ตันตระวัชรญาณ ไม่รู้ว่าตันตระเกิดเลื่อมใสพุทธ หรือพุทธเกิดเลื่อมใสตันตระกันแน่?

ในห้อง 'Black Hole' ตั้งกระทู้โดย Amantrai, 22 มกราคม 2011.

  1. พรหมาวตาร

    พรหมาวตาร Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    99
    ค่าพลัง:
    +66
    ถาม"เท่าที่รู้มา ภพภูมิทั้ง 31+1 คือ กามภพ ถูกสร้างด้วยกาม ถูกหล่อเลี้ยงด้วยกาม
    ดังนั้น การ ปฏิบัติเพื่อ ออกจากกาม ก็คือ การหลุดพ้น จากภพภูมิทั้ง 31+1

    หรือ มี ภพภูมิไหนครับ ที่ ไม่ได้ ถูกหล่อเลี้ยงด้วยกาม"

    ตอบ มีครับ นรกภูมิ ถูกหล่อเลี้ยงด้วยไฟแห่งอวิชชา และ รูปพรหม อรูปพรหม ถูกหล่อเลี้ยงด้วยเมฆหมอกแห่งอวิชชา


    ถาม"แล้วคำว่า คน หรือ มนุษย์ ที่ ยังถูกหล่อเลี้ยงด้วยกาม(ความอยาก ความไม่อยาก อัตตาตัวตน) กับ คำว่ามนุษย์ผู้ประเสริฐ ที่ ตั้ง วจีกรรม กายกรรม มโนกรรม อยู่บนมรรคแปด อันนี้ไม่ทราบว่า คำว่ามนุษย์ผู้ประเสริฐที่พูดถึงนี้ ยังถูกหล่อเลี้ยง ด้วยกามหรือเปล่าครับ
    ไม่ทราบว่ามีท่านใด พอ ตอบ ให้ เป็นธรรมทานได้บ้างครับ"

    ตอบ มนุษย์ผู้ประเสริฐ ที่ ตั้ง วจีกรรม กายกรรม มโนกรรม อยู่บนมรรคแปดไม่ถูกหล่อเลี้ยงด้วยกามครับ เพราะหล่อเลี้ยงด้วยวิชชาคือมรรคผล และถึงพร้อมด้วยไตรสิกขา ท่านก็คืออรหันต์ผู้พ้นอวิชชานั่นเองครับ
     
  2. เทพธรรมบาล

    เทพธรรมบาล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    1,215
    ค่าพลัง:
    +291
    เพื่อความเข้าใจ จักได้มิต้องมาปรามาสคำสอนนิกายอื่น ค่อยๆอ่านไปหนา

    เอาที่ไหนมา!!!!!เสพกามบรรลุใครเขาบอกพวกเอ็งไปอ่านตำราฝรั่งยุคเก่าก่อนที่จะเข้าธิเบตที่เขาแปลมารึ
    เขามีแต่บรรลุแล้วถ้าเป็นฆาราวาสก็ทดสอบด้วยการเสพกาม ราคะไม่กำเริบไร้อารมย์ก็ผ่านบรรลุ หากราคะกำเริบก็ลงนรกอเวจีไป

    แต่เป็นภิษุเสพเมถุนไม่ได้หนาเขามีวิธี ถ้าผ่านก็แสดงว่าบรรลุแล้ว
    ถ้าไม่ผ่านก็อเวจีไป วัชรยานจึงมี2ทางเลือกคือบรรลุธรรมหมดกิเลสโดยสิ้นเชิงกับนรกอเวจี ไม่มีแก้ตัว ต้องชัวร์เท่านั้น ต้องบรรลุแน่นอน การสอบธรรมเขาท้ายทายมาก
    เพราะกิเลสต้องไม่มีจริงๆ

    คนปฏิบัติมักกลัวเรื่องนี้ นี่แหละจุดอ่อนละได้ทุกอย่าง บางคนนุ่งขาวห่มขาวนั่งสมาธิปลีกวิเวกตามวัดป่า สม่ำเสมอ ละวางทุกอย่างได้ แต่พอกลับบ้านมาอยู่กับเมียราคะมันก็กำเริบ นี่แหละความยากของการปฏิบัติเรื่องเพศนี่แหละ


    คนเรามีสภาวะธรรมแห่งการตื่นรู้(โพธิจิต)อยู่ทุกคนแหละเพียงแต่อวิชชาบังอยู่จึงหลงในมายาเพราะยังไม่รู้แจ้ง ตันตระวัชรยานจึงใช้วิชาการเรียนรู้ไอ้ตัวอวิชชาเพื่อจะได้เข้าใจแล้วรู้ทัน เหมือนกับติดคุก ถ้าเป็นทางเถรวาทก็แหกคุกโดยทางใดก็ได้ที่สะดวก ถ้าเป็นวัชรยานก็ศึกษาเวลาผู้คุมการเคลื่อนย้ายนักโทษก่อนเวลาจะแหกคุกก็รู้ว่ามันเผลอเมื่อไหรจะได้แว๊ปไปได้
    เถรวาทแหกคุกแล้วไปแล้วไปเลย มหายานวัชรยาน จะยังอยู่ส่งซิกให้เพื่อต่อแถวๆนั้น เปรียบง่ายๆหนา

    การจะเป็นพระโพธิสัตว์ได้ทางคติมหายานวัชรยานต้องบรรลุโพธิจิตเท่านั้น
    มีคนถามว่ามหายานบรรลุอะไร ก็ขอตอบเสียเลยว่าบรรลุอรหันต์นั้นแหละ
    พระท่านว่าละอาสวะได้ทั้ง10 แต่ทำไม่บรรลุอรหันต์ยังมาเกิดเป็นพระอาจารย์ซ้ำแล้วซ้ำอีก เรื่องนี้เป็นการตีความพระอภิธรรมที่ต่างกัน วัชรยานคือสายปฏิบัติวิปัสนาของมหายาน พระเถรวาทท่านบอกบรรลุไม่มาเกิดอีกก็ใช่
    พระมหายานบอกบรรลุแล้วเข้าถึงธรรมกายแล้ว นิรมานกายมาเกิดเป็นแค่ละครฉากหนึ่งก็ใช่ อย่าว่าอะไรผิดถูกเลยถูกทั้งหมดนั่นแหละ






    แต่ละพื้นที่อุบายการสอนต่างกันไป




    พระมหายานในจีนที่ไปสายวัชระยานเพื่อบรรลุกลับมา มักชอบสร้างเรื่องให้เป็นที่สนใจให้คนเขากล่าวหากินเหล้าบ้างมีเมียบ้าง กินเนื้อบ้าง เหมือนคนบ้าบ้าง
    ให้ลูกศิษย์ลูกหาเสื่อมศรัทธา เป็นอุบายยามก่อน

    เช่นพระถังซัมจั๋ง ท่านบรรลุธรรมแล้วหมดกิเลสแล้ว ท่านก็ออกไปครองเรือน
    มีเมีย จนลูกศิษย์เสื่อมศรัทธา ท่านจึงเอาเข็มหลายอันเชียว ผสมน้ำสมสายชู
    แล้วกลืนเข้าไป จึงดึงเข็มออกมาตามผิวหนังแล้วบอกลูกศิษย์ว่าทำให้ได้ก่อนแล้วค่อยมีเมีย


    แต่สังคมจีนสมัยก่อนเขาต้องสอนกันแบบนี้มันเป็นจริตเขา ลูกศิษย์เห็นอาจารย์มีเมียได้อยากมีมั่ง จึงไปปฏิบัติกักตัวนั่งสมาธิ พอนั่งไปปัญญาเกิดก็เห็นธรรมไม่อยากมีเมียละ ปฏิบัติไปเพื่อบรรลุ เพราะวัชรยาน บรรลุเร็วแต่เคร่งครัดมาก

    แต่สมัยนี้ของปลอมมันเยอะไม่ค่อยกลัวนรกหรอก
    พระธรรมวินัยที่ไหนพระมีเมียได้ เสพเมถุนก็ปราชิก

    พอบรรลุธรรมหมดกิเลศแล้ว จะทำอะไรก็ย่อมได้ กรรมไม่มีผลเป็นอกิริยา
    เช่นพระอรหันต์จี้กงเหมือนคนบ้าน ท่านบรรลุแล้ว แต่เป็นแนวการสอนท่าน

    ในเมืองไทยก็เคยมีวัชรยานรุ่งเรืองมากแต่คนไทยไม่ชอบแนวนี้
    พระอรหันต์ จึงไม่ได้มีเมียหรือกินเหล้าสอน คนไทยชอบคงกระพัน
    ท่านก็สอนอาคม สักยันต์ มาใครอยากเหนียวมาเรียนกับข้า
    ใครอยากมีของทำตระกรุดมาเรียนมาแต่เรียนแล้ว ต้องนั่งสมาธิ ห้ามนั้นนู่นนี่
    ห้ามสารพัด ไปๆมาปฏิบัติไปเรื่อยๆเกิดปัญญาไม่เอาละของอาคมจะบรรลุแล้ว

