขานี่แหละ” จากนั้นก็กราบพระแล้วก็นั่งสมาธิจนรุ่งเช้า
    ในวันที่สามของการอธิษฐานจิต พระอาจารย์วิเชียรเดินทางกลับมาจากประเทศอินเดีย ท่านได้โทรศัพท์มาบอกผู้เขียนว่า
    “โยมแม่ในวันรุ่งขึ้นอาตมาจะไปฉันเพลที่บ้านโยมคนหนึ่งกับหลวงปู่เณรคำ หลังจากฉันเพลเสร็จแล้วอาตมาจะนิมนต์ท่านเข้าไปที่ภวันตุเตด้วย โยมแม่จะว่าอย่างไร?”
    ผู้เขียนไม่เคยได้ยินชื่อหลวงปู่เณรคำมาก่อน ก็เลยถามท่านว่า
    “หลวงปู่ท่านอายุเท่าไร?”
    พระอาจารย์วิเชียรก็บอกว่า “ยี่สิบเก้าปี...หลวงปู่ท่านเป็นพระอริยบุคคลแล้ว”

    ในตอนนั้นมีความรู้สึกว่า อีกแลว้ หรืออายุนิดเดียวเป็นพระอรหันต์ (นี่คือความคิดในขณะเริ่มแรกที่ยังไม่รู้จักท่านดี) ทำไมง่ายจังเลย ก็เลยบอกพระอาจารย์วิเชียรว่า “นิมนต์ค่ะ ท่านอาจารย์”เป็นอันว่าพรุ่งนี้หลวงปู่เณรคำจะเข้า้มา ท่านจะเป็นพระอรหันต์อย่า่งที่ผู้เขียนอธิษฐานจิตหรือไม่พรุ่งนี้ก็รู้ในใจ ผู้เขียนตั้งใจเอาไว้ว่าเราจะไม่เรียกท่านว่า่ “หลวงปู่” แต่จะเรียกต่อเมื่อท่านตอบปริศนาธรรมที่เกิดขึ้นกับเราอย่างแจ่มแจ้งหายจาก การติดข้องสงสัยนั้นแหละ จึงจะเรียกท่าน
    ว่า “หลวงปู่” ยอมรับว่าตอนนั้นออกจะปรามาส และไม่เชื่อว่าหลวงปู่เณร
    คำเป็นพระอริยะบุคคล อย่างที่พระอาจารย์วิเชียรเล่าให้ฟัง
    ในวันรุ่งขึ้น ข่าวได้แ้พร่ไปในกลุ่มผู้ที่มีความเคารพในตัวผู้เู้ขียนว่า่ หลวงปู่จะมาที่ภวันตุเต ต่างพากันมานั่งรอหลวงปู่กับพระอาจารย์วิเชียรกันต้้งแต่เช้า้ ผู้เขียนรอท่านจนถึงบ่ายโมงท่านก็ยังไม่มา ผู้เขียนจึงนั่งสมาธิรอ ขณะนั้นมีความรู้สึกอยากจะลองดูว่า ภาวะจิตหลวงปู่เป็นอย่างไรบ้างก็เลย กำหนดจิตแบบว่านึกถึงท่าน พอจิตผู้เขียนกระทบหลวงปู่ ก็มีพลังเด้งกลับมากระทบจิตผู้เขียน พลังนั้น ทำให้จิตของผู้เขียนสั่นหัวใจเหมือนถูกปั๊มขึ้นป้๊มลงแรงๆ จนต้องถอนจิตออกมา รู้สึกร้อนที่ใบหน้าใครมองเห็นก็ออกปากถามว่า
    “อาจารย์เป็นอะไร? ทำไมหน้าแดง”
    ก็เลยเดินไปส่องกระจกดูก็เห็นเป็นจริงอย่างที่เขาทักกัน ก็คิดใน
    ใจว่า่ หลวงปู่เณรคำพลังจิตท่านแรงมากเลย ทำให้อยากเห็นหน้า้ท่านเร็วๆ
    ก็เลยให้คนใกล้ตัวโทรศัพท์ถามท่านพระอาจารย์วิเชียรว่า
    “ตอนนี้ท่านอยู่ที่ไหน?”
    พระอาจารย์วิเชียรตอบกลับมาว่า “อยู่วัดไทรใหญ่ หลวงปู่อยาก
    นมัสการกราบพระพุทธรูปหลวงพ่อทองคำ”
     
