วิชชาที่จะทำให้อยู่รอดจากยุคสมัยแห่งภัยพิบัติ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย kananun, 17 กรกฎาคม 2006.

  1. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,877
    ขออนุโมทนากับความรู้ดีดีที่แต่ละท่านนำมาเผยแพร่ในกระทู้นี้นะครับ แเป็นประโยชน์และสามารถนำไปปฏิบัติได้จริงครับ
     
  2. marine24

    marine24 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    2,223
    ค่าพลัง:
    +15,632
    มีผลการวิจัยของโรงพยาบาลรามาฯ กทม.การให้ผู้ป่วยที่เป็นมะเร็งในระยะแรกทำสมาธิ บางคนอาการลดลง ก้อนมะเร็งเล็กลง บางคนหายป่วย ผมเคยแนะนำเพื่อนที่เป็นมะเร็งระยะที่สอง ให้ถวายสังฆทานตัดกรรมที่แนะนำโดยคนเมืองบัวและสวดคาถารักษาโรคมะเร็งของหลวงพ่อพระราชพรหมยาน ตอนนี้อาการทุเลาออกจากโรงพยาบาลแล้ว กลับไปทำงานได้ ทั้งที่เขานับถือศาสนาคริสต์
     
  3. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,877
    เรื่องนี้ผมก้อเคยได้ยินมาเหมือนกันครับ ผลจากการทำสมาธิช่วยให้คนที่เป็นมะเร็งทุเลาลงได้ครับ
     
  4. Khunkik

    Khunkik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กันยายน 2006
    โพสต์:
    2,150
    ค่าพลัง:
    +18,072
    หลายเดือนที่แล้วเจอพี่ผู้หญิงคนนึง ไปบวชชีพราหมณ์ที่วัด แกไปถือศีลที่วัดได้เกือบ 3 เดือนแล้ว และเล่าให้ฟังว่าเป็นมะเร็งระยะที่ 3 แต่หน้าตาแจ่มใสมาก เห็นบอกว่าไปรักษามาทุกวิธีทางวิทยาศาสตร์ก็ไม่หาย สุดท้ายมีเพื่อนแนะนำให้ปฏิบัติ เลยเริ่มมาถือศีล เรียกว่าถ้าไม่ใช่ทางเลือกสุดท้ายก็ไม่มา ช่วงแรกก็ยังลำบากทั้งเวทนาร่างกายและจิตใจ ตลอดเวลาพระอาจารย์ก็จะคอยแนะนำ พี่เค้าก็ปฏิบัติเรื่อยมาจนทุกวันนี้ อาการไม่กำเริบ และถ้าไม่กินยาก็ไม่เป็นไร (ยาส่วนใหญ่ที่หมอให้มาเป็นวิตามินกับยาระงับปวด) จนทุกวันนี้อาการดีขึ้นมากทางคุณหมอก็แปลกใจ พี่เค้าก็ปฏิบัติจนจิตผ่องใส แกบอกว่าทุกวันนี้ไม่กลัวตายแล้ว เพราะยังไงก็ต้องตายแบบไหนเท่านั้น

    โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน เรื่องนี้เป็นประสบการณ์ส่วนตัว
     
  5. Falkman

    Falkman พลังจิตนานาชาติ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    19,726
    ค่าพลัง:
    +77,791
    [​IMG]

    Happy Birthday to you
    Happy Birthday to you
    Happy Birthday to you
    Happy Birthday to you
    Happy Birthday to you
     
  6. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    ขอบคุณครับ เมื่อวานนี้จ้า

    ก้าวใกล้เข้าสู่ความตายไปอีกปี

    แต่ปีนี้ก็ได้ทำประโยชน์ต่อส่วนรวมได้บ้างเล็กน้อยพอคุ้มค่ามาเกิด
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 สิงหาคม 2007
  7. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,682
    ค่าพลัง:
    +51,931
    ขอให้มีความเจริญด้วยสัจจะ
    ขอให้บรรลุมรรค ๔ ธรรม ๔ ผล ๔ นิพพาน ๑ ต่อไป

    - " หนุมาน ผู้นำสาร "
     
  8. หนูน้อย

    หนูน้อย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    144
    ค่าพลัง:
    +1,038
    สุขสันต์วันเกิดย้อนหลังด้วยคนนะคะ อาจารย์ ขอพรพระดลบันดาลให้อาจารย์สมปรารถนาทุกประการนะคะ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  9. หนูน้อย

