จิตพร้อม? รับภัยพิบัติ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย ภูภู, 6 เมษายน 2012.

  1. dutchanee

    dutchanee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    1,127
    ค่าพลัง:
    +12,745
    จะปิดกันดื้อๆเลยเรอ ไม่สงสารใครๆที่มีจิตมีใจจะไปนิพพานกันเรอ เอาน่า อีกซักยกแล้วกัน............
    ชาวโลกทิพย์ ที่ท่านยกกันไวไปกันเร็วเช่นนี้เพราะบุญบารมีท่านมีอยู่กันเต็มตัก ละอัตตาตัวเดียววิ่งกันจู๊ด ยิ่งชาวบังบดนี่อัตตาไม่เยอะก้อไปกันหลายดวงจิตเชียว
    มนุษย์เรอ......เฮ้อ หนอ.......
     
  2. dutchanee

    dutchanee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    1,127
    ค่าพลัง:
    +12,745
    55555 สูตรนี้คือ จะจนขนาดไหน แต่ใจเรารวย จิตเราสวย ด้วยมีท่านพ่อ
     
  3. dutchanee

    dutchanee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    1,127
    ค่าพลัง:
    +12,745
    ยอมไม่ได้นา อุตส่าห์แนะทางกันมาตั้งเยอะแร๊ว
    จิตเกาะพระงัย
     
  4. dutchanee

    dutchanee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    1,127
    ค่าพลัง:
    +12,745
    เกาะอย่างเดียวไม่ได้นา เห็นเจ้าของกระทู้ประกาศปล่อยเกาะอยู่ปาวๆ
    เข้ามารายงานการปฎิบัติด้วยจิ ทางเมลล์ก้อได้ ครูใหญ่พร้อม หุหุ
     
  5. dutchanee

    dutchanee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    1,127
    ค่าพลัง:
    +12,745
    โมทนาสาธุและกราบนมัสการหลวงพ่อเจ้าค่ะ
     
  6. dutchanee

    dutchanee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    1,127
    ค่าพลัง:
    +12,745
    โมทนาสาธุกับท่านพี่เจ้าค่ะ นี่ถ้าตั้งสติไม่ดีแบบ ดชน กระแทกลงมากลางอก ตัวกระเด้งหายใจเหมือนคนฟื้นตายเชียวนะ หุหุ ว่าแล้วก้อหนุกดีนะ
     
  7. Linda2009

    Linda2009 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    956
    ค่าพลัง:
    +9,998
    โฮ่ๆ ขอบคุณค่ะคุณ ดชน. ที่สะกิด ใช่ยอมไม่ได้ค่ะ แหม้ เผลอกำลังใจตกไปแป๊บนึง :'(
     
  8. dutchanee

    dutchanee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    1,127
    ค่าพลัง:
    +12,745
    รู้ตัวอีกว่า กำลังใจตก แห๊ม..ให้ได้อย่างนี้สิ อย่างนี้สิ อย่างนี้สิ คริสติน่า อากีล่า เอ๊ย พวกครูๆดีใจตายเลย
     
  9. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    จะเฉลยให้กันฟังก็ได้นะว่า
    ทำไม???
    เหล่าเทวดา นางฟ้า พรหม หรือว่า บังบด ถึงได้ยกจิตกันไว

    ก็เพราะว่าศีลเขาครบสมบูรณ์ดีอยู่แล้ว
    กำลังใจ หรือบุญ บารมีก็พร้อมแล้ว
    เพียงแต่ไม่มีใครไปโปรดพวกเขาเท่านั้นเอง

    และไม่สงสัยกันบ้างหรือว่า
    ทำไมเหล่าเทพเทวาอารักษ์ หรือพรหม หรือบังบดก็ตาม ถึงได้ชอบมาฟังธรรมะจากพระอริยเจ้า(มิใช่สมมุติสงฆ์) หรือ อริยบุคคล(มิใช่ปุถุชน)
    แต่ถ้ามีผู้ใดไปสกิดประตูนิพพานให้กับเขา

    เหมือนบุคคลที่ไปฟังธรรมะของพระพุทธเจ้าเพียงครั้งเดียวเอง
    บางท่านถึงได้สำเร็จเป็นพระโสดาบันปฎิมรรค หรือผล หรือสามารถบรรลุเป็นพระอรหันต์กันได้เลย

    คนแตกต่างจากมนุษย์กันที่ศีลนะ อย่าลืม
    แต่ถ้าไม่อยากเป็นมนุษย์(มิใช่คน)กันละก้อ ให้รักษาศีลให้ครบก่อน
    คำว่ามนุษย์ จึงมิใช่คน เพราะถ้าเป็นมนุษย์(ผู้ประเสริฐ)นั้น จะต้องมีคุณสมบัติเป็นคนดี ก็คือ ผู้รักษาศีล
    เมื่อเรารักษาศีลดีกันแล้ว ต่อไปธรรมะก็จะตามมาเอง

    เหมือนบุคคลที่มีศีลแล้ว จิตใจก็จะนิ่ง เกิดสมาธิ
    เมื่อจิตเป็นสมาธิกันแล้ว ปัญญาก็จะเกิดขึ้นเอง

