การล่มสลายอย่างฉับพลันของอาณาจักร "มู" และ อาณาจักร "แอตแลนติส"

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย Ajarn Pithak, 4 มีนาคม 2011.

  1. Ajarn Pithak

    Ajarn Pithak เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    1,367
    ค่าพลัง:
    +2,126
    การล่มสลายอย่างฉับพลันของอาณาจักร "มู "และ อาณาจักร "แอตแลนติส"
    [​IMG]


    ''''''''''จากการถอดความจารึกแห่งนาอะคัล จารึกมายา-จารึกโตรอาโน จารึกโคเด็ก และคำบอกเล่าที่สืบทอดมาในส่วนอดีตของนักปราชญ์ต่างๆ ทำให้พันเอกเจมส์ เชอร์ชวาร์ด เขียนบรรยายถึงทวีปมูในอดีต ซึ่งจมหายสาปสูญไปโดยฉับพลันโดนธรณีพิบัติภัย ดังนี้

    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]


    ''''''''''ทวีปมู เป็นประเทศที่มีอาณาเขตอันกว้างไกล ที่แผ่ขยายตั้งแต่ตอนเหนือของฮาวายถึงตอนใต้ อาณาเขตทางตอนใต้ของทวีปนี้คือ หมู่เกาะอีสเตอร์ และฟิจิ มีระยะทางจากทิศตะวันออกถึงทิศตะวันตกกว่า ๘,๐๐๐ กิโลเมตร จากทิศเหนือถึงทิศใต้ มีระยะทางกว่า ๔,๘๐๐ กิโลเมตร ทวีปนี้ประกอบไปด้วยผืนดิน ๓ ผืน ที่ถูกแบ่งออกจากันด้วยช่องแคบหรือทะเล

    ''''''''''เราพบเห็นเพียงผืนน้ำและผืนฟ้า"* แลุหมู่เกาะเล็ก ๆ ซึ่งรู้จักในนาม หมู่เกาะทะเลใต้

    มันเป็นประเทศในเขตร้อน "สวยงาม"** มี "ที่ราบอันกว้างใหญ่ไพศาล"*** หุบเขาถูกปกคลุมไปด้วยหญ้าและทุ่งสำหรับเพาะปลูก ในขณะที่ "เนินเขาที่ทอดต่ำ"**** ก็ถูกปกคลุมไปด้วยพืชผักเมืองร้อนที่อุดมสมบูรณ์ยิ่ง


    * บันทึกลาซา (บันทึกของชาวธิเบต)

    **จารึกแห่งหมู่เกาะอิสเตอร์
    ***บันทึกกรีก
    ****แผ่นบันทึกหลายฉบับ


    ''''''''''แผ่นดินอันอุดมสมบูรณ์นี้ ถูกต้องด้วยสายน้ำที่ไหลเรื่อยเป็นลำธาร และแม่น้ำหลากหลาย สาย ก่อให้เกิดเส้นสายของน้ำอันคดเคี้ยว ที่ให้ความสวยงามอย่างประหลาดรอบ ๆ เนินเขาที่เต็มไปดด้วยต้นไม้ใบหญ้า

    ''''''''''รวมทั้งตัดผ่านทั่วทั้งที่ราบอันอุดมสมบูรณ์ พฤกษชาติ อันงดงามได้ปกคลุมผืนแผ่นดินด้วยเส้นใยอันนุ่มสีเขียว ที่ดูแล้วสบายตาสบายใจยิ่งนัก ดอกไม้ที่มีกิ่นอมอวล และสีสันสดใสช่วยแต่งแต้มสีให้กับหมู่มวลต้นไม้ ต้นปาล์์ม ที่สูงสง่า

    ''''''''''แม่น้ำได้ทอดตัวออกเป็นทะเลสาบที่มี "ดอกบัว"* ศักดิ์สิทธิ์ นับหมื่น นับแสนรายล้อมอยู่โดยรอบ ประดับประดาผิวน้ำที่เป็นประการดุจดั่งอัญมณีหลากสีที่ล้อมรอบผืนน้ำสีเขียวมรกต

    ''''''''''เหนือแม่น้ำที่ไหลเย็น สีเสื้อ ปีกฉูดฉาดโผผินอยู่ตามเจาของต้นไม้ ขยับปีกขึ้นลงราวกับการเคลื่อนไหวของเทพยาดา มันทำเช่นนี้ราวกับว่าจะยลโฉมสีสันความงามของตนบนกระจกแห่งธรรมชาติ โผจากดอกไม้อกหนึ่งไปยังอีกดอกหนึง นกฮัมมิงเบิร์ด บินโฉบในระยะสั้น ส่องแสงเป็นประกายราวกับอัญมณีที่มีชีวิตภายใต้แสงของดวงอาทิตย์**



    ''''''''''นกน้อยขับขานประสานเสียงอ่อนหวานแข่งกันตามสุมทุมพุ่มไม้*** เสียงขับขานอันสดใสของจิ้งหรีดล่องลอยอยู่ในอากาศ ขณะที่เสียงลับ กรรไกรของตั้งแตดังแหวกอากาศขึ้นมาเพื่อจะบอกให้โลกรู้ถึงความเป็นไปของมัน

    ''''''''''ช้างดึกดำบรรพ์ และฝูงช้างป่าต่างท่องเที่ยวไปในป่า ในยุคแรก พร้อมทั้งสะบัด หูไปมาเพื่อขับไล่แมลงที่มารบกวน****

    *จากจารึกหลายฉบับ
    **บันทึก เอสเอ
    ***จารึกแห่งหมู่เกาะอิสเตอร์
    ****บันทึกอินเดียและมายา



    ''''''''''ทวีปอันยิ่งใหญ่ คับคั่งไปด้วยชีวิตที่ร่าเริงและมีความสุขโดยมีมนษย์ กว่า ๖๔,๐๐๐,๐๐๐ คน เป็นผู้ปกครองสูงสุด*

    ''''''''''ทุกชีวิตอาศัยร่วมกันอย่างมีความสุขบนบ้านอันยิ่งใหญ่ ที่สวยสดงดงาม "ถนนหนทางอันกว้างใหญ่และราบเรียบ ทอดยาวไปทุกทิศทางราวกับเส้นของไยแมงมุม แผ่นหินที่นำมาสร้างถนน นั้นช่างราบเรียบ และชิดติดกันจนต้นหญ้าไม่สามารถเล็ดลอดระหว่างแผ่นหินได้"**

    ''''''''''ในขณะนั้นประชากรทั้ง ๖๔,๐๐๐,๐๐๐ คน ประกอบไปด้วยผู้คน ๑๐ เผ่าพันธุ์ หรือ ๑๐ กลุ่ม แต่ละเผ่าแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง แต่อยู่ภายใต้ การปกครองเดียวกัน***

    ''''''''''หลายชั่วอายุคนก่อนหน้านี้ ผู้คนได้เลือกกษัตริย์และได้ตั้งชื่อของพระองค์ โดยมีชื่อ รา เป็นชื่อหน้า จากนั้น พระองค์ได้กลายเป็นผู้นำที่มีอำนาจศักดิ์์สิทธิ์ และองค์จักรพรรดิภายใต้ชื่อ รามู**** และจักรวรรดิได้รับสมญานามว่า ราชอาณาจักรแห่งดวงอาทิตย์

    ''''''''''ทุกคนในราชอาณาจักรนับถือศาสนาเดียวกัน ซึ่งบูชาอำนาจพระผู้เป็นเจ้าผ่านสัญลักษณ์ ต่างเชื่อในความเป็นอมตะของดวงวิญญาณที่ว่า ดวงวิญญาณจะกลับไปสู่แหล่งอำนาจอันยิ่งใหญ่ที่จากมาในที่สุด*****

    ''''''''''สิ่งที่ยิ่งใหญ่คือ ความเคารพนับถือต่อพระผู้เป็นเจ้าที่พวกเขามี พวกเขาไม่เคยแม้แต่จะเอ่ยพระนามของพระองค์ ในบทสวดมนต์และในบทภาวนา พวกเขาจะอ้างถึงพระผุ้เป็นเจ้าโดยใช้สัญลักษณ์ รา ผู้เป็นเทพแห่่งดวงอาทิตย์ ได้เป็นคำที่ถูกใช้แทนพระองค์ในทุกโอกาส*******

    * แผ่นจารึกโตรอาโน (จารึกจากมายา)
    **จารึกแห่งหมู่เกาะอิสเตอร์
    ***แผ่นจารึกโตรอาโน
    ****บันทึกลาซา และอื่น ๆ
    *****บันทึก ลาซา และอื่น ๆ
    ******บันทึก มายา และอื่น ๆ




    ''''''''''ในฐานะนักบวชผุ้สูงศักดิ์ รามู เป็นตัวแทนของพระผุ้เป็นเจ้าในการสอนศาสนา เป็นที่ชัดเจนและเข้าใจกันว่า รามู เป็นเพียงตัวแทน และจะไม่ได้รับการบูชาเสมือนพระผู้เป็นเจ้า

    ''''''''''ในขณะนั้น ประชากรแห่งมู มีอารยธรรมที่เจริญรุ่งเรือง และทุกคน มีความรู้แจ้ง ไม่เคยมีความป่าเถื่อน ปรากฏให้เห็น เนื่องด้วยผู้คนทุกเผ่า เป็นบุตรแห่งมู และต่างก็อยู่ภายใต้อธิปไตย เดียวกันของแผ่นดินแม่ เชื้อชาติที่โดดเด่นในแผ่นดินมู เห็นจะเป็นชนชาติผิวขาว ผุ้ที่มีความงดงามเกินกว่าชนชาติใด เป็นผู้ซึ่งมีผิวพรรณสีขาวหรือสีมะกอก พร้อมด้วยดวงตากลมโตสีเข้ม และผมสีดำตรง นออกจากชนชาตินี้แล้วยังมีชนกลุ่มอื่นอีกที่มีผิวพรรณแตกต่างกันไป ไม่ว่าจะเป็นสีเหลือง น้ำตาล หรือผิวสีเข้ม อย่างไรก็ตาม ไม่มีใครมีอำนาจเหนือใคร*

    ''''''''''พลเมืองโบราณแห่งมู นี้เป็นนักเดินเรือผู้ยิ่งใหญ่ ผู้ซึ่งเดินเรือจากฝั่ง ตะวันออกสู่ฝั่งตะวันตก ของมหาสมุทร และจากทะเลเหนือสู่ทะเลใต้ นอกจากนั้นพวกเขายังเป็นสถาปนิก ผู้เชี่ยวชาญที่สร้างอารามอันยิ่งใหญ่และพระราชวังหิน** พวกเขาสลักและก่อตั้งแท่งหินให้เป็นอนุสาวรีย์

    ''''''''''ในดินแดนแห่ง มู นี้ มีเมืองที่เป็นหลักสำคัญอยู่ ๗ เมือง เมืองซึ่งเป็นที่รองรับศาสนา ศาสตร์ และการเรียนรู้อื่นๆ*** นอกจากนี้ยังมีเมืองใหญ่และหมู่บ้านกระจายอยู่ทั่วผืนแผ่นดินทั้ง ๓ เมืองหลายแห่งถูกสร้างขึ้นบริเวณปากแม่น้ำใหญ่ที่มีอยู่หลายสาย แม่น้ำเหล่านี้เป็นแหล่งค้าขาย แลกเปลี่ยน และการพานิชย์ เนื่องจากเป็นที่มีซึ่งมาจากทุกส่วนของโลกแล่นผ่านผืนแผ่นดิน มู เป็นแหล่งกำเนิด และเป็นศูนย์กลางของอารยธรรมความเจริญรุ่งเรืองของโลก รวมทั้งความรู้ต่างๆ การค้า และการพานิชย์ ประเทศอื่นๆในโลกล้วนแล้วแต่เป็นอาณานิคมของ มู

    * แผ่นจารึกโตรอาโน ,โคเด็กซ์ คอร์เตซิอานุส และอื่นๆ
    ** วัลมิกิ
    *** บันทึกลาซา



    ''''''''''ตามหลักฐานที่ปรากฏในบันทึก แผ่นจารึก และประเพณี การถือกำเนิดของมนุษย์นั้นเกิดขึ้นบนดินดินแห่งมู และด้วยเหตุนี้ มู จึงมีอีกชื่อหนึ่งคือ แผ่นดินแห่งกุย(Land of Kui)* อารามหินปราศจากหลังคาที่ถูกสลักอย่างสวยงามประดับประดาเมืองทั่วไป ความไม่มีหลังคานี้ มีจุดประสงค์เพื่อให้รังสีแห่ง รา สาดส่องลงมายังศรีษะของผู้สวดภาวนาแสงที่สาดส่องนี้เป็นสัญลักษณ์แห่งการยอมรับ โดยพระผู้เป็นเจ้า บุคคลผู้มั่งคั่ง ประดับประดาตนด้วยเครื่องแต่งกายที่เต็มไปด้วยอัญมณีและหินสีล้ำค่า พวกเขาอาศัยอยู่ในพระราชวังอันสง่างาม ที่เต็มไปด้วยคยรับใช้มากมาย** ดินแดนที่เป็นเมืองขึ้นได้เริ่มมีขึ้นทั่วทั้งผืนโลก