  11. piyaa

    piyaa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    1,730
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +16,072
    ถาม อาจารย์ครับ ผมเป็นเจ้าหน้าที่สาธารณสุขช่วยเหลือ ประชาชน ผมฝึกสมาธิมาตั้งแต่อายุ 9 ขวบ จนอายุ 40 ปีแล้ว ทำไมฝึกสมาธิแล้ว จิตอยากนึกรู้อะไรแปลกๆ ไม่เหมือนคนฝึกสมาธิทั่วไป ยิ่งนั่งนานยิ่งอยากรู้รุนแรง ผมทรมานมาก ผมพยายามหาอาจารย์หลายท่านแล้ว แต่ก็ยังแก้ไขไม่ได้ มันเกิดจากอะไรครับ และจะต้องแก้ไขอย่างไร ขออาจารย์ช่วยด้วยครับ
    อ.วารุณี สวัสดิภักดิ์ ตอบ
    การฝึกสมาธิเป้าหมายของการฝ<wbr>ึกก็คือสลัดจิตให้พ้นความอย<wbr>ากทั้งปวงสุดท้ายเมื่อสลัดไ<wbr>ด้ก็ คือนิพพาน จริตของความอยากของคนแตกต่า<wbr>งกันไป จะสำแดงออกเป็นตัวสกัดกั้นไ<wbr>ม่ให้บรรลุธรรมแห่งความหลุด<wbr>พ้นและความก้า้วหน้าในการปฎ<wbr>ิบัติ บางคนอยากรู้อยากเห็น บางคนอยากได้หูทิพย์ตาทิพย์<wbr> รู้ใจคนทายใจคน แสดงฤทธิ์ได้ตัวเราเองก็เคย<wbr>คิดอยากเหาะมาแล้วเหมือนกัน<wbr>มันเกิดจากความอยากเป็นต้นเ<wbr>หตุ ถ้าหาดูแล้วไม่ได้เป็นอย่าง<wbr>ที่ว่า ก็คงเป็นอนุสัยเก่าที่ติดมา<wbr>แต่ภพแต่ชาติก่อนที่เคยปฎิบ<wbr>ัติมา ต้องปล่อยวางให้ได้ ในขณะที่มีความอยากรุนแรงให<wbr>้น้อมจิตพิจารณาไตรลักษณ์ให<wbr>้เห็นเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เป็นการวิปัสสนา เป็นการไม่ส่งจิตออกนอก
     
  12. piyaa

    piyaa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    1,730
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +16,072
    [​IMG]
    แบบปกมิติซ้อนมิติ เรื่องจริงเล่าสู่กันฟัง เล่ม1 พิมพ์ใหม่<wbr>
     