    หนูน้อย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    144
    ค่าพลัง:
    +1,038
    ขอบคุณทุกท่านมากนะคะ ที่ให้คำแนะนำเกี่ยวกับการนำสมาธิไปใช้รักษาโรค แต่มีข้อคำถามถามต่อหน่อยนะคะ
    - คุณ marine24 ไม่ทราบคาถารักษาโรคมะเร็งของหลวงพ่อพระราชพรหมยานว่าอย่างไรบ้างคะ จะได้นำไปบอกต่อค่ะ
    - คุณ Khunkik ไม่ทราบว่าพี่คนนั้นปฏิบัติแนวไหนคะ จะได้นำไปบอกต่อเช่นกันค่ะ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • blue.gif
      blue.gif
      ขนาดไฟล์:
      217.2 KB
      เปิดดู:
      49
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 สิงหาคม 2007
  10. เด็กอนุบาล

    เด็กอนุบาล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    689
    ค่าพลัง:
    +4,156
    เด็กอนุบาลขอธรรมทานวิธีบูชาพระบรมสารีริกธาตุจากคุณคณานันท์ครับ

    ลืมบอกเพื่อนๆไปว่า วันก่อนที่เด็กอนุบาลไปกราบหลวงพี่เล็กนั้น หลวงพี่ท่านได้กรุณามอบพระบรมสารีริกธาตุมาให้เด็กอนุบาลบูชาด้วย เป็นครั้งแรกในชีวิตที่เด็กอนุบาลมีโอกาสได้รับพระบรมสารีริกธาตุมาบูชาที่บ้านครับ จึงอยากขอความช่วยเหลือจากคุณคณานันท์และเพื่อนๆผู้รู้ทั้งหลายได้โปรดช่วยเรียนถามพระท่าน ให้เป็นธรรมทานแก่เด็กอนุบาลและเพื่อนๆคนอื่นที่ขาดความรู้ด้วยครับว่า มีขั้นตอน พิธี การกำหนดจิตอย่างไร เราจึงจะบูชาพระบรมสารีริกธาตุได้อย่างสมพระเกียรติและสมความตั้งใจขององค์พระพุทธเจ้าท่าน และสามารถแผ่ส่วนบุญกุศลไปให้สรรพสัตว์ทั้งหลายได้มากที่สุดครับ :)

    ปัจจุบันนี้เด็กอนุบาลเตรียมเครื่องสักการะและใช้บทสวดอัญเชิญพระธาตุ และ บูชาพระธาตุที่หาได้ตาม web และสวดบทนมัสการพระธาตุทั่วทั้งอนันตริยจักรวาลของหลวงพ่อ เกษม เขมโก สวดมนต์บูชาพระธาตุก่อนนอน โดยจะสวดบทอัญเชิญเทวดาก่อนให้ท่านได้มาร่วมพิธีสวดบูชาพระบรมสารีริกธาตุและร่วมอนุโมทนาบุญด้วยครับ

    เมื่อสวดมนต์เสร็จแล้วก็ขออุทิศส่วนกุศลที่บำเพ็ญดีแล้วนี้ ไปให้สรรพสัตว์ทั้งหลายทุกดวงจิตใน 3 โลก ผ่านกระแสพระเมตตาของพระพุทธเจ้าและพลังแห่งพระธาตุที่หลั่งไหลมาสู่ดวงจิตของเด็กอนุบาลแล้วแผ่กว้างไปทั่วทั้งอนันตริยจักรวาลทั้งสามโลก ให้ทุกดวงจิตจงโมทนายบุญนี้เพื่อประโยชน์ เพื่อความสุขของสรรพสัตว์ทั้งหลายเหล่านั้น
     
  11. s_pantusom

    s_pantusom เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    94
    ค่าพลัง:
    +1,333
    สุขสันต์วันเกิดครับ คุณ Kananun
    ขอให้คุณธรรมรักษา คุณพระคุ้มครอง ครับ
     
  12. tamsak

    tamsak ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กันยายน 2004
    โพสต์:
    7,857
    กระทู้เรื่องเด่น:
    22
    ค่าพลัง:
    +161,171
    สุขสันต์วันเกิดย้อนหลังด้วยคนครับ ขอให้คุณคณานันท์มีความสุข มีกำลังกายและกำลังใจที่ดี เจริญในธรรมยิ่งๆ ขึ้นไป และขอให้บรรลุพระโพธิญาณโดยเร็วด้วยนะครับ


    .
     