    แต่อยู่ดีๆจะให้ศีล สมาธิ ปัญญามาครบเลยนั้น impossible
    จึงเป็นไปไม่ได้
    แล้วพวกเราจะทำอย่างไร และจะเริ่มที่ไหน อย่างไร
    (ตอบว่า) เราจะต้องเริ่มต้นที่ตัวสติก่อน
    ถามว่าอยู่ดีๆสติเกิดขึ้นได้ไหม?
    (ตอบว่า) ได้ แต่ไม่เพียงพอ เพราะสติขาดตลาด...อิอิ
    พวกเราจะต้องเจริญสติภาวนา หรือทำความรู้สึกตัวกันเยอะๆ

    เมื่อคนเรามีสติกันมากขึ้น และมากจนเป็นสติสัมปชัญญะกันก็ยิ่งดีใหญ่
    คือ กำลังใจ หรือบุญ บารมีของเราจะได้เต็มกันไวๆ
    สติ คือ ศีล
    ศีลก็ คือ สติ
    แต่ถ้าเรามีสติมากกันแล้ว พวกเราคอยสังเกตกันดูดีๆนะว่า เราจะรักษาศีลกันง่าย
    แต่ถ้าผู้ใดไม่ค่อยจะมีสติกัน ศีลมีกี่ข้อ พวกเราก็รักษาศีลกันไม่ได้
    เพราะเราไม่รู้สึกตัว ในขณะที่ดำรงชีวิตกันอยู่

    สรุปแล้ว ถ้าผู้ใดไม่มีสติ ศีลก็จะไม่ค่อยอยู่กับเรา เช่น ศีลขาดบ้าง ศีลผุบ้าง ศีลไม่ครบบ้าง เป็นต้น

    แต่พวกเราถ้ามีสติกันมากๆนะ ใจเราก็จะดีตามไปด้วย
    เมื่อเรามีจิตใจกันดี การสำรวมกาย วาจา ใจ จึงดีตามไปด้วย
    โดยที่เราไม่ต้องมาระแวงว่าศีลของเราจะขาด ผุ แหว่งกันหรือไม่

    ลองไปพิจารณากันดูให้ถ่องแท้กันนะครับ
    ขอบพระคุณมาก

    ว่าจะพร่ำให้น้อยๆ ก็กลับกลายเป็นยาว
     
  10. NOKMAM

    NOKMAM เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    300
    ค่าพลัง:
    +6,157
    สหายเอ๋ย "ตัวเรา" มิได้มี
    แต่พอเผลอ "ตัวเรา" มี ขึ้นมาได้
    พอหายเผลอ "ตัวเรา" ก็หายไป
    หมด"ตัวเรา" เสียได้ เป็นเรื่องดี

    สหายเอ๋ย จงถอน ซึ่ง"ตัวเรา"
    และถอนทั้ง "ตัวเขา" อย่างเต็มที
    ให้มีแต่ ปัญญา และ ปรานี
    อย่าให้มี "เรา-เขา" เบาเหลือเอย

    ท่านพุทธทาสภิกขุ
     
  11. ธรรมมณี

    ธรรมมณี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,044
    ค่าพลัง:
    +14,027

    ธรรมะในห้องน้ำ


    วันนี้หว้าได้ล้างห้องน้ำ คิดไป คิดมาหลายเรื่อง
    แต่มีเรื่องนึึงที่อยากจะบอกทุกท่านว่า...




    จิตเราเปรียบเสมือนห้องน้ำ
    จิตแท้ของเราเหมือนห้องน้ำในบ้านที่สร้างใหม่ๆ
    เมื่อจิตเกิดมาหลายพบชาติก็ถูกกิเลสเกาะ เปรียบเสมือนคราบสกปรกที่เกาะอยู่ในห้องน้ำ
    เมื่อจิตทุกข์ก็วิ่งหาที่ปลดทุกข์ ก็เหมือนกับห้องน้ำที่รองรับทุกข์ทางกาย
    เมื่อจิตมีสุขก็อิ่มเอมใจ เหมือนได้ชำระล้างร่างกายให้สดชื่นในห้องน้ำ


    เมื่อห้องน้ำสกปรกก็คิดจะล้าง ทำความสะอาด
    เมื่อคิดจะล้างความสกปรกในห้องน้ำ ก็ควรล้างกิเลสออกจากใจด้วย
    คราบสกปรกที่ล้างง่ายก็ใช้แรงน้อย กิเลสที่เกาะใจบางเรื่องเป็นเรื่องละได้ด้วยตัวเองก็ควรละ
    ส่วนคราบสกปรกที่ฝังลึกๆ ในห้องน้ำก็ต้องใช้แรงขัดมากตามความลึก
    เปรียบเสมือนจิตที่ต้องมีจิตเกาะพระ คิดถึงพระให้เป็นแรงช่วยในการกำจัดกิเลสให้ออกไปจากจิตให้หมดสิ้น

    คนขี้เกียจ คนมักง่ายจะขัดพื้น ขัดคราบแบบผ่านๆ เหมือนคนที่ไม่มีความเพียรในการคิดถึงพระ
    คนขยันเมื่อได้ทำอะไรก็ต้องทำให้ดี คือมีความเพียรในการฝึกจิตเกาะพระเพื่อจะได้มีแรงใจ แรงกายในการขัดห้องน้ำ ขจัดกิเลส