  13. piyaa

    piyaa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    1,730
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +16,072
    ซึ่งวัดไทรใหญ่อยู่ห่างจากภวันตุเตเพียงแค่สองกิโลเมตร
    ผู้เู้ขียนก็ “เอ๊ะ...หลวงปู่ท่านเป็นพระอยู่ทางอีสาน ท่านรู้ได้อย่างไรว่า่ หลวงพ่อทองคำ เป็นพระที่ศักดิ์สิทธิ์ ชาวอำเภอไทรน้อยและอำเภอใกล้เคียงให้ความเคารพนับถืออย่างมาก แสดงว่า่ หลวงปู่รูปนี้คงมีดีในองค์ท่าน เราอย่าปรามาสท่านโดยไม่รู้จะดีกว่าจะเป็นกรรมเสียเปล่าๆ” ในเวลาต่อมาท่านอาจารย์กับ หลวงปู่ก็มาถึง พอนิมนต์ท่านนั่งเรียบร้อยแล้ว ในระหว่างที่ท่านกำลังฉันน้ำปานะ ผู้เขียนได้พินิจพิจารณาดูหลวงปู่เณรคำ ท่านมีรูปร่างสูงใหญ่ ผิวพรรณละเอียด สะอาดสะอ้าน อายุแก่กว่า่ ลูกชายคนโตผู้เู้ขียนไม่มาก โดยรวมท่านมีสง่าราศีงามมากรูปหนึ่งในเพศสมณะ จากนั้นก็ได้นิมนต์ขอให้ท่านเทศน์โปรดญาติโยม ในขณะฟังธรรมจาก ท่านท้องฟ้ าซึ่งกำลังสว่างเริ่มมืดครึ้มไปด้วยเมฆฝน ผู้เขียนนั่ง ฟังธรรมะที่หลวงปู่บรรยายด้วยความตั้งใจ พอหลวงปู่เทศน์จบ ผู้เขียนก็ขออนุญาตถามธรรมะที่ติดอยู่ หลวงปู่ตอบธรรมะที่ถามโดยละเอียดลออ ความสงสัยหมดสิ้นไป ที่จริงธรรมะที่ถามหลวงปู่ เคยถามผู้รู้มากทั้ง พระสงฆ์แ์ละฆราวาส แต่จิตไม่ยอมรับ คือ คำตอบที่ได้รับขัดแย้ง ไม่ตรงประเด็นเลย ไม่เคยได้รับความกระจ่างจากที่ใดเลย พอหลวงปู่เทศน์จบ วลีสุดท้าย คือ “ปล่อยวาง ว่างเปล่า”
    ผู้เขียนน้ำตาไหลอาบแก้ม ไม่อายผู้ที่นับถือผู้เขียนคนใดเลย จากนั้นก็ไ็ด้บอกกับ ท่านว่า่ มีจิตปรามาสท่านก่อนได้ฟังธรรมจากหลวงปู่ ขอขมาหลวงปู่โปรดอโหสิให้ผู้เขียนด้วย
    ท่านก็อโหสิให้ แล้วก็พูดว่า
    “เราไม่มีกรรมต่อกัน”

    ยังมีต่อนะครับ
     
  14. piyaa

    piyaa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    1,730
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +16,072
    ถาม
    สวัสดีคะอาจารย์ หนูสอบถามหน่อย
    เรื่องการดูใจ
    การรู้เกี่ยวกับทุกข์
    การดับทุกข์
    อย่างเช่นมีคนว่าให้เราโกรธ
    เราดับได้ทันทีหรือเปล่า
    หนูรู้ว่าโกรธ แต่ดับไม่ได้ทันที
    อาจารย์ใช้วิธีการดูใจ คล้ายๆของ
    พระอาจารย์ปราโมช หรือเปล่า
    ตอบ
    ไม่รู้จักหรอกแต่เคยได้พบกับอาจ<wbr>ารย์มนตรี อยู่วัดป่าแถว ป่าละอูที่เพชรบุรี เคยสนทนาธรรมกับท่านเกี่ยวกับเร<wbr>ื่องนี้ จิตเพ่งจิต ท่านบอกท่านสอนไม่ได้โยมไปไกลแล<wbr>้ว
    ก็คิดแบบนี้ชิจ้ะว่าเขาว่าเรานะ<wbr>เป็นจริงหรือป่าวถ้าเป็นจริงดัง<wbr>เขาว่าเรา เราโกรธเขาทำไมแล้วให้ค้นหาจิตต<wbr>นเองว่าใครเป็นผู้โกรธ ถ้าหาเจอเราก็จะเห็นที่ไปที่มาข<wbr>องต้นเหตุของตัวโกรธ ดับช้าดีกว่าไม่ดับเสียเลย เช่นปล่อยให้มันหายเอง
    อาจารย์สองท่านนี้เป็นลูกศิษย์ห<wbr>ลวงปู่ดุลย์ การเพ่งจิตก็มาทางเดียวกัน สำหรับอาจารย์เมื่อจิตเราสงบ จนกระทั่งวางองค์ภาวนาคือพุทโธ เราเมื่อวางพุทโธแล้วก็จะเห็นคว<wbr>ามว่าง เมื่อวางความว่าง ก็จะเห็นจิต คือความระลึกรู้ เมื่อเห็นแล้ว ก็เอาสติเพ่งไปที่ความระลึกรู้ ก็คือจิต นี่คือการเพ่งจิตของอาจารย์ ไม่ว่าอะไรจะเกิดที่จิตเช่นโกรธ<wbr> เราก็ก็จะรู้ทัน ถ้าไม่พิจารณา ก็จะไม่เห็น ถ้าพิจารณาก็จะเห็นที่ไปที่มาขอ<wbr>งมัน เท่านี้แหละ เอาไปใช้ได้หมดทุกคำถามที่ถามมา

