คชสีห์๙บารมี๙บารมี๙แผ่นดินหลวงปู่หมุนเสก

ในห้อง 'พระเครื่อง วัตถุมงคล' ตั้งกระทู้โดย Jumbo A, 30 สิงหาคม 2010.

  1. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,467
    ค่าพลัง:
    +21,327
    [FONT=Arial,MS Sans Serif]ประวัติหลวงพ่อขอม ( อนิโชภิกขุ )

    ไกลออกไปจากเมืองหลวงเมื่อหลายสิบปีมาแล้วบริเวณทุ่งแถบนั้นเต็มไปด้วยต้น ข้าวที่กำลังออกรวงเหลืองอร่าม ข้าวแต่ละรวงเบ่งบานและอวบโต จนลำต้นไม่อาจทานน้ำหนักของเมล็ดข้าวได้ ต้องโน้มทอดลงสู่พื้นดิน บริเวณนั้นมีชื่อเรียกว่า “บ้านไผ่เดาะ” อยู่ในตำบลบางตะเคียน อำเภอสองพี่น้อง จังหวัดสุพรรณบุรี และจังหวัดนี้เองนับแล้วก็คืออู่ข้าวอู่น้ำของเมืองไทยก็คงไม่ผิด
    บ้านไผ่เดาะ เป็นชุมนุมชนที่หนาแน่นพอสมควร อาชีพหลักของผู้คนที่นั่นคือการทำนา อันเป็นอาชีพดั้งเดิมที่บรรพบุรุษได้มอบให้ไว้ เนื่องจากเป็นดินแดนอันอุดมสมบูรณ์ ทำนาได้ผลมากมาย ความสงบสุขจึงปรากฎให้เห็นอยู่ทั่วไป
    ณ. ที่นี่แหละ คือถิ่นกำเนิดของเด็กคนหนึ่งที่มีชื่อว่า “ เป้า ” เด็กชายเป้าผู้นี้ เมื่อเติบใหญ่ได้กลายเป็นผู้ที่ได้รับการกล่าวขวัญถึงอย่างมาก น้อยคนนักที่จะไม่รู้จัก แต่ก่อนจะถึงเวลานั้นขอให้เราย้อนกลับไปสู่ครั้งปฐมวัยของเด็กน้อยผู้นี้กัน ก่อนเถอะ
    เด็กชายเป้าเป็นบุตรของชาวนาโดยตรงผู้หนึ่ง บิดาชื่อว่า “นายช้าง” มารดาชื่อว่า “นางเปรม” มีพี่น้องรวมทั้งสิ้น ๘ คน เป้าเป็นบุตรคนที่ ๕ เมื่อเป้าเกิด ทั้งพ่อแม่ญาติพี่น้อง ก็รู้ว่าเป้าไม่ใช่คนแข็งแรงอะไรนัก เพราะเป้าเป็นเด็กผอม พุงป่อง และเจ็บออดๆ แอดๆ เสมอ แต่ว่าอาการนั้นก็ไม่หนักหนาอะไร คงเลี้ยงดูกันได้เรื่อยมา ชีวิตในวัยเด็กนั้นเป้าก็เหมือนกับเด็กอื่นๆทั่วไป คือชอบเล่นฝุ่นสนุกซุกซนตะลอนๆ ไปตามชายทุ่ง และดำผุดดำว่ายอยู่ในคลองบึงที่ไม่ห่างจากบ้านนัก ทั้งๆ ที่เป็นเด็กซึ่งพ่อแม่ออกจะเป็นห่วงอยู่ เพราะเกรงว่าโรคภัยจะแทรกแซง เนื่องจากความอ่อนแอ แต่เป้าก็คงซุกซนและเจริญวัยเรื่อยมา พร้อมกับอายุที่เพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ เป้าก็เริ่มมีภาระเล็กๆ น้อยๆ คือติดตามผู้ใหญ่ออกไปทำนา ตามแรงความสามารถเท่าที่จะทำได้ ซึ่งถือว่าเป็นการสอนวิชาชีพที่จะกลายเป็นสมบัติติดตัวไปข้างหน้าวิธีหนึ่ง

    หลวงพ่อขอม ( อนิโชภิกขุ )

