พญานาค อภิญญา กับ ภัยพิบัติโลก

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย เกษม, 30 มีนาคม 2011.

  1. 111dew

    111dew เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    88
    ค่าพลัง:
    +145
    ทุกอย่างมีทางออก ยุคนี้กาลียุค เทพเบื้องบนจะลงมาช่วยประคับประครองพุทธศาสนา เทพเบื้องบนทุกๆพระองค์เคารพในพระพุทธเจ้า ผมแนะนำบูชาพระตรีมูลติ พระพิฆเนศวร สององค์นี้เป็นหลักน่ะครับ วิกฤตการณ์ในครั้งนี้ท้ายที่สุด เสด็จพ่อร.5 จะมาช่วยกอบกู้บ้านเมืองครับ ปางทรงม้าจะมีบูชาทุกบ้านทุกเรือนครับ ขอความปลอดภัยมีบังเกิดกับทุกคนครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 เมษายน 2011
  2. Phuket

    Phuket เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    499
    ค่าพลัง:
    +877
    งั้นมาช่วยคนใต้ได้ไหม ในเมื่อพญานาคอยู่ฝ่ายภาคอีสาน

    และอีกอย่างที่ช่วยคนดีมีศีลธรรมนี้ หมายถึงช่วยคนไทยที่นับถือพระพุทธศาสนาหรือเปล่าครับ
     
  3. Ne_ko

    Ne_ko Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    26
    ค่าพลัง:
    +47
    ขอกราบอนุโมทนา..สาธุ..คร้า..^_^

    ดำเนินชีวิตด้วยความไม่ประมาท ตั้งอยู่ในศีลธรรม ช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน และสัตว์เดียรัจฉาน ให้รอดพ้นจากอันตรายทั้งปวง
     
  4. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,193
    [​IMG]

    พญานาคเป็นเทวดาชั้นจาตุมหาราชิกา ซึ่งอยู่ในความปกครองของท้าวจตุโลกบาลทั้ง 4 มีหน้าที่คอยดูแลคนดีมีศีลธรรมทั้งโลก จึงไม่ได้แบ่งแยกว่าจะต้องดูแลเฉพาะคนภาคอีสานเท่านั้น และความดีก็เป็นสิ่งที่ทำกันได้ทุกคน ไม่ได้จำกัด เพศ วัย วุฒิภาวะ เชื้อชาติ หรือการนับถือศาสนาใดๆ ทั้งสิ้นครับ เพราะหลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า เป็นหลักสากลที่ใครๆในโลกก็สามารถปฏิบัติได้ ถึงแม้จะไม่ได้นับถือศาสนาพุทธ แต่ถ้าปฏิบัติตนอยู่ในหลักธรรมเรื่อง เบญจศีล-เบญจธรรม ของพระพุทธเจ้า ก็ถือได้ว่าเป็นคนดีมีศีลธรรมครับ

    เบญจศีล-เบญจธรรม เป็นหลักธรรมพื้นฐานสำหรับบุคคลทั่วไปได้ใช้ยึดมั่นเพื่อในการทำความดี ละเว้นความชั่ว และทำจิตใจให้บริสุทธิ์ได้

    เบญจศีลหรือศีล ๕ คือ หลักธรรมที่ควรงดเว้น ๕ ประการ คือ

    ๑. เว้นจาการฆ่าสัตว์
    ๒. เว้นจากการลักทรัพย์
    ๓. เว้นจากการประพฤติผิดในกาม
    ๔. เว้นจากการพูดเท็จ
    ๕. เว้นจากการดื่มของมึนเมา

    เบญจธรรม ๕ ประการ เป็นหลักธรรมที่คนทั่วไปควรปฏิบัติ มี ๕ ประการดังนี้

    ๑. เมตตา, กรุณา - ซึ่งเป็นธรรมะคู่กันและสนับสนุนศีลห้า-ข้อแรก (ฆ่าสัตว์ - เบียดเบียน)
    ๒. สัมมาอาชีวะ - คู่และสนับสนุนศีลข้อสอง (ลักทรัพย์ ฉ้อโกง)
    ๓. กามสังวร หมายถึงการสำรวมระวังในความต้องการ - คู่กับศีลข้อสาม (การข่มเหงน้ำใจกัน)
    ๔. สัจจะ ความจริงใจ - คู่กับศีลข้อสี่ (โกหก)
    ๕. สติ สัมปชัญญะ - คู่กับศีลข้อห้า (ทำให้ตนเองขาดสติ)

    คำว่า เบญจศีลมาจาก เบญจ แปลว่า ห้า สมาสกับ ศีล เป็นเบญจศีล แปลว่า ศีลห้า ศีลมีหลายระดับหรือจัดไว้หลายประเภทให้เหมาะสมกับสภาพชีวิตและสังคมหรือชุมชนนั้นๆ ในการที่จะปฏิบัติเพื่อเข้าถึงจุดหมายแห่งตน ศีลห้าเป็นศีลพื้นฐานปฏิบัติ ศีลแปดสำหรับอุบาสก อุบาสิกาที่มุ่งการพัฒนาทางจิตใจ ศีลสิบสำหรับสามเณร และศีล 227 สำหรับพระภิกษุ

    ในที่นี้จะได้กล่าวถึงเฉพาะศีลห้า หรือเบญจศีลสำหรับทุกคน โดยไม่จำกัดว่าเป็นเด็ก ผู้ใหญ่ ชายหรือหญิง​

    เมื่อพูดถึงศีลห้า ส่วนใหญ่ย่อมรู้จักกันดีเพราะไปวัดรับศีลจากพระก็ท่องกันขึ้นใจ ตั้งแต่ ปาณาติปาตา อทินนาทานา กาเมสุมิจฉาจารา มุสาวาทา จนถึง สุราเมรยมัชชปมาทัฎฐานา ทุกข้อต่อท้ายด้วย เวรมณี สิกขาปทัง สมาทิยามิ ซึ่งศีลห้าข้อนี้ชาวพุทธเกือบทุกคน หรือแม้แต่ผู้ที่ไม่ใช่ชาวพุทธพากันท่องได้อย่างคล่องปาก ทว่าน้อยคนนักที่นำมาประพฤติปฏิบัติจึงทำให้สังคมสับสนวุ่นวาย เบียดเบียนชีวิตและทรัพย์สินกันจนตกเป็นข่าวหน้าหนังสือพิมพ์ไม่เว้นแต่ละวัน​

