น่าสงสาร หยุด อย่าดิ้นรนกันอีกเลย

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย คนเมืองเว้, 18 พฤศจิกายน 2011.

  1. คนเมืองเว้

    คนเมืองเว้ สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    39
    ค่าพลัง:
    +8
    น่าสงสาร คนที่เตรียมการกันมากมาย
    ยังกะเตรียมการแล้วจะไม่ตาย
    บนทางเดินที่จะก้าวเดินไปจะยาวจะสั้นสุดท้ายก็ต้องละทิ้งซากร่างนี้ไป

    อย่าไปทุรนทุรายเลย
    เพราะยังไงความตายก็อยู่ในทิศเบื้องหน้าอยู่แล้ว
    มันจะจบลงอย่างไรสุดท้ายก็ตาย
    ก็ความตายตัวเดียวกันนั่นแหละ

    นิ่งๆใช้เวลาที่มีอยู่มุ่งสู่ทางสายธรมกันดีกว่า

    เตรียมมากทุกข์มากผูกติดมาก
    มีข้อสงสัยมากเวลาตาย
    ผูกติดเพราะคิดว่าเตรียมตัวดีแล้วไม่ตาย

    ปลดปล่อยความทุกข์ตรงนี้แล้ว
    หยุดดิ้นรนกันเถิด
    พระพุทธเจ้ายังสอนให้นึกถึวความตายทุกลมหายใจ
     
  2. คนเมืองเว้

    คนเมืองเว้ สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    39
    ค่าพลัง:
    +8
    ใช้เวลาที่มีค่ามาเตรียมกายเตรียมจิตดีกว่า เพราะด่านที่ผ่านยากที่สุดคือวินาทีการตายครับ
     
  3. viriyathika

    viriyathika เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    66
    ค่าพลัง:
    +109
    กะไว้แล้วว่าต้องมีคนโพสแบบนี้แต่ไม่เป็นไรให้อภัยได้ ผมว่าซักคุณ " คนเมืองเว้ " คงเข้าใจ
     
  4. คนเมืองเว้

    คนเมืองเว้ สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    39
    ค่าพลัง:
    +8
    ผมติดตามมาตลอด
    และเชื่อว่าความไม่แน่นอนที่จะเกิดขึ้น
    คือความแน่นอน
    สิ่งที่ไม่เที่ยงคือความเที่ยง
    อะไรจะเกิดขึ้นคือความไม่เที่ยง
    อย่าไปทุกข็กับความไม่เที่ยงเลยครับ
     
  5. ต้นที่สาม

    ต้นที่สาม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มกราคม 2011
    โพสต์:
    258
    ค่าพลัง:
    +1,074
    เหมือนจะปลงๆ
    และยอมจำนนต่อโชคชะตา
    แบบไม่ค่อยจะตรงแนวเท่าไหร่
    เหมือนลัทธิพาห์ม ที่เชื่อว่าชีวิต
    พระเจ้าเป็นผู้กำหนดอย่าไปผ่าฝืนเลย

    พระพุทธเจ้า ทรงเป็นผู้นำทาง
    ว่ามนุษย์เกิดแต่กรรม
    แต่สามารถเลือกทางเดินได้


    ได้มีการบันทึกหรือเล่าต่อกันมาในคัมภีร์พระพุทธศาสนา
    ในเรื่องของสามเณร ซึ่งเป็นศิษย์ในสำนักของพระสารีบุตร พระอัครสาวกเบื้องขวาของพระพุทธเจ้า ซึ่งสามเณรท่านนี้ได้รับการพยากรณ์จากพระสารีบุตรว่า " ชะตาถึงฆาต" จะต้องมรณภาพ ภายใน ๗ วันขอให้ปลงอายุสังขารเสีย พอสามเณรได้ฟังดังนั้น ในฐานะนักปฎิบัติธรรม ท่านก็มิได้สะทกสะท้าน หรืออาลัยในชีวิตแต่อย่างใด ไหน ๆ ก็จะละสังขารแล้ว ก็ใคร่จะขออำลาพระอาจารย์ไปโปรดโยมบิดา มารดาสัก ๓ วัน เพื่อเป็นการตอบแทนพระคุณเป็นครั้งสุดท้าย