    จาก วารุณี สวัสดิภักดิ์ | Facebook
     
  15. piyaa

    piyaa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    1,730
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +16,072
    [FONT=&quot]ถาม[/FONT]
    [FONT=&quot]สวัสดีครับคุณแม่[/FONT]
    [FONT=&quot]ฟุ้งซ่านอยู่ครับ [/FONT]
    [FONT=&quot]กำลังเอาชนะอยู่ครับ[/FONT]
    [FONT=&quot]คุณแม่ยุ่งหรือเปล่าครับวันนี้[/FONT]
    [FONT=&quot]ผมนั่งร้องให้ กับทหารที่โดนรุมยิงที่ใต้เมื่อวาน[/FONT]

    [FONT=&quot]ตอบ[/FONT]
    [FONT=&quot]ปลง วาง มันเสียบ้างเถิดลูก มันเป็นเช่นนี้แหละ[/FONT]
    [FONT=&quot]เหตุเป็นเพราะบ้านเมื่องเราขาดความสามัคคีกัน[/FONT]
    [FONT=&quot]ทำ ให้พวกคิดไม่ดีทำร้ายบ้านเมืองเราอยู่ในขณะนี้แล้วมันจะแรงขึ้นเรื่อยๆๆ เราทำอะไรไม่ได้มากเพราะเราไม่มีอำนาจอยู่ในมือ มีเพียงอย่างเดียว คือ รวมตัวกันไล่ล่าพวกมันบ้าง ถ้าเป็นอย่างนี้ใครละจะเสี่ยงชีวิตตายเปล่า แต่สิ่งที่เราได้รับติดตัวไปยามกลับบ้านเก่า (ตาย) คือ เวร กับ กรรม อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด เพราะเรานี้แหละคือสัตว์โลกที่พระพุทธองค์ตรัสกับพระอานนท์ว่า เราสงสารสัตว์โลกทั้งหลายที่เกิดในยุคสองพันห้าร้อยปีล่วงไป สัตว์โลกทั้งหลายเหล่านั้น อยู่ท่ามกลางสียงร้องไห้ครวญคราง เรานี้เวทนาจริงหนอ พระองค์ตรัสถึงสามครั้ง นึกดูดีๆ เรานี่แหละคือสัตว์โลกที่พระองค์ตรัสถึง เพราะเกิดในยุค สองพันห้าร้อยปี ถ้าพิจารณาให้เห็นในเวลานี้ คุณธรรมเสื่อม วัฒนธรรมเสื่อม ศีลธรรมเริ่มเสื่อม ไปจากจิตใจคน จึงมีเหตุการณ์ที่ทำให้เจ้าร้องไห้ ทำไมไม่ปลงวางบ้าง ทุกสิ่งล้วนต้องตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น ต่างกันเพียงแต่ว่าแบบไหนช้าหรือเร็วต่างกันยังไง เอาเวลาที่เหลืออยู่ มาบำเพ็ญภาวนาให้จิตเห็นสัจธรรมในชาตินี้ดีกว่า ไปฝึกที่สวนโมกข์นานาชาติมาเก้าวัน สอบตกหมด กลับมากิเลสเพิ่มเร็วมากจนตนเองตามไม่ทันกิเลสที่ปรุงจิต[/FONT]


