วิชชาที่จะทำให้อยู่รอดจากยุคสมัยแห่งภัยพิบัติ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย kananun, 17 กรกฎาคม 2006.

  1. แม่นายมล

    แม่นายมล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    1,069
    ค่าพลัง:
    +6,258
    ถ้าถูกเลือกให้ไป ร่างกายไม่ปลอดภัย รอบด้านไม่เกื้อหนุน

    ตัดใจ วางทุกอย่าง ให้หมด เอาจิตวิญญาณมุ่งนิพพานที่เดียว

    เพราะบางทีเราไม่มีหน้าที่ต้องอยู่ หมดหน้าที่แล้วก็ต้องกลับ

    ร่างกายไม่ใช่ของเรา
     
  2. sanya

    sanya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กันยายน 2005
    โพสต์:
    455
    ค่าพลัง:
    +2,687
    แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่า ตอนนี้เราทำได้แค่ไหน
    ต้องแก้ไขเรื่องอะไร เน้นหนักอะไรบ้าง
    พี่ดูให้ผมผ่านเน็ตได้หรือเปล่าครับ พี่ KANANUN
     
  3. NuJanBaBor

    NuJanBaBor เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    440
    ค่าพลัง:
    +1,861
    ยังทำใจไม่ได้เท่าไหร่ค่ะ

    เพราะอยู่ห่างคนที่เรารัก><

    อยากใช้เวลาที่เหลือให้มีความสุขมากที่สุด
     
  4. Specialized

    Specialized ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    22,156
    กระทู้เรื่องเด่น:
    23
    ค่าพลัง:
    +83,352
    ตอนนี้ผมได้เกริ่นเรื่องเหล่านี้ให้ครอบครัวผมฟังแล้ว ตอนแรกๆก็ทำท่าไม่เชื่อ แต่หลังๆมานี้เริ่มเชื่อ เพราะว่าเคยได้ยินเขาบอกมานานแล้วเหมือนกัน แต่ว่ามันไม่เกิดสักทีท่านเลยไม่เชื่อ แต่พอมาถึงช่วงนี้เหตุการณ์เริ่มแสดงท่าทีออกมาทีละนิดแล้ว ถ้าเกิดอะไรขึ้นผมคงพาทั้งครอบครัวหนีภัยได้อยู่ครับ อนุโมทนา
     
  5. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    ขออนุญาตตอบคุณแม่นายมลครับ

    มีหลายท่านที่มีภูมิธรรม และความบริสุทธ์ของจิตที่สูง บางท่านก็อยู่ในระดับของพระอริยเจ้า แต่ท่านได้อธิฐานจิตมุ่งที่ความหลุดพ้นเข้าสู่พระนิพพานโดยตรง ดังนั้น เมื่อเกิดภัยพิบัติท่านอาจจะพิจารณาปลงสังขาร มุ่งสู่พระนิพพานโดยตรงกันอีก มากมายหลายท่านครับ
    ดังนั้นเมื่อถึงเวลา

    ถ้าเราเห็นท่านผู้เป็นนักปฏิบัติ สิ้นชีพลงในเหตุการณ์ครั้งนี้ ก็ขอให้ท่านทั้งหลายจงอย่าไปกล่าวปรามาสใดกับท่าน หรือไปคิดว่าทำไมพระจึงไม่คุ้มครองคนปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ที่จริงท่านได้พิจารณาเห็นทุกข์ที่เกิดและเหตุการณ์แห่งภัยพิบัติ จิตจึงเกิดความเบื่อหน่ายในสังขารร่างกาย เห็นทุกข์ เห็นธรรม จนปล่อยวางได้ทั้งหมด

    ดังนั้นหากเราไปปรามาสท่านทั้งหลายก็จะเป็นโทษกับเราเพียงฝ่ายเดียว ดังนั้นเราจึงควรวางใจให้เป็นอุเบกขาในทุกสิ่ง โมทนาเมื่อผู้อื่นได้ถึงซึ่งพระนิพพานและสุขคติภูมิอื่นๆ ส่วนท่านผู้ที่ประสบความทุกข์ ก็ขอให้เราตั้งความปรารถนาให้เขาเหล่านั้นพ้นจากความทุกข์

    ขอโมทนาบุญในอารมณ์ใจที่วางไว้ดีแล้วของคุณแม่นายมลด้วยครับ

    นิพานนังปรมังสุขัง นิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง
     
  6. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    ขออนุญาต ตอบคุณ Sanya ครับ ต้องขออนุญาตผ่านตรงนี้ครับ เพราะครูบาอาจารย์ท่านห้ามไว้ครับ ท่านว่าถ้าจะช่วยก็จงช่วยให้เขาถึงซึ่งความดี ของตนเอง ด้วยตนเองครับ

    ดังนั้นผมขออนุญาตแนะนำเรื่องความก้าวหน้าในการปฏิบัติในกระทู้นี้เพื่อเป็นประโยชน์กับท่านผู้อื่นครับ

    ถ้าอยากทราบจริงๆ เวลามีการจัดฝึกสมาธิ ก็มาฝึกได้ครับ ที่จริงมีน้องๆมาฝึกกันหลายๆคน บางคนขอฝึกพิเศษ ด้วยเพื่อเป็นการเร่งปฏิบัติ

    ที่จริงถ้าสังเกตุดูจากคำแนะนำในกระทู้นี้ อ่านตามไปทีละบท ค่อยๆทำตามไป ก็น่าที่จะก้าวหน้าในการปฏิบัติขึ้นไปในระดับหนึ่งแล้วครับ