    ที่มีของขลังวัตถุมงคลในไทยก็มรดกตกทอดจากวัชรยานแต่เก่าก่อน
    จะสังเกตุสีจีวรของพระครูบา ท่านก็ได้รับการตกทอดมาแต่เก่าก่อน
    มันเป็นอย่างนี้




    หากเมืองไทยแลสุวรรณภูมิ ไม่เคยมีวัชรยานก็ยากที่เถรวาทเข้ามาได้ ยากมาก
    เพราะคนไทยแลสุวรรณภูมิยามก่อนนับถือผีสาง จะเอาปรัชญามาพูดเกิดแก่เจ็บตายนะโยมไม่มีใครฟังหรอก คนปัญญายังน้อย แต่พระทางวัชรยานท่านชอบเล่นฤทธิ์ ท่านมีดโปรโมชั่นมากมาย อ๋อไอ้คนไทยมันนับถือผี ฉันก็ตั้งสำนักปราบผีสะเลยแสดงอภินิหาร ร้อยแปดพันประการให้คนอัศจรรย์ใจและเลื่อมใส
    จากนั้นก็ค่อยๆสอนให้รู้จักพระให้รู้จักธรรมมะ สอนปฏิบัติธรรม มันเป็นมาแบบนี้

    จะเห็นได้ว่า นิกายมหายานวัชรยานจึงเป็นนิกายใหญ่คนปัญญาน้อยก็เข้าใจธรรมมะได้ มีการปรับเปลี่ยนตามสภาพท้องถิ่น

    นิกายเถระวาทเหมาะกับผู้มีปัญญามากกว่าเพราะเป็นทางตัดตรง




    ส่วนเรื่องตันตระ พุทธ กับพราหม์ ใครลอกใครมา บ้างก็ว่าพรามห์เลียนตามพุทธ สร้างพระตรีมูรติมาแข่งกับพระรัตนตรัย

    บ้างก็ว่าพุทธเราดัดแปลงให้เข้ากับพราหม์เพื่อเผยแผ่ศาสนาเป็นอุบายไป

    เรื่องเก่าแล้วหาความจริงคงลำบาก



    แต่ก็มีหลายท่านบอกว่าเราทำตามคำสอนของพระพุทธเจ้าดีกว่าก็แนะนำให้ไปศึกษาพระไตรปิฏกมหายานท่านจะพบว่าพระพุทธเจ้าได้สอนไว้มากมายกว่าที่ท่านได้เรียนมาก

    เพราะมหาสังฆิกะ ท่านเอาหมดพระพุทธเจ้าเคยสอนอะไรใครเอามาสังคยานาหมด จึงมีทางพระโพธิสัตว์อย่างละเอียดเชียว

    แต่ของเถรวาทมองว่าเอาเฉพาะบรรลุหรหันต์ไปนิพพานดีกว่า อย่างอื่นฟุ่มเฟือย นี่แหละเอาเนื้อๆและยังคงรักษาพระวินัยไม่ลดไม่เพิ่มสืบมา


    สุดท้ายทั้งหมดนี่ก็คือคำสอนพระศาสดาทั้งนั้นอย่าแบ่งกันเลย พระพุทธองค์ได้สอนตามจริตมนุษย์ที่เป็นไว้อย่างครบถ้วนแล้ว อยู่ที่ว่าเราต้องถามตัวเองว่าจริตเราชอบแบบไหน อย่ามองว่าเราดีเขาไม่ดี เช่นฉันกินเจฉันดีกว่าคนกินเนื้อ ฉันใดก็ฉันนั้น อย่ามองแบบนี้เลย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 ตุลาคม 2011
  3. ผมเองครับ

    ผมเองครับ สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2008
    โพสต์:
    390
    ค่าพลัง:
    +3
    ตามที่ได้ ศีกษามา สรุป แก่นของ ....ศาสนาทุกศานา ดังนี้

    1.สอนให้ทุกคนเป็นคนดี....แต่ปัญหา ที่ พบเจอมา ทุกศาสนาก็คือ คนทุกคน ใครก็อยากให้คนอื่นรู้ว่าตนเอง เป็นคนดี ..ใครก็อยากให้คนอื่น มายกย่อง ชมเชย ว่าตนเองดีกว่าคนอื่น ดีเหนือคนอื่น ....แล้ว ทุกคนที่คิดว่าตนเองเป็นคนดี ก็ อยากดีกว่าคนอื่นๆ
    ตกลง ปัญญา ของทุกคน ก็คือ.....อยากให้คนอื่น มายอมรับ ในความดีของตนเอง กันทั้งนั้น ไม่ค่อยจะชอบเท่าไหร่ ถ้า คนอื่นดีกว่าตนเอง แปลกมั้ยครับ
    ...
    แล้ว การที่จะเข้าใจในพุทธศาสนานั้น ....พุทธองค์ท่าน ย้ำที่ อริยสัจ 4 ความจริงอันประเสริฐ 4 ประการ นั่นก็คือ ....เพื่อ การหาหนทาง แห่งการรู้แจ้ง ด้วย สติปัฏฐาน 4 ก็คือ ดูกายเพื่อวางกาย ดูเวทนากายเพื่อวางเวทนากาย ดูจิตเพื่อวางใจ..เมื่อวาง 3อย่างนี้ได้ เรียกว่า วางโลกธรรม ได้....นั่นคือ ความไม่ยึดมั่นถือมั่นใน โลกธรรม ในตนเองและคนอื่น

    แล้วก็มาดูธรรม ดูความจริง ของ อัตตาตัวตน วิญญษณ สัญญา...เชื้อแห่งการเกิด ภพภูมิ สร้างชาติ สร้างภพ เพื่อ วางธรรม วางความจริง ....ให้ได้...เพราะ ทุกอย่างไม่เที่ยง ของโลก ของกาย ของเวทนากาย ของจิตใจ คือ วาง ความไม่เที่ยง วางความไม่จริง

    แล้วค่อย มาอยู่กับ ความเที่ยงคือ นิพพาน ความจริงคือ สัจธรรม เพื่อ วางนิพพาน วางสิ่งที่เที่ยง ด้วย.....วางทั้ง อัตตา และ อนัตตา......เพื่อ ความไม่ยึดมั่นถือมั่น ในสิ่งทั้งหลาย

    สุดท้าย เมื่อวาง ความจริง ของโลก ความจริงของคนอื่น วางความไม่เที่ยงของโลก วางความไม่เที่ยงของคนอื่น รวมทั้งวางความไม่เที่ยงของตนเอง ...ก็จะเหลือ ความจริงในตน คือ ชีวิต ที่ ยังไม่ตาย เพื่อรอวันตาย รอวันไม่เที่ยงเช่นกัน

    ทุกอย่าง มันคือ ธรรมชาติของมัน การ เข้าใจ ในไตรลักษณ์คือ การ เข้าใจ หัวใจของ คำสอน และ หัวใจแห่งพุทธะที่แท้จริง

    นั่นเพราะ ทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ว่าจะเที่ยงไม่เที่ยง จริงไม่จริง ล้วน อยู่ภายได้ การแสดงออก มา ทาง ไตรลักษณ์นั่นเอง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 ตุลาคม 2011
  4. deemonster

    deemonster เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มกราคม 2007
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +805
    เข้ามาดู อ่าน
    ท่านเทพสำแดงฤทธิ์
     
  5. พรหมาวตาร

    พรหมาวตาร Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    99
    ค่าพลัง:
    +66
    อ่านมาตั้งยาวสุดท้ายก็ไม่พ้นศิษย์นอกครู
    เช่นพระถังซัมจั๋ง ท่านบรรลุธรรมแล้วหมดกิเลสแล้ว ท่านก็ออกไปครองเรือน
    มีเมีย จนลูกศิษย์เสื่อมศรัทธา และอีกหลายบรรทัดที่กล่าวมา เป็นต้น

    อยากให้ลองใช้ปัญญาพิจารณาหนาท่านทั้งหลาย
    1.พระพุทธเจ้าแสดงพระองค์เป็นตัวอย่างที่เลิศแล้วกว่าผู้ใดในสามโลก ไฉนจึงเอาสาวกผู้ไม่อาจรับรองได้ว่า สำเร็จตามคำสอนของพระองค์มาเรียนแบบจนเกิดลัทธิเล่า
    2.วิธีที่พระองค์ประทานมา มากกว่า 40 วิธี เพื่อให้ตรงกับจริตบุคคล เหตุใดจึงเลือกที่จะใช้ของสาวกที่ไม่อาจรู้ว่าสำเร็จตามคำสอนของพระองค์เล่า
    3.มิได้ว่าปรามาสผู้ตั้งลัทธิ แต่ว่าผู้เลื่อมใสที่ปัญญามีเท่าใด จึงไปเลื่อมใสผู้ที่มิได้รับการยอมรับจากสามโลก ให้มามีคุณภาพเหนือกว่าพระศาสดา

     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 27 ตุลาคม 2011
  6. พรหมาวตาร