  13. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    ขอขอบพระคุณทุกท่านในพรอันประเสริฐทุกประการครับ และขอให้จิตเจตนาที่ดีของทุกๆคน ส่งผลสะท้อนเป็นพลังที่คุ้มครองปกป้องส่วนรวมอันมีประเทศชาติ พระพุทธศาสนาและพระมหากษัตริย์ครับ
     
  14. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    สำหรับการบูชาพระบรมสารีริกธาตุของคุณ เด็กอนุบาล ทำได้ดีแล้วครับ เรื่องพระบรมสารีริกธาตุ และพระธาตุนั้นมีพุทธภูมิที่มีความรู้ยิ่ง และมีบารมีหน้าที่ด้านนี้โดยตรงท่านหนึ่ง คือคุณ ปราโมช ประสพสุขโชคมณีครับ ลองเข้าไปศึกษาดูจากเวบไซท์ คนรักษ์พระธาตุดูครับ

    www.rakpratat.com


    ตรงนี้จะได้รับความรู้มากกว่าครับ

    แต่การวางกำลังใจ ของคุณเด็กอนุบาลนั้น สังเกตุได้ว่าจับหลักได้แล้วครับ ขอโมทนาบุญด้วย ความรู้ทางโลกก็ระดับดอกเตอร์แล้ว ขอให้ทางธรรมยิ่งขึ้นไปกว่านี้ครับ
     
  15. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    ขออนุญาตตอบคุณหนูน้อยเรื่องการใช้สมาธิกับการแพทย์ต่อ

    งั้นขอเริ่มเรียนรู้งานแรกก่อนได้มั๊ยคะ พอดีจะต้องไปแนะนำการฝึกสมาธิให้เจ้าหน้าที่ในโรงพยาบาลเพื่อฝึกระงับความเจ็บปวดในสองสัปดาห์หน้า อาจารย์ว่าสมาธิวิปัสสนาแบบไหนเหมาะสมที่สุดคะ มีเวลาประมาณ ๓๐ นาทีที่จะสอนเค้า และควรจะใช้เวลาให้เค้าฝึกกี่นาทีดีคะ เพื่อให้มั่นใจว่าเค้าสามารถนำไปสอนผู้ป่วยให้ได้ผลได้ดีที่สุด หรือว่าเรียนโทรปรึกษาจะดีกว่า แต่ก็ไม่แน่ใจ เผื่อจะเป็นประโยชน์ต่อท่านอื่นที่เข้ามาอ่านด้วยค่ะ



    -----------------------------------------------------------------------

    การฝึกระงับความเจ็บปวด ด้วยสมาธินั้น เข้าใจว่าสอนเพื่อให้เจ้าหน้าที่เช่นพยาบาล ผู้ช่วยพยาบาลนำไปช่วยรักษาผู้ป่วยให้ลดความเจ็บปวดจากโรคต่างๆ

    การระงับความเจ็บปวดนั้น แบ่งการรักษาออกได้ 2 แนวทาง คือ
    -ให้ผู้ป่วยใช้กำลังสมาธิ รักษาตนเอง (โดยมีคนช่วยแนะนำ)

    วิธีนี้ข้อจำกัด ก็คือ
    1. ระดับกำลังสมาธิ ศรัทธาและตบะของคนไข้มีสูงเพียงใด
    2. เวทนา ความเจ็บปวดของคนไข้มีมากแค่ไหน หากมากไป หรือที่เรียกว่าเวทนากล้า ก็ยากในการรวมจิต เข้าสมาธิ
    3. วิธีการ อาจมีความเหมาะสมต่างกันตามพยาธิสภาพทางร่างกายของผู้ป่วย

    ส่วนวิธีการในการทำสมาธิบรรเทา อาการเจ็บปวดก็คือ

    1. การทำอาณาปานสติ จนถึงขั้นลมหายใจสบาย จิตจะเข้าสู่ฌาน เริ่มแยกจากร่างกายทำให้ความเจ็บปวดน้อยลง
    อาจประยุกต์ ในจังหวะของการล้างลมหยาบให้คนไข้กำหนดความรู้สึกว่าความเจ็บปวดถูกปลดปล่อยออกไปพร้อมๆกับลมหายใจออกไปด้วยในทุกลมหายใจ

    2.หากผู้ป่วยมีพื้นฐานธรรมมะ ให้พิจารณาในวิปัสนาญาณและให้เพิกถอนความยึดติดในร่างกายเห็นทุกข์และปล่อยวาง จากอาการเจ็บที่จุดนั้น เมื่อจิตปล่อยวาง อาการที่ไปเพ่งกับความเจ็บป่วยก็จะลดลง

    3.หากผู้ป่วยมีสมาธิในระดับอภิญญาเล็ก หรือมโนมยิทธิ ก็ใช้กำลังตรงจุดนี้รักษาอาการป่วย อาการเจ็บปวดได้โดยตรง โดยใช้กำลังฌาน ฟอก สลายอาการเจ็บปวดนั้นออกไป (หากได้พบกันจะแนะนำให้)

    สรุปแล้วให้ผุ้ป่วยบำบัดอาการเจ็บปวดด้วยการใช้อาณาปานสติ จนถึงลมหายใจสบาย จะใช้ได้กว้างและง่ายที่สุด