    ''''''''''ในการที่เป็นผู้เดินเรือที่ยิ่งใหญ่ เรือของพวกเขาได้บรรทุกผู้โดยสารและสินค้าจากดินแดนเมืองขึ้นต่างๆอย่างสม่ำเสมอ*** พลบค่ำอันแสนเย็นสบาย เราจะพบเห็นเรือสำราญที่เต็มไปด้วยสุภาพบุรุษสุภาพสตรีที่แต่งกายด้วยเสื้อผ้าอันหรูหรา ประดับประดาไปด้วยอัญมณี กรรเชียงอันยาวของเรือเพิ่มจังหวะให้กับเสียงเพลงและเสียงหัวเราะอย่างมีความสุขของผู้โดยสาร

    ''''''''''ในขณะที่ผืนแผ่นดินอันยิ่งใหญ่แห่งนี้กำลังพุ่งสูงสุด เป็นศูนย์กลางของอารยธรรม ความรู้ การค้า และการพานิชย์ พร้อมด้วยวิหารหินอันยิ่งใหญ่และอนุสาวรีย์ที่ได้ถูกสร้างขึ้น**** การมาเยืยนของความกลัวได้ไล่ตามมาติดๆ


    * แผ่นจารึกโตรอาโน และอักขระอื่นๆ
    ** บันทึกลาซา
    *** วัลมิกิ
    **** ซากร่องรอยบนหมู่เกาะ



    ''''''''''เสียงคำรามดังกระหึ่มจากใต้โลก ติดตามด้วยแผ่นดินไหวและภูเขาไฟที่เริ่มระเบิดจากส่วนใต้ของแผ่นดินทางชายฝั่งด้านใต้* มีคลื่นลูกใหญ่ม้วนตัวจากมหาสมุทรเข้ามาปกคลุมแผ่นดิน ผืนน้ำกลืนเมืองหลายเมืองให้จมดิ่งลงไป ภูเขาไฟพ่นไฟ ควัน และลาวาออกมา แต่ลาวาไม่ได้ไหลไป กลับทับถมกันจนเป็นรูปกรวย มียอดที่แหลมสูง ซึ่งกลายเป็นบริเวณส่วนหนึ่งของเกาะแถบทะเลใต้ในปัจจุบัน** ในที่สุดการระเบิดก็ได้สงบลงภูเขาไฟมอดดับและอยู่ในความสงบตั้งแต่บัดนั้นมา

    ''''''''''หลังจากการระเบิดได้สงบลง ประชากรของแผ่นดิน มู จึงค่อยๆผ่านพ้นจากความหวาดกลัว เมืองที่ปรักหักพังได้ถูกสร้างขึ้นมาใหม่ การค้าและการพานิชย์ได้เริ่มขึ้นอีกครั้ง กาลเวลาได้ผ่านไปหลายรุ่น จนเหตุการณ์อันน่าหวาดกลัวนั้นได้กลายเป็นประวัติศาสตร์ แผ่นดิน มู ต้องตกเป็นเหยื่ออีกครั้งหนึ่งในเหตุการณ์แผ่นดินไหว ผืนดินไหว ทวีปทั้งทวีปม้วนตัวราวกับคลื่นของมหาสมุทร แผ่นดินสั่นไหวสะท้านสะเทือนราวกับใบไม้ของต้นไม้ที่อยู่ท่ามกลางพายุ วิหารและพระราชวังพังราบลงสู่พื้นดินอนุสาวรีย์และรูปปั้นคว่ำทลายลง เมืองหลายเมืองกลายเป็นกองของซากปรักหักพัง***

    ''''''''''ขณะที่แผ่นดินสั่นสะเทือนขึ้นลงนั้น ไฟจากเบื้องล่างได้ระเบิดขึ้น เปลวไฟลุกพุ่งสู่มวลเมฆ ด้วยเส้นผ่านศูนย์กลางกว่า ๔.๘ กิโลเมตร**** เปลวไฟได้บรรจบกับลำแสงของสายฟ้าที่มีอยู่ทั่วทั้งท้องฟ้า ควันหนาสีดำปกคลุมทั่วทั้งแผ่นดิน คลื่นลูกใหญ่ม้วนตัวสู่ชายฝั่ง***** และขยายตัวสู่ที่ราบ


    * เกาะอีสเตอร์ และหมู่เกาะอื่นๆ
    ** เกาะอีสเตอร์ และหมู่เกาะอื่นๆ
    *** แผ่นจารึกโตรอาโน,โคเด็กซ์ คอร์เตซิอานุส และบันทึกลาซา
    **** ฮาวาย เกาะนิอัวฟู(Niuafou) และอื่นๆ
    ***** บันทึกกรีก

    '''''''''''เมืองและสิ่งมีชีวิตถูกทำลายไปต่อหน้าต่อตา เสียงร้องไห้ อันเจ็บปวดทรมานของผุ้คนมากมายดังไปทั่วบริเวณ พวกเขาต่างหาที่หลบภัยตามวิหารและป้อมต่าง ๆ แต่ก็ต้องพบกับเปลวไฟ และกลุ่มควัน สุภาพบุรุษและสุภาพสตรีในเครื่องแต่งกายที่หรูหรา ประดับประดาด้วยอัญมณีต่างเป็นร้องเป็นเสียงเดียว "มู ช่วยชีวิตพวกเราด้วย"*

    ''''''''''ดวงอาทิตย์แสดงตัวที่ขอบฟ้าภายใต้กลุ่มที่ปกคลุมผืนแผ่นดินดวงอาทิตย์ช่างดุราวกับลุกไฟสีแดงดวงใหญ่ที่กำลังเผาผลาญด้วยความโกรธ เมื่อดวงอาทิตย์ได้ลับขอบผ้าไปแล้ว ความืดมิดจึงได้เข้าครอบงำ จะมีก้เพียงแต่แสงไฟที่มาจากแสงวูบวาบ ของสายฟ้า อันดัังกึกก้อง แผ่นดินผืนนี้ก็ถึงวาระที่จะจมดิ่งลงไปเรื่อย ๆ ลงไปสู่ปากทางแห่งนรกหรือถังแห่งไฟ
    ''''''''''ขณะที่แผ่นดินที่แหลกสลายจมลงสู่ห้วงเหวแห่งไฟนั้น เปลวไฟได้ ลุกล้อมรอบและหุ้มห่อแผ่นดินไว้*** เปลวไฟกำลังทวงสิทธิ์กับเหยื่อของมัน ซึ่งก็คือ ดินแดนมู และประชากรของเธอกว่า ๖๔,๐๐๐,๐๐๐ คน ที่ต้องสังเวยชีวิตให้กับไฟนี้ ****



    ''''''''''ขณะที่มู จม ลงสุ่อ่าวแห่งไฟนั้น พลังอำนาจ อีกอย่างหนึ่งก็ได้เข้ามาซ้ำเติม นั่นก็คือ ผืนน้ำกว่า ๘๐,๐๐๐,๐๐๐ ตารางกิโลเมตร ซึ่งเข้าถาโถมไปทั่วบริเวณ น้ำและไฟพบกันตรงบริเวณที่เคยเป็นศูนย์กลางของแผ่นดิน และที่ตรงนั้นเองที่เกิดการเดือนพล่าน


    *บันทึก ลาซา
    **แผ่นจารึก โคเด็กซ์ คอร์เตซิอานุส (แผ่นจารึกของมายา) และโตรอาโน
    ***บันทึก ไอยคุปต์
    ****แผ่นจารึก โตรอาโน


    ''''''''''มูดินแดนมาตุภูมิ ของมนุษยชาติ ด้วยเมืองทั้งหลายที่น่าภาคภูมิใจ พร้อมด้วยวิหาร พระราชวัง ศาสตร์ และศิลป์ของเธอได้กลายเป็นภาพความฝันในอดีต ผืนน้ำอันกว้างใหญ่ ทำหน้าที่ดังผ้าผืนใหญ่ ที่ห่อหุ้มดินแดน ไว้เบื้องล่าง ความหายนะของทวีปครั้งนี้ เป็นก้าวแรกของการเสื่อมสลาย ของอารยธรรม อันยิ่งใหญ่อารยธรรมแรกของโลก เป็นเวลาเกือบ ๑๓,๐๐๐ ปี ที่ความเสื่อมสลายของมูได้แผ่อำนาจปกคลุมพื้นที่ส่วนอื่น ๆ ของโลก

    ''''''''''แม้ว่าในบางส่วนจะดีขึ้น ก็ยังมีอีกหลายส่วนที่ยังคงได้รับผลกระทบอยู่ เมื่อทวีปได้แตกแยก ขาดสะบั้น และจมลง สันและยอดของแผ่นบางส่วนยังคงเหลืออยู่ให้เห็นเหนือผืนน้ำ นั่นทำให้เกิดเกาะและหมุ่เกาะทั้งหลายแตกแยก และมีลักษณะขรุขระเป็นเหลี่ยมแหลม เนื่องจากพลังภูเขาไฟ ที่ได้เกิดขึ้นภายใต้หมู่เกาะเหล่านั้น หมู่เกาะเหล่านี้ได้รองรับ มนุษยชาติ ที่หลบพนีจากดินแดนที่จมลงสู่พื้นน้ำ ดินแดนซึ่งพวกเขาเป็นเจ้าของ หรือดินแดนที่เป็นมาตุภูมิ ซึ่งได้กลายเป็นส่วนประกอบของผืนน้ำ ที่พลุงพล่านอยู่รอบ ๆ เกาะ

    ''''''''''หลังจากที่ได้กลืนผืนดินอันเป็นมาตุภูมิ ของมนุษยชาติ แล้วนั้น ผืนอันกว้างใหญ่ได้สงบนิ่ง ราวกับว่าพึงพอใจในผลงานอันร้ายกาจของตนและผืนน้ำที่ว่านี้ก็คือ มหาสุมทรปาซิฟิก ซึ่งมีความหมายถึง ความสงบ

    ''''''''''บนเกาะเหล่านี้ประชากรของมูที่รอดชีวิตได้มารวมตัวกัน รอคอย ให้เหตุการณ์แผ่นดินไหวอันเลวร้ายบรรเท่าลง พวกเขาเห็นวิหารและพระราชวัง เรือ และถนนของพวกเขาพังทลายลง และถูกกลืนกินโดยผืนมหาสมุทร ประชากรเกือบทั้งหมดถูกดูดกลืนไปกับความหายนะครั้งนี้ ประชากรจำนวนน้อยของมู ที่เหลือรอดชีวิต พบว่าพวกเขาอยู่ในสถานะที่สิ้นเนื้อประดาตัว และหมดสิ้นทุกสิ่งทุกอย่าง

    ''''''''''พวกเขาไม่มีอะไรเหลือ ไม่ว่าจะเป็นเครื่องมือต่าง ๆ ที่อยุ่อาศัย ผืนดิน และอาหารที่มีอยู่ก็มีเพียงน้อยนิด ล้อมรอบพวกเขาคือ ผืนน้ำที่กำลังเดือดพล่าน เบื้องบนคือกลุ่มเมฆหมอกอันหนาทึกที่ปประกอบไปด้วยด้วยไปน้ำ ควันไฟ และเถ้าถ่าน กลุ่มหมอกนี้ได้บนบังแสงสว่างจนหมดสิ้น ก่อให้เกิดความมืดมิดที่ยากจะทะลุ ผ่านได้ เสียงกรีดร้องอย่างสิ้นหวังของเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายที่ต้องปิดฉากชีวิตในเหตุการณ์ครั้งนี้ยังคงดังก้องอยู่ในโสตประสาทของผู้รอดชีวิต มันช่างเป็นภาพที่น่่ากลัวสำหรับพวกเขา

    ''''''''''ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขากำลังเผชิญกับความน่ากลัวอีกแขนงหนึ่ง นั่นก็คือ ความตายจากการอดอาหาร และการตกแดดตากลมเนื้อจากไร้ที่อยุ่อาศัย มีเพียงส่วนน้อยที่สามารถเอาชีวิตรอดจากความยากลำบากแสนสาหัสนี้ ผุ้คนส่วนมากเสียชีวิตอย่างน่าเวทนา

    [​IMG]

    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    ภาพวาดจินตภาพชาวทวีปมู สืบผ่านทางอารยธรรมมายา-ยูกาตัง(เม็กซิโก)

    ร่องรอยอารยธรรมทวีปมูในอดีต ที่พบในปัจจุบัน ณ สถานที่ต่าง ๆ

    [​IMG]
    ทวีปมู ที่ ตองกาตาบู

    [​IMG]
    บาสทิน

    [​IMG]

    [​IMG]
    โมอัย

    [​IMG]
    ไทเนียน

    [​IMG]
    xochi

    [​IMG]
    xochicalo

    [​IMG]
    uxmal(ยูกาตัง-เม็กซิโก)

    [​IMG]
    โตรอาโน-แผ่นจารึกโตรอาโน

    [​IMG]
    xochicalo

    [​IMG]
    สัญลักษณ์สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งสี่ของชาวนาอะคัล(naacal)หรือชาวทวีปมู
    ความรู้คำสอนทางจิตวิญญาณศาสนธรรมโบราณ :

    ''''''''ดวงจิตวิญญาณของมนุษย์นั้นคนๆหนึ่งนั้น มีชีวิตอยู่แล้วก็ตายไปจากชีวิตนั้น วนเวียนไปอยู่ชั่วกัลปวสาน มีเพียงความมืดเป็นฉากคั่นระหว่างจากชีวิตเก่าไปยังชีวิตใหม่"