    [FONT=&quot]ถาม มันมีคำถามอยู่ตั้งแต่ช่วงปฏิบัติครับ [/FONT]
    [FONT=&quot]ว่าการปล่อยวาง ว่าเป็นเช่นนั้นเอง [/FONT]
    [FONT=&quot]ขอบเขตมันอยู่ตรงใหน [/FONT]
    [FONT=&quot]ถ้าเอาไปจับกับเรื่องการเมืองการปกครอง เรื่องสังคม[/FONT]
    [FONT=&quot]การปล่อยวาง การเป็นเช่นนั้นเอง โดยให้สภาพบ้านเมืองเป็นเช่นที่เป็นอยู่นี้ [/FONT]
    [FONT=&quot]สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านหมายความเช่นนี้จริงๆหรือ [/FONT]
    [FONT=&quot]เมืองที่สงบ สภาพแวดล้อมที่สงบ [/FONT]
    [FONT=&quot]ก็นับเป็นหนึ่งใน มรรคมีองค์แปด[/FONT]
    [FONT=&quot]เมื่อบ้านเมือง สังคม กำลังไร้ความสงบ ไร้ ธรรม [/FONT]
    [FONT=&quot]เราควรคิดว่า เป็นเช่นนั้นเอง [/FONT]
    [FONT=&quot]แล้วเสาะแสวงหา บ้านใหม่เมืองใหม่ ที่เหมาะสมตามมรรค [/FONT]
    [FONT=&quot]โดยไม่ได้ รักษาบ้านรักษาเมืองที่เราอยู่ให้กลับคืนความสงบ ล่ะครับ[/FONT]
    [FONT=&quot]หัวใจคำสอนคือทุกสิ่งล้วนเป็นสิ่งสมมุติตอนนี้ปรากฎให้เห็นตามความเป็นจริงแล้วกิเลสต่างหากที่ปรุงให้เห็นแล้วเราก็เอาจิตไปยึดมันไว้[/FONT]
    [FONT=&quot]ก็เข้าใจอยู่ครับคุณแม่ [/FONT]
    [FONT=&quot]นั่นแสดงว่า โลกเดินทางสู่ทางเสื่อมมาแต่ทุกกัปป์[/FONT]
    [FONT=&quot]ด้วยเหตุนี้ ทางชั่วถึงเดินได้ง่ายถึงงอกงามได้ง่าย เพราะมันเป็นทางเดินโดยปกติของวิวัฒนาการของมนุษย์ มั้งครับแม่[/FONT]

    [FONT=&quot]ตอบ สิ่งที่เป็นจริงคือเมื่อเห็นของจริงๆๆ แล้วจึงปลงวางได้เมื่อเข้าถึงภาวะจิตอย่างแท้จริงก็จะรู้ว่าพวกก็ไม่มี บ้านสังคมก็ไม่มี พระพุทธเจ้าก็ไม่มี พระธรรมก็ไม่มี จะพูดชักเท่าไรคนที่ยังมองไม่ซึ้งเข้าไม่ถึงพระสัจธรรม ปฏิบัติธรรมยังไม่ถึงภาวะรู้จริงรู้แจ้ง ก็ไม่สามารถเข้าใจได้อย่างถ่องแท้คนพูดก็ต้องเป็นฝ่ายปลงวางเสียเอง[/FONT]
    [FONT=&quot]ถาม ถูกครับ พระพุทธเจ้าก็ไม่มี พระธรรมก็ไม่มี [/FONT]
    [FONT=&quot]แต่ใครจะเข้าใจ[/FONT]
    [FONT=&quot]ตอบ ทุกอย่างมีคู่ทั้งหมด มีเกิดมีตาย มีรักไม่รักแต่ นิพพานไม่มีคู่เป็นหนึ่งเดียว เราปฎิบัติธรรมก็เพื่อสลัดกิเลสร้อยรัดในรูปแบบต่างให้พ้นจากจิต เป้าหมายหนึ่งเดียวคือ[/FONT][FONT=&quot]นิพพาน[/FONT]
    [FONT=&quot]ถาม ครับ สภาวะ เหนือดี เหนือชั่ว เหนือผิด เหนือถูก ยากนักที่จะเข้าใจ [/FONT]
    [FONT=&quot]ตอบ รู้แล้วต้องพยายามค้นหาทุกอย่างที่จิตตนเอง ไม่ใช่ใครที่ไหน เกิดที่จิต ดับที่จิต หลุดพ้นที่จิต ขอให้จิตสว่างไสวเถิดนะลูก ทางธรรมเป็นทางที่สงบ ยิ่งกว่าเส้นทางไหนๆของมนุษย์ เมื่อเข้าถึงแล้วพาให้พ้นทุกข์ทั้งปวง แม่อยากเห็นลูกมีความสุข ไม่อยากเห็นลูกทุกข์กายทุกข์ใจ ถึงแม้ไม่ใช่ลูกในไส้ แม่ห่วงใยเจ้าเสมอ เจ้ารู้ดี[/FONT][FONT=&quot]..[/FONT]

    [FONT=&quot]สำหรับชายชาติทหารที่พลีชีพ เพื่อปกป้องปฐพี ขอให้ท่านทั้งหลายมีสุคติโลกสวรรค์เป็นที่ไป