    อีกสิ่งหนึ่งที่สังเกตุได้จากตนเองว่าก้าวหน้าเพียงไรคือ

    1.จิตใจของเราโปร่ง เบา สะบายขึ้นหรือไม่

    2.ลมหายใจเราละเอียดขึ้นหรือไม่

    3.จิตของเราตั้งมั่นในศีลมากขึ้นหรือไม่

    4.ความเมตตา พรหมวิหารสี่ในจิตใจของเรา เพิ่มขึ้นหรือไม่

    5.ความศรัทธาในพระรัตนไตยของเราสูงขึ้น เห็นจริงขึ้นหรือไม่

    6.จิตของเรามองเห็นในความเป็นธรรมดาของร่างกาย และทุกสิ่ง สามารถปล่อยวางได้มากขึ้นหรือไม่ครับ

    7.สามารถนำความรู้อย่างยิ่งของจิต ไปใช้เพื่อการทำความดีโดยไม่ยึดติดกับ อัตรา มานะ และทิษฐิได้หรือไม่

    ลองค่อยๆสังเกตุ และใช้อารมณ์ใจค่อยๆปรับ ไปที่ละข้อทีละส่วนให้สมดุลครับ

    ขอโมทนาในความตั้งใจในการปฏิบัติเพื่อความดีของคุณ Sanya ด้วยครับ มีอะไรที่สงสัย และอยากทราบก็สอบถามมาได้ครับ
     
  7. sanya

    sanya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กันยายน 2005
    โพสต์:
    455
    ค่าพลัง:
    +2,687
    ขอบคุณครับ
     
  8. NuJanBaBor

    NuJanBaBor เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    440
    ค่าพลัง:
    +1,861
    การปฐมพยาบาลเบื้องต้น

    http://www.nurse.nu.ac.th/cai/firstaid02.html

    - การปฐมพยาบาลผู้ที่กระดูกหักหรือได้รับบาดเจ็บที่กล้ามเนื้อและข้อต่อ
    - การช่วยเหลือผู้จมน้ำ
    - การพันผ้า
    - การเคลื่อนย้ายผู้ป่วย
    - การปฐมพยาบาลกรณีมีสิ่งแปลกปลอมเข้าสู่ร่างกาย
    - การปฐมพยาบาลผู้ที่มีไข้
    - การปฐมพยาบาลกรณีตกเลือด, เกิดบาดแผลและการทำแผล
    - การปฐมพยาบาลกรณีได้รับสารพิษ
    - การปฐมพยาบาลกรณีถูกสัตว์กัด,ต่อย
     
  9. pattarawat

    pattarawat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    1,671
    ค่าพลัง:
    +7,982
    ตอนแรกครอบครัวผมก็รับฟังไว้เท่านั้น แต่เมื่อผมเล่าให้ฟังถึงนิมิตที่เป็นจริงหลายๆ ครั้ง ท่านก็สนใจมากขึ้น และหันมาสะสมบุญกันมากขึ้นครับ ล่าสุดผมเห็นซึนามิสูง 20 เมตร เล่าให้ท่านฟัง ท่านก็ซักไซร้ใหญ่ว่าจะเกิดที่ไหน แต่ผมไม่ทราบสถานที่จริงๆ เลยตอบท่านไม่ได้

    อย่างไรก็ตาม อยากให้ทุกคน "ละกิเลส" เพื่อสร้างบุญหนีวิบากกรรมต่างๆ ครับ แต่สำหรับคนที่ยัง "หลง" กับกิเลส นี่ก็น่าเป็นห่วงครับ
     
  10. Khunkik

    Khunkik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กันยายน 2006
    โพสต์:
    2,150
    ค่าพลัง:
    +18,072
    เมื่ออาตมาได้พบกับ สมเด็จพระนพรัตน์ วัดป่าแก้ว

    คืนวันหนึ่งอาตมานอนหลับแล้วฝันไปว่าอาตมาได้เดินไปในสถานที่แห่งหนึ่ง พบกับพระสงฆ์รูปหนึ่งครองจีวรคร่ำ สมณสารูปเรียบร้อยน่าเลื่อมใส

    อาตมาเห็นว่าเป็นพระอาวุโส ผู้รัตตัญญู จึงน้อมนมัสการท่าน ท่านหยุดยืนตรงหน้าอาตมาแล้วกล่าวกับอาตมาว่า
    "ฉันคือสมเด็จพระนพรัตน์ วัดป่าแก้ว แห่งกรุงศรีอยุธยา ฉันต้องการให้เธอได้ไปที่วัดใหญ่ชัยมงคล เพื่อดูจารึกที่ฉันได้จารึกถวายพระเกียรติแก่

    สมเด็จพระนเรศวรมหาราชผู้เป็นเจ้าเนืองในวาระที่สร้างเจดีย์ฉลองชัยชนะ
    เหนือพระมหาอุปราชแห่งพม่า และประกาศความเป็นอิสระของ

    ประเทศไทยจากหงสาวดีเป็นครั้งแรก เธอไปดูไว้แล้วจดจำมาเผยแพร่ออกไป ถึงเวลาที่เธอจะได้รับรู้แล้ว"

    ในฝันอาตมารับปากท่าน ท่านก็บอกตำแหน่งให้แล้วก็ตกใจตื่นนอนตอนใกล้รุ่ง อาตมาก็ทบทวนความฝัน ก็นึกอยู่ในใจว่าเราเองนั้นกำหนดจิต

    ด้วยกรรมฐาน มีสติอยู่เสมอ เรื่องฝันฟุ้งซ่านเป็นไม่มี อาตมาก็ได้ข่าวในวันนั้นแหละว่า ทางกรมศิลปากรทำการบูรณะปฏิสังขรณ์พระเจดีย์ใหญ่ใน

    วัดใหญ่ชัยมงคล และจะทำการบรรจุบัวยอดพระเจดีย์ อันเป็นนิมิตหมายการสิ้นสุดการบูรณะ แล้วจะรื้อนั่งร้านทั้งหมดออกเป็นการเสร็จสิ้น