    เมื่อได้รับอนุญาตแล้ว ก็ออกเดินทาง กะว่าจะใช้เวลาไปกลับให้ทันก่อนกำหนด เพื่อฟังธรรมจากพระสารีบุตรเป็นครั้งสุดท้าย ในระหว่างการเดินทาง เนื่องจากในช่วงเวลานั้นเป็นหน้าแล้ง น้ำในลำธาร ห้วยหนอง เหือดแห้ง สามเณรได้เห็นปลาน้อย จำนวนหนึ่ง ดิ้นกระแด่ว ๆ ใกล้จะถึงเวลาตายอยู่ในบ่อน้ำที่กำลังแห้งเหือด ด้วยจิตที่เป็นเมตตา ท่านได้นำจีวรช้อนตักปลาฝูงนั้น ไปปล่อยในแม่น้ำสายใหญ่ แล้วจึงเดินทางต่อไป หลังจากโปรดโยมบิดามารดาและเดินทางกลับมายังสำนักแล้ว

    พอครบกำหนดตามที่พระสารีบุตรพยากรณ์เอาไว้ ก็เข้าไปกราบลาเพื่อขอฟังธรรมก่อนละสังขาร แต่พระสารีบุตรกลับไม่แสดงธรรมโปรด และได้กล่าวกับสามเณรว่า "กรรมดีที่เณรได้ช่วยชีวิตฝูงปลา ซึ่งบังเอิญเป็นเจ้ากรรมของเณรแต่อดีตชาติ ประกอบกับบุญกุศลที่เณรได้ทำไว้ด้วยการถือเพศบรรพชิตในปัจจุบัน ทำให้เจ้ากรรมนายเวรเกิดความปีติ ทั้งสองฝ่ายได้ยินยอมให้กรรมหนักถึงตายของเณรหลุดพ้น ด้วยการ "อโหสิกรรม" ต่อกัน
     
  6. whatif

    whatif สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กันยายน 2011
    โพสต์:
    7
    ค่าพลัง:
    +0

    ผมว่าอาจจะมีการเข้าใจผิดนะ ผมว่า จขกท นี่หมายถึง ให้รำลึกอยู่เสมอว่า ความตายต้องมาถึงทุกคน และ อย่าประมาทที่ปฏิบัติธรรม

    การที่เตรียมตัวอย่างโน้นอย่างนี้ แล้วคิดว่าตัวเองจะไม่ตายนั้นคือ ความประมาท คือจะให้อธิบายยังไงล่ะ ผมว่า จขกท เค้าพยายามพูดให้คิดนะครับ แบบต้องคิดลึกนิดนึง

    ยกตัวอย่างที่คุณต้นที่สามยกมา จากที่ จขกท กล่าวมา ก็จะต้องบอกว่า สุดท้าย เณรผู้นี้ ก็หนีความตายไม่พ้นอยู่ดี แต่เณรผู้นี้ ตั้งอยู่ในความไม่ประมาท คือ ยังปฏิบัติธรรม และยังไม่ลืมทำความดี ทำให้พ้นเคราะห์กรรมคราวนั้นไปได้
    แต่ท้ายที่สุดแล้ว ความตายก็คือของเที่ยง และ เณรผู้นี้ก็ต้องตายในที่สุด และทุกคนก็ต้องตายในที่สุด
     
  7. diya

    diya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มกราคม 2010
    โพสต์:
    1,950
    ค่าพลัง:
    +13,032
    ...สรรพสิ่งล้วนไม่เที่ยง ความตายเป็นของเที่ยง...แต่ก็ต้องมีชีวิตอยู่ อย่างไม่ประมาท...
     
