จิตพร้อม? รับภัยพิบัติ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย ภูภู, 6 เมษายน 2012.

  1. Wittayapon

    Wittayapon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    1,075
    ค่าพลัง:
    +19,233
    เอ้า ... เอากันให้ครบครับพี่เพ็ญ

    เดี๋ยวคงมียกกันแบบชุดๆ ให้พ่อใหญ่ภู ได้งงๆๆๆ 55555555555
     
  2. Wittayapon

    Wittayapon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    1,075
    ค่าพลัง:
    +19,233
    ลูกขอกราบแทบเท้าหลวงปู่ดู่ครับ

    ท่านเมตตามากๆครับ
     
  3. NOKMAM

    NOKMAM เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    300
    ค่าพลัง:
    +6,157
    [​IMG]

    สัญญา กับ ปัญญา - หลวงพ่อชา


    ผู้ที่เรียนศึกษามากๆ นั้นนะ
    มันเป็นด้วย "สัญญา" ไม่ใช่ "ปัญญา"
    "สัญญา" เป็นความจำ "ปัญญา" เป็นความรู้เท่าทัน

    มันไม่เหมือนกัน มันต่างกัน
    บางคนจำ "สัญญา" เป็น "ปัญญา"

    ถ้า "ปัญญา" แล้วไม่สุขกับใคร ไม่ทุกข์กับใคร ไม่เดือดร้อนกับใคร
    ไม่เป็นทุกข์เป็นร้อนกับจิตที่มันสงบหรือไม่สงบ


    ถ้า "สัญญา" ไม่ใช่อย่างนั้นนะ มันเกิดความยึดมั่นถือมั่น
    เป็นทุกข์เป็นร้อนไปตามอารมณ์ทั้งหลายเหล่านั้น ..



     
  4. Wittayapon

    Wittayapon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    1,075
    ค่าพลัง:
    +19,233
    ทราบซึ้งยิ่งนักครับ หลวงปู่ ... ลูกขอกราบหลวงปู่ครับ

    ผู้ปฎิบัติดี ปฎิบัติชอบทั้งหลาย

    ดอกเตอร์ หรือ ยากจก ก้อหนึ่งดวงจิตเช่นกัน ปัญญาทางธรรมวัดกันมิได้ด้วยวุฒิการศึกษาหรือสิ่งภายนอกที่เห็นด้วยตาเนื้อหรอนะ

    วางตัวเอง วางอัตตา มาทำจิตเกาะพระกัน ด้วย ความว่าง

    วางทุกสิ่ง เพือ่ เริ่มต้น ด้วยความว่าง

    เวลา เดินทาง มันจะได้ไม่หนัก ไม่ติดขัดนะครับ

    ธรรมชาติสวัสดี

    วิทย์ จบ.11
     
  5. อุษาวดี

    อุษาวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2012
    โพสต์:
    531
    ค่าพลัง:
    +12,151
    ธรรมชาติของจิตจะไปหยุดนิ่งอยู่นานๆ ไม่ได้เดี๋ยวมันก็คิดในช่วงนั้น ถ้าเกิดความคิดขึ้นมาปล่อยให้คิดไป แต่ให้มีสติตามรู้ สิ่งที่มันคิดนั้นจะเป็นอะไรก็ได้ เรื่องครอบครัว เรื่องการเรื่องงาน เรื่องผู้เรื่องคน จิปาถะสารพัดที่จะคิดขึ้นมา เมื่อมันคิดขึ้นมาอย่างนั้น ปล่อยให้คิดไป แต่ให้มีสติกำหนดตามรู้ รู้

    รู้ เป็นการส่งเสริมให้จิตของเรามีพลังเข้มแข็ง เพราะความคิดเป็นอาหารของจิต ความคิดเป็นการบริหารจิตให้เกิดสติปัญญาจินตามยปัญญา ปัญญาเกิดขึ้นได้จากความคิด เมื่อจิตมีความคิด สติสัมปชัญญะรู้พร้อมอยู่ทุกขณะจิต ความคิดสะเปะสะปะเหลวไหลนั่นแหละจะกลายเป็นปัญญาในสมาธิ เพราะจิตของเราคิดแล้วจะรู้สึกแต่เพียงสักแต่ว่าคิด คิดแล้วก็ปล่อยวางไปๆ

    เมื่อสติสัมปชัญญะมีพลังแก่กล้าขึ้นกลายเป็นปัญญา เมื่อมีปัญญาก็สามารถกำหนดหมายรู้ความคิดว่า ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา แล้วก็รู้พระไตรลักษณ์ขึ้นมา ก็กลายเป็นปัญญาในขั้นวิปัสสนาเท่านั้นเอง

    หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน

    <O:p> </O:p>จาก fb เครือข่ายกลุ่มพุทธธรรมกรรมฐาน สายท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต<O:p></O:p>
     
  6. natthapatpun

    natthapatpun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,124
    ค่าพลัง:
    +25,214
    ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ ภูทยานฌาน2 [​IMG]

    สมาธิ​


    สมาธิคือ ความตั้งมั่นของจิต จิตแน่วแน่ จิตมีอารมณ์เป็นหนึ่ง ไม่คิดฟุ้งซ่าน

    แต่ศาสนาพุทธของพวกเราเน้น สัมมาสมาธิ

    สัมมาสมาธิ หมายถึงการฝึกจิตให้เป็นสมาธิ ให้เป็นปัญญา
    โดยการใช้ปัญญาพิจารณาในธรรมตามความเป็นจริงนั้นๆ
    เพื่อความหลุดพ้น