    การล้างห้องน้ำเป็นการทดสอบสติ
    ถ้าไม่มีสติก็ล้างห้องน้ำได้ครึ่งๆ กลางๆ ไม่รู้จะล้างอันไหนก่อนหลัง
    ถ้ามีสติดีก็จะล้างเสร็จได้โดยไว


    ห้องน้ำก็เหมือนจิต
    ยิ่งขัดห้องน้ำได้สะอาดเท่าไร จิตที่ถูกขจัดกิเลสให้หมดไปก็ยิ่งใสสะอาดเท่านั้น
    เมื่อจิตสะอาด จิตบริสุทธิ์ก็เปรียบเสมือนห้องน้ำใหม่ในบ้านที่สร้างใหม่เช่นเดิม


    ธรรมะมีอยู่ทุกที่ เราคิดถึงพระได้ทุกเวลา
    ยิ่งทำความดี ยิ่งคิดถึงพระ
    ยิ่งทำความชั่ว ยิ่งต้องคิดถึงพระ






    วันนี้ท่านล้างห้องน้ำหรือยัง?​

    โอ้โห..คุณน้องหว้าขา พี่เกษอ่านแล้วมันโดนจายยยเหลือเกินค่ะ(คงไม่สายเกินไปที่จะทัก55 เพราะตามแอบไล่อ่านในกระทู้เพิ่งมาเจอค่ะ คือว่า หายไปนานอิๆๆ แต่ไม่ทิ้งน่ะค่ะ ยังคิดถึงอยู่เสมอ) ก็พอดีว่าตัวเองก็ชอบล้างห้องน้ำ ไม่รู้เป็นไร ชอบให้ห้องน้ำสะอาดอยู่เสมอ พออ่านแล้ว มันคือกันแท้หล่ะ พี่ภูบอกอยู่ว่าเฮ้าเป็นคนบ้านเดียวกัน ให้เอื้อยมาเว้ากับโต๋ มาถามโต๋ เดี๋ยวเอื้อยส่งเมล์หาเด้อ บาดนี้หล่ะจิได๋เว้าอิสานกันบักคักๆ 55+
    <!-- google_ad_section_end -->
     
  12. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    แอบนำกระทู้ บินเกาะหมู เอ๊ย! บินเกาะหมู่จากห้องโน้นมาให้อ่านกัน
    เผื่ออาจจะเป็นประโยชน์สำหรับญาติสันติธรรม หรือกัลยาณมิตรกันบ้าง


    โมทนา สาธุจ้า
    ค่อยบอกค่อยเตือนกันไปด้วยจิตเมตตาจ้า
    พี่เพ็ญนี้จิตมันนิ่ง ๆ โลกของฉันมีแต่ความสุข
    ใครจะมาห้ามฉันไม่ให้หัวเราะ โฮ๊ะ คงเป็นไปไม่ได้
    แต่ทุกวันนี้ก็หัวเราะอยู่คนเดียวล่ะนะ
    ถามตัวเองทุกวัน แกจะบ้าหรือไงฟ๊ะ
    ยังสติดีอยู่ป่าว สติก็บอกว่าฉันยังสบายดีอยู่จ้า
    เฮ้อ ค่อยังชั่ว
    อ่านเมลแล้วขำ จิตมันรู้ว่าขำเป็นอย่างนี้
    แต่ไม่เห็นตัวปรุงแต่งจ้า(หมายถึงตัวปรุงแต่ง-สังขารมันตายด้านไปแล้วอ่ะ)
    ฟุ้งมีไหม?
    มีจ้า ใจมันก็ยังมีคิดมีฟุ้ง
    แต่จิตไม่เอากะฟุ้งจ้า
    มันเบื่อฟุ้ง
    พอจิตมันเบื่อ มันก็ไปหาอย่างอื่นทำ ที่มันเข้าท่ากว่าฟุ้งหน่อย
    คือไปคิดวิปัสสนามันเสียเลย
    ประมาณว่า...
    เห่ย อั่ยที่แกฟุ้งนี่มันเที่ยงเหรอ...เอ่อ ไม่เที่ยง
    อั่ยที่แกฟุ้งนี่จิตมันสุขสนุกสนานเหรอ...เอ่อ เบื่อคิดง่ะ
    อั่ยที่แกฟุ้งนี่จิตจะเอาไหม มีแต่อกุศลทั้งนั้น...เอ่อ จิตบอกงั้นไม่คิดล๊ะ ไปนึกถึงพระเข้าฌานต่อดีก่า ^^
    สติถามจิตว่าแล้วแกติดฌานไหม?
    จิตตอบว่าไม่ติดจ้า ฉันอยู่กับฌานเหมือนกับที่ชาวโลกเขาอยู่กับกิเลสนั่นแหละ
    คือเป็นปกติดีทุกอย่าง อารมณ์ใจก็นิ่งสบาย ไม่ทุกข์ ไม่ร้อน
    แต่พอมีใครมาชวนคุยเรื่องทางโลกออกแนวนินทาคนโน้นคนนี้
    ขันธ์ห้ามันก็ยังทำงานของมันไปตามปกติ
    แต่สติคอยยับยั้งไม่ให้พูดมากเกินไป
    แต่พูดนินทาคนอื่นมีไหม ตอบว่า มี
    ทำไมจึงมี ทำไมไม่สำรวม
    เอ๊า ก็ขันธ์ห้ามันยังไม่ตายนิ มันก็มีของมันเป็นปกติธรรมดานั่นแล
    จะไปห้ามขันธ์ห้าไม่ให้มันทำในเรื่องของมันคงไม่ได้หรอก
    เราแค่เอาสติไปคอยดูแลไว้อย่าให้มันออกนอกลู่นอกทางมากเกินไปเท่านั้นก็พอแล้ว
    บาปบุญอะไรฉันไม่เอาแล้ว มีเท่าไรทิ้งไว้ที่ขันธ์ห้านี่แหละ
    ไม่แบกขึ้นนิพพานไปด้วยหรอก
    เพราะบุญที่อยู่ข้างบนโน้นมันล้นคฤหาสน์แล้วจ้า
    พอแล้วกับสิ่งที่ได้มาคือ...พระนิพพาน