    ถึงเวลาแล้วหรือยังที่เราจะร่วมมือร่วมใจกันรณรงค์ให้ทุกคนรักษาศีลห้าอย่างเคร่งครัด โดยผู้ใหญ่ตั้งแต่พ่อแม่ ครูอาจารย์ ผู้บังคับบัญชาตามลำดับขึ้นไปจนถึงผู้ทำหน้าที่ปกครองประเทศจะประพฤติปฏิบัติเป็นตัวอย่างที่ดีแก่บุตรธิดา ลูกศิษย์ ผู้ใต้บังคับบัญชาจนถึงประชาชน เพื้อความสวบสุขทั้งในส่วนบุคคลและสังคม​

    ศีลห้า มีความสำคัญและเป็นศีลสำหรับทุกคน จึงจำเป็นที่จะต้องมาทำความเข้าใจกับศีบห้า แทนที่จะท่องได้คล่องปากเท่านั้น หากต้องท่องให้คล่องใจ พร้อมที่จะนำไปประพฤติปฏิบัติไดเตลอดเวลา สาระของศีลห้า มีดังนี้​

    1. ปาณาติปาตา เวรมณี เว้นจากการปลงชีวิต เว้นจากการฆ่า การประทุษร้อยกัน ธรรมชาติของมนุษย์และสัตว์เหมือนกันตรงที่รักสุข เกลียดทุกข์ เมื่อเรารักสุข เกลียดทุกข์ คนอื่นก็เช่นกัน ไม่มีใครต้องการให้ผู้อื่นมาฆ่า หรือประทุษร้ายเขา พระพุทธองค์ตรัสสอนว่า " บุคคลค้นหาด้วยจิตตลอดทั่วทุกทิศ ไม่ได้พบใครซึ่งเป็นที่รักกว่าตนในที่ไหนๆเลย สัตว์ทั้งหลายเหล่าอื่นก็รักตนมากเช่นนั้นเหมือนกัน ฉะนั้นผู้รักตนจึงไม่ควรเบียดเบียนสัตว์อื่น " (พระไตรปิฎก เล่มที่ 15 , 2525 : 95)​

    บุคคลผู้ไม่มีศีลข้อนี้จึงเป็นคนมีจิตใจโหดร้ายทารุณ ก่อความเดือดร้อนทั้งแก่ตนเองและสังคม ก่อความเดือดร้อนแก่ตนเอง เช่น เมื่อไปฆ่าเขาตายก็ต้องคอยหลบหนีซ่อนเร้น เพื่อให้พ้นจากการจับกุมของเจ้าหน้าที่ตำรวจ คอยหวาดระแวงกลัวจะถูกกฎหมายบ้านเมืองลงโทษ เดือดร้อนแก่สังคม คือ สร้างความหวาดกลัวให้แก่ผู้อื่น ผู้ที่กระทำปาณาติบาตเนืองๆนั้น พระพุทธองค์ตรัวไว้ว่า จะได้รับโทษคือทำให้อายุสั้น หากเบียดเบียนสัตว์ให้ลำบากเดือดร้อน จัดมีโทษ คือ ทำให้เป็นโรคภัยเบียดเบียน นอกจากนี้ยังได้รับโทษ คือ​

    1.1 ทำให้เป็นที่หวาดกลัวของบุคคลอื่นหรือสัตว์อื่น ไม่มีใครอยากเข้าใกล้ เพราะเกรงจะถูกประทุษร้าย
    1.2 ทำให้ไม่ได้ไปเกิดในภาพภูมิที่ดี หากตายจากโลกนี้ก็จะไปเกิดในอบายภูมิ ซึ่งหมายถึงภูมิที่ปราศจากความสุขความเจริญ ได้แก่ นรก อสรุกาย เปรต เป็นต้น
    1.3 ทำให้กิเลส เครื่องเศร้าหมองในตัวงอกงามขึ้น เป็นการตัดทางแห่งคุณงามความดี และยากแก่การพัฒนาจิตใจบรรลุคุณธรรมชั้นสูง​

    2. อทินนาทานา วเรมณี เว้นจากการถือเอาของที่เขามิได้ให้ เว้นจากการลักขโมย ละเมิดกรรมสิทธิ์ ทำลายทรัพย์สิน คนทุกคนย่อมเสีดายทรัพย์สินที่ตนหามาได้ด้วยน้ำพักน้ำแรง ด้วยความสุจริต ไม่ต้องให้ผู้ใดมาลักขโมย มาคดโกง ปอกลอก ไปเป็นของตนโดยมิชอบธรรม ไม่ต้องการให้ผู้ใดมาละเมิดกรรมสิทธิ์หรือทำลายทรัพย์สินของตน​

    ผู้ที่ชอบลักขโมยคดโกงผู้อื่นเป็นคนเห็นแก่ได้ ขาดคุณธรรม มีความละโมบโลภหลง ถูกผู้คนตำหนิติเตียนว่าเป็นคนเกียจคร้านหาเลี้ยงชีพในทางทุจริต คนพวกนี้เที่ยวแย่งชิงวิ่งราว เที่ยวปล้นเขา บางครั้งก็ฆ่าเจ้าทรัพย์ถึงแก่ความตายเป็นการละเมิดศีลข้อหนึ่ง ด้วยผู้กระทพอทินนาทานาบ่อยๆจนเป็นนิสัยจะได้รับผลกรรม คือตกนรก เมื่อยังไม่ตายก็มักต้องสูญเสียทรัพย์อยู่เนืองๆ ทรัพย์สินที่ได้มาก็มักมีอันเป็นไป เช่น ถูกภัยต่างๆคุกคาม ได้แก่ อัคคีภัย วาตภัย อุทกภัย หรือแม้แต่ โจรภัย เพราะไปลักเขามา คนอื่นก็มาลักของตนไป เป็นต้น​

    3. กาเมสุมิจฉาจารา เวรมณี เว้นจากการประพฤติผิดในกาม เว้นจากการล่วงละเมิด สิ่งที่ผู้อื่นรักใคร่หวงแหน คือ การไม่ประพฤติล่วงละเมิดในภรรยาหรือสามีของผู้อื่น หรือประพฤตินอกใจสามีหรือนอกใจภรรยาตน นอกจากนี้การล่วงละเมิดต่อบุตรธิดาที่ยังอยู่ในความปกครองของบิดามารดา การข่มขืนกระทำชำเราต่อผู้ที่มิได้ยินยอมก็ถือเป็นกาเมสุมิจฉาจารา​

    สิ่งใดที่ผู้อื่นรักใคร่หวงแหนนั้นอาจเป็นวัตถุก็ได้ ตัวอย่างเช่น เด็กหญิงคนหนึ่งมีตุ๊กตาสวยๆ ราคาแพง เจ้าของรักและหวงแหน เพื่ออีกคนหนึ่งอยากได้ แต่มิได้ขโมยเพราะกลัวจะถูกจับได้และถูกครูลงโทษ เมื่อเพื่อนคนนั้นเผลอ จึงแกล้งด้วยการแอบไปฉีกแขนขาตุ๊กตาให้เสียหาย ความประพฤติเช่นนี้ก็เป็นกาเมสุมิจฉาจาร เพราะล่วงละเมิดสิ่งที่ผู้อื่นรักใคร่หวงแหน​