    แต่กับพ่อกับแม่ของเป้าแล้วคิดไปไกลกว่านั้นอีก คือชีวิตของชาวนาจะมีอะไรมากไปกว่า ตื่นเช้าออกสู่เส้นทุ่งกว้าง เย็นลงก็กลับบ้าน วิชาความรู้อย่างอื่นนั้นคงไม่มี ในเมื่อหาเวลาที่จะร่ำเรียนมิได้ ความคิดที่วูบขึ้นมาเช่นนั้น ในขณะนั้น ทำให้พ่อแม่ของเป้าตัดสินใจส่งลูกชายน้อยๆ ไปขอรับวิชาความรู้ จากแหล่งรวมของสรรพวิชาทั้งหลาย นั่นก็คือวัด วัดแรกที่เป้าได้ร่ำเรียนคือวัดใกล้ๆ บ้านนั่นเอง เป้าได้รับรู้ธรรมเนียมใหม่ กล่าวคือเป้าต้องรับใช้ปรนนิบัติพระภิกษุผู้เป็นอาจารย์ด้วย หลังจากเลิกเรียนแล้ว ซึ่งก็หาได้ทำให้เด็กน้อยเบื่อหน่ายไม่ การรับใช้อาจารย์ก็เหมือนรับใช้พ่อแม่ ดังนั้นเป้าจึงมิได้รังเกียจ ตรงกันข้ามกลับมีความกระตือรือร้น เมื่ออาจารย์เรียกหา
    ความรู้ในด้านอ่านออกเขียนภาษาไทยของเด็กชายเป้าก็ก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็ว จนอ่านเขียนได้คล่องแคล่ว และด้วยความกระตือรือร้นของเด็กผู้นี้ ทำให้อาจารย์ผู้ประสิทธิ์ประสาทวิชาบังเกิดความเมตตา สอนเด็กชายเป้าให้รู้จักอ่านเขียนภาษาขอมต่อไป
    ว่ากันว่าใครก็ตามในสมัยนั้นยุคนั้น ถ้าเรียนภาษาขอมก็ถือว่าเป็นการเรียนในชั้นสูง แต่เรียนไปได้ไม่นาน เป็นก็จำต้องย้ายวัดเพื่อการศึกษาต่อไป ตามธรรมเนียมของนักเรียนใหม่ พระอาจารย์ย่อมจะปล่อยให้ผ่านไปไม่ได้เป้าจึงต้องย้อนเรียนภาษาไทยอีกครั้ง เป็นการทบทวน ดูเหมือนว่าความรู้ในภาษาไทยที่เป้ามีอยู่แล้ว จะเป็นที่รับรองของพระอาจารย์ เป้าจึงได้ก้าวต่อไปสู่ชั้นสูงคือเรียนภาษาขอมอีกครั้ง
    และในครั้งนี้เด็กน้อยผู้นี้ได้แสดงความสามารถให้ประจักษ์อีกครั้งหนึ่ง เพราะชั่วเวลาไม่นาน เป้าก็อ่านเขียนหนังสือขอมเลยหน้าเด็กๆ รุ่นเดียวกันจนเป็นที่เลื่องลือยกย่อง อาจารย์เองก็ถึงกับออกปากชมไม่ขาดปากเลย เพื่อนๆ ของเป้าถึงกับออกปากอย่างล้อเลียนว่า เป้าน่ากลัวไม่ใช่คนไทย แต่เป็นขอม จึงอ่านเขียนหนังสือขอมได้คล่องแคล่วนัก และแล้วฉายาว่า “ขอม” ก็ปรากฎขึ้นตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา แต่เมื่อเรียกกันไปนานๆ ชื่อเป้าก็ชักเลือนหายไปทุกทีๆ เพื่อนฝูงและผู้รู้จักมักคุ้น ตลอดจนคนที่สูงอายุกว่า ต่างยอมรับเอาฉายาขอมเข้าไว้อย่างสะดวกปาก คำหนึ่งก็ขอมสองคำก็ขอมที่สุด ชื่อเป้าอันเป็นชื่อเดิมของเด็กน้อยผู้นี้ ก็สูญหายไปจากปากอย่างเด็ดขาด กลายเป็นเด็กชายขอมขึ้นมาแทนที่
    กล่าวถึงการศึกษาที่วัด อันเสมือนโรงเรียนสำหรับยุคนั้นเปรียบได้กับการศึกษาของนักเรียนประจำในยุค นี้ กล่าวคือต้องพำนักอยู่ที่วัดตลอดไป โดยมีอาจารย์ที่เป็นทั้งครูและผู้ปกครองไปพร้อมๆกัน แต่นั่นก็หาใช่ว่านักเรียนของวัดจะไม่มีโอกาสได้กลับบ้าน ที่จริงเมื่อถึงเวลาอันสมควร นักเรียนวัดก็กลับบ้านกันทั้งนั้น เป้า หรือบัดนี้มีชื่อใหม่ตามความนิยมว่า “ ขอม” ก็กลับบ้านเหมือนกัน เมื่อถึงบ้านความซุกซนแบบเดิมๆ ที่เป้าเคยเล่นซุกซนก็หายไป เป้าหรือขอมกลายเป็นเด็กที่มีระเบียบ รู้จักการปรนนิบัติรับใช้ผู้สูงอายุกว่า การพูดจาก็ฉาดฉาน จะอ่านจะเขียนก็คล่องแคล่ว สร้างความชื่นใจให้กับผู้ที่เป็นพ่อแม่เป็นอย่างยิ่ง จนทำให้นายช้างและนางเปรมลงความเห็นพ้องต้องกันว่า ตนนั้นได้แก้วไว้ในมือแล้ว สมควรที่จะได้รับการเจียรไนต่อไป ดังนั้นหลังจากที่ศึกษาอยู่ ณ วัดบางสามได้ระยะหนึ่ง ขอมก็ถูกส่งตัวเข้ากรุง ซึ่งเป็นการเผชิญชีวิตครั้งใหญ่สำหรับเด็กเล็กๆ คนหนึ่งที่ไม่เคยจากบ้านไปไหนไกลเกินกว่าวัดบางสาม แต่การไปครั้งนี้หมายถึงอนาคตที่จะชี้บอกว่า ต่อไปจะได้เป็นเจ้าคนนายคน ดังคำเปรียบเทียบที่ผู้ใหญ่ชอบพูดกันหรือไม่ แทนที่จะเป็นเพียงชาวไร่ชาวนาดังบรรพบุรุษของตน และแน่ล่ะกรุงเทพฯ ช่างเป็นคำที่หวานหูเสียนี่กระไร สวรรค์สำหรับทุกคน ใครได้ไปแล้วมักไม่ยอมกลับกัน
    ขอมถูกพ่อแม่พามาฝากไว้วัดสระเกศ เนื่องจากมีภิกษุที่รู้จักคุ้นเคยกับทางบ้านจำพรรษาอยู่ที่นั่น วัดสระเกศก็เลยได้เป็นบ้านที่สองของเด็กขอม พร้อมๆ กับการเข้าโรงเรียนประถมศึกษาซึ่งตั้งอยู่ที่วัดนั้นด้วย บัดนี้แทนที่จะเรียนแบบแผนเก่า แต่ขอมได้เรียนหลักสูตรการศึกษาแบบใหม่ ที่หลวงท่านกำหนดให้อนุชนได้เล่าเรียน ชีวิตอันเป็นประจำวันของขอม ในกรุงเทพฯ ก็เริ่มต้นด้วยการตื่นแต่เช้าตรู่ หาอาหารใส่ปากใส่ท้องแต่พออิ่ม แล้วก็มุ่งหน้าไปยังโรงเรียน คร่ำเคร่งอยู่กับการเรียนไปจนบ่ายคล้อยจึงกลับวัด คอยปรนนิบัติรับใช้พระอาจารย์ที่ขอมอาศัยอยู่ด้วย และได้อาศัยข้าวก้นบาตรของพระอาจารย์นั้นเอง เป็นอาหารยังชีพเรื่อยมา
    เวลาผ่านไป จากวันเป็นสัปดาห์ จากสัปดาห์เป็นเดือน และจากเดือนเป็นปี ขอมคงปฏิบัติตนเสมอต้นเสมอปลายกับการศึกษา ขณะที่การรับใช้พระอาจารย์ก็รักษาไว้ มิให้ขาดตกบกพร่อง เป็นอยู่เช่นนี้ล่วงได้ 3 ปี ขอมจบการศึกษาในชั้นประถมปีที่ 3 ก็เดินทางกลับคืนสู่อ้อมอกของพ่อแม่อีกครั้งหนึ่ง
    ขอมกลับบ้านอย่างคนที่ไปชุบตัวในเมืองหลวงมาแล้วเมื่อย่างก้าวไปทางใด ก็มีแต่คนนิยมชมชอบ จะพูดจาก็มีคนนับถือ และแม้ว่าชีวิตเริ่มเข้าสู่วัยหนุ่ม ซึ่งหมายถึงวัยแห่งความกระตือรือร้น และการเที่ยวเตร่สนุกสนานเฮฮากับเพื่อนฝูงและสาวพื้นบ้านเป็นสิ่งที่หลีก เลี่ยงไม่ได้ก็ตาม แต่หนุ่มน้อยขอมก็ไม่ยอมปล่อยใจให้ล่องลอยไปเกินกว่าขอบเขต สิ่งที่ขอมคิดมากในขณะนั้นคือ ทำนาช่วยภาระของพ่อแม่ แต่คนเรานั้นหาได้เป็นคนโดยสมบูรณ์ไม่หากยังไม่ได้บวชเรียน ดังนั้นเมื่อขอมอายุครบบวช พ่อแม่ก็จัดการบวชให้ที่วัดบางสาม อันเป็นวัดใกล้บ้านและสถานศึกษาเดิมของขอม เพราะระยะเวลานี้ ขอมมีนิสัยไปในทางรักสันโดษ ชอบพินิจพิเคราะห์ตรึงตรองต่างกว่าเพื่อนวัยเดียวกันคนอื่นๆ
    พิธีอุปสมบทขอมจัดทำกันอย่างเต็มที่ เท่าที่ฐานะจะอำนวยได้ และท่ามกลางความชื่นชมของทุกคน เนื่องจากพ่อแม่ของขอมเป็นผู้ที่กว้างขวางมีคนไปมาคบหาด้วยจำนวนมาก การบวชคราวนี้จีงมีพระครูวินยานุโยคแห่งวัดสองพี่น้อง เป็นองค์อุปัชฌาย์ พระอาจารย์กอนวัดบางสาม เป็นกรรมวาจาจารย์ พระอาจารย์เผือก วัดบางซอ เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ขอมได้รับฉายาที่พระอุปัชฌาย์ตั้งให้คือ “อนิโชภิกขุ”
    นวกะภิกษุอนิโช หรือ เด็กชายเป้า ที่เพื่อนๆ เรียกกันว่า “ ขอม” ก็ได้ก้าวเข้าสู่ร่มกาสาวพัตร์ตั้งแต่บัดนั้นพระขอม หรือ อนิโชภิกษุ เมื่อจำพรรษาอยู่ที่วัดบางสาม ก็ตั้งหน้าตั้งตาศึกษาพระธรรมวินัย ด้วยความเอาใจใส่อย่างยิ่ง และได้ปฏิบัติตนในศีลจารวัตร เป็นอย่างดี อยู่หลายปีจนกระทั่งเวลาแห่งความเปลี่ยนแปลงก็มาถึง ยังมีสำนักสงฆ์สร้างขึ้นใหม่แห่งหนึ่ง มีชื่อเรียกตามความนิยมของชาวบ้านว่า “ วัดไผ่โรงวัว” ที่นี้ไม่มีสมภารเจ้าวัด บรรดาชาวบ้านย่านนั้นซึ่งจับตาดูพระขอมมาตั้งแต่ต้น ลงความเห็นพ้องต้องกันว่า ผู้ทีสมควรได้ตำแหน่งสมภารวัดใหม่นี้ไม่มีท่านใดเหมาะเท่า พระขอม เมื่อลงความเห็นกันดังนี้ ต่างก็พากันกันไปนิมนต์ อนิโชภิกษุ หรือ พระขอม ให้ไปจำพรรษาอยู่ที่วัดไผ่โรงวัวก่อน พระขอมซึ่งเคยเป็นที่คุ้นเคยกับพุทธบริษัทที่นั่น ไม่อาจขัดศรัทธาได้ จึงได้ย้ายไปจำพรรษาอยู่ที่วัดนั้นเป็นเวลา 2 ปี
    ชีวิตของท่านอนิโชในช่วงนี้ หากจะขาดก็คือขาดสถานศึกษาเล่าเรียนพระพุทธศาสนา เพราะวัดไผ่โรงวัวเป็นวัดใหม่ ขาดสถานศึกษาเล่าเรียน สิ่งนี้ทำให้พระขอมได้พิจารณาตนเอง และเห็นว่าอันธรรมวินัยของพระศาสดานั้น ท่านยังเข้าไม่ถึงพอที่จะเป็นสมภารเจ้าวัดได้ หากผู้ศรัทธายังประสงค์จะให้ท่านเป็นผู้นำของวัดนี้อยู่ ท่านก็จำต้องเสาะแสวงหาความรู้เพิ่มเติม ดังนั้นท่านจึงขอย้ายไปจำพรรษาที่วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ ซึ่งอยู่ในตัวเมืองสุพรรณบุรี แล้วไปศึกษาพระปริยัติธรรมที่วัดประตูสารใกล้ๆ กับวัดพระศรีรัตนมหาธาตุที่ท่านจำพรรษาอยู่นั่นเอง การศึกษาพระปริยัติธรรมของพระขอมดำเนินไป 3 ปี ก็สอบไล่ได้นักธรรมชั้นเอก อันเป็นความรู้ชั้นเถรภูมิ
    คราวนี้ท่านกลับมาสู่วัดไผ่โรงวัวอีกครั้งหนึ่งอย่างสมภาคภูมิ กลับมาอย่างผู้พร้อมที่จะบริหารกิจให้พระศาสนาเต็มที่ ดังได้กล่าวแล้วว่าวัดไผ่โรงวัวเป็นวัดใหม่ความใหม่นี้เอง เป็นความใหม่ที่ยังไม่ถึงพร้อมกล่าวง่ายๆ คือไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน กุฏิที่อยู่จำพรรษาของภิกษุสามเณร ก็เป็นกระต๊อบมุงจากเก่าๆ มีอยู่เพียง 2 หลัง ศาลาการเปรียญที่จะเป็นที่บำเพ็ญกุศลของทายกทายิกา เป็นเพียงโรงทำด้วยไม้ไผ่หลังคามุงจาก อาศัยพื้นดินเป็นพื้นของศาลาน่าอนาถใจยิ่ง
    ภาระของพระขอมคือ ปรับปรุงศาสนสถานแห่งนี้ให้น่าพักพิงสมกับเป็นวัดเสียก่อน เพื่อจะได้เป็นหนทางนำไปซึ่งการปรับปรุงจิตใจของชาวบ้านผู้ศรัทธาเป็นชั้น ที่สอง และเนื่องจากบรรดาชาวบ้านต่างมีศรัทธาพระขอมเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว งานปรับปรุงก่อสร้างชั้นแรกจึงผ่านไปได้ไม่ยาก เริ่มด้วยการถมดินไม่ให้น้ำท่วมวัดได้ เพราะบริเวณดังกล่าวนี้เป็นที่ลุ่มมาก ถึงฤดูฝนคราใด น้ำท่วมทุกปีและท่วมมากขนาดเรือยนต์เรือแจวแล่นถึงกุฏิได้ เมื่อถมดินเสร็จท่านได้จัดการขุดสระน้ำสำหรับเป็นที่สรงน้ำและดื่มน้ำของพระ ภิกษุสามเณร และเพื่อชาวบ้านทั้งหลายจะได้อาศัยอาบกินโดยทั่วไป แล้วซ่อมกุฏิที่ชำรุดทรุดโทรม สร้างศาลาการเปรียญ สร้างโบสถ์ จัดสรรให้เหมาะสมเป็นระเบียบเรียบร้อยสวยงาม สมกับคำว่า “ วัด” ศรัทธาของประชาชนก็เพิ่มมากขึ้น
    นับตั้งแต่พระขอม สละเพศฆาราวาสมาสู่พระพุทธศาสนา ท่านมีความตั้งใจมั่น ดังที่เรียกว่ามโนปณิธานเรื่องนี้ท่านกล่าวกับผู้ใกล้ชิดว่า “..อาตมาได้ฟังพระท่านเทศน์ว่า บุคคลผู้ใดเลื่อมใส ได้สร้างพระพุทธรูป จะเล็กเท่าต้นคาก็ดี โตกว่าต้นคาก็ดี ผู้นั้นจะได้เป็นพรหม เป็นอินทร์ หมื่นชาติแสนชาติ ถ้าเกิดเป็นมนุษย์ก็จะได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ์ หมื่นชาติแสนชาติ ผู้นั้นจะไม่เป็นผู้ตกต่ำเลยจนตราบเท่าเข้าสู่พระนิพพาน ถ้าผู้ใดสร้างพระพุทธรูปด้วยทองคำ ผู้นั้นจะได้เกิดเป็นองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า..” ด้วยมโนปณิธานนี้เองทำให้ท่านขอมคิดเริ่มสร้างพระพุทธโคดมด้วยทองสัมฤทธิ์ ที่ใหญ่ที่สุดในโลก พ.ศ. 2500 ท่านขอมก็เริ่มบอกบุญแก่ญาติโยมใช้เวลา 2 ปีกว่าจะเริ่มสร้างได้ เนื่องจากเป็นงานใหญ่นั่นเอง ถึงต้องใช้เวลาสร้างทั้งหมด 12 ปีด้วยกัน จนแล้วเสร็จ พ.ศ. 2512 หลังจากนั้นท่านขอมก็เริ่มสร้างสิ่งก่อสร้างอีกหลายอย่างอาทิเช่น สังเวชนียสถาน 4 ตำบล แดนสวรรค์ นรกภูมิ เมืองกบิลพัสดุ์และอีกหลายๆ อย่างด้วยกันดังที่เห็นกันอยู่กันเท่าทุกวันนี้
    ถ้าถามว่าหลวงพ่อขอมจะสร้างสิ่งก่อสร้างไว้มากมายเพื่ออะไร ท่านก็ตอบว่าอาตมาสร้างไว้เพื่อให้ผู้ศรัทธาและอนุชนรุ่นหลังได้ศึกษาเรื่อง ราวของพุทธประวัติ นอกจากงานก่อสร้างแล้วหลวงพ่อขอมท่านก็ยังเป็นนักเขียน นักแต่ง ที่มีความสามารถไม่ยิ่งไม่หย่อนไปกว่าด้านงานก่อสร้าง ผลงานของท่านปรากฎอยู่หลายเรื่องเฉพาะที่จัดพิมพ์แจกเป็นธรรมทานไปแล้วก็มี เรื่อง ธรรมทูตเถื่อน พุทธไกรฤกษ์ สมถะและวิปัสสนา
    จนมาถึงวันที่ ๗ มกราคม พ.ศ. ๒๕๓๓ เวลา ๑๖.๕๕ หลวงพ่อขอมก็มรณภาพลงด้วยโรคหัวใจล้มเหลว รวมสิริอายุ ๘๘ ปี ๖๘ พรรษา ทำให้นึกถึงคำปฏิญานของท่านอนิโชที่กล่าวไว้ ๕ ข้อคือ ๑. ชีวิตของเราที่เหลือขอช่วยพระพุทธองค์ไปจนตาย ๒. เมื่อมีชีวิตอยู่ ถ้าเรามีเงินส่วนตัวสัก ๑ บาท เราจะอายพุทธบริษัทเป็นอย่างยิ่ง ๓. เราจะให้รูปพระองค์เกลื่อนไปในพื้นธรณี ๔. โอ..โลกนี้ไม่ใช่ของฉัน ๕. เราต้องตาย ตายใต้ผ้าเหลืองของเรา
    บัดนี้ท่านอนิโชนั้น ได้ทำคำปฏิญานของท่านให้สมบูรณ์แล้วทุกประการ ท่านพระครูผู้นี้ จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากเด็กชายเป้าในอดีต ซึ่งบัดนี้สละทุกสิ่งเพื่อเจริญรอยบาทพระพุทธองค์ ท่านคือศิษย์พระตถาคตผู้มุ่งมั่น
    [/FONT]

