คชสีห์๙บารมี๙บารมี๙แผ่นดินหลวงปู่หมุนเสก

ในห้อง 'พระเครื่อง วัตถุมงคล' ตั้งกระทู้โดย Jumbo A, 30 สิงหาคม 2010.

  1. j999

    j999 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    4,971
    ค่าพลัง:
    +5,386
    ได้โอนเงิน ๓๕๐บาท เมื่อ ๑๘ เม.ย. เวลาประมาณ ๑๑.๔๒ น. เป็นค่าพระ ๑.รายการที่อยู่ดูในpmครับ
     
  2. Dhanainan

    Dhanainan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2010
    โพสต์:
    569
    ค่าพลัง:
    +2,174
    มาปูเสื่อ:cool: รอชมพระดีของ....จังหวัดสระบุรี.บ้างน่ะครับ....:cool:
    ...มีก็ลงๆ..ไว้หน่อยนะครับพี่...
     
  3. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,466
    ค่าพลัง:
    +21,327
    <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="600"><tbody><tr><td align="left" valign="top">
    หลวงพ่อหอม (พระครูภาวนานุโยค)

    </td> </tr> <tr> <td>
    <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="4" height="130" width="500"> <tbody><tr> <td>
    [​IMG]




    </td> </tr> </tbody></table> ​
    </td> </tr> <tr> <td>
    ประวัติ หลวงพ่อหอม (พระครูภาวนานุโยค)
    หลวงพ่อหอม (พระครูภาวนานุโยค) แห่งวัดชากหมาก หมู่ 2 ต.สำนักท้อน อ.บ้านฉาง จ.ระยอง ห่างจากตัวอำเภอบ้านฉางเข้าไปทางสี่แยกระยะทาง ประมาณ 9 กม. วัดชากหมาก (ป่าเรไร ) เป็นวัดเล็ก ๆ เงียบสงบ ในอดีตเคยเป็นวัดที่มีชื่อเสียงโด่งดังในทางคุณวิเศษอันลือลั่น หลวงพ่อหอมซึ่งเป็น เจ้าอาวาสในสมัยที่มีชีวิต มักจะถูกอาราธนาไปร่วมในการประกอบพิธีพุทธาภิเษกที่สำคัญ ทั้งราชพิธีและพิธีสามัญ สม่ำเสมอทั่วประเทศไทย ผู้นิยม วัตถุมงคลน้อยคนที่จะไม่ได้ยินกิตติศัพท์ความเป็นผู้ทรงพุทธเวทย์ของท่าน จากวัตถุมงคลที่ได้ปลุกเศกไม่ว่าจะเป็นสิงห์งาช้าง ขี้ผึ้ง นางกวัก งาช้าง ไชมงคล พระกริ่งรูปเหมือน แหนบรูป เหมือน เหรียญรูปเหมือน แหวนทอง ​
    เมื่อ 2500 รัฐบาลจอมพล ป.พิบูลสงครามเป็นนายกรัฐมนตรี มีการจัดให้มีงานฉลอง 25 ปี พุทธศตวรรษขึ้นนับเป็นพิธีใหญ่ที่สุดในพุทธอาณาจักร โดยมีการจัดทำพระเครื่อง พระบูชา และวัตถุมงคล ไว้เป็นที่ระลึกจำนวนมากหลวงพ่อหอมเป็น 1 ในจำนวน 108 รูปของพระเวทยาจารย์ผู้ทรง คุณวิเศษที่รัฐบาลอาราธนาไปร่วมพุทธาภิเษกในมลฑลพิธี ณ ท้องสนามหลวง กรุงเทพฯ แม้เมื่อประกอบ พิธีเสร็จก็ยังมีผู้คนหลั่งไหลไปขอพรไม่ขาดสาย จนศิษย์ต้อง ออกมาขอร้องให้หลวงพ่อ พักผ่อนบ้างแต่หลวงพ่อกลับพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเปี่ยมเมตตาว่า "ช่างเขาเถอะลูก" และเป็นคำพูดที่ถูกใช้ติดปาก เรื่อยมาจนหลวงพ่อหมดสิ้นอายุขัย​
    การก่อสร้างวัดชากหมากเมื่อประมาณพ.ศ.2471 ชากหมากซึ่งมีสภาพเป็นป่าดงดิบเต็มไปด้วยสัตว์ร้าย เสือ ช้าง หมูป่า หลวงพ่อได้พบเรือนไม้ หลังคุ้มไม้ไผ่ 2 หลัง สอบถามชาวบ้าน ได้ความว่า เป็น สำนักสงฆ์ ซึ่งพระอาจารย์ล้ำเคยอยู่มาก่อน แต่ปล่อยร้างมา 10 ปี หลวงพ่อหอมจึงตกลงใจ ฟื้นฟูสำนักสงฆ์นี้ให้เป็นวัดขึ้นมาและได้ออกป่าไปจำพรรษาที่ถ้ำเขานั่ง หย่อง แล้วก็ได้ปรากฎสิ่งมหัศจรรย์ขึ้น​
    สิ่งมหัศจรรย์ที่ปรากฎมีช้าง เสือ และสัตว์ร้ายมาวนเวียนอยู่ใกล้หลวงพ่อตลอดเวลา แต่สัตว์ร้ายก็ไม่เข้ามาทำร้ายหลวงพ่อนานวันจนเกิดความคุ้นเคย สัตว์เหล่านั้นก็เชื่องและสามารถรับรู้คำพูด หลวงพ่อ ได้ เมื่อหลวงพ่อนำชาวบ้านมาช่วยกันตัดต้นไม้ในป่านั้นมาทำวัดได้แล้วก็เกิด ปัญหา ไม่สามารถ ชักลากไม้ลงมาได้ระยะทางก็ไกลกันถึง 7 กม. ชาวบ้านจึงลงจากเขามาปรึกษาหาทาง นำไม้ที่ตัดไว้ลงมาแต่หลวงพ่อกลับขึ้นไปบ้นเขาเพื่อสำรวจหา ช่องทางอีกครั้ง หลังจากนั้นชาวบ้านก็ต้องประหลาดใจเพราะพบท่อนไม้ที่ตัดไว้นั้น ลงมากองอยู่ที่เชิงเขาอย่างครบถ้วน และยังเห็น รอยเท้าช้างป่า ขนาดใหญ่อยู่รอบบริเวณนั้นมากมายคาดว่าน่ำจะเป็นช้างทีคุ้นเคยกับหลวงพ่อมา ช่วยกันชักลากลงมา เมื่อชาวบ้านรู้เข้าจึงทำให้เกิดความเลื่อมใส ศรัทธาหลวงพ่อ นับเป็นต้นมา หลังสร้างวัดเสร็จไม่นานก็มีชาวบ้านใกล้ ๆ มาแจ้งหลวงพ่อว่ามีช้างป่าลงมากินพืชผักที่ปลูกไว้จนเสียหาย ตนจะยิงช้างก็เกรงใจหลวงพ่อ จึงขอให้หลวงพ่อ ช่วยแก้ไขหลวงพ่อ ก็รับปากว่า จะช่วยพร้อมกับลุกขึ้นเดินไปยืนบริกรรมสักครู่ที่หน้าวัด แล้วร้อยตะโกนขึ้นว่า "ลูกหลาน พญาฉัททันต์อย่าไปเหยียบย่ำของเขาเลยเจ้าของเขาจะยิงเอา ของเรามีอยู่แล้วในแปลงขวามือไปกินได้" ซึ่งภายหลังก็ปรากฎว่าไม่มีช้าง เข้าไปรบกวนชาวบ้านอีกเลย แต่ปรากฎว่าพืชผักที่อยู่บริเวณวัดกลับไม่มีเหลืออยู่เลย​
    เมื่อประมาณ พ.ศ.2481 หลวงพ่อบวชได้ 12 พรรษาแล้ว มีนายพรานช้างมาขอพักที่วัดและบอกหลวงพ่อว่า จะมาล่าช้างในป่าแถบนี้แต่เวลาใกล้ค่ำ จึงขอพักเอาแรงที่วัดก่อนหลวงพ่อ ก็อนุญาต และ ไปยืนบริกรรมที่หน้าวัดสักครู่ เมื่อนายพรานออกป่าเพื่อล่าช้างก็ปรากฎว่าไม่พบช้างแเยแม้แต่ตัวเดียว​
    ต่อมาหลวงพ่อกับภิกษุอีก 4 รูป ได้ธุดงค์ไปเพื่อหากระเพรา 7 อ้อม เมื่อเดินไปถึง อ.เดิมบางนางบวช จ.สุพรรณี ก็พบศาลายกพื้นสูงมากหลังหนึ่ง ตั้งอยู่ในป่าทึบมีข้อความเขียนไว้ว่า "ใครผ่านทางนี้ เมื่อมืดแล้วให้ขึ้นข้างบนเพราะมีสัตว์ชุกชุมมาก"แต่หลวงพ่อกลับบอกพระที่ไป ด้วยกันว่าเรา ปักกลดอยู่ข้างล่างนี้แหละ และทั้งหมดก็ปักกลดลงข้างล่างนั้นเอง เมื่อปักกลดแล้ว หลวงพ่อก็เสกทรายซัด ล้อมกลดไว้โดยรอบพร้อมสั่งพระที่ไปด้วยกัน ทั้งหมดว่าอย่าได้ออกนอกกลดเป็นอันขาดไม่ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น แล้วก็ชวนกันนั้งสมาธิเจริญภาวนาแผ่เมตตาแก่สรรพสัตว์ ในคืนนั้นเองก็มีสัตว์ร้าย หลายชนิดมาวนเวียนรอบ ๆ กลดแต่ไม่มีตัวใดเข้ามาทำร้ายหลวงพ่อและพระภิกษุอีก 4 รูปเลย จนรุ่งสางหลวงพ่อหอมจึงเดินทางต่อเมื่อเดินทางต่อไป หลวงพ่อเล่าว่าหนทางเป็นป่าเขา โดยตลอด เดินทาง 3 วัน ก็ไม่พบบ้านคนเลยต้องอดข้าวกันทั้ง 3 วัน จนกระทั้งวันที่ 4 จึงได้สวนทางกับชายคนหนึ่ง หาบขนบจีนผ่านมาแล้วเอาขนมจีนนั้นถวายทุกองค์ได้ฉันจนอิ่ม หลวงพ่อ ได้ถามชายคนนั้นว่า "ต่อจากที่นี่ไปอีกไกลมากไหมจึงจะถึงบ้านคน" ชายผู้นั้นตอบว่า "พอพลบค่ำก็จะเห็นแสงไฟบ้านคน" แล้วเดินหายไปในป่านั้น หลวงพ่อจึงชวนพระที่ไปด้วยออกเดินทางต่อ ซึ่งตลอดทาง ที่เดินผ่าน นั้นไม่พบบ้านคนจริงตามที่ผู้นั้นบอกไว้ จึงชวนพระ ที่ไปด้วยกันทั้งหมดปัก กลดพักที่บริเวณใกล้ ๆ กับหมู่บ้านนั้น แล้วก็เดินทางกลับ วัดชากหมากโดยไม่พบกระเพรา 7 อ้อม มาตามต้องการ ส่วนเรื่องที่พบคนนำขนมจีนมาถวายกลางป่าทั้ง ๆ ที่บริเวณใกล้ ๆไม่ม่บ้านคนเลยก็คง เป็นปริศนาให้ต้องแปลกใจอยู่ตลอด​
    สมัย อู่ตะเภามีฐานทัพอเมริกันตั้งอยู่ได้มีทหารนักบินคนหนึ่งมีเมียเช่าเป็นคน ไทยภาคอีสานได้พากันไปหาหลวงพ่อที่วัดแล้วเช่ากริ่งรูปเหมือนของ หลวงพ่อไปไว้ติดตัวเป็นประจำ ต่อมาได้ถูกสั่ง ให้ขับเครื่องบินไปนครพนมแต่เกิดอุบัติเหตุเครื่องบินตกระหว่างทางเครื่อง บินลำนั้นได้รับความ เสียหายจนใช้การไม่ได้ ทหารที่โดยสารไปด้วยกันก็เสียชีวิตและบาดเจ็บสาหัสกันทุกคน แต่นักบิน ผู้นั้นไม่ได้รับบาดเจ็บแลยแม้แต่น้อย จึงบังเกิดความเลื่อมใสหลวงพ่อเป็นอย่างมาก เมื่อมีโอกาสจะมาหาหลวงพ่อที่วัดเป็นประจำเมื่อวันหลวงพ่อมีงานก็จะมาช่วย งานอย่างแข็งขันทุกครั้งไป เมื่อถูกส่งกลับไปอเมริกาแล้วก็ยังส่งเงินมาถวายหลวงพ่ออยู่เนือง ๆ​
    มีอยู่ครั้งหนึ่งหนังสือพิมพ์ลงข่าวว่าวัยรุ่นย่านบางรัก กรุงเทพมหานคร ยกพวกต่อยตีกันเป็นมวยหมู่มีการบาดเจ็บกันเป็นระนาวแต่ก็มีอยู่หลายคน ที่ไม่เป็นอะไรเลยทั้ง ๆ ที่ได้เข้าไปประจัญบาน กับเขาด้วย ซึ่งภายหลังปรากฎว่าพวกที่ไม่ได้รับบาดเจ็บนั้นล้วนแต่มี "สิงห์งาช้าง" ของหลวงพ่อติดตัวกันอยู่ทั้งนั้น สอบถามได้ความว่าเคยร่วมคณะกฐินจากกรุงเทพมหานคร ซึ่งได้ไปที่วัด ชากหมากแล้วเช่า "สิงห์งาช้าง" ของหลวงพ่อไปติดตัว ไว้คนละตัว ซึ่งครั้งแรก ก็ยังไม่ได้คิดว่าศักดิ์สิทธิ์ขนาดนี้จนได้ประสบเหตุเข้ากับตัวเอง จึงเชื่อและพาพรรคพวก เพื่อนฝูงเดินทาง ไปขอ เช่าที่วัดกันอีกแต่หลวงพ่อก็เตือนว่า "ถ้ารังแกข่มเหงเขาสิงห์ของพ่อไม่ช่วยนะ"​
    [​IMG] [​IMG]
    ตามธรรดาทุกๆ ปี ที่วัดชากหมากจะต้องมีงานประจำปี และอยู่ปีหนึ่งหลวงพ่อได้สร้างกริ่งรูปเหมือนองค์ หลวงพ่อขึ้นเป็นรุ่นแรก ได้มีทหารจำนวนหนึ่ง ไปเที่ยวงาน และได้เช่าพระกริ่งนี้
    คนละองค์ แล้วชวนกันไปหลังโรงเรียนวัดชากหมากซึ่งอยู่ใกล้วัดนั้นเอง เพื่อจะทดลองความศักดิ์สิทธิ์ดูให้แน่ใจ จึงได้นำเอาพระกริ่งของหลวงพ่อมาวางรวมกัน แล้วยิงด้วยปืน .38
    ก็ปรากฏว่ายิงกี่ครั้ง ๆ ก็ไม่ออกแต่เมื่อเบนปากกระบอกปืนไปทางอื่นกลับยิงออกทุกนัด ทหารเรือ กลุ่มนั้นจึงกลับเข้ามาในวัด และขอเช่าเพิ่มกันอีกจนเงินหมดกระเป๋า เมื่อกลับไปแล้วยังได้ไป บอกกล่าวให้บรรดาเพื่อนฝูง พากันมาเช่ากันไปไว้ประจำตัวอีกมากมาย และตั้งแต่นั้นมาเมื่อหลวงพ่อมีงานอะไรขึ้น บรรดาทหารเรือจากฐานทัพเรือสัตหีบ จะมาช่วยกันอย่างมากมายทุกครั้ง​
    เมื่อนายสงั่น ไตร่ตรอง ได้รับเลือกตั้งเป็นกำนันตำบลสำนักท้อนใหม่ๆ เคยขับรถยนต์ไปธุระที่สมุทรปราการ พร้อมกันลูกบ้านอีก 8 คน แต่พอรถไปถึงโค้งบางปิ้ง ซึ่งได้ถือว่าเป็นโค้งผีสิง จะด้วยเหต ุอันใดก็ไม่อาจทราบได้ รถเกิดเสียหลักพลิกคว่ำไปหลายตลบเผอิญมีตำรวจอยู่ใกล้ๆ กับบริเวณนั้นเห็นเหตุการณ์เข้า คิดว่าต้องมีคนในรถได้รับบาดเจ็บ หรืออาจถึงตายแน่ๆ จึงรีบวิ่งเข้าไป เพื่อช่วยเหลือ นำส่งโรงพยาบาล แต่เมื่อเข้าไปถึงก็ต้องประหลาดใจอย่างมาก เพราะปรากฏว่าไม่มีผู้ใดที่อยู่ในรถคันนั้นได้รับบาดเจ็บกันเลย เมื่อมีการสอบถามกันขึ้นด้วยความสงสัย จึงทราบว่าทุกคน ที่ไป กัน ในรถคันนั้นต่างก็มี "สิงห์งาช้าง" ของหลวงพ่อหอมติดตัวกันทั้งนั้น​
    การประสบอุบัติเหตุเนื่องจาการใช้รถใช้ถนนแล้วไม่ได้รับอันตราย แก่ร่างกายนี้ นายเก๋ง เชื้อชาติ ซึ่งเป็นคน อยู่ใกล้กับวัดชากหมากคนหนึ่งก็ได้เคยประสบมาแล้ว โดยครั้งนั้นนายเก๋งได้ขับรถ ไปธุระนอกบ้าน แต่พอรถไปถึงหน้าบริษัทไทวา จำกัด สาขาที่ 5 รถที่นายเก๋งขับไปเกิดเสียหลักพุ่งชนต้นมะขามหน้าบริษัท จนรถพังไม่มีชิ้นดี แต่นายเก๋ง กับคนโดยสารอีก 5 คน ไม่มีใคร ได้รับบาดเจ็บกันเลยแม้แต่น้อย โดยทุกคนยืนยันว่าในวันนั้นต่างก็มีของดีของหลวงพ่อหอมติดตัวไปด้วยทั้งนั้น คือบางคนก็มีเหรียญรูปเหมือนหลวงพ่อ บางคนก็มีสิงห์งาช้างของ