    ผู้ประกอบกาเมสุมิจฉาจารอยู่เนืองๆย่อมได้รับโทษคือ ไม่เป็นที่ไว้วางใจของผู้อื่น เข้าสังคมก็เป็นที่รังเกียจ และเป็นผู้ที่สร้างความเดือดร้อนให้กับสังคม บางครั้งก็ทำให้อายุสั้น เพราะถูกผู้ที่ตนไปประพฤติผิดในสามีหรือภรรยาเขาทำร้ายถึงความตาย เป็นต้น นอกจากนี้ยังเป็นการสะสมอกุศลกรรมให้กับตัวเอง เมื่อตายก็จะไปสู้ทุกคติที่มีนรก เปรต อสรุกาย เดรัจฉาน เป็นต้น ตัวอย่างนี้เห็นอยู่บ่อยๆตามหน้าหนังสือพิมพ์ เช่น สามียิงชายชู้ของภรรยายตายบ้าง หรือภรรยาตัดอวัยวะเพศของสามีจอมเจ้าชู้ ทำให้เกิดคดีฆาตกรรมขึ้นเนืองๆเป็นที่เศร้าสลดใจยิ่ง ในปัจจุบันบุคคลผู้ละเมิดศีลข้อนี้ยังต้องเสี่ยงกับการติดโรคเอดส์อีกด้วย​

    4. มุสาวาทา เวรมณี เว้นจากการพูดเท็จ โกหก หลอกลวง นอกจากนี้ยังรวมถึงการกล่าวให้คลาดเคลื่อนจากความเป็นจริงทั้งๆที่รู้ความจริงนั้นอยู่ เพื่อให้ผู้อื่นเสียประโยชน์ เรียกว่าทำลายประโยชน์ผู้อื่น หากคำกล่าวเท็จทำลายประโยชน์ผู้อื่นมาก ผู้กล่าวเท็จก็มีโทษมาก ทำลายประโยชน์เขาน้อยก็มีโทษน้อย
    โทษที่เห็นชัดคือ ทำให้ขาดความเชื่อถือเป็นที่ดูหมิ่นของผู้อื่น บางครั้งแม้จะพูดความจริงก็ไม่มีคนเชื่อถือถ้อยคำ นอกจากนี้การเป็นพยานเท็จในศาลอาจถูกจำคุกหากถูกจับได้ หากการกล่าวเท็จให้ร้ายป้ายสีผู้มีคุณธรรม ต้องตกนรก การกล่าวเท็จหลอกลวงเพื่อนฝูงอาจถูกทำร้ายหรือถูกฆ่า เขามีภรรยากล่าวเท็จต่อกันอาจทะเลาะเบาะแว้งถึงขั้นหย่าร้าง เป็นต้น​

    5. สุราเมรมัชชปมาทัฎฐานา เวรมณี เว้นจากน้ำเมาหรือสุราเมรัยอันเป็นที่ต้งแห่งความประมาท เว้นจากสิ่งเสพย์ติดให้โทษ ศีลข้อนี้มีความสำคัญมากกว่าข้ออื่นๆที่กล่าวมาข้างต้น เพระถ้าทุกคนละเมิดศีลข้อนี้เพียงข้อเดียวอาจทำให้ละเมิดข้ออื่นๆได้ทั้งหมด ทั้งนี้ก็เนื่องจากว่า สุราและเมรัยนั้นเป็นที่ตั้งของความประมาท กล่าวคือเมื่อบุคคลเสพเข้าไปแล้วย่อมทำให้ขาดสติ
    บุคคลผู้ขาดสติย่อมได้ชื่อว่าเป็นผู้ตั้งอยู่ในความประมาท ดังชายผู้หนึ่งดื่มสุราจนเมามายขาดสติ เมื่อกลับถึงบ้านก็ก่อเรื่องทะเลาะวิวาทกับภรรยาขั้นทุบตี บิดาของเขาได้มาห้าม จึงถูกบุตรชายทำร้ายจนถึงแก่ความตาย เท่ากับชายผู้นี้ทำปิตุฆาต คือการฆ่าบิดา ซึ่งถือเป็นบาปหนัก ตัดทางสวรรค์และนิพพานอย่างเด็ดขาด​

    พระพุทธองค์แสดงโทษของผู้ติดสุราและของมึนเมาไว้ 6 สถานคือ (พระไตรปิฎก เล่มที่ 11 . 2525 ; 140)
    1. ความเสื่อมเสียอันผู้ดื่มพึงเห็นเอง
    2. ก่อการทะเลาะวิวาท
    3. เป็นบ่อเกิดแห่งโรค
    4. เป็น้หตุเสียชื่อเสียง
    5. เป็นเหตุไม่รู้จักละอาย
    6. เป็นเหตุทอนกำลังปัญญา​

    ศีลห้าข้อที่กล่าวมาทั้งหมดนี้เป็นกฎเกณฑ์ความสัมพันธ์พื้นฐานในสังคมเพื่อให้มนุษย์อยู่ร่วมกันด้วยดี ไม่เบียดเบียนกัน สังคมจึงจะได้ไม่เดือดร้อนระส่ำระสาย เป็นรกฐานรองรับสันติสุขของสังคม เป็นมาตรฐานเบื้องต้นสำหรับจัดระเบียบชีวิตและสังคมมนุษย์ให้อยู่ในสภาพที่เอื้ออำนวยโอกาสในการที่จะสร้างสรรค์สิ่งที่ดีงามหรือพัฒนาให้ยิ่งขึ้นไป​

    ศีลห้าหรือเบญจศีลนี้มีธรรมที่คู่กันเรียกว่า เบญจธรรม หรือเรียกว่า เบญจกัลยาณธรรม หมายถึง คุณธรรมห้าประการ เป็นธรรมเกื้อกูลแก่การรักษาเบญจศีลที่ผู้รักษาเบญจศีลมีไว้ประจำใจ (พระราชมุนี (ประยุทธ์ ปยุตโต) 2527 : 140-141) คุณธรรม 5 ประการ มีดังนี้​