    พี่เพ็ญ​
     
  13. ธรรมมณี

    ธรรมมณี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,044
    ค่าพลัง:
    +14,027
    Dhammanee

    มาทีหลังตามให้ทันพรรคพวกกันนะ
    บนพระนิพพานยังมีที่ว่างเยอะ ไม่มีภัยพิบัติด้วย
    ส่วนนรกจะไม่มีที่ให้กันอยู่แล้ว แต่สวรรค์ พรหมนั้นก็งานเยอะ คือต้องคอยเก็บดาว
    555...คลายเครียดกันน่ะ

    (ท่านนี้จิตแรงดี แต่ต้องสติแรงด้วยนะ เพราะรถกับเครื่องยนต์จะต้องสัมพันธ์กัน)

    ปล. ขอให้พวกเรานำจิตไปเกาะแต่สิ่งที่ดีๆ หรือที่เรียกกันว่า ฝ่ายบุญ ฝ่ายกุศลกัน (เท่านั้น) กันนะครับ
    <!-- google_ad_section_end -->
    <HR style="BACKGROUND-COLOR: #ffffff; COLOR: #ffffff" SIZE=1>
    แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย ภูทยานฌาน2 : 15-05-2012 เมื่อ 10:36 AM

    หุๆๆ นึกว่าท่านพี่จะลืมชื่อนี้ไปเสียแล้ว ดังเลยตรู อายมั้ยเนี่ย ท่านพี่เล่นกระตุ้นกันกลางอากาสเลย กราบขอบพระคุณคร๊าบบผมมม....ฮึมม์..รถกับเครื่องยนต์ต้องสัมพันธ์กัน....(ถึงแม้จะคลานเหมือนเต่าอยู่ แต่ก็ไม่หยุดนะค๊าาา...)
     
  14. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    อัตตนา โจทยัตตานัง​

    พระพุทธเจ้าทรงเตือน ​

    และสำนักนี้พูดเสมอว่า
    จงเตือนตนรู้ตนอยู่เสมอ ระเบียบมี วินัยมี
    สำนักนี้ถ้าเลวแล้วละก็ไม่ควรจะไปอยู่ที่ไหนเลย ถ้าฟังภาษาคนไม่รู้เรื่องละก็
    จงอย่าไปอยู่ที่ไหนเลย ถ้าที่ดีไม่มีใครเขาคบ เขาฟังธรรมะกันวันละ 4 เวลา แต่ว่าถ้ายังเลวอยู่ แสดงว่าสัตว์เดรัจฉานดีกว่าเราเยอะ
    นี่เราต้องประณามตัวแบบนี้
    เราอย่าไปนั่งมองคนอื่นเขา มองตัวเรา
    นี่เตือนกันทุกเย็น ใครมีความรู้สึกตัวบ้างไหมว่าเราเลว
    ถ้าเลวแล้วไม่เห็นว่าเลว ก็แสดงว่าเรารวมอยู่กับ พระเทวทัต ได้แน่นอน
    นี่เราต้องประนามตัวเราแบบนี้

    คนดีน่ะเขาไม่ยกย่องตัวเอง
    คนดีเขาจะประณามตัวเอง
    เพราะว่า พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า อัตตนา โจทยัตตานัง
    จงพยายามประณามตนไว้เสมอ โจทก็กล่าวโทษ มองหาความผิดของตัวไว้เป็นปกติ
    อย่าไปหาความดี ในเมื่อมันหาความผิดไม่ได้ละมันก็ดีเอง
    ถ้าไม่มีชั่วละมันดี​


    เอ่อ! ไม่ทราบว่า ลูกหลานของหลวงพ่อฤาษีลิงดำยังพอจะจำธรรมะนี้กันได้ไหม๊?
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 23 พฤษภาคม 2012
  15. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089

    คำว่า จิตยก หรือ ยกจิต
    ยังมีอีกหลายท่าน ที่ยังไม่ค่อยจะเข้าใจ

    ผมจะขออธิบายอย่างคร่าวๆก่อน
    เพราะต่อไปนี้พวกเราก็จะได้รู้ว่า จิตของตนเองอยู่ระดับใด
    และผู้ปฎิบัติที่ดีก็ควรมีวินัย กล่าวคือ เราจะต้องไม่ไปเปรียบเทียบว่า จิตเราสูงกว่าหรือว่าต่ำกว่าจิตผู้อื่นเขา
    หรือ จิตผู้อื่นเขาสูงกว่าหรือต่ำกว่าจิตเรา