    ''''''''หากคุณสูญเสีย พ่อ แม่ ญาติคนที่รัก สามี ภรรยา ...ฯลฯ คุณอย่าได้คร่ำครวญเสียใจฟูมฟาย ร่ำไห้ ตีอกชกตัวจนเกินไปนัก เพราะไม่นานคุณจะได้พบพวกเขาอีก

    ''''''''พลังงานของดวงวิญญาณเขาเหล่านั้นไม่เคยสิ้นสูญ วิญญาณเพียงแต่กลับไปรอฟื้นคืนพลังงานรอบใหม่ ณ จุดศูนย์กลางพลังงานของธรรมชาติจิตวิญญาณสากล แล้วก็กลับมาเกิดใหม่อีกเมื่อรอบใหม่มาถึง ด้วยอาศัยเหตุปัจจัย วิบาก วาสนา ที่เคยได้กระทำด้วยกันไว้เดิม คุณจะได้เจอผู้ที่เคยผูกพันใหม่ ในรูปแบบใหม่ รูปกายใหม่ และเงื่อนไขความสัมพันธ์ใหม่ ที่เกาะเกี่ยวสัมพันธ์กันไปในหมู่ญาติวงศ์ หรือผู้คนรอบข้าง เพื่อต่อเติมเต็มสิ่งที่ขาดหาย มีชะตากรรมวนเวียนประสบกันจนแทบไม่มีจุดสิ้นสุด"

    ''''''''เมื่อพลังงานของความเกี่ยวเนื่องใกล้ชิดผูกพัน ค่อยๆเลือนหายไป ดวงวิญญาณนั้นไปสู่ที่อื่นที่มีสัมพันธ์ ชาติแล้วชาติเล่า ไม่มีที่สิ้นสุด ทุกคนในโลกพ่อแม่เป็นพี่น้องกัน เป็นคำกล่าวที่คงไม่เกินเลยความจริงไป

    ''''''''มนุษย์ใช้ชีวิตมาแล้วไม่ถ้วน ชั่วกัลปวสาน ดวงจิตวิญญาณที่แสวงหาไปยังร่างกายต่างๆกัน ชีวิตแตกต่างๆกันแต่ละภพชาติ มนุษย์มิได้ทราบว่าเมื่อครั้งก่อนเคยเป็นอย่างไร ใช้ชีวิตอยู่ในช่วงไหนเวลาใดมาบ้าง แม้บางหนบางครั้งปรากฏเป็นภาพนิมิต บางครั้งเป็นภาพฝันแต่ก็มีสามารถชี้ชัดลงไปได้ว่าปมแห่งดวงจิตห้วงเวลานั้นๆที่ผันผ่านเป็นเช่นไร

    ''''''''*ดวงจิตวิญญาณ บางเวลา บางสถานที่ของโลกเรียกว่า อาตมัน คำว่า อาตมัน หรือ อาตมา รวมมาจากคำว่า อัตตา(ตัวตน) + มนะ(หรือ มนัส ใจ-มโน) แปลว่า ตัวตนที่มีใจครอง ของมนุษย์ทุกผู้ทุกนาม คือกระบวนการพัฒนาวิวัฒน์คุณธรรมทางจิตวิญญาณ ไปตามวิถีทางที่ควรจะเป็น เพื่อสู่พรหมัน หรือนิรวาณ หรือนิพพาน

    ''''''''ดวงจิตวิญญาณ เสมือนระลอกคลื่นในทะเล เมื่อประจักษ์แท้ความจริงแท้ว่า ตัวมันมิใช่ระลอกคลื่นทว่าเป็นส่วนหนึ่งแห่งมหานที สภาพไร้ตัวตน สภาพที่ไม่มีจุดเริ่ม จุดสิ้นสุด ไม่มีเสื่อมสลาย ห้วงมรรณพที่ไม่มีเกิด ไม่มีดับ ชั่วนิรันดร ดวงจิตวิญญาณนั้นย่อมพบทางถอดถอนออกจากการเกิด แก่ เจ็บ และตาย

    ภาพการค้นพบอารยธรรมโบราณ มหาปีรมิดใต้มหาสมุทร บริเวณมหาสมุทรแปซิฟิก

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]


    ชมภาพอื่นๆและเนื้อหาเพิ่มเติม http://www.crystalinks.com/pyrunderwater.html

    บางส่วนที่น่าสนใจของหนังสือ มู นครอันตธาน
    ที่ได้นำเนื้อหาบางส่วนลงไว้ก่อนหน้านี้แล้วข้างบน

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    สัญลักษณ์ศักดิ์สิทธิ์โบราณ-ความหมาย

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]


    อ่านต่อ :
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 มีนาคม 2011
  2. Ajarn Pithak

    Ajarn Pithak เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    1,367
    ค่าพลัง:
    +2,126
    ทวีปมู(Mu) หรือ รีมูเลีย(LeMUria)คือ นครอันตธานที่จมหายลงใต้ทะเลแปซิฟิกใต้เมื่อกว่า ๑๓,๐๐๐ ปี

    เราทั้งหลายได้รู้เรื่องราวจากจารึก นาอะคัล ที่ค้นพบในอินเดีย
    อันที่จริง จารึกแห่งนาอะคัลนี้ เขียนโดยสัญลักษณ์และอักขระนากา (Naga)
    จากตำนานกล่าวกันว่า"เขียนขึ้นที่แผ่นดินมู จารึกนี้ ได้ถูกนำเข้ามาที่พม่าก่อนแล้วจึงนำมาที่อินเดีย มีอายุเก่าแก่ประมาณ ๑๕,๐๐๐ ปี"


    จุดจบ คือจุดเริ่มต้น และ จุดเริ่มต้น ก็คือจุดจบ

    หลังจากจุดจบทวีปมู เป็นจุดเริ่มต้นใหม่ของอารยธรรมจุดต่างๆในโลกยุคหลังของผู้รอดจากภัยพิบัติ



    สายสัมพันธ์บรรพบุรุษ-กำเนิดแม่น้ำคงคา


    กำเนิดแม่น้ำคงคา

    '''''''''''''เริ่มต้นขอนำตำนานสำนวนหนึ่งของชาวอินเดียต่อแม่น้ำคงคา ลงมาก่อนครับ จากหนังสืออินเดีย แผ่นดินมหัศจรรย์ ผู้เขียนคือคุณอรุณ เฉตตีย์


    '''''''''''''ในอดีตนั้นมีฤาษีกปิละ ซึ่งบำเพ็ญเพียรอยู่บนภูเขาหิมาลัย อยู่มาวันหนึ่งพวกโอรสของท้าวสักกะกษัตริย์แห่งอโยธยา ออกตามม้าที่หายไป เมื่อมาพบม้ายืนอยู่ข้างพระฤาษี ก็เลยยัวะ ตะโกนด่าและแกล้งท่านต่างๆนานา จนท่านตบะแตก จ้องมองไปที่กลุ่มเจ้าชาย เกิดไฟเผาผลาญเจ้าชายกลายเป็นเถ้าถ่าน และสาปสำทับไว้ไม่ให้ไปผุดไปเกิด จนกว่าจะได้มีโอกาสสัมผัสกับแม่น้ำคงคา

    [​IMG]

    ฤาษีกปิละใช้ตาไฟเผาผลาญโอรสของท้าวสักกะ

    (บางตำราว่า ท้าวสคระ)

    ''''''''''''ต่อมาท้าวภคีรส ผู้สืบเชื้อสายจากท้าวสักกะปฐมกษัตริย์ซึ่งมีความเศร้าโศกเสียใจมากที่บรรพบุรุษของตนโดนสาปเช่นนั้น จึงบำเพ็ญตบะอย่างแรงกล้าเพื่อขอพรพระอิศวร(พระศิวะมหาเทพ)ให้ช่วยวิงวอนแม่น้ำคงคาให้ไหลหลั่งลงมาสู่แผ่นดินเป็นการชำระบาปของผู้ที่ต้องคำสาป และแล้วพระแม่คงคาก็เห็นใจ ยอมหลั่งสายน้ำจากเขาไกรลาสลงสู่พื้นดิน เพื่อชำระอัฐิของพวกโอรสและมนุษย์ทั้งหลายให้พ้นมลทิน....

    นี่คือ ตำนานกำเนิดสายน้ำคงคาอันศักดิ์สิทธิ์สำนวนหนึ่ง

    '''''''''''''และขอเพิ่มมุมมองอีกมิติโดยขอนำเสนอ”ต้นกำเนิดแม่น้ำคงคง”ในรูปแบบเชิงภาพยนตร์ถ่ายทำเชิงสารคดี ที่เป็นสารคดีที่ยอดเยี่ยมแห่งปี “ตามรอยพระพุทธเจ้า” เพื่ออรรถรสและมุมมองหลายหลายมุมมอง สามารถรับชมฟรีได้ที่นี่:http://hiptv.mcot.net/hipPlay.php?id=2147



    ที่มาของรูปภาพสวยๆของฤาษีกปิละนำมาจาก:

    http://www.sanatansociety.org/indian_epics_and_stories/the_life_of_ganga.htm

    การลอยกระทง เป็นวัฒนธรรมไทย ที่ได้รับสืบทอดมาจากวัฒนธรรมอินเดีย

    มาตั้งแต่สมัยโบราณช่วงยุคสุโขทัย หรืออาจก่อนหน้าการจดจารึกช่วงนั้น

    ในคติของโบราณของอินเดีย คือ เป็นการเคารพเห็นถึงคุณค่าของพระแม่คงคา คุณค่าประโยชน์ของน้ำหล่อเลี้ยงชีวิต

    เป็นการขอขมาต่อพระแม่คงคา ที่เคยทำสิ่งไม่ดีต่อแม่น้ำคงคา เป็นการลอยเคราะห์ลอยโศก

    งานลอยกระทง สิ่งที่ไม่ควรทำ คือ การเล่นประทัด เพราะอาจเกิดอันตรายได้

    ไม่ควรใช้วัสดุทำกระทงที่ทำมาจากโฟม เพราะย่อยสลายได้ยาก ควรใช้ใบตอง ต้นกล้วยจะเป็นการรักษาธรรมชาติ

    เล่ามาบางทีการ ลอยกระทง ตอนแรกสามารถเป็นไปได้ว่าเป็นส่วนหนึ่งของประเพณี*ก่อนกาล

    เป็นการระลึกถึงวิญญาณบรรพบุรุษของมนุษย์ที่สูญเสียไป

    นี้อาจเป็นคติชนที่มีสืบต่อกันมา...นานหลายศตวรรษ

    ของชาวอารยันที่รับวัฒนธรรมมาจากชาววีกูร์ ที่หลงเหลือ

    อาณาจักรวีกูร์ ที่ล่มสลายเมื่อประมาณ ๑๒,๐๐๐ เป็นส่วนหนึ่งของทวีปมู ที่ล่มสลายไปพร้อมกันกับทวีปแอตแลนติส



    ทวีปมู(Mu) หรือ รีมูเลีย(LeMUria) เป็นทวีปที่ตั้งอยู่บนทะเลแปซิฟิก

    จากจารึกที่อินเดียด้วยแผ่นดินเหนียวของนักบวชชาวนาอะคัล ที่ออกมาจากทวีปมู

    และจารึกโตรอาโนของชนเผ่ามายาที่ยูคาตังเม็กซิโก ทำให้ปัจจุบันนักโบราณคดีได้ทราบว่า:

    มีถิ่นอารยธรรมที่รุ่งเรืองทางวิทยาการ ศาสนา...ฯลฯ *ก่อนกาลของสุเมเรียนที่ไทกริส-ยูเฟตริส,*ก่อนกาลไอยคุปย์โบราณที่อิยีปต์ ..คือ ถิ่นที่ 'มู' ได้หยั่งรากของอาณาจักรแห่งแรกของเธอ

    ขอนำเข้าสู่ภาษา สัญลักษณ์ รหัสวิทยา ภาษาโบราณ บันทึกของทวีปมู

    เริ่มจากดอกบัว เป็นตัวแทนของทวีปนี้เสมอ และทุกที่ในอาณาจักร และอาณาจักรลูก

    [​IMG]

    ดอกบัวเป็นสัญลักษณ์ที่ใช้กันมานานประมาณ 50,000 -30,000 ปีมาแล้ว บนทวีปมู หมายถึง อาณาจักรมู

    สื่อเป็นภาษาภาพของอาณาจักร รวมสัญลักษณ์ตราราชวงศ์ และบางสิ่งที่ลึกซึ้งกว่านั้น คือศาสนธรรมโบราณ

    [​IMG]

    [​IMG]

    แผนที่โบราณ



    [​IMG]

    ท่านฤาษีวาลมิกิ(Valmiki) ผู้รจนารามายณะ หรือ รามเกียรติ์ นักปราชญ์ นักโบราณคดีของอินเดีย

    '...''''''ท่านวาลมิกิผู้ได้รับการถ่ายทอดเรื่องราวจากการอ่านบันทึกโบราณของวัด โดยนักบวชผู้สูงศักดิ์แห่งวัดริชี(Rishi) ที่เมืองอโยเดีย(Ayhodai) กล่าวถึงนักบวชนาอะคัลว่า" มาสู่พม่าจากแผ่นดินเกิดของพวกเขา ซึ่งอยู่ทางตะวันออก"