    มิใช่เพื่อไปสนองกิเลสตนเองขึ้นมาใหม่ หรือไปสร้างอัตตาขึ้นมากันใหม่

    เช่น อวดฤทธิ์ อวดอภิญญา เป็นต้น

    สมาธิอาจแบ่งได้เป็น 3 ระดับ

    1.ขณิกสมาธิ คือสมาธิเพียงเล็กน้อย เป็นสมาธิเบื้องต้น (คนปกติทั่วๆไป)

    2.อุปจารสมาธิ คือสมาธิเฉียดฌาน เป็นสมาธิกลาง

    3.อัปปนาสมาธิ คือสมาธิลึก มีอารมณ์เป็นฌาน สมาธิตั้งมั่น แน่วแน่

    สติกับจิตรวมตัวเป็นหนึ่งเดียว เป็นการทำสมาธิขั้นสูงสุด

    สมาธิเป็นการระงับกิเลสขนาดกลาง อันได้แก่ นิวรณ์5 เป็นต้น
    (สติ หรือศีล ระงับแค่กิเลสเบื้องต้น)

    ศีล มีหน้าที่ตั้งจิต ส่วนสมาธิ มีหน้าที่รักษาจิต

    สมาธิกับนิวรณ์5 จะอยู่ตรงข้ามกันเสมอ เหมือนสมาธิคือความสว่าง ส่วนนิวรณ์คือความมืด

    นิวรณ์5 เกิดจากสัญญา(จำได้หมายรู้)และสังขาร(ความคิดปรุงแต่งจากจิตบางอย่าง)

    แต่นิวรณ์เกิดขึ้นทางจิตอย่างเดียว

    เพราะฉะนั้นแล้วถ้าจิตไปรับอะไรก็ตาม(จากอายตนะทั้ง6) ให้เราพิจารณาลงไตรลักษณ์กันให้หมด เพราะป้องกันจิตหลง

    นิวรณ์5 คือธรรม หรือเครื่องกีดกั้นมิให้จิตเข้าถึงความดี มิให้จิตเป็นสมาธิ

    เพราะฉะนั้นแล้ว นิวรณ์5 เป็นศัตรูกับสมาธิ หรือฌาน


    ธรรมแก้กันกับนิวรณ์5 ก็คือ

    1.กามฉันท์(ความพอใจรักใคร่ในอารมณ์ที่ชอบใจในรูป หรือความพอใจในกาม) ต้องแก้ด้วยธรรม คือเจริญกายาคตาสติ(พิจารณาเห็นร่างกายให้เห็นเป็นปฏิกูล)

    2.พยาบาท(คิดร้ายต่อผู่อื่น) ต้องแก้ด้วยธรรม คือเจริญพรหมวิหาร4

    3.ถีนมิทธะ(ความง่วงเหงา หาวนอน จิตหดหู่ ขี้เกลียด ไม่กระตือรือร้น) ต้องแก้ด้วยธรรม คือเจริญอนุสสติกรรมฐาน

    4.อุทธัจจกุกกุจจะ(ความฟุ้งซ่าน หรือรำคาญใจ) ต้องแก้ด้วยธรรม คือเพ่งกสิณ หรือมรณานุสติกรรมฐาน

    5.วิจิกิจฉา(ความลังเลสงสัย) ต้องแก้ด้วยธรรม คือเจริญธาตุกรรมฐาน เพื่อให้ได้รู้สภาวะธรรมตามความเป็นจริงนั้นๆ
     
  7. natthapatpun

    natthapatpun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,124
    ค่าพลัง:
    +25,214
    ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ Kim_UoonSo [​IMG]
    [​IMG]



    [​IMG]



    [​IMG]



    [​IMG]



    [​IMG]




    [​IMG]
    ปล. คิดถึงลูกหว้า​
     
  8. chalesa

    chalesa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    46
    ค่าพลัง:
    +135

    คุณวิทย์ใช่ไหมคะ

    ไม่ใช่ใครที่ไหนหรอกค่ะ กานต์ เองค่ะ ตอนนี้เกาะครูนก (ชาย) อยู่ค่ะ พี่ภู พี่เพ็ญรู้จักดี แถมเบื่อความไม่เอาไหนของกานต์ด้วย เหอะ ๆ ตอนนี้อยากมาแจมในห้องนี้ด้วย อิอิ
     
  9. Wittayapon

    Wittayapon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    1,075
    ค่าพลัง:
    +19,233
    ปั้ดโธ่ ... นึกว่าใคร คนคุ้นเคยนี่เอง 55555555555555

    อย่าโทษตัวเองนักเลย
    พยายามดุว่าเราขาดตรงไหน และเติมส่วนนั้น

    ทำๆๆๆๆ และเกาะครู เกาะกระทู้ไปด้วยก้อด้ายครับ

    สวัสดีครับ
     
  10. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=Mi_bLZcBPfI&feature=related]ประวัติการสร้างสมเด็จองค์ปฐม1 - YouTube[/ame]

    ***ใครเป็นลูกเป็นหลานของสมเด็จองค์ปฐม และหลวงพ่อฤาษีลิงดำ
    ควรรู้ว่า จะบริหารจิตของตนเองอย่างไร และไปในทิศทางไหน


    แต่ท่านทรงปรารถนาให้ลูกหลานของท่านทุกคน กลับพระนิพพาน


    เพราะการเกิด การมีขันธ์5นั้น ล้วนเป็นความทุกข์ เป็นแหล่งสะสมกิเลสซึ่งเป็นต้นเหตุแห่งทุกข์แทบทั้งสิ้น

    เมื่อท่านพ่อให้พวกเราเกิดกันมาเพื่อสะสมบุญ เพื่อสร้างบารมี หรือให้เกิดมาเพื่อมาสร้างอริยทรัพย์ภายใน