    พรหมาวตาร Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    99
    ค่าพลัง:
    +66
    นี่ตอบกระทู้นะครับ มิได้ว่าผู้ใด แต่ต้องการให้เทพฯอ่านด้วย จะได้เกิดแสงสว่างบรรลุอรหันต์เสียเลย เลิกเฝ้าศาลเสียทีอิอิ
    ปัจจุบันพระพุทธศาสนามีนิกายที่สำคัญอยู่สามนิกายคือเถรวาท มหายาน และวัชรยานหรือตันตรยาน ในส่วนของนิกายเถรวาทและมหายาน พุทธศาสนิกชนส่วนมากมักจะรับรู้และมีความเข้าใจกันพอสมควร ประเทศไทยก็ได้จัดการประชุมนานาชาติว่าด้วยพระพุทธศาสนามาหลายครั้ง แต่อีกนิกายหนึ่งอยู่กึ่งๆระหว่างเถรวาทและมหายาน แต่มีข้อปฏิบัติที่แยกออกไปอีกอย่างหนึ่ง ที่มีคนรู้จักมากที่สุดคือพระพุทธศาสนานิกายตันตรยานแต่มักชอบเรียกตัวเองว่าวัชรยาน
    ก่อนที่พระพุทธศาสนาจะหายไปจากอินเดียประมาณพุทธศตวรรษที่ 17 นั้น เท่าที่ปรากฏในเอกสารต่างๆระบุตรงกันว่า เพราพระพุทธศาสนาได้รับเอาการปฏิบัติแบบตันตระจากฮินดูเข้ามา จนเกิดความเสื่อมทางศีลธรรม จนกระทั่งกองทัพมุสลิมบุกเข้าเผาทำลายศาสนสถานของพระพุทธศาสนา ในขณะที่พระภิกษุผู้นิยมในลัทธิตันตระ พากันนั่งสาธยายมนต์ โดยไม่คิดจะต่อสู้กับมุสลิม ส่วนมากจึงถูกฆ่าตาย ส่วนผู้ที่ได้ฌานสมาบัติจริงก็เหาะหนีไปยังประเทศอื่นเมืองอื่น
    ในส่วนของศาสนิกชนถ้าใครต้องการที่จะมีชีวิตอยู่ก็ต้องเปลี่ยนศาสนาเป็นอิสลามหรือไม่ก็ทำเฉยเสียโดยไม่ยุ่งเกี่ยวกับศาสนา ถ้าวิเคราะห์ตามนี้ก็จะเห็นได้ว่าทั้งฮินดูและพุทธถูกทำลายลงพร้อมกัน แต่ทำไมฮินดูจนยังคงมีอิทธิพลต่อชาวอินเดียอยู่ในปัจจุบันควบคู่ไปกับมุสลิม แต่พระพุทธศาสนาที่เคยเจริญรุ่งเรืองกลับต้องมาเจริญในต่างแดนเช่นไทย พม่า จีน ญี่ปุ่น เกาหลี ทิเบต ในแต่ละประเทศก็ได้พัฒนาพุทธศาสนาผสมกับความเชื่อดั้งเดิมของตน จนกลายเป็นพระพุทธศาสนาในลักษณะที่มีต้นกำเนิดจากที่เดียวกัน แต่มีคำสอนและพิธีกรรมไม่เหมือนกัน
    พระพุทธศาสนาแบบตันตระยานหรือวัชรยานหรือมันตรยาน เกิดขึ้นในอินเดียประมาณศตวรรษที่ 7 โดยได้ดัดแปลงเอาลัทธิฮินดูตันตระเพื่อเอาใจชาวฮินดู และได้นำเอาพิธีกรรมทางอาถรรพเวทเพื่อต่อสู้กับศาสนาฮินดู พุทธศาสนาแบบตันตระมีสาขาใหญ่ 2 สาขา เรียกว่าสาขามือขวากับ มือซ้าย นิกายมือขวาเคารพบูชาเทพฝ่ายชาย ส่วนนิกายมือซ้ายนิยมเรียกว่าวัชรยาน ถือเอาศักติหรือชายาของพระพุทธเจ้าเป็นหลัก และทุ่มเทความสนใจหนักไปที่นางตารา หรือพระนางผู้ช่วยให้พ้นทุกข์
    พิธีกรรมที่สำคัญของตันตรยานคือการสาธยายมนตร์ที่ลึกลับต่างๆ และมีการปฏิบัติโยคะท่าทางต่าง ๆ พร้อมด้วยการเจริญสมาธิ จุดมุ่งหมายของการปฏิบัติเพื่อบรรลุความหลุดพ้น เชื่อกันว่าในทันทีที่มีความชำนาญได้บรรลุฌานชั้นที่ 1แล้ว กฏความประพฤติด้านศีลธรรมปกติธรรมดาก็ไม่จำเป็นสำหรับผู้นั้นตลอดไป และเชื่อว่าการฝ่าฝืนโดยเจตนา ถ้าหากทำด้วยความเคารพแล้ว ก็จะทำให้เขาบรรลุธรรมขั้นสูงต่อไป ดังนั้นจึงมักผ่อนผันในเรื่องการเมาสุรา การรับประทานเนื้อสัตว์ และการสับสนในทางประเวณี (จำนงค์ ทองประเสริฐ 2540:197)
    เมื่อบรรลุฌานขั้นที่ 1 กฎแห่งความประพฤติก็ไม่จำเป็น นี่กระมังที่ทำให้ใครๆก็อ้างว่าตนเองบรรลุฌารนขั้นที่ 1 เพื่อที่ตนเองจะได้ทำอะไรก็ได้ตามใจชอบ นักบวชตันตระบางคนจึงเมาสุรา เสพเมถุนกันอย่างเต็มที่ เพื่อที่จะได้บรรลุศักติ นั่นเป็นเพียงข้ออ้างเพื่อทำความชั่ว โดยอ้างหลักการบนพื้นฐานของความดี คนที่ทำชั่วในคราบของนักบุญ นับเป็นคนบาปที่ไม่ควรให้อภัย
    พุทธศาสนานิกายตันตระ ถูกนำมารวมเข้าไว้ในการปฏิบัติพิธีรีตองที่เป็นความลับ ครูอาจารย์ในนิกายนี้มักจะเขียนหนังสือที่มีปรัชญาลึกซึ้ง เพราะตันตรยานมีความลึกลับ และมีวิธีการที่พิสดารที่เอง จึงมีผู้ให้คำอธิบายไว้ว่า “ตันตรยาน บางครั้งเรียกว่าลัทธิคุยหยาน ซึ่งแปลว่าลัทธิลับ เป็นนิกายที่มีลักษณะแปลกประหลาดกว่านิกายพุทธศาสนาอื่น ๆ ที่รับเอาพิธีกรรมและอาถรรพเวทของพราหมณ์ เข้ามาสั่งสอนด้วย แต่แก้ไขให้เป็นของพุทธศาสนาเสีย เช่น แทนที่จะบูชาพระอิศวรก็บูชาพระพุทธเจ้าแทน เกิดขึ้นประมาณพุทธศตวรรษที่ 7 (เสถียร โพธินันทะ 2541:172)
    เมื่อชาวพุทธรับเอาลัทธิตันตระจากฮินโมาปฏิบัติเพื่อต่อสู้กับฮินดู พระสงฆ์มักจะเน้นที่พิธีกรรมที่แปลกๆและพิสดาร ยิ่งมีความลึกลับเท่าไร ก็ยิ่งทำให้คนเลื่อมใสมากขึ้น และนั่นทำให้เกิดลาภสักการะ พระสงฆ์จึงละทิ้งการปฏิบัติทางจิต หันไปเน้นการประกอบพิธีกรรมที่ลึกลับ ผู้คนก็ชอบใจเพราะไม่ต้องทำอะไรมาก เพียงแต่เข้าร่วมพิธีก็สามารถเข้าถึงพุทธภาวะได้ ตันตระเจริญมากเท่าไร ศีลธรรมก็ยิ่งเสื่อมลงมากเท่านั้น “เพราะอิทธิพลอันยิ่งใหญ่ของลัทธิตันตริกหรือวัชรยานนี้ ประชาชนอินเดียในสมัยนั้นต่างหมดความเคารพในศีลธรรม แต่กลับนิยมชมชื่นในความวิปริตนานาชนิด” (กรุณา-เรืองอุไร กุศลาสัย 2537:437)
    คัมภีร์ตันตระในลัทธิฮินดูสอนว่า “มนุษย์มีความไม่เท่ากัน เพราะฉะนั้นกฏพิธีจึงต้องกระทำต่าง ๆ กันตามสภาพของมนุษย์ มนุษย์มีลักษณะ 3 ประการ คือ ปศุ (สัตว์) วีระ (กล้าหาญ) และทิพยภาวะ ลักษณะ 3 ประการนี้ มักจะหมายถึงวัยของมนุษย์คือ ปฐมวัย มัชฌิมวัย และปัจฉิมวัย และสอนว่า ถ้าจะข่มราคะ โทสะ โมหะ ให้หมดไป ก็อาศัยราคะ โทสะ โมหะ นั้นเองเป็นเครื่องบำราบ (หนามยอกเอาหนามบ่ง) คือต้องกินอาหาร ต้องดื่มน้ำเมา ต้องเสพเมถุน เป็นต้นแต่ละอย่างให้เต็มที่ สิ่งเหล่านี้แหละจะเป็นเครื่องดับมันเอง” (เสถียรโกเศศ-นาคะประทีป 2537:109)
    พระพุทธศาสนาแบบตันตระเน้นในเรื่องเกี่ยวกับการประกอบพิธีกรรม การสาธยายมนตร์ และมีคำสอบที่เป็นรหัสนัยอันลึกลับ จนทำให้พระพุทธศาสนาเสื่อมไปจากอินเดีย ดังที่เสถียรโพธินันทะแสดงความเห็นไว้ว่า “ลัทธิมันตรยาน ถ้าจะเทียบด้วยเปอร์เซ็นต์แล้ว ก็มีความเป็นพระพุทธศาสนาเหลือสัก 10 เปอร์เซ็นต์ นอกนั้นรับเอาลัทธิฮินดูตันตระมาดัดแปลง ความประสงค์เดิมก็เพียงเพื่อเอาใจชาวฮินดู จึงได้นำลัทธิพิธีกรรมทางอาถรรพเวทมาไว้มาก และได้ผลเพียงชั่วแล่น แต่ผลเสียก็เป็นเงาตามทีเดียว คือถูกศาสนาพราหณ์กลืนโดยปริยายนั่นเอง (เสถียร โพธินันทะ2541:198)
    การปฏิบัติตันตระในพุทธตันตรยานในพุทธศตวรรษที่ 17 นั้นมีอธิบายไว้ว่า (1)ถือว่าการพร่ำบ่นมนตร์และลงเลขยันต์ซึ่งเรียกว่าธารณีเป็นหนทางรอดพ้นสังสารทุกข์ได้เหมือนกัน การทำจิตให้เพ่งเล็งถึงสีสันวรรณะหรือทำเครื่องหมายต่างๆด้วยนิ้วมือซึ่งเรียกว่ามุทรา จะให้ให้เกิดความศักดิ์สิทธิ์ ให้ลุทางรอดพ้นได้ ลัทธินี้เรียกสวว่า มนตรยานหรือสหัชญาณ, (2) เกิดมีการนับถือฌานิพุทธและพระโพธิสัตว์อย่างยิ่งยวด มีการจัดลำดับพระพุทธเจ้าเป็นลำดับชั้น ในยุคนี้เกิดมีการนำเอาลัทธิศักติเข้ามาบูชาด้วย จนทำให้พระฌานิพุทธะและพระโพธิสัตว์มีพระชายาขนาบข้าง เหมือนพระอุมาเป็นศักติของพระศิวะ พระลักษมีเป็นศักติของพระวิษณุ ผูเข้าสู่นิพพานคือเข้าอยู่ในองค์นิราตมเทวี ลัทธิอย่างนี้เรียกว่าวัชรยาน ผู้อยู่ในลัทธิเรียกว่าวัชราจาร (3) มีการเซ่นพลีผีสาง โดยถือว่าถ้าอ้อนวอนบูชาจะสำเร็จผลประพสบความสุขได้ และเติมลักษณะพระฌานิพุทธให้มีปางดุร้ายอย่างนางกาลี ซึ่งเป็นเหมือนพระนางอุมาที่ดุร้าย ลัทธินี้เรียกว่ากาลจักร” (เสถียรโกเศศ-นาคะประทีป 2537:166)
    ฟังคำอธิบายของนิกายตันตรยานแล้วก็น่าสงสารพระพุทธศาสนา ที่ถูกนักการศาสนากระทำปู้ยี่ปู้ยำ คิดถึงการที่พระสัมสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ทรงเหนื่อยอย่างแสนสาหัสกว่าที่จะทรงตั้งศาสนจักรขึ้นได้ แต่กลับอยู่ในดินแดนอันเป็นถิ่นกำเนิดได้ไม่ถึง 2,000 ปี
    คิดถึงสถานการณ์พระพุทธศาสนาในเมืองไทย ซึ่งถือว่าเป็นนิกายเถรวาท แต่มีการพร่ำบ่นสาธยายมนตร์ ลงอักขระเลขยันต์ ปลุกเสกพระเครื่อง คล้ายๆกับตันตระในยุคเริ่มต้น อิทธิพลของตันตรยานแผ่คลุมพุทธอาณาจักรแทบทุกนิกาย เพียงแต่ว่าใครจะรับเอาไว้ได้มากน้อยเท่าใด และแปรสภาพไปสู่ยุคที่สองได้เร็วเท่าใด หากยังรักษาสถานภาพไว้แค่ขั้นที่หนึ่งก็ไม่น่ามีปัญหาอะไร เมืองไทยน่าจะรักษาพระพุทธศาสนาแบบเถรวาทไว้ได้อีกนาน แต่ถ้าเริ่มเข้าสู่ยุคที่สองคือนับถือพระพุทธเจ้าในฐานะที่เป็นเทพเจ้า นิพพานเป็นอาณาจักร เป็นแดนสุขาวดีที่มีพระสงฆ์บางรูปอ้างว่าสามารถนำภัตตาหารไปถวายพระพุทธเจ้าได้ นี่คือสิ่งที่น่าเป็นห่วง
     