    '...''''''จากนั้นเหล่านักบวชนาอะคัล(Naacal)นำความรู้วิทยาการต่างๆ, ศาสนาโบราณ ,การบูชาเทพเจ้าดวงอาทิตย์มาสู่มายา-ไอยคุปย์(ตอนเหนือ)-อารยัน (ก่อนชาวอารยันเปลี่ยนชื่อเป็นวิษณุเทพเมื่อครั้งลงมาอยู่ชมภูทวีป) นักบวชนาอะคัลดังกล่าวเข้าสู่อินเดีย และไอยคุปย์อาณาจักรตอนเหนือ โดยการ เผยแพร่ศาสนาโบราณ และคัมภีร์อันศักดิ์สิทธิ์

    และไอยคุปย์(ตอนใต้)ที่ซาอีร์ขณะนั้น ปฏิบัติตามศาสนธรรมของโธท(Thoht) บูชาเทพโอซิริส


    [​IMG]


    '...''''''และขณะเดียวกันอีกชาวทวีปมูกลุ่มหนึ่งอพยพไปอยู่ที่ยูคาตัง เม็กซิโก และสร้างวิหารพีระมิดขึ้นจารึกว่า"เพื่อเป็นอนุสรณ์แด่แผ่นดินตะวันตก ที่ซึ่งเราจากมา" รวมถึงปิรามิดแห่งเม็กซิโกซึ่งตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ ของเมืองเม็กซิโก ซิตี้(Mexico City) คำจารึกของปิรามิดกล่าวไว้ว่า ปิรามิดถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นอนุสาวรีย์แด่การล่มสลายของแผ่นดินแห่งตะวันตก

    ลักษณะวิหารพีระมิดที่เป็นอารยธรรมเมโสอเมริกา แถบทวีปอเมริกากลางhttp://www.crystalinks.com/pyramidmesoamerica.html

    รวมทั้งบันทึกการล่มสลายของแผ่นดินทวีปมู ที่รู้จักกันว่าคือชนเผ่ามายา

    ประโยชน์ส่วนนึงของวิหารพีระมิดใช้เพื่อนักบวชประกอบพิธีกรรมศักดิ์สิทธิเพื่อบูชาเทพเจ้าดวงอาทิตย์ รา, รามู เทพเจ้าสูงสุด

    ประเพณีต่างๆ ที่มาจากที่เดียวกัน

    '...''''''การนับถือเทพเจ้าดวงอาทิตย์เป็นสิ่งสูงสุด ของชาวอารยัน, มายาในยูคาตัง,ไอยคุปย์โบราณ ล้วนมาจากมาตุภูมิที่นั่นเรียก รา-มู สัญลักษณ์ผู้สร้าง นารายาณะ พยานาค ๗ เศียร , ความรู้เกี่ยวกับตำนานการสร้างโลก การกำเนิดจักรวาล และที่โมเสสที่ถอดมาจากภาษาฮีโรกริฟริกในไอยคุปย์ ลงสู่คัมภีร์เอซรา(Ezra) แล้วแปลลงเป็นภาษาฮิบรู เป็นพันธสัญญาเก่าและพันธสัญญาใหม่ในบทการสร้างโลก(Genesis)

    '...''''''จะค่อยเรียงเนื้อหาการล่มสลายโดยฉับพลันของทวีปมู เมื่อ ๑๑,๕๐๐ ปีที่แล้ว ,ศาสนาแห่งโบราณ ,ธรณีวิทยา ..ฯ ลงมาโดยลำดับต่อไปครับ

    [​IMG]

    หากเพื่อนสมาชิกท่านที่สนใจประวัติศาสตร์สามารถหาหนังสือ มู นครอันตธาน ลองอ่านได้ครับ

    '...'''''''เนื้อหาที่จะนำมาลงไว้ โดยส่วนใหญ่อ้างอิงจากเล่มนี้และเนื้อหาบางส่วนที่ไม่มีในหนังสือเล่มนี้มาจากความรู้ความเห็นประสบการณ์เดิมเก่าๆ เพื่อประสานรอยต่อ และเติมเต็มให้ได้อรรถประโยชน์ในการเรียนรู้ประวัติศาสตร์ และร่องรอยอารยธรรมประวัติศาสตร์มนุษย์ส่วนนี้มีความชัดเจน สมบูรณ์ที่สุด เท่าที่จะทำได้

    '...''''''หรืออ่านศึกษาในเวปนี้http://www.crystalinks.com/lemuria.htmlไปพรางๆควบคู่ ก่อนได้ครับ

    สัญลักษณ์ของศาสนาโบราณทวีปมู

    ศาสนาของคนโบราณ บ่งบอกได้ถึงจริยธรรม คุณธรรม จารีตในสมัยนั้นๆ

    '''''''''''ขอเริ่มจาก ขอนำจารึกอักษรภาษาสัญลักษณ์ที่ใช้บนทวีปมู ที่เขียนจารึกโดยนักบวชชาวนาอะคัล(Naacal)เป็นสัญลักษณ์โบราณที่ใช้เมื่อนับย้อนไปประมาณ 50,000-30,000 ปีที่แล้ว

    [​IMG]

    สัญลักษณ์ที่ 15

    '''''''''''หมายถึง ดวงตาที่ครอบคลุมดูแลทั่วทุกสรรพสิ่งในสากลจักรวาล ภายใต้สามเหลี่ยมที่ทรงพลังที่สุดที่เป็นศูนย์กลางของทุกจักรวาลรวมทั้งเอกภพทั้งหมด

    ก่อนกาลทวีปมูใช้สัญลักษณ์นี้แทนพระเจ้า รา

    ในอียิปต์ หมายถึง ดวงตาแห่งเทพโอสิริส, ดวงตาที่สาม

    และยังใช้อยู่ในคริสต์ศาสนา นิกายคาทอริค

    และใช้กันในสมาคมfreemason ที่มีต้นสายที่ยาวนานย้อนไปได้ถึงยุคไอยคุปย์(สังเกตที่แบ็งค์ 1 ดอลล่าร์อเมริกา)


    สัญลักษณ์ที่ 16 และ 18

    หมายถึง ภาวะที่ดูแลสรรพสิ่งที่อยู่ภายใต้สมดุล

    '''''''''''สามเหลี่ยมหัวตั้ง :ซึมซับรับพลังงานทุกๆจิตวิญญาณในจักรวาล พลังงานในรูปแบบจิตวิญญาณ และการกระทำ

    '''''''''''สามเหลี่ยมกลับหัว : ส่งคืนผลของการกระทำ จิตวิญญาณ ภายใต้ภาวะสมดุลย์ของพลังงานของทุกสรรพสิ่ง

    '''''''''''วงกลมภายใน : คือ ภาวะการหมุนเวียนจัดสรรของวงรอบ-วงกลม พลังงานที่ไหลเข้า-ไหลออก ภายใต้ภาวะสมดุลย์

    วงกลมภายนอก คือ ศูนย์กลางของทุกจักรวาล รา พระอาทิตย์ดวงแม่

    สัญลักษณ์ที่ 19

    '''''''''''คือ ภาวะที่ถึงจุดกัลปวสานของทุกๆเอกภพ ก่อนเข้าสู่ยุคเริ่มใหม่ มีเพียงสามเหลี่ยมพลังงานที่ซ้อนกัน กลับกลายเป็นสภาพว่างไร้สรรพสิ่ง


    สัญลักษณ์ที่ 17

    '''''''''''คือ การก่อกำเนิดเมล็ดพืชแรก อีกครั้ง หลังจากกาลสิ้นสุด เป็นการเริ่มใหม่ของทุกสรรพสิ่ง จากศูนย์กลางธรรมชาติภายใน

    เมล็ดพืชแรก =จุดแรกที่เริ่มต้น= พินทุ(บาลี)

    สัญลักษณ์ที่ 20

    คือ การรังสรรค์ การสร้างของพลังแห่งศักดิ์สิทธิ์ทั้ง 4 ในตอนเริ่มต้น

    '''''''''''แนวคิดศาสนธรรมโบราณทวีปมูมีอยู่ว่า :-
    '''''''''''ในตอนเริ่มต้นนั้น มีเพียงความยุ่งเหยิง(Chaos)ทั่วทั้งจักรวาลที่มืดมิด และลำดับต่อมา ภาวะทั้งหลายดำเนินไปเข้าสู่ภาวะสงัด ไร้สรรพเสียง ต่อมาผู้สร้างพร้อมด้วย"ความปรารถนา"ได้บัญญัติอำนาจเริ่มต้นความยิ่งใหญ่ทั้งสี่ขึ้น เพื่อ สร้างกฏและระเบียบในจักรวาล เพื่อให้การสร้างได้เริ่มต้นขึ้น เมื่อกฏและระเบียบได้ถูกสร้างให้บังเกิดโดยพลังอันศักดิ์สิทธิ์ทั้งสี่ ตามความปรารถนา และบัญญัติของผู้สร้าง"

    *จารึกของนักบวชนาอะคัล(naacal)) อันมีชื่อเรียกว่า ข้อเขียนดลใจอันศักดิ์สิทธิ์แห่ง มู(The Sacred Inspired Writing of Mu)

    [​IMG]

    '''''''''''แผ่นจารึกนิเวน พบที่เม็กซิโก ต่อเติมความขาดหายไป ที่จากรึกแห่งนาอะคัลอ้างถึง สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งสี่ดังบัญญัติของผู้สร้าง ซึ่งเกี่ยวเนื่องกับกฏ และการจัดระเบียบทั่วทั้งเอกภพแผ่นจากรึกเลขที่ ๑๒๓๑ จารึกแผ่นนี้เป็นดั่งกุญแจที่ไขสู่การทำงานและความเคลื่อนไหวของเอกภพ เป็นสัญลักษณ์แห่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้ง 4 (Sacred Four)

    '''''''''''ปัจจุบันอาจมีชื่อเรียกต่างกันมาก เช่น สวัสดิกะ เป็นต้น โดยชาวอารยันได้นำไปใช้เป็นเครื่องหมายหนึ่งในศาสนา และสมัยนาซีเยอรมัน..ฯ



    ทิศทางการหมุนวนของพลังงาน กุญแจคือปุ่มตรงกลาง เมื่อลองใช้นิ้วลองลากเส้นออกมาจากจุดเริ่มต้นวนออกมา

    นี้เป็นทิศทางการหมุนวนของพลังงานในเอกภพในทางสร้างสรรของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งสี่



    '''''''''''สัญลักษณ์และความหมายของจารึก ดังกล่าวมาแล้ว ก็จะทำให้ผู้สนใจติดตามอ่านมา เข้าใจรูปสัญลักษณ์ด้านล่าง

    .ความเป็นไปของสรรพสิ่งในเอกภพทั้งมวล


    [​IMG]

    '''''''''''จากรูปสัญลักษณ์องค์ความรู้ทวีปมู เอกภพทั้งหลายกำลังขยายตัวออกจากจุดศูนย์กลางทุกทิศทาง ดังที่กล่าวไว้ในสัญลักษณ์ที่ 15,16 , 18,20 และ๑๒๓๑

    '''''''''''การเกิดและดับของบางดาราจักรของดาวฤกษ์(อาทิตย์ดวงอื่น) ที่สามารถสังเกตุได้จากบนโลกเราได้ หมายถึง การเดินทางภาพที่มากับแสง นับพันล้านปีแสง


    '''''''''''และแสงใช้เวลาเดินทาง 3x10^8 เมตรต่อวินาที(^ ยกกำลัง) ;ดังนั้นสิ่งที่เราสังเกตุเห็นในวันนี้ เป็นอดีตของดาราจักรกลุ่มนั้น เมื่อหลายล้านปีมาแล้ว ทฤษฎีสัมพัทธภาพของไอสไตน์ และอีกหลายทฤษฎีพิเศษสามารถอธิบาย ประสานเชื่อมต่อความสัมพันธ์นี้ได้เป็นอย่างดี



    สัญลักษณ์อักษรภาพมี หลายร้อยภาพ ไว้ค่อยนำลงมาโดยลำดับครับ

    โดยจะเข้ามาเรื่องที่อยู่ใกล้ตัวมากขึ้น มากขึ้น

    ภาษาภาพบันทึกทวีปมู

    '''''''''จากจารึก นาอะคัล ที่ค้นพบในอินเดีย อันที่จริง จารึกแห่งนาอะคัลนี้ เขียนโดยสัญลักษณ์และอักขระนากา (Naga) จากตำนานกล่าวกันว่า เขียนขึ้นที่แผ่นดินมู จารึกนี้ ได้ถูกนำเข้ามาที่พม่าก่อนแล้วจึงนำมาที่อินเดีย มีอายุเก่าแก่ประมาณ ๑๕,๐๐๐ ปี

    [​IMG]

    [​IMG]

    '''''''''ค้นพบ ได้รับการแปล ค้นหาข้อมูล และเขียนออกเผยแพร่โดย พันเอกเจมส์ เชอร์ชวาร์ด เมื่อประมาณ ๕๐ ปีที่แล้ว เมื่อครั้งผู้เขียนได้เข้าไปช่วยบำบัดทุพภิกขภัยในอินเดีย ท่านได้รับความไว้วางใจจากนักบวชในวัดที่เก็บจารึกเก่าแก่นี้ สอนให้อ่านภาษาจารึกนี้


    ส่วนนึงของจารึก

    [​IMG]

    '''''''''ส่วนภาพแรก เป็นเส้นแสงจาก ศูนย์กลางพลังงานธรรมชาติของทุกเอกภพ ที่พาดผ่านจักรวาล -อ้างอิงจาก คห.ก่อนหน้านี้

    [​IMG]

    [​IMG]


    '''''''''ภาพที่ ๒ เส้นตรงหลายเส้นวางซ้อนกัน ในแนวนอน เป็นสัญลักษณ์ ของอวกาศ ส่วนสัญลักษณ์ของพญานาค ๗ เศียร เคลื่อนตัวอยู่ในอวกาศ วงกลม ที่ล้อมรอบอยู่นั้นหมายถึง เอกภพผู้สร้างทั้งมวล นารายณะ

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]


    '''''''''ลำดับทั้ง ๓ ภาพ คือ พลังงานแห่งดวงอาทิตย์ก็เกี่ยวพันของชีวิตบนโลกพลังที่ส่องมายังโลก ต่อสิ่งมีชีวิต เป็นที่มาของสิ่งมีชีวิตนั่นเอง จากแสงที่ส่องมานี้ ก็ทำให้เกิดธรรมชาติสิ่งมีชีวิตบนโลก

    [​IMG]


    ภาพแถวล่าง แถว๓-แถว๔

    เครื่องหมายรูป สี่เหลี่ยม แทนสัญลักษณ์ทวีปมู ในทุกที่ ทุกโอกาส

    มีการเกิดขึ้นของบุคคลผู้ยิ่งใหญ่ ใช้สัญลักษณ์ ดอกบัว(พุทธะ) และ ๐๐๐ แทนหมายเลขลำดับ ๓

    Tในภาษามูโบราณ หมายถึง การเกิดขึ้น ;การเกิดขึ้นนี้ ของคำแปลพิจารณาจากสัญลักษณ์ ข้างหน้าและข้างหลังของประโยค


    '''''''''ภาพแต่ละภาพ แทนเหตุการณ์ต่างๆของสรรพชีวิตที่ดำเนินไป ระยะห่างของเวลาแต่ละภาพที่บรรยาย อาจกินเวลานานเป็นล้านๆปี แสนปี พันปี หมื่นปี หรือ ร้อยปี...