    หลวงพ่อ บางคนก็แหวนของ หลวงพ่อ บางคนก็มีแหนบของหลวงพ่อ บางคนก็มีสมเด็จงาช้างของหลวงพ่อ และบางคนก็มีผ้ายันต์ของหลวงพ่อ​
    วิทยาเวทย์ที่เป็นคุณวิเศษของหลวงพ่อหอมวัดชากหมากอีกประการหนึ่งที่ยังไม่ เคยได้เรียนรู้มาก่อน คือ "การต่อชะตาดิน" ซึ่งคุณวิเศษนี้ก็เป็นที่เลื่องลือในความศักดิ์สิทธิ์ของท่านอย่างมากที เดียว คือหากที่ดินของผู้ใดที่ เคยอยู่อาศัย หรือใช้ประกอบกิจการใดๆ มาก่อนเกิดอาการเสื่อมทรามลง หลวงพ่อก็จะไปทำพิธี "ฝังหิน" ให้แล้วกิจการบนที่ดินแห่งนั้น ก็จะกลับคืนเป็นคุณแก่เจ้าของดังเดิม อย่างน่าอัศจรรย์ยิ่งนัก ซึ่งวิชาต่อชะตาดินนี้ได้เคยมีบรรดาศิษย์อยากจะขอเรียนจากหลวงพ่อ แต่หลวงพ่อก็บอกว่าผู้ที่จะเรียนได้จะต้องเป็นภิกษุเท่านั้น และเมื่อเรียนแล้วก็จะต้อง ตั้งนโมปนิธาณ ด้วยว่า "จะบวชจนตายในผ้ากาสาวพัตร์" คือจะสึกออกไปครองเพศฆราวาสไม่ได้อย่างเด็ดขาด ถ้าผิดไปจากนี้แล้วจะต้องถูก "ฟ้าผ่า" ทันทีจึงไม่มีใครกล้าพอที่จะเรียนต่อจากท่าน เพราะการบวช เป็นพระภิกษุในพระพุทธ ศาสนานี้ไม่ใช่เป็นของง่ายนักที่ประกาศตนว่าจะไม่สึกไว้ล่วงหน้า​
    [​IMG] [​IMG]
    นอกจากหลวงพ่อหอมวัดชากหมากจะเป็นผู้มีวิทยาคุณในทางเครื่องลาง ของขลังแล้ว ท่านยังเป็นเชี่ยวชาญในทางรักษาโรคภัยไข้เจ็บนานาชนิดอีกด้วย ทั้งนี้เพราะท่านได้เคย ศึกษาเล่าเรียน มาจาก ทางบิดาของท่านซึ่งเป็นแพทย์ ประจำตำบลในสมัยเมื่อท่านยังเป็นฆราวาสอยู่นั้นตามธรรดาทุกๆวัน จะมีคนป่วยด้วยโรคต่างๆ มาหาท่านที่วัดเพื่อขอให้ท่านขจัดปัดเป่า โรคร้ายเหล่านั้น ให้หาย วันหนึ่งๆ ถึง 40-50 คน หลวงพ่อจึงเป็นภิกษุผู้ได้รับความเคารพนับถือ อย่างสูง ทั้งที่เป็นคนไทย จีน แขก ซิกส์ และฝรั่ง ดังจะเห็นได้จากเมื่อหลวงพ่อมรณภาพได้มีผู้หลั่งไหลกันไป เคารพศพของท่านอย่างล้นหลาม โดยเฉพาะวันถวายน้ำสรงศพของท่าน เจ้าหน้าที่ได้จัดให้เรียงแถวกันเข้าไปต้องใช้เวลาถึง 3 ชั่วโมง จึงหมดคนที่ไปถวายน้ำสรงท่าน​
    หลวงพ่อหอม จนทโชโต หรือพระครูภาวนานุโยค อดีตเจ้าอาวาสวัดชากหมาก หมู่ที่ 2 ตำบลสำนักท้อน อำเภอบ้านฉาง จังหวัดระยอง เดิมชื่อ หอม ทองสัมฤทธิ์ เกิดวันจันทร์ เดือน 10 ปีขาล พุทธศักราช 2433 เป็นบุตร ของนายสัมฤทธิ์ กับนางพุ่ม ทองสัมฤทธิ์ เป็นชาวบ้านสำนักท้อน อำเภอบ้านฉาง จังหวักรอยง มีพี่น้องร่วมบิดา มารดาเดียวกัน 3 คน หลวงพ่อเป็นคนสุดท้าย พี่ๆ สองคนเป็นหญิงคนโตชื่อนางวอน คนรองชื่อนางเชื่อม​
    เมื่อเยาว์วัยอาศัยอยู่กับบิดามารดาที่บ้านเกิดของท่านเอง ส่วนในด้านการศึกษาเบื้องต้นนั้น เป็นที่น่าเสียดายที่ ไม่มีผู้ใดทราบว่าท่านได้ศึกษากับใครที่ไหน เพราะในสมัยนั้น โรงเรียนในชนบท ห่างไกลจากความเจริญ เช่นบ้านเกิดของ หลวงพ่อคงจะไม่มีตั้งขึ้นแน่นอนโรงเรียนที่มีอยู่ในปัจจุบัน เช่น โรงเรียนวัดสมบูรณาราม โรงเรียนวัดชากหมาก โรงเรียนวัดสุวรรณรังสรรค์ ล้วนแต่พึ่ง ตั้งขึ้นมาไม่ถึง 50 ปีทั้งนัน ถ้าในสมัยหลวงพ่อหอม 8-15 ปี มีโรงเรียนอยู่ที่บ้านเกิด ของท่านแล้วโรงเรียนนั้นก็จะต้องมีอายุมาถึงปัจจุบันไม่ต่ำกว่า 75 ปี จึงสันนิษฐานว่าหลวงพ่อ น่าจะเริ่ม ศึกษาเมื่อตอน ได้อุปสมบทแล้วมากกว่า​
    การดำรงชีพของหลวงพ่อในสมัยนั้น ก็เป็นการช่วยบิดามารดาทำสวนทำไร่และเก็บของออกไปขายในตัว ตลาด ซึ่งการเดินทางไป ตลาดบ้านฉาง หรือตลาดสัตหีบ ในสมัยนั้นก็ลำบากมาก เพราะยังไม่มีถนนอย่างเช่นปัจจุบัน ต้องอาศัยทางเกวียน ที่ผ่านป่าดงดิบแวดล้อม ไปด้วยสัตว์ป่านานาชนิด ถ้าเป็นฤดูฝนด้วยแล้วก็ยิ่งเพิ่มความลำบากเป็นทวีคูณ และคงจะเป็นเพราะว่า หลวงพ่อเคยมีชีวิตจำเจอยู่ในป่าดงดิบนี่เอง จึงทำให้ท่านพยายามพัฒนาป่า ให้กลับกลายเป็น หมู่บ้านที่มีความเจริญขึ้นในทุกๆ ด้าน โดยท่านเห็นว่าหากมีถนนตัดจากเจริญเข้าสู่หมู่บ้านได้เมื่อใด ความเจริญนั้นก็ต้องขยายตัวของ มันเองตามถนนไปด้วยอย่างแน่นอน จึงได้ร่วมกับนายหยอย สุวรรณศักดิ์ กำนันตำบลสำนักท้อน​
    สมัยนั้นชักนำชาวบ้านช่วยกันตัดถนนจากบ้านฉาง เข้าไปจนถึงบ้านชากหมากระยะทาง 12 กิโลเมตร ถนนสายนี้ในปัจจุบันได้กลาย เป็นถนนสายเอนก ประสงค์แล้วอย่างสมบูรณ์ เมื่อหลวงพ่อ
    อายุได้ 21 ปี ก็มีโอกาสทำหน้าที่ของลูกชายไทยอย่างเต็มภาคภูมิ ด้วยการได้รับคัดเลือกเข้ารับราชการทหารในกองทัพเรือ ในสมัยที่ฐานทัพเรือยังตั้งอยู่ที่ ตำบลบางพระ อำเภอศรีราชา จังหวัด
    ชลบุรี แต่ไม่ทราบแน่ชัดว่าสังกัดอยู่หน่วยไหน และใครบ้างที่เป็นผู้บังคับบัญชาโดยตรงของท่าน ทราบแต่เพียงว่าในขณะที่ท่านรับราชการ ทหารอยู่นั้น ไม่เคยถูกลงโทษฐานกระทำผิดวินัยเลย ทั้งไม่เคยมีเรื่องทะเลาะเบาะแว้งกับบรรดาเพื่อนๆ ด้วย ตรงกับข้ามกับเป็นที่รักใคร่ของเพื่อฝูงทุกคน เพราะปกติท่านเป็นคนที่มีนิสัยเยือกเย็น สุขุม และโอบอ้อมอารีต่อทุกคนอยู่แล้ว​
    เมื่อท่านรับราชการทหารครบ 2 ปี ทางราชการก็ปลดประจำการจึงกลับไปช่วยบิดามารดาประกอบอาชีพที่ บ้านสำนักท้อนตามเดิม และในช่วงนี้เองก็ได้แต่งงานกับนางเจียม ซึ่งเป็นหญิงสาว ในหมู่บ้านเดียวกันนั้น และมีบุตรด้วย กัน 3 คน คือ นายพิณ , นายหรั่ง และนายหรั่น ทองสัมฤทธิ์ การครองชีวิตแบบคฤหัสถ์ผู้ครองเรือนของหลวงพ่อ ได้เป็นไปอย่างธรรดาเรื่อยๆ มา โดยพร้อมกันนั้นก็ได้พยายามถ่ายทอดวิชารักษาโรคต่างๆ จากบิดาไปด้วยจนมี ความรู้ความสามารถไม่ด้อยไปจากบิดาของท่านแต่อย่างใด แล้วก็ได้วิชาความรู้นี้ช่วยเหลือเพื่อนบ้านตลอดมา​
    หลวงพ่อหอมวัดชากหมาก ได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุในพระพุทธศาสนาเมื่อปีศักราช 2469 อายุ 36 ปี พัทธสีมาวัดทับมา ตำบลทับมา อำเภอเมือง จังหวัดระยอง โดยมีหลวงพ่อขาววัดทับมา เป็นพระอุปัชฌาย์ หลวงพ่อจิ๊ด วัดเขาตาแขกเป็นพระกรรมวาจารย์และหลวงพ่อชื่น (ปัจจุบันเป็นพระครูพิพิธวรญาณ และยังมีชีวิตอยู่วัดมาบข่า เป็นอนุสาวนาจารย์)​
    เมื่อ หลวงพ่อหอมอุปสมบทใหม่ ๆ ยังเป็นพระภิกษุผู้น้อยด้วยคุณวุฒิไม่อาจที่จะปกครองตนเองและผู้อื่นได้จึง ยังจำพรรษาศึกษาพระธรรมวินัยเบื้องต้นในฐานะอันเตวาสิกของหลวงพ่อชื่นอยู่ ที่วัดมาบข่า แต่เพียงชั่วระยะ 2 พรรษา เท่านั้น หลวงพ่อหอมก็เป็นผู้แตกฉานในพระธรรมวินัยอย่างอัศจรรย์ เนื่องจากเป็นผู้มีความเพียรในการศึกษาเป็นเลิศ ยากที่จะหา พระภิกษุรูปใดในรุ่นเดียวกันเสมอ และหลวงพ่อชื่นเองก็ยังเคยปรารภให้พระภิกษุรูปอื่นๆ ฟังว่า "อีกหน่อยคุณหอมเขาจะหอมทวนลมนะ" และต่อมาหลวงพ่อหอมก็ไก้กลายเป็นหลวงพ่อผู้มีชื่อเสียงหอมทวนลมจริงดังคำ ของหลวงพ่อชื่นนั้น​
    เมื่อหลวงพ่อหอมได้รับอนุญาตจากหลวงพ่อชื่น ซึ่งเป็นพระอาจารย์เบื้องต้นให้ไปอยู่ทีวัดชากหมากใกล้ ๆ บ้านเกิดของท่านได้พยายามศึกษาพุทธเวทย์เพิ่มเดิมอย่างจริงจัง จนเป็นที่ประจักษ์แก่ บรรดาศิษยานุศิษย์ถ้วนหน้า และนอกจากจะได้ราษฎรช่วยเหลือกันพึ่งทางใจแก่ผู้เลื่อมใสแล้ว ยังได้สร้างอาคารเรียน"หอมราษฎร์วิทยา" ถึง สองหลังซึ่งเป็นเงิน ที่หลวงพ่อได้รับ จากราษฎรช่วยเหลือกัน จำนวน 1,980,000 บาท รัฐบาลช่วยสมทบ 200,000 บาท เพื่อสร้างอาคารเรียนให้เด็กๆ ได้เล่าเรียนสร้างอุโบสถศาลาการเปรียญ หอระฆังคอนกรีต หอไตรกลางสระน้ำ กุฏิตึก 2 ชั้น ซุ้มประตูคอนกรีตหน้าวัด กำแพงรอบวัด หอสวดมนต์ และสังหาริมทรัพย์อื่นๆ อีกมากจนเกือบวาระสุดท้าย ยังได้สร้างกุฏิครึ่งตึกครึ่งไม้เพิ่มอีก 1 หลัง แต่ไม่ทันเสร็จก็ถึงแก่มรณภาพ​
    ด้วยคุณงามความดีที่ปรากฎนี้เอง หลวงพ่อจึงได้รับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ จากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชรัชกาลที่ 9 แห่งราชวงศ์จักรี พระราชทานสมณศักดิ์เป็น พระครูสัญญาบัตรชั้นตรี ที่พระครูภาวนานุโยคในพระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษา 5 ธันวาคม 2507 เป็นเกียรติประวัติอย่างยิ่งแก่หลวงพ่อ และศิษยานุศิษย์ในโอกาสนี้เองหลวงพ่อจึงได้สร้าง กริ่งรูปเหมือน (ชนิดสั้น) รูปปั้นเหมือนองค์จริงแบบบูชาขึ้นเป็นรุ่นแรก เหรียญรูปเหมือนรุ่น 2 แบบนูนครึ่งองค์ ด้านหลังเหมือนรุ่นแรกพร้อมแหวนทองแดงสร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ.2498​
    อิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์จากกรรมานุภาพด้าน"คุณวิเศษ" เป็นที่เล่าขานจากปากต่อปากคนแล้วคนเล่า ทั้งบรรพชิตและคฤหัสถ์ทุกฐานะเมื่อผู้ใดมาหาอย่างมีทุกข์ร้อน ท่านก็ช่วยปัดเป่าทุกข์ด้วยเมตตา ถ้วนหน้ากันไม่มีเลือกชนชั้น​
    ผู้เรียบเรียงมิกล้าจะยืนยันว่าหลวงพ่อบรรลุธรรมภาวะเสมอเหมือน ท่าน นอกจากศรัทธาในความเป็นผู้เหนือธรรมดาในตัวท่านแต่คิดด้วยปัญญาว่า หลวงพ่อเป็นผู้ที่ศึกษาสัจธรรม และนำพุทธเวทย ์มาปฏิบัติได้ถูกต้องเป็นแน่ วัตถุมงคลที่ท่านปลุกเศกจึงบังเกิดความ"ขลัง" จึงขอฝากท่านผู้รู้จริงทั้งหลายโปรดวินิจฉัยต่อไป​
    ผู้เรียบเรียงมิกล้าจะยืนยันว่าหลวงพ่อบรรลุธรรมภาวะเสมอเหมือท่าน นอกจากศรัทธาในความเป็นผู้เหนือ ธรรมดาในตัวท่านแต่คิดด้วยปัญญาว่า หลวงพ่อเป็นผู้ที่ศึกษาสัจธรรมและนำพุทธเวทย์ มาปฏิบัติได้ถูกต้องเป็นแน่ วัตถุมงคลที่ท่านปลุกเศกจึงบังเกิดความ"ขลัง" จึงขอฝากท่านผู้รู้จริงทั้งหลายโปรดวินิจฉัยต่อไป​
    หลวงพ่อหอม จนทโชโต หรือพระครูภาวนานุโยค อาพาธด้วยโรคชราและมรณภาพด้วยอาการสงบเมื่อเวลาประมาณ 05.00 น. ของวันที่ 13 เมษายน 2520 ที่โรงพยาบาลอาภากรเกียรติวงศ์ ฐานทัพเรือสัตหีบ จังหวัดชลบุรี รวมอายุ 87 ปี 51 พรรษา ได้รับพระราชทานเพลิงศพเมื่อวันที่ 23 เมษายน 2521 ที่วัดชากหมากที่ท่านเป็นเจ้าอาวาสนั่นเอง และนับแต่นั้นมา สิ่งที่ ยังคงหลงเหลือ คือ ความดีงาม ความเลื่อมใสศรัทธาที่อยู่ในใจผู้ประจักษ์เท่านั้น
    ขอดวงวิญญาณอันศักดิ์สิทธิ์ของหลวงพ่อ แม้สถิตอยู่ ณ ทิพย์โลกใด โปรดรับรู้ว่าคุณงามความดีของหลวงพ่อในอดีตหาได้จากตามท่านไปไม่