    ส่วนอีกวิธีหนึ่ง คือให้ใช้กำลังของพยาบาล มาช่วย ทุกวิธีการสิ่งแรกที่ต้องมีก็คือ

    จิตที่เปี่ยมไปด้วยเมตตา พรหมวิหารสี่ของพยาบาลก่อน ที่ปรารถนาให้เขาหาย คลายจากความเจ็บปวด

    ส่วนวิธีการรักษามีตั้งแต่

    -การสัมผัส ในบริเวณที่เจ็บปวดด้วยดวงจิตที่เมตตาถ่ายทอดผ่านสัมผัสไปรักษา การผ่านพลังต่างๆ เช่น พลังกายทิพย์ พลังจักรวาล พลังบริสุทธิ์จากพระนิพพาน

    -การเสก เป่า เป็นการใช้คาถา กำกับการเป่า เพื่อการรักษาโรค โดยการเป่าจะมีคาบ มีการกำหนดนิมิตร การวางกำลังใจประกอบ (ไว้เจอจะแนะนำให้ครับ ต้องอธิบายกันพอสมควร) กรณีนี้เป่าไล่ความเจ็บปวด

    -การนวดถูพร้อมกับการใช้สมาธิกำกับ โดยผู้นวดให้ ต้องมีสมาธิในระดับหนึ่ง


    หากจะฝึกอบรมให้ลองยกตัวอย่างดูง่ายๆ ว่าทำไมสิ่งนี้มีผล

    "ตอนเด็กๆ เราหกล้ม เจ็บมา พ่อแม่ก็บอกว่า ไม่เป็นไร นะ เป่าให้แล้วจะหายเจ็บเอง พอพ่อแม่เป่าให้แล้วก็หายจริงๆ เหตุที่หายเจ็บนั้น ก็เพราะความรักความเมตตาอันบริสุทธิ์ของพ่อแม่ ส่งผลเป็นกระแสคลื่นที่มีสื่อคือลมหายใจ ไปยังจุดที่เจ็บ เกิดเป็นพลังในการเยียวยา อาการให้หายเจ็บไปได้จริงๆ"

    ดังนั้น การแตะก็ดี การเป่าก็ดี การนวดถูก็ดี เป็นการสื่อ หัวใจที่แท้จริงของการเยียวยา ก็คือหัวใจที่บริสุทธิ์ เต็มไปด้วยใจที่เต็มไปด้วยพรหมวิหารสี่ของผู้ให้การรักษา ระดับสูงสุดของผู้ให้การรักษาก็คือ ต้องเยียวยาให้ลึกถึงจิตใจของผู้ที่รับการรักษา ( Healling body & soul) เติมให้ทั้งจิตใจที่อบอุ่นและพลังชีวิต

    ผู้ให้การรักษาจึงต้องมีพลังแห่งความเมตตาสูง ต้องกระตุ้นผู้รับการอบรมให้เกิดเมตตาขึ้นให้ได้ก่อน ชี้ให้เห็นความปิติ อิ่มใจยามที่เราเห็นเขาหายจากโรคภัยความเจ็บปวด จากนั้นทุกอย่างก็จะดำเนินไปเอง


    วิธีที่ง่ายและได้ผลดีที่สุด เป็นกลางๆ ก็คือการโน้มนำผู้ป่วยให้เข้าสมาธิให้ได้ลมสบาย (หรือใกล้ลมสบายให้มากที่สุด )พร้อมกับให้ผู้ป่วยทำความรู้สึกว่าความเจ็บปวดถูกปลดปล่อยออกไปแล้ว จนผู้ป่วย ค่อยสบายขึ้น จากนั้น ใช้การสัมผัสที่เปี่ยมไปด้วยเมตตารักษา พร้อมกับผ่านพลังจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์มารักษา ความเจ็บปวดอีกทางหนึ่งด้วย

    ความรู้ด้านสมาธิกับการแพทย์มีหลากหลายมากครับ สามารถประยุกต์ใช้ได้กว้างขวางมาก ขอเพียงจับหลักให้ได้ หลักการสำคัญมีอยู่ ห้า หก จุดครับ

    สนใจจุดไหน หรือยังสงสัยตรงไหนถามมาได้ครับผม

    ส่วนการสอนสมาธิเรื่องการเข้าถึงลมสบาย นำจากกระทู้นี้ตอนต้นๆไปใช้ได้เลยครับ ไม่ยากเกินไป เป็นเทคนิคที่ผู้ตั้งใจสามารถทำได้ผลทุกคนครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 สิงหาคม 2007
  16. marine24

    marine24 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    2,223
    ค่าพลัง:
    +15,632
    พระพุทธคาถาแก้รักษาโรคมะเร็ง