    อาตมาจึงได้ขอร้อง ดร.กิ่งแก้ว อัตถากร ให้เลื่อนการปิดยอดบัวไปอีกวันหนึ่งเพื่อที่อาตมาจะได้นำพระซุ้มเสมาชัย ซุ้มเสมาขอ ที่อาตมาได้สร้างขึ้นตามแบบดั้งเดิมที่พบในเจดีย์ใหญ่ใกล้กับ
    วัดอัมพวัน ซึ่งพังลงน้ำที่ก๋งเหล็งเป็นคนรวบรวมเอามาให้อาตมา ตั้งแต่เมื่อเริ่มพัฒนาวัดใหม่ๆ

    แต่แตกหักผุพังทั้งนั้นหลายสิบปี๊บอาตมาได้ป่นเอามาผสมสร้างเป็นองค์พระใหม่
    ไปร่วมบรรจุไว้ที่ยอดพระเจดีย์บ้าง

    วันนั้นอาตมาเดินทางไปถึงก็ได้เดินขึ้นไปบนเจดีย์ตอนที่สุดบันไดแล้ว มองเห็นโพรงที่ทางเขาทำไว้สำหรับลงไปด้านล่าง มีร้านไม้พอไต่ลงไป
    ภายใน ตั้งใจเด็ดเดี่ยวว่าลงไปคราวนี้ถ้าพลาดตกลงไปจากนั่งม้าร้านก็ยอมตาย คนที่ร่วมเดินทางมาด้วยเขามัวแต่ไปบนลานชั้นบน อาตมาก็
    ดิ่งลงไปชั้นล่าง มีไฟฉายดวงหนึ่ง เวลานั้นประมาณ 09.00 น. อาตมาลงไปภายในแล้วก็พบนิมิตดังที่สมเด็จพระนพรัตน์ได้บอกไว้จริงๆ

    อาตมาจึงได้พบว่าแท้ที่จริงแล้วสิ่งที่สมเด็จพระนพรัตน์ วัดป่าแก้ว ท่านได้จารึกถวายพระพรก็คือบทสวดที่เรียกว่า "พาหุง มหาการุณิโก"

    ท้ายของนิมิตนั้นระบุว่า "เราสมเด็จพระนพรัตน์ วัดป่าแก้ว ศรีอโยธเยศ คือผู้จารึกนิมิต รจนาเอาไว้ถวายพระพรแด่มหาบพิตรเจ้า
    สมเด็จพระนเรศวรมหาราช"

    พาหุงมหากาก็คือบทสวดสรรเสริฐพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ แล้วก็พรพาหุงอันเริ่มด้วย พาหุงสหัส..ไปจนถึง ทุคคาหทิฏฐิ แล้ว
    เรื่อยไปจนถึง มหาการุณิโก นาโถ หิตายะ และจบลงด้วย ภะวะตุ สัพพะมังคะลัง สัพพะพุทธา สัพพะธัมมา สัพพะสังฆานุภาเวนะ สะทา โสตถี ภะ
    วันตุ เต อาตมา เรียกรวมกันว่า พาหุงมหากา

    อาตมาจึงเข้าใจในบัดนั้นเองว่า บทพาหุงนี้คือ บทสวดมนต์ที่สมเด็จพระนพรัตน์ วัดป่าแก้ว ได้ถวายให้พระบาทสมเด็จพระนเรศวรวรมหาราชไว้

    สวดเป็นประจำเวลาอยู่กับพระมหาราชวัง และในระหว่างศึกสงคราม จึงปรากฎว่าพระบาทสมเด็จพระนเรศวรมหาราชเจ้าทรงรบ ณ ที่ใด ทรงมีชัย

    ชนะอยู่ตลอดมา มิได้ทรงเพลี่ยงพล้ำเลย แม้จะเพียงลำพังสองพระองค์กับสมเด็จพระอนุชาธิราชเจ้า ท่ามกลางกองทัพพม่าจำนวนนับแสนคน ก็

    ทรงมีชัยชนะเหนือพระมหาอุปราชา ณ ดอนเจดีย์ปูชนียสถาน แม้ข้าศึกจะยิงปืนไฟเข้าใส่พระองค์ในตอนที่เข้ากันพระศพของพระมหาอุปราชา

    ออกไปราวกับห่าฝนก็มิปาน แต่ก็มิได้ต้องพระองค์ ด้วยเดชะพาหุงมหากาที่ทรงเจริญอยู่เป็นประจำนั่นเอง

    อาตมาพบนิมิตแล้ว ก็ไต่ขึ้นมาด้วยความสบายใจ ถึงปากปล่องที่ลงไปใช้เวลาเกือบสามชั่วโมง เนื้อตัวมีแต่หยากไย่ เดินลงมาแม่ชีเห็นเข้ายัง

    ร้องว่า"หลวงพ่อเข้าไปในโพรงนั้นมาหรือ" แต่อาตมาไม่ตอบ ตั้งแต่นั้นมา อาตมาจึงสอนการสวดพาหุงมหากาให้แก่ญาติโยมเป็นต้นมา เพราะ

    อะไร เพราะพาหุงมหากานั้นเป็นบทสวดมนต์ที่มีค่าที่สุด มีผลดีที่สุด เพราะเป็นชัยชนะอย่างสูงสุดของพระบรมศาสดาจากพญาวัสวดีมาร จาก

    อาฬวกะยักษ์ จากช้างนาฬาคิรี จากองคุลีมาล จากนางจิญมานวิกา จากสัจจะกะนิครนถ์ จากพญานันโทปนันทนาคราช และท่านท้าวผกาพรหม