    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลและที่มาอย่างสูงครับ

    เหรียญหลวงพ่อหอมกะไหล่ทองสวยเดิมๆสร้า้งโรงเรียน

    ให้บูชา 450 บาทค่าจัดส่ง EMS 50 บาทครับ

    [​IMG] [​IMG]
    </td></tr></tbody></table>
     
  4. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,466
    ค่าพลัง:
    +21,327
    [​IMG]

    www.dharma-gateway.com/monk/monk_biography/lp-phun/lp-phun-hist-01-01.htm

    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความและที่มาอย่างสูงครับ

    เหรียญพระอาจารย์ฝั้น ผ่านการบูชาเลี่ยมพลาติคสมัยก่อน

    ให้บูชา 400 บาทค่าจัดส่งEMS50บาทครับ
    [​IMG] [​IMG]
     
  5. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,466
    ค่าพลัง:
    +21,327
    [​IMG]

    พระอาจารย์วัน อุตโม ศิษย์กรรมฐานหลวงปู่มั่น

    www.dharma-gateway.com/monk/monk_biography/lp-one/lp-one-hist-01


    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความและที่มาอย่างสูงครับ



    ให้บูชา8เหรียญทั้งหมด 1700 บาทค่า

    จัดส่ง
    EMS50บาทครับ(ปิดรายการ)




    [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 เมษายน 2012
  6. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,466
    ค่าพลัง:
    +21,327
    [[​IMG]เหรียญรุ่น 2 หลวงปู่ พิชัย ฐิติลาโภวัดเขาหงษ์


    ยันต์ประดิษฐ์ของหลวงปู่เองไม่มีสำนักใดเหมือน โดยหลวงปู่ให้เป็นปฐมยันต์ของสำนักเขาหงษ์ โดยถือคติว่าสัญชาติเสือไม่ขอเนื้อใครกิน ยันต์นี้ดีทางเมตตามหานิยมเป็นหลัก คือเด่นทางค้าขาย รองลงมาคือมหาอุตม์ตามตำหรับบูรพาจารย์หลวงปู่ปลื้มแห่งวัดปากครองมะขามเฒ่า ยันต์นี้หลวงปู่เรียกว่า ยันต์กอบทรัพย์ 5 ยอด ลักษณะเหมือนเอามือมาประกบกันโดยให้สันมือติดกันแต่ฝ่ามือกางออกเหมือนการก อบ เหรียญรุ่นแรกนี้สร้างโดยอาจารย์จั๊ว จอมขมังเวทแห่งเยาวราช สร้างบูชาคุณหลวงปู่ที่ถ่ายทอดวิชาเดินทอง(เป่าทอง)เข้าตัวให้ และยันต์ที่อยู่ในเหรียญรุ่น2 นั้นเรียกว่ากอบทรัพย์ 3 ยอดครับเขียนโดยยึดเฑาะห์เป็นหลักครับ ส่วนรุ่น 1 เป็น นะ โม พุท ธา ยะ ครับหรียญรุ่น 2 สร้างราวๆ ปี 2545 จัดสร้างทั้งหมด เนื้อครับผม

    1.เนื้อทองคำรันหมายเลข สร้างจำนวน 9 เหรียญ

    2.เนื้อเงินรันหมายเลข สร้างจำนวน 500 เหรียญ

    3.เนื้อทองแดงรันเลข สร้างจำนวน 1000 เหรียญ

    4.เนื้ออัลปาก้า สร้างจำนวน 3000 เหรียญ
    พระอาจารย์เขาหงส์
    (หลวงปู่ พิชัย ฐิติลาโภ อายุ ๑๐๘ ปี) โดย ณ เขาหงส์



    บทนำ พระอาจารย์เขาหงส์
    หลวง ปู่พิชัย ฐิติลาโภ แห่งสำนักสงฆ์เขาหงส์ อ.เมือง จ.ลพบุรี ชื่อนี้น้อยคนนักที่จะรู้จัก หลวงปู่ผู้เปี่ยมด้วยเมตตา อารมณ์ดี แจ่มใสอยู่เสมอ และมีอายุยืนยาวถึง ๑๐๘ ปี โดยที่สุขภาพท่านยังแข็งแรง ลุกเดินได้อย่างปกติ พูดจาคล่องแคล่ว ความจำเยี่ยม ทุกคนที่พบท่านต่างพูดเหมือนกันว่า ไม่น่าเชื่อเลยว่าท่านจะมีอายุถึง ๑๐๘ ปี ส่วนใหญ่ต่างคิดว่าน่าจะอยู่ราว ๗๐ ปี จนบ่อยครั้งเข้าหลวงปู่จึงต้องนำหลักฐานยืนยันวันเดือนปีเกิดมาให้ดูกัน และติดอยู่ที่วัดจนถึงทุกวันนี้ และหลวงปู่ท่านยังมีชื่อที่เรียกหากันอีกมาก ดังเช่น

    หลวงตาฮาวาร์ด
    ชื่อ นี้เป็นที่รู้จักกันมาก เนื่องจากได้มีหนังสือพิมพ์ วารสารหลายฉบับ จนถึงรายการโทรทัศน์ได้นำไปเผยแพร่จนเป็นที่รู้จักกันมากในเรื่องของการใช้ ยาทั้งสมุนไพรโบราณ ทั้งแผนปัจจุบัน ที่หลวงปู่นำมาประยุกต์ใช้อย่างมีประสิทธิภาพ จนทุกวันนี้มีผู้คนทั้งไทยและต่างชาติ ทั้งฝรั่ง ยุโรป อเมริกา จีน สิงคโปร์ เกาหลี ฮ่องกง มาหาหลวงปู่มากมาย ซึ่งท่านก็พูดคุยได้รู้เรื่องทุกคน เนื่องจากหลวงปู่พูดได้หลายภาษา โดยท่านศึกษามาตั้งแต่ตอนเป็นฆราวาสจนเป็นดอกเตอร์จบจากมหาวิทยาลัยฮาวาร์ด จึงเป็นเหตุที่มาของฉายานี้ ซึ่งในภายหลังท่านบอกให้ปลี่ยนเป็น “หลวงตาฮาวัด” แทน

    พระอาจารย์ในดง
    ชื่อนี้ลูกศิษย์ลูกหาหลายคน ใช้เรียกมาเป็นเวลาหลายสิบปี และเคยมีการเขียนถึงในหนังสือหลายเล่มจนเป็นที่กล่าวกันว่า ผู้ใดพบพระอาจารย์ในดง ผู้นั้นได้พบขุมวิชาแห่งสำนักวัดมะขามเฒ่า ซึ่งผู้ที่จะพบได้นั้นต้องมีมานะพากเพียร ธุดงค์เข้าป่าไปด้วยความตั้งใจเท่านั้น จึงจะได้พบซึ่งจะได้รวบรวมเรื่องราวทั้งหลายนี้มาเผยแพร่ในตอนต่อๆไป

    อาจารย์ดำ หลวงปู่ดำ
    เนื่อง จากหลวงปู่ได้รับนิมนต์ไปงานพิธีต่างๆ และพุทธาภิเษกอยู่บ่อยครั้งซึ่งท่านจะบอกลูกศิษย์ทั้งหลายว่าไม่ต้องมาดูแล ท่านจะไปเอง กลับเอง ไม่ต้องเป็นภาระกับใคร ดังนั้นเองเมื่อท่านไปถึงงานจึงไม่มีใครรู้จักซึ่งท่านก็จะหลบพักผ่อนอยู่ ตามลำพังจนถึงเวลาปลุกเสกท่านจึงจะเข้าไปนั่งปรกจนเสร็จแล้วลุกกลับออกจาก งานทันที จะไม่นั่งอยู่จนจบพิธี ดังนั้นเอง ผู้จัดงานทั้งหลายและโฆษกงานก็ดีจึงไม่รู้จักท่าน ไม่รู้ว่ามายังไง เมื่อไร และชื่ออะไร จึงต่างก็เรียกท่านตามรูปพรรณสัณฐานว่า อาจารย์ดำ หลวงปู่ดำ บางครั้งเรียก หลวงพ่อใหญ่ ก็มี