    จากเฟส วารุณี สวัสดิภักดิ์ | Facebook
    อ.วารุณี สวัสดิภักดิ์[/FONT]
     
  16. piyaa

    piyaa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    1,730
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +16,072
    คำถาม ไหนๆ ก็คงจะเหมือนกับหลายๆคนนะครับที<wbr>่ คงจะมีคำถามมากมาย ในฐานะที่ท่านเป็นผู้รู้ ผู้ตื่นก่อน ขอคำชี้แนะคำถามแรกก็แล้วกันนะค<wbr>รับ คือ ที่เขาพูดๆกันว่า 21 ธ.ค. 2555 จะเป็นวันที่ล้าง โลก ในฐานนะที่ท่านได้ญาณทัศนะก่อนแ<wbr>ล้ว อยากรู้จากท่านว่า เป็นเรื่องเหลวไหลหรือเรื่องจริ<wbr>งครับ
    คำตอบ หนุ่มเอ๊ยตั้งแต่จับเฟสบุ๊ก ยอมรับจริงว่าหนุ่มยิงคำถามที่ท<wbr>ำให้ขนหัวลุกจริงๆ รู้มั้ยคำไหน คำว่าได้ญาณทัศนะ รู้ไหมว่า คำนี้เป็นของสูงแม้แต่ผู้ที่มีก<wbr>็ไม่มีผู้ใดพูดออกมา ถ้าใครกล่าวอ้างว่าเป็นผู้มีญาณ<wbr>หรือญาณทัศนะ ถ้าสมณะรูปใดกล่าวอ้างถือว่าเป็<wbr>นการอวดอุตริ ถ้าเป็นฆราวาสถือว่าบ้ากับวิกลจ<wbr>ริต วิปัสสนูแน่นอน คำๆนี้เป็นคำที่ผู้รู้ธรรมไม่คว<wbr>รใช้เป็นอย่างยิ่ง ตัวเราเองไม่เคยใช้คำว่าญาณกับผ<wbr>ู้ใดเลยแม้แต่คิดก็ไม่เคย เมื่อไม่นานนี้มีการใช้คำนี้เป็<wbr>นการสื่อถึงเรา ต้องให้แก้ไขเพราะเรารับไม่ได้ เพราะคำๆนี้ใช้ได้กับวิมุติธรรม<wbr>เท่านั้นการที่พ่อหนุ่มใช้คำนี้<wbr>จึงเป็นการไม่สมควรเป็นอย่างยิ่<wbr>ง การที่เรามานั่งตอบคำถามเกี่ยวก<wbr>ับธรรม เราจะตอบเท่าที่เราตอบได้คำถามใ<wbr>ดที่เราไม่รู้เราจะไม่ตอบเป็นอั<wbr>นขาด การเทศนาธรรมหรือตอบธรรมะ ถ้าผู้ไม่รู้แล้วเอาธรรมะแบบคิด<wbr>เองเออเอง มาบรรยาย คนพูดจะตกนรกเสียเอง ส่วนเรื่องโลกจะแตกหรือถล่มทลาย<wbr>คนพูดก็เพ้อเจ้อเหมือนกระต่ายตื<wbr>่นตูม สำหรับเรามีความเห็นว่าไม่มีผู้<wbr>ใดรู้ได้แน่ชัด มีแต่องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท<wbr>่านั้น พระองค์ก็ตรัสไว้แล้ว ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ในโลกนี้มีโครรู้ยิ่งกว่าพระองค<wbr>์อีกหรือ ตื่นเถอะลูก ตั้งสติ แล้วรีบเร่งความเพียรดีกว่า ตัวเราเองก็ไม่ใช่ผู้รู้หรือผู้<wbr>วิเศษยังเป็นผู้เดินดินขี้เหม็น<wbr>คนหนึ่ง แต่เป็นผู้สะดุ้งกลัวต่อบาป และพยายามเป็นผู้มีสติและไม่ประ<wbr>มาท อย่าโกรธนะลูกเตือนด้วยจิตรักแล<wbr>ะเมตตาจากใจ ขอให้จิตสว่างไสว พระธรรมรักษา ขอให้ผาสุก และขอฝากบอกผู้อื่นๆคำถามไร้สาร<wbr>ะเราจะไม่ตอบ
    ส่วนเรื่องจักรวาลกับมนุษย์นอกโ<wbr>ลก เมื่อเราพร้อมที่จะเขียน เมื่อนั้นค่อยคุยกัน เพราะเป็นเรื่องนอกเหนือทางธรรม<wbr> ต้องมีผู้รู้ตัดสินก่อน สิ่งที่เราจะเล่ามีเหตุผลที่เป็<wbr>นไปได้สมควรเชื่อได้ไหม ไม่ใช่เขียนแล้วพากันบ้าเลอะเทอ<wbr>ะไปกันใหญ่.