    ในขณะนี้เรากำลังพูดถึง หรือ เน้นที่เรื่องจิตกันโดยเฉพาะ เน้นบวชจิต(บวชใจ) มิใช่บวชกาย
    สำหรับผู้ที่อยากพัฒนาจิตของตนให้สูงขึ้นไปตามลำดับ
    คนเรามีหลายระดับจิต อันได้แก่
    1. จิตปุถุชน หรือจิตคนธรรมดา
    2. จิตอริยบุคคล
    แต่ในที่นี้ จะขอพูดถึงเฉพาะ จิตอริยบุุคคล ฝ่ายฆราวาส แต่มิใช่จิตอริยบุคคล ฝ่ายสงฆ์
    แต่จิตอริยบุคคลนั้น ก็อาจะแบ่งได้ต่อไปนี้ ก็คือ
    2.1. อริยบุคคล ในเบื้องต้น
    ได้แก่ โสดาบัน และสกิทาคามี
    2.2. อริยบุคคล ในเบื้องสูง
    ได้แก่ พระอนาคามี และอรหันต์​
     
  16. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    เพราะฉะนั้นจิตยก หรือยกจิตในที่นี้หมายถึง
    จิตที่มีศีล5 หรือศีลหยาบครบบริบูรณ์เป็นอย่างต่ำ
    และจิตพร้อมที่จะยกขึ้นเป็น(ระดับจิต) พระโสดาบันเป็นอย่างต่ำ
    หรือที่เราเรียกว่า ผู้มีดวงตาเห็นธรรม
    จิตยกในที่นี้หมายถึง อริยบุคคลในเบื้องต้น ไปจนถึงอริยบุคคลในเบื้องสูง

    จิตปุถุชน
    หมายถึง คนเรามีเพียงแต่ร่างกายที่เป็นมนุษย์กันเท่านั้น แต่จิตยังเป็นมนุษย์กันยังไม่เต็ม 100%
    เพราะการจะเป็นมนุษย์ หรือผู้ประเสริฐกันนั้น พวกเราจะต้องมีศีลครบสมบูรณ์เสียก่อน
    เพราะศีลถือว่าเป็นคุณสมบัติของคนดี (คนดีกับผู้ดี ความหมายจะไม่เหมือนกันนะ)

    จิตอริยบุคคล
    ท่านผู้นั้นเป็นพระโสดาบัน และพระสกิทาคามี
    1.ไม่อาลัยในชีวิตมากเกินไป มีความรู้สึกว่าร่างกายนี้มันจะต้องตาย
    2.ไม่สงสัยในคำสอน ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พร้อมยอมรับปฏิบัติตาม
    หรือ เคารพในพระพุทธเจ้า เคารพในพระธรรม
    เคารพในพระสงฆ์
    3.รักษาศีลครบถ้วน โดยเคร่งครัด

    นักปฏิบัติที่ท่านปฏิบัติกันมา และได้รับผลเป็นมรรคผลนั้น ท่านคอยเอาสังโยชน์ เข้าวัดอารมณ์เป็นปกติ
    เทียบจิตกับสังโยชน์ ว่า เราตัดอะไรได้เพียงใด แล้วจะรู้ผลการปฏิบัติอารมณ์ที่ของละบุคคล นั่นเอง
    สังโยชน์ทั้ง 10 ข้อนี้ ถ้าพิจารณาวิปัสสนาญาณแล้ว จิตค่อย ปลดอารมณ์ที่ยึดถือได้ครอบ 10 อย่าง
    โดยไม่กำเริบอีกแล้ว ท่านว่า ท่านผู้นั้น จะบรรลุอรหัตผล

    สักกายทิฏฐิ ท่านแปลว่า ให้รู้สึกในอารมณ์ของเราว่า ร่างกายนี้ไม่ใช่เราไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในร่างกาย ร่างกายนี้ไม่มีในเรา หรือตามศัพท์ที่เรียกว่า ขันธ์ 5 คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ นี้มันไม่ใช่ของเรา เราไม่่มีในขันธ์ 5 ขันธ์ 5 ไม่มีในเรา

    อารมณ์ของอริยบุคคล​

    อารมณ์ของพระโสดาบัน และพระสกิทาคามี ได้แก่ มีความรู้สึกตามธรรมดาว่า ชีวิตนี้ต้องตาย ไม่มีใครเลยในโลกนี้ที่จะทรงชีวิตได้ตลอดกาล ในที่สุดก็ต้องตายเหมือนกันหมด ใช้อารมณ์ให้สั้นเข้า คือมีความรู้สึกไว้เสมอว่า เราอาจจะตายวันนี้ไว้เสมอ จะได้ไม่ประมาทในชีวิต