    เป็นชัยชนะที่พระพุทธองค์ทรงได้มาด้วยอิทธิปาฎิหาริย์ และด้วยอำนาจแห่งบารมีธรรมโดยแท้ ผู้ใดได้สวดเป็นประจำทุกวันจะมีชัยชนะ มีความเจริญรุ่งเรืองตลอดกาลนาน มีสติระลึกได้ จะตายก็ไปสู่สุคติภูมิ

    ขอให้ญาติโยมสวดพาหุงมหากากันให้ทั่วหน้า นอกจากจะคุ้มตัวแล้ว ยังคุ้มครองครอบครัวได้ สวดมากๆ เข้า สวดกันทั้งประเทศ ก็ทำให้ประเทศ
    มีแต่ความรุ่งเรือง พวกคนพาลสันดานหยาบก็แพ้ภัยไปอย่างถ้วนหน้า

    ไม่ใช่แต่พระบาทสมเด็จพระนเรศวรมหาราชเท่านั้นที่พบความมหัศจรรย์ของบทพาหุงมหากา แม้พระบาทสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชก็ทรงพบ

    เช่นกัน โดยมีบันทึกโบราณบอกไว้ว่าดังนี้
    " เมื่อพระเจ้าตากสินมหาราชตีเมืองจันทบุรีได้แล้ว ก็ทรงเห็นว่าสงครามกู้ชาติต่อจากนี้ไปจะต้องหนักหนาและยืดยาว จึงทรงโปรดเกล้าฯ ให้

    สร้างพระยอดธงแบบศรีอยุธยาขึ้นแล้วนิมนต์พระเถระทั้งหลายมาสวดบทพาหุงมหากาบรรจุไว้ในองค์พระ และพระองค์ก็ทรงเจริญรอยตามพระ

    บาทสมเด็จพระนเรศวรมหาราชด้วยการเจริญพาหุงมหากา จึงบันดาลให้ทรงกู้ชาติสำเร็จ"

    สวดพาหุงมหากากันให้ได้ทุกบ้าน สวดให้ได้มากๆ จะมีแต่ความเจริญรุ่งเรือง สวดพาหุงมหากาก่อนแล้วจึงสวดชินบัญชร เพราะชินบัญชรนั้น เจ้า

    ประคุณสมเด็จ ท่านใช้สวดบูชาพระอรหันต์ของท่าน ต้องสวดพาหุงมหากาก่อน แล้วจึงมาถึงชินบัญชร ให้จดจำกันเอาไว้ นั่นแหละมงคลในชีวิต

    พระราชสุทธิญาณมงคล

    เจ้าอาวาสวัดอัมพวัน

    อำเภอพรหมบุรี จังหวัดสิงห์บุรี


    ชัยมงคลคาถา (พาหุงฯ)

    พาหุงสะหัสสะมะภินิมมิตะสาวุธันตัง ครีเมขะลัง อุทิตะโฆระสะเสนะมารัง
    ทานาทิธัมมะวิธินา ชิตะวา มุนินโท ตันเตชะสา ภะวะตุ เม* ชะยะมังคลานิ

    มาราติเรกะมะภิยุชฌิตะสัพพะรัตติง โฆรัมปะนาฬะวะกะมักขะมะถัทธะยักขัง
    ขันตีสุทันตะวิธินา ชิตะวา มุนินโท ตันเตชะสา ภะวะตุ เม* ชะยะมังคลานิ

    นาฬาคิริง คะชะวะรัง อะติมัตตะภูตัง ทาวัคคิจักกะมะสะนีวะ สุทารุณันตัง
    เมตตัมพุเสกะวิธินา ชิตะวา มุนินโท ตันเตชะสา ภะวะตุ เม* ชะยะมังคลานิ

    อุกขิตตะขัคคะมะติหัตถะ สุทารุณันตัง ธาวันติโยชะนะปะถังคุลิมาละวันตัง
    อิทธีภิสังขะตะมะโน ชิตะวา มุนินโท ตันเตชะสา ภะวะตุ เม* ชะยะมังคลานิ

    กัตตะวานะ กัฏฐมุทะรัง อิวะ คัพภินียา จิญจายะ ทุฏฐะวะจะนัง ชะนะกายะมัชเฌ
    สันเตนะ โสมะวิธินา ชิตะวา มุนินโท ตันเตชะสา ภะวะตุ เม* ชะยะมังคลานิ

    สัจจัง วิหายะ มะติสัจจะกะวาทะเกตุง วาทาภิโรปิตะมะนัง อะติอันธะภูตัง
    ปัญญาปะทีปะชะลิโต ชิตะวา มุนินโท ตันเตชะสา ภะวะตุ เม* ชะยะมังคลานิ

    นันโทปะนันทะภุชะคัง วิพุธัน มะหิทธิง ปุตเตนะ เถระภุชะเคนะ ทะมาปะยันโต
    อิทธูปะเทสะ วิธินา ชิตะวา มุนินโท ตันเตชะสา ภะวะตุ เม* ชะยะมังคลานิ

    ทุคคาหะทิฏฐิภุชะเคนะ สุทัฏฐะหัตถัง พรัหมัง** วิสุทธิชุติมิทธิพะกาภิธานัง
    ญาณาคะเทนะ วิธินา ชิตะวา มุนินโท ตันเตชะสา ภะวะตุ เม* ชะยะมังคลานิ

    เอตาปิ พุทธิชะยะมังคะละอัฏฐะคาถาโย วาจะโน ทินะทิเน สะระเต มะตันที
    หิตวานะ เนกะวิวิธานิ จุปันทะวานิ โมกขัง สุขัง อะธิคะเมยยะ นะโร สะปัญโญ


    ชัยปริตร (มหากาฯ)

    มหาการุณิโก นาโถ หิตายะ สัพพะปาณินัง ปูเรตวา ปาระมี สัพพาปัตโต
    สัมโพธิมุตตะมัง เอเตนะ สัจจะ วัชเชนะ โหตุ เม* ชะยะมังคะลังฯ