    หลังจากนั้น...

    [​IMG]

    [​IMG]

    '''''''''ภาพที่นี้อธิบายถึง การยกขึ้นของภูเขา แผ่นดินเปลือกโลก และการก่อตัวของอากาศ ต้นต่อมาจากไฟและแมลงสการับ (Scarab : แมลงปีกแข็งชนิดหนึ่ง อาศัยอยู่ในดิน และเป็นสัญลักษณ์แห่งการฟื้นคืนชีพ) ของชาวไอยคุปต์ ที่ได้จาก ชาวนาอะคัล

    [​IMG]

    '''''''''ภาพนี้อธิบาย เกิดการไหวสะเทือนที่ส่วนล่าง คือ แผ่นดินเปลือกทวีปที่เกิดจากการยกตัวและชนกันของแผ่นดินทวีปส่วนเปลือกโลก ในส่วนต่างของโลกอย่างฉับพลันรุนแรง ก่อให้เกิดการยกตัวของภูเขาส่วนต่างๆ กล่าวถึงคือ ธรณีพิบัติครั้งรุนแรงที่สุดที่เกิดขึ้นเมื่อประมาณ ๑๑,๕๐๐ ปีที่แล้วที่ทวีปมู ส่วนที่เกิดกับทวีปแอตลันติส และส่วนต่างๆของโลกก็ประสบชะตากรรมเช่นเดียวกันนี้


    '''''''''กรณีของธรณีพิบัตินี้ ชนชาวทวีปมูที่รอดมาอยู่ที่ยูคาตัง คือมายา ได้เขียนจารึกถึงเหตุการณ์นี้เช่นเดียวกัน


    [​IMG]


    '''''''''เนื่องจาก อักษรภาพ ที่มีการเขียนภาษาของชาวมายา นั้นมีการแจกแจงรายละเอียดมาก เพื่อนสมาชิกผู้สนใจสามารถหาอ่านรายละเอียดได้จาก หนังสือ มู นครอันตรธาน

    อ่านต่อ : http://writer.dek-d.com/dek-d/story/viewlongc.php?id=457403&chapter=23#ixzz1FbJUGOOs
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 มีนาคม 2011
  3. Ajarn Pithak

    Ajarn Pithak เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    1,367
    ค่าพลัง:
    +2,126
    <TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=10 width="100%"><TBODY><TR><TD>
    ไขปริศนา “แอตแลนติส” นครที่สาบสูญ
    </TD><TD align=right> </TD></TR><TR><TD colSpan=2>

    <TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=3 width="100%" align=center><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE border=0 cellSpacing=2 cellPadding=2 width="95%"><TBODY><TR><TD class=A2 vAlign=top>
    นักวิจัยสหรัฐเปิดเผยว่าได้ค้นพบ “แอตแลนติส” เมืองแห่งอารยธรรมที่หายไปในห้วงทะเลลึกแถบไซปรัส พร้อมทั้งโชว์ทฤษฎีการสำรวจที่น่าพิศวงมากว่าทศวรรษ แต่นักฟิสิกส์เยอรมันแย้งพื้นที่บริเวณนั้นภูเขาไฟเคยพ่นหินละลายเมื่อ 1 แสนปีก่อน หาใช่เมืองแห่งเพลโตไม่
    ..........โรเบิร์ต ซาร์แมสต์ (Robert Sarmast) เปิดเผยว่า แอ่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียน (Mediterranean) ได้จมลงไปขณะน้ำท่วมครั้งใหญ่เมื่อประมาณ 1,900 ปีก่อนคริตศักราช ทำให้บริเวณที่เชื่อว่าเป็นที่ตั้งของ “แอตแลนติส” (Atlantis) จมหายลงไปในคราวนั้น เชื่อว่าจมลึกลงไปถึง 1 ไมล์หรือประมาณ 1.6 กิโลเมตรใต้ทะเลระหว่างไซปรัส (Cyprus) และซีเรีย (Syria)
    [​IMG]
    ..........”พวกเราพบมันแล้ว” ซาร์แมสต์ ผู้นำคณะสำรวจที่ซอกแซกไปในทะเลกว่า 50 ไมล์ตามแถบชายฝั่งตอนใต้ของไซปรัสเมื่อช่วงต้นเดือนนี้ จากการสแกนฟังเสียงสะท้อนใต้น้ำลึกแสดงว่ามีสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นบริเวณหุบเขาที่จมน้ำ รวมถึงกำแพงที่ยาวประมาณ 3 กิโลเมตร ซึ่งกั้นอยู่บนยอดเขาและมีคูลึกล้อมรอบอยู่ด้วย โดยเชื่อว่าพื้นที่ดังกล่าวน่าจะเป็นตำแหน่งของวิหารแห่งเมืองแอตแลนตีส อย่างไรก็ดีคงต้องมีการสำรวจต่อๆ ไปอีก
    ..........”พวกเราไม่สามารถหาหลักฐานที่จับต้องได้มาพิสูจน์ในรูปแบบของเศษอิฐหรือปูนว่าเป็นส่วนหนึ่งของสิ่งที่มนุษย์ทำขึ้นที่ฝังอยู่ในตะกอนใต้น้ำลึกลงไปหลายเมตร แต่ว่าจากการสำรวจอย่างละเอียดและหลักฐานอื่นๆ ทำให้เชื่ออย่างแย้งไม่ได้ว่าแอนแลนติสน่าจะอยู่ตรงนั้น” ซาร์แมสต์ เผยอย่างไรก็ดี ขณะที่ซาร์แมสต์ได้เปิดเผยข้อค้นพบต่อสาธารณชน ณ เมืองท่าลิมาสโซล (Limassol) เขายังได้นำภาพเคลื่อนไหวจำลอง “เนิน” ที่เชื่อว่าเป็นที่ตั้งของแอตแลนติส โดยจินตนาการภาพย้อนหลังไปหลายศตวรรษ
    ..........ตามคำกล่าวอ้างของ “เพลโต” (Plato) ปราชญ์ชาวกรีกโบราณ ระบุว่า แอตแลนตีสเป็นชนชาติที่อยู่บนเกาะ ซึ่งได้พัฒนาอารยธรรมจนเจริญก้าวหน้าไปมาก อยู่ในช่วงระหว่าง 11,500 ปีที่แล้ว ส่วนทฤษฎีที่พยายามอธิบายถึงเหตุผลแห่งการหายไปของอาณาจักรแอตแลนตีสนั้นมีมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการเกิดกลียุค ด้วยโรคภัยจากธรรมชาติคุกคาม หรือจากตำนานเทพเจ้ากรีกที่ระบุว่าชาวเมืองแอตแลนตีสมีความละโมบและกระหายอำนาจเข้าครอบนำเทพเจ้าจึงลงโทษด้วยการทำลายเมืองไปในที่สุด นอกจากนี้ยังมีผู้สงสัยว่า แอตแลนติสที่แท้จริงอาจจะเป็นแค่เพียงภาพฝันของเพลโตก็เป็นได้

    [​IMG]

    ..........ซาร์แมสต์ เปิดเผยว่า เขาเดินทางไปไซปรัสตามร่องรอยในบทสนทนาของเพลโต ที่อ้างว่าแอตแลนตีสอยู่ตรงข้ามกับ พิลาร์ส ออฟ เฮอร์คิวลีส (Pillars of Hercules) หรือ “เสาหินแห่งเฮอร์คิวลีส” ซึ่งเชื่อกันว่านั่นก็คือ “ช่องแคบยิบรอลตาร์” (Straits of Gibraltar) นั่นเอง จึงทำให้นักสำรวจหลายๆ คนมุ่งความสนใจไปที่มหาสมุทรแอตแลนติก ไอร์แลนด์ หรืออะซอเรส (Azores) ของโปรตุเกส
    ..........”ผู้คนที่พลาดสิ่งเหล่านี้ไป นั่นก็เพราะไม่ได้ทำการบ้านให้ถ่องแท้ ผู้ที่สงสัยใคร่รู้เรื่องนี้ต่างรู้ไม่จริง ถ้าต้องการที่จะเข้าใจปริศนาลึกลับแห่งแอตแลนติก คุณจะต้องมีความรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์โบราณ ข้ออ้างอิงทางศาสนา วัฒนธรรมและร่องรอยของชาวสุเมเรียน (Sumerian)” ซาร์แมสต์เผย และยังไม่ทันที่ซาร์แมสต์จะกลับไปฝันหวานกับข้อค้นพบของเขา“คริสเตียน ฮูบเชอร์” (Christian Huebscher) นักฟิสิกส์ชาวเยอรมัน จากศูนย์วิทยาศาสตร์ทางทะเลและบรรยากาศ ในฮัมบรูก ก็ออกมาแย้งผ่านหนังสือพิมพ์เยอรมนีว่า พื้นที่ที่ซาร์แมสต์พบนั้นเป็นปรากฏการณ์เมื่อ 100,00 ปีที่แล้ว ที่ภูเขาไฟได้พ่นดินโคลนออกมา ซึ่งเขาและเพื่อนร่วมงานชาวเนเธอร์แลนด์เคยเดินเรือไปสำรวจบริเวณที่ซาร์แมสต์ระบุว่าเป็นแอตแลนตีสมาก่อนแล้ว
    [​IMG]..........ก่อนหน้านี้ได้มีความพยายามเกาะรอยคำกล่าวของเพลโตเช่นกัน โดยนักสำรวจได้พุ่งเป้าที่ชายฝั่งของสเปน คิวบา และทางตะวันตกของเกาะอังกฤษ ไม่เว้นแม้กระทั่งทะเลจีนใต้ โดยงานสำรวจที่เป็นชิ้นเป็นอันก่อนหน้านี้คือ ภาพถ่ายดาวเทียมบริเวณอุทยานแห่งชาติดอนานาของเสปน (Donana) จากนักโบราณคดี มหาวิทยาลัยเอดินเบอร์ก (University Edinburgh) ของอังกฤษ ซึ่งภาพดังกล่าวได้พบสิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่รูปสีเหลี่ยม 2 หลังจมอยู่ในโคลนใต้ทะเลโดยพบโลหะที่มีรัศมีเป็นวงกลมและมีสิ่งก่อสร้างอื่นๆ ล้อมรอบ ทีมวิจัยในครั้งนั้นเชื่อว่าสิ่งก่อสร้างทั้ง 2 คือ วิหารทองคำที่ชาวแอนแลนตีสสร้างขึ้นเพื่อบูชาเทพโพเซดอน และวิหารเงินเพื่อบูชาพระนางไคลโต อันเป็นผู้ถือกำเนิดกษัตริย์ที่ปกครองนครแอตแลนตีส อย่างไรก็ดี หลังจากการเผยแพร่ภาพถ่ายดาวเทียมออกไป ก็ยังไม่มีใครได้ลองดำลึกลงไปขุดพิสูจน์พื้นที่ดังกล่าวแต่อย่างใด
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>​
     
  4. Ajarn Pithak

    Ajarn Pithak เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    1,367
    ค่าพลัง:
    +2,126