    แหนบและรูปถ่ายหลังตะกรุดสามกษัตย์หลวงพ่อขอม สภาพสวเดิมๆครับให้บูชาคู่กัน



    ให้บูชา 350 บาทค่าจัดส่งEMS50บาทครับ


    [​IMG] [​IMG] [​IMG]
    [​IMG]




    เจ้าคุณสนิท วัดศีลขันธาราม อ่างทอง


    ให้บูชาคู่กัน2องค์ 300 บาทค่าจัดส่งEMS50บาทครับ

    [​IMG]

    [​IMG]


    [​IMG]

    [​IMG]


    เชิญอ่านประวัติตามนี้ครับ
    http://palungjit.org/threads/%E0%...87.320197/

    [​IMG]


    เหรียญสวยๆสถาพเดิมๆครับ ผิวขึ้นรุ้ง

    ให้บูชา 600 บาทค่าจัดส่ง EMS 50 บาทครับ

    [​IMG] [​IMG]


    [​IMG]

    หลวงปู่จันทร์ วัดบ้านจานเขื่อง อุบลราชธานี

    เหรียญสวยเดิมๆครับ

    ให้บูชา 300 บาทค่าจัดส่งEMS50บาทครับ

    [​IMG]


    [​IMG]



    หลวงปู่นิล อิสริโก วัดครบุรี นครราชสีมา

    ให้บูชา 200 บาทค่าจัดส่งEMS50บาทครับ



    เชิญเข้าไปอ่านประวัติปฎฺปทาและฟังข้อมูลครับ



    [​IMG] [​IMG]
     