    แต่มีจำนวนไม่น้อย ที่พากันเดินหลงทาง คือ ไปสร้างอริยทรัพย์ภายนอกเสียเยอะ และเบียดเบียนซึ่งกันและกัน ซึ่งก่อบาป ก่อเวรกันไม่รู้จักจะจบสิ้น
    จึงเป็นสาเหตุ ดวงจิตที่เคยเป็นประภัสสร ก็เริ่มขุ่นมัวด้วยอำนาจกิเลส จนพวกเรามองไม่เห็นกันแล้ว นอกจากเรามองไม่เห็นจิตนเอง เราก็พลอยไม่เห็นจิตคนอื่นไปด้วย ตอนนี้พวกที่ไม่ดูจิต ไม่สนใจจิต ไม่บริหารจิตไปในทิศทางที่ถูกต้องแล้ว ก็เหมือนเสือติดจั่น ที่นายพรานเขาดักเอาไว้ จะออกไปไหนเองก็ไม่ได้ จนกว่ามีคนมาช่วยถึงจะรอดน้ำมือนายพราน
    แต่ถ้าไม่มีคนมาช่วย ถ้าถึงเวลานั้น นายพรานมาพบเจอเมื่อไหร่ เสร็จกัน จบกัน แล้วจะรอดไหม

    ก็เหมือนกิเลสคนเรานี่แหล่ะ! แต่ถ้าใครไม่ขยันล้างออก ชำระจิตกัน กิเลสก็จะพูกพูนกันทุกวัน ทุกขณะจิตกัน เพียงแต่พวกเราไม่รู้ตัวกัน เกิดมาแล้วนึกว่ามีแค่กิน-ถ่าย-เสพ-นอน

    แต่ถ้าใครไม่รู้ตัว หรือไม่รีบแก้ไขก่อนตายกัน พอตายไปก็หมดเวลา
    คืออยู่ก็เป็นทุกข์ จากไปก็เป็นทุกข์ นี่แหล่ะการเกิด กรูเกิดมาทำไม?
    ดีไม่ดี กิเลสนับมีแต่จะพาให้พวกเราหลง ส่วนใหญ่มักจะพากันหลงไปในทิศทางบป อกุศลจิตกันเสียส่วนใหญ่
    เพราะผู้ที่ไม่ฝึกฝนจิตตนเองอยู่สม่ำเสมอนั้น จิตส่วนใหญ่ก็จะวิ่งไปตามกิเลส
    เพราะธรรมชาติแห่งจิตนั้น ชอบการเรียนรู้ ชอบของใหม่ๆ
    ด้วยเหตุนี้เอง ถ้าใครไม่ฝึกฝนจิตไปในทางที่เรียกว่า บุญ กุศลกันแล้ว
    จิตเขาจึงไปเรียนรู้ในสิ่งตรงกันข้ามกับ คำว่า บาป และอกุศลแทน
    เพราะจิตที่ยังไม่ได้รับการฝึกฝน ส่วนใหญ่มักจะไปในแนวนี้
    เพราะธรรมชาติของจิตนั้น มีแต่รู้รู้อย่างเดียว (ใหม่ๆจะไม่รู้จัก คำว่า ละปล่อยวาง จนกว่าจะฝึกจิตให้รู้+เข้าใจ)
    จิตจึงมิอาจจะแยกผิดถูก หรือดีชั่วได้เอง แต่จะมีเพียงสติของตนเองเท่านั้น ที่จะช่วยจิตแยกความผิดถูก ได้อย่างชัดเจน (หลังจากพวกเราฝึกจิตมาดีแล้ว)

    นี่ไง๊หล่ะ! ที่มาของคำว่า วิจิกิจฉา คือ ความลังเลสงสัยของพวกจิตมนุษย์
    แต่ถ้าเมื่อไหร่ เราเองไม่หาคำตอบที่ถูกต้องให้กับจิตตนเองกันละก้อ

    น่าเป็นห่วงนะ...สุดที่รัก ผู้(จิต)หลงทาง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 15 กรกฎาคม 2012
  11. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    สวัสดีครับน้องป้อม น้องกานต์

    สติเรามีเยอะหรือยัง? สติเกิดบ่อยไหม?
    พอจะหาจิตตนเองได้หรือยัง? ว่าจิตเราอยู่ที่ไหน? กำลังทำอะไรอยู่?

    ที่ให้พวกเราตามดู ตามรู้จิตตนเองนั้น เพื่อจะให้เราดูแค่อาการ หรืออารมณ์ของจิตตนเอง
    โดยสติเท่านั้น จะเป็นตัวรายงานให้กับเรารู้
    เพราะจิตเป็นนาม ไม่สามารถมองเห็นด้วยตาเนื้อ เราจึงเอานามตามเข้าไปดู
    นั่นก็คือ สติของตนเอง จึงจะดูจิตตนเองว่า อยู่ที่ไหน กำลังทำอะไร
    แต่การปฎิบัตินั้น จะต้องอยู่ปัจจุบัน เท่านั้น

     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 15 กรกฎาคม 2012
  12. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    ผู้ที่ประสงค์จะไปพระนิิพพาน​

    *ผู้ที่มีวิจิกิจฉา รอก่อน ไปตามหาคำตอบให้กับตนเองก่อน
    **ตอนนี้รับสำหรับผู้ที่มีความพร้อมก่อน(กำลังใจ/บุญ/บารมี)

    ท่านรู้ตนเองไหม๊ว่า (สมควร)จะปฎิบัติต่อจิตตนเอง เช่นไร
    ขอให้ถามตนเอง ดังนี้...

    1.สติเราอยู่ที่ไหน นั่น! บางคนพออ่านปั๊บ ก็เพิ่งจะขยับ ก็เพิ่งจะรู้ตัวขึ้นมาทันที
    2.จิตละ พอจะหากันเจอหรือยัง?