    จากบทความสามเหลี่ยมเบอร์มิวดา ได้มีการอ้างถึง อาณาจักรแอตแลนติก ผมจึงอยากรู้ว่าอาณาจักรนี้นั้นมีความสำคัญและมีความเป็นมาอย่างไร ซึ่งเมื่อได้สัมผัสแล้วก็เป็นอาณาจักรที่น่าสนใจอยู่ไม่น้อยเลยที่เดียว
    [​IMG] [SIZE=-1]
    แอตแลนติส (Atlantis) คืออาณาจักรโบราณที่อยู่ในความทรงจำของคนทั้งโลก ซึ่งผู้ที่สร้างตำนานอาณาจักรลึกลับนี้ คือ เพลโต นักปรัชญาชาวกรีกโบราณที่มีอิทธิพลอย่างสูงต่อแนวคิดตะวันตก กล่าวกันว่าอาณาจักรแอตแลนติส เป็นทวีป ๆ หนึ่งที่อยู่ในมหาสมุทรแอตแลนติก เป็นที่อยู่อาศัยของพลเมืองผู้ทรงคุณธรรมและเทคโนโลยีที่สูงส่ง กำแพงเมืองเป็นทองคำและวิหารสร้างด้วยเงิน มีอุทยานหย่อนใจและสนามแข่งม้า ทว่ามันถูกทำลายพังพินาศด้วยความพิโรธของเทพเจ้าผู้เนรมิตรมันขึ้นมา
    [/SIZE]
    ที่มาของเรื่องแอตแลนติส คือ ข้อเขียนในรูปของบทสนทนาสองเรื่อง โดยพลาโต ( Plato : 427 ก่อน ค.ศ. - 347 ก่อน ค.ศ.) เรื่องหนึ่ง ชื่อ Timaeus อีกเรื่องหนึ่ง ชื่อ Critias ซึ่งสำหรับวงการวิทยาศาสตร์โดยทั่วไป เชื่อว่า แอตแลนติส เป็นเรื่องเล่าในรูปของนิยายวิทยาศาสตร์ มิใช่เรื่องจริง แต่คนเป็นจำนวนมากก็เชื่อว่า อาจจะเป็นเรื่องจริง และได้มีความพยายามค้นหาแอตแลนติสกันเรื่อยมา โดยพยายามตีความหมายตำแหน่งของแอตแลนติสว่า อยู่ที่ไหนกันแน่ เพราะพลาโต ระบุว่า แอตแลนติสได้ล่มจมหายไปแล้วในทะเล อยู่ห่างจาก "Pillars of Hercules" ( เสาหินเฮอร์คิวลีส ) ออกไป
    [SIZE=-1][​IMG]
    [/SIZE][SIZE=-1][/SIZE][SIZE=-1]คำทำนายเกี่ยวกับอาณาจักรแอตแลนติส ที่เชื่อกันว่าเป็นแหล่งอารยธรรมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในสมัยแรกของโลก
    เอ็ดการ์ เคย์ซี ได้พยากรณ์ไว้ตอนหนึ่งว่า
    ...ทวีปแอตแลนติส เป็นทวีปที่ใหญ่ที่สุดในโลกมีขนาดใหญ่กว่ายุโรปทั้งหมด รวมกับแผ่นดินรัสเซีย มีดินแดนต่อทอดไปทั่วโลก ชนชาติทีอาศัยอยู่บนทวีปแอตแลนติสเป็นชนชาติผิวแดงที่มีความเฉลียวฉลาดเป็นเลิศ ผู้คนทั่วไปมีประสิทธิภาพอย่างดียิ่ง มีความรู้ความสามารถในศาสตร์ต่าง ๆ ทั้งปวง รวมทั้งงานด้านประติมากรรม วิศวกรรมและสถาปัตยกรรมด้วย โดยเฉพาะความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์นั้น เคย์ซีได้บันทึกไว้เป็นคำพยากรณ์ในบทที่ 2794-L-1
    โดยสรุปว่า ชาวแอตแลนติสมีความรู้ ความเจริญก้าวหน้าทางด้านเคมี ฟิสิกส์ และจิตวิทยามาก พวกเขารู้จักประดิษฐ์ไฟฟ้าใช้ รู้จักผลิตพลังปรมาณูจากยูเรเนียม รู้จักผลิตแสงเลเซอร์ ตลอดจนผลิต คลื่นวิทยุติดต่อกับดินแดนอื่นได้

    สิ่งสำคัญที่สุดอีกอย่างหนึ่งก็คือ ชาวแอตแลนติสสามารถผลิตพลังงาน มหาศาลจากพลึกมหัศจรรย์ชนิดหนึ่ง ซึ่งสามารถรวมเอาพลังธรรมชาติ ทั้งหมดที่มีอยู่ในโลกและจักรวาล เข้าด้วยกัน และเป็นที่น่าสังเกตว่าความสำเร็จในทางวิทยาศาสตร์ของชาวแอตแลนติสนั้น อาศัยพลังงาน แสงอาทิตย์เป็นสำคัญ วัฒนธรรมสูงส่งของชาวแอตแลนติสพัฒนาตลอดมา โดยมีความเกี่ยวพันทางศาสนา เริ่มตั้งแต่มีการทำพิธีบูชาพระอาทิตย์และเทพเจ้า วัฒนธรรมของอาณาจักรแอตแลนติสหายสาปสูญไปในที่สุด เมื่อเกิดภัยพิบัติครั้งใหญ่ ดินแดนของมหาอาณาจักรเกิดสั่นสะเทือน และได้ถล่มทลายลงไป
    ใต้ทะเล ภายในชั่วคืนกับชั่ววัน ดังน้นเมื่อ ปี 9500 ก่อนคริสต์กาล ชาติแอตแลนติสก็หายไปจากโฉมหน้าของโลก
    [​IMG]
    เคย์ซีกล่าวว่า วัฏจักรแห่งประวัติศาสตร์ มักจะหมุนเวียนกลับมาอีกเสมอ ดังนั้นวิญญาณของชาวแอตแลนติสย่อม
    มีโอกาสกลับมาเกิดใหม่ได้อีก จากดินแดนหนึ่งไปยังอีกแห่งหนึ่ง และจากทวีปหนึ่งไปยังอีกทวีปหนึ่งหรือจากเกาะหนึ่งไปยังเกาะอื่น ๆมหาอาณาจักรแอตแลนติสมีความเจริญก้าวหน้าทางวิทยาการเท่ากับโลกเราสมัยปัจจุบัน หรือบางอย่างมีความก้าวหน้า มากกว่า พวกเรารู้จักพัฒนา โดยนำเอาพลังงานอันมหาศาลมาใช้ให้เกิดประโยชน์ ในปัจจุบันเคย์ซีเชื่อว่า โลกเราได้มีการเปลี่ยนแปลงอย่างปัจจุบันทันด่วนที่ร้ายแรงที่สุดมาหลายครั้งแล้ว ซึ่งอาจมีผลทำให้อาณานิคมหรือดินแดนบางส่วนของมหาอาณาจักรแอตแลนดิสโผล่ขึ้นมาให้ชาวโลกได้เห็นอีกก็เป็นได้ เช่น เมื่อปี 2483 เคย์ซีทำนายว่าพื้นที่บางส่วนทางด้านตะวันตกของแอตแลนติสจะโผล่ขึ้นมาใกล้ ๆบริเวณหมู่เกาะบาฮามาในช่วงระหว่าง พ.ศ.2511-2512 ปรากฏว่าคำทำนายของเคย์ซีได้กลายเป็นความจริงคือ ได้มีการค้นพบซากเมืองใต้บาดาลใกล้ ๆหมู่เกาะบาฮามา เรียงต่อกันอย่างประณีต ราวกับมีการใช้เทคโนโลยีทางวิศวกรรม และสถาปัตยกรรมชั้นสูง หินบางก้อนมีขนาดใหญ่ พอ ๆ กับขนาดรถบรรทุกเลยดีเดียว ลำพังจะใช้กำลังคนช่วยกันแบกหาม ขึ้นไปวางเรียงต่อกันก็คงจะไม่ทำได้เรียบร้อยและปราณีตเช่นนั้น เคย์ซียังทำนายต่อไปอีกว่าภัยพิบัติครั้งร้ายแรงที่เกิดขึ้น จนทำให้มหาอาณาจักรแอตแลนติส อันกว้างใหญ่ไพศาลถล่มทลายพังพินาศจมหายไปใต้ทะเลนั้น จะเกิดขึ้นอีกหลายแห่งในโลก

    [/SIZE][SIZE=-1]เคย์ซีกล่าวว่า
    ในช่วงแรกสุดของโลกเรา เมื่อประมาณ 10 ล้านห้าแสนปีมาแล้ว มีอารยธรรมเกิดขึ้นแล้วเสื่อมสลายไปหลายครั้ง
    ยุคเจริญรุ่งเรืองของอารยธรรมชาวแอตแลนติสอยู่ระหว่างช่วงนับจาก 200000 ลงมาจนถึงปี 10700 ก่อนคริสต์กาล คือนับตั้งแต่ช่วงเวลาประมาณ 13000 ปี ถอยหลังเป็นต้นไปคือสรุปแล้ว จะมีอายุนานประมาณ 80000-900000 ปี
    นี่ก็เป็นคำพยากรณ์บางส่วนของ เอ็ดการ์ เคย์ซี ที่ทำนายอดีตของโลกเราย้อนหลังไปหลายแสนหลายล้านปี ซึ่งความเป็นจริงในสิ่งที่เขาพยากรณ์ไว้นั้นต้องรอคอยให้นักวิทยาศาสตร์รุ่นใหม่ในโลกปัจจุบันพิสูจน์ให้เห็นเด่นชัดในอนาคต

    [​IMG]

    อาณาจักรที่ล่มสลายไปในอดีตกาล ที่ซึ่งนักสำรวจทั่วโลกต่างให้ความสำคัญในการค้นหา จาก บทบันทึกของเพลโตได้กล่าวถึงดินแดนแห่งนี้ไว้ว่า เป็นอาณาจักรที่มีอารยธรรมรุ่งเรืองถึงขีดสุด แต่ได้ล่มสลายลง และถูกคลื่นยักษ์ กวาดกลืนจนไร้ร่องรอย แอตแลนติส (Atlantis) เป็นเรื่องราวที่ปรากฏอยู่ในงานเขียนของเพลโตชื่อทีมาอุส (Timaeus) และ ครีติอัส (Critias) ซึ่งเป็นบทสนทนาเกี่ยวกับสิ่งที่บรรพบุรุษของเพลโตเล่าต่อกันมาว่า แอตแลนติสเป็นชนชาติที่อยู่บนเกาะ ในช่วงระหว่าง 11,500 ปีที่แล้ว ซึ่งได้พัฒนาอารยธรรม จนเจริญก้าวหน้าไปมาก ส่วนสาเหตุที่ทำให้ดินแดนแห่งนี้ล่มสลายนั้นมีทั้งจากภัยธรรมชาติหรือ จากตำนานเทพเจ้ากรีกที่ระบุว่าชาวเมืองแอตแลนติสมีความละโมบ และกระหายอำนาจ เทพเจ้า จึงลงโทษด้วยการทำลายเมืองไปในที่สุด นอกจากนี้ยังมีผู้สงสัยว่า แอตแลนติสที่แท้จริงอาจเป็น เพียงแค่จินตนาการของเพลโตก็เป็นได้
    [​IMG]
    แต่จากความรุ่งเรืองของอารยธรรมแห่งนี้ จึงเป็นมนเสน่ห์ดึงดูดให้ทั้งนักประวัติศาสตร์และนัก สำรวจพยายามค้นหาที่ตั้งของแอตแลนติส จากที่เพลโตได้เขียนไว้ว่า แอตแลนติสตั้งอยู่เลยเสา หินแห่งเฮอร์คิวลีส (Pillars of Hercules) ออกไป ซึ่งในปัจจุบัน คือ ช่องแคบยิบรอลตา (Gibraltar) ดังนั้นแอตแลนติส จึงควรอยู่ในมหาสมุทรแอตแลนติก โดยน่าจะเป็นหมู่เกาะ อะซอเรส (Azores) หรือ มาดีราส (Madeiras) หรือ คานารีส (Canaries) แต่การศึกษา ทางโบราณคดีที่หมู่เกาะเหล่านี้ไม่ได้ให้หลักฐานใดๆ ว่าเคยเป็นอาณาจักรแอตแลนติส มาก่อน เมื่อไม่มีหลักฐานใดๆ ในแอตแลนติก ผู้คนที่ยังมีความศรัทธาในเรื่องของอาณาจักรแอตแลนติส ก็ได้หันมาพิจารณาคำของเพลโต ที่ว่า พิลาร์ ออฟ เฮอร์คิวลีส นั้นจริงๆ แล้ว เพลโตน่าจะหมาย ถึงช่องแคบ ดาร์ดาแนลเลส (Dardanelles) ของทะเลดำ (Black Sea) มากกว่าช่องแคบ ยิบรอลตา ดังนั้นการค้นหาแอตแลนติสจึงได้ถูกย้ายจากมหาสมุทรแอตแลนติกมากระทำในแถบ ทะเลเมดิเตอร์เรเนียน (Mediterranean) แทน
    [​IMG]
    โรเบิร์ต ซาร์แมสต์ (Robert Sarmast) นักวิจัยจากสหรัฐฯ ค้นพบว่าแอ่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียน (Mediterranean) ได้จมลงไปขณะน้ำท่วมครั้งใหญ่เมื่อประมาณ 1,900 ปีก่อนคริตกาล จึง สันนิษฐานว่าน่าจะเป็นบริเวณซึ่งเป็นที่ตั้งของแอตแลนติส โดยบริเวณนี้จมลึกลงไปถึง 1 ไมล์ใต้ ้ทะเลระหว่างไซปรัส (Cyprus) และซีเรีย (Syria) จากการสแกนฟังเสียงสะท้อนใต้น้ำลึก แสดงว่ามีสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นบริเวณหุบเขาที่จมน้ำ รวมถึงกำแพงที่ยาวประมาณ 3 กิโลเมตร ซึ่งกั้นอยู่บนยอดเขาและมีคูลึกล้อมรอบอยู่ด้วย เชื่อว่าพื้นที่ดังกล่าวน่าจะเป็นตำแหน่งของวิหาร แห่งเมืองแอตแลนติส