    <h6 class="uiStreamMessage" data-ft="{&quot;type&quot;:1,&quot;tn&quot;:&quot;K&quot;}">


    วารุณี สวัสดิภักดิ์


    </h6>
     
  17. piyaa

    piyaa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    1,730
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +16,072
    [FONT=&quot]ถาม ขอเปิดประเด็นอีกประเด็นครับ ที่ ไม่เข้าใจในความหมายของคำว่า "อุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้กับผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว" มันมีความหมายจริงว่าอย่างไรครับ เป็นคำที่รู้ความหมาย แต่ไม่เข้าใจ ว่าคืออะไร ขอคำชี้แนะจาก อาจารย์แม่ และก็ทุกๆท่านด้วยครับช่วยชี้แนะ เพราะมีบางสิ่งบางอย่างที่ไม่เข้าใจอย่างมาก[/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot] [/FONT]
    [FONT=&quot]ตอบ คำถามนี้ถามสั้นๆแต่เวลาตอบ ต้องตอบให้กระจ่าง ซึ่งยาวมาก อยากขอเชิญมานั่งสนทนากันจะง่ายกว่า แต่ก็จะลองทำให้สั้นไม่ทราบว่าจะเข้าใจไหม[/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot] พรหม เทพเทวดา มีสุขคติโลกสรรค์เป็นที่ไปจึงไม่ต้องทุกขเวทนา อดอยากหิวโหย เพราะอำนาจบุญที่ได้ทำไว้เมื่อยามมีชีวิตอยู่ส่งผล ต่างกับจิตวิญญาณสัพภเวสี ที่ไม่ได้สร้างบุญกุศลไว้ เมื่อตายไปจึงไม่มีบุญกุศลจุนเจือไม่ให้ทุกข์ทรมาน มนุษย์เราทุกคน ยามมีชีวิตอยู่ ทุกคนมีสัญญาอุปาทาน ยึดมั่นถือมั่นเป็นนายมัน ปรุงให้หิวให้อิ่มให้ร้อนหนาว รัก เกียจ เมื่อตายไป ทุกสิ่งดังกล่าวไม่ได้ดับตามรูปสังขาร ดวงวิญญาณ ยังคงอยู่ เขาเรียกว่า วิญญาญธาตุ ดวงวิญญาณทั้งหลายยังคงมีความรู้สึกนึกคิดอยู่เช่นเดิม เพราะสัญญาเป็นเหตุ เขาหมดโอกาสทำดีหรือชั่วได้อีกต่อไป นี้คือต้นเหตุที่ไป ที่มา ของภพของชาติ บุคคลที่ยังมีชีวิตอยู่จึงต้องอุทิศกุศลที่ยังทำได้ให้เขาเขาจึงจะได้รับ แต่ไม่ได้ตลอดไป คนหิวข้าวทุกวันไม่ได้กินก็หิวโหย ของที่ตนเองเคยทำก็จะได้กินได้ใช้แค่ที่ตนเองทำไว้ ตรงนี้แหละ เป็นสิ่งที่มนุษย์หนีไม่พ้นเกิดตายวนเวียนไม่รู้จักจบจักสิ้น พระพุทธองค์ เห็นทุกข์ สิ่งนี้จึงบอกทางให้มนุษย์ทั้งหลายให้ดับสัญญาให้ขาดจากจิต นำจิตเข้าสู่พระนิพพานให้ได้ก่อนตาย ถ้าทำได้ก็จบสิ้นชาติเกิดเป็นอิสระจากความหิวโหยไม่ต้องรอให้ใครเดือดร้อนอุทิศให้ ผลของผู้ที่อุทิศกุศลให้ผู้ล่วงลับไม่ไปไหน ผู้นั้นย่อมได้รับผลเป็นทวีคูณ การตอบทั้งหมด ไม่ใช่ด้วยการท่องจำ อ่าน แต่เกิดจากภาวะรู้ได้จากการปฎิบัติอาจจะไม่เหมือนที่ท่านเรียนรู้มาก็ ขออภัย ถ้ามีโอกาสคุยกันเรื่องนี้ต้องเริ่มตั้งแต่ ปฎิสนธิ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ดิน น้ำ ลม ไฟ วิญญาณธาตุ อากาศธาตุ ตายแล้วไปไหน จึงจะเข้าใจถ่องแท้ชัดเจน สาธุ[/FONT]
     