  2. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,467
    ค่าพลัง:
    +21,327
    เหรียญรุ่น 3 หลวงพ่อชาญวัดบางบ่อ สร้า้งน้อยหายาก

    ประสบการณ์สูง สภาพเหรียญผ่านการบูชา

    ให้บูชา 1500 บาทค่าจัดส่ง EMS 50 บาทครับ

    [​IMG]

    [​IMG]
     
  3. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,467
    ค่าพลัง:
    +21,327
    เหรียญสิบล้อหลวงพ่อพา วัดโพธิ์ทอง บุรีรัมย์ เหรียญประสบการณ์อีกรุ่นของท่านครับ

    เชิญชมครับตามลิ้งนี้ไปดูว่าผู้คนศรัทธราหลวงพ่อมากมายมหาศาลแค่ไหน

    http://77.nationchannel.com/video/93585/]


    ให้บูชา 500 บาทครับค่าจัดส่งEMS
    50
    บาทครับ


    [​IMG] [​IMG]
     
  4. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,467
    ค่าพลัง:
    +21,327
    เหรียญหลวงพ่อคง วัดทับกฤชกลาง นครสวรรค์ ออกวัดหนองปลิง 2509

    พิธีใหญ่

    หลวงพ่อคง วัดทับกฤชกลาง นครสวรรค์

    หลวงพ่อพรหม วัดช่องแค นครสวรรค์

    หลวงพ่อกัน วัดเขาแก้ว นครสวรรค์

    [FONT=Arial,MS Sans Serif]หลวงพ่อจันทร์ วัดคลองระนง [/FONT]นครสวรรค์

    หลงพ่อกวย วัดบ้านแค (โฆษิตาราม ) ชัยนาท และครูบาอาจารย์ท่านอื่นๆอีกหลายรูป

    เหรียญออกในงานฉลองผูฏพัธสีมาฝังลูกนิมิตร วัดหนองปลิง นครสวรรค์

    เหรียญพ.ศ.ลึกเก่าๆ มีคุณค่า สำหรับท่านที่หวังพึ่งคุณพระพุทธคุณไม่แน่นโชว์


    ให้บูชา 350 บาทค่าจัดส่ง EMS 50 บาทครับ
    เหรียญนี้สภาพผ่านการบูชาครับ
    [​IMG]

    [​IMG]
     
  5. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,467
    ค่าพลัง:
    +21,327
    หลวงปู่เรืองเขาสามยอด ลพบุรี

    ให้บูชาองค์ละ 450 บาทค่าจัดส่ง EMS 50 บาทครับ

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    พระผงรูปเหมือนหลวงปู่เรือง ออกที่วัดหัวช้าง ลพบุรี วัดลูกศิษย์ท่าน มีรอยจารหมึกแดงด้าน

    หลัง

    ให้บูชา 550 บาทค่าจัดส่ง EMS 50 บาทครับ



    [​IMG]

    [​IMG] __________________
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 กรกฎาคม 2012
  6. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,467
    ค่าพลัง:
    +21,327
    [FONT=ms Sans Serif, Thonburi, DB ThaiTextFixed]พระครูบรรหารวุฒิชัย เจ้าคณะพรหมคีรี เจ้าอาวาสวัดพรหมโลก จ.นครศรีธรรมราช

    เหรียญรุ่นแรกของท่านครับด้านหลังมีรอยจาหายาก เหรียญสภาพสวยเดิมๆ เหรียญประสบการณ์ทางใต้ครับ

    [/FONT]
    (ปิดรายการ)




     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 ตุลาคม 2012
  7. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,467
    ค่าพลัง:
    +21,327
    [​IMG]