    ท่านเจ้าคุณ พระสุนทรธรรมรส
    ใคร จะคิดว่า หลวงตาแก่ๆ รูปหนึ่งจะเคยมีศักดิ์เป็นถึงท่านเจ้าคุณ รองเจ้าคณะ 1 แห่งวัดสุทัศน์เทพวราราม วัดใหญ่กลางกรุงนี่เอง แต่ในสายวัดสุทัศน์แล้วมีพระผู้ใหญ่หลายรูปเดินทางไปกราบพบหลวงปู่อยู่บ่อย ครั้ง เนื่องจากในสมัยที่ท่านเป็นพระสุนทรธรรมรสนั้น ก็ได้ชื่อว่า เป็นพระนักเทศน์ นักธรรม เป็นปราชญ์แห่งธรรม ซึ่งนั่นก็ลุล่วงมาร่วม 50 ปีแล้ว (ท่านจำพรรษาอยู่วัดสุทัศน์ตั้งแต่ พ.ศ. 2493-2511ทั้งสิ้น 18 พรรษา) ก่อนออกธุดงค์ไป จนกล่าวได้ว่า หลวงปู่เป็นปรมาจารย์ผู้อาวุโสสูงสุดที่ยังมีชีวิตอยู่ในสายสำนักวัดสุทัศน์ และได้เข้าร่วมพิธีปลุกเสกครั้งสำคัญๆ ในสมัยนั้นด้วย
    แต่เมื่อถามหลวง ปู่ว่าชื่อฉายาที่มากมายนี้ท่านชอบให้ลูกศิษย์เรียกชื่อไหนท่านจะยิ้มและตอบ ว่า เรียกพระอาจารย์เขาหงส์สิดี และนั่นจึงเป็นที่มาของฉายา “พระอาจารย์เขาหงส์”





    ให้บูชา 500 บาทครับค่าจัดส่งEMS 50 บาทครับ



    [​IMG] [​IMG]
     
  7. ake7440

    ake7440 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,528
    ค่าพลัง:
    +405
    จองครับ ขออนุญาติโอนสิ้นเดือนครับ
     
  8. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,466
    ค่าพลัง:
    +21,327
    [​IMG]


    หลวงปู่คำดี ปภาโส เป็นพระเถระผู้ใหญ่รูปหนึ่ง ที่ชาวจังหวัดเลย รวมทั้งชาวภาคอีสาน ภาคเหนือ และภาคกลางให้ความเคารพนับถือมาก

    ด้วยความเป็นพระนักปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ และเป็นศิษย์เอกของหลวงปู่มั่น ภูริทตโต อีกด้วย

    อัตโนประวัติหลวงปู่คำดี เกิดในสกุล นิลเขียว เมื่อวันที่ 26 มีนาคม 2445 ที่บ้านหนองคู ต.หว้า อ.เมือง จ.ขอนแก่น โยมบิดา-มารดาชื่อ นายพร และนางหมอก นิลเขียว

    ในช่วงวัยเยาว์ ด.ช.คำดีไม่ได้เรียนหนังสือ เนื่องจากในพื้นที่ไม่มีโรงเรียน จนเมื่อเติบโตเป็นผู้ใหญ่ อายุครบ 22 ปี จึงได้ขอบุพการีออกบวช

    ตอนแรก ท่านได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุในสายมหานิกาย ที่วัดหนองแหวง เมืองเก่า ต.พระลับ อ.เมือง จ.ขอนแก่น โดยมีพระครูเมือง เป็นพระอุปัชฌาย์, พระอาจารย์โพธิ์ เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และพระอาจารย์ ชสนุหลิด เป็นพระอนุสาวนาจารย์

    ต่อมา เจ้าอาวาสวัดหนองแวงได้ลาสิกขาบท หลวงปู่คำดีจึงได้เลื่อนตำแหน่งเป็นเจ้าอาวาสวัดแทน
    <table style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px dotted; BORDER-TOP: #ffffff 1px dotted; BORDER-LEFT: #ffffff 1px dotted; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px dotted" align="right" border="1" cellpadding="1" cellspacing="5" width="20%"><tbody><tr bgcolor="#ffe9ff"><td>[​IMG]</td></tr></tbody></table>

    ในระหว่างที่ออกบวชนั้น ท่านพิจารณาเห็นว่า การบวชตามประเพณีคงไม่ใช่แนวทางพ้นทุกข์ จึงมีดำริออกไปธุดงควัตร ฝึกฝนวิปัสสนากัมมัฏฐานให้รู้แจ้งเห็นจริง

    หลังจากออกธุดงค์แล้วหลวงปู่ดำดี ปภาโส ได้แปรญัตติจากมหานิกายมาเป็นพระภิกษุฝ่ายธรรมยุต ในปีพ.ศ.2471 และย้ายไปจำพรรษาที่วัดโคกศรี บ้านยาง อ.เมือง จ.ขอนแก่น

    หลวงปู่คำดีได้มีโอกาสพบกับ 2 พระอาจารย์ ที่ธุดงค์ผ่านมาที่วัด เป็นพระวิปัสสนากัมมัฏฐานคือ พระอาจารย์สิงห์ ขันตยาคโม และพระอาจารย์มหาปิ่น ปัญญาพโล

    ในช่วงนั้นมีพระอาจารย์มาอยู่จำพรรษาด้วยหลายรูป อาทิ พระอาจารย์อ่อน ญาณสิริ, พระอาจารย์ฝั้น อาจาโร, พระอาจารย์จันทร์ เขมปัตตโต ทำให้หลวงปู่คำดีได้รับการอบรมในเรื่องวิปัสสนากัมมัฏฐานเป็นอย่างดี

    จากนั้น หลวงปู่คำดีได้ออกท่องธุดงค์ไปตามสถานที่ต่างๆ ปฏิบัติตามคำสั่งสอนของพระอาจารย์ และในช่วงที่หลวงปู่ออกธุดงค์ได้พบกับเรื่องต่างๆ มากมาย ในขณะที่ปฏิบัติธรรมอยู่ตามป่าเขามาโดยตลอด ก่อนที่ท่านจะมาอยู่ที่วัดถ้ำผาปู่ประมาณปีพ.ศ.2497

    ตอนนั้น หลวงปู่จำพรรษาอยู่ที่วัดคีรีวันคำหวายยาง ต.บ้านกง อ.หนองเรือ จ.ขอนแก่น มีพระอดิสัยคุณาทาน หรือหลวงปู่ศรีจันทร์ วัณณาโภ หรือพระธรรมวราลังการ เจ้าอาวาสวัดเลยหลง จ.เลย เดินทางไปตรวจปัญหาธรรมที่จังหวัดนครราชสีมาและมาแวะพักกับหลวงปู่คำดี

    หลวงปู่คำดีถามว่า สถานที่วิเวกที่จังหวัดเลยมีที่ไหนบ้าง พอจะเป็นที่วิเวกประกอบความเพียรได้สะดวกบ้าง หลวงปู่ศรีจันทร์ฯ บอกว่ามีหลายแห่ง เป็นถ้ำที่สำคัญทั้งนั้น ตอนนั้นไม่ค่อยมีพระอยู่ ไปๆ มาๆ เนื่องจากอยู่ในที่กันดาร น้ำอาหารการกินลำบากมาก มีถ้ำมโหฬาร อ.วังสะพุง ปัจจุบันอยู่ในกิ่ง อ.หนองหิน ถ้ำผาบิ้ง อ.วังสะพุง, ถ้ำผาปู่ ต.นาอ้อ อ.เมืองเลย

    ต่อมา หลวงปู่คำดี ปภาโส ได้พาลูกศิษย์เดินทางมาจังหวัดเลยเพื่อเสาะแสวงหาความวิเวก และแวะตามถ้ำต่างๆ แต่ไม่ถูกใจ จนมาถึงวัดเลยหลง หลวงปู่ศรีจันทร์จึงให้ไปจำพรรษาที่วัดถ้ำผาปู่ ซึ่งขณะนั้นยังเป็นสำนักสงฆ์อยู่ มีพระพุทธรูปอยู่ในถ้ำ ไม่ทราบว่าใครเป็นผู้สร้าง

    และหลวงปู่คำดีพอใจมาก เพราะเป็นสถานที่สงบ เหมาะสำหรับการบำเพ็ญเพียรภาวนา ท่านจึงจำพรรษาอยู่ที่วัดถ้ำผาปู่มาโดยตลอด และพัฒนาวัดจนเจริญในทุกวันนี้

    ปัจจุบัน หลวงปู่คำดีได้มรณภาพ เมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 2527 สิริรวมอายุ 83 ปี

    แม้หลวงปู่คำดีมรณภาพไปนานแล้ว แต่บรรดาลูกศิษย์ลูกหาต่างพากันไปกราบไว้บูชาที่พิพิธภัณฑ์ของหลวงปู่ ซึ่งมีการรวมรวมเรื่องราวความเป็นมา ประวัติและคำสั่งสอนของหลวงปู่คำดี ในหนังสือเอาไว้เป็นจำนวนมาก


    เหรียญรุ่นแรกหลวงปู่คำดี ปภาโส ศิษย์กรรมฐานสายหลวงปู่มั่น

    เหรียญสภาพผ่านการบูชา วััตถุมงคลพระอรหันต์อธิฐานจิตไม่ต้องบรรยาย

    ให้บูชาองค์ละ 1300 บาทค่าจัด
    ส่งEMS50บาทครับ

    [​IMG] [​IMG]
     
  9. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,466
    ค่าพลัง:
    +21,327
    วันนี้จัดส่ง

    EI 6643 9098 5 TH ลาดกระบัง

    ขอบคุณครับ
     
  10. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,466
    ค่าพลัง:
    +21,327
    [FONT=Tahoma,]<table align="left" border="0" cellpadding="0" cellspacing="5" width="360"><tbody><tr><td align="center" bgcolor="#E0E0E0" valign="top">[​IMG]
    </td></tr></tbody></table>'ครูบาสร้อย ขันติสาโร' หรือ 'พระครูนิมมานการโสภณ' วัดมงคลคีรีเขตร์ อ.ท่าสองยาง จ.ตาก พระเกจิอาจารย์ชื่อดังที่มีวิทยาคมรูปหนึ่งภาคเหนือ

    เกิดเมื่อวันจันทร์ที่ 28 ก.ย. 2472 ตรงกับวันขึ้น 7 ค่ำ เดือน 10 ปีมะเส็ง พื้นที่เขตตำบลละหานทราย อ.นางรอง จ.บุรีรัมย์

    เมื่อ อายุได้ 7 ขวบ โยมมารดาของท่านได้ถึงแก่กรรม ท่านได้มาอยู่ในความดูแลของคุณยาย ซึ่งคุณยายของท่านชอบเข้าวัดฟังธรรมตามวิถีชีวิตชนบท และมักพาท่านไปด้วยเสมอ ทำ ให้ท่านได้ใกล้ชิดกับวัดมาตลอด

    เมื่อเรียนจบชั้นประถม 4 เด็กชายสร้อยจึงได้ขออนุญาตคุณยายบรรพชาที่วัดชุมพร มีหลวงพ่อมั่น เป็นพระอุปัชฌาย์

    หลัง จากนั้น ได้ถวายตัวเป็นศิษย์หลวงพ่อ มั่น ฝึกบริกรรมด้วยการนับลูกประคำเป็นการฝึกสมาธิ เรียนวิทยาคมต่างๆ ควบคู่ไปกับการปฏิบัติสมาธิด้วย

    อยู่กับหลวงพ่อมั่น จวบจนอายุ 22 ปี จึงได้อุปสมบท มี หลวงพ่อมั่น เป็นพระอุปัชฌาย์, หลวงพ่อสุข วัดโพธิ์ทรายทอง เป็นพระกรรม วาจาจารย์ และหลวงพ่อสุต เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับฉายา ขันติสาโร

    หลังจากบวช หลวงพ่อสุขได้กล่าวชวนไป อยู่ด้วย ซึ่งส่วนตัวมีความเลื่อมใสศรัทธาและประสงค์ขอเรียนวิทยาคมจากหลวงพ่อสุข

    ใน ช่วงต้นหลวงพ่อสุขได้เน้นหนักในเรื่องการปฏิบัติกัมมัฏฐาน ในพรรษาถัดมา หลวงพ่อมั่น ซึ่งเป็นพระอุปัชฌาย์ของท่านได้มรณภาพลง ท่านจึงได้กลับไปจัดงานถวายหลวงพ่อมั่น เสร็จสิ้นแล้วจึงกลับมายังวัดหลวงพ่อสุขดังเดิม

    หลวงพ่อสุข ได้เริ่มสอนวิชาต่างๆ แก่ท่าน วิชาที่สำคัญ คือ การตรวจดูบุญวาสนา เพื่อช่วยในการรักษาโรคภัยต่างๆ

    พ.ศ.2497 ครูบาสร้อยได้ขอลาหลวงปู่สุขเข้าสู่กรุงเทพมหานคร โดยจุดหมายคือ วัดมหาธาตุฯ ด้วยขณะนั้นขึ้นชื่อในเรื่องการปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐาน ท่านได้อยู่ศึกษาเป็นเวลา 7 เดือน จึงลาพระธรรมธีรราชมหามุนี (โชดก ญาณสิทธิ) ผู้สอนท่านกลับคืนยังบุรีรัมย์ เมื่อญาติโยมได้รู้ข่าวการกลับมาของท่าน จึงได้ต้อนรับและนิมนต์ให้ท่านอยู่ที่วัดกลางนา

    แต่หลังจากออกพรรษา ท่านได้ตัดสินใจออกธุดงค์ ถือรุกขมูลลัดเลาะไปตามจังหวัดสุรินทร์ ศรีสะเกษ ต่อไปยังอุบลราชธานี จนยาวไปถึงนครพนม ข้ามไปยังฝั่งลาวแล้วข้ามกลับมายังมุกดาหาร ต่อเรื่อยไปจนเข้าสู่เทือกเขาภูพาน เขตสกลนคร เรื่อยไปจนเข้าหล่มสักเข้าพิษณุโลก ซึ่งช่วงนี้ท่านหลงป่าอยู่ จนทะลุออกมายังอุตรดิตถ์

    จากการหลงป่าครั้งนี้ ท่านจึงเปลี่ยนมาเดินโดยใช้เส้นทางรถไฟช่วย ล่วงได้ 7 วัน ท่านก็ถึงดอยสะเก็ด จ.เชียงใหม่ ได้มีโอกาสพบ 'หลวงปู่แหวน สุจิณโณ' พระสายปฏิบัติชื่อดัง และได้ขอศึกษาข้อธรรมต่างๆ