  7. พรหมาวตาร

    พรหมาวตาร Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    99
    ค่าพลัง:
    +66
    นี่อีกหน่อยช่วยอ่านด้วยครับ
    นิกายพุทธตันตระ (Tantric Buddhism) เชื่อว่าแนวทางของตนถือกำเนิดมาตั้งแต่สมัยพุทธกาลโดยคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า กล่าวกันว่า พระศากยมุนีพุทธได้จัดให้มีการประชุมขึ้นที่เมืองศรีธานยกฏกะและทรงสั่งสอนเกี่ยวกับทางลี้ลับหรือทางลัด (Esoteric path) ที่เป็นธรรมละเอียดลึกซึ้งซึ่งไม่ทรงเปิดเผยทั่วไปแก่สาธารณชน แต่จะทรงแสดงให้ฟังเฉพาะคนที่สติปัญญาเฉลียวฉลาดเท่านั้น ดังนั้นคำสอนนี้จึงเรียกว่ารหัสยานหรือคุยหยาน ซึ่งแปลว่า ลึกลับ เช่นเดียวกับที่พระองค์เคยทรงสั่งสอนวิถีทางให้แก่นิกายมหายานมาก่อนที่เขาคิชฌกูฏ คติความเชื่อดังกล่าวนี้ได้รับการสนับสนุนโดยนักประวัติศาสตร์ชาวทิเบตและนักปราชญ์ชาวอินเดียบางท่านก็เห็นคล้อยตามว่า พระพุทธเจ้าได้สอนหลักปฏิบัติแบบตันตระ มนตร์ มุทรา และธารณี ให้แก่พุทธศาสนิกชนด้วย โดยอ้างว่าผู้ที่ฉลาดอย่างพระพุทธองค์คงจะไม่ทรงละเว้น ที่จะนำเอาหลักปฏิบัติเกี่ยวกับเวทมนตร์คาถา มารวมไว้ในพระพุทธศาสนา เพื่อดึงดูดพุทธศาสนิกชนให้ศรัทธาในพระพุทธศาสนามากขึ้น