    1. เมตตา กรุณา ความรักใคร่ปรารถนาให้มีความสุขความเจริญและความสงสารช่วยให้พ้นทุกข์คู่กับศีลข้อที่หนึ่ง ผู้ที่มีความเมตตาย่อมเป็นที่รักใคร่ของคนทั้งหลาย นอนหลับก็เป็นสุข ตื่นนอนก็เป็นสุข ผิวพรรณผ่องใส จิตใจชื่นบาน ปลอดโปร่ง เพราะไม่คิดพยาบาทปองร้อยผู้ใดให้จิตใจเศร้าหมอง​

    2. สัมมนาอาชีวะ การเลี้ยงชีพในทางสุจริตคู่กับศีลข้อที่สอง คือการละมิจฉาอาชีวะ ซึ่งหมายถึงการเลี้ยงชีพในทางทุจริต อาชีพที่จัดเป็นมิจฉาชีพคือการประกอบการค้า 5 ชนิด ได้แก่ (สุจิตรา รณรื่น 2538 : 145)
    1. ค้าขายเครื่องประหารหรืออาวุธ
    2. ค้าขายมนุษย์ เช่น ค้ากาม ค้าประเวณี
    3. ค้าขายสัตว์ที่มีชีวิตสำหรับฆ่าเป็นอาหาร
    4. ค้าขายน้ำเมา
    5. ค้าขายยาพิษ​

    3. กามสังวร ความสำรวม ระวัง รู้จักยับยั้งควบคุมในทางกามรมณ์มิให้หลงใหลในรูป เสียง กลิ่น รสและสัมผัส มีความยินดีพอใจในคู่ครองของตนคู่กับศีลข้อที่สาม ผู้มีธรรมข้อนี้ ย่อมมีความสุขในชีวิต ไม่ก่อปัญหาให้ครอบครัวหรือสังคม ตรงกันข้ามกับผู้ที่ขาดกามสังวร เช่นครอบครัวที่บิดาเจ้าชู้มีภรรยาหลายคน หรือเป็นชู้กับภรรยาผู้อื่น ย่อมทำให้เกิดปัญหาทั้งในครอบครัวของตนเองและผู้อื่น ลูกขาดความอบอุ่นและอาจหันไปพึ่งยาเสพย์ติด ทำให้เกิดปัญหาสังคมต่อเนื่องกันไปเป็นลูกโซ่ ปัญหาเยาวชนติดยาเสพย์ติดที่แพร่หลายในปัจจุบันนี้มีสาเหตุมาจากครอบครัวแตกแยก บิดามารดาหย่าร้างกัน และสาเหตุใหญ่ของการหย่าร้างก็เนื่องมาจากบิดามารดาขาดกามสังวร บางครอบครัวบิดาเจ้าชู้ และหลายครอบครัวโชคร้ายหนักไปกว่านั้น คือ ทั้งบิดามารดาเจ้าชู้พอๆกัน ผู้ที่รับเคราะห์กรรม คือ ลูกผู้รู้จักเป็นกำลังของชาติต่อไปในอนาคต เมื่อครอบครัวขาดความอบอุ่นเยาวขนมักหันไปพึ่งพายาเสพย์ติด อนาคตของชาติก็จะมืดมน ผู้เป็นบิดามารดาพึงตระหนักในเรื่องนี้ให้มาก​

    4. สัจจะ ความสัตย์ ความซื่อตรง คือดำรงมั่นในสัจจะ ซื่อตรง ซื่อสัตยื จริงใจ พูดจริง ทำจริง จะทำอะไรก็ให้เป็นที่เชื่อถือ ไว้วางใจได้คู่กับศีลข้อที่สี่ บุคคลผู้มีธรรมข้อนี้ย่อมเป็นผู้ที่เจริญในหน้าที่การงาน เช่น นักธุรกิจมีสัจจะ ย่อมเป็นที่ไว้วางใจของผู้ร่วมงาน พ่อค้ามีสัจจะย่อมเป็นที่เชื่อถือของลูกค้า ทำให้การค้าเจริญรุ่งเรือง นักการเมืองมีสัจจะทำให้เป็นที่เชื่อถือไว้วางใจของประชาชน เป็นต้น​

    5. สติสัมปชัญญะ ความระลึกได้และความรู้จักทั่วพร้อม คือฝึกตนให้เป็นคนรู้จักยั้งคิด รู้สึกตัวเสมอว่าสิ่งใดควรทำและไม่ควรทำ ระวังมิให้คนมัวเมาประมาทคู่กับศีลข้อที่ห้า สติสัมปชัญญะ เป็นธรรมที่สำคัญมาก พระพุทธองค์ตรัสยกย่อง สติสัมปะชัญญะ ว่าเป็นธรรมะมีอุปการะมาก ผู้ที่มีธรรมข้อนี้ย่อมเป็นผู้ไม่พลั้งเผลอในการกระทำใดๆ ในทางตรงกันข้ามหากขาดสติสัมปชัญญะฆ่าผู้อื่นได้หรือฆ่าตัวเองได้ ลักทรัพย์ ประพฤติผิดในกาม พูดเท็จ หรือกระทำการใดที่คนมีสัมปชัญญะเขาไม่ทำกัน เป็นต้น​

    กล่าวโดยสรุปก็คือ เบญจศีลและเบญจธรรมนั้นเป็นข้อประพฤติปฏิบัติของคนในสังคมมนุษย์ เพื่อให้อยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข จึงเป็นหน้าที่ที่ทุกคนจะต้องประพฤติปฏิบัติอย่างจริงจัง มิได้ท่องได้คล่องปากเท่านั้น และไม่ควรมองข้ามไป เมื่อทุกคน ทุกครอบครัว ในชุมชน สังคม และโลกประพฤติปฏิบัติ เบญจศีล และเบญจธรรมอย่างเคร่งครัด ด้วยคิดว่าเป็นเรื่องที่คสรปฏิบัติ มากกว่าที่จะมองข้ามไปแล้ว ทุกคน ทุกครอบครัว ในชุมชน สังคม และโลกย่อมประสบสันติสุขเช่นกัน​

    ที่มา http://palungjit.org
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 เมษายน 2011
  5. กินข้าวยัง

    กินข้าวยัง Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    64
    ค่าพลัง:
    +27
    ขออนุโมทนาสาธุครับ จะมุ่งมั่นทำแต่ความดี และรักษาศีล ให้ได้ที่สุดครับ
     
  6. บุญญสิกขา

    บุญญสิกขา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,863
    ค่าพลัง:
    +14,471
    มาเชิญชวนกัน "รักษ์ศีล ๕" ปกป้องกันภัย ในใจตนกัน จ้า

    เรารักษ์ ศีล ๕

    <!-- google_ad_section_end -->​

    ๒. วัตถุประสงค์
    <O:p</O:p
    ๒.๑ เพื่อน้อมถวายเป็นพุทธบูชา ธรรมบูชา และสังฆบูชา