    แต่การค้นพบของซาร์แมสต์ ก็ถูกโต้แย้งโดย คริสเตียน ฮูบเชอร์ (Christian Huebscher) นักฟิสิกส์ชาวเยอรมัน ฮูบเชอร์กล่าวว่า พื้นที่ที่ซาร์แมสต์พบนั้นเป็นปรากฏการณ์เมื่อ 10,000 ปี ีที่แล้ว ที่ภูเขาไฟได้พ่นดินโคลนออกมา

    ก่อนหน้านี้นักสำรวจได้พุ่งเป้าที่ชายฝั่งของสเปน คิวบา และทางตะวันตกของเกาะอังกฤษ ไม่เว้น แม้กระทั่งทะเลจีนใต้ โดยงานสำรวจที่เป็นชิ้นเป็นอันก่อนหน้านี้คือ ภาพถ่ายดาวเทียมบริเวณ อุทยานแห่งชาติดอนานาของสเปน (Donana) จากนักโบราณคดี มหาวิทยาลัยเอดินเบอร์ก (University Edinburgh) ของอังกฤษ ซึ่งภาพดังกล่าวได้พบสิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่รูปสี เหลี่ยม 2 หลังจมอยู่ในโคลนใต้ทะเล โดยพบโลหะที่มีรัศมีเป็นวงกลมและมีสิ่งก่อสร้างอื่นๆ ล้อมรอบ ทีมวิจัยในครั้งนั้นเชื่อว่าสิ่งก่อสร้างทั้ง 2 คือ วิหารทองคำที่ชาวแอนแลนตีสสร้างขึ้น เพื่อบูชาเทพโพเซดอน และวิหารเงินเพื่อบูชาพระนางไคลโต อันเป็นผู้ถือกำเนิดกษัตริย์ที่ปกครอง นครแอตแลนติส ซึ่งหลังที่ภาพถ่ายดาวเทียมได้ถูกเผยแพร่ออกไปแล้ว พื้นที่ดังกล่าวก็ยังไม่ได้รับ การขุดพิสูจน์แต่อย่างใด

    แอตแลนติสจึงเป็นตำนานอันลี้ลับ ให้มนุษย์ได้ศึกษาค้นคว้ากันต่อไป

    บทแปลต่อไปนี้ เป็นการเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับแอตแลนติส ที่พระอียิปต์รูปหนึ่ง เล่าให้รัฐบุรุษกรีก ชื่อ โซลอน ( Solon ) ฟัง
    [​IMG]มีบันทึกเก่าแก่ของเรา เรื่องราวในอดีตแสนไกลว่า เมืองของท่านสกัดการบุกของกองทัพอันเกรียงไกร จากเกาะแสนไกลในมหาสมุทรแอตแลนติกได้อย่างไร กองทัพยิ่งใหญ่ที่มุ่งมั่นโจมตียุโรปทั้งหมด และเอเชียด้วย เอาละ เกาะนี้เป็นเกาะใหญ่มาก ใหญ่กว่าแอฟริกา และเอเชีย รวมกัน - และตั้งอยู่ตรงข้ามกับช่องแคบระหว่างเสาหินของเฮอคิวลีส

    เกาะแอตแลนติส ปกครองโดยตระกูลกษัตริย์ ที่ทรงอำนาจ ที่ปกครองมิใช่เพียงเกาะนี้ แต่เกาะอื่นๆ และบางส่วนของแผ่นดินใหญ่ด้วย ราชวงศ์กษัตริย์ ที่ปกครองแอฟริกาเหนือ ไกลออกไปถึงอียิปต์ และยุโรปใต้ไกลออกไปถึงอิตาลี

    ราชวงศ์ผู้ปกครองแอตแลนติส เป็นเชื้อสายของ เทพโพซีคอน ที่แบ่งดินแดนให้โอรสสิบองค์ปกครอง โอรสองค์โต เป็นกษัตริย์ของเกาะทั้งหมด เกาะที่มีชื่อเรียกว่าแอตแลนติส ส่วนมหาสมุทรยังเรียกเป็นแอตแลนติก เพราะว่ากษัตริย์พระองค์แรก ชื่อ แอตลาส ( Atlas ) โอรสองค์อื่นๆ ได้รับการจัดสรรดินแดนให้ปกครองทุกองค์ เชื้อสายของกษัตริย์แอตลาสเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างมาก เป็นราช วงศ์ที่ร่ำรวย และทรงอำนาจอย่างที่ไม่เคยมีราชวงศ์ใดเคยทำได้มาก่อน หรือจะมีขึ้นอีก

    <TABLE style="PADDING-BOTTOM: 0px; BORDER-RIGHT-WIDTH: 0px; MARGIN: 0px; PADDING-LEFT: 0px; OUTLINE-WIDTH: 0px; WIDTH: 705px; PADDING-RIGHT: 0px; BORDER-TOP-WIDTH: 0px; BORDER-BOTTOM-WIDTH: 0px; HEIGHT: 362px; BORDER-LEFT-WIDTH: 0px; PADDING-TOP: 0px" border=0><TBODY style="PADDING-BOTTOM: 0px; BORDER-RIGHT-WIDTH: 0px; MARGIN: 0px; PADDING-LEFT: 0px; OUTLINE-WIDTH: 0px; PADDING-RIGHT: 0px; BORDER-TOP-WIDTH: 0px; BORDER-BOTTOM-WIDTH: 0px; BORDER-LEFT-WIDTH: 0px; PADDING-TOP: 0px"><TR style="PADDING-BOTTOM: 0px; BORDER-RIGHT-WIDTH: 0px; MARGIN: 0px; PADDING-LEFT: 0px; OUTLINE-WIDTH: 0px; PADDING-RIGHT: 0px; BORDER-TOP-WIDTH: 0px; BORDER-BOTTOM-WIDTH: 0px; BORDER-LEFT-WIDTH: 0px; PADDING-TOP: 0px"><TD style="PADDING-BOTTOM: 0px; BORDER-RIGHT-WIDTH: 0px; MARGIN: 0px; PADDING-LEFT: 0px; OUTLINE-WIDTH: 0px; PADDING-RIGHT: 0px; BORDER-TOP-WIDTH: 0px; BORDER-BOTTOM-WIDTH: 0px; BORDER-LEFT-WIDTH: 0px; PADDING-TOP: 0px" vAlign=top><OBJECT style="PADDING-BOTTOM: 0px; BORDER-RIGHT-WIDTH: 0px; MARGIN: 0px; PADDING-LEFT: 0px; OUTLINE-WIDTH: 0px; PADDING-RIGHT: 0px; BORDER-TOP-WIDTH: 0px; BORDER-BOTTOM-WIDTH: 0px; BORDER-LEFT-WIDTH: 0px; PADDING-TOP: 0px" codeBase="http://download.macromedia.com/pub/shockwave/cabs/flash/swflash.cab#version=6,0,29,0" classid=clsid:D27CDB6E-AE6D-11cf-96B8-444553540000 width=425 height=344>
























    <embed src="http://www.youtube.com/v/TVSAGv4kUgk&hl=en&fs=1" wmode="" quality="high" menu="false" pluginspage="http://www.macromedia.com/go/getflashplayer" type="application/x-shockwave-flash" width="425" height="344"></OBJECT></TD><TD style="PADDING-BOTTOM: 0px; BORDER-RIGHT-WIDTH: 0px; MARGIN: 0px; PADDING-LEFT: 0px; OUTLINE-WIDTH: 0px; PADDING-RIGHT: 0px; BORDER-TOP-WIDTH: 0px; BORDER-BOTTOM-WIDTH: 0px; BORDER-LEFT-WIDTH: 0px; PADDING-TOP: 0px" vAlign=top>ชาวแอตแลนติส ไม่เพียงแต่สั่งสินค้าส่วนใหญ่จากภายนอก แต่พวกเขาเองก็ผลิตแทบจะทุกสิ่งได้ที่จำเป็นสำหรับชีวิตประจำวัน โลหะแข็ง โลหะอ่อน และโลหะซึ่งเหลือแต่ชื่อ คือ โอริชาลคัม โลหะที่มีค่ามากที่สุด ยกเว้นทองคำ และแผ่นดินที่อุดมสมบูรณ์ มีต้นไม้สีเขียวทุกหนแห่ง อากาศที่แสนวิเศษ ทำให้ผลไม้สุกปีละสองครั้ง ในแผ่นดินมีช้าง และสัตว์อื่นๆ มากมาย ทั้งสัตว์ป่า และสัตว์เลี้ยง นครบนเขากลางเกาะ มีเส้นผ่าศูนย์กลางสามพันฟุต และเป็นนครอันชวนพิศวง สะพานถูกสร้างข้ามช่องแคบทะเลโดยโพซีดอน คลองถูกขุดจากนครสู่ทะเล และป้อมปราการเคลือบด้วยตะกั่ว ทองเหลือง และโอริชาลคัมสีแดง
    ณ ตำแหน่งใจกลางนคร คือ มหาราชวังและวิหารยิ่งใหญ่แห่งเทพโพซีดอน สถานศักดิ์สิทธิ์ ล้อมรอบด้วยกำแพงทอง ปกคลุมด้วยเงิน เด่นเป็นสง่าด้วยหอคอยทองคำเหนือหลังคางาช้าง ภายในวิหารมีอนุสาวรีย์ทองคำขององค์เทพ ขนาดใหญ่โตมโหฬาร จนกระทั่งสัมผัสหลังคาวิหาร
    </TD></TR></TBODY></TABLE>


    [/SIZE]ลากด้วยม้ามีปีกหกตัว ล้อมรอบด้วยเทพแห่งทะเล เป็นจำนวนร้อยขี่ปลาโลมา และที่ด้านนอกวิหาร มีอนุสาวรีย์ทองคำเจ้าชายแห่งแอตแลนติสทุกองค์พร้อมด้วยชายา

    และในเกาะมีน้ำพุร้อนและเย็น สำหรับอาบ เป็นน้ำพุประดับ สวนสาธารณะและสวนผลไม้ มีที่สำหรับออกกำลังกายสำหรับบุรุษและม้า สนามม้าแข่งขนาดใหญ่ โรงทหาร ห้องคนเฝ้ายาม อู่เรือ ท่าเรือ เต็มไปด้วยเรือสิน ค้าและเรือทหาร

    ที่ราบรอบนครล้อมรอบด้วยภูเขา และคลองหลายคลองลึกหนึ่งร้อยฟุต กว้างหกร้อยฟุต ทั้งหมดรวมกันแล้วยาวมากกว่าสามพันไมล์ แล้วกษัตริย์ทั้งสิบผู้ครองเกาะ ร่วมประชุมกัน ให้สัตย์ปฏิญาณต่อกันว่า จะช่วยเหลือกันเมื่อเผชิญกับสงคราม และพวกเขามีรถศึกหนึ่งหมื่นคัน กองทัพเรือ มีเรือมากกว่าหนึ่งพันลำ

    เวลาผ่านไปหลายชั่วอายุสมัย ผู้คนแห่งเกาะเป็นพลเมืองผู้เคารพกฎหมาย กษัตริย์ของพวกเขาก็ปกครองอย่างชาญฉลาดและยุติธรรม ไม่ให้คุณค่าแก่ทรัพย์สมบัติ ยกย่องคุณค่าแห่งความเป็นมนุษย์ แต่เมื่อเวลาผ่านไป ส่วนที่ดีแห่งจิตวิญญาณของพวกเขาก็ลดน้อยถอยลงไป และในหัวใจมีแต่ความทะเยอทะยานอย่างไม่คำนึงถึงกฎหมาย คลั่งไคล้หลงไหลในอำนาจ

    แล้ว ซูส กษัตริย์แห่งทวยเทพ ตระหนักถึงความเสื่อมทรามที่กำลังเกิดกับชนชาวแอตแลนติส ตั้งพระทัยจะลงโทษพวกเขา เพื่อว่าพวกเขาจะได้มีสติขึ้นมาอีก ซูสจึงเรียกทวยเทพมาชุมนุมกัน

    ดังนั้น กองทัพแห่งแอตแลนติสจึงรวมกำลังกัน มุ่งหวังจะพิชิตเฮลลาส และอียิปต์ และฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียนทั้งหมด และแล้ว มันก็เกิดขึ้น พระอียิปต์ปลอบใจโซลอน บุรุษแห่งเอเธนส์ได้แสดงออกถึงความกล้าหาญและความเก่งกล้าต่อโลก ในตอนแรก และในฐานะผู้นำของเฮลเลนส์ และแล้วก็ยืนอยู่อย่างเดียวดาย เมื่อถูกคนอื่น ๆ ผละหนีหาย หลังจากที่ได้เผชิญกับสุดยอดแห่งภยันตรายแล้ว เขาก็สามารถเอาชนะฝ่ายรุกรานได้ และสร้างอนุสรณ์สถานเอาไว้ รักษาความเป็นอิสระแก่คนจากความเป็นทาส และปลดปล่อยคนอื่น ๆ จากความเป็นทาส
    [​IMG]
    แต่แล้วก็เกิดมหันตภัยธรรมชาติ แผ่นดินไหวและน้ำท่วมใหญ่ ทั้งวันและคืนที่โหดร้าย แผ่นดินแยกและกลืนกินชีวิตนักรบของเอเธนส์ทั้งหมด ในขณะที่เกาะยิ่งใหญ่แห่งแอตแลนติสก็จมหายไปในทะเล และมาถึงทุกวันนี้ น้ำมหาสมุทรที่ตำแหน่งนั้นก็ตื้นเขิน เรือผ่านไม่ได้ กลายเป็นสันดอนดินโคลน ซึ่งเกิดจากแผ่นดินเมื่อเกาะถล่ม