  8. AUTO11

    AUTO11 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กรกฎาคม 2011
    โพสต์:
    52
    ค่าพลัง:
    +105
    ความตาย สำหรับผู้เข้าถึงธรรมคือสิ่งที่เป็นธรรมดา
    แต่...
    ความตาย สำหรับผู้เข้าไม่ถึงธรรมคือความหดหู่เศร้าหมอง
    ทอดตาไปทั่วโลกนี้จะมีสักกี่คนที่เข้าถึงปล่อยวางจากอัตตา
    เป็นเรื่องง่ายที่จะพูดแต่ยากที่จะทำ
    สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ย่อมเวียนว่ายตายเกิดต่อไป
    แต่สิ่งที่จะพาให้รอดพ้นได้คืออะไร
    หลายคนหลายความคิด ต่างคนต่างวิธีการ
    เพียงแต่สิ่งเหล่านี้คือหนทางที่ "อาจเป็นไปได้"เท่านั้น
    แต่มีใครบอกได้ไหมว่าอะไรคือสิ่งที่จะทำให้"รอด"
     
  9. ZZ

    ZZ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 เมษายน 2005
    โพสต์:
    5,374
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +34,649
    - เตรียมกาย...รับมือภัยพิบัติ...เผื่อว่ายังไม่ตาย...จะได้สงเคราะห์คนในครอบครัว...ได้

    - เตรียมใจ...รับมือการเกิดในวัฏสงสาร...เผื่อตายจริงๆ...จะได้พ้นอบายภูมิ

    ขอเลือกทั้งสองอย่าง...เพราะซักซ้อมมาหลายรอบ

    แต่ละรอบ...ได้รับความรู้มากมาย...ทั้งกายและจิต (แข้งแข็งขึ้น)....ครับ


    .
     
  10. Nirvana

    Nirvana เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กุมภาพันธ์ 2005
    โพสต์:
    8,188
    ค่าพลัง:
    +20,865
    แนะนำให้ จขกท. อ่านและพิจารณากระทู้นี้ นะครับ

    ด้วยความเคารพ

    http://palungjit.org/threads/เมื่อ-พระมหาชนก-เผชิญภัยพิบัติ.314644/
     
  11. ttt2010

    ttt2010 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    1,754
    ค่าพลัง:
    +905
    ครับมันเป็นสัจธรรม เกิด แก่ เจ็บ ตาย ย่อมเป็นไปตามกรรม
     
  12. Lazaza

    Lazaza เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    991
    ค่าพลัง:
    +5,549
    อย่าไปสงสารคนอื่นเลย ทุกคนต่างมีกรรมเป็นของของตน
    พระพุทธเจ้าท่านสอนให้นึกถึงความตายทุกลมหายใจ
    แต่ไม่ได้สอนให้นอนรอความตายนะคะ

    พุทธวัจนะสุดท้าย ก่อนปรินิพพานท่านกล่าวว่า
    "พวกท่านจงยังความประมาทให้ถึงหร้อมเถิด"

    การบอกว่าปล่อยตามเวรตามกรรม โดยไม่ทำอะไรเลย
    มันเป็นเพียงแค่การปลอบใจตนเองเท่านั้น
    แต่ลึกๆแล้ว คือความไม่อยากเหน็ด ไม่อยากเหนื่อย
    และไม่มีศรัทธา ผู้กล่าวเช่นนี้คือผู้ที่มีความประมาทโดยแท้

    ผู้ที่เตรียมการหลายท่าน ท่านไม่ได้กลัวตายหรอกค่ะ
    ขอยกข้อความของคุณเกษมนะคะ


    ต่อเมื่อเราทำเต็มที่แล้ว ถึงตายก็ตายอย่างมีศักดิ์ศรี
    นอนตายตาหลับ ไม่ติดค้างต่อโลก และตนเอง
    ก่อนจะมองผู้อื่น ต้องมองว่าตัวเอง ทำเต็มที่แล้วหรือยัง
     
  13. พนมกุเลน

    พนมกุเลน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,455
    ค่าพลัง:
    +7,618
    คนจำนวนหนึ่ง ที่ถูกเลือกให้รอดจากมหาภัยพิบัติที่กำลังจะมาถึง เขามีหน้าที่เป็นเมล็ดพันธุ์ของมนุษย์ยุคหน้า

    [​IMG]