    หลวงปู่แหวนท่าน เน้นไปทางอสุภกัมมัฏ ฐาน ซึ่งช่วงนี้ท่านได้พบกับข้อธรรมที่ลึกซึ้งมาก ขึ้น จากนั้นท่านได้กราบลาหลวงปู่แหวน ออกธุดงค์ถือรุกขมูลไปจนถึงแม่สะเรียง พักที่วัดศรี บุญเรือง

    ท่าน ตั้งใจจะไปที่แม่ฮ่องสอน แต่ด้วยติดกาลพรรษา จึงได้อยู่จำพรรษาที่วัดศรีบุญเรือง จนล่วงกาลพรรษา ท่านจะออกเดินทางต่อ พอดีได้ทราบจากญาติโยมว่าที่ท่าสองยางมีวัดร้างอยู่

    ท่านได้ไปดูสถานที่แห่งนั้น พบว่าเงียบสงบเหมาะแก่การปฏิบัติธรรม จึงได้ตกลงใจสร้างวัดมงคลคีรีเขตร์

    ครู บาสร้อยได้พัฒนาวัดมงคลคีรีเขตร์ จนเจริญรุ่งเรืองเป็นที่รู้จักของญาติโยมและคณะศรัทธา จนท่านได้รับการขนานนามว่า เทพเจ้าแห่งท่าสองยาง

    วัตถุมงคลของครูบา สร้อยมีจัดสร้างขึ้นมาก มายทั้งพระเครื่องและเครื่องรางของขลัง โดยเฉพาะประเภทเหรียญ ที่ได้รับความนิยมจากบรรดาเซียนพระและนักสะสมพระเครื่องเป็นอย่างยิ่ง คือ เหรียญครูบาสร้อย รุ่นสุริยุปราคา ปี 2538

    เหรียญครูบาสร้อย เป็นเหรียญที่ได้รับความนิยมในวงการ มีพุทธคุณโดดเด่นด้านแคล้วคลาดปลอดภัย

    นอก จากนี้ ชาวบ้านในแถบพื้นที่ใกล้เคียง ที่เคยเดินทางไปกราบนมัสการท่าน จะรู้ดีว่าท่านเป็นพระภิกษุที่มากด้วยเมตตา นอกจากให้เข้าพบโดยง่ายแล้ว ยังชอบแจกวัตถุมงคล กระบอก ยาอันศักดิ์สิทธิ์ ภายในมีของดีบรรจุอยู่คือ สีผึ้ง ชานหมาก เกศา ว่าน พระสีวลีองค์จิ๋ว ชาวกะเหรี่ยง พม่า และชนเผ่าต่างๆ นับถือและชื่นชอบกันมาก

    กระบอกยา ศักดิ์สิทธิ์ เป็นวัตถุมงคลอีกชนิดหนึ่ง ที่สร้างชื่อเสียงให้กับครูบาสร้อยเป็นอย่างมาก ท่านจะนำหลอดยานี้แจกให้กับลูกศิษย์อยู่เสมอ มีพุทธคุณด้านเมตตามหานิยม

    ครูบาสร้อยได้ละสังขารอย่างสงบ เมื่อวันที่ 19 ธ.ค. 2541 สิริอายุ 69 พรรษา 49
    [/FONT]


    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลและที่มาหนังสือพิมพ์ข่าวสดอย่างสูงครับ

    เหรียญรุ่น2 ครูบาสร้อย จ.ตาก รุ่นประสบการณ์ครับในพื้นที่ ตอนนี้วัตถุมงคลของท่านกำลัง

    เป็นที่แสวงหาครับ

    ให้บูชา 2200 บาท

    [​IMG]


    [​IMG]


    หลวงปู่คำดี ปภาโส เป็นพระเถระผู้ใหญ่รูปหนึ่ง ที่ชาวจังหวัดเลย รวมทั้งชาวภาคอีสาน ภาคเหนือ และภาคกลางให้ความเคารพนับถือมาก

    ด้วยความเป็นพระนักปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ และเป็นศิษย์เอกของหลวงปู่มั่น ภูริทตโต อีกด้วย

    อัตโนประวัติหลวงปู่คำดี เกิดในสกุล นิลเขียว เมื่อวันที่ 26 มีนาคม 2445 ที่บ้านหนองคู ต.หว้า อ.เมือง จ.ขอนแก่น โยมบิดา-มารดาชื่อ นายพร และนางหมอก นิลเขียว

    ในช่วงวัยเยาว์ ด.ช.คำดีไม่ได้เรียนหนังสือ เนื่องจากในพื้นที่ไม่มีโรงเรียน จนเมื่อเติบโตเป็นผู้ใหญ่ อายุครบ 22 ปี จึงได้ขอบุพการีออกบวช

    ตอนแรก ท่านได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุในสายมหานิกาย ที่วัดหนองแหวง เมืองเก่า ต.พระลับ อ.เมือง จ.ขอนแก่น โดยมีพระครูเมือง เป็นพระอุปัชฌาย์, พระอาจารย์โพธิ์ เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และพระอาจารย์ ชสนุหลิด เป็นพระอนุสาวนาจารย์

    ต่อมา เจ้าอาวาสวัดหนองแวงได้ลาสิกขาบท หลวงปู่คำดีจึงได้เลื่อนตำแหน่งเป็นเจ้าอาวาสวัดแทน
    <table style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px dotted; BORDER-TOP: #ffffff 1px dotted; BORDER-LEFT: #ffffff 1px dotted; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px dotted" align="right" border="1" cellpadding="1" cellspacing="5" width="20%"><tbody><tr bgcolor="#ffe9ff"><td>[​IMG]</td></tr></tbody></table>

    ในระหว่างที่ออกบวชนั้น ท่านพิจารณาเห็นว่า การบวชตามประเพณีคงไม่ใช่แนวทางพ้นทุกข์ จึงมีดำริออกไปธุดงควัตร ฝึกฝนวิปัสสนากัมมัฏฐานให้รู้แจ้งเห็นจริง

    หลังจากออกธุดงค์แล้วหลวงปู่ดำดี ปภาโส ได้แปรญัตติจากมหานิกายมาเป็นพระภิกษุฝ่ายธรรมยุต ในปีพ.ศ.2471 และย้ายไปจำพรรษาที่วัดโคกศรี บ้านยาง อ.เมือง จ.ขอนแก่น

    หลวงปู่คำดีได้มีโอกาสพบกับ 2 พระอาจารย์ ที่ธุดงค์ผ่านมาที่วัด เป็นพระวิปัสสนากัมมัฏฐานคือ พระอาจารย์สิงห์ ขันตยาคโม และพระอาจารย์มหาปิ่น ปัญญาพโล

    ในช่วงนั้นมีพระอาจารย์มาอยู่จำพรรษาด้วยหลายรูป อาทิ พระอาจารย์อ่อน ญาณสิริ, พระอาจารย์ฝั้น อาจาโร, พระอาจารย์จันทร์ เขมปัตตโต ทำให้หลวงปู่คำดีได้รับการอบรมในเรื่องวิปัสสนากัมมัฏฐานเป็นอย่างดี

    จากนั้น หลวงปู่คำดีได้ออกท่องธุดงค์ไปตามสถานที่ต่างๆ ปฏิบัติตามคำสั่งสอนของพระอาจารย์ และในช่วงที่หลวงปู่ออกธุดงค์ได้พบกับเรื่องต่างๆ มากมาย ในขณะที่ปฏิบัติธรรมอยู่ตามป่าเขามาโดยตลอด ก่อนที่ท่านจะมาอยู่ที่วัดถ้ำผาปู่ประมาณปีพ.ศ.2497

    ตอนนั้น หลวงปู่จำพรรษาอยู่ที่วัดคีรีวันคำหวายยาง ต.บ้านกง อ.หนองเรือ จ.ขอนแก่น มีพระอดิสัยคุณาทาน หรือหลวงปู่ศรีจันทร์ วัณณาโภ หรือพระธรรมวราลังการ เจ้าอาวาสวัดเลยหลง จ.เลย เดินทางไปตรวจปัญหาธรรมที่จังหวัดนครราชสีมาและมาแวะพักกับหลวงปู่คำดี

    หลวงปู่คำดีถามว่า สถานที่วิเวกที่จังหวัดเลยมีที่ไหนบ้าง พอจะเป็นที่วิเวกประกอบความเพียรได้สะดวกบ้าง หลวงปู่ศรีจันทร์ฯ บอกว่ามีหลายแห่ง เป็นถ้ำที่สำคัญทั้งนั้น ตอนนั้นไม่ค่อยมีพระอยู่ ไปๆ มาๆ เนื่องจากอยู่ในที่กันดาร น้ำอาหารการกินลำบากมาก มีถ้ำมโหฬาร อ.วังสะพุง ปัจจุบันอยู่ในกิ่ง อ.หนองหิน ถ้ำผาบิ้ง อ.วังสะพุง, ถ้ำผาปู่ ต.นาอ้อ อ.เมืองเลย

    ต่อมา หลวงปู่คำดี ปภาโส ได้พาลูกศิษย์เดินทางมาจังหวัดเลยเพื่อเสาะแสวงหาความวิเวก และแวะตามถ้ำต่างๆ แต่ไม่ถูกใจ จนมาถึงวัดเลยหลง หลวงปู่ศรีจันทร์จึงให้ไปจำพรรษาที่วัดถ้ำผาปู่ ซึ่งขณะนั้นยังเป็นสำนักสงฆ์อยู่ มีพระพุทธรูปอยู่ในถ้ำ ไม่ทราบว่าใครเป็นผู้สร้าง

    และหลวงปู่คำดีพอใจมาก เพราะเป็นสถานที่สงบ เหมาะสำหรับการบำเพ็ญเพียรภาวนา ท่านจึงจำพรรษาอยู่ที่วัดถ้ำผาปู่มาโดยตลอด และพัฒนาวัดจนเจริญในทุกวันนี้

    ปัจจุบัน หลวงปู่คำดีได้มรณภาพ เมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 2527 สิริรวมอายุ 83 ปี

    แม้หลวงปู่คำดีมรณภาพไปนานแล้ว แต่บรรดาลูกศิษย์ลูกหาต่างพากันไปกราบไว้บูชาที่พิพิธภัณฑ์ของหลวงปู่ ซึ่งมีการรวมรวมเรื่องราวความเป็นมา ประวัติและคำสั่งสอนของหลวงปู่คำดี ในหนังสือเอาไว้เป็นจำนวนมาก


    เหรียญรุ่นแรกหลวงปู่คำดี ปภาโส ศิษย์กรรมฐานสายหลวงปู่มั่น

    เหรียญสภาพผ่านการบูชา วััตถุมงคลพระอรหันต์อธิฐานจิตไม่ต้องบรรยาย

    ให้บูชาองค์ละ 1300 บาทค่าจัด
    ส่งEMS50บาทครับ

    [​IMG] [​IMG]


    [​IMG]
    หลวงปู่ผาด อภินนฺโท หรือ พระครูมงคลสาธุวัตร วัดไร่
    ประวัติหลวงปู่ผาด อภินันโท วัดไร่
    หลวงปู่ผาด อภินนฺโท หรือ พระครูมงคลสาธุวัตร แห่งวัดไร่ ต.ศาลเจ้าโรงทอง อ.วิเศษชัยชาญ จ.อ่างทอง อายุ ๙๔ ปี ๗๓ พรรษา ท่านเกิดเมื่อวันอาทิตย์ แรม ๑๓ ค่ำ เดือน ๑๐ ปีมะโรง ตรงกับวันที่ ๒๔ กันยายน ๒๔๕๙ บิดาชื่อนายเหนี่ยง ทองฟู มารดาชื่อนางแจ๋ว ทองฟู ท่านมีพี่น้องร่วมบิดา-มารดากันเป็นชายทั้งหมด โดยท่านเป็นคนกลาง

    ในวัยเด็กท่านศึกษาชั้นประถมที่โรงเรียนประชาบาลวัดยางมณี จนจบชั้น ป.๔ ท่านได้รับเมตตาจาก ท่านเจ้าคุณรัตนมุนี อัตทัสสีมหาเถระ วัดชีโพน ซึ่งเป็นเจ้าคณะจังหวัดพระนครศรีอยุธยาในสมัยนั้น และเป็นศิษย์ของ หลวงพ่อกลั่น วัดพระญาติ รับท่านเข้าไว้เป็นศิษย์ในสำนักเรียนของวัดชีโพน โดยได้ศึกษาพระปริยัติธรรม และกรรมฐานจากพระอาจารย์โดยละเอียดชัดแจ้ง

    ต่อมาเมื่อท่านอายุครบบวช จึงได้เข้ารับการอุปสมบท ณ วัดยางมณี เมื่อวันที่ ๑๗ พฤษภาคม ๒๔๘๑ โดยมีหลวงพ่อปลื้ม วัดช้าง เป็นพระอุปัชฌาย์ หลวงพ่อชวน วัดยางมณี เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และหลวงพ่อแทน วัดกำแพง เป็นพระอนุสาวนาจารย์

    หลังจากท่านอุปสมบทแล้ว ท่านได้เดินทางมาศึกษาพระปริยัติธรรมที่วัดมหาธาตุ กรุงเทพฯ และศึกษาวิชาธรรมกายจาก หลวงพ่อสด หรือ ท่านเจ้าคุณพระมงคลเทพมุนี วัดปากน้ำภาษีเจริญ ธนบุรี จนท่านบรรลุวิชาเข้าถึงดวงธรรมกาย และได้รับการยืนยันรับรองจากปากหลวงพ่อสด วัดปากน้ำ ว่า “แสงแห่งพระธรรมกายนั้น ถ้าหยุดถูกที่แล้วจะสว่างไสวยิ่งกว่าพระอาทิตย์สักร้อยดวงมารวมกัน ถ้าใครยังไม่เชื่อให้ถามพระจากอ่างทององค์นี้ดู เพราะท่านสำเร็จธรรมกายขั้นสูงสุดแล้ว” พูดพลางหลวงพ่อสดก็ชี้มือมาที่หลวงปู่ผาด ซึ่งขณะนั้นยังเป็นพระหนุ่มอยู่
    นอกจากนี้หลวงปู่ผาด ยังเรียนวิชาสำคัญจากพระเกจิสายอ่างทอง เช่น เรียนทำผงวิเศษจากหลวงพ่อภู วัดดอนรัก เรียนทำเบี้ยแก้ เสกปรอท จากหลวงพ่อพัก วัดโบสถ์ เรียนทำตะกรุดโบสถ์ลั่นจากหลวงปู่คำ วัดโพธิ์แก้ว