    ในปี 2514 หลวงพ่อสมภพ นำมวลสารทำวัตถุมงคล รุ่น 2
    ปี พ.ศ.2514 หลวงปู่เผือก พระปรมาจารย์แห่งวัดสาลีโขภิตาราม ได้คำนวณฤกษ์เห็นควรประกอบมหาพิธีกรรมอันศักดิ์สิทธิ์ยิ่งยวด สืบเนื่องมาแต่ “มหาฤกษ์” ที่ยากจะเกิดขึ้นในแต่ละคราว นั่นคือ "ฤกษ์มหาจักรจตุรงคสันนิบาต”
    อันได้แก่ ดาวจันทร์ ดาวพฤหัส ดาวเสาร์ และดาวราหู ต่างเคลื่อนเข้าสถิตอยู่ในองค์เกณท์ราศีอันเป็น “มหาจักร” แห่งตน และจะปรากฎถึง 4 วาระด้วยกันตลอดไตรมาสพรรษาปี 2514 ซึ่งเหตุการณ์นี้ ทุก 200 ปีจะเกิดมีขึ้นครั้งหนึ่ง
    วาระมหามงคลที่จะ ถึงนั้น บรรดาผู้รู้ทั้งหลายไม่อาจปล่อยให้หลุดลอยได้ หลวงพ่อสาลีโขจึงกำหนดการจัดสร้างวัตถุมงคลขึ้นเป็นจำนวนมาก เพื่อให้สมเวลาที่รอคอย ทั้งยังปรารถนาให้เป็น “ครั้งสำคัญที่สุดในชีวิต” ของท่านทีเดียว
    การสร้างอิทธิวัตถุของหลวงพ่อสาลีโขนั้นไม่เลยแม้สัก ครั้งเดียวที่จะใช้โลหะเปล่า ท่านเพียรพยายามยิ่งในการจารอักขระเลขยันต์สำคัญครอบคลุมสรรพวิชาทั้งมวลลง ในแผ่นโลหะ เน้นหนักในทุกๆสายวิชาทั้งคงกระพัน มหาอุด ชาตรี กำบังตน มหาลาภ มหานิยม เมตตา แคล้วคลาด กันภัยกันคุณไสย กันภูตผี
    วิชาเหล่านี้ท่าน เพียรจารเสกเป่า แต่ละอักขระแต่ละพระยันต์ ท่านจะบรรจงเขียนอย่างสวยงาม ปลุกเสกและลงถม นำไปหลอมเอามาลงใหม่ ซับซ้อนเช่นนี้อย่างน้อย ถึง 3 วาระด้วยกัน กระทั่งคราวหลอมเพื่อรีดปั๊มเหรียญ ช่างถึงกับตะลึงเมื่อแผ่นทองวิ่งวนอยู่ในเบ้าหลอม ไม่ยอมละลาย ได้ตักเก็บไว้เป็นหลักฐานจำนวนหลายสิบแผ่น
    แผ่นทองชนวนนับสิบกิโล แสดงให้เห็นถึงความตั้งใจจริง และวิริยะอุตสาหะ อันหาได้ยากในพระอาจารย์สมัยปัจจุบัน ไม่ควรแปลกใจเลยที่บังเกิดปาฏิหาริย์แผ่นทองไม่ละลายเพราะ “ปราณ” ที่ท่านเป่าประจุย่อมสถิตแนบแน่นอยู่ในทุกอณูแผ่นทอง จนโลหะธาตุธรรมชาติทั้งมวลถูกแปรสภาพเป็น “ธาตุสำเร็จ” จากการตั้งธาตุ ปรุงธาตุ และหนุนธาตุทั้ง 4 ขึ้นมาจากจิตที่ทรงอภิญญา
    เฉพาะ “เตโชกสิณ” นั้น ท่านเชี่ยวชาญถึงขีดสุด
    มงคล วัตถุที่สร้างประกอบด้วย พระพุทธรูปสุโขทัย หน้านาง ขนาด 9 และ 5 นิ้ว พระพุทธนาคปรก ขนาด 9, 5 นิ้ว, พระสังกัจจายน์ ขนาด 9 นิ้ว, รูปหล่อหลวงปู่เผือก ขนาด 9 , 5 นิ้ว , พระนาคปรกแขวนคอ, รูปหล่อหลวงปู่เผือกขนาดแขวนคอ, เหรียญหลวงปู่เผือก รุ่น 2 พิมพ์ใหญ่ – เล็ก, เหรียญรูปเหมือนหลวงพ่อสาลีโข รุ่น 2 ชนวนมวลสารทั้งหมดถูกนำมาประกอบพิธีปลุกเสกในวันพฤหัสบดีที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2514 เวลา 18.00 น. โดยพระคณาจารย์มากมาย มีหลวงปู่เผือกประทับทรง หลวงพ่อสาลีโขเป็นประธาน เมื่อแล้วเสร็จได้จุณเจิมสรรพวัสดุด้วยกระแจะหอม และสวดหนุนด้วยพระพุทธมนต์พิเศษ คือ บทยานี , บทภาณวาร , บทคาถาพัน และอิติปิโสรัตนมาลา ก่อนจะนำแผ่นโลหะทั้งปวงมาหล่อหลอมเป็นชนวนสัมฤทธิ์เพื่อนำไปสร้างเป็นองค์ พระต่อไป
    วันพฤหัสบดีที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2514 เวลา 10.08 น. เป็นกำหนดจุดเทียนชัยในพิธีเททอง และเริ่มทำพิธีพุทธาภิเษก วันนี้หลวงพ่อสาลีโขถือเป็นวันสำคัญที่สุดของงาน เพราะเป็นการเชิญชนวนสัมฤทธิ์เข้าสู่เบ้าหลอมหล่อรวมกับโลหะมงคลอื่นๆ แล้วเททองลงหุ่นให้สำเร็จเป็นองค์พระ จากนั้นจึงประพรมน้ำพระพุทธมนต์ยังเบ้าหลอม
    ครั้นทุบหุ่นดินออกก็ อัญเชิญพระปฏิมาลงชุบน้ำศักดิ์สิทธ์จากสถานที่สำคัญเช่น น้ำสรงพระบรมธาตุ , น้ำเมืองเพชร, น้ำสระแก้ว, น้ำบ้านบางปืน ฯลฯ แล้วอัญเชิญขึ้นประดิษฐานในพานเชิงใบใหญ่เคล้าคละประโปรบด้วยเครื่องหอม กระแจะจันทน์ พร้อมด้วยการเรียกสูตรตั้งนามให้เป็นสิริ ท่ามกลางพิธีมหาพุทธปรมาภิเษก พระมหานาคทั้งสี่เจริญบทมหาจักรพรรดิราช และบทพุทธาภิเษก โดยมีรายนามพระมหาเถระผู้ทรงรัตตัญญู ภาพเข้าร่วมพิธี ดังนี้
    1. พระภัทรมุกมุนี (ชิต) วัดเขาเต่า ประจวบคีรีขันธ์
    2. หลวงพ่อถิร วัดป่าเลไลย สุพรรณบุรี
    3. หลวงพ่อกุหลาบ วัดใหญ่สว่างอารมณ์ นนทบุรี
    4. หลวงปู่โต๊ะ วัดประดู่ฉิมพลี ธนบุรี
    5. หลวงพ่อเจริญ วัดทองนพคุณ เพชรบุรี
    6. พระครูประกาศสมาธิคุณ วัดมหาธาตุ พระนคร
    7. หลวงพ่อพริ้ง วัดโบสถ์โก่งธนู ลพบุรี
    8. หลวงพ่อโอด วัดจันเสน นครสวรรค์
    9. หลวงปู่ผาง วัดอุดมคงคาคีรีเขต ขอนแก่น
    10. หลวงพ่อเทียม วัดกษัตราธิราช พระนครศรีอยุธยา
    11. หลวงพ่อมิ วัดสิงห์ ธนบุรี
    12. หลวงพ่อคง วัดวังสรรพรส จันทบุรี
    13. หลวงพ่อปี้ วัดด่านลานหอย สุโขทัย
    14. หลวงพ่อวัดปากคลองมะขามเฒ่า ชัยนาท
    15. หลวงพ่อทบ วัดชนแดน เพชรบูรณ์
    16. หลวงพ่อชื่น วัดตำหนักเหนือ นนทบุรี
    17. พระครูเมธีวรานุวัตร วัดมหาธาตุ พระนคร
    18. หลวงพ่อกี๋ วัดหูช้าง นนทบุรี
    19. หลวงพ่อจัน วัดสระเกษ พระนคร
    20. หลวงพ่อสั้น วัดท่าอิฐ นนทบุรี
    21. หลวงพ่อนอ วัดกลางท่าเรือ พระนครศรีอยุธยา
    22. หลวงพ่อเนื่อง วัดจุฬามณี สมุทรสงคราม
    23. หลวงพ่อจันทร์ วัดโสธรวราราม ฉะเชิงเทรา
    24. หลวงปู่เส็ง วัดกัลยาณมิตร ธนบุรี
    25. หลวงพ่อทองสุข วัดสะพานสูง นนทบุรี
    วัน พฤหัสบดีที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2514 เวลา 16.00 น. พิธีมหามงคลสรงองค์พระให้สำเร็จเป็น “พระเครื่อง” โดยบริสุทธิ์บริบูรณ์ ปราศจากมลทินโทษใดๆ พระคณาจารย์ในงานเจริญบทมงคลจักรวาล , ชัยมงคลคาถา และทิพยมนต์
    วันอาทิตย์ที่ 10 ตุลาคม พ.ศ.2514 เวลา 09.00 น. ตรงกับวันมหาจักรจตุรงคสันนิบาตวันสุดท้าย เป็นวาระนัดผู้สั่งจองอิทธิวัตถุให้มารับการประสิทธิเมจากมือหลวงพ่อสาลีโข ด้วยตนเองจนถ้วนทั่วทุกตัวคน
    แลหาพิธีกรรมที่จัดทำอย่างมโหฬาร มหากาฬเยี่ยงนี้ในปัจจุบันแล้วใจหาย ด้วยหาไม่เจอยังไม่เท่าไร กลับประสบเพียงสุกเอาเผากินหลอกขายหลอกแขวนกันไปวันๆ ซึมเศร้าจนต้องมองหาเหรียญนี้มาแขวนแทนพระสมัยอินเตอร์เนต ค่อยอุ่นใจหน่อย
    ใคร หนาวใจแล้วอยากอุ่นอย่างผมต้องดิ้นรนหน่อยละ ที่ว่าหน่อยก็เพราะเหรียญหลวงปู่เผือกรุ่นสองนี้ยังพอหาได้ตามสนามทั่วไปใน ราคาเบาๆ ของปลอมผมยังไม่เคยเจอ แต่เขียนไปแล้วอาจเจอก็ได้ฉะนั้นให้รีบหา
    การันตี ด้วยหัวหลิมๆ (ที่เพื่อนชอบล้อ) ได้เลยว่าผมแขวนพระมาก็มาก ประทับใจจริงๆกับประสบการณ์ไม่กี่ชิ้น ยอมให้หมดใจว่าหลวงปู่เผือก เป็น 1 ในนั้นไม่สงสัยเพื่อนที่แขวนก็ยกนิ้วให้ว่าเยี่ยม
    แถมนิดนึงว่าเหรียญ รุ่นนี้ทุกเหรียญ จะมีคราบแป้งสีขาวอันเกิดจากผงวิเศษเกาะติดอยู่ ถ้ามีตกค้างอย่าไปแกะทิ้งเพราะเป็นของดี หากหลุดไปแล้ว เหลือคราบขาวไว้ ก็อย่าตกใจ มีทุกเหรียญแหละครับ
    เหรียญหลวงปู่เผือก รุ่น 2 หรือ รุ่นปี 14 ได้ขอให้หลวงพ่อสมภพ สร้างเหรียญและเนื้อผงมาให้ประชาชนและลูกศิษย์ต่างมาบูชากัน เหรียญและพระผงที่ท่านสร้าง คือ เหรียญหลวงปู่เผือกนั่งฐานสิงห์ เป็นรุ่น 2 หรือเรียกกันติดปากว่า รุ่นปี 14 เพราะสร้างปี 2514 จะเล็กกว่ารุ่นแรกเพียงเล็กน้อยพิธีใหญ่ พิธีนี้ทางวัดสาลีโขได้อันเชิญพระกิจิอาจารย์ต่างที่ดังรวมสมัยนั้นมาปลุก เสก ก็ปลุกกันกว่าจะให้ลกศิษย์เช่าหากันไป
    ประสบการณ์ล่าสุดเหรียญหลวงปู่เผือก รุ่น 2 (วัดสาลีโขฯ)
    ชาย คนหนึ่งโดนยิงจากอริแต่ปืนไม่ลั่น3นัดซ้อนทีนี้เจ้าของปืน เห็นดังนั้น แต่ยังไม่ถอดใจจึงดิ่งตรงมาพร้อมด้วยมีดดาบมาฟันอีกแต่ คมนั้นหาได้ระบายตัวเขาไม่ทีนี้คนเริ่มมากันเยอะ คู่อรินั่น จึงเริ่มเผ่นหนีออกไปจากที่เกิดเหตุคนในเหตุการณ์ต่างสงสัยกันว่า ห้อยพระอะไร หรือมีของดีอะไรติดตัวปรากฏออกมาว่า "เขาได้ห้อยเหรียญหลวงปู่เผือก รุ่น๒ใหญ่ (นั่งบนอาสนะ)" เพียงองค์เดียวเท่านั้น นี่เป็นเพียงประสบการณ์บางส่วนของผู้ที่บูชาเหรียญหลวงปู่เพียงส่วนหนึ่งนะ ครับ

    สภาพเหรียญเดิมๆมีคราบแป้งผงพุทธคุณ ผิวเดิมขึ้นรุ้งครับ

    (ปิดรายการ)