    แล้วมันก็มีการโปรแกรมลงใน ดีเอ็นเอ.เขา ก่อนจะออกมาหายใจนอกท้องแม่ว่า ต่อไปต้องทำอย่างนี้ อย่างนั้น เป็นขั้นเป็นตอนมาเรื่อยๆ หรือที่เรียกว่า รับรู้อยู่ภายในของตัวเอง

    ซึ่งแต่ละคนที่ถูกเลือก ก็จะมีหน้าที่ต่างๆ กันไป เช่น บางคนก็เป็นผู้ป่าวประกาศ ให้คนทั้งหลายเตรียมตัว บางคนก็เป็นคนจัดหาแหล่งที่อยู่ที่กิน บางคนก็เป็นหน่วยธุรการ จิปาถะ สารพัดหน้าที่

    ใครจะมาบอก มาเกลี้ยกล่อมยังไง ให้พวกเขาเหล่านี้ ปลงตกกับความตาย หายใจทิ้งไปวันๆ เฝ้ารอวันโลกแตกดับ ทำชีวิตเหมือนกอสวะ ลอยเอื่อยๆ ไปตามน้ำ คนเหล่านี้เขาไปทำหรอก
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 พฤศจิกายน 2011
  14. Numtrn

    Numtrn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    1,408
    ค่าพลัง:
    +1,571

    เตรียมแต่จิต แล้วจะให้ใครเตรียม ข้าวให้กิน เตรียมน้ำสะอาดให้ดื่ม ล่ะท่าน


    จะมุ่งสู่ ธรรม ยังไงก็ต้องใช้ร่างกายของมนุษย์

    ในสภาวะที่ไม่อำนวยต่อการดำรงค์ อยู่ของร่างกายมนุษย์

    การนั่งหลับตา ไม่ใช่ทางแก้ปัญหา



    .......... ไม่เตรียมอะไร เวลาหิว ก็กินบุญเอาละกัน ๕ ๕ ๕....

    .........................หลุดโลก ๕ ๕ ๕ ....
     
  15. คนเมืองเว้

    คนเมืองเว้ สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    39
    ค่าพลัง:
    +8
    อย่าประเมินร่างกายที่ถูกควบคุมโดยจิตของเราต่ำเกินครับ
    ************************
    พระพุทธองค์ ฉันข้าวมื้อสุดท้ายก่อนตรัสรู้
    ที่นางสุชาดาถวาย ปั้นได้ 49 ก้อน
    หลังตรัสรู้ 7 อาทิตย์ = 49 วัน ไม่ได้ฉันอะไรเลย
    ปฎิบัติเสวยวิมุตติสุขตลอด 7 อาทิตย์ 7 กิจ
    ก่อนตรัสรู้อดอาหารทรมานกายอย่างหาใครเทียบไม่ได้สมัยนั้น
    พระองค์ทรงสรรเสริญการ ละ-อด-เลิก-ประหาร กิเลส

    ********************************
    หนังสือพิมพ์ The SUN ประจำวันที่ ๑๐ พ.ค. ๒๐๑๐
    ได้ออกข่าวว่า วงการแพทย์อินเดียตื่นตะลึง! เจอโยคีบำเพ็ญพรตงดกินอาหารและน้ำมานาน 70 ปียังอยู่สบายดี ทั้งที่มีอายุถึง 83 ปีแล้ว
    บรรดาแพทย์ทหารของอินเดียประมาณ 30 คนได้เฝ้าดูอาการของนักพรตปราลาด จานี ตลอด 24 ชั่วโมง เป็นเวลา ๒ สัปดาห์ ในโรงพยาบาลเมืองอาห์เมนาบัดทางภาคตะวันตก
    มีการติดตั้งกล้อง 2 ตัวในห้องสังเกตอาการ และมีตากล้องอีกคนคอยถ่ายภาพเคลื่อนไหวขณะท่านโยคีเดินไปไหนมาไหน
    นายแพทย์สุธีร์ ซาร์ บอกว่า พวกเราสงสัยอยู่ว่า ท่านอยู่รอดได้อย่างไร และนับเป็นปรากฎการณ์ที่ประหลาดลึกลับมากทีเดียว