    งั้นไปทำการบ้านมา...สำหรับผู้ยังไม่มี ไม่พร้อม
    แต่ถ้าใครยังไม่มี ไม่พร้อมสองตัวที่กล่าวมานี้
    งั้นประตูนิพพานปิดไว้ก่อน จนกว่าพวกเราไปตามหากุญแจนิพพาน

    เพราะนอกจากเรามีสติ หาจิตพบแล้ว แค่นั้นยังๆไม่พอ สติกับจิตนั้นจะต้องไปด้วยกันด้วย แยกกันไม่ได้ แยกเมื่อไหร่ ตายกลางทางเมื่อนั้น

    เส้นทางแห่งอริยมรรคนี่นะ ถ้าหากใครอยากจะเดิน เราไม่ต้องเตรียมอะไรกันมาก
    เราแค่เตรียมสติกับจิต สองอย่างนี้ก็เพียงพอแล้ว
    และพวกเธอรู้กันบ้างไหม๊ว่า เรามาเรียนรู้เฉพาะเรื่อง สติกับจิต เพียงไม่กี่ชั่วโมงก็จบ
    แต่ในเชิงปฎิบัติทั้งสติและจิตนั้น เขาเล่นกันทั้งเดือน/ปี/ บางคนทั้งชาตินี้ก็ยังไม่จบ
    แต่มีหลายคนสงสัยว่า จิตเกาะพระนี้ ย่นระยะการปฎิบัติเรื่องสติ+จิต ได้จริงๆหรือ?
    จะมัวถามทำไมฟ๊ะ ก็ลองทำกันดูดิ (ยืมคำพูดของครูเพ็ญใช้หน่อยนะครับ เพราะสะใจดี)

    คำตอบมันก็อยู่ที่การปฎิบัติ คือจะต้องมีความเพียรมากๆเท่านั้น จึงจะสำเร็จ
    เรียกได้ว่าจะต้องทุ่มเททั้งแรงกาย ทั้งแรงใจ จึงจะเอาจิตของตนเองอยู่

    ปล. ผู้ใดคิดว่าพร้อมไปก่อน กรุณาติดต่อมา
    แต่สำหรับผู้ที่อยากไป แต่ขอให้พวกเราหวนกลับไปดูที่ศีล(สติ)ตนเองก่อน
    แต่ถ้าแน่ใจเรื่องศีลของตนเองแล้ว ค่อยเข้าสู่การภาวนา หรือทำจิตเกาะพระไปเลย อย่ารอช้า
    เวลาพวกเราปฎิบัติทำจิตเกาะพระกันอยู่นั้น พวกเราเพิ่งนึกไปไกลถึงนิพพานกันนะ ขอให้ก้มหน้าก้มตาปฎิบัติกันลูกเดียวก่อน ผลจะออกมาอย่างไรก็ช่างมัน และก็อย่าไปมัวหลงดูจริยาคนอื่น
    ขอให้เราสนใจแต่เรื่องสติกับจิตของตนอยู่แต่ภายในกาย ภายในจิตของตนเอง

    สำหรับผู้ที่อยากไปนิพพานกันจริงๆนั้น เขาจะอยู่แต่ภายในกาย ภายในจิตของตน(เท่านั้น)
    พวกเราลองสำรวจตนเองดูนะว่า...(และให้ตอบตนเองกันให้ได้)
    สติเกิดบ่อยครั้งแค่ไหน?
    จิตอยู่ที่กายตนเองหรือเปล่า?
    หรือว่า การดำเนินชีวิตของเราทุกวันนี้ ไปอยู่ทางโลกมากน้อยแค่ไหน?

    ***และผู้ที่สนใจ แต่มีวิจิกิจฉามากอยู่ ก็ให้เกาะลาว เอ๊ย! เกาะกระทู้ไปก่อน

     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 15 กรกฎาคม 2012
  13. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,454
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
    สาธุๆๆขอcopyคําสอนท่านภูcatt1ไว้ในe-mailนะคะ จะได้อ่านซํ้าๆๆๆให้ฝังใจ คําสอนของท่านมีค่ามากกว่าชีวิตค่ะ ขอให้ "จิตเกาะพระ" เข้าถึง นิพพานทุกๆท่านค่ะ
     
  14. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    คุณสุภาทร ได้โปรดอย่ากล่าวกับผมแบบนั้นเลย อย่าได้เกรงใจผมเลย
    และอย่าได้ถือผมมาสอนธรรมะเลย
    นึกเสียว่าเราเคยมีบุญสัมพันธ์กัน เราเป็นเพื่อนกัลยาณมิตรกัน เราเป็นญาติสันติธรรมกัน
    หรือเป็นเพื่อนมนุษย์ร่วมโลกที่เราคอยช่วยเหลือซึ่งกันและกัน

    เพราะผมเองก็ปฎิบัติธรรม ปฎิบัติดี ปฎิบัติชอบ และก็ปฎิบัติตามพระธรรม หรือคำสั่งสอนของพระพุทธองค์

    ขอให้พวกเรายึดในพระรัตนตรัยเป็นสรณะ เป็นที่พึ่งทางใจสูงสุดของพวกเรากันด้วยเทอญ

    กระผมยินดีทำหน้าที่ตรงนี้ ให้ดีที่สุดครับ
    ผมเองก็ยังถือว่าตนเองนั้น ยังเลวอยู่ ยังไม่บริสุทธิ์ เพราะตราบใดที่ยังครองขันธ์5อยู่นี้
    และยังค้นหาความเลวของตนเองต่อไป
    รู้เมื่อไหร่ เห็นเมื่อไหร่ ก็จะวางลงตรงนั้น เดี๋ยวนั้น