    ชยันโตโพธิยา มูเล สักยานัง นันทิ วัฑฒะโน เอวัง อะหัง วิชะโย โหมิ***
    ชะยัสสุ ชะยะมังคะเล อะปะราชิตะ ปัลลังเก สีเส ปะฐะวิโปกขะเร
    อะภิเสเก สัพพะพุทธานัง อัคคัปปัตโต ปะโมทะติฯ สุนักขัตตัง สุมังคะลัง
    สุปะภาตัง สุหุฏฐิตัง สุขะโณ สุมุหุตโต จะสุยิฏฐัง พรหัมะ****
    จาริสุ ปะทักขิณัง กายะกัมมัง วาจากัมมัง ปะทักขิณัง ปะทักขิณัง
    มโนกัมมัง ปะณิธเต ปะทักขิณา ปะทักขิณานิ กัตวานะ
    ละภันตัตเถ ปะทักขิเณฯ

    ภะวะตุ สัพพะมังคะลัง รักขันตุ สัพพะเทวะตา สัพพะพุทธานุภาเวนะ
    สะทา โสตถี ภะวันตุ เม*

    ภะวะตุ สัพพะมังคะลัง รักขันตุ สัพพะเทวะตา สัพพะธัมมานุภาเวนะ
    สะทา โสตถี ภะวันตุ เม*

    ภะวะตุ สัพพะมังคะลัง รักขันตุ สัพพะเทวะตา สัพพะสังฆานุภาเวนะ
    สะทา โสตถี ภะวันตุ เม*

    หมายเหตุ :
    "เม*" ถ้าสวดให้คนอื่นให้เปลี่ยนเป็น "เต"
    "พรัหมัง**" อ่านว่า พรัม-มัง
    " อะหัง วิชะโย โหมิ****" ถ้าสวดให้คนอื่นให้เปลี่ยนเป็น "ตะวัง วิชะโย โหหิ"
    "พรหัมะ****" อ่านว่า พรัม-มะ

    คัดลอกจากหนังสือ "อานิสงส์ของการสวดพระพุทธคุณ ของพระราชุทธิญาณมงคล และบทสวดมนต์ถวายพระพร"


     
  11. tamsak

    tamsak ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กันยายน 2004
    โพสต์:
    7,857
    กระทู้เรื่องเด่น:
    22
    ค่าพลัง:
    +161,171
    ในวงการระหว่างประเทศ มีการปล่อยข่าวว่าอิสราเอลจะใช้ระเบิดนิวเคลียร์กับอิหร่าน ติดตามข่าวได้จากลิงค์ข้างล่างนี้ครับ

    http://www.palungjit.org/board//showthread.php?t=66324

    และคอยช่วยกันติดตามสถานะการณ์โลกดีๆ นะครับ หากใครทราบความเคลื่อนไหวอย่างไรก็ขอให้มาโพสต์ให้เพื่อนๆ ทราบกันด้วย หากเกิดการสู้รบหรือใช้อาวุธนิวเคลียร์กันจริง พวกเราจะได้เตรียมตัวกันทันครับ

    .
    .
     
  12. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    วันนี้เรามาต่อในเรื่องการปฏิบัติของเรากันต่อครับ

    เมื่อวันปีใหม่ผมได้ไปฝึกกรรมฐานกับหลวงพี่สมปองที่บ้านตลิ่งชันครับ
    ก็ได้แง่มุมในการปฏิบัติเพิ่มเติมยิ่งขึ้นครับ ซึ่งถือเป็นหัวใจของการปฏิบัติธรรม ในการเจริญ พุทธานุสติกรรมฐาน

    หลวงพี่สมปองท่านได้กล่าวถึง "กำลังพระ" ซึ่งท่านหมายความถึง "กำลังบารมีของพระพุทธเจ้าที่เราอาราธนาลงมาคุ้มครอง"

    วันนั้นผมคิดในใจเล่นๆว่า ขอให้หลวงพี่ท่านพูดเรื่องราวของภัยพิบัติด้วยเถิด เนื่องจากเป็นงานที่เราได้รับมอบหมายให้ทำ ก็ปรากฏว่า หลวงพี่ท่าน บังเอิญกล่าวถึงเรื่องของ "กำลังพระ "โดยที่ท่านได้กล่าวว่า ผู้ที่ขอกำลังพระลงมาคุ้มครองนั้น แม้บุคคลอื่นจะถูกรังสีจากนิวเคลียร์จนเป็นอันตราย แต่ผู้ที่มี"กำลังพระ"นั้นจะไม่เป็นอันตรายใดๆทั้งสิ้น จุดสำคัญก็คือ เราไม่ควรที่จะลืมพระ ทิ้งพระไปจากใจของเรา พลังพุทธคุณนั้นเป็นพลังที่บริสุทธ์ สะอาด และทรงพลานุภาพสูงสุด บางครั้งเราก็มีของดี สิ่งดีอยู่แล้ว แต่เรากลับไม่เห็นคุณค่าหรือรู้สึกถึงความสำคัญของพุทธานุภา

    การฝึกจิตในการอาราธนาบารมีพระพุทธเจ้าท่านมาคุ้มครอง ตัวเราและครอบครัว หรือ การมี "กำลังพระ" นั้น หากเป็นท่านผู้ทรงมโนมยิทธิ ได้เป็นปรกติ ก็จะเป็นเรื่องง่าย เนื่องจากมีความเข้าใจในบารมีและพุทธานุภาพของพระพระพุทธเจ้าเป็นอย่างดีอยู่แล้ว รวมทั้งสภาวะของนิพพาน