    หมอจะสแกนทั่วร่างกาย ตรวจสมอง เช็กหัวใจ "ผลการศึกษาในกรณีนี้จะช่วยให้เราได้ความรู้เกี่ยวกับการอยู่รอดของมนุษย์ ที่ไม่กินอาหารและน้ำ" นายแพทย์ จี. ลาวาซาฮากัน หัวหน้าทีม บอกกับนักข่าว
    คุณหมอบอกว่า โยคีจานีเปิดเผยว่าท่านได้รับพลังงานจากการทำสมาธิ แต่ทหารไม่สามารถทำสมาธิได้ แม้กระนั้นเราก็ยังอยากรู้เกี่ยวกับตัวท่านและร่างกายของท่าน
    "เราอาจได้ความรู้เกี่ยวกับกลยุทธ์ในการอยู่รอดในช่วงที่เกิดภัยพิบัติ เหตุการณ์ร้ายแรงต่างๆ และเวลาไปสำรวจนอกโลก เช่น บนดวงจันทร์ หรือดาวอังคาร
    ตั้งแต่การตรวจนี้ได้เริ่มขึ้นเมื่อวันที่ 22 เมษายนที่ผ่านมา โยคีท่านนี้ยังไม่ได้กินหรือดื่มอะไรเลย และไม่ได้เข้าห้องน้ำด้วย
    นักพรตผู้นี้นุ่งห่มผ้าสีแดง สวมสร้อยลูกประคำ เป็นคนพื้นเพรัฐคุชราฐ ท่านอ้างว่าตัวเองได้รับการประสาทพรจากพระแม่เจ้าองค์หนึ่งเมื่อตอนเป็นเด็ก ทำให้สามารถยังชีพได้โดยไม่ต้องกินอะไรเลย.
    ดร.ซ่าร์ แสดงข้อคิดต่อว่า ถ้าท่านไม่ได้ดื่มน้ำหรือรับอาหารที่เป็นพลังงานใด ๆ ในการดำรงชีพเลย แสดงว่าพลังงานรอบตัวท่านเช่นพลังงานแสงอาทิตย์ก็น่าจะเป็นหนึ่งในพลังงาน ช่วยเสริมส่วนนี้และนักศึกษาวิชาแพทย์ทั้งหลายไม่ควรปิดตาเรื่องพลังงานอื่น ๆ ที่จะยังชีวิตมนุษย์ให้อยู่รอดได้นั้นคงไม่มีแต่เพียงแค่พลังงานแครอรี่เท่านั้น ฯ
    **************************************************
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 พฤศจิกายน 2011
  16. ธรรมแท้ว่าง

    ธรรมแท้ว่าง กายเบาใจเบา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    12,288
    ค่าพลัง:
    +12,620
    ภายใต้สภาวะการณ์โลกใกล้แตก หากเข้าใจชีวิตตามพุทธปรัชญา ชีวิตที่เหนื่อยมาก
    หรือชีวิตที่เหนื่อยน้อย จะไม่มีความแตกต่างกันเลย
    เพราะต่างก็กำลังอยู่บนความเสี่ยงเท่าๆกัน
    ชีวิตทั้งสองแบบจะล้มหายตายจากไปแบบไร้ค่าเหมือนๆกัน
    แต่ส่วนใหญ่ทิ้งร่องรอยการทำร้ายโลกไว้มากบ้างน้อยบ้าง ตามความหลง(โมหะ)
    สำหรับชีวิตที่เกิดมาแล้วตายไม่เสียเที่ยว
    คือชีวิตที่บำเพ็ญทางด้านทาน ศีล และเจริญจิตภาวนา
    ตามพุทธปรัชญา หรือกล่าวแบบง่ายๆ
    คือดำเนินชีวิตทำมาหากินตามทำนองคลองธรรม
    หมั่นทำจิตให้หลุดพ้นปล่อยวาง ด้วยการบริจาคทาน รักษาศีล และเจริญจิตภาวนา
    และละจิตที่ชั่วอกุศลทั้งปวงซึ่งยากมากๆ
    ถ้าไม่เข้าใจถูกต้องเสียก่อนแล้วทำไมได้แน่นอน
    และต้องเข้าใจอีกว่าการเข้าถึงธรรมนั้นไม่ใช่ใครก็เข้าถึงได้
    หากละตัวตนไม่ได้ทุกอย่างก็จบ จ๊าก.......สาธุ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 พฤศจิกายน 2011
  17. nut1319

    nut1319 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    232
    ค่าพลัง:
    +651
    งั้นก็ อย่าหากินไปเลย ดินรนทำไม เดี๋ยวก็ตาย แล้ว เห่อๆ.... ไม่ต้อง กิน ไม่ต้องทำ
     