    ๒.๒ เพื่อน้อมถวายเป็นพระราชกุศลและเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระชนมายุ ครบ ๘๔ พรรษา ในปี พ.ศ. ๒๕๕๔

    ๒.๓ เพื่อแสดงความกตัญญูกตเวทีต่อสถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์

    ๒.๔ เพื่อส่งเสริม และสนับสนุนให้สมาชิกเว็บไซต์พลังจิตดอตคอม และบุคคลทั่วไปได้ตะหนักถึงประโยชน์ที่จะได้รับจากการรักษาศีล ๕ อันเป็นคุณธรรมพื้นฐานของมนุษย์ ซึ่งจะนำไปสู่ความเจริญก้าวหน้า ทั้งทางโลก และทางธรรม แก่ผู้เข้าร่วมโครงการ

    ๒.๕ เพื่อเป็นวาระบุญจากการรักษาศีลสามัคคีที่ยิ่งใหญ่ รวบรวมกระแสบุญกุศลของผู้รักษาศีล ให้แผ่ความร่มเย็นเป็นสุขแก่ประเทศชาติบ้านเมืองของเรา บรรเทาภัยพิบัติต่างๆที่ประสบอยู่ จากหนักให้เป็นเบา ที่เบาแล้ว ให้เป็นปรกติสุขในเร็ววัน รวมทั้งต้านภัยพิบัติต่างๆ ที่จะมาถึงในอนาคต

    ๒.๖ เพื่อเป็นโครงการความดีนำร่อง ไปสู่โครงการอื่นๆ เพื่อสังคมไทย ที่ต่อเนื่อง อันจะมีตามมาในโอกาสต่อไป








    [​IMG]





    เพลงศีล ๕<O></O>

    คำร้อง : อาจารย์วรรณี เพชรรัตน์ / แอ๊ว ณ เมืองเหนือ / Anone
    ทำนอง : อิสรภาพ สีชมพู
    เรียบเรียงเสียงประสาน : แอ๊ว ณ เมืองเหนือ
    ดนตรี : (ตั้ม) ธณรรถศร พันธุ์โคก
    ศิลปิน : (น้องยียี่) เด็กหญิงชีวาพร มงคลสิริวรรณ
    เผยแพร่ : ๙ พฤศจิกายน ๒๕๕๑



    [​IMG]



    ***ศีลเอย ศีลห้า ไม่ทำชั่วช้าห้าข้อนะท่าน
    ข้อหนึ่ง ปาณาฯ ยึดมั่น ไม่เบียดเบียนกัน ไม่ฆ่ากันแหละดี <O></O>
    ข้อสอง อทินนาฯ ไม่ทำชั่วช้า ขโมยของใคร
    ข้อสาม กาเมฯ นั่นไง ไม่ผิดลูกเมียใคร ให้เสียศักดิ์ศรี <O></O>
    ข้อสี่ มุสาฯ ยึดมั่น ไม่โกหกใครกัน คนนั้นแหละดี
    ข้อห้า สุรา-เมรัยฯ ไม่ดื่มเข้าไป ทำลายชีวี... <O></O>
    Solo……… <O></O>
    มีศีลห้าจึงเกิดมาเป็นคน (ซ้ำ)
    ไม่วกวนเป็นคนฉลาดเอย (ซ้ำ)

    <O></O>
    <O></O>

    ขอส่งอานิสงฆ์อนุโมทนาเพลงศีล ๕ สื่อดนตรีฝึกร้อง เผยแพร่เพื่อใช้ในการประกวดเวทีสะท้อนธรรมของเยาวชน
    ที่มา : ๑๑_เพลงศีล ๕ : ยินดีต้อนรับสู่เว็บไซด์หล
    ขอส่งอานิสงฆ์บุญอนุโมทนาภาพประกอบ จากอินเตอร์เน็ตffice<O></O>



    [MUSIC]http://palungjit.org/attachments/a.1356945/[/MUSIC]
    <O></O>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 เมษายน 2011
  7. ล้างจิต

    ล้างจิต สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    180
    ค่าพลัง:
    +24
    ขออนุโมทนาบุญค่ะ เชื่อและพยายามปฎิบัติตนให้อยู่ในศีลในธรรมค่ะ
     
  8. อนิจฺจํ

    อนิจฺจํ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    1,374
    ค่าพลัง:
    +2,949
    อยากรู้ว่าใครเป็นสายนาค หรือสายครุฑ หรืออื่น ๆ ดูยังงัย แล้วผมสายไหน แบบว่าสงสัยครับ
     
  9. patuwan

    patuwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    109
    ค่าพลัง:
    +842
    มีอะไรก็บอกเราบ้างนะ......บ้านเราติดทะเล......เรากลัวสึนามิ......
     
  10. arayagood

    arayagood เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    73
    ค่าพลัง:
    +122
    อนุโมทนา สาธุค่ะ เอาพวกหมิ่นสถาบัน ทำร้ายจิตใจพระองค์ท่าน พวกโกงบ้านกินเมืองเผาบ้านเผาเมือง เก็บเอาไปให้หมดอย่าให้เหลือนะคะ อยากเห็นประเทศไทย คนไทยมีจิตใจดีกว่านี้ ทุกวันนี้ก็สวดมนต์ แต่ไม่ได้ทำทุกวัน เลิกงานดึกกลับมาง่วงก็เลยไม่ได้ทำ ทำงานไม่เหนื่อยหรอก จะพยายามปรับปรุงค่ะ
     
  11. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,193
    a.jpg

    สวรรค์ หรือ เทวโลก มี 6 ชั้น ซึ่งเรียกว่า ฉกามาพจร มีดังนี้

    1. จาตุมหาราชิกา มีท้าวมหาราชทั้ง 4 เป็นผู้ปกครอง คือ

    - ท้าวธตรฐ ปกครองเทวดา 3 พวก ได้แก่ คนธรรพ์ วิทยาธร กุมภัณฑ์
    - ท้าววิรุฬหก ปกครองพวกครุฑ
    - ท้าววิรูปักษ์ ปกครองพวกนาค
    - ท้าวเวสสุวรรณ ปกครองพวกยักษ์

    2. ดาวดึงส์ มีพระอินทร์ เป็นผู้ปกครอง
    3. ยามา มีท้าวสุยามเทวราช เป็นผู้ปกครอง
    4. ดุสิต มีท้าวสันดุสิตเทวราช เป็นผู้ปกครอง
    5. นิมมานรดี มีท้าวสุนิมมิตเทวราช เป็นผู้ปกครอง
    6. ปรนิมมิตวสวัตดี มีท้าวปรนิมมิตวสวัตตีมาราธิราช เป็นผู้ปกครอง