    [​IMG]

    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 ตุลาคม 2012
  8. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,467
    ค่าพลัง:
    +21,327
    เหรียญรุ่น๑โสฬสมหามงคล หลวงตาเปรื่อง วัดบางจาก นนทบุรี มีรอยจารด้านหน้าเหรียญเนื้อ

    ทองแดงผิวไฟ มี 2 เหรียญ


    (ปิดรายการ)

    [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 สิงหาคม 2012
  9. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,467
    ค่าพลัง:
    +21,327
    เหรียญหลวงพ่อโสธรที่ระลึกเปิดอาคารสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เนื้อทองแดงขัดเงา


    (ปิดรายการ)
    [​IMG]
    [​IMG] [​IMG]
    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 สิงหาคม 2012
  10. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,467
    ค่าพลัง:
    +21,327
    ศาลเจ้าพ่อพระกาฬ ศาลศักดิ์สิทธิ์ คู่บ้านคู่เมือง ลพบุรี
    [​IMG]ละโว้ หรือ ลวปุระ เป็นเมืองโบราณที่มีผู้คนอยู่อาศัยมาตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์ และเป็นศูนย์กลางความเจริญของทวารวดี ขอม อู่ทอง กรุงศรีอยุธยา เรื่อยมาจนถึงกรุงรัตนโกสินทร์ ซึ่งต่อมาเปลี่ยนมาเรียกเป็น "ลพบุรี" หรือ "เมืองของพระลพ" ตามพระนามพระโอรสของพระราม ใน "มหากาพย์รามายณะ" ด้วยเป็นเมืองที่ผ่านอารยธรรมมาหลายยุคหลายสมัย ทำให้เมืองลพบุรีมีโบราณสถานและโบราณวัตถุที่นับเป็นมรดกอันล้ำค่าและมีความ สำคัญทางประวัติศาสตร์และโบราณคดีอยู่มากมาย หนึ่งในทั้งหมดที่นับเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองมาแต่ครั้งโบราณ ได้รับความเคารพจากชาวไทยทั่วประเทศ ซึ่งเมื่อไปถึงจะต้องแวะกราบไหว้สักการะก็คือ "ศาลพระกาฬ"
    กลางเมืองละโว้ หรือ ลพบุรี จะปรากฏเทวสถานตั้งตระหง่านอยู่ทางทิศตะวันออกของทางรถไฟปัจจุบัน เยื้องกับพระปรางค์สามยอด เป็นสถาปัตยกรรมขอมยุคปลาย Angkor Period อายุราวพุทธศตวรรษที่ 16 ลักษณะเป็นองค์ปรางค์เดี่ยวขนาดใหญ่ มีมุขยื่นด้านหน้า ปรากฏซากบันไดทางขึ้น 4 ด้าน ประกอบเป็นผังจักรวาลวิทยาที่มีเขาพระสุเมรุเป็นแกนกลาง เมื่อก่อนชาวเมืองเรียกว่า "ศาลสูง" เป็นที่ประดิษฐานเทวรูป "เจ้าพ่อพระกาฬ" ทำจากศิลาทราย ศิลปะลพบุรี ยังมีร่องรอยพระกร 4 ข้างปรากฏอยู่คล้ายเป็นเทวรูปพระวิษณุ หรือพระโพธิสัตว์ในคติมหายานที่เผยแพร่เข้ามายังละโว้ในสมัยพระเจ้าชัยวรมัน ที่ 7
    [​IMG]ปัจจุบัน องค์เรือนธาตุปรางค์ประธานเดิมปรักหักพังเกือบหมด แต่พบทับหลังสลักเป็นรูป "วิษณุอนันตศายินปัทมะนาภ" หรือ "นารายณ์บรรทมสินธุ์" ทำจากศิลาทราย อายุราวพุทธศตวรรษที่ 17 และพบจารึกหลายหลักส่วนใหญ่เป็นอักษรขอม เทวสถานแห่งนี้คงจะได้รับการปฏิ สังขรณ์ในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช และได้บูรณะ ขึ้นใหม่ในปี พ.ศ. 2494 โดยสร้างทับบนฐานเดิม

    บริเวณศาลพระกาฬในอดีต จะมีต้นกร่างขนาดใหญ่จำนวนมาก ทำให้ฝูงลิงเข้ามาอยู่อาศัยมากมายจนกลายเป็นลูกศิษย์เจ้าพ่อพระกาฬเรื่อยมา แม้บ้านเมืองจะเจริญขึ้น ต้นไม้ใหญ่หายไปเหลือเพียงต้นมะขามเทศ แต่เนื่องจากผู้คนพากันมาสักการะองค์เจ้าพ่อพระกาฬ และนำของกินมาฝากเป็นประจำทำให้ฝูงลิงไม่ไปไหนอาศัยอยู่เข้ากับชาวเมืองมาจนบัดนี้
    "เจ้าพ่อพระกาฬ" ถือเป็นเทพอารักษ์ประจำเมือง ในคัมภีร์และจารึกโบราณปรากฏนาม "องค์พระกาฬไชยศรี" ซึ่งเป็นเทพที่ปกปักรักษาบ้านเมืองทำนองเดียวกับพระเสื้อเมือง พระทรงเมือง นอกจากนี้ ยังได้ชื่อว่าเป็นผู้ทรงฤทธานุภาพสามารถให้คุณให้โทษ และปรากฏบทบาทเป็นเทพแห่งความตาย ดังนั้น จึงมีผู้คนเคารพยำเกรงอย่างยิ่ง การได้เดินทางมาบูชาสักการะองค์เจ้าพ่อพระกาฬ ถือว่าเป็นการสร้างความเป็นสิริมงคลให้เกิดกับตนและทำให้ศัตรูยำเกรงไม่กล้าทำอันตรายอีกด้วย


    ขอบคุณที่มาข้อมูลบทความอย่างสุงครับ



    ให้บูชา 200 บาทค่าจัดส่ง EMS 50 บาทครับ

    เหรียญเจ้าพ่อศาลพระกาฬ ลพบุรี รุ่น๑ แต่ไม่น่าใช้รุ่นแรก



    [​IMG] [​IMG]
     
  11. naiburit

    naiburit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    740
    ค่าพลัง:
    +578
    พระกริ่งมหาอาคมเนื้อนวะ ก้นดาว เลี่ยมพลาสติคกันน้ำอย่างดี

    ให้บูชา 1200 บาทค่าจัดส่ง EMS 50 บาทครับ

    [​IMG]

    ขออนุญาตจองครับ
     
  12. naiburit

    naiburit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    740
    ค่าพลัง:
    +578
    พระกริ่งวิสุทธาจารคุณหลวงพ่อเกตุวัดเกาะหลัก ปลุกเสกไตรมาส ใต้ฐานจารยันต์โดยหลวงพ่อทุกองค์

    ให้บูชา 1500 บาทครับ

    [​IMG]

    ขออนุญาตจององค์นี้เพิ่มครับ
     
  13. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,467
    ค่าพลัง:
    +21,327
    รับทราบครับ ขอบคุณครับ
     
  14. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,467
    ค่าพลัง:
    +21,327
    เหรียญหลวงป๋า วัดหลวงพ่อสดธรรมกายาราม


    (ปิดรายการครับ)
    [​IMG] [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 สิงหาคม 2012
  15. naiburit

    naiburit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    740
    ค่าพลัง:
    +578
    โอนเงินแล้ว รายละเอียดในข้อความส่วนตัวครับ
     
  16. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,467
    ค่าพลัง:
    +21,327
    วันนี้จัดส่ง EI 6706 7271 6 TH ผาขาว

    ขอบคุณครับ
     
  17. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,467
    ค่าพลัง:
    +21,327
    [​IMG]

    ครูบาสร้อย ขันติสาโร หรือ พระครูนิมมานการโสภณ วัดมงคลคีรีเขตร์ อ.ท่าสองยาง จ.ตาก พระเกจิอาจารย์ชื่อดังที่มีวิทยาคมรูปหนึ่งภาคเหนือ

    เกิดเมื่อวันจันทร์ที่ 28 ก.ย. 2472 ตรงกับวันขึ้น 7 ค่ำ เดือน 10 ปีมะเส็ง พื้นที่เขตตำบลละหานทราย อ.นางรอง จ.บุรีรัมย์

    เมื่อ อายุได้ 7 ขวบ โยมมารดาของท่านได้ถึงแก่กรรม ท่านได้มาอยู่ในความดูแลของคุณยาย ซึ่งคุณยายของท่านชอบเข้าวัดฟังธรรมตามวิถีชีวิตชนบท และมักพาท่านไปด้วยเสมอ ทำ ให้ท่านได้ใกล้ชิดกับวัดมาตลอด