    จากร่องรอยทางประวัติศาสตร์ นักปราชญ์ชาวอินเดียได้สืบอายุของนิกายพุทธตันตระไปจนถึงสมัยของท่านเมไตรยนาถและอสังคะแห่งสำนักโยคาจาร ซึ่งอยู่ในช่วงพุทธศตวรรษที่ 8 อันเป็นช่วงที่ศาสนาฮินดูกำลังเฟื่องฟูอย่างมาก พระพุทธศาสนาในขณะนั้นจึงอยู่ในภาวะที่ต้องแข่งขันต่อสู้กับศาสนาฮินดู ดังนั้นเพื่อความอยู่รอดของพระพุทธศาสนา คณาจารย์ฝ่ายมหายานจึงตัดสินใจที่จะใช้วิธีประนีประนอมระหว่างกลุ่มชน 2 ฝ่าย คือ กลุ่มชาวพุทธยุคใหม่ และกลุ่มชาวฮินดูที่นับถือพระศิวะ (ไศวนิกาย) เพื่อให้ประชาชนหันกลับมานับถือพระพุทธศาสนาดังเดิม
    คณาจารย์ฝ่ายมหายานทั้งหลายเห็นว่า ลำพังพระธรรมแท้ๆ ยากที่จะทำให้ชาวบ้านเข้าถึงได้ จึงคิดแก้ไขให้เหมือนศาสนาฮินดู คือกลับไปยกย่องเรื่องเวทมนตร์ อาคมขลัง พิธีหาลาภ พิธีเสกเป่า ลงเลขยันต์ต่างๆ จนในที่สุดนิกายพุทธตันตระจึงระคนปนเประหว่างมหายานนิกายโยคาจารกับศาสนาฮินดูจนแทบแยกไม่ออก พระสงฆ์เองก็ต้องทำหน้าที่เหมือนพราหมณ์ทุกอย่าง ลัทธินี้จึงเรียกว่า มนตรยาน (Mantrayana) หรือตันตรยาน (Tantrayana) เพราะนับถือพิธีกรรมและการท่องบ่นสาธยายเวทมนตร์อาคมเป็นสำคัญ โดยที่เวทมนตร์แต่ละบทเรียกว่า ธารณี (Dharani) มีอานิสงส์ความขลังความศักดิ์สิทธิ์พรรณนาไว้วิจิตรลึกล้ำนักหนา ธารณีมนต์เหล่านี้มีทั้งประเภทยาวขนาดหน้าสมุด และประเภทสั้นเพียงคำสองคำ ซึ่งเรียกว่าหัวใจคาถาหรือหัวใจธารณี สามารถทำให้ผู้สาธยายพ้นจากทุกข์ภัยนานาชนิด และให้ได้รับความสุขสวัสดิมงคลและโชคลาภตามความปรารถนา
    ฉะนั้นเป็นธรรมดาอยู่ ที่ลัทธินี้จะได้รับการต้อนรับจากพุทธศาสนิกชนผู้ยังเป็นปุถุชนอยู่ ด้วยสามัญปุถุชนย่อมแสวงหาที่พึ่งไว้ป้องกันภัย ศาสนาพราหมณ์อ้างเอาอานุภาพของพระเป็นเจ้าปกป้อง ลัทธิพุทธมนตรยานจึงแต่งมนตร์อ้างอานุภาพของพระรัตนตรัยและอ้างอานุภาพของพระโพธิสัตว์ตลอดจนอานุภาพของเทพเจ้าทั้งหลายซึ่งนับถือกันว่าเป็นธรรมบาล รวมเอาเทพเจ้าในศาสนาพราหมณ์เข้าไว้ด้วยก็มี แล้วสั่งสอนแพร่หลายในหมู่พุทธศาสนิกชน

    นิกายพุทธตันตระมีวิธีสอนแตกต่างจากมหายานยุคต้นๆ อย่างชัดเจน มหายานสอนหลักธรรมในพระสูตรและศาสตร์ต่างๆ ที่ใครๆ ก็สามารถหาอ่านได้ และเป็นหนังสือที่คนทั่วไป พอจะทำความเข้าใจได้ แต่ตรงกันข้าม คัมภีร์เล่มใหม่อันยืดยาวของนิกายตันตระสงวนไว้สำหรับบุคคลที่ได้รับการคัดเลือกแล้วเพียงไม่กี่คน และบุคคลเหล่านั้นจะต้องได้รับการสอนจากครูโดยตรง นอกจากนั้นคัมภีร์ยังเขียนไว้ด้วยภาษาที่ลึกลับ เข้าใจยาก และคลุมเครือชวนให้สงสัยอีกด้วย ทั้งไม่ยอมอ้างว่าคัมภีร์เหล่านั้นเป็นคำสอนของพระศากยมุนีพุทธเจ้า แต่กลับบอกว่าเป็นของพระพุทธเจ้าองค์อื่น ซึ่งกล่าวกันว่าพระองค์ได้ทรงสอนคัมภีร์เหล่านั้นตั้งแต่อดีตกาลอันไกลโพ้น แม้ว่าจุดมุ่งหมายของนิกายตันตระยังเป็นพุทธภาวะเช่นเดียวกับนิกายมหายาน แต่มิใช่เป็นสิ่งที่จะได้บรรลุในอนาคตอันไกลแสนไกลนานแสนนานอย่างแต่ก่อน หากแต่พุทธภาวะนั้นมีอยู่ในร่างกายของเรานี่เอง และในชั่วขณะจิตตุปบาทที่เกิดขึ้นเดี๋ยวนี้เอง ซึ่งเราบรรลุได้ด้วยวิธีการที่ใหม่เอี่ยม รวดเร็วทันใจและง่ายๆ อย่างน่าอัศจรรย์ทีเดียว

    การเกิดขึ้นของนิกายตันตระดำรงอยู่นานถึง 3 สมัยด้วยกัน คือ สมัยแรกมีชื่อเรียกว่า มนตรยาน (Mantrayana) ซึ่งได้เริ่มต้นในพุทธศตวรรษที่ 8 แต่เพิ่งจะมีการเผยแพร่คำสอน อย่างจริงจังหลังจากพุทธศตวรรษที่ 10 นิกายนี้ได้ก่อให้เกิดเวทมนตร์คาถาต่างๆ ขึ้นมากมาย โดยมีความมุ่งหมายที่จะให้เวทมนตร์คาถาเหล่านั้นเข้าช่วยให้การแสวงหาพระโพธิญาณทำได้ง่ายยิ่งขึ้น ดังนั้นในพุทธศาสนาจึงมีมนตร์ มีมุทระ มีมัณฑละ และเทพเจ้าองค์ใหม่เกิดขึ้นทั้งที่มีในตำราและนอกตำรามากมาย

    และพอหลังจาก พ.ศ.1293 นิกายตันตระนี้ ก็ได้รับการจัดระบบใหม่ขึ้นมา มีชื่อเรียกว่า วัชรยาน ซึ่งก็ยังมีส่วนเกี่ยวข้องกับคำสอนดั้งเดิมอยู่ในเรื่องพระเจ้า 5 พระองค์ (Five Tathagatas) นิกายย่อยที่ได้รับความสนใจเป็นพิเศษในช่วงนั้นคือ นิกายสหชยาน ซึ่งเน้นหนักไปในทางการทำสมาธิและเจริญวิปัสสนา อีกทั้งสอนโดยใช้ปริศนาปัญหาธรรมและภาพปริศนาต่าง ๆ และหลีกเลี่ยงการใช้ระบบการเรียนการสอนที่กำหนดตายตัว เมื่อถึงพุทธวรรษที่ 15 นิกายกาลจักรก็เกิดขึ้น ซึ่งกาลจักรนี้เป็นเครื่องหมายแสดงให้เห็นว่า นิกายนี้ได้ขยายขอบเขตแห่งคำสอนกว้างขวางยิ่งขึ้น และเน้นหนักไปทางโหราศาสตร์ด้วย

    นิกายดังกล่าวนี้เองได้เจริญขึ้นในอินเดียตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 15 เป็นต้นมา นักบวชในนิกายนี้ไม่เรียกว่าภิกษุ แต่เรียกว่า สิทธะ (Siddha) หรือผู้วิเศษ ซึ่งก็ไม่แตกต่างอะไรนักจากพระโพธิสัตว์ แต่กล่าวกันว่าหลังจากที่สิทธะได้บรรลุถึงภูมิที่ 8 แล้ว ก็จะมีฤทธานุภาพต่างๆ ครบถ้วน สิทธะเป็นบุคคลที่เป็นแบบฉบับซึ่งจัดว่าเป็นอริยะ

    ต่อมานิกายพุทธตันตระได้แตกแยกสาขาออกไปอีก แบ่งเป็น 2 พวกใหญ่ คือ พวกวามจารี หรือพุทธตันตระฝ่ายซ้าย พวกนี้ประพฤติเลื่อนเปื้อนไม่รักษาพรหมจรรย์ มีลักษณะเป็นหมอผีมากขึ้น คือ อยู่ในป่าช้า ใช้กะโหลกหัวผีเป็นบาตร และมีภาษาลับพูดกันเฉพาะพวกเรียกว่า "สนธยาภาษา" ถือการเสพกามคุณเป็นการบรรลุวิโมกข์ เกณฑ์ให้พระพุทธเจ้าและพระโพธิสัตว์มี "ศักติ" (Shakti) คือ ชายาคู่บารมี พระพุทธปฏิมาก็มีรูปอุ้มกอดศักติ การบรรลุนิพพานต้องทำให้ธาตุชายธาตุหญิงมาสมานกัน ธาตุชายเป็นอุบาย ธาตุหญิงเป็นปรัชญา เมื่ออุบายรวมกับปรัชญาจึงได้ผลคือนิพพาน

    นอกจากนี้ ยังมีความเชื่อว่าพระพุทธองค์มีพระกายที่ 4 เรียกว่า วัชรสัตว์ ซึ่งทำเป็นรูป พระพุทธนิรันดรกำลังสวมกอดนางตารามเหสีของพระองค์ในท่าร่วมสังวาส (ยับยุม) พระพุทธ-รูปแบบนี้และปฏิมากรรมที่คล้ายกันนี้ มีในพิพิธภัณฑ์ของประเทศเนปาลมาก และพระในลัทธินี้ต้องทำพิธีเสพเมถุนกับหญิงอยู่เรื่อยๆ เพื่อแสดงความเคารพต่อพระพุทธองค์กับนางตารา และยังมีความเชื่อกันอีกด้วยว่า ความเป็นพุทธะตั้งอยู่ในอวัยวะสืบพันธุ์ของหญิงหรือโยนี