    วันพระ 15 ค่ำ ทรงศีล 8 บวงสรวงโดยใช้คำบวงสรวงของ
    หลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี แต่งชุดขาว อธิษฐานภาวนาด้วย
    พระคาถารักษาโรค
    "พุทธังทลาย ธัมมังหาย สังฆังสูญ พุทโธรักษา ธัมโมรักษา สังโฆหาย
    แล้วสูดลมกลั้นหายใจ 1 อึด และภาวนาตามลมหายใจเข้าออก นึกในใจว่า
    สัมพุทโธมะอะอิ ระโชหะระนัง ระชังหะระติ"

    <O:p</O:p
    คาถาแก้ปวดเมื่อย ขัดยอก
    <O:p</O:p

    พุทธังหาย ธัมมังหาย สังฆังหาย
    นวดด้วย พระพุทธัง พระธัมมัง พระสังฆัง
    จะลุกขึ้น เดินนอนนั่ง ให้มีกำลังวังชา
    หายจากพยาธิโรคา จงมีแก่ข้า ประสิทธิเม
    <O:p</O:p
    ถ้าจะให้คนอื่นให้ว่า "จงมีแก่เจ้า ประสิทธิเต"
    <O:p</O:p
    <O:p</O:p
     
  17. Khunkik

    Khunkik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กันยายน 2006
    โพสต์:
    2,150
    ค่าพลัง:
    +18,072
    ปฏิบัติให้ครบถ้วนตามพุทธโอวาทดีที่สุดจ้า ยิ่งเข้าใจในธรรมชาติของการเกิด แก่ เจ็บ และตาย ยิ่งสบายใจ สบายจิต วิธีที่ คุณKananun อธิบายขยายความนั้นเหมาะสมยิ่งแล้ว (b-smile)
     
  18. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,682
    ค่าพลัง:
    +51,931
    *** ทำความเข้าใจในธรรม ****

    เข้าใจ...ผลของการกระทำ....คือ เข้าใจธรรมะ ธรรมชาติ...คือ เข้าใจ หลักสัจจะธรรม
    เกิด แก่ เจ็บ ตาย...คือ ผลของการกระทำ
    แก่นสารที่จะอธิบาย....ผลการกระทำได้...คือ "หลักสัจจะธรรม"

    - " หนุมาน ผู้นำสาร "
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 สิงหาคม 2007
  19. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,682
    ค่าพลัง:
    +51,931
    *** หลักสัจจะธรรม ****

    ตัวกระทำมีจริง ตัวกระทำไม่ตาย ตัวกระทำมีผลตอบแทน

    - " หนุมาน ผู้นำสาร "
     
  20. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    ก็ขอมาต่อกันในเรื่องของการบำเพ็ญบารมีของพุทธภูมิ


    ดังที่เคยได้กล่าวกันมาแล้วนั้นว่า "พรหมวิหารสี่" เป็นอาวุธสำคัญของพุทธภูมิในการบำเพ็ญบารมี เป็นเครื่องอยู่ที่พุทธภูมิจะขาดหรือไม่มีไม่ได้ เป็นทั้งแหล่งพลังงานของกำลังใจ(บารมี)ที่ไม่มีวันหมด หรือเหือดแห้งออกไปจากจิตใจได้

    ตอนนี้เราก็จะได้มาศึกษากันในเรื่องอารมณ์ใจของการเจริญพรหมวิหารสี่

    อารมณ์ใจของพรหมวิหารสี่มี ลักษณะที่แผ่ออก ชุ่มเย็น อิ่มเอมปิติสุข มีนิมิตเป็นรัศมีสีทองสว่างแพรวพราว

    การแผ่เมตตา แบบที่ท่องเอาว่า "สัพเพสัตตา" ไป ปาวๆแต่ดวงจิตแห้งสนิท ไม่บังเกิดผล

    คำว่า การเจริญเมตตาพรหมวิหารสี่นั้น คำว่าเจริญหมายถึงการทำให้ยิ่งขึ้นไป ทำบ่อยๆ ทำมากๆยิ่งเป็นผลดี ที่ว่าผลดีนั้นคืออะไร ผลดีก็คือผู้เจริญก็ได้อานิสงค์ ต่างๆ อาทิ

    -ตื่นเป็นสุข
    -หลับเป็นสุข
    -เป็นที่รักของ มนุษย์ สัตว์ เทวดา และ อมนุษย์ทั้งหลาย
    -ศาสตราวุธ เพลิง น้ำ และยาพิษไม่อาจทำอันตรายได้
    -เป็นผู้มีสติไม่หลงยามตาย
    -เป็นผู้มีราศี และดูอายุเยาว์
    -ได้ชื่อว่าเป็นผู้ทรงอยู่ในฌาน
    -เมื่อตายลงก็ย่อมไปจุติยังพรหมโลก
    -หากแม้นประสงค์ในพระนิพพานก็ใช้กำลังของเมตตาฌานในการตัดกิเลสเป็นสมุทเฉทประหารได้ไม่ยาก