    เหล่าของเทวดาจากชั้นจาตุมหาราชิกา อันมี ยักษ์ นาค ครุฑ คนธรรพ์ วิทยาธร กุมภัณฑ์ เมื่อหมดบุญก็ต้องจุติลงมาเกิดในโลกมนุษย์นี้ ใครที่เคยเกิดเป็นยักษ์เราก็เรียกว่าสายยักษ์ ใครที่เคยเกิดเป็นนาคเราก็เรียกว่าสายนาคครับ

    เปรียบได้กับคนทีเคยจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เราก็เรียกว่าลูกแม่โดม คนที่เคยจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยจุฬา เราก็เรียกว่า ศิษย์รั้วจามจุรี ครับ ส่วนที่จะรู้ได้ยังไงว่าใครเป็นสายยักษ์ นาค ครุฑ คนธรรพ์ วิทยาธร กุมภัณฑ์ คงต้องให้คนที่นั่งทางในเก่งๆ ดูให้แหละครับ...
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • C540315p3.jpg
      C540315p3.jpg
      ขนาดไฟล์:
      121.8 KB
      เปิดดู:
      806
  12. ปีระกา

    ปีระกา สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2
    ค่าพลัง:
    +0
    ใช่อยู่ แต่อยากทราบรายละเอียดกว่านี้ในด้านการเตรียมการ

    ---บัดนี้ผมพอจะทราบอยู่เรื่องกองทัพที่เคลื่อนพลมา แต่หากมีรายละเอียดที่แน่ชัดแน่นอนแล้วโปรดชี้แนะเพิ่มเติมให้ครบถ้วนจะพอได้ใหมครับ
    ---เพราะสายพลังที่เป็นเหมือนตาข่ายที่ถูกส่งแผ่ออกไปปกป้อง โดยทางจิตรนี้ ผมเองได้เเผ่ไปโดยอัตโนมัตแล้วตั้งแต่ยังจำความไม่ได้
    ---ข้อสังเกตุ ซึ่งหากวันไดผมเหนื่อยล้าลง โดยไม่ทราบสาเหตุ จะบังเกิดเหตุที่ไม่ดีขึ้นไม่จุดไดก็จุดหนึ่งในโลก
    ---วันนี้ผมจึงอยากทราบในรายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องนี้ครับเพราะเนื้อหาสาระมันตรงดี
    ---พอดีหลายวันก่อนมีพยานาคมาคอยคุ้มกัน รอบบ้านให้ผมก็ยังแปลกใจอยู่ครับเพราะมีจำนวนเยอะอยู่ แต่เรื่องกองทัพผมได้ยินเสียงแต่ยังไม่เห็นภาพมาแต่เยอะครับ ซึ่งรายละเอียดที่ผมทราบมีเยอะกว่านี้ครับ
    ---แต่ผมขออนุญาติยังไม่เล่าครับเพราะ ผมอยากทราบข้อมูลของท่านก่อนครับเพื่อความมั่นใจ ว่าข้อมูลตรงกัน
     
  13. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,193
    ต้องขออภัยด้วยครับ เรื่องของกองทัพพญานาค ผมมีข้อมูลอยู่เพียงเท่านี้จริงๆ ถ้าหากมีสมาชิกท่านใด ทราบข้อมูลมากกว่านี้และพอจะเปิดเผยได้ ก็ขอเชิญนำมาโพสต์ในกระทู้นี้ได้เลยครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 เมษายน 2011
  14. ekkorn9

    ekkorn9 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มกราคม 2009
    โพสต์:
    795
    ค่าพลัง:
    +5,592
    นาคาธิบดีแห่งไตรยุค ผู้อยู่เหนือภัยธรรมชาติ

    กล่าว ว่า กลุ่มนาคราช หมายถึง ไม่ใช่มีเพียงนาคราชท่านเดียว แต่เป็นการรวมตัวของ นาคราชสามพี่น้องผู้รับหน้าที่หลักดูแลยุคทั้งสาม ในการดูแลปกป้องพระพุทธศาสนามาตั้งแต่ สมัยพระพุทธเจ้าพระองค์แรก (สมเด็จองค์ปฐม) เรื่อยมาจนถึงยุคพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน และ รวมถึงนาคราชผู้รับหน้าที่จะดูแลในอนาคตกาล สมัยที่พระอริยเมตตรัยมาตรัสรู้ธรรม เรียกรวมว่า ไตรยุค คือ อดีต ปัจจุบัน อนาคต รวมเป็นหนึ่ง มาช่วยกันดำเนินงาน ... แต่ละท่านมีจำนวนเศียร ขนาด สีแตกต่างกัน แต่ศักดิ์ศรีเท่าเทียมกัน เมื่อรวมจำนวนบริวารของแต่ละท่านก็มากมายประดุจกองทัพ ... บ่งบอกว่างานครั้งนี้เป็นงานที่สำคัญครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ที่สมควร จารึกไว้

    ในการกำหนดสัญลักษณ์ แทนนาคาธิบดีแห่งไตรยุค เนื่องจากแต่ละท่านมีลักษณะแตกต่างกัน เพื่อความสะดวก ทุกท่านตกลงให้ใช้เป็นรูปนาคราชสามเศียร เรียกนามรวมว่า สีติกะนาคราช ( สีติกะนาคาธิบดี ) และให้มีรูปของพระพุทธเจ้า หรือ เครื่องหมายของพระรัตนตรัย ควบคู่กันไปเสมอ ด้วยพวกท่านมีหน้าที่ผู้ดูแลปกป้องพระพุทธศาสนาในสามยุค มิใช่มาสร้างลัทธิใดๆ ตามที่ได้กล่าวไว้แล้วข้างต้น พญานาค เป็นผู้มีพลังพิเศษเกี่ยวกับความเป็นไปของแผ่นดินและผืนน้ำ งานในส่วนการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญด้านแผ่นดินและผืนน้ำของโลกครั้งนี้ ทั้งสามภพจึงมีมติให้เป็นหน้าที่ของสีติกะนาคาธิบดีแห่งไตรยุคเป็นกองหน้าใน การดำเนินงาน

    www.nakusol.com


    http://palungjit.org/threads/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%A1%E0%B8%94%E0%B8%A7%E0%B8%87-%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B8%B8%E0%B8%99%E0%B8%8A%E0%B8%B0%E0%B8%95%E0%B8%B2-%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%95%E0%B8%95%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%B8%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%87-%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%87%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%94%E0%B8%B5-%E0%B8%9A%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%B5%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%9B%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B8%AA%E0%B8%B3%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B9%87%E0%B8%88%E0%B8%A5%E0%B8%B8%E0%B8%99.284755/
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 เมษายน 2011
  15. ปีระกา