    นิกายดังกล่าวนี้เองได้เจริญขึ้นในอินเดียตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 15 เป็นต้นมา นักบวชในนิกายนี้ไม่เรียกว่าภิกษุ แต่เรียกว่า สิทธะ (Siddha) หรือผู้วิเศษ ซึ่งก็ไม่แตกต่างอะไรนักจากพระโพธิสัตว์ แต่กล่าวกันว่าหลังจากที่สิทธะได้บรรลุถึงภูมิที่ 8 แล้ว ก็จะมีฤทธานุภาพต่างๆ ครบถ้วน สิทธะเป็นบุคคลที่เป็นแบบฉบับซึ่งจัดว่าเป็นอริยะ

    ต่อมานิกายพุทธตันตระได้แตกแยกสาขาออกไปอีก แบ่งเป็น 2 พวกใหญ่ คือ พวกวามจารี หรือพุทธตันตระฝ่ายซ้าย พวกนี้ประพฤติเลื่อนเปื้อนไม่รักษาพรหมจรรย์ มีลักษณะเป็นหมอผีมากขึ้น คือ อยู่ในป่าช้า ใช้กะโหลกหัวผีเป็นบาตร และมีภาษาลับพูดกันเฉพาะพวกเรียกว่า "สนธยาภาษา" ถือการเสพกามคุณเป็นการบรรลุวิโมกข์ เกณฑ์ให้พระพุทธเจ้าและพระโพธิสัตว์มี "ศักติ" (Shakti) คือ ชายาคู่บารมี พระพุทธปฏิมาก็มีรูปอุ้มกอดศักติ การบรรลุนิพพานต้องทำให้ธาตุชายธาตุหญิงมาสมานกัน ธาตุชายเป็นอุบาย ธาตุหญิงเป็นปรัชญา เมื่ออุบายรวมกับปรัชญาจึงได้ผลคือนิพพาน


    นอกจากนี้ ยังมีความเชื่อว่าพระพุทธองค์มีพระกายที่ 4 เรียกว่า วัชรสัตว์ ซึ่งทำเป็นรูป พระพุทธนิรันดรกำลังสวมกอดนางตารามเหสีของพระองค์ในท่าร่วมสังวาส (ยับยุม) พระพุทธ-รูปแบบนี้และปฏิมากรรมที่คล้ายกันนี้ มีในพิพิธภัณฑ์ของประเทศเนปาลมาก และพระในลัทธินี้ต้องทำพิธีเสพเมถุนกับหญิงอยู่เรื่อยๆ เพื่อแสดงความเคารพต่อพระพุทธองค์กับนางตารา และยังมีความเชื่อกันอีกด้วยว่า ความเป็นพุทธะตั้งอยู่ในอวัยวะสืบพันธุ์ของหญิงหรือโยนี

    ในขณะที่อีกพวกหนึ่งเรียกว่า พวกทักษิณจารี หรือพุทธตันตระฝ่ายขวา พวกนี้ยังประพฤติธรรมวินัย ถ้าเป็นพระยังรักษาพรหมจรรย์ เข้าใจตีความให้เป็นธรรมโดยกล่าวว่าสัญลักษณ์เหล่านั้น จะถือเอาตรงตัวไม่ได้ เช่น ในคัมภีร์สาธนมาลาของท่านอนังควัชระ ซึ่งเป็นสิทธาจารย์คนหนึ่งในนิกายนี้ ได้กล่าวว่า "สาธุ" (Sadhu) หมายถึง นักบวชควรได้รับการบำเรอจากสตรีเพศ เพื่อให้ได้เสวยมหามธุรา ข้อความเช่นนี้เป็นสนธยาภาษา จะต้องไขความว่า สตรีเพศในที่นี้ท่านให้หมายเอาปัญญา สาธุเป็นเพศชาย จะต้องสร้างอุบายเพื่อรวมเป็นหนึ่ง (เอกีภาพ) เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ได้พระนิพพาน แต่พวกวามจารีนั้นหาคิดเช่นนั้นไม่ พวกเขาได้ถือเอาตามตัวอักษรเลยทีเดียว ถึงกับสอนว่า ผู้ใดมอบสตรีให้สิทธะจะได้กุศล

    จะเห็นว่า พุทธตันตระสอนให้คนกลับไปสู่กิเลส สอนให้คนเชื่อของขลังและอาคม และสอนให้บำเพ็ญตบะแต่ไม่ต้องทำอย่างลำบากยากเย็นอะไร คือธรรมชาติประสงค์ให้มนุษย์ทำอย่างไรก็ให้อนุโลมทำไปตามนั้น พวกตันตระมีพิธีกรรมเรียก จักรบูชา และทำกันอย่างในลัทธิศักติ คือ ผู้ชายกับผู้หญิงจำนวนเท่าๆ กัน ไปพบกันในที่ลับตาเวลามืดค่ำแล้วนั่งล้อมเป็นวงเข้า เอาเทพีที่เคารพบูชาตั้งกลาง หรือไม่ก็ใช้เครื่องหมายโยนีของหญิงตั้งไว้บูชา บางทีก็ให้หญิงเปลือยกาย หญิงพวกนี้โดยมากเป็นภรรยาของพระ จุดหมายในการทำพิธีนี้ อยู่ที่การบูชาโยนีเป็นสำคัญ ในพิธีมีการเสพสุรา กินปลา กินเนื้อ ข้าวตากกัน แล้วเสพเมถุน การกระทำ 5 อย่างนี้คือ ดื่มสุรา (มัทยะ) กินเนื้อ (มังสา) กินปลา (มัตสะ) กินข้าว (มุทระ) และเสพเมถุน (เมถุนะ) เรียกว่า ตัตตวะทั้ง 5 (Pancha Tattva) แต่พวกทักษิณจารีตีความ "ม" ทั้ง 5 ว่า ได้แก่ ปัญจขันธ์ 5 คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ

    ถ้าว่ากันโดยต้นกำเนิดแล้ว นิกายตันตรยานนี้ได้มีวิวัฒนาการมาจากปฏิกิริยาเพื่อต่อต้านภยันตรายที่คุกคามพุทธศาสนาในอินเดียสมัยนั้น ซึ่งกำลังขยายตัวอย่างเพิ่มขึ้นเรื่อย ในระยะแรกปรากฏว่าคณาจารย์ชาวพุทธประสบความสำเร็จในการพัฒนาตันตระล้ำหน้าพวกฮินดูมาก เพราะมนตรยานมีอิทธิพลในทางเข้าเร้าอารมณ์ให้เลื่อมใสง่าย และมีพิธีกรรมอันสวยสดงดงาม ส่วนสหัชยานมีอิทธิพลในด้านการปฏิบัติสมาธิอย่างลึกซึ้ง


    แต่เมื่อเริ่มมีเรื่องเลอะเทอะผิดธรรมวินัยเข้ามาปะปนมากขึ้น และมีการแก้ไขละทิ้ง
    ธรรมวินัยดั้งเดิมมากขึ้น พระพุทธศาสนาที่แท้จริงจึงค่อยๆ เสื่อมไป โดยถูกอิทธิพลศาสนาพราหมณ์กลืนไปทีละเล็กละน้อยในรูปของลัทธิตันตรยานนี้เอง หลังจากนั้นมา คณะสงฆ์บางกลุ่ม ก็ถูกเบี่ยงเบนความคิดด้วยลัทธิตันตระที่พัฒนาถึงขีดสุด จนเชื่อว่าชีวิตทางเพศไปกันได้กับภิกษุภาวะ ทั้งๆ ที่ก่อนนั้นทัศนะเรื่องประพฤติพรหมจรรย์ไม่ข้องเกี่ยวด้วยกามารมณ์ยังดำรงอยู่อย่างมั่นคงในหมู่คณะสงฆ์ จนเมื่อประมาณพุทธศตวรรษที่ 10 จึงมีหลักฐานว่าในแคว้นกัษมิระ มีภิกษุแต่งงาน และตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 13 เป็นต้นมา นิกายตันตระก็ยอมรับรองการแต่งงานของภิกษุตามหมู่บ้านที่นิกายนี้ขยายออกไป นี่คือสภาพการพระพุทธศาสนาในอินเดียยุคปลายที่เข้าสู่ภาวะเสื่อม กระทั่งสูญสิ้นไปในเวลาต่อมา

    ทั้งหมดนี้คือคำตอบของการถูกกล่าวหาว่า "เอาที่ไหนมา!!!!!เสพกามบรรลุใครเขาบอกพวกเอ็ง" แล้วตั้งยืดยาวมานี่ใช่หรือไม่...เทพ!
     