    เหล่านี้เป็นต้น

    ส่วนที่เป็นผลดีต่อผู้อื่นกล่าวคือ บังเกิดผลดีต่อสรรพสัตว์ทั้งปวง ก็คือ ทำให้ คน สัตว์ เทวดา อมนุษย์ที่อยู่ใกล้พลอยมีความสุข ความชุ่มเย็นในดวงจิตไปด้วย พลอยได้รับอานิสงค์คือบุญของเราไปด้วยเสมอ

    ประหนึ่งดวงจิตของเราเป็นบ่อน้ำเย็นใสสะอาด หรือต้นไม้ใหญ่ที่อุดมด้วยร่มเงาและผลไม้ ให้เหล่าสัตว์ทั้งหลายได้อาศัยคลายความเร่าร้อนของจิต และเสวยผลของไม้ใหญ่นั้นให้คลายจากความทุกข์

    ส่วนดวงจิต ที่ปราศจากซึ่งพรหมวิหารสี่ก็ประหนึ่ง เป็นทะเลทรายอันแห้งผาก ที่เผาผลาญใจของตนเอง และไร้ร่มเงาเป็นที่พึ่งพิงแต่อันใด


    ในความเป็นจริง ที่ปรากฏ ผู้เจริญพรหมวิหารสี่เป็นนิจนั้น ย่อมมีความเป็นที่รักของทุกคน(ที่เป็นคนดี) มีเทวดารักษาเป็นจำนวนมาก ยามบวชก็มีเทวดาเมตตาอยากใส่บาตรให้


    ส่วนการเจริญเมตตานั้น มีอารมณ์ในการเจริญอย่างละเอียดดังนี้

    "จับลมสบาย เพื่อให้จิตเข้าถึงฌานสี่ เมื่อจิตของเรานิ่งเบาสบายแล้ว ให้เราถอยอารมณ์มาพิจารณา ในบุญในกุศลที่เราได้บำเพ็ญมานับแต่อดีตชาติ จนถึงปัจจุบันและที่จะบำเพ็ญต่อไปในอนาคต ไม่ว่าจะเป็นทาน ศีล ภาวนา สัมมาทิษฐิ สัมมาสมาธิ สัมมาปัญญา สัมมาปฏิบัติ ให้มารวมกันในจิตของเราจนดวงจิตของเราสว่างไสว แพรวพราว เป็นสีทองสว่างเรืองรอง ยิ่งสว่าง ใจเรายิ่งมีความสุข มีปิติ มีความอิ่มเอมใจ เร่งความสุข ความอิ่มเอมใจให้เปี่ยมล้นหัวจิตหัวใจออกมา จนรู้สึกว่าจิตของเราแย้มยิ้ม

    ให้ความอิ่มเอมปิติสุขนี้เอ่อล้นออกสู่กายจนกายเราก็บังเกิดความสุขความสบาย จนเราแย้มยิ้มออกมาทางกายเราจริงๆ

    พิจารณาว่า "สุข หนอ " สุขนี้เป็นสุขอันบังเกิดจากกุศลกรรม เป็นสุขที่ไม่เจือไปด้วยอามิส ไม่เจือไปด้วยวัตถุ

    พิจารณาว่า "เราปรารถนาที่จะแบ่งปันความสุขนี้แก่บรรดา สรรพสัตว์ทั้งปวงทั่วอนันต์จักรวาล ปรารถนาให้เขาประสพแต่ความสุขพ้นจากความทุกข์พ้นจากภัยจากวัฏฏสงสาร สัมผัสพระนิพพานอันเป็นบรมสุขด้วยเทอญ"

    จากนั้นแผ่รัศมีสีทองแห่งความเมตตานี้ ออกจากดวงจิตของเรา กระจายตัวออกเป็นวง เป็นคลื่น กระจายออกไปค่อยๆกว้างขึ้นไร้ขอบเขต ไม่มีที่สุด ไม่มีประมาณ ไม่มีวันหมดสิ้น ยิ่งรัศมีแห่งความรักความเมตตาของเรา กระจายกว้างออกไปมากเท่าไร จิตของเราก็ยิ่งเกิดปิติสุขยิ่งขึ้นไปอีก

    เป็นความสุขจากการให้ โดยปราศจากเงื่อนไข เป็นการให้อย่างไม่หวังผลตอบแทน เป็นความปรารถนาดีอย่างแท้จริง

    กำหนดว่าเมื่อรัศมีแห่งความเมตตา ไปสัมผัสกระทบกับดวงจิตผู้ใดก็ขอให้ผู้นั้นจงมีสุขเช่นเดียวกับเรา และขอให้ดวงจิตอันบริสุทธิ์ของเราชำระล้างดวงใจของเขาให้เป็นสัมมาทิษฐิด้วย