    ในเบื้องต้นหลวงพี่สมปองท่านได้แนะนำว่า " ในตอนเช้าที่เราได้ตื่นขึ้นมา ก็ขอจงตั้งใจทรงจิตอยู่ในพุทธานุสติ อาราธนาพระพุทธเจ้าท่านให้ทรงประทับอยู่เหนือเศียรเกล้าของเราไว้ และอธิฐานว่าขออาราธนาพระท่านให้เมตตาสงเคราะห์คุ้มครองตัวเราไว้ทั้งวัน เราไปไหนขอให้พระท่านไปด้วย มีอะไรที่เราทำไม่ถูกไม่ควรก็ขอให้พระท่าน ช่วยเมตตาสะกิดเตือน มีอะไรที่จะเป็นอันตรายก็ขอให้พระท่านคอยเตือนคอยบอกให้รู้ล่วงหน้า

    อันที่จริงสิ่งที่ได้กล่าวมานั้นไม่ยากเกินกำลังใจของทุกท่านที่จะทำกันได้ และเมื่อทำได้ทั้งวันทั้งคืนแล้ว เราก็จะนับว่าไม่คลาดจากพุทธานุสติกรรมฐานหนึ่ง และเมื่อปกิบัติไปแล้วท่านทั้งหลายก็จะเห็นผล อัศจรรย์ได้ด้วยตัวเอง อย่างรวดเร็ว เป็นปัจจัตตัง เฉพาะตน

    ถ้ากำลังใจสูงขึ้นก็ขอให้ทรงในพุทธานุสติ สามชั้นคือ ทรงพุทธนิมิตรไว้บนศีรษะหนึ่งองค์ ในศีรษะหนึ่งองค์ และภายในอกของเราหนึ่งองค์ จึงได้ชื่อว่าทรงอารมณ์ในพุทธานุสติ พระสามฐาน เป็นเครื่องผูกจิตให้ยิ่งมั่นคงอยู่ในพุทธานุสติได้อย่างมั่นคงไม่คลาดไปได้

    ขอให้ลองปฏิบัติกันตามกำลังใจที่เราทำได้โดย ไม่หนักเกินไป ไม่เบาเกินไป จนหย่อนยาน

    ขอกราบโมทนาในบุญแห่งผู้ตั้งใจปฏิบัติด้วยเทอญ
     
  13. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,682
    ค่าพลัง:
    +51,931
    *** ทางแก้ **** คือ ธรรมะ... "พึ่งโลกุตตระ และ สัจจะธรรม"...สุดท้ายแล้ว จะจบลงด้วย "สัจจะ" - " หนุมาน ผู้นำสาร "
     
  14. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,682
    ค่าพลัง:
    +51,931
    *** ที่สุดหามิได้ **** โลกุตตระ กล่าวไว้ว่า " โคตรของปฏิหาริย์ คือ สัจจะ " - " หนุมาน ผู้นำสาร "
     
  15. กัลคี

    กัลคี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มกราคม 2007
    โพสต์:
    101
    ค่าพลัง:
    +568
    เสียชีพอย่าเสียสัตย์
     
  16. NuJanBaBor

    NuJanBaBor เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    440
    ค่าพลัง:
    +1,861
    ถ้าเรามีความตั้งใจในการปฏิบัติ เป็นคนดี รักษาศีล

    แล้วถ้าเรายังไม่เก่งในเรื่องการฝึกสมาธิ ยังไม่ถึงกับขั้นสูง
    ได้แค่พื้นฐาน แล้วเราจะปลอดภัยป่ะค่ะ
     
  17. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    ปลอดภัยครับ

    สมาธิ พลังจิต ต่างๆนั้น ที่จริงไม่มีใครเก่งกันมาตั้งแต่เกิดครับ น้อยท่านมาก

    ส่วนใหญ่เกิดจากการฝึกฝน ความสนใจ รวมถึงสิ่งที่เราเคยสร้าง เคยบำเพ็ญมาในอดีตชาติครับ (ถึงเวลาจะรู้ได้ด้วยตนเอง)

    น้องๆเด็กๆ หลายๆคนในเวบนี้ถือว่าโชคดี และเก่งกว่ารุ่นเก่าๆเยอะครับ
    เข้ามาในทางธรรมกันตั้งแต่อายุยังน้อย มีทางก้าวหน้าได้อีกมาก แถมยังอยู่ในเกณฑ์การได้อภิญญาใหญ่อีกด้วย

    ขอให้รักษาใจของเราให้ใสบริสุทธิ์ไว้
    เจริญเมตตาพรหมวิหารสี่ให้มาก
    สร้างความศรัทธาในพระพุทธเจ้า และพระรัตนไตรให้ยิ่งขึ้นไป

    รับรองว่าปลอดภัยครับ
     
  18. boko0121

    boko0121 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2006
    โพสต์:
    1,612
    ค่าพลัง:
    +7,736
    ได้แค่ขนาดนี้ก็ปลอดภัยแล้วครับ
     
  19. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    กลับมาฝึกจิตกันต่อครับ

    ให้เราเริ่มด้วยการจับลมสะบาย จนใจเราสงบระงับสะบาย แล้วจึงตั้งจิตอยู่ใน พุทธานุสติ ด้วยการจับภาพพระ เป็นพุทธนิมิตร แล้วจึงน้อมจิตระลึกถึงคุณพระธรรม คุณพระอริยสงฆ์ตามลำดับ

    จากนั้นให้ทำใจของเรา ตัดความกังวล ใดๆออกไปจากจิตใจเราให้หมดไม่ว่าจะเป็นเรื่องตัวเรา เรื่องงาน เรื่องที่บ้าน ทิ้งไปโดยตั้งใจว่าขณะนี้เราจะทำความดีของจิต เราจะไม่สนใจให้มีเรื่องราวใดๆในจิต