    ในปี พ.ศ. ๒๔๙๕ ท่านได้รับการแต่งตั้งให้เป็นเจ้าอาวาสวัดไร่ และตั้งสำนักอบรมวิปัสสนากรรมฐานตามแนวทางวิชาธรรมกายของหลวงพ่อสด วัดปากน้ำ

    อย่างไรก็ตาม แม้ทุกวันนี้หลวงปู่จะมีอายุกาลเข้าวัยชราภาพมากแล้ว แต่ท่านก็ยังคงอารมณ์อยู่ในวิปัสสนาญาณชั้นสูงอยู่ทุกขณะจิต ฉันอาหารได้มาก และดี ยังแข็งแรง มีความจำดีเลิศ ไม่หลงลืม ไม่ยินดียินร้ายในสมบัติของโลกทุกชนิด ไม่ยึดติด ไม่สะสม จำวัดกลางศาลาใหญ่ใกล้เมรุเผาศพ เมื่อคราวน้ำท่วมอ่างทองครั้งใหญ่ น้ำเอ่อล้นท่วมทุกที่ แต่ที่ศาลาใหญ่ ที่ท่านจำวัด ซึ่งสูงกว่าพื้นถนนไม่ถึงฟุต สายน้ำกลับวกไปไม่ท่วมถึง เคยมีพระสงฆ์ผู้รู้ทางในบอกไว้ในหมู่นักปฏิบัติหลังจากมากราบหลวงปู่ผาดว่า “พระอรหันต์นั้นหาไม่ยาก ในยุคนี้หาก อยากกราบพระอรหันต์ก็ต้องรีบไปกราบหลวงปู่ผาด ที่วัดไร่ อ่างทองให้ได้เชียว”


    ในด้านการปลุกเสกพระเครื่องเครื่องรางของขลัง หลวงปู่นั่งอธิษฐานจิตแบบลืมตาเสก คือว่าคาถาเป่าไปเรื่อย ๆ ซึ่งผู้รู้บอกว่า การลืมตาเสกเป็นการเสกแบบเปิดโลก แบบเดียวกับ หลวงปู่ดู่ วัดสะแก คือ เปิดหนทางทุกอย่าง เปิดโภคทรัพย์ เปิดทางชีวิต มีอภิญญาจิต คุณวิเศษ ผู้หยั่งรู้วาระจิตคน เล่ากันว่า แม้แต่เทวดา ยังมาฝากตัวเป็นศิษย์และกระแสจิตท่านเทียบเท่า ท่านเจ้าคุณนรรัตนราชมานิต พระอรหันต์กลางกรุงแห่งวัดเทพศิรินทร์ฯ

    ขอขอบคุณที่มาข้อมูลเจ้าของบทความอย่างสูงครับ



    เหรียญรุ่น๒ หลวงปู่ผาด วัดไร่ อ่างทอง สภาพสวยเดิมครับ

    ให้บูชา 700 บาทค่าจัดส่งEMS50บาทครับ

    [​IMG] [​IMG]


    เหรียญรุ่น 1 หลวงพ่อแสวง วัดหนองอีดุก ตามประวัติเล่ากันว่าท่านเสก 10 ปี และ บางครั้ง

    เสกในป่าช้า มีประสบการณ์มหาอุตย์ โดยการทดลองยิง ท่านเป็นศิษย์หลวงพ่อกวย

    หลวงพ่อฤาษี

    ให้บูชา 650 บาทค่าจัดส่งEMS50บาทครับ
    [​IMG] [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 เมษายน 2012
  11. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,466
    ค่าพลัง:
    +21,327
    พระอาจารย์ธรรมโชติและชาวบ้านบางระจัน



    นายสอน สุทธิสาร ผู้ว่าราชการจังหวัดสุพรรณบุรี มีดำริให้ปรับปรุงวิหารพระอาจารย์ธรรมโชติ ได้งบประมาณจากองค์การบริหารส่วนจังหวัด 200,000 บาท ทำการบูรณะปฏิสังขรณ์วิหารเสร็จเรียบร้อย เมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม 2520 เพื่อเป็นการรำลึกนึกถึง เกียรติคุณของพระอาจารย์ธรรมโชติ นายสอน สุทธิสาร ผู้ว่าราชการจังหวัดสุพรรณบุรี ดำริสร้างมงคลวัตถุขึ้น 2 ชนิด คือ เหรียญรูปพระอาจารย์ธรรมโชติและพระเครื่องเนื้อดินเผาศิลปอู่ทองขึ้น เพื่อให้พี่น้องชาวไทยทั่วประเทศ ได้มีไว้ใช้สักการบูชา อันเป็นสิริมงคลแก่ตนเองและครอบครัว สำหรับเหรียญออกแบบโดยกรมศิลปากร สร้างโดยกองกษาปณ์ กรมธนารักษ์ ส่วนพระเครื่องออกแบบโดยช่างผู้มีฝีมือเยี่ยมผู้หนึ่งในจังหวัดสุพรรณบุรี ส่วนผสมและดินที่นำมาสร้างพระเครื่องในครั้งนี้ ได้มาจากกลางใจเมืองทุกจังหวัดในประเทศไทยและดินทุกวัดในจังหวัดสุพรรณบุรี รวมทั้งน้ำพุทธมนต์ ประจำราชสำนักกรุงรัตนโกสินทร์ทุกรัชกาล




    มีการปลุกเสกโดยพระคณาจารย์ผู้มีชื่อเสียงเป็นที่เคารพนับถือ ศรัทธากันโดยทั่วไป จากพระคณาจารย์หลายจังหวัดซึ่งทำพิธีพุทธาภิเษกปลุกเศกบนยอดเขาวัดเขานางบวช เมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม 2520


    รายชื่อพระคณาจารย์ผู้ปลุกเศก

    1. หลวงพ่อแพ วัดพิกุลทอง จ.สิงห์บุรี
    2. หลวงปู่โต๊ะ วัดประดู่ฉิมพลี
    3. หลวงพ่อเชื้อ วัดโพธิ์บำเพ็ญบุญ จ.ชัยนาท
    4. หลวงพ่อทรัพย์ วัดตลุก จ.ชัยนาท
    5. หลวงพ่อจวน วัดหนองสุ่ม อ.อินทร์บุรี
    6. หลวงพ่อทองอยู่ วัดใหม่หนองพระองค์ จ.สมุทรสาคร
    7. หลวงพ่อสนิท วัดศิลขันธาราม จ.อ่างทอง
    8. หลวงพ่อเทียม วัดกษัตราธิราช จ.อยุธยา
    9. หลวงพ่อแช่ม วัดดอนยายหอม จ.นครปฐม
    10. หลวงพ่อเนื่อง วัดจุฬามณี สมุทรสงคราม
    11. หลวงพ่อถิร วัดป่าเลไลย์ อ.เมือง จ.สุพรรณบุรี
    12. หลวงพ่อสำราญ วัดปราสาททอง อ.เมือง จ.สุพรรณบุรี
    13. หลวงพ่อสัมฤทธิ์ วัดอู่ทอง บางปลาม้า จ.สุพรรณบุรี
    14. หลวงพ่อเจริญ วัดธัญญวารี ดอนเจดีย์ จ.สุพรรณบุรี
    15. หลวงพ่อทองหยด วัดชีสุขเกษม อ.เมือง จ.สุพรรณบุรี
    16. หลวงพ่อทองหยด วัดวังจิก อ.สามชุก จ.สุพรรณบุรี
    17. หลวงพ่อสม วัดดอนบุปผาราม อ.ศรีประจันต์ จ.สุพรรณบุรี 18. หลวงพ่อสุบิน วัดท่าช้าง อ.เดิมบางนางบวช จ.สุพรรณบุรี
    19. หลวงพ่อจวน วัดไก่เตี้ย ศรีประจันต์ จ.สุพรรณบุรี
    20. หลวงพ่อขอม วัดไผ่โรงวัว อ.สองพี่น้อง จ.สุพรรณบุรี
    21. หลวงพ่อเพียว วัดโพธิ์ทองเจริญ อ.อู่ทอง จ.สุพรรณบุรี
    22. หลวงพ่อไสว วัดเขาพระ อ.เดิมบางนางบวช จ.สุพรรณบุรี



    จำนวนสร้าง


    – เหรียญเนื้อทองแดงกะไหล่ทอง 10,009 เหรียญ เหรียญละ 25 บาท
    - เหรียญนวโลหะ 1,009 เหรียญ เหรียญละ 50 บาท
    - เหรียญทองคำ เหรียญละ 1,900 บาท สร้างตามผู้ที่สั่งจอง
    - เหรียญเงิน เหรียญละ 100 บาท สร้างตามผู้สั่งจอง
    - พระเครื่อง (เล็ก-ใหญ่) 50,009 องค์ องค์ละ 25 บาท


    ขอขอบคุณที่มาข้อมูลเจ้าของบทความอย่างสูงครับ


    พระอาจารย์ธรรมโชติและชาวบ้านบางระจันบล็อคกษาปกะไหล่ทอง พิธีดีเจตนาดี

    น่าบูชาอย่างยิ่งสำหรับคนรักชาติรักแผ่นดิน ถ้าคนคิดคดทรยศแผ่นดินอย่าบูชาไปครับ

    เดี๋ยวจะเป็นภัยและจะเป็นอัปมงคลต่อวัตถุมงคล

    ให้บูชา 350 บาทค่าจัดส่งEMS50บาทครับ(ปิดรายการ)

    [​IMG]

    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 เมษายน 2012
  12. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,466
    ค่าพลัง:
    +21,327
    [​IMG]
    หลวงพ่อท่านคลิ้ง วัดถลุงทอง
    พระครูภาวนาภิรมย์ พ่อท่านคลิ้ง วัดถลุงทอง นับว่าเป็นอริยะสงฆ์แดนทักษิณอีกองค์หนึ่งของเมืองนครศรีธรรมราช ตลอดชีวิตร้อยกว่าปีของท่านมีแต่เมตตาธรรมต่อผู้ที่ได้ไปกราบท่าน

    สำหรับความศักดิ์สิทธิ์ของท่านนั้น ขนาด
    พ่อท่านคล้าย แห่งวัดสวนขัน ยังกล่าวยกย่อง พ่อท่านคลิ้งเสมอ เช่นว่า มีชาวบ้านจาก อ.ร่อนพิบูลย์ไปกราบพ่อท่านคล้าย พอท่านทราบว่ามาจากร่อนพิบูลย์ ท่านก็จะกล่าวว่า “ทีหลังไม่ต้องมาไกลถึงนี้หรอก ไปหาท่านคลิ้งนั้นแหละ ท่านคลิ้ง(หลวงพ่อคลิ้ง)ให้พรดีเหมือนเหมือนฉัน” หรือ แม้แต่พระอาจารย์นำ วัดดอนศาลา ก็ยังกล่าวยกย่อง พ่อท่านคลิ้ง อยู่เสมอ



    ประวัติพ่อท่านคลิ้ง จันทสิริ วัดถลุงทอง
    เกิด 29 สิงหาคม พ.ศ.2429
    บรรพชา พ.ศ.2435 ขณะอายุ 8 ปี
    อุปสมบท พ.ศ.2447 ขณะอายุ 20 ปี
    ละสังขาร 21 มกราคม พ.ศ.2533
    รวมสิริอายุ 104 ปี 84 พรรษา



    พ่อท่านคลิ้ง เป็นคณาจารย์ที่อายุยืนนานอีกองค์หนึ่ง พระเครื่อง วัตถุมงคลที่ท่านได้เมตตาปลุกเสกเอาไว้มีหลายชนิด เช่น เหรียญ ลูกอมชานหมาก พระปิดตาเนื้อผงผสมว่าน วัตถุมงคลพ่อท่านคลิ้งท่านเด่นทางด้าน เมตตามหานิยม โภคทรัพย์ แคล้วคลาด


    วัดถลุงทอง เป็นวัดที่เงียบสงบอยู่ห่างจากถนนเอเชียสายหลัก ระหว่างร่อนพิบูลย์-นครศรีธรรมราช เข้าไปประมาณ 9 กิโลเมตร ระหว่างทางจะผ่านสวนผลไม้ ไร่นาและบ้านของชาวบ้าน บริเวณวัดสงบร่มเย็น อยู่ใกล้กับเทือกเขา ชาวบ้านบริเวณนั้นจะนับถือพ่อท่านคลิ้งมาก เพราะท่านเป็นพระที่มีเมตตาต่อทุกๆคน


    ประวัติหลวงพ่อคลิ้ง วัดถลุงทอง
    หลวงพ่อคลิ้งจันทสิริ” เป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไปว่าเป็นพระเถระที่มีวิชาอาคมอีกรูปหนึ่ง นอกจากนี้หลวงพ่อคลิ้ง วัดถลุงทองท่านยังมีอายุยืนนานถึง ๑๐๔ ปี เพราะ[FONT=Tahoma][COLOR=#984806][FONT=Cordia New][COLOR=#000000][B]พ่อท่านคลิ้ง วัดถลุงทอง[/B][/COLOR][/FONT][/COLOR][/FONT] ท่านเกิดเมื่อ พ.ศ. ๒๔๒๙ และมรณภาพใน ปี พ.ศ. ๒๕๓๓ โดยออกบวชเป็นสามเณรขณะอายุ ๘ ขวบ แล้วก็ครองเพศเป็นบรรพชิตมาตลอดจวบกระทั่งวาระสุดท้ายของชีวิต หากนับพรรษาต่อเนื่องตั้งแต่บวชเป็นสามเณรกระทั่งเป็นพระภิกษุ “[COLOR=#000000][B]หลวงพ่อคลิ้ง[/B][/COLOR]” ก็จะครองพรรษาได้ถึง ๙๖ พรรษา เลยทีเดียว