  8. เทพธรรมบาล

    เทพธรรมบาล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    1,215
    ค่าพลัง:
    +291
    ก็นี่แหละครับ ที่ เอามาจากตำราฝรั่งแปลไทย อยากให้ท่านไปดูที่วัด โพธิ์แมนคุณณาราม
    แถว พระราม3 ครับ ศูนย์กลางพุทธตันตระในไทย ว่ามีพระที่ไหนเสพกาม มีไหมครับที่ธิเบตและมองโกเลียผมยังไม่เคยพบ
    เรื่องข้อความเหล่านี้ ฝรั่งเขียนมา และคณาจารย์ก็อธิบายไปแล้ว
    ตันตระเป็นสิ่งที่พระพุทธองค์ทรงสอน นะครับ ท่านเปิดใจกว้างหน่อยครับ วัชรยานคือสายหนึ่งของมหายานครับเป็นสายวิปัสนา เหมือนกับเถรวาทมีสายนั้นสายนี้

    ข้อความที่อาจารย์ผมได้รวบรวมไว้อยู่ในเว็ปนี้นะครับ ท่านไปอ่านเอาเองเถิด
    ตารางกิจกรรมมีนะครับไปออกไปเห็นกัยตาตัวเองนะครับ


    http://www.mahayana.in.th[/COLOR]"]http://www.mahayana.in.th

    ถ้าวัขรยานเลวร้ายจริงป่านนี้ศาสนาพุทธเสื่อมแล้วนะครับ วัชรยานเป็น แขนงย่อยของมหายานเป็นนิกายใหญ่
    ขอร้องนอย่าเสพข้อมูลแต่ในหน้าเว็ปออกมาดูเองเถิดตารางกิจกรรมมีในเว็ปที่ให้ไว้แล้ว
    ไม่เห็นกับตาไปก๊อปข้อมูลเขามามันฟังไม่ขึ้นครับ ปัญญาชนเขาไม่ทำกัน
    ท่านอ่านแล้ว สงสัยก็โทรไปสอบถาม ท่านวิเคราะห์แล้วจะคิดอย่างไรก็แล้วแต่ท่าน
    แต่ย้ำอยากให้เห็นของจริง ผมเหนื่อยแล้ว คนปฏิบัติธรรมเขาจะไม่มีทัศนะคติแบบนั้นหรอก
    คนปฏิบัติธรรมเขาแยกแยะเป็น

    [​IMG]


    ข้อความที่คุณก๊อปมายืดยาว นั้นคือลัทธิบอนนะครับ ไม่ใช่วัชระยานแท้ แต่เป็นแบบปลอมปน เป็นการเลียนแบบของลัทธินับถือผีดั้งเดิมที่ธิเบต นักบวชเขานะเน้นเส้นทรวงมีจีวรเหมือนพระแต่จะมีคาดน้ำเงินทั้งวัดสร้างเหมือนกันเทวรูปที่บูชาทำคล้ายกับศาสนาพุทธ ในเมืองไทยก็มีลัทธินี้แต่เขาอ้างว่าเขาคือวัชรยานแต่การปฏิบัติตรงข้าม

    วัชรยานเป็นหลักของใจ ไม่เห็นเซ่นไหว้เป็นสายวิปัสนา พระจะใส่จีวรแดง จะมีคาดสีเหลือง
    วัชรยานในไทยของแท้ต้องที่วัดโพธิ์แมนคุณาราม
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 ตุลาคม 2011
  9. เทพธรรมบาล

    เทพธรรมบาล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    1,215
    ค่าพลัง:
    +291
    อยากให้ลองใช้ปัญญาพิจารณาหนาท่านทั้งหลาย
    1.พระพุทธเจ้าแสดงพระองค์เป็นตัวอย่างที่เลิศแล้วกว่าผู้ใดในสามโลก ไฉนจึงเอาสาวกผู้ไม่อาจรับรองได้ว่า สำเร็จตามคำสอนของพระองค์มาเรียนแบบจนเกิดลัทธิเล่า
    2.วิธีที่พระองค์ประทานมา มากกว่า 40 วิธี เพื่อให้ตรงกับจริตบุคคล เหตุใดจึงเลือกที่จะใช้ของสาวกที่ไม่อาจรู้ว่าสำเร็จตามคำสอนของพระองค์เล่า
    3.มิได้ว่าปรามาสผู้ตั้งลัทธิ แต่ว่าผู้เลื่อมใสที่ปัญญามีเท่าใด จึงไปเลื่อมใสผู้ที่มิได้รับการยอมรับจากสามโลก ให้มามีคุณภาพเหนือกว่าพระศาสดา


    ส่วนข้อความนี้
    ไม่มีใครเหนือกว่าพระศาสดาหรอกครับ ท่านเปิดพระไตรปิฏกอ่านเอาทั้งหมดผมถามหน่อยท่านบรรลุได้ไหมท่านจะเข้าใจระดับไหน แน่นอนครับจึงมีมหาลัยสงฆ์ต้องมีอาจารย์ทั้งนั้นนะครับ พระศาสดาก็คืออาจารย์เพราะท่านเป็นศาสดา เหนือยจะอธิบายกับท่านผู้ใจแคบ
    ถ้าท่านปฏิบัติธรรมจริงคงไม่มีคติการคิดเป็นแบบนี้ ก่อนจะว่าอะไรเปิดใจศึกษาก่อนดีไหม
    ลองอ่านพระไตรปิฏกมหายานก่อนไหม

    กราบขอขมาในทุกสิ่งที่ทำให้ท่านขัดใจครับ อโหสิกรรมให้ด้วย
    แต่อยากให้เห็นของจริงก่อนนะครับ ผมพอแล้ว ทิฐิท่านแรงผมขอหยุด
     
  10. เทพธรรมบาล

    เทพธรรมบาล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    1,215
    ค่าพลัง:
    +291
    ขอฝากอีกนิดหน่อยครับ เทศน์บรรยายธรรมโดย สมเด็จพักชกรินโปเชครับ มีทั้งหมด13ตอน
    ดูได้ต่อในyoutube นะครับ ขอแปะแค่ตอนที่ 1 นะครับยังไงก็เข้าไปหาดูต่อเอานะครับ ^^


    <object width="420" height="315"><param name="movie" value="http://www.youtube.com/v/TDtBEfdFLjE?version=3&amp;hl=th_TH"></param><param name="allowFullScreen" value="true"></param><param name="allowscriptaccess" value="always"></param><embed src="http://www.youtube.com/v/TDtBEfdFLjE?version=3&amp;hl=th_TH" type="application/x-shockwave-flash" width="420" height="315" allowscriptaccess="always" allowfullscreen="true"></embed></object>
     
  11. เทพธรรมบาล

    เทพธรรมบาล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    1,215
    ค่าพลัง:
    +291
    ขออธิบายเพิ่มเติมเพื่อความเข้าใจครับ

    ส่วนอันนี้"ลัทธิบอน" นะครับ ไม่ใช่ศาสนาพุทธวัชรยาน แต่เหมือนกันมากทั้งวัดทั้งพระก๊อปปี้มาหมด แต่นักบวชเขาจะคาดน้ำเงินครับ บอนเน้นการเซ่นไหว้นะครับ จะมีบูชาพระพุทธรูปด้วยแต่เป็นการเซ่นสรวงเฉยๆไม่ได้มีการวิปัสนาอย่างไรนะครับ อย่าสับสน ข้อความที่คุณก๊อปมาทั้งหมด เป็นข้อความที่ฝรั่งยุคบุกเบิกได้ไปที่ธิเบตและยังแยกไม่ออกได้เขียนเอาไว้

    พุทธศาสนาวัชรยานเน้นปฏิบัติวิปัสนาครับ
    ลัทธิบอนไม่มีพระธรรมเซ่นไหว้อย่างเดียวอย่าสับสนครับ
    ลัทธิบอน มีอายุกว่า 18000 ปีและจำเป็นต้องปรับตัวแข่งกับศาสนาพุทธ
    ในคลิปที่เอามาแสดงเป็นลัทธิบอนนะครับ เหมือนวัดในศาสนาพุทธแทบแยกไม่ออก


    <object width="420" height="315"><param name="movie" value="http://www.youtube.com/v/2VTOreoo8ng?version=3&amp;hl=th_TH"></param><param name="allowFullScreen" value="true"></param><param name="allowscriptaccess" value="always"></param><embed src="http://www.youtube.com/v/2VTOreoo8ng?version=3&amp;hl=th_TH" type="application/x-shockwave-flash" width="420" height="315" allowscriptaccess="always" allowfullscreen="true"></embed></object>


    สังเกตุสีน้ำเงินนะครับ นี่คือลัทธิบอนไม่ใช่พระสงฆ์ ในศาสนาพุทธ
    เอาคำนี้นะครับ Bon Religion ไปใส่ในกูเกิ้ลนะครับจะมีข้อมูลอีก

    [​IMG]


    ส่วนพระวัชรยาน จะต้องมีสีเหลืองในจีวรครับ แบบที่องดาไลลามะท่านสวมใส่
    คนที่ไปเที่ยวธิเบต ส่วนมากจะไม่รู้ นึกว่าพระครับไหว้ซะหมด
    เป็นความรู้นะครับเพราะหลายท่าน ยังไม่รู้

    [​IMG]

    การปฏิบัติของวัชรยานอยู่ในกรรมฐาน 40 ก็ไม่เห็นแปลกตรงไหน
    ทางเขาก็มรรคมีองค์ 8 เหมือนกัน
    แถมการปฏิบัติเคร่งครัดมาก ส่วนเรื่องพระถังซัมจั๋งถ้าท่านเป็นศิษย์นอกครูจริง
    ป่านนี้ มหายานในจีนก็นอกรีดหน่ะสิครับ เพราะท่านอัญเชิญพระไตรปิฏกพร้อมเผยแผ่ศาสนาพุทธมหายานในจีน

    เหนื่อยละ ว่าจะพอแต่เมื่อตะกี้แล้ว ^^
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 ตุลาคม 2011
  12. ลมสุริยะ

    ลมสุริยะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    365
    ค่าพลัง:
    +215
    เพราะพระพุทธองค์ทรงมองเห็นทุกข์ และเบื่อหน่ายในกาม จึงออกบวชเพื่อแสวงหาทางหลุดพ้นจนตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า มิใช่หรือ??