    แต่ก่อนจะหมดลมหายใจในชาตินี้ ผมจะขอละปล่อยวางกับทุกสิ่ง
    ที่เราเรียกกันว่า สมมุติทั้งหลาย ทั้งปวง
    จึงขอสละขันธ์๕ โลกธรรม๘ ธรรมะทั้งปวง แม้นกระทั่งดวงจิตที่เราคิดว่าเป็นของเรา
    ก็สละทิ้งแทบทั้งสิ้น

    ***สรุปแล้ว ชาตินี้จะไม่ขอนำอะไรกลับไป ไม่มีอะไรที่น่าเป็นห่วง
    เพราะว่า ภพนึง หรือชาตินึง จึงเปรียบเสมือนขั้นบันไดมนุษย์ของเราเท่านั้นเอง
    ที่เราเองก็จะต้องก้าวข้ามให้พ้นกันด้วย

    ผู้เขียนจึงขอเพียงแต่ คำว่า ความว่าง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 15 กรกฎาคม 2012
  15. แสงจันทร

    แสงจันทร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มกราคม 2012
    โพสต์:
    156
    ค่าพลัง:
    +2,618
    สวัสดีค่ะครูภู ครูเพ็ญ ครูดัช ครูน้องหนู ครูวิทย์ ครูนก ครูลูกหว้า ครูลูกพลัง ครูนิวเวป ครูจารุณีและทุกท่าน หลายวันมานี้ไม่ได้เข้ามาสวัสดีเนื่องจากมีปัญหาบางอย่างเกิดขึ้นกับตัวเอง ถือว่ามันเป็นประสบการณ์อย่างหนึ่งในชีวิตค่ะ มันเกิด เรารู้ เราวาง เดี๋ยวมันก็ดับไปตามกฎแห่งความจริง หลายท่านอาจจะสงสัยว่าสิ่งที่เกิดขึ้นมันคืออะไร เพราะมนุษย์ชอบสงสัยอยู่แล้ว แสงจันทรขอบอกว่าอย่าสงสัยกันเลยเพราะถ้ากล่าวออกไปมันจะพาดพิงไปถึงบุคคลที่สาม ทำให้เกิดวจีกรรมได้ ตัวเองอโหสิกรรมให้เขาเหล่านั้นไปแล้วนับแต่วินาทีที่รู้ ต้นเหตุที่เกิดเพียงแค่ความโลภเท่านั้น

    ดังนั้นวันนี้เลยอยากจะพูดเกี่ยวกับความโลภ ความโลภคือความอยากได้ ถ้าสิ่งที่อยากได้สามารถหาเองได้ไม่เดือดร้อนตัวเองหรือใคร มันมิใช่ความโลภ แต่หากเมื่อใดที่ความต้องการในสิ่งที่ไม่ใช่ของตนเองแล้วไซร้ และต้องทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งเหล่านั้น นั่นคือความโลภ ความโลภนี่เองไม่เข้าใครออกใครแม้แต่ผู้ที่ปฏิบัติจนได้ญาณ แต่เพราะการหลงในญาณ หลงในกิเลส จึงทำให้มัวเมาหาสิ่งที่คิดว่าเมื่อได้มาจะช่วยเสริมบารมีตนเอง จริงหรือ? การสร้างเสริมบารมีอยู่ที่วัตถุสิ่งของหรือ? มิใช่อยู่ที่การปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบหรือ? วัตถุ เสื่อมได้ แตกสลายได้ ใยจึงต้องยึดวัตถุด้วย ที่เขียนมานี้มิได้ต้องการปรามาสผู้ใด มิได้สงสัยด้วย เพียงแต่สิ่งที่ประสบอยู่ในขณะนี้มันเหลือเชื่อ จนทำให้ขันธ์5มีปัญหา ช่างเถอะ ขันธ์5มีปัญหาไม่เป็นไร เพราะทุกอย่างมีเกิด มีดับอยู่ตลอดเวลา ใครทำเรา เราอโหสิให้ ไม่จองเวร แผ่เมตตาให้เผื่อว่าถ้าเค้ารับรู้ได้ อาจจะทำให้มีสติกว่านี้ ไม่ถูกกิเลสเข้าครอบงำอย่างมากมาย จนสิ่งที่อุตสาหะ เพียรจนได้ญาณมาแล้วแต่มาติดกับหลงวังวนกับสิ่งนั้น เพราะแสงจันทรได้เข้ามากระทู้นี้ ได้มาฝึกฝนจิตกับกระทู้นี้จึงสามารถที่จะวางจิตได้แม้ว่าจะเป็เพียงระดับหนึ่งก็ตาม จึงต้องขอขอบพระคุณครูภู ครูเพ็ญ ครูดัช ครูวิทย์ ครูลูกพลัง ครูน้องหนู ครูนก ครูนิวเวป ครูจารุณีและทุกท่านที่มีส่วนร่วมในการหาธรรมะต่างๆมาให้ คอยชี้แนะ เตือนสติทุกวัน พระพุทธเจ้า(ท่านพ่อ) สอนให้มีสติในทุกเรื่องราวด้วยจิตที่บริสุทธิ์ ด้วยการปฏิบัติจิตเพื่อการปล่อยวาง ทุกสิ่งล้วนอนิจจัง ..........
     