    ส่วนทางด้านเรื่องราวอภินิหารของ “[B][COLOR=#000000]พ่อท่านคลิ้ง[/COLOR][/B]” ที่จะนำมาเล่าขานวันนี้เป็นเรื่องราวของพระเครื่องหลวงพ่อคลิ้ง “เหรียญรูปเหมือน[FONT=Cordia New][B][SIZE=2][COLOR=#000000]พ่อท่านคลิ้ง[/COLOR][/SIZE][/B] [/FONT]หลัง ภปร” ซึ่งจัดเป็นเหรียญ ที่อุดมด้วยสิริมงคลเพราะจัดสร้างในวาระฉลองอายุครบ ๙๓ ปี เมื่อ พ.ศ. ๒๕๒๑ โดย “พลตรีพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าภานุพันธ์ยุคล” หรือ “เสด็จพระองค์ชายใหญ่” พระโอรสของ “จอมพลสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าฯกรมหลวง ลพบุรีราเมศวร์” อดีตผู้สำเร็จราชการมณฑลทักษิณ พร้อมทั้งได้กราบบังคมทูล พระกรุณาขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตอัญเชิญตราสัญลักษณ์ “พระปรมาภิไธยย่อ ภปร” ประดิษฐานที่ด้านหลังเหรียญจึงนับเป็นสิริมงคลอันสูงสุด ดังที่ทราบ กันดีในวงการนักสะสมว่าวัตถุมงคลที่มีความเกี่ยวเนื่อง “พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว” รัชกาลปัจจุบันล้วนเป็นที่นิยม ต่อนักสะสมซึ่งถึงแม้ว่า ขั้นตอนการสร้าง “เหรียญของพ่อท่านคลิ้ง” รุ่นนี้ “พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว” มิได้เสด็จฯทรงประกอบพิธีแต่ก็ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณต่อ “พ่อท่านคลิ้ง” ได้ทรงพระสุหร่ายและทรงเจิม “โลหะธาตุมหามงคล” แล้วพระราชทานให้นำมาหล่อหลอมผสมกับแผ่นทองลงอักขระเลขยันต์ของ “พ่อท่านคลิ้ง” นับเป็นร้อย ๆ แผ่นและโลหะสัมฤทธิ์เก่าสมัยบ้านเชียงที่มีอายุกว่า ๔,๐๐๐ ปี รวมถึงโลหะสัมฤทธิ์อันเป็น ชิ้นส่วนของพระพุทธรูปโบราณหลายสมัย เช่น ลพบุรี, ทวารวดี, สุโขทัย ฯลฯ


    [COLOR=#000000]และจากพิธีสร้างที่ดีเยี่ยมนี้เองจึง เป็นเหรียญ[FONT=Tahoma][COLOR=#984806][FONT=Cordia New][B][SIZE=2][COLOR=#000000]พ่อท่านคลิ้ง [/COLOR][/SIZE][/B][/FONT][/COLOR][/FONT]ที่มีประสบการณ์มากมายอย่างเช่น “นายสุนทร บุญชอุ่ม” ชาวตำบลคานโพธิ์ อ.เมือง จ.สตูล ได้เล่าให้ฟังว่า ตัวเขานั้นมีอาชีพเป็น “ไต้ก๋งเรือ” ประมงขนาดเล็กที่ออกหาปลาในแถบ “ทะเลอันดามัน” โดยมีลูกเรือเพียง ๕ คน ซึ่งช่วงที่พบประสบการณ์นั้น “นายสุนทร” จำได้แม่นว่าเป็นเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘ เพราะเป็นฤดูมรสุมทางภาคใต้โดยขณะนำเรือออกหาปลาช่วงเวลาประมาณสองทุ่มเศษ ปรากฏคลื่นขนาดยักษ์ถล่มเรือประมงของเขาอับปางลง “นายสุนทร” พร้อมลูกเรือต่างกระจัดกระจายไปคนละทิศละทางโดย “นายสุนทร” ที่เคยเป็นลูกเรือมาก่อนจึงช่วยเหลือตัวเองด้วยการเกาะเศษไม้จากเรือที่ อับปางคอยพยุงตัวเองลอยคออยู่กลางทะเลถึง “๒ วัน ๒ คืน” โดยขณะนั้นได้แต่ภาวนาให้ “[B]พ่อท่านคลิ้ง[/B]” ช่วยเหลือเนื่องจากในคอแขวน “เหรียญพ่อท่านคลิ้งหลัง ภปร” เพียงเหรียญเดียว กระทั่งเช้าตรู่วันที่สาม ขณะจวนจะหมดแรงอยู่แล้ว ก็มีเรือประมงขนาดใหญ่มาช่วยไว้และหลังจากฟังเรื่องราวของ “นายสุนทร” ทุกคนบนเรือประมงที่มาช่วยต่างสงสัยไปตาม ๆ กันว่า “นายสุนทร” รอดได้อย่างไรเพราะเป็นที่รู้กันดีในหมู่ชาวประมงหากเรือประมงขนาดเล็ก อับปางลงยังกลางทะเล ยากที่จะมีคนรอดได้แม้จะเก่งด้านว่ายน้ำแค่ไหนก็ตาม เพราะการว่ายน้ำข้ามวันข้ามคืนจะทำให้หมดแรงไปเองซึ่งตัว “นายสุนทร” เองก็ไม่รู้เช่นกันว่ารอดได้อย่างไรเพราะช่วงที่ลอยคออยู่ในทะเลนั้น คลื่นแรงมากปะทะหน้าอกเจ็บระบมไปหมดจึงได้แต่ภาวนาขอให้ “เหรียญ[B]พ่อท่านคลิ้ง[/B] ภปร” ที่แขวนอยู่ในคอช่วยแล้วกัดฟันว่ายน้ำไป[/COLOR]


    [SIZE=2]ส่วนอีกเรื่อง “นายฉลอง สง่าวงศ์” อาชีพทำไร่อยู่บ้านเลขที่ ๕๕๑ หมู่ ๔ ต.ไร่ใหม่ อ.กุยบุรี จ.ประจวบคีรีขันธ์ เล่าว่าตัวเขาชนะคดีความพิพาทกับเพื่อนบ้านเรื่องที่ดิน จึงถูกเพื่อนบ้านผู้นั้นเจ็บแค้นมาตลอด วันหนึ่งในเดือน มิ.ย. ๒๕๔๗ เวลาประมาณสามทุ่มเศษ ขณะ “นายฉลอง” เดินไปตามถนนในหมู่บ้านที่ทั้งมืดและเปลี่ยวปรากฏมีมือปืนมาซุ่มยิงด้วย “ปืนลูกซองกระสุนลูกโดด” (ปกติลูกซองจะเป็นกระสุนลูกปราย) สองนัดปรากฏว่าลูกกระสุนโดนลำตัวนายฉลองอย่างจังแต่นายฉลองกลับไม่เป็นอะไร มือปืนจึงยิงอีก ๒ นัด แต่กระสุนปืนก็ทำอะไรนายฉลองไม่ได้เช่นเคย มือปืนที่ซุ่มยิงจึงวิ่งเข้าหานายฉลองแล้วใช้ด้ามปืนตีท้ายทอยนายฉลอง ที่ยืนงงอยู่กับที่ถึงกับสลบเหมือดแล้วมือปืนจึงหนีไป กระทั่งเช้าวันรุ่งขึ้นจึงมีคนมาพบจึงพยุงนายฉลองกลับบ้าน ปรากฏว่านายฉลองโดนยิงลำตัวถึง ๓ นัด แต่กระสุนไม่เข้าเป็นเพียง “รอยช้ำแดง” เท่านั้นนายฉลองจึงเชื่อมั่นว่าเป็นเพราะ [/SIZE][FONT=MS Sans Serif][SIZE=2][COLOR=#000000]พระเครื่องหลวงพ่อคลิ้ง[/COLOR][/SIZE][/FONT][SIZE=2]“เหรียญพ่อท่านคลิ้งหลัง ภปร” ที่ใส่ตลับสเตนเลสแขวนคอไว้เพียงเหรียญเดียวช่วยไว้....[/SIZE][COLOR=#000000]'แฉ่ง บางกระเบา'[/COLOR]
    [FONT=MS Sans Serif] [B]พ่อท่านคลิ้ง [/B]พระอริยสงฆ์แห่งแดนทักษิณอีกรูปหนึ่ง นาม[B]พ่อท่านคลิ้ง จันทสิริ[/B] แห่งวัดถลุงทอง อำเภอร่อนพิบูลย์ จังหวัดนครศรีธรรมราช ตลอดช่วงชีวิตในกาสาวพัสตร์ 86 ปีของท่านเปี่ยมไปด้วยความเมตตาต่อผู้ไปกราบนมัสการท่าน กล่าวในด้านความศักดิ์สิทธิ์ของ[B]พ่อท่านคลิ้ง[/B]นั้น ในสมัยที่พ่อท่านคล้าย วัดสวนขัน ยังมีชีวิตอยู่ เมื่อชาวอำเภอร่อนพิบูลย์ไปกราบนมัสการท่านถึงวัดสวนขัน ท่านมักกล่าวว่า [B]"ทีหลังไม่ต้องมาไกลถึงนี้หรอก ไปหาท่านคลิ้งนั้นแหละ ท่านคลิ้งให้พรดีเหมือนฉัน"[/B][/FONT]
    [SIZE=2]เหรียญปั๊มรูปเหมือนหลัง ภปร.[FONT=Tahoma][COLOR=#984806][FONT=Cordia New][B][SIZE=2][COLOR=#000000]พ่อท่านคลิ้ง[/COLOR][/SIZE][/B] [URL="http://www.tumsrivichai.com/%E0%B8%9A%E0%B8%97%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87"][SIZE=2][COLOR=#000000]พระเครื่อง[/COLOR][/SIZE][/URL][/FONT][/COLOR][/FONT]ที่สร้างขึ้นในปี พ.ศ.2521 ซึ่งเหรียญ[B]พ่อท่านคลิ้ง[/B] หลัง ภปร.นี้ เป็นเหรียญปั๊มรูปไข่ ด้านหน้าเป็นรูปเหมือน[B]พ่อท่านคลิ้ง[/B]หันข้างครึ่งรูป มีอักษรโดยรอบเหรียญว่า "[B]พ่อท่านคลิ้ง[/B] จันทสิริ อายุครบ 93 ปี วัดถลุงทอง นครศรีธรรมราช พ.ศ.2521" ด้านหลังเป็นพระปรมาภิไธยย่อ ภปร.และอักขระขอมเหรียญ [B]พ่อท่านคลิ้ง[/B] หลัง ภปร.นับเป็นเหรียญดี พิธีเด่นเหรียญหนึ่งทีเดียว กล่าวคือ เป็นเหรียญที่พลตรีพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าภาณุพันธ์ยุคล หรือเสด็จพระองค์ชายใหญ่ ได้กราบบังคมทูลขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตอัญเชิญพระปรมาภิไธยย่อ ภปร. ประดิษฐานที่ด้านหลังเหรียญ[B]พ่อท่านคลิ้ง[/B] จึงนับว่าเป็นสิริมงคลอันสูงสุด เหรียญที่มีตราพระปรมาภิไธยย่อในวงการสะสมบูชาพระเครื่องล้วนเป็นที่นิยม ด้วยมีความเกี่ยวเนื่องในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ทรงพระสุหร่ายและทรงเจิมโลหธาตุมหามงคล แล้วพระราชทานหล่อหลอมรวมกับแผ่นทองลงอักขระเลขยันต์ของ[B]พ่อท่านคลิ้ง [/B]นับร้อย แผ่น และโลหะสัมฤทธิ์เก่าสมัยบ้านเชียง อายุกว่า 4,000 ปี และชิ้นส่วนพระพุทธรูปโบราณสมัยทวารวดี, ลพบุรี, สุโขทัยได้ทำพิธีพุทธาภิเษก ณ อุโบสถวัดถลุงทอง เมื่อวันที่ 14 ธันวาคม พ.ศ.2521 มี[B]พ่อท่านคลิ้ง [/B]เป็นประธานจุดเทียนชัย และนั่งปรก มีพระเกจิอาจารย์ร่วมปลุกเสก คือ พ่อท่านจันทร์ วัดทุ่งเฟื้อ อำเภอเชียรใหญ่ จังหวัดนครศรีธรรมราช ผู้มีวัตรปฏิบัติอันดีและเคยก่อเกิดปาฏิหาริย์ระหว่างการปลุกเสกมาหลายครั้ง หลายหน พ่อท่านผอม วัดหญ้าปล้อง อำเภอท่าศาลา จังหวัดนครศรีธรรมราช พระเกจิอาจารย์รูปนี้มีสมาธิแรงกล้ามาก วิทยาคมเป็นที่เลื่องลือ พ่อท่านหนูจันทร์ วัดพันธเสมา อำเภอหัวไทร จังหวัดนครศรีธรรมราช พระเกจิอาจารย์ผู้นิยมอยู่ในป่าช้าเป็นที่พำนัก พระครูกาชาด วัดพระบรมธาตุ อำเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช ผู้มีสมาธิอันสูงส่ง พระครูกาชาด (บุญทอง) วัดดอนศาลา อำเภอควนขนุน จังหวัดพัทลุง ศิษย์สำนักวัดเขาอ้ออันเลื่องชื่อ พระอาจารย์ศรีเงิน วัดดอนศาลา ศิษย์สำนักเขาอ้ออีกรูปหนึ่ง หลวงพ่อบุญรอด วัดประดู่พัฒนาราม จังหวัดนครศรีธรรมราช พระเกจิอาจารย์รูปนี้มีทหารเป็นศิษย์มากมาย เพราะวัตถุมงคลของท่านเลื่องชื่อ มีวัตรปฏิบัติไม่ฉันเนื้อสัตว์ และไม่รับนิมนต์ไปในงานที่มีการเลี้ยงเหล้า และฆ่าสัตว์ เล่นการพนันนอก จากนั้น ยังมีหลวงพ่อเจิม วัดใหญ่ จังหวัดนครศรีธรรมราช พระครูสังข์ วัดดอนตรอ อำเภอเชียรใหญ่ จังหวัดนครศรีธรรมราช พระอาจารย์แอบ วัดปากน้ำ อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ร่วมปลุกเสก มีขุนพันธรักษ์ราชเดช เป็นเจ้าพิธีฝ่ายฆารวาส ปลุกเสกเหรียญ[B]พ่อท่านคลิ้ง[/B][/SIZE]



    [SIZE=2]สำหรับใครที่ยังไม่เคยไปกราบไหว้ [B][URL="http://www.tumsrivichai.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=539682&Ntype=5"][B][COLOR=#000000]พ่อท่านคลิ้ง วัดถลุงทอง[/COLOR][/B][/URL][/B] ถ้ามีโอกาสลองแวะเข้าไปกราบไหว้สรีระพระอริยะสงฆ์แดนทักษิณ ดูนะครับเพื่อขอพรและความเป็นสิริมงคลแก่ตนเองและครอบครัว[/SIZE]


    ขอขอบคุณที่มาข้อมูลเจ้าของบทความอย่างสูงครับ


    พระผงรูปเหมือนพ่อท่านคลิ้ง เลี่ยมพลาสติคกันน้ำอย่างดี



    ให้บูชา 1000 บาทค่าจัดส่งEMS50บาทครับ


    [​IMG] [​IMG]
     
  13. charoen.b

    charoen.b เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    5,726
    ค่าพลัง:
    +15,488
    ขอรับไว้นะครับ ชอบครับ
     