    ปีระกา สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2
    ค่าพลัง:
    +0
    ---ครับพรุ่งนี้หากพอมีเวลา และวาสนาผมจะมาเผยแพร่ในส่วนที่ผมรับรู้รับทราบ
    มานะครับ เพื่ออาจจะเป็นแง่มุมให้ ทุกท่านได้ประโยชน์บ้าง
    ก็ถือซะว่าเป็นการเสนอแนวความคิด อีกหนึ่งแง่มุมครับ
     
  16. Follower007

    Follower007 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    201
    ค่าพลัง:
    +303
    ที่มา : Luangpudu.com / Luangpordu.com

    [FONT=&quot]กระแส ตื่นกลัวภัยธรรมชาติต่างๆ นับวันจะมีมากขึ้น เรื่องที่ไม่คิดว่าจะได้พบเห็น ก็ได้พบเห็น อย่างเช่นมีการทำนายว่าโลกจะแตกและเกิดภัยพิบัติเร็ว ๆ นี้ ทำให้มีผู้คนจำนวนมากหลงเชื่อ แตกตื่นอพยพหนี ทิ้งงานการที่ทำ ทิ้งบ้านทิ้งเรือน ดังที่เป็นเป็นข่าวตามหน้าหนังสือพิมพ์[/FONT]
    [FONT=&quot]พฤติกรรม และความเชื่อแปลก ๆ นี้ นับวันจะเพิ่มขึ้นและขยายวงกว้างออกไป ใน อดีตมักเกิดขึ้นกับคนที่มีการศึกษาไม่มากนัก แต่หากสังเกตดูในปัจจุบัน ผู้คนที่เชื่อเรื่องนี้ มีกลุ่มผู้มีการศึกษา มีตำแหน่งหน้าที่การงาน ทำไมถึงเป็นเช่นนี้...[/FONT]
    [FONT=&quot]หากพิจารณาให้ดีจะพบว่าสาเหตุมาจากสองส่วนใหญ่ ๆ [/FONT]
    [FONT=&quot]ส่วนแรก[/FONT][FONT=&quot] คือ ตัวบุคคลคนผู้นั้นเองที่ขาดปัญญาที่จะวินิจฉัยแยกแยะถูกผิด ด้วยเหตุที่มีนิสัยเป็นศรัทธาจริตนำ ทำให้หลงเชื่อและคล้อยตามผู้อื่นได้ง่าย[/FONT]
    [FONT=&quot]ส่วนที่สอง[/FONT][FONT=&quot] คือ อิทธิพลจากสื่อต่าง ๆ ในยุคปัจจุบัน ทั้งภาพยนตร์ โทรทัศน์ หนังสือ สื่อสิ่งพิมพ์ สื่อออนไลน์ต่าง ๆ ที่ผุดอย่างรวดเร็ว มากมายทุกเวลานาที ประกอบกับในช่วงเวลาที่ผ่านมาได้มีเหตุการณ์ธรรมชาติที่เกิดขึ้นทั้งแผ่นดิน ไหว น้ำท่วม สึนามิ...สิ่งที่ไม่เคยเกิดในรอบหลายสิบปีหรือร้อยปี ก็เกิดบ่อยขึ้น รุนแรงขึ้น...ฤดูหนาวที่ควรหนาว ก็ไม่หนาว พอถึงหน้าร้อน ก็กลับหนาวเย็นธรรมชาติวิปริตแปรปรวนอย่างน่ากลัว[/FONT]
    [FONT=&quot]ทำให้อดนึกถึงคำสอนของหลวงพ่อที่ครั้งหนึ่งท่านถามข้าพเจ้าว่า[/FONT]
    [FONT=&quot]แกลองตรองดูให้ดี ทุกอย่างที่เราทำวันนี้ ...เพื่อไว้กินวันข้างหน้าใช่มั้ย[/FONT]
    [FONT=&quot]ใช่ครับ ข้าพเจ้าตอบท่าน[/FONT]
    [FONT=&quot]นั่นซิ ที่ข้าสอนแกภาวนาวันนี้ ก็เพื่อวันข้างหน้านี่แหละ ฝากแกไปคิดดู...[/FONT]
    [FONT=&quot]หลวงพ่อกล่าวต่อด้วยรอยยิ้มที่เมตตายิ่ง[/FONT]
    [FONT=&quot](บทความโดยคุณเมธาฯ)[/FONT]

    [FONT=&quot]เกี่ยว กับเรื่องที่นับวันโลกยิ่งวุ่นวาย โลกยิ่งวิปริตนี้ ผู้คนต่างเอารัดเอาเปรียบ แก่งแย่งแข่งขันกัน ต่อไปคงหาอยู่หากินกันลำบาก หากไม่นับภัยธรรมชาติแล้ว ภัยที่เกิดจากมนุษย์ด้วยกันเองก็มีมากมายทีเดียว ข้าพเจ้าเคยหาโอกาสเรียนถามหลวงพ่อว่า ต่อไปข้างหน้าจะเตรียมตัวอย่างไรดี[/FONT]
    [FONT=&quot]หลวงพ่อตอบคำถามข้าพเจ้า ด้วยการถามกลับว่า...[/FONT][FONT=&quot]แกตอบข้าที คนเรากลัวอะไร [/FONT]
    [FONT=&quot]ข้าพเจ้าตอบท่านว่า... ส่วนมากกลัวตาย ถ้าไม่กลัวตายก็กลัวทุกข์ กลัวต้องลำบากครับ[/FONT]
    [FONT=&quot]หลวงพ่อได้เมตตาสอนข้าพเจ้าต่อว่า...[/FONT][FONT=&quot]คน สมัยนี้ สมัยไหนก็เหมือนกัน เหมือนกันที่เมื่อมีความกลัวแล้วต่างก็หาที่พึ่ง สุดท้ายไม่มีอะไรเป็นที่พึ่งได้จริง ข้าว่าอย่างนี้ แกจะว่าอย่างไร...[/FONT]
    [FONT=&quot]ข้าพเจ้านั่งเงียบ เพราะคิดแล้วจริงอย่างที่ท่านพูดทุกอย่างท่านจึงกล่าวต่อว่า...[/FONT][FONT=&quot]จะมีก็แต่ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์พุทธัง ธัมมัง สังฆัง นี่แหละเป็นที่พึ่งจริง ๆ ไปตรองดูให้ดีเถอะ![/FONT]
    [FONT=&quot](บทความโดยคุณเมธาฯ)[/FONT]