  16. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    ***ขออนุญาตย่น เพราะผมก็ยาว
    ขอโมทนาสาธุด้วยครับ
    จิตยก จิตบุญแล้วจะไปกลัวอะไรอีก
    ไม่มีคำว่า เกรงหรือว่ากลัวกันแล้ว
    อายตนะทั้ง6 โลกสร้างมาให้พวกเรา เราจะปิดทั้งหมดก้ไม่ได้
    ชนมันไปอย่าหลบ นี่คือบททดสอบของจิตบุญอย่างดี
    แต่ถ้าไม่มีอะไรมาทดสอบจิตตนเอง แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่า จิตยกนั้น
    ต้องสอบอารมณ์ให้ผ่าน แต่ถ้าใครไม่ผ่าน ผมจะให้ไปเรียนใหม่
    เรียนซ้ำชั้น(ลูกหว้าระวังให้ดี) ฮ่าๆ
    เพราะจิตบุญนั้น จะผ่านเป็น ผ่านตายกันแทบทุกคน
    จิตบุญท่านไหนที่ยังไม่ผ่าน คำว่า ผ่านเป็น ผ่านตายกันมั้ง ระวังนะ!
    วันนั้นอาจจะใกล้เข้ามาแล้ว สตินะ สติ สติมาก สติครบจึงจะรอด
    ขนาดพระอรหันต์ท่านก็ยังต้องสร้างสติอยู่บ่อย ถึงมากไปจนถึงเข้าฌานสมาบัติ
    เพราะฉะนั้นถ้าใครจิตบุญแล้ว ให้หมั่นทรงฌานต่ำไว้เป็นดี เพราะฌานต่ำนั้น
    เสมือนมีสติสัมปชัญญะเลย เพราะเวลามีอะไรมากระทบจะไม่ค่อยจะสั่นไสว
    คือไม่มีผลอะไรต่อจิต

    แต่ถ้าจิตบุญสอบไม่ผ่านกันนะ เสียชื่อวิชาจิตเกาะพระหมด

    เดี๋ยวพี่ภูปิดสำนักงานใหญ่นะ ฮ่าๆ เพราะไม่รู้ว่าจะสอนทำไม
    ในเมื่อจิตตั้งอยู่เหนือขันธ์5แล้ว เราไม่ยินดี ยินร้ายกับขันธ์ของตนแล้ว
    ไม่ว่าจะดีหรือไม่ดี มากระทบจิต เราก็กำหนดรู้ๆไป รู้แล้ว กระทบแล้ว ก็ให้พวกเรานึกถึงพระไตรลักษณ์กันเข้าไว้
    หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน ท่านสำเร็จเป็นพระอรหันต์ ตรงที่ท่านจบทุกธรรม อะไรก็ตามที่มากระทบจิตนั้น กำหนดรู้ หรือพิจารณาลงมันตรงธรรมนี้เลย นั่นก็คือ กฎพระไตรลักษณ์ ทุกสิ่งมันไม่มีอะไรเที่ยง ทุกข์อย่างล้วนเป็นทุกข์แทบทั้งสิ้น โดยเฉพาะร่างกาย และก็ไม่มีอะไรมีอยู่จริงๆ ก็คือ อนัตตา ไม่มีตัวตน ไม่มีเขา ไม่เรา ไม่มีของเขา ไม่มีของเรา ทั้งนั้น

    จิตคนจะดีแค่ไหนก็โดนถูกกระทบจนได้แหล่ะ! ไม่ต้องกลัว
    ดูง่ายๆพระพุทธเจ้าของพวกเรา หรือในหลวงที่รักของปวงชนชาวไทย
    ท่านก็ยังโดนเลย หรือถึงคุณจะจิตเป็นอรหันต์ คุณก้หนีไม่พ้นกรรมตรงนี้
    จะรีบไหน จะรีบไปไหน ไปพระนิพพานหรือครับ ให้กรรมไม่ดีมันขอแก้แค้น ล้างแค้นกันหน่อย...อิอิ
    หลวงพ่อจรัญ ฐิตธัมโม วัดอัมพวัน จ.สิงห์บุรี ท่านยังโดนรับกรรมของท่านที่กระทำมาไม่ดีในครั้งอดีต เล่นท่านแทบตาย เพราะตอนเป็นเด็กไปรับจ้างต้มเต่าให้กับคนขี้เหล้า (ตามที่ท่านเล่ามาเพื่อธรรมาทาน)

    ***ขอเอาใจช่วยนะครับ ขอให้สอบผ่าน รู้แล้ว ก็วางทั้งหมด อย่าถือให้หนักเลย และหมั่นเจริญพรหมวิหาร4 เข้าไว้
    แต่ถ้าเราให้อภัยคนอื่นไม่เป็น เราก็จะขาดความเมตตา
    โมทนาบุญอีกครั้งนึง ที่มีคนให้คุณมาสร้างบุญ สร้างบารมีแห่งตน
    คุณตัดสินใจดีแล้ว นั่นก็แสดงว่าคุณยังมีสติดีอยู่ ดีแล้วครับ
    สำหรับท่านอื่นก็พยายามหมั่นสร้างสติกันให้มากๆ แต่ถ้าพวกเราไม่มีสติ หรือมีสติไม่เตรียมพร้อม มีสติไม่มากกันนะ ส่วนใหญ่ก็มักจะหลุด
    น๊อดหลุด สติแตก ต่อไปอีกหน่อยก็ หัวแตก
    หัวแตกยังดีนะ ยังมีที่ให้หมอเย็บ แต่ใจแตกนี่สิ น่าเป็นห่วง เพราะหมอหรือพระเย็บให้ไม่ได้ คนๆนั้นเท่านั้นที่จะต้องแก้ไขจิตของตนเอง
    เพราะไม่มีผู้ใดไปแก้ไขจิตคนอื่นได้ นอกเสียจากตนเอง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 15 กรกฎาคม 2012
  17. ลูกพลัง

    ลูกพลัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    413
    ค่าพลัง:
    +8,932
    บารมี 10ทัศ & 30ทัศ

    คัดลอกมาให้ได้อ่านกันนะครับ..