  18. ภูติอาคเนย์

    ภูติอาคเนย์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    724
    ค่าพลัง:
    +1,327
    พุทธศาสนาและโลกนี้ไม่สามารถดำรงอยู่ได้หากปราศจากบริษัททั้ง4 ฉันใดก็ฉันนั้น บางท่านวางเฉยต่อโลกได้ ไม่ต้องมีกิจการภาระต่อโลก บางท่านวางเฉยไม่ได้เพราะมีภาระต่อโลก บางท่านวางเฉยได้แต่ก็ยังกิจเพื่อประโยชน์ต่อโลก

    การบำเพ็ญและดำเนินวิถีชีวิตของแต่ละบุคคลย่อมไม่เท่ากันไม่เสมอกัน เช่นนี้อย่าได้น้อมใจว่า เรานี้คือจักรวาลของโลกทั้งมวล สรรพสิ่งล้วนหมุนรอบเรา จักต้องฟังเรา หากไม่ฟังเราเรียกว่าทำผิดวิธี หากคิดแบบนี้แล้วเรียกว่ามิจฉาทิฏฐิ เมื่อมิจฉาครอบครองใจ สายตาและผัสสะจะไม่สามารถมองโลกอย่างเป็นธรรมได้ ด้วยความปราถนาดีหวังว่าท่านจะเข้าใจ
     
  19. nut1319

    nut1319 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    232
    ค่าพลัง:
    +651
    โมทนาสาธุค่ะ :cool:
     
  20. คนเมืองเว้

    คนเมืองเว้ สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    39
    ค่าพลัง:
    +8
    ที่จิตตกอยู่ห้วงทุกข์คือการห่วงกายหยาบ
    ยึดติดอยู่ในรูปรสกลิ่นเสียงจากการใช้กายหยาบสัมผัส
    การหลงในสุข หรือการหลีกพ้นซึ่งทุกขเวทนา

    ทำให้ความรู้สึกที่บอกตัวเองว่ากายนี้เป็นของเราๆต้องรักต้องหวงแหน
    อย่าให้ใครมาทำอันตราย อันจะเป็นเหตุให้เกิดเวทนา
    ยิ่งพยายามปกป้องเท่าไหร่แรงยึดเหนี่ยวของจิตเดิมกับกายหยาบยิ่งแนบแน่น
    ทำให้จิตสุดท้ายเกิดการกลัว ว่าจะเสียร่างที่ครองอยู่นี้ไป

    นี่แหละทำใ้เกิดความหมายของการซ้อมตายหรือเปล่่า

    ไม่ได้บอกให้ไม่ทำอะไรเลย
    แต่ขอให้มีการเตรียมอย่างมีสติ อย่าทุรนทุราย
    วิ่งสัดส่ายกวัดแกว่งไปทั่ว
    เกิดเหตุการณ์ที่ว่านี่เกิดพรุ่งนี้ วันนี้ท่านคิดว่าท่านหร้อมหรือยังครับ

    เพราะหลายๆอาจารย์ก็บอกว่ามันจะเลื่อนไปตามเหตุปัจจัย
    เกิดมันโดนแรงดึงดูดที่มีคนกลัวมากๆหลุดชิิดเข้ามาก็
    ไม่แตกต่างจากการไม่ได้เตรียมอะไรเลยครับ

    มองต่างจากชาวบ้านไปหรือเปล่า
    แต่โดยส่วนตัวผมคิดว่าผมเตรียมตัวมาพอสมควร
    แต่มาชวนว่าอย่าขาดสติและโจทย์ที่แท้จริงครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...