    อารมณ์ของพระอนาคามี ได้แก่ มีความรู้สึกเป็นปกติว่า ร่างกายของคนและสัตว์ ตลอดจนวัตถุทุกชนิดเป็นของสกปรกทั้งหมด มีทั้ง อุจจาระ ปัสสวะ น้ำเลือด น้ำเหลือง น้ำหนอง เป็นต้น พยายามทำอารมณ์ให้ทรงจนเกิดความเบื่อหน่ายในร่างกายทั้งหมด

    อารมณ์ของพระอรหันต์ ได้แก่ มีความรู้สึกว่า ร่างกายนี้ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในร่างกาย และร่างกายไม่มีในเรา มีอาการวางเฉยในร่างกายทุกประเภท

    การเดินทางสายเข้าสู่พระนิพพานต้องเป็นคนมีอารมณ์จิตเข้มแข็ง จะไม่ยอมก้มศีรษะให้แก่กรรมทุกอย่าง
    มิฉะนั้นแล้วท่านทั้งหลายก็จะเป็นเหยื่อของนรก เรื่องที่พูดกันถึงพระนิพพานก็ไม่ต้องพูดกัน เราจงรู้ตัวของเรา

     
  17. Plapersia

    Plapersia เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2012
    โพสต์:
    93
    ค่าพลัง:
    +775
    ขอถาม1คำถามค่ะพี่ภู อยู่ดีๆก็นึกสงสัยขึ้นมา เรื่อง....

    กรรมดี กรรมชั่วของแต่ละคนนั้น มีผลต่อการปฏิบัติกรรมฐานนี้หรือไม่

    ในที่นี้หมายถึงว่า มีผลต่อการยกจิตของเราไหม และขอถามเพิ่มอีกว่า มีผลต่อการไปนิพพานหรือไม่

    ที่สงสัยเพราะทิวเพิ่งคุยกับพี่หว้าเรื่อง การแผ่เมตตากับการขอบารมีพระคุ้มครองกายเราไม่ให้สัมภเวสีมายุ่งกะเรา ว่า เราสามารถทำกันได้ทุกคน ไม่เกี่ยวกับว่าจิตยก ไม่ยกกัน ต่างกันที่ คนที่จิตยกนั้นจะมีแสงภายในจิตชัด และมีเกราะค้มภัยที่หนากว่า

    แล้วอีกอย่างนึง ทิวเคยได้ยินว่า คนเราเกิดว่าเป็นคนก็ถือว่ามีบุญส่วนนึงแล้ว(มีสิทธิ์ที่จะปฏิบัติศึกษาพระธรรมเพื่อหนทางไปสู่นิพพาน) แต่เราก็มีเวรมีกรรมที่จะต้องชดใช้เช่นกัน
    ไหนจะเรื่องเจ้ากรรมนายเวรของเราทั้งที่มีกายหยาบและไม่มีกายหยาบ พวกเค้าจะมีผลต่อการไปนิพพานของเราหรือไม่ หากเราแผ่เมตตาให้เค้า จะทำให้เค้าแค้นเราน้อยลงไหม เพราะเคยเข้าใจว่า ทำบุญนั้น ไม่เกี่ยวข้องเลยกับการลดเวรกรรมที่เราต้องเผชิญ การแก้กรรม ไม่มีอยู่ในโลกนี้

    ขอขอบคุณพี่ภูล่วงหน้านะคะ^^ ท่านอื่นๆที่มีความรู้เรื่องนี้ สามารถตอบและให้ความกระจ่างแกทิวได้เช่นกันค่ะ
    ปล.คุณลูกพลังหายไปเลยนะค่ะ topic ของคุณลูกพลังแต่ละอย่างนี่เด็ดๆทั้งนั้น คนนี้ของเค้าดีจริงๆค่ะ
    ปล2. พี่ภูอย่าเพิ่งปิดกระทู้หนีนะคะ ถ้าทิวสงสัยแล้วทิวจะถามใครละค่ะเนี่ย ไหนจะธรรมะจัดหนักที่พี่ภูคอยพิมให้อ่านกันทุกวันอีก :'(
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 พฤษภาคม 2012
  18. Plapersia

    Plapersia เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2012
    โพสต์:
    93
    ค่าพลัง:
    +775
    พี่ภูค่ะ ขออนุญาติหยิบยกบทความดีๆในกระทู้คุณอัญญาสิทธิ์ ที่พี่ภูเคยโพสเอาไว่ก่อนจะมีกระทู้นี้ มาไว้ที่นี่ด้วยนะคะ พอดีกลับไปย้อนดูตัวเองในอดีตมาค่ะ นี่ชั้นเคยจิตตกขนาดนั้นเลยเหรอ ทำไมตอนนี้มันลดลงไปเยอะขนาดนั้น ฮ่าๆ

    ปล.เรื่อง ชั้นเชิงการปฏิบัติทางจิต โดย พระครูเกษมธรรมทัต (สุรศักดิ์ เขมรสี) เพิ่งรู้ว่าตัวเองเคยอ่านมาแล้วรอบนึงแต่ไม่ยักจะเข้าใจเหมือนที่เราอ่านเมื่อไม่กี่วันก่อน ฮ่าๆ

    สำหรับคนที่ต้องการอ่านล่วงหน้าเอง ให้ไปดูประมาณหน้าที่20นะคะ อาจจะได้เห็น คุณnewwave1959 พี่วิทย์-wittayapon คุณLinda2009

    http://palungjit.org/threads/การเตรียมตัว-เตรียมใจ-ไปสู่ยุคภัยพิบัติ.330377/page-20
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 พฤษภาคม 2012
  19. Plapersia