    ------------------------------------------
    บารมี 10 

    บารมีี แปลว่า กำลังใจเต็ม บารมี 10 ทัศ มีดังนี้
    1. ทานบารมีี จิตของเราพร้อมที่จะให้ทานเป็นปกติ
    2. ศีลบารมี จิตของเราพร้อมในการทรงศีล
    3. เนกขัมมบารมี จิตพร้อมในการทรงเนกขัมมะเป็นปกติ เนกขัมมะ แปลว่า การถือบวช แต่ไม่ใช่ว่าต้องโกนหัวไม่จำเป็น
    4. ปัญญาบารมี จิตพร้อมที่จะใช้ปัญญาเป็นเครื่องประหัตประหารให้พินาศไป
    5. วิริยบารมี วิิริยะ มีความเพียรทุกขณะ ควบคุมใจไว้เสมอ
    6. ขันติบารมี ขันติ มีทั้งอดทน อดกลั้นต่อสิ่งที่เป็นปฏิปักษ์
    7. สัจจะบารมี สัจจะ ทรงตัวไว้ตลอดเวลา ว่าเราจะจริงทุกอย่าง ในด้านของการทำความดี
    8. อธิษฐานบารมี ตั้งใจไว้ให้ตรงโดยเฉพาะ
    9. เมตตาบารมี สร้างอารมณ์ความดี ไม่เป็นศัตรูกับใคร มีความรักตนเสมอด้วยบุคคลอื่น
    10.อุเบกขาบารมี วางเฉยเข้าไว้ เมื่อร่างกายมันไม่ทรงตัว ใช้คำว่า "ช่างมัน" ไว้ในใจ

    บารมี ที่องค์สมเด็จทรงให้เราสร้างให้เต็ม ก็คือ สร้างกำลังใจปลูกฝังกำลังใจให้มันเต็มครบถ้วนบริบูรณ์สมบูรณ์ 
    บารมีในขั้นต้นกระทำด้วยจิตอย่างอ่อนเป็นขั้นพระบารมี เมื่อจิตดำรงบารมีขั้นกลางได้ เรียกว่า พระอุปบารมี และเมื่อจิตดำรงบารมีขึ้นไปถึงที่สุดเลย เรียกว่า พระปรมัตถบารมี หรือบารมี 30 ทัศ หรือมีศัพท์เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า พระสมติงสบารมี หมายถึง พระบารมีสามสิบถ้วน ซึ่งเป็นธรรมพิเศษหมวดหนึ่ง มีชื่อว่า พุทธกรณธรรม เป็นธรรมพิเศษที่กระทำให้ได้เป็นสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้่า พระโพธิสัตว์ที่ต้องการจะเป็นพระพุทธเจ้า ต้องบำเพ็ญธรรมหมวดนี้ หรือมีชื่อหนึ่งเรียกว่า โพธิปริปาจนธรรม คือธรรมสำหรับพระพุทธภูมิ หรือชาวพุทธเราทั่วไปเรียกว่า พระบารมี หมายถึง ธรรมที่นำไปให้ถึงฝั่งโน้น คือ พระนิพพาน
    - ทาน การให้ เป็นการตัดความโลภ
    - ศีล เรามีก็ตัดความโกรธ
    - เนกขัมมะ เป็นการตัดอารมณ์ของกามคุณ
    - ปัญญา ตัดความโง่
    - วิริยะ ตัดความขี้เกียจ
    - ขันติ ตัดความไม่รู้จักอดทน
    - สัจจะ ตัดความไม่จริงใจ มีอารมณ์ใจกลับกลอก
    - อธิษฐาน ทรงกำลังไว้ให้สมบูรณ์
    - เมตตา สร้างความเยือกเย็นของใจ
    - อุเบกขา วางเฉยเข้าไว้ในเรื่องของกายเรา


    การเทียบบารมี
    บารมีจัดเป็น 3 ชั้น คือ
    1. บารมีต้น
    2. อุปบารมี
    3. ปรมัตถบารมี

    1. บารมีต้นในขั้นเต็ม ท่านผู้นี้จะเก่งเฉพาะทาน กับ ศีล แต่การรักษาศีลของบารมีขั้นต้นจะไม่ถึงศีล 8 และจะยังไม่พร้อมในการเจริญพระกรรมฐาน กำลังใจไม่พอ อาจจะไม่ว่างพอหรือเวลาไม่มี
    2. อุปบารมี เป็นบารมีขั้นกลาง พร้อมที่ทรงฌานโลกีย์ ท่านพวกนี้จะพอใจการเจริญพระกรรมฐาน และทรงฌาน แต่ยังไม่ถึงขั้นวิปัสสนา ยังไม่พร้อมที่จะไปและไม่พร้อมที่จะยินดีเรื่องพระนิพพาน พร้อมอยู่แค่ฌานสมาบัติ
    3. ปรมัตถบารมี ในอันดับแรกอาจจะยังไม่มีความเข้าใจในเรื่องนิพพาน พอสัมผัสวิปัสสนาญาณขั้นเล็กน้อย อาศัยบารมีเก่า ก็มีความต้องการพระนิพพาน จะไปได้หรือไม่ได้ในชาตินี้นั้นไม่สำคัญ เพราะการหวังนิพพานจริงๆ ต้องหวังกันหลายชาติจนกว่าบารมีที่เป็นปรมัตถบารมีจะสมบูรณ์แบบ
    -------------------------------------------