    ทำอารมณ์ให้ทรงศีล โดยการพิจารณาในศีลห้า หรือศีลแปด หรือกรรมบทสิบก็ตามแต่ กำลังและความศรัทธา แต่จุดสำคัญคือให้พิจารณาว่า ในขณะที่เรากำลังทำความดีอยู่นี้
    เรามีศีลที่บริสุทธิ์
    ขณะนี้
    เราไม่ได้ฆ่าสัตว์
    เราไม่ได้ลักทรัพย์
    เราไม่ได้ประพฤติผิดในกาม
    เราไม่ได้พูดจาโกหก
    เราไม่ได้ทำลายสติ ไม่ได้ดื่มสุราเมรัย

    เรามีศีลที่บริสุทธิ์ (แม้เพียงในขณะนี้) และจะพยายามรักษาให้ได้มากที่สุดตลอดชีวิต

    แล้วให้พิจารณา ในคุณธรรมแห่งพรหมวิหารสี่ว่า

    เรามีความเมตตาต่อมวลสรรพสัตว์ทั้งหลายอยู่เต็มเปี่ยมในหัวใจของเรา

    เราปรารถนาให้ผู้อื่นมีความสุข

    เราปรารถนาให้ผู้อื่นพ้นจากความทุกข์ที่ประสบอยู่

    เรายินดีที่ท่านผู้อื่นมีความสุข

    และเราจะไม่ทุกข์ใจถ้าไม่สามารถช่วยเหลือผู้อื่นได้เนื่องจากเกินกำลังของผลแห่งกรรมนั้น เราจะวางอุเบกขาได้อย่างตั้งมั่นไม่หวั่นไหว

    จากนั้นให้พิจารณา จิตของเราว่า สิ้นนิวรณ์ห้าประการ อันเป็นเครื่องปิดกั้นความดีของใจ

    เมื่อจิตใจของเราผ่องแผ้วดีแล้ว ค่อยน้อมใจของเราขึ้นสู่ "วิปัสสนาญาณ" อันเป็นเครื่องขัดเกลาชำระล้างกิเลสออกไปจากขันธสันดาน เพื่อให้จิตของเราบริสุทธิ์ปล่อยวางจาก ความยึดมั่นในชาติภพ การเวียนตายเวียนเกิด และการติดในขันธ์ห้า ร่างกาย ทั้งของเราเองและของผู้อื่น

    ขอให้น้อมจิตเข้าสู่วิปัสสนาญาณ ณ บัดนี้

    ใช้ใจเราสัมผัส ในห้วงแห่งสังสารวัฏของการเวียนว่ายตายเกิด สรรพสัตว์ทั้งหลาย นับประมาณไม่ได้ ล้วนแหวกว่ายอยู่ในทะเลทุกข์ที่ไร้ฝั่ง ไร้จุดหมาย เกิดแล้วตาย ตาย แล้วเกิด ไม่มีที่สิ้นสุด

    เมื่อได้ไปเกิดในสุขคติภูมิที่มีความสุข มีทิพยสถานอันเป็นความสุข ความสะบาย ใจก็เกิดกำหนัดเพลิดเพลินไปใน ความสุข ความสะบายทั้งหลายเหล่านั้น โดยหารู้ไม่ ว่าเมื่อหมดจากบุญที่เป็นกุศล จิตก็ต้องพลัดลงไปจุติในอบายภูมิด้วยอำนาจแห่งอกุศลกรรม ด้วยเช่นกัน

    ครั้น พลาดพลั้งลงไปเกิดในอบายภูมิ อันมีนรกเป็นต้น กาย ใจ ก็ร้อนรุ่ม ด้วยความทุกข์ เพลิงทุกข์ที่รุมเร้า โดยปราศจากกาลเวลาในกาลพัก การผ่อน เสวยแต่ความทุกข์ตราบจนสิ้นกรรม จึงได้มาเกิดไล่ขึ้นมาจากนรกภูมิ สู่ ภพแห่งอสุรกาย เปรต สัตว์เดรัจฉาน จนกว่าจะกลายมาเป็นมนุษย์

    ครั้นได้เกิดเป็นมนุษย์แล้วไซร้
    โอกาสแห่งการเกิดทันในยุคที่ปรากฏพระพุทธศาสนา นั้นยิ่งเป็นเรื่องยากยิ่งกว่ายาก

    และถึงแม้ได้เกิดในยุคที่มีพระพุทธศาสนาแล้ว โอกาสที่จะนับถือพระพุทธศาสนาก็ยังเป็นเรื่องยาก

    เมื่อได้นับถือพระพุทธศาสนาแล้ว โอกาสที่จะได้ปฏิบัติตามพระธรรมคำสั่งสอน ของพระพุทธเจ้าก็นับว่าทำได้ยาก

    ถึงแม้เป็นผู้ปฏิบัติธรรมตามคำพระศาสดาแล้ว ก็ตาม โอกาสที่จะสัมผัส หรือเข้าถึงธรรม เข้าใจในธรรมอย่างถูกต้อง เป็นสัมมาทิษฐิ สัมมาสมาธิ สัมมาปัญญา ก็ยิ่งนับว่าเป็นเรื่องยากยิ่งกว่า

    ดังนั้นท่านทั้งหลายผู้ประกอบไปด้วยความเข้าในธรรมที่องค์พระประทีปแก้วได้ทรงตรัสไว้ดีแล้วนั้น ก็ย่อมนับได้ว่า เป็นผู้ที่ได้ บำเพ็ญความดี บารมีมาแล้วในกาลก่อน เป็นบุพเพกตบุญตา กำลังใจในการทำความดี ทั้งเพื่อความหลุดพ้นของตนเองก็ดี ปฏิปทาสาธารณะ ประโยชน์ก็ดี ท่านทั้งหลายล้วนแล้วแต่ทำด้วยความเต็มใจ ความตั้งใจ และความเสียสละ