    Plapersia เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2012
    โพสต์:
    93
    ค่าพลัง:
    +775
    29-03-2012, 06:16 AM

    เมตตาและสงสารทุกๆท่านนนะครับ
    ภัยธรรมชาตินั้นไม่มีผู้ใดหลีกหนีพ้นกันได้

    สำหรับผู้ที่มีศีลครบบริบูรณ์แล้ว หมั่นภาวนา ทำจิตให้บริสุทธิ์แล้ว ไม่ต้องกลัวอะไรทั้งสิ้น เพราะไม่ว่าท่านจะอยู่ที่ไหน แห่งหนตำบลใด เดี๋ยวจะมีบางสิ่ง บางอย่างมาดลจิต ดลใจให้ท่านไปอยู่ณ.สถานที่ที่ปลอดภัยเอง เพราะพระท่านได้จัดสรรให้กับทุกท่านเรียบร้อยแล้ว
    เมื่อถึงวันนั้นท่านก็จะทราบเอง

    และสิ่งที่สำคัญที่สุดในขณะนี้ก็คือ ฝึกสติ รักษาศีล5(อย่างต่ำ)ให้ครบ
    หมั่นภาวนา ทำจิตให้บริสุทธิ์ ทำจิตให้นิ่งสงบเสียก่อน คือมีสติให้มาก แต่ถ้าจิตไม่นิ่งดีพอแล้ว ก็เท่ากับจะยิ่งทำให้ตนเองจะตายก่อนภัยพิบัติจะมาถึงกันจริงๆเสียอีก
    ตรงนี้สำคัญฯ
    คือต้องเตรียมจิตตนเองก่อนอื่นใด ก่อนที่จะเตรียมกาย เตรียมสิ่งของอื่นๆ และควรติดตามข่าวสาร แต่ถ้าเห็นเป็นจริงตามนั้น ค่อยว่ากันไป
    นี่ถึงจะเรียกว่า เตรียมการณ์ด้วยสติปัญญา
    ให้ตื่นตัว มิใช่ตื่นตูม คนที่จิตไม่แข็งแรงเมื่อรับข่าวสารไปแล้วจะคิดมาก จะพลอยเสียสติกันก่อนเห็นภัยพิบัติมากันนะ

    แต่ถ้าหลีกเลี่ยงกันไม่ได้ หรือตายขณะที่มีสติดีอยู่ อย่างน้อยที่สุดก็จะไปสุคติภูมิ
    จำไว้นะครับว่า ไม่มีสิ่งใดสำคัญเท่ากับจิตของตนเอง
    เพราะกายตาย แต่จิตไม่ได้ตายตามกายไปด้วย จิตนั้นจะต้องเดินทางไปต่อ
    ส่วนจะไปที่ไหนนั้น คุณเท่านั้นที่จะต้องเป็นฝ่ายตอบตนเอง เพราะเมื่อครั้งที่ท่านยังมีลมหายใจกันอยู่นั้น ท่านไปทำกรรมอะไรมากันบ้าง? ดีหรือชั่ว
    ท่านเองก็รู้อยู่แก่ใจของตนดี นี่คือศีล นี่คือสติ
    มีบาปกับบุญเท่านั้นที่จะนำทางให้ดวงจิตของท่านไปสุคติภูมิ หรือทุคติภูมิ
    ท่านทั้งหลาย ท่านไม่ต้องไปโทษผู้ใดเลย

    โชคดีนะครับ<!-- google_ad_section_end -->


    by ภูทยานฌาน2<!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->
     
  20. Plapersia

    Plapersia เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2012
    โพสต์:
    93
    ค่าพลัง:
    +775
    29-03-2012, 04:23 PM
    ขออนุญาตใช้กระทู้คุณอัญญาสิทธิ์ที่เคารพรักฯ
    ว่าจะไม่แสดงตนแล้วนะ
    อดเมตตาน้องเขาไม่ได้ อุเบกขามีไว้ตอนมีคนมาด่าว่าร้าย หรือนินทาตนเอง
    แต่ไม่อยากเห็นแก่ตัว นั่งอมภูมิคนเดียว สุขใจคนเดียว เห็นผู้อื่นทุกข์ใจไม่ได้ เพราะไม่อยากเป็นคนใจจืดใจดำ
    ขอใช้คำว่าเมตตาแทนก็แล้วกันนะ เพราะเมตตามีความหมายมากกว่าความรักกันทางโลก มากกว่าการเห็นอกเห็นใจกัน
    เพราะยามนี้โลกเรากำลังต้องการคนที่มีความรักแบบเมตตา ช่วยเหลือ เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อกันมากๆ
    จึงอยากแนะนำน้องคนนี้ว่า ขอให้น้องวางใจเป็นกลาง(พูดง่ายทำยาก) แต่ก็ต้องทำนะ เพราะกรรมใคร กรรมมัน เพราะมนุษย์ส่วนใหญ่จะไม่เชื่อกันง่ายๆหรอก จนกว่าจะได้เห็นกับตา ได้ยินกับหูของตนเอง
    วางใจเป็นกลางก็หมายความว่า เมื่อเรารับข่าวสารอะไรมาแล้ว เราจงอย่าเชื่อ หรือไม่เชื่อในทันที ขอให้เราตั้งต้นกันที่สติก่อน แต่ถ้าใครหาสติตนเองไม่เจอ
    ก็ขอให้นึกถึงลมหายใจของตนเอง ว่าขณะนี้ลมหายใจกำลังหายใจเข้า หรือหายใจออก เพียงเท่านี้
    เมื่อสติมา ปัญญาเกิด จิตก็นิ่ง และจะรู้สึกดีไปตามลำดับ เพราะจิตใจเริ่มรู้สึกตัวมากขึ้น และเราก็จะไม่ค่อยรู้สึกว่าตนเองเป็นทุกข์