    การจะบำเพ็ญเสริมสร้างบารมีใดๆก็แล้วแต่ ล้วนแต่ต้องเกิดขึ้นมาจากการลงมือ"ปฎิบัติ" เท่านั้น..(ไม่มีข้อยกเว้น)
    การได้แต่นั่งอ่านหรือนั่งหวังแต่พระนิพพานโดยไม่ลงมือปฎิบัติเลยนั้น คงไม่อาจที่จะเสริมสร้างบารมีใดๆให้เกิดขึ้นได้..ฉันใด
    กฎแห่งกรรม(การกระทำ) ก็ย่อมส่งผลที่จะให้เป็นไปตามนั้นๆ
    เปรียบดั่งเราแค่นั่งดูเพื่อนทานข้าว เราจึงไม่มีทางที่จะอิ่มได้..ก็ฉันนั้นแล

    ขอให้ทุกๆท่านเจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไปด้วยเทอญ.. สาธุสวัสดี
     
  18. Wittayapon

    Wittayapon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    1,075
    ค่าพลัง:
    +19,233
    ฝนตก ... จิตอย่าตก

    สวัสดีครับทุกท่าน ตอนนี้แถวบ้านผม ฝนตก แรง และ ต่อเนื่องนานมากแล้ว

    ด้วยสายฝนที่กำลังสาดอย่างมั่นคงในกำลัง และ สายลมที่พัดเหมือนช่วยกันสอดประสานให้ทรงพลังอย่างมหาศาล

    นี่ละครับ ธรรมชาติ ที่ทรงพลัง ที่เราไปอาจหาญท้าทาย หวังเอาชนะธรรมชาติให้ได้

    เหมือน เด็กเตรียมอนุบาล กำลัง เตรียมการต่อกรกับ ดอกเตอร์
    โดยที่ตัวเองไม่รู้เลยว่า เราไม่สามารถ เอาชนะได้เลย

    ฝน .... มักจะตกลงจากที่สูงลงที่ต่ำ เสมอ


    แต่จิตเรา อย่าให้เป็นดังเช่นน้ำฝนนะ
    ขอให้เราเป็นดังใบบัวที่อยู่กับน้ำได้


    น้ำจะขึ้น ก้านบัวก้อจะยืดต้นให้สูงขึ้นตามน้ำ
    เมื่อน้ำลง มันก้อจะหดตาม ..

    เม็ดสายที่สาดอย่างรุนแรงลงกระทบใบบัว ใบบัวมิได้ต้านทาน ท้าสายฝน มันเพียงรับฝนและให้มันไหลผ่านไป
    เปรียบเหมือน จิตใจเรา ที่ยังต้องอยู่ในธรรมชาติ ยังต้องเจอสิ่งกระทบมากมาย ที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ แต่ใบบัวนั้นมิเคยเก็บน้ำไว้ น้ำเพียงแค่กระทบ และวิ่งผ่านไหลลงสู่บึงต่อไป

    จิตเราก้อเช่นกัน มีอะไรมากระทบ ก้ออย่าไปเก็บ ไปจับมันไว้นะครับ
    ปล่อยให้มันมา และอยู่กับมัน รับรู้มัน เข้าใจมัน อย่าไปจับให้มันทุกข์นะครับ

    ใครเค้าจะปล่อยจิตให้หลงไปตามกระแสแห่งกิเลส วิ่งไหลลงที่ต่ำเรื่อยๆ ก้อปล่อยเขา

    แต่เรา ผู้พร้อมที่จะแจ้ง

    จงทำตัวให้ตรงข้ามกับเขานะ

    เขาไหลลง แต่ .... เราจะยกดวงจิตเราขึ้น

    เราจะอยู่อย่างที่ควรจะเป็น

    อยู่เหนือกระแสโลก อยู่ในกระแสธรรม

    ลงจะตก น้ำจะท่วม โลกจะแตก คนจะฆ่ากันตาย ... ก้อ ให้มันเป็นไป
    แต่ จิตเราอย่าไปหลงกับกระแสเหล่านั้น อยู่กับเรา อยู่กับพระ อยู่กับปัจจุบัน แบบพร้อมรับทุกอย่างที่จะเกิดขึ้น ด้วยสติ

    ฝนตกก้อมีหยุด ไม่มีวันที่จะตกตลอดกาล

    แต่จิตนั้น ถ้ายังหลงกับสิ่งที่เกิดโดยไม่มีสติ มันก้อคงจะตก เช่นนั้น เรื่อยไป ตามกระแสและสิ่งกระทบต่างๆ

    ฝนตก มันล้างสิ่งสกปรกไป

    เราก้อมาล้างใจ ล้างจิต ไปพร้อมกับสายฝนกันนะครับ

    ล้างกิเลส ล้างสิ่งไม่ดี ออกไป

    เปิดตา เปิดใจ ยกจิตให้อยู่เหนือกิเลส ....

    มาทำจิตเกาะพระกันนะ

    ฝนตก ... จิตจะได้ไม่ตก

    สวัสดีครับ

    วิทย์ จบ.11 (15 กค 55)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 กรกฎาคม 2012
  19. Wittayapon

    Wittayapon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    1,075
    ค่าพลัง:
    +19,233
    ล้างใจ

    ขอล้างใจเธอจากเขา(กิเลส) ให้ออก

    วันนี้เรามาล้างใจกัน

    (ใครทันเพลงนี้ แสดงว่า ยังวัยรุ่นอยู่ 55555)
    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=12x939DkWg8]YouTube - ล้างใจ - อนันต์ บุนนาค.mp4 - YouTube[/ame]
     
  20. Wittayapon

    Wittayapon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    1,075
    ค่าพลัง:
    +19,233
    เพลงนี้มอบให้ พ่อใหญ่ภู แห่งบ้าน....

    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=sibEEkSaN8Y]หยดน้ำบนใบบัว - จีวันBAND - YouTube[/ame]
     

แชร์หน้านี้

Loading...