    เมื่อเรียนจบชั้นประถม 4 เด็กชายสร้อยจึงได้ขออนุญาตคุณยายบรรพชาที่วัดชุมพร มีหลวงพ่อมั่น เป็นพระอุปัชฌาย์

    หลังจากนั้น ได้ถวายตัวเป็นศิษย์หลวงพ่อมั่น ฝึกบริกรรมด้วยการนับลูกประคำเป็นการฝึกสมาธิ เรียนวิทยาคมต่างๆ ควบคู่ไปกับการปฏิบัติสมาธิด้วย

    อยู่กับหลวงพ่อมั่น จวบจนอายุ 22 ปี จึงได้อุปสมบท มี หลวงพ่อมั่น เป็นพระอุปัชฌาย์, หลวงพ่อสุข วัดโพธิ์ทรายทอง เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และหลวงพ่อสุต เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับฉายา ขันติสาโร

    หลังจากบวช หลวงพ่อสุขได้กล่าวชวนไป อยู่ด้วย ซึ่งส่วนตัวมีความเลื่อมใสศรัทธาและประสงค์ขอเรียนวิทยาคมจากหลวงพ่อสุข

    ใน ช่วงต้นหลวงพ่อสุขได้เน้นหนักในเรื่องการปฏิบัติกัมมัฏฐาน ในพรรษาถัดมา หลวงพ่อมั่น ซึ่งเป็นพระอุปัชฌาย์ของท่านได้มรณภาพลง ท่านจึงได้กลับไปจัดงานถวายหลวงพ่อมั่น เสร็จสิ้นแล้วจึงกลับมายังวัดหลวงพ่อสุขดังเดิม

    หลวงพ่อสุข ได้เริ่มสอนวิชาต่างๆ แก่ท่าน วิชาที่สำคัญ คือ การตรวจดูบุญวาสนา เพื่อช่วยในการรักษาโรคภัยต่างๆ

    พ.ศ.2497 ครูบาสร้อยได้ขอลาหลวงปู่สุขเข้าสู่กรุงเทพมหานคร โดยจุดหมายคือ วัดมหาธาตุฯ ด้วยขณะนั้นขึ้นชื่อในเรื่องการปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐาน ท่านได้อยู่ศึกษาเป็นเวลา 7 เดือน จึงลาพระธรรมธีรราชมหามุนี (โชดก ญาณสิทธิ) ผู้สอนท่านกลับคืนยังบุรีรัมย์ เมื่อญาติโยมได้รู้ข่าวการกลับมาของท่าน จึงได้ต้อนรับและนิมนต์ให้ท่านอยู่ที่วัดกลางนา

    แต่หลังจากออกพรรษา ท่านได้ตัดสินใจออกธุดงค์ ถือรุกขมูลลัดเลาะไปตามจังหวัดสุรินทร์ ศรีสะเกษ ต่อไปยังอุบลราชธานี จนยาวไปถึงนครพนม ข้ามไปยังฝั่งลาวแล้วข้ามกลับมายังมุกดาหาร ต่อเรื่อยไปจนเข้าสู่เทือกเขาภูพาน เขตสกลนคร เรื่อยไปจนเข้าหล่มสักเข้าพิษณุโลก ซึ่งช่วงนี้ท่านหลงป่าอยู่ จนทะลุออกมายังอุตรดิตถ์

    จากการหลงป่าครั้งนี้ ท่านจึงเปลี่ยนมาเดินโดยใช้เส้นทางรถไฟช่วย ล่วงได้ 7 วัน ท่านก็ถึงดอยสะเก็ด จ.เชียงใหม่ ได้มีโอกาสพบ 'หลวงปู่แหวน สุจิณโณ' พระสายปฏิบัติชื่อดัง และได้ขอศึกษาข้อธรรมต่างๆ

    หลวงปู่แหวนท่าน เน้นไปทางอสุภกัมมัฏ ฐาน ซึ่งช่วงนี้ท่านได้พบกับข้อธรรมที่ลึกซึ้งมาก ขึ้น จากนั้นท่านได้กราบลาหลวงปู่แหวน ออกธุดงค์ถือรุกขมูลไปจนถึงแม่สะเรียง พักที่วัดศรี บุญเรือง

    ท่าน ตั้งใจจะไปที่แม่ฮ่องสอน แต่ด้วยติดกาลพรรษา จึงได้อยู่จำพรรษาที่วัดศรีบุญเรือง จนล่วงกาลพรรษา ท่านจะออกเดินทางต่อ พอดีได้ทราบจากญาติโยมว่าที่ท่าสองยางมีวัดร้างอยู่

    ท่านได้ไปดูสถานที่แห่งนั้น พบว่าเงียบสงบเหมาะแก่การปฏิบัติธรรม จึงได้ตกลงใจสร้างวัดมงคลคีรีเขตร์

    ครูบาสร้อยได้พัฒนาวัดมงคลคีรีเขตร์ จนเจริญรุ่งเรืองเป็นที่รู้จักของญาติโยมและคณะศรัทธา จนท่านได้รับการขนานนามว่า เทพเจ้าแห่งท่าสองยาง

    วัตถุมงคลของครูบาสร้อยมีจัดสร้างขึ้นมาก มายทั้งพระเครื่องและเครื่องรางของขลัง โดยเฉพาะประเภทเหรียญ ที่ได้รับความนิยมจากบรรดาเซียนพระและนักสะสมพระเครื่องเป็นอย่างยิ่ง คือ เหรียญครูบาสร้อย รุ่นสุริยุปราคา ปี 2538

    เหรียญครูบาสร้อย เป็นเหรียญที่ได้รับความนิยมในวงการ มีพุทธคุณโดดเด่นด้านแคล้วคลาดปลอดภัย

    นอกจากนี้ ชาวบ้านในแถบพื้นที่ใกล้เคียง ที่เคยเดินทางไปกราบนมัสการท่าน จะรู้ดีว่าท่านเป็นพระภิกษุที่มากด้วยเมตตา นอกจากให้เข้าพบโดยง่ายแล้ว ยังชอบแจกวัตถุมงคล กระบอก ยาอันศักดิ์สิทธิ์ ภายในมีของดีบรรจุอยู่คือ สีผึ้ง ชานหมาก เกศา ว่าน พระสีวลีองค์จิ๋ว ชาวกะเหรี่ยง พม่า และชนเผ่าต่างๆ นับถือและชื่นชอบกันมาก

    กระบอกยา ศักดิ์สิทธิ์ เป็นวัตถุมงคลอีกชนิดหนึ่ง ที่สร้างชื่อเสียงให้กับครูบาสร้อยเป็นอย่างมาก ท่านจะนำหลอดยานี้แจกให้กับลูกศิษย์อยู่เสมอ มีพุทธคุณด้านเมตตามหานิยม

    ครูบาสร้อยได้ละสังขารอย่างสงบ เมื่อวันที่ 19 ธ.ค. 2541 สิริอายุ 69 พรรษา 49

    ขอบคุณท่านเจ้าของข้อมูลอย่างสูงครับ

    พระกริ่งสร้อยชัยมงคล ครูบาสร้อย ขันติสาโร วัดมงคลคีรีเขต อ.ท่าสองยาง จ.ตาก

    (ปิดรายการ)

    [​IMG] [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 เมษายน 2012
  18. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,467
    ค่าพลัง:
    +21,327
    เหรียญหลวงปู่ถนอม วัดตูม อยุธยา ออกวัดกลางครับ


    ให้บูชา 250 บาทค่าจัดส่ง EMS 50 บาทครับ

    [​IMG] [​IMG]
     
  19. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,467
    ค่าพลัง:
    +21,327
    เหรียญหลวงปู่เทพโลกอุดร เนื้อทองแดง ขัดเงา ออกวัดถ้ำอริยสัจสี่ ลพบุรี

    (ปิดรายการ)

    [​IMG] [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 มิถุนายน 2012
  20. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,467
    ค่าพลัง:
    +21,327
    [FONT=Tahoma,]<table align="left" border="0" cellpadding="0" cellspacing="5" width="360"><tbody><tr><td align="center" bgcolor="#E0E0E0" valign="top">[​IMG]
    </td></tr></tbody></table>พระครูปลัดสมจิตร เปมิโย อดีตเจ้าอาวาสวัดสว่างอารมณ์ อ.บางบ่อ จ.สมุทรปราการ เป็นพระเกจิอาจารย์ที่คนนอกพื้นที่รู้จักน้อย เพราะท่านเป็นพระสันโดษ พูดน้อย สไตล์พระปฏิบัติ จึงไม่ค่อยมีการเผยแพร่เกียรติคุณของท่านให้เป็นที่รู้จักกัน