    ความลำบาก ความเหนื่อยยาก ความทุกข์ของตนเองนั้น เป็นสิ่งที่สิ่งมีชีวิตทุกชีวิต ล้วนทั้งเกลียดทั้งกลัว ทั้งหลีกเลี่ยง แต่ท่านทั้งหลายล้วนบำเพ็ญไปด้วยใจที่เปี่ยมด้วยเมตตาจิต อันเป็นเครื่องแสดงว่า พรหมวิหารสี่ของท่านมีบริบูรณ์ ความไม่สนใจในอาการความเหนื่อยยากของร่างกาย อันเป้นเครื่องแสดงถึงจิตที่ค่อยๆปล่อยวางจากความยึดมั่นถือมั่นในร่างกายขันธ์ห้าของทุกๆท่าน คลายตัวลง จืดลง ใจของท่านทั้งหลายก็ย่อมมีความบริสุทธิ์ผ่องใสเป็นปรกติ

    ชีวิตเรานั้นไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแก่ และความตายไปในที่สุด

    ยิ่งในปัจจุบัน ความแปรปรวน ในโลกมีมาก กว่าในอีกหลายยุค ความไม่เที่ยงแห่งชีวิตสังขารนี้ก็ยิ่ง ประมาทไม่ได้ดังนั้น เราจึงควรไม่ประมาทในความตาย เพราะความตายเป้นของเที่ยง ทุกคนต้องตาย แต่ชีวิตเป็นของไม่เที่ยง เพราะ เราไม่รู้ว่าเราจะตายเวลาไหน วันใด รู้แต่ว่าเราต้องตายแน่นอน

    เมื่อพิจารณาได้ดังนี้แล้วให้ย้อนกลับไปมองในสังสารวัฏการเวียนว่ายตายเกิดว่าเราเบื่อการเวียนว่ายตายเกิดไม่รู้จบแบบนี้แล้วหรือยัง

    หากแม้น เราปรารถนาเป็นสาวกภูมิ บังเกิด นิพพิทาญาณในความเบื่อหน่ายคลายจางในภพในชาตินี้ ก็ขอจงอธิฐานใจให้มั่นคงเพื่อพระนิพพานเป็นที่สุดเถิด พระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธ์ปรินิพพาน เช่นใด ข้าพเจ้าขอตามเสด็จพระพุทธชินสีห์ด้วยอาการนั้น

    หากแม้นจิตท่านทรงความปรารถนาในสัมมาสัมโพธิญาณ เพื่อความเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตกาลภายภาคหน้า ก็ขอได้ใช้ใจดล ดูว่าเหล่าสัตว์น้อยใหญ่ที่แหวกว่ายอยู่ในทะเลทุกข์นั้นมีจำนวนมากน้อยเพียงใด ในทั้งหมื่นโลกธาตุ อนันตจักรวาล ไร้ขอบเขต

    ที่พลัดที่พรากตกลงสู่อบายเป็นที่ไปต้องประสพแต่ทุกข์แสบร้อนทั้งกายทั้งใจ มีมากเท่าไหร่

    ที่ลุ่มหลงมัวเมา เห็นกงจักรเป็นดอกบัวมีประมาณเท่าไหร่

    เมื่อพิจารณาแล้ว เหล่าผู้ปรารถนาพุทธภูมิ ย่อมพึงบังเกิด เมตตาอัปปันณานญาณว่า "เรานี้ปรารถนาให้มวลสรรพสัตว์เหล่านี้ ไม่มีที่สุดไม่มีประมาณได้หลุดพ้นจากความทุกข์ทั้งหลาย ทั้งปวง ประสพแต่ความสุข พ้นภัยจากวัฏสงสาร และสัมผัสพระนิพพานอันเป็นบรมสุขด้วยเถิด"

    ครั้นแล้ว เหล่าพุทธภูมิทั้งหลายก็ล้วนยกจิตของตนขึ้นสู่ความเป็นพระโพธิสัตว์ด้วยประการฉะนี้ จิตเปี่ยมไปด้วยความเมตตาอันเป็นทิพย์หล่อเลี้ยงดวงจิตให้อิ่มเอิบ บรรเทิงในการสร้างบารมีทั้งสามสิบประการให้เอกอุ เพื่อเป็นกำลังในการนำพาสรรพสัตว์ทั้งหลาย ได้ข้ามฝั่งมหรรณพแห่งกรรม นำเข้าสู่พระนิพพาน

    เมล็ดพันธุ์แห่งโพธิจิต งอกงามในดวงจิต ของพระโพธิสัตว์ทั้งหลายก็ด้วยอาศัย เมตตาธรรมเป็นเครื่องหล่อเลี้ยงให้งอกงาม ฉันใด การสร้างบารมี ก็ยิ่งสมบูรณ์ตั้งมั่นยิ่งขึ้น ในทุกครั้งที่สร้างบารมี ในทุกครั้งที่ลงมาจุติเพื่อส่วนรวม ตราบจนบรรลุถึงซึ่งสัมมาสัมโพธิญาณเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตกาลภายภาคเบื้องหน้าทุกพระองค์

    จิตปล่อยวางจากกาย ใจยึดมั่นในธรรม นำหลักชัยในพระพุทธองค์ มั่นคงในพระนิพพาน

    ขอกราบโมทนาในทุกดวงจิตที่ยกขึ้นสู่ความเป็นพระโพธิสัตว์ และในทุกดวงจิตที่ปรารถนาให้เข้าถึงพระนิพพานชาตินี้ทุกๆท่านครับ

    สาธุ........
     
  20. boko0121

    boko0121 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2006
    โพสต์:
    1,612
    ค่าพลัง:
    +7,736
    พี่kananunเก่งหลายด้านเนอะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...