    ***************************************

    [FONT=&quot]นึกถึงคำกล่าวของหลวงปู่นะครับ..."เวลาเหลืออีกไม่มากแล้ว ให้รีบพากันปฏิบัติ"[/FONT]
    [FONT=&quot]มอง ได้ทั้งมรณานุสติ และนัยที่แฝงอยู่จากคำพูดนี้ เพราะยิ่งนับวันก็ยิ่งเห็นเหตุการณ์ทางธรรมชาติที่แปรปรวนและมีความรุนแรง มากขึ้น แต่ยังไงก็แล้วแต่ การรีบพากันปฏิบัติตามที่หลวงปู่ท่านเตือนสติก็มีแต่ประโยชน์กับผู้ปฏิบัติ ทั้งนั้น[/FONT][FONT=&quot]ไม่ว่าจะ คิดปรุงแต่งหรือฟุ้งกลัวว่า น้ำจะท่วมโลก โลกจะแตก แต่ผมว่าถ้าจะฟุ้งให้ได้ประโยชน์น่าจะคิดว่า...หากน้ำจะท่วมหรือโลกจะแตก จริงๆ เราได้สะสมกำลังสติของเราเพียงพอยัง เพื่อพร้อมจะตายไปด้วยสติ ?[/FONT]
    [FONT=&quot]หากคิดเป็นธรรมก็ควรจะคิดอย่างนี้[/FONT]
    [FONT=&quot]บาง คนบอกใคร ๆ ว่าปล่อยวางได้หมด แต่อาการภายนอก คืออาการหนีตายอย่างร้อนรนชนิดพร้อมทิ้งลูกทิ้งสามีทิ้งภรรยา ที่สำคัญคือทิ้งพ่อแม่ที่แก่เฒ่า แล้วอย่างนี้ ถึงจะรอดตายจริง ๆ จะมีความสุขได้จริงหรือ [/FONT]
    [FONT=&quot]หากเป็นกรรมของ โลก กรรมของประเทศ มันจะมีที่ต้านทานหรือ ดูอย่างประเทศญี่ปุ่นที่เจริญทางด้านเทคโนโลยีสูงสุดสิ ยังเอาตัวไม่รอดเลย แต่น่าอัศจรรย์ที่คนส่วนใหญ่ยังประคองสติอยู่ได้ ไม่เกิดจราจลภายในเหมือนอย่างกรณีที่เกิดกับประเทศอื่นทั้งหลาย แล้วจะมีใครคิดบ้างว่า วินัยของคนเหล่านั้นมาจากพุทธศาสนาที่หยั่งรากลึกลงในจิตใจของชาวญี่ปุ่น ตั้งแต่ที่พุทธศาสนาจากจีนเข้าไปสร้างอารยธรรมที่เจริญให้แก่ญี่ปุ่นเมื่อ กว่าพันปีมาแล้ว ประกอบกับความพร้องเพรียงกันสร้างชาติของพวกเขาตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้ง ที่ ๒[/FONT]
    [FONT=&quot]หากเป็นคนปล่อยวางจริง และตั้งอยู่ในความไม่ประมาทจริง จะมุ่งเน้นการสั่งสมคุณทาน คุณศีล คุณภาวนา ทั้งสติ สมาธิ และปัญญาที่มากเท่าที่จะมากได้เพื่อเป็นเชื้อต่อไปในภายภาคหน้า มากกว่าจะอยู่อย่างระทึกใจ รวมทั้งอาจเผลอภาวนาให้เป็นจริงดังคำพยากรณ์ของตนหรือของครูอาจารย์ตนจะได้ สะใจว่าฉันเตือนเธอแล้วนะ เธอไม่ฟังฉันเอง ฯลฯ[/FONT]
    [FONT=&quot]อัน ที่จริงแล้ว เรื่องของธรรมชาติที่วิปริตนั้น ไม่ต้องพยากรณ์ก็ได้ ใคร ๆ ก็ตระหนักในข้อนี้อยู่แล้ว เพราะปัจจัยสำคัญส่วนหนึ่งที่รู้ ๆ กันอยู่ก็คือ สิ่งที่มนุษย์ได้เข้าไปทำลายสมดุลของธรรมชาติไว้เอง และมนุษย์ก็มีทีท่าว่าจะยังคงทำลายต่อไป ๆ ไม่มีที่จะหยุดยั้ง [/FONT]
    [FONT=&quot]สรุป สุดท้าย การ "ตื่น" แบบ "รู้ ตื่น เบิกบาน" นั้นเป็นสิ่งที่พึงประสงค์ แต่ตื่นเรื่องโลกแตกนั้น ไม่ควรเกิดกับชาวพุทธผู้มีสติปัญญาเลย[/FONT]
     
  17. santiva

    santiva เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    10
    ค่าพลัง:
    +220
    เมื่อวานได้พาเพื่อนจากกทม.ไปกราบพระเจดีย์ และกราบครูบาเจ้าตรัยเทพที่อาศรมพรหม อ.จอมทอง จ.เชียงใหม่ พอดีได้มีโอกาสคุยกับลูกศิษย์ของท่านที่มาจากดูไบ บอกว่าที่อาศรมตอนนี้ครูบาท่านให้ตุนอาหารไว้เตรียมรองรับภัยพิบัติไว้แล้ว เพราะอีกหน่อยท่านบอกว่าผู้คนจะหนีตายมาพึ่งที่นี่ และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ดูแลอาศรมพรหมธาดา จะครอบคลุมดูแลในรัศมี 3 กิโลเมตร

    ฝากข่าวไว้เผื่อใครอยู่ใกล้ หากเกิดภัยพิบัติก็สามารถไปที่นี่ได้อีกแห่งหนึ่ง
    และอีกแห่งหนึ่งคือ พระบรมธาตุศรีจอมทอง อ.จอมทอง จ.เชียงใหม่ ซึ่งเป็นสถานที่ ที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้ว่า จะทรงพระพุทธศาสนาจนครบ ๕,๐๐๐ ปี (หาอ่านจากประวัติของวัดพระธาตุฯได้)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 15 เมษายน 2011
  18. lelane

    lelane สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    11
    ค่าพลัง:
    +5
    ขออนุโมทนาบุญด้วยค่ะ

    1 ในผู้รอดตายคราวสึนามิที่จังหวัดพังงาค่ะ
     
  19. wee2010

    wee2010 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2010
    โพสต์:
    190
    ค่าพลัง:
    +122
    ผมก็อยู่เชียงใหม่นะ แต่ไม่ได้อยู่ อ.จอมทอง ผมอยู่ไชยปราการ ไชยปราการก็มีพระธาตุเยอะนะ พระเจ้าพรหมอีก น่าจะปลอดภัย
     

แชร์หน้านี้

Loading...