    แล้วผู้ที่เรียกตัวเองว่าเป็นสงฆ์สาวก จะกลับไปหากาม อีกทำไม ????
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 ตุลาคม 2011
  13. ballbeamboy2

    ballbeamboy2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    1,622
    ค่าพลัง:
    +1,618
    เอ่อ ผมไม่เข้าใจอย่าง พระพุทธเจ้า บอกว่า สามารถถอดถอนสิกขาบท เล็กน้อยได้ แต่ก็ไม่มีใคร ถอดถอน แต่ มีคนไปถอดถอน ว่าพระมีเมียได้ (ผมไม่รู้หรอกว่าศาสนาพุทธ หรือเป็นลัทธิ) ถ้าเป็นศาสนาพุทธ คง มีบารมีเท่ากับพระพุทธเจ้า คงมีฐานะ

    เพศบรรพชิต กามควรละเสีย เพราะเป็นทุกข์ เพราะว่ามันไม่เที่ยง
     
  14. พรหมาวตาร

    พรหมาวตาร Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    99
    ค่าพลัง:
    +66
    เพื่อนผมเคยเป็นแบบท่านครับ ถือแบบท่านเลย เถียงทางเมล์โต้ตอบกันยาวหลายหน้ากระดาษ เชื่อเหลือเกินกับยานๆ สัตว์ๆทั้งหลาย เดือนที่ผ่านมาล่าสุดเจอสาวสวยถูกใจ ทิ้งแฟนเลย สุดท้ายโทรมาปรึกษาผม เค้าบอกมันแว๊บเดียวเลย ผมไม่สงสัยเลยที่เค้าปฏิบัติที่มาก่อนๆ มันไม่ใช่ของจริงเอาไม่อยู่ครับ เพราะถ้าถูกทางจริง อย่างไรเสียก็ต้องเอาอยู่ ไว้เจอเองเดี๋ยวรู้


    ผมทำดีที่สุดแล้วอโหสิกรรมให้ด้วย รับรางวัลบัว4เหล่าอวอร์ดส์ ที่สุดแห่งปีไปเลยครับ เลือกเหล่าเองละกัน (ภาษาผมอาจกวนๆ แต่มีเจตนาให้ละสิ่งที่เห็นผิดเท่านั้น หาเหตุผลมาเสนอให้ผมจำนนท์ได้ผมก็ ไม่เถียงข้างๆคูๆครับ สัจธรรมมีเพียงหนึ่งเดียว เวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์เองครับ)

    ขอภาวนาให้ท่านมีสัมมาทิฏฐิเข้าสักวันนะครับ ผมพอแล้ว ทิฐิท่านแรงมากๆเลยผมขอเงียบ รอดูผลแล้วกัน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 28 ตุลาคม 2011
  15. ผมเองครับ

    ผมเองครับ สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2008
    โพสต์:
    390
    ค่าพลัง:
    +3
    เอาง่ายๆว่า สิ่งใดที่คิดที่กระทำแล้ว ทำให้ กายใจของ ตนเอง และ กายใจของผู้อื่น เกิดความไม่สบายกายไม่สบายใจ จงละเสีย
     
  16. เทพธรรมบาล

    เทพธรรมบาล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    1,215
    ค่าพลัง:
    +291
    ยังไงก็ต้องดูกันต่อไปนะครับ ศิษย์วัชรยาน ศิษย์ท่านเจ้าคุณโพธิ์แจ้งมหาเถระก็ไม่น้อย
    แต่เรื่องกามผมก็ยัง งง อยู่ว่าท่านเอามาอย่างไรจริงเท็จอย่างไร วัชระยานมีแต่ปฏิบัติ(ในภิษุนะครับ) คนที่เป็นฆาราวาส ติดห่วงอยู่ก็ปฏิบัติแบบบ ฆาราวาสไป ดูสภาวะจิตภาวนาวิปัสนาเท่าที่ทำได้ ก็อยากให้เห็นของจริงนะครับ ศึกษาให้ดีเสียก่อนนะครับ ว่าเขาสอนอะไรอย่างไรนะครับ อย่าว่าแต่เขาว่านะครับ

    ขอบคุณครับมากๆครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 ตุลาคม 2011
  17. เทพธรรมบาล

    เทพธรรมบาล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    1,215
    ค่าพลัง:
    +291
    ดูแล้วแทบร้องให้ จริงๆเลยครับ ศาสนาพุทธ............

    ผมอยากให้ศาสนาพุทธมีระบบมิชชั่นนารีเวริคหรือธรรมทูตที่แข็งแรงเหมือนสมัยก่อน

    ผู้ที่นับถือสิ่งที่ไม่ได้ให้ปัญญา ผู้ที่นับถืออวิชา กำลังกลืน พุทธศาสนจักรลงทุกวัน

    ผมไปเจอมาครับแทบร้องคลิปนี้
    <object width="420" height="315"><param name="movie" value="http://www.youtube.com/v/tjd2X6O0Feo?version=3&amp;hl=th_TH"></param><param name="allowFullScreen" value="true"></param><param name="allowscriptaccess" value="always"></param><embed src="http://www.youtube.com/v/tjd2X6O0Feo?version=3&amp;hl=th_TH" type="application/x-shockwave-flash" width="420" height="315" allowscriptaccess="always" allowfullscreen="true"></embed></object>
     
  18. thithasiri

    thithasiri สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 เมษายน 2011
    โพสต์:
    37
    ค่าพลัง:
    +15
    ประทานโทษนะครับ วัชรญาณ มาจากคำสองคำครับ วัชร กับ ญาณ
    วัชร นั้น มาจากศัพท์ว่า วชิระ เเปลว่า เพชร
    ญาณ เเปลว่าการรู้เเจ้ง
    ผมไม่เห็นคำที่ เเปลว่า สายฟ้า ตรงไหนเลยครับ

    ที่บรรลุนั้น ไม่ใช่เพราะว่าผ่านการมีเมียมาเเล้วนะครับ เเต่อาจจะจะมีส่วน เเต่นิสเดียว เเต่ที่บรรลุที่เเท้จริงเเล้ว เกิดจากการไม่ยึดติดอะไร ได้ยินก็สักว่าได้ยิน เห็นก็สักว่าเห็น รู้ก็สักเเต่ว่ารู้ หนทางเเห่งการบรรลุ คือการลอยตัวอยู่เหนืออารมณ์ทุกอย่าง

    ไอ้ที่กินใจผมอย่างมากก็คือ พระสมณะโคดม เนี่ยเเหละ ผมอ่านเเล้วเหมือนคนมาดูถูก พระบรมศาสดาของผม เเละของพุทธสาสนิกชนมาก ที่ผ่านๆมา พระนามนี้ มีเเต่คนนอกศาสนาที่เรียก พระบรมศาสดา เรียกอย่างดูหมิ่น อีกด้วยท่านจขกท.ถ้าไม่เชื่อที่ผมว่ามาละก็ลองค้นหาตาม ธรรมบท ภาค1-ภาค8 ซึ่งเป็นหลักสูตรปริยัติธรรมบาลี ประโยค1 2 ประโยค ป.ธฺ 3 ดู คำว่า สมณโคดมนี้ล้วนเเล้วเเต่คนนอกศาสนาเรียกพระบรมศาสดา อย่างดูหมิ่นมากๆ ก่อนที่จะใช้คำ ก็ต้องศีกษาที่มาด้วยนะครับ
     
  19. wichit_compong

    wichit_compong สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    34
    ค่าพลัง:
    +13
    สัตว์ทั้งหลายทั้งปวง
    มีกรรมเป็นของตน
    มีกรรมเป็นกำเนิด
    มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์
    มีกรรมเป็นผู้นำไป
    มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย
    เป็นผู้รับผลกรรมของตน
    ใครทำกรรมอันใดไว้
    จะเป็นกรรมดีหรือกรรมชั่วก็ตาม
    จักเป็นผู้รับผล
    แห่งกรรมนั้นอย่างแน่นอน
     
  20. GUYTHUM

    GUYTHUM เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2008
    โพสต์:
    1,354
    ค่าพลัง:
    +1,088
    แต่ก็เป็นไปได้....4444
     

แชร์หน้านี้

Loading...