    ขอโทษนะครับปลอบใจแบบชาวโลกไม่เป็น เพราะดูเหมือนไม่จริงใจ นอกจากจะหลอกตนเองยังไม่พอ ก็ยังต้องหลอกผู้อื่นอีกด้วย
    เพราะฉะนั้นพูดไปพูดมาก็จะเป็นการพูดธรรมะไปเสียอีก ธรรมะจัดหนักก็ไม่ดี
    เพราะภายในจิตคนนั้นต่างกัน
    เอาเป็นว่า ถ้าดูตามเหตุการณ์ไม่เข้าท่า หรือถ้ามีโอกาสทำอะไรได้ก็ทำไปเลย จะอยู่หรือจะไป จะหนีไปทางไหน เพราะว่าโลกนี้ล้วนอนิจจัง
    ทางทีดีขอแนะให้น้องฝึกเจริญสติภาวนา(ทำสมาธิ) รอภัยพิบัติมาก่อนจะดีกว่าไหม๊ ดีกว่ารอลุ้นว่าเมื่อไหร่ภัยพิบัติจะมา แต่ถ้าจิตน้องอ่อนแอแบบนี้ แล้วจะไปไหนรอด ถึงหนีไปที่อื่นที่ไม่ใช่กทม. เพราะเหตุการณ์มันก็จะเกิดไปทั่วทุกหนทุกแห่ง ไม่ว่าเหนือ ใต้ ตะวันตก-ออก

    แต่ถ้าภัยพิบัติฯเกิดขึ้นจริงๆ กายไม่รอด แต่จิตรอดดีกว่าไหม๊?(มีสติ หนีอบายภูมิ ไปสุคติภูมิ)
    ดีกว่ากายรอด แต่จิตก็ไม่รอด(ไม่มีสติ)เท่ากับคนบ้า คนสติเสีย เพราะว่าเราไม่ได้เตรียมจิต หรือไม่ได้ฝึกตาย ก่อนตายจริง
    หรือกายไม่รอด จิตก็ไม่รอด อย่างนี้เขาเรียกว่า ตายแบบขาดทุน เสียชาติเกิด
    เพราะกายตาย จิตไม่ตายตาม เพราะว่าจิต ดวงจิต วิญญาณไม่มีวันตาย
    ถามว่าไปไหน ถามตนเองดูสิว่าอยากให้ดวงจิตของตนไปไหน?
    นรก สวรรค์ พรหม หรือพระนิพพาน ก็เราเป็นคนเลือกเองกันทั้งนั้น

    อย่าไปหลงกาย หลงไปกับกระแสโลกกันอยู่เลย และไม่เหนื่อยกันหรือไร
    หยุดเถอะครับ หยุดตรงนี้ หยุดเพื่ออยู่กับกาย อยู่กับจิตของตนเองดีกว่า
    ที่ที่ตรงนี้มีแต่สุขใจจริงๆ เพราะคนทุกวันนี้เห็นแต่วิ่งหนีทุกข์ วิ่งตามสุขกันทั้งนั้น แต่ความจริงแล้ว ไม่มีใครหนีพ้นทุกข์ไปได้สักรายเดียว เพราะว่าเรามีกาย ก็เปรียบเสมือนโรงงานผลิตกิเลส ผลิตทุกข์ให้กับเราแทบทุกวัน แต่ไม่รู้สึกตัวกัน
    ความสุขในโลกนี้ไม่มีอยู่จริงหรอก มีแค่สุขชั่วคราว พบกันเพื่อจาก รักกันเพื่อทุกข์(ที่ไหนมีรัก ที่นั่นมีทุกข์) ได้ยินกันตั้งแต่เด็กๆแล้ว แต่ไม่สนใจเรียนรู้กัน
    ความทุกข์ในโลกนี้มีอยู่จริงๆ ทุกข์คืออะไร? อยู่ที่ไหน? มาจากไหน? ดับทุกข์ได้อย่างไร? และทำอย่างไรไม่ให้เกิดทุกข์ขึ้นมาอีก
    นี่ไง! เราอยู่กับตัวทุกข์กันทุกวันคืน ก็เพราะว่าเราไม่นำจิตไปเรียนรู้เรื่องทุกข์กัน แล้วเราจะหนีทุกข์กันได้อย่างไรเล่า


    by ภูทยานฌาน2<!-- google_ad_section_start(weight=ignore) --><!-- google_ad_section_end -->
     

แชร์หน้านี้

Loading...