  18. piyaa

    piyaa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    1,730
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +16,072
    มิติซ้อนมิติ2 หาซื้อได้ที่ ร้านดอกหญ้า บิ๊กซีบางใหญ่ใกล้ รพ.รัตนาธิเบศร์อีกที่นะครับนอกจากซีเอ็ดบุ๊ค
     
  19. piyaa

    piyaa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    1,730
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +16,072
    ทหารเปรตของพระเจ้าอโศกมหาราช
    หลังจากที่หนังสือ “มิติซ้อนมิติ ตอนที่1” ออกจำหน่ายเมื่อปี พ.ศ.2546 ผู้เู้ขียนก็เงียบหายไปไม่มีงานเขียนออกวางจำหน่ายอีกเลย เพราะมีภารกิจในการก่อสร้างสถานปฏิบัติธรรมภวันตุเต จึงทำให้ไ้ม่มีเวลา เริ่มจะมีโอกาสว่างเมื่อปลายเดือน สิงหาคม ปี พ.ศ.2553 เนื่องจากการก่อสร้างศาลาโรงทานแล้ว เสร็จ พอมีเวลาว่างลูกศิษย์ต่างก็รบเร้าให้ผู้เ้ขียนนำประสบการณ์ต่างๆ มากมายที่ได้ประสบมาและยังไม่เคยนำมาเขียน ให้คนที่ยังไม่เคยฟังได้มีโอกาสอ่านบ้าง
    ในช่วงเวลาที่หายไปผู้เขียนได้มีโอกาสเดินทางไปไหว้พระนั่งสมาธิ ภาวนา ที่ประเทศอินเดียอีกหลายครั้ง บางครั้งไปกันหลายคน บางครั้งก็ไปกันแค่สองคน แต่ละครั้งก็ประสบกับเหตุการณ์แปลกประหลาดเหลือเชื่อ ก็เลยนำมาเขียนเล่าสู่กันฟังเจตนาของผู้เขียนอยากเปิดโอกาสใหผู้อ่านที่มี ประสบการณ์แปลกๆ ที่เหลือเชื่อ หาเหตุผลหรือคำตอบในสิ่งที่ประสบมาไม่ได้ นำมาเล่าสู่กันฟังแต่มีข้อแม้ว่า...ในทุกเรื่องต้องเป็นเรื่องจริง ไม่ใช่เรื่องแต่งขึ้นมา และทุกเรื่องต้องมีคำตอบและมีข้ออ้างอิงได้ เมื่อมีผู้สงสัยอยากรู้อยากพูดคุยแม้ว่า่ คำตอบนั้นผู้สงสัยจะเชื่อหรือไม่ก็ตาม อีกข้อหนึ่ง ในทุกเรื่องต้องมีสาระ มีแก่นสาร ให้ข้อคิด คติเตือนใจกับท่านผู้อ่านไม่มากก็น้อย สิ่งเหล่านี้คือเป้าหมายในการนำเสนอของหนังสือเล่มนี้ ก่อนจะนำท่านเข้าสู่บทความเรื่องเล่าสู่กันฟัง เรื่องที่จะนำมาเล่าเป็นความเชื่อเฉพาะของบุคคล จึงมีความจำเป็นที่จะกล่าวอ้างอิงถึงบุคคลที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น บทเริ่มต้นขอกล่าวถึงบุคคลสองท่าน ที่มีส่วนเชื่อมโยงตั้งแต่เริ่มแรก
     
  20. Pichart

    Pichart สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    31
    ค่าพลัง:
    +21
    ชอบ ต้องติดตามอ่านซะแล้ว ขอบคุณมาก
     

แชร์หน้านี้

Loading...