    ตาม ประวัติกล่าวว่า ท่านชอบธุดงค์ รุกขมูลไปเรื่อยๆ และชอบศึกษาพุทธาคมจากครูบาอาจารย์รุ่นเก่าๆ เรียกได้ว่า "เป็นคนแก่เรียน" แต่เนื่องจากประวัติความเป็นมาของท่านไม่ได้มีการจดบันทึกไว้ตั้งแต่ครั้ง ก่อน จึงไม่อาจทราบว่าท่านได้มอบตัวเป็นศิษย์ของครูบาอาจารย์รูปใดบ้าง

    จน ครั้งหนึ่งท่านจาริกไปพื้นที่ว่างเปล่าที่ต.คลองด่าน และได้นิมิตเห็นหลวงพ่อปาน วัดบางเหี้ย มาบอกให้ท่านสร้างวัด ณ ที่แห่งนี้ เพราะครั้งหนึ่งสมัยที่หลวงพ่อปานจาริกผ่านมาทางนี้ ท่านทราบด้วยญาณว่า ณ ที่แห่งนี้ต่อไปจะต้องเป็นธรณีสงฆ์ จึงได้อธิษฐานไว้เพื่อรอให้ผู้ที่เหมาะสมมา สร้างวัดเพื่อจะได้เป็นการสืบสานพระพุทธศาสนาในภายภาคหน้าและจะประสบความ สำเร็จในกาลต่อมา หลังจากหลวงพ่อสมจิตรทราบถึงนิมิตดังกล่าวจึงได้เริ่มสร้างวัด ณ ที่แห่งนั้นโดยให้ชื่อว่า "วัดสว่างอารมณ์" ตั้งแต่นั้นมา

    ท่าน ถือกำเนิดในตระกูลแย้มขวัญยืน เมื่อวันที่ 19 มิถุนายน 2462 เป็นบุตรของนายแต้ม และนางบรรจง มีพี่น้อง 2 คน ท่านเป็นพี่ชายคนโต ส่วนน้องชายชื่อนายบุญเจือ มีภูมิลำเนาเดิมอยู่บริเวณถนนตก เขตยานนาวา กรุงเทพฯ เมื่ออายุ 12 ปี ได้ออกจากบ้านหายไปหลายปีจนทุกคนในครอบครัว เข้าใจว่า "เสียชีวิตไปแล้ว" จนกระทั่งวันหนึ่งในปี พ.ศ.2497 มีพระภิกษุรูปหนึ่งเดินเข้ามาในบ้าน และถามหาโยมแต้มกับโยมบรรจง พร้อมกับได้แนะนำตัวเองว่า อาตมาคือเด็กชายสมจิตร ลูกชายคนโตที่หายจากบ้านไปเมื่อประมาณ 24 ปีก่อน

    ทุกคนต่างตก ตะลึงและประหลาดใจมากจึงพยายามจ้องมองและพิจารณาดูอยู่นานจึง จำได้เพราะใบหน้าเปลี่ยนแปลงไปมาก และต่างพากันร้องไห้ด้วยความดีใจที่ยังได้มีโอกาสมาพบกันอีกครั้งหนึ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง โยมแม่บรรจงซึ่งในขณะนั้นดวงตาทั้งสองข้างบอดสนิทไม่สามารถมองอะไรเห็นได้ ตั้งแต่ท่านหายไปจากบ้าน ถึงกับร้องไห้โฮเป็นการใหญ่ พร้อมกับเอื้อมมือสองข้างมาจับต้องใบหน้าของท่านอาจารย์สมจิตรซึ่งเป็นพระ ลูกชายในขณะนั้น

    นอกจากนี้ ท่านอาจารย์สมจิตรก็ยังต้องสูญเสียบิดาในช่วงเวลาดังกล่าวเช่นกัน จึงทำให้ท่านอาจารย์สมจิตรรู้สึกเศร้าสลดใจเป็นอย่างยิ่ง และได้ตั้งจิตอธิษฐานอย่างแน่วแน่ในวันนั้นโดยกล่าวต่อหน้ามารดาและญาติพี่ น้องว่า "ท่านจะขอถือบวชไปตลอดชีวิตและจะขอตายในผืนผ้าเหลืองเท่านั้น" หลังจากวันนั้นท่านก็มุ่งปฏิบัติธรรมและออกธุดงค์อย่างเคร่งครัด เพื่ออุทิศผลบุญกุศลให้กับบิดา-มารดา ตลอดจนญาติพี่น้องเพื่อเป็นการไถ่ถอนความผิดที่ทำให้ทุกคนต้องเสียใจและเป็น ห่วงมานานหลายปี

    ท่านถือธุดงค์เดี่ยวไปในที่ต่างๆ อยู่ตลอดเวลา โดยจะปักกลดอยู่ห่างจากหมู่บ้านหรือชุมชนพอสมควร ชาวบ้านที่รู้ข่าวว่ามีพระมาปักกลดก็จะพากันมาทำบุญตักบาตร โดยนำอาหารและเครื่องใช้ต่างๆ มาถวาย บ่อย ครั้งที่ชาวบ้านจะนำปัญหาหรือข้อขัดข้องใจมาขอความเมตตาให้ช่วยเหลือ ท่านก็จะสั่งสอนและชี้แนะแนวทางแก้ไขปัญหาต่างๆ ไปตามวิถีแห่งธรรมะ ตามหลักของพระพุทธศาสนา หรือบางครั้งก็ให้คำทำนายทายทักตามดวงชะตาและโชควาสนาของแต่ละท่านไป ซึ่งก็เป็นเรื่องที่น่าประหลาดใจมาก เพราะคำทำนายของท่านมักจะแม่นยำมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งคำทายทักที่เป็นข้อห้ามของท่าน หากโยมหรือลูกศิษย์ที่ท่านได้ทายทักห้ามไว้ แล้วไม่เชื่อยังฝืนกระทำก็จะได้รับความเสียหายและสูญเสียเกือบทุกรายไป

    จึง เป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ชาวบ้านและลูกศิษย์มีความเชื่อถือศรัทธามาก จนเรียกท่านว่า "อาจารย์สมจิตร" และคอยติดตามท่านอยู่เสมอว่าท่านจะมาปักกลดอีกครั้งเมื่อใด เนื่องจากท่านเป็นพระธุดงค์เดี่ยวตลอดเวลา จึงไม่ค่อยอยู่กับที่นานนัก ทำให้ไม่ค่อยมีใครทราบหรือรู้เกี่ยวกับประวัติความเป็นมาของท่านมากนัก บ่อยครั้งที่มีญาติโยมบางคนที่มาทำบุญซักถามเกี่ยวกับประวัติความเป็นมา ท่านก็มักจะยิ้มแล้วพูดสั้นๆ ว่า "ขอให้มองไปข้างหน้า.." ซึ่งเป็นคำตอบที่ไม่มีใครเลยจะทราบว่า ท่านหมายถึงอะไร

    [/FONT]พระครูปลัดสมจิตร เปมิโย หรือ หลวงพ่อสมจิตร อดีตเจ้าอาวาสวัดสว่าง อารมณ์ อ.บางบ่อ จ.สมุทรปราการ ได้มาธุดงค์ที่คลองด่านแห่งนี้

    ชาว บ้านเห็นปฏิปทาอันน่าเลื่อมใส จึงกราบอาราธนาให้ไปพักในวัดสว่างอารมณ์ ที่ปากอ่าวบ้านล่าง ซึ่งขณะนั้นวัดสว่างอารมณ์ว่างเจ้าอาวาสลงพอดี และได้รับแต่งตั้งให้เป็นเจ้าอาวาสอันดับรูปที่ 5 ในเวลาต่อมา

    หลวง พ่อสมจิตรจึงรับภาระธุระเจ้าอาวาส เห็นว่าพระอุโบสถเดิมที่หลวงพ่อปานสร้างไว้ทรุดโทรมลงมาก จนไม่อาจจะซ่อมแซมในบริเวณที่เดิมได้ จึงได้ก่อสร้างพระอุโบสถหลังใหม่ขึ้นในบริเวณที่ตั้งในปัจจุบัน

    ต่อ มาท่านได้รับแต่งตั้งเป็นพระฐานานุกรม เป็นพระครูปลัด เป็นครูบาอาจารย์ที่มีลูกศิษย์และชาวบ้านให้ความเคารพนับถือและศรัทธาเป็น จำนวนมาก ทั้งใกล้และไกลในช่วงที่ท่านยังมีชีวิตอยู่นั้น มักจะมีเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้น

    และทำให้บรรดาลูกศิษย์หรือผู้ ที่มาพบท่านอาจารย์รู้สึกประหลาดใจต่อเหตุการณ์และคำทำนายทายทักของท่าน อาจารย์เสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องของการทำนายทายทักที่มีความแม่นยำมาก

    (ปิดรายการ)
    [​IMG]

    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 สิงหาคม 2012

แชร์หน้านี้

Loading...