    นี้คือการเจริญเมตตาอัปปันนาณฌาน อันมีอานิสงค์เอนกนานับประการ ช่วยชำระล้างใจของตนเองให้บริสุทธิ์ งดงาม


    ส่วนผลที่ปรากฏเป็น เครื่องวัดกำลังใจในการปฏิบัติก็คือ จะสังเกตุได้ว่า เด็ก และสัตว์ต่างๆ ชอบอยู่ใกล้ เข้าใกล้

    ครูบาอาจารย์ท่านที่ปรากฏผลแห่งการเจริญเมตตาญาณ ชัดเจนท่านหนึ่งก็คือ พระสังฆราช สุก (ไก่เถื่อน) ที่ไก่ป่าเข้ามาหาท่าน และเชื่องเหมือนเป็นไก่บ้าน ท่านจึงได้สมญานามนี้


    ส่วนผมเองทำแล้วปรากฏผล ก็สมัยบวชอยู่ที่วัดบวรนิเวศวิหาร ตอนนั้นยังไม่รู้เรื่องรู้ราวเรื่องการปฏิบัติเท่าที่ควร มีเครื่องมือหากินอย่างเดียวก็คือ พรหมวิหารสี่ ตอนนั้นโลภในความดี ชอบค้ากำไรเกินควร เห็นว่ากรรมฐานกองนี้ดี อานิสงค์เยอะทำง่าย ก็เลยย่ำ เสียเพลิน เดินไปไหน ย่างเท้าขวา ย่างเท้าซ้าย เป็นได้ เจริญเมตตามันตลอด ไปโบสถ์ ไปทำวัตร ไปบิณฑบาตร ก้ว่าของเราไปเรื่อยคนเดียว เพื่อนนวกะท่านอื่นก็ไม่รู้ คุยไปด้วยว่าไปด้วยของเรา

    จนวันหนึ่ง นั่งกรรมฐานตอนเย็น นั่งหลับตา เราก็ไม่เคยก้าวหน้าเท่าไหร่ เอ้า วันนี้ เราลองลืมตาดูบ้าง เราก็เลยลืมตา ทำกรรมฐาน พอลืมตา เราดูอะไรดีล่ะ ก็เลยใช้ตามองภาพพระประธานในห้องแบบไม่กระพริบตาเลย มองไปมองมา มองมามองไป เอ๊ะ ภาพที่เห็นทำไมกลายเป็นวงดวงใหญ่ แถม รอบๆวงกลายเป็นรัศมี สว่างสีทองเสียอย่างนั้น

    จากนั้น ก็มารู้สึกตัวเห็นเราในสภาพของพระกำลังนั่งสมาธิอยู่เหนือโลก อยุ่บนอวกาศ จากนั้นก็เห็นตัวเรากลายเป็นสีทองสว่างไสว ใจก็เกิดปิติอิ่มเอมใจ อย่างหาที่สุดไม่ได้ จากนั้นก็บังเกิดรัศมีกายสีทองเหลืองอร่ามแผ่ออกสุดจักรวาล ไม่มีที่สุด

    ใจของเราก็ปรากฏความสุขใจอย่างมาก ตอนนั้นก็ไม่รู้เรื่องอะไร มโนก็ยังไม่ได้ หลวงพ่อก็ยังไม่รู้จักท่าน (ตอนนั้นยังเข้าใจสภาวะของพระนิพพานว่ามีสภาพเป็นสูญตามตำราด้วยซ้ำ) สิ่งที่ปรากฏเป็นไปด้วยตัวของมันเอง ภายหลังไปเปิดดูในตำรา วิสุทธิมรรค ก็ปรากฏชื่อของ เมตตาอัปปันนาณฌาน ที่อธิบายสั้นๆว่า เป็นการเจริญเมตตาออกไปไม่มีที่สุดไม่มีประมาณ เราจึงทราบว่า ที่เราทำได้คือสิ่งนี้นี่เอง แต่ภายหลังที่ได้มโนมยิทธิแล้วจึงได้ทราบว่า เราเคยได้สิ่งนี้ กรรมฐานนี้มาแต่ก่อนในอดีตชาติ และเคยได้อธิฐาน เรียกวิชชาเอาไว้ให้ปรากฏ กลับคืนมาในทุกๆชาติ ในชาตินี้เมื่อถึงวาระก็จึงได้กลับคืนมา


    คราวนี้มาว่ากันที่ผลที่ปรากฏ หลังจากที่ได้ เมตตานี้แล้ว เวลาเดิน ไป เดินมา ไปบิณฑบาตร เราก็ยิ่งเจริญให้ยิ่งขึ้นไปอีก แผ่เมตตาไปตลอดทาง มาปรากฏชัดก็ตอน เดินบิณฑบาตรในบางลำพูอยู่ แล้ว มี นกกระจอกบินมาเกาะบนสังฆฏิ ไปบิณฑบาตรด้วย ชาวบ้านเขาเห็นเขาก้ใส่บาตรกันใหญ่ วันนั้น ต้องหิ้วของใส่บาตรล่อทั้งสองมือ หิ้วกันไม่หวาดไม่ไหว