  14. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,466
    ค่าพลัง:
    +21,327
    <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"><tbody><tr><td>
    </td><td align="left" valign="top">[FONT=Tahoma,]


    หลวงพ่อแต้ม วัดพระลอย ศิษย์พระเกจิ-หลวงพ่อปาน


    อริยะโลกที่6


    <table align="left" border="0" cellpadding="0" cellspacing="5" width="360"><tbody><tr><td align="center" bgcolor="#E0E0E0" valign="top">[​IMG]
    </td></tr></tbody></table>จากอดีต นักเลงกลับเนื้อกลับตัวมาบวช และเป็นพระเกจิอาจารย์ที่ชาวบ้านเคารพนับถือมากรูปหนึ่ง พระครูประภัศร์ ธรรมาภรณ์ หรือ หลวงพ่อแต้ม ปุญญ สุวัณโณ วัดพระลอย ต.รั้วใหญ่ อ.เมือง จ.สุพรรณบุรี

    เกิดเมื่อวันที่ 11 กันยายน 2434 บ้านด้านทิศใต้วัดพระลอย เป็นบุตรคนโตของพ่อแย้ม แม่อ่ำ นารถพลายพันธ์ ท่านเป็นคนร่างเล็ก ครอบครัวยากจน ไม่มีโอกาสได้เรียนหนังสือ พอแตกหนุ่มเกิดคบเพื่อนอันธพาลนักเลงรุ่นเดียวกัน ชอบตีรันฟันแทง แม้จะมีร่างเล็ก แต่เล็กพริกขี้หนู ใจถึงน่าดูไม่กลัวใคร ท่านเป็นหัวหน้านักเลงขึ้นชื่อ คุมท้องถิ่นแถวบ้านวัดพระลอย และมีเพื่อนอีกคนหนึ่งที่รู้จักชอบคอกันดีเป็นหัวหน้านักเลงอยู่ที่ศรีประ จันต์ ชื่อ ปุย (ภายหลัง คือ หลวงพ่อปุย วัดเกาะนั่นเอง) เป็นนักเลงคุมแถวลุ่มน้ำบ้านคอย

    วันหนึ่งบิดามารดาเห็นว่าหลวงพ่อ แต้มอายุครบบวชจึงอยากให้บวช เลยไปตามหลวงพ่อแต้ม ซึ่งตอนนั้นไปอยู่ที่อ่างทอง ตามตัวพบแล้วจึงพามาบวชที่วัดสำปะซิว โดยหลวงปู่โต๊ะ วัดลาดตาล ซึ่งขณะนั้นเป็นเจ้าอาวาสวัดสำปะซิว อบรมบ่มนิสัยหลวงพ่อแต้มก่อนบวช โดยแรกเริ่มหลวงพ่อแต้มไม่รู้หนังสือแม้แต่ตัวเดียว แต่ก็สามารถท่องเจ็ดตำนานได้ภายในเจ็ดวัน หลวงปู่โต๊ะชอบใจมาก เพราะหลวงพ่อแต้มหัวไว

    หลังจากนั้นจึงอุปสมบทให้หลวงพ่อแต้ม เมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม 2455 ณ พัทธสีมาวัดสำปะซิว มี หลวงพ่อปลื้ม วัดพร้าว เป็นพระอุปัชฌาย์ หลวงพ่อปลื้ม (อีกรูปหนึ่ง) เป็นพระกรรมวาจาจารย์ หลวงปู่โต๊ะ วัดสำปะซิว เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับฉายา "ปุญญสุวัณโณ"

    หลังจากบวชแล้ว เกิดจิตฟุ้งซ่าน หลวงปู่โต๊ะจึงพาไปเล่นกระดูกผีในป่าช้า และสอนกรรมฐานให้ด้วย และสอนหนังสือทั้งไทยและขอมจนอ่านออกเขียนได้ และหลวงพ่อแต้มยังได้ศึกษาวิชาแพทย์แผนโบราณ กับช่างไม้ช่างก่อสร้างจากหลวงปู่โต๊ะอีกด้วย จนมีความเชี่ยวชาญในด้านนี้มาก ต่อมาย้ายมาอยู่วัดพระลอยจึงลาสิกขาออกมาปี 2463 สรุปแล้วท่านบวชครั้งแรกอยู่ 8 พรรษา ใช้ชีวิตทางโลกอยู่พักหนึ่งเกิด เบื่อหน่ายทางโลก จึงอุปสมบทครั้งที่ 2 โดยมี หลวงพ่อสอน วัดป่าเลไลยก์ เป็นพระอุปัชฌาย์ หลวงพ่อพร วัดป่าเลไลยก์ เป็นพระกรรมวาจาจารย์ หลวงพ่อคำ วัดพระรูป เป็นพระอนุสาวนาจารย์

    หลังจากอุปสมบทครั้งสองแล้ว จำพรรษาอยู่วัดลาวทอง จวบจนปี พ.ศ.2466 จึงไปศึกษาวิปัสสนากรรมฐานจากหลวงพ่อซัว วัดสาลี บางปลาม้า จวบจนถึงปี พ.ศ. 2468 และไปเรียนต่อจากหลวงพ่อปาน วัดบางนมโค จ.พระนครศรีอยุธยา สำเร็จวิชายันต์เกราะเพชร ท่านเคยได้เขียนยันต์เกราะเพชรให้เจ้าอาวาสวัดท่าทอง ขณะนี้ยังอยู่ สวยงามมากและวิชาหมอตาทิพย์ วิชาแพทย์แผนโบราณช่วยคน และกลับมาอยู่วัดลาวทองต่อ

    ปีพ.ศ.2483 คณะสงฆ์แต่งตั้งให้หลวงพ่อแต้มมาดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดพระลอย ซึ่งใกล้จะร้าง ให้มีสภาพดีขึ้น ท่านพัฒนาวัดจนเจริญ เป็นสถานที่ท่องเที่ยวพักผ่อนหย่อนใจขึ้นชื่ออีกแห่งของเมืองสุพรรณ จวบจนมรณภาพปีพ.ศ.2514 สิริอายุ 80 ปี

    หลวงพ่อแต้มมรณภาพมีเจ้าภาพ ที่เป็นลูกศิษย์หลวงพ่อจองคิวสวดพระอภิธรรมจำนวนมากคนละวันก็เป็นปีๆ ทางวัดจึงได้พิจารณาจะสวดพระอภิธรรมแค่ 100 วัน และจะได้รับพระราชทานเพลิงศพ เมื่อครบ 100 วัน เปิดโรงศพท่านดูก็ต้องพบกับเหตุการณ์อันน่าอัศจรรย์ เมื่อศพของหลวงพ่อไม่เน่าเปื่อย เหมือนกับคนนอนนิ่งธรรมดา ทางวัดจึงเก็บศพหลวงพ่อไว้ถึงปัจจุบันนี้ และเปิดให้ประชาชนกราบสักการะศพของท่านได้ทุกวัน

    สมดังปัจฉิมวาจา ก่อนมรณภาพที่หลวงพ่อให้ไว้ว่า "ถ้าข้าตาย ก็ให้เก็บศพไว้อย่าไปเผา สังขารข้าอยู่ วิชาอาคมของข้าก็อยู่ช่วยพวกเอ็งไปตลอด เดือดร้อนอะไรให้มากราบพระลอย และมาหาข้า เหตุร้ายเดือดร้อนจะหายไป ข้าจะลงวิชาเกราะเพชรให้แก�ทุกคนจำไว้ นะไอ้หนู"

    หลวงพ่อแต้ม เริ่มสร้างวัตถุมงคลรุ่นแรก ตั้งแต่ปีพ.ศ.2495 พระเนื้อดินเผาสีดำ เป็นพระซุ้มกอ และพิมพ์นาคปรก หรือปางพญามหาชมพู และอีกหลายพิมพ์ เป็นเนื้อดิน เป็นต้น เมื่อปีพ.ศ.2511 สร้างเหรียญรุ่นแรกเป็นเหรียญรูปอาร์ม เนื้อทองแดงรมดำ และเหรียญรุ่น 2 ปี 2512 รุ่น3 ปี 2523 ช่วงเวลานั้นท่านได้สร้างพระกริ่ง เป็นกริ่งนาคปรก เนื้อโลหะผสม นับเป็นกริ่งรุ่นแรกรุ่นเดียวของหลวงพ่อแต้ม

    ด้วย หลวงพ่อแต้มสำเร็จวิชายันต์เกราะเพชรหลวงพ่อปาน วัดบางนมโค ท่านจึงได้สร้างเหรียญยันต์เกราะเพชรเหรียญแรกของแผ่นดิน ตั้งแต่ปี 2511 ฝากไว้เป็นสมบัติชั่วลูกชั่วหลาน ว่ากันว่าก่อนปี 2511 ยังไม่มีพระเกจิอาจารย์รูปใดสร้างเหรียญยันต์เกราะเพชรเลย
    [/FONT]

    ขอขอบคุณที่มาข้อมูลเจ้าของบทความอย่างสูงครับ

    ล็อคเก็ตหลังตะกรุดสามกษัตย์หลวงพ่อแต้ม

    (ปิดรายการ)


    [​IMG] [​IMG]
    </td></tr></tbody></table>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 สิงหาคม 2012
  15. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,466
    ค่าพลัง:
    +21,327
    เหรียญหลวงพ่อขอม วัดไผ่โรงวัว ปี2516 เลี่ยมพลาสติคกันน้ำอย่างดี

    (ปิดรายการ)

    [​IMG]

    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 สิงหาคม 2012
  16. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,466
    ค่าพลัง:
    +21,327
    เหรียญหลวงพ่อผางรุ่นนี้ ที่มีท่านผู้สอบถามไว้ครับ

    ขอบคุณครับ

    [​IMG] [​IMG]
     
  17. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,466
    ค่าพลัง:
    +21,327
    ชุดเหรียญหลวงพ่อจวน วัดหนองสุ่ม รุ่นสายสิญไหม้ (จงเจริญ)

    เหรียญทำบุญอายุ 60 ปีและเหรียญผูกพัธสีมา วัดราษฎบำรุง


    ให้บูชา 650 บาทค่าจัดส่งEMS50บาทครับ(ปิดรายการ)
    [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 พฤษภาคม 2012
  18. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,466
    ค่าพลัง:
    +21,327
    เหรียญคุ้มเกล้าของ ทหารอากาศ ที่พระพุทธรูปพระพุทธชินราช ซึ่งเป็นที่เคารพสักการะของชาวไทย และได้รับพระราชทานพระปรมาภิไธยย่อ " ภปร " อีกด้านหนึ่ง ได้สร้างขึ้นเพื่อแจกจ่ายแก่ชาว ทอ. เป็นสิริมงคลและกำลังใจในการปฏิบัติหน้าที่ราชการ

    เหรียญคุ้มเกล้า ทอ. ได้เข้าพิธีพุทธาภิเษกโดยพระคณาจารย์ชั้นผู้ใหญ่และทรงวิทยาคุณสายกรรมฐานศิษย์ท่านอาจารยืใหญ่มั่น ภูริทัตโต

    1. หลวงปู่บุญมา ฐิตเปโม วัดป่าสิริสาลวัน จ.อุดรธานี
    2. หลวงปู่อ่อน ญาณสิริ วัดป่านิโครธาราม จ.อุดรธานี
    3. หลวงปู่หลุย จันทรสาโร วัดถ้ำผาปิ้ง จ.เลย
    4. หลวงปู่ชอบ ฐานสโม วัดป่าสัมมานุสรณ์ จ.เลย
    5. หลวงปู่ขาว อนาลโย วัดถ้ำกลองเพล จ.อุดรธานี
    6. หลวงปู่แหวน สุจิณโณ วัดดอยแม่ปั๋ง จ.เชียงใหม่
    7. หลวงปู่สิม พุทธาจาโร วัดถ้ำผาปล่อง จ.เชียงใหม่
    8. อาจารย์วัน อุตตโม วัดถ้ำอภัยดำรงธรรม จ.สกลนคร
    9. อาจารย์จวน กุลเชฏโฐ วัดเจติยาคีรีวิหาร จ.หนองคาย

    เหรียญคุ้มเกล้า ทอ. จึงเป็นเครื่องรางวัตถุมงคล ทำให้เกิดความสิริมงคลและคุ้มครอง ป้องกันภยันตรายแก่ผู้ที่บูชานำติดตัวไว้ทุกกาลเวลา (ใบฝอยการสร้าง)

    เหรียญนี้สร้างก่อนเหรียญคุ้มเกล้าในหลวงครับรุ่นนี้ออกปี พ.ศ.2521 เหรียญนี้จึงเป็นเหรียญที่น่าบูชาอย่างยิ่งลำพังครูบาอาจารย์อธิฐานจิตให้ องค์เดียวก็สุดยอดแล้วเหรียญนี้มีถึง 9 องค์และเจตนาการสร้างเหรียญนี้ก็บริสุทธิ์สร้างเพื่อเเจกเพื่อไว้ให้คุ้ม ครอง ด้านหลังก็มีพระปรมาภิทัย ภปร. ประทับด้านหลังอีกด้วยเป็นเหรียญหนึ่งที่ทรงคุณค่าอีกเหรียญหนึ่งครับ


    ขอขอบคุณที่มาข้อมูลเจ้าของบทความอย่างสูงครับ

    ให้บูชา 400 บาทค่าจัดส่งEMS50บาทครับ(ปิดรายการ)


    [​IMG] [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 พฤษภาคม 2012
  19. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,466
    ค่าพลัง:
    +21,327
    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=_ztQtp-rNSU&feature=related"]หลวงปู่บุญมี โชติปาโล-ทำบุญนา 2.avi - YouTube[/ame]

    ฟังธรรมจากหลวงปู่ท่านก่อนครับ

    หลวงปู่บุญมี โชติปาโล ศิษย์หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต


    เหรียญพระแก้วรักษาหลวงปู่บุญมี วัดสระประสานสุข อุบลราชธานี น่าจะเป็นรุ่น 2 ของท่าน

    ครับ สภาพสวยเดิมๆผิวรุ้ง

    ให้บูชา 300 บาทครับค่าจัดส่งEMS
    50
    บาทครับ


    [​IMG] [​IMG]
     
  20. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,466
    ค่าพลัง:
    +21,327
    วันนี้จัดส่ง

    EI 6654 4231 8 TH มัญจาคีรี

    EI 6654 4232 1 TH คลองจัน

    EI 6654 4233 5 TH พังโคน

    ขอบคุณครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...