    ตอนบวชนี่ ถึงอยู่ในเมือง แต่ก็เหมือนมีเทวดาท่านมาเมตตาอยู่เสมอ ลองเปรยๆ กันกับเพื่อนๆพระ ว่า อยากกินนั่น อยากกินนี่ (ตอนนั้นยังไม่เจอหลวงพ่อ เลยยังเลวอยู่มาก) ไอ้ที่บ่นๆไว้ ก็มาในวันรุ่งขึ้นจริงๆ คราวนี้อยากลองทดสอบว่า มันจะแปลกแต่จริงได้แค่ไหน ก็เปรยๆอีกว่า

    อยากกิน" ไข่ปลาคาร์เวียร์ " น่ะ จะได้ไหมน้า บ่นกับเพื่อนนวกะท่านหนึ่งเอาไว้ ที่จริงไม่ได้อยากกินเท่าไร แต่อยากพิสูจน์มากกว่า ว่าจริงไหม เพราะคงไม่มีชาวบ้านที่ไหนใส่บาตรเป็นไข่ปลาคาร์เวียร์กันหรอก

    วันก็แล้ว สองวันก็แล้ว จนเพื่อนนวกะท่านนั้นลาสิกขาไปก่อน ส่วนผมอยู่ต่ออีกยาว

    จนกระทั่ง วันหนึ่งไป กราบหลวงตามหาบัวที่สวนแสงธรรม ระหว่างรอเข้าไปกราบท่าน เราก็ไปนั่งรอเพื่อเข้าพบท่าน เพื่อนที่เคยบวชก็เป็นลูกศิษย์พาไป เราไปนั่งอยู่ริมน้ำ นั่งมองน้ำไป มองไปมองมา น้ำก็เป็นวงอีกเเล้ว ใจเราชุ่มเย็น สบาย นั่งหันหลังให้ชาวบ้านเขาอยู่


    ใจกำลังสบาย เพื่อนก็มาสะกิดเรียก หลวงพี่ครับ ที่หลวงพี่อธิฐานเอาไว้ ตอนนี้มาแล้ว หันมาดู ก็ปรากฏว่า มีโยมที่ไหนไม่รู้ จะคนหรือผี ก็ไม่ทราบ ฝากของให้เพื่อนช่วยถวายผมแทน

    ไอ้ของที่เขามาถวาย ก็ปรากฏว่าเป็น ไข่ปลาคาร์เวียร์ เสริฟ พร้อม บิสกิตตามแบบ แถมจานก็เป็นจานแก้วเจียรนัย อย่างดี

    แต่เป็นมื้อที่ฉันอย่างมีสติที่สุดเพราะพิจารณาในทุกคำ ไม่พิจารณาว่าอร่อยนะ พิจารณาว่า อาหารนี้ เขาสรรเสริญกันว่าเลิศ แต่ที่จริง ล่วงผ่านลำคอลงไปก็ไม่ปรากฏรสชาดใดๆ และก็พิจารณาอาหาเร ปฏิกูลสัญญาไปด้วย เพราะจิตมันฉุกว่า

    สิ่งที่เขามาถวายนั้นผิดปกติ ประการแรก มีครูบาอาจารย์ผู้ใหญ่อยู่ ไฉนเขาจึงมาถวายเรา ซึ่งเป็นพระอาคันตุกะ และเป็นพระหนุ่มด้วย(ตอนนั้น)

    การถวายของอันปราณีตวิเศษราคาแพง ผู้ถวายย่อมต้องการถวายด้วยมือตนเอง เพื่ออานิสงค์

    ถ้วยชามราคาแพง ทำไมผู้ถวาย ไม่มีอาการห่วง อาการเสียดาย ทำราวกับเป็นจานกระดาษใช้แล้วทิ้งเช่นนี้

    แสดงว่าเป็นเหตุการณ์ "อธรรมดา" แน่ จึงตระหนักและสำรวมจิตเราแต่โดยดี

    เรื่องพวกนี้ เป็นสิ่งที่ปกติ ในหมู่ท่านที่ปฏิบัติ อานิสงค์แห่งการเจริญเมตตา หาประมาณไม่ได้จริงๆ

    ขอให้ดวงจิตแห่งพรหมวิหารสี่จงปรากฏขึ้นแด่ทุกดวงจิต พึงสัมผัส พึงรู้ได้ด้วยตนเองด้วยเทอญ
     

แชร์หน้านี้

Loading...