     
  5. Ajarn Pithak

    Ajarn Pithak เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    1,367
    ค่าพลัง:
    +2,126
    Google Earth ค้นพบเมืองแอตแลนติส Atlantis
    [​IMG]

    กูลเกิ้ล สร้างความฮือฮาอีกครั้งเมื่อ ภาพนี้อาดจะเป็นสิ่งยืนยันว่า
    เป็นการค้นพบเมืองที่สาปสูญ แอตแลนติส ( Atlantis )
    ที่จมลงสู่ก้นมหาสมุทรเมือกว่า 9700 ปีก่อนคริสกาล
    อ่านข้อมูลเพิ่มเติมที่ wowboom: ค้นพบเมืองแอตแลนติส Atlantis
     
  6. Ajarn Pithak

    Ajarn Pithak เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    1,367
    ค่าพลัง:
    +2,126

    ปริศนาอาณาจักรใต้น้ำที่สาบสูญใน Yonaguni



    [​IMG]

    เกาะ Yonaguni ตั้งอยู่ห่างจากทางฝั่งตะวันออกของไต้หวันประมาณ 68 ไมล์ ที่สังเกตุได้คือมีหินมากมายและชายฝั่งก็เต็มไปด้วยภูเขา เป็นเกาะที่ยังคงความอุดมสมบูรณ์และบรรยากาศที่บริสุทธิ์ ไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกทันสมัยใดๆ ประชากรที่มีอยู่ไม่มากก็อยู่ตามแบบวิถีดังเดิมของชาวญี่ปุ่น สามารถสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นและมีมิตรไมตรีจิต Yonaguni เป็นที่รู้จักเพราะธรรมชาติอันน่าอัศจรรย์ที่จะนำเสนอประสบการณ์พจญภัยและการสำรวจให้กับนักท่องเที่ยว
    [​IMG]

    อย่างไรก็ตามสิ่งที่น่าสนใจของเกาะคืออาณาจักรที่จมอยู่ใต้น้ำ ชายฝั่งทางใต้ของเกาะ Yonaguni มีขอบเขต 100 x 50 x 25 เมตร มีโบราณวัตถุที่มนุษย์สร้างขึ้น แผ่นก้อนหินหนาที่เรียงตั้งขึ้นในมุมที่ถูกต้อง มีอายุประมาณ 8,000 ปี เป็นสิ่งซึ่งแสดงถึงเทคโนโลยีสมัยก่อนที่เคยใช้ในการแกะสลัก มีทฤษฎีต่างๆ มากมายที่อธิบายถึงความเป็นไปได้ของโครงสร้างก้อนหินเหล่านี้

    [​IMG]
    รูปภาพจาก Nemi.Kaunistytto
    ก้อนหินใน Yonaguni ที่คาดว่าจะเป็นวัดและสร้างด้วยมนุษย์ แม้ว่าลักษณะการสลักก้อนหินจะคล้ายกับการทำโดยองค์ประกอบทางธรณีวิทยาขณะที่บางความคิดเห็นเชื่อว่าอาณาจักรแห่งนี้คือร่อยรอยที่หายไปของ Continent of Mu แต่ก็มีนักโบราณคดีอื่นๆ หลายคนที่อ้างว่าเป็นสิ่งที่เกิดจากกระบวนการทางธรณีวิทยาอย่างหนึ่งที่ไม่สามารถอธิบายได้ แม้ว่าจะเห็นการออกแบบห้องโถงและบันได ที่ไม่น่าเชื่อว่าเป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติได้ทำให้เกิดขึ้น การสำรวจอย่างใกล้ชิดคลอบคลุมถึงความคิดที่ว่ากำแพงและหลุมต่างๆอาจเกิดจากมนุษย์ต่างดาวได้สร้างไว้

    [​IMG]
    บันได /รูปภาพจาก amakusaleanne

    ก้อนหินขนาดมหึมาเหล่านี้ถูกค้นพบโดยบังเอิญโดยนักดำน้ำในปี 1995 ที่ว่ายหลงออกไปจากฝั่งโอกินาว่า และได้พบกับโครงสร้างหินที่พื้นดินใต้ทะเลถุกปกคลุมด้วยปะการัง ภาพถ่ายของเขาได้รับความสนใจอย่างมากภายหลังที่ได้มีการเผยแพร่ในหนังสือพิมพ์ของญี่ปุ่นในวันต่อมา

    การค้นหาจึงเริ่มขึ้นโดนทีมผู้เชี่ยวชาญหลังจากการค้นหาขั้นต้นและในไม่ช้าก็ได้พบอารยธรรมโบราณใต้น้ำชิ้นอื่นอีก

    [​IMG]
    รูปภาพจาก Doremon360

    [​IMG]
    รูปภาพจาก amakusaleanne

    สิ่งที่น่าสนใจอย่างมากของการสร้างหินเหล่านี้คือการสร้างขึ้นอย่างสวยงามคล้ายกับสถาปัตยกรรมแบบอินคา ซึ่งเมื่อพิจารณาแล้วสามารถเชื่อมโยงกับอารยธรรมบนหลักสมัยก่อนประวัติศาสตร์ที่สัมพันธ์กัน การสำรวจนั้นค่อนข้างใช้เวลาและทักษะเพราะความรุนแรงของกระแสน้ำในมหาสมุทร


    [​IMG]
    Okinawa Rosetta Stone /รูปภาพจาก sarmoung


    [​IMG]
    Yonaguni symbol/รูปภาพจาก Doremon360

    การพิจารณาระหว่างการเกิดขึ้นโดยมนุษย์หรือธรรมชาติต้องหยุดพักลงตั้งแต่นักธรณีวิทยาใต้ทะเลได้รับการยืนยันว่าเป็นสิ่งที่ไม่เป็นไปตามธรรมชาติ ศาสตราจาย์ Masaaki Kimura แห่งมหาวิทยาลัย Ryukyus ให้ความสำคัญกับตำนาน Mu Continent น้อยลง แม้ว่าจะมีความขัดแย้งทางประวัตศาสตร์ ก็ยังมีการอ้างว่าอารยธรรมที่จมลงนี้มีอายุถึง 10,000 ปี ก่อนอารยธรรมอียิปต์ด้วย

    [​IMG]
    รูปภาพจาก Doremon360

    นอกจากอาณาจักรโบราณแล้ว เกาะ Yonaguni ยังมีจุดน่าสนใจอีกมากมายสำหรับผู้ที่ชอบการพจญภัย คุณอาจเป็นได้พบฉลามหัวฆ้อนระหว่างดำน้ำ ฉลามวาฬตัวใหญ่ที่หาดูได้ยากในส่วนอื่นของโลก กำน้ำชมถ้ำมากมายและโครงสร้างหินทางใต้ของเกาะ

    [​IMG]
    รูปภาพจาก Doremon360

    [​IMG]
    รูปภาพจาก amakusaleanne

    การเดินทางไปยังเกาะ Yonaguni ต้องตรวจสอบให้ดี เที่ยวบินและเรือเฟอรี่จะหยุดให้บริการหากสภาพอากาศเลวร้าย มีเพียง 1-2 เที่ยวบินต่อวันจาก Ishigaki มาลงที่สนามบินเล็กๆ ของ Yonaguni หรืออาจท่องเที่ยวด้วยเรือที่จะออกในวันพุธและวันเสาร์จาก Ishigaki

    [​IMG]
    .
    [​IMG]
    .
    [​IMG]

    แปลโดย HyperDolly@MundoYo
    ที่มา The Mysterious Underwater Ruins of the Lost World in Yonaguni - pasat - Zimbio

     
  7. Ajarn Pithak

    Ajarn Pithak เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    1,367
    ค่าพลัง:
    +2,126
    Atlantis


    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=dje47HG7c90"]YouTube - Atlantis: Secret Star Mappers of A Lost World[/ame]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 มีนาคม 2011
  8. Ajarn Pithak

    Ajarn Pithak เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    1,367
    ค่าพลัง:
    +2,126
    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=DgFCq14oWGA"]YouTube - Lemuria / Mu - (2008 English edition)[/ame]

    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=SRXLLsPn3po"]YouTube - Lemuria: The Hidden History of Mankind's Motherland [1/21][/ame] 1

    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=sgzWmlmMQII"]YouTube - Lemuria: The Hidden History of Mankind's Motherland [2/21][/ame] 2

    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=A8CDpXY9gGw"]YouTube - Lemuria: The Hidden History of Mankind's Motherland [3/21][/ame] 3

    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=U_1YXE1vohA"]YouTube - Lemuria: The Hidden History of Mankind's Motherland [4/21][/ame] 4

    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=Jzt8fwXHl7I"]YouTube - Lemuria: The Hidden History of Mankind's Motherland [5/21][/ame] 5

    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=ZE5rWgZp3js"]YouTube - Lemuria: The Hidden History of Mankind's Motherland [6/21][/ame] 6

    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=bQZl9Mu-eU0"]YouTube - Lemuria: The Hidden History of Mankind's Motherland [7/21][/ame] 7

    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=K0sK_qx5xts"]YouTube - Lemuria: The Hidden History of Mankind's Motherland [8/21][/ame] 8

    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=5tBB3Bfh5Zk"]YouTube - Lemuria - The Hidden History of Mankind's Motherland - pt 9 of 21[/ame] 9

    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=YvknVc42lCo"]YouTube - Lemuria - The Hidden History of Mankind's Motherland - pt 10 of 21[/ame] 10

    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=OslqHAvrDO0"]YouTube - Lemuria: The Hidden History of Mankind's Motherland [11/21][/ame] 11

    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=ijrYQxOUxa4"]YouTube - Lemuria: The Hidden History of Mankind's Motherland [12/21][/ame] 12

    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=lm5e8kL2di4"]YouTube - Lemuria: The Hidden History of Mankind's Motherland [13/21][/ame] 13

    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=Ldx4nXCLSTI"]YouTube - Lemuria: The Hidden History of Mankind's Motherland [14/21][/ame] 14

    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=9qPUMl9QLGA"]YouTube - Lemuria - The Hidden History of Mankind's Motherland - pt 15 of 21[/ame] 15

    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=Ll_O_JrSDOw"]YouTube - Lemuria - The Hidden History of Mankind's Motherland - pt 16 of 21[/ame] 16

    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=MrCVqZ950Os"]YouTube - Lemuria: The Hidden History of Mankind's Motherland [17/21][/ame] 17

    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=XbmPKabGufI"]YouTube - Lemuria: The Hidden History of Mankind's Motherland [18/21][/ame] 18

    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=mwOA89hf4Rw"]YouTube - Lemuria - The Hidden History of Mankind's Motherland - pt 19 of 21[/ame] 19

    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=6ByiIEVBkZc"]YouTube - Lemuria: The Hidden History of Mankind's Motherland [21/21][/ame] 21





     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 มีนาคม 2011
  9. Ajarn Pithak

    Ajarn Pithak เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    1,367
    ค่าพลัง:
    +2,126
    Atlantis

    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=TVSAGv4kUgk]YouTube - Part 1 of 25 - The Legend of Atlantis - It´s Time to Wake Up[/ame] 1

    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=3ANEEzz7s9s]YouTube - Part 2 of 25 - The Legend of Atlantis - It´s Time to Wake Up[/ame] 2

    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=QxAcTN2NZWs]YouTube - Part 3 of 25 - The Legend of Atlantis - It´s Time to Wake Up[/ame] 3

    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=ulbQONNtvSE]YouTube - Part 4 of 25 - The Legend of Atlantis - It´s Time to Wake Up[/ame] 4

    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=_ip0EKHya54]YouTube - Part 5 of 25 - The Legend of Atlantis - It´s Time to Wake Up[/ame] 5

    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=HVXbCsbb1o4]YouTube - Part 6 of 25 - The Legend of Atlantis - It´s Time to Wake Up[/ame] 6

    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=VMB3G4shDaE]YouTube - Part 7 of 25 - The Legend of Atlantis - It´s Time to Wake Up[/ame] 7

    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=CZJKdkELYpA]YouTube - Part 8 of 25 - The Legend of Atlantis - It´s Time to Wake Up[/ame] 8

    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=N6uM1xA9EiE]YouTube - Part 9 of 25 - The Legend of Atlantis - It´s Time to Wake Up[/ame] 9

    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=LmHR5oXj9rE]YouTube - Part 10 of 25 - The Legend of Atlantis - Its Time to Wake Up[/ame] 10

    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=0db_TYXVrio]YouTube - Part 11 of 25 - The Legend of Atlantis - It´s Time to Wake Up[/ame] 11

    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=DtJbeXrSTFc]YouTube - Part 12 of 25 - The Legend of Atlantis - It´s Time to Wake Up[/ame] 12

    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=V_SEs_ZLgss]YouTube - Part 13 of 25 - The Legend of Atlantis - It´s Time to Wake Up[/ame] 13

    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=sMpkf9W_YIM]YouTube - Part 14 of 25 - The Legend of Atlantis - It´s Time to Wake Up[/ame] 14

    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=xXGiuXUgnrs]YouTube - Part 15 of 25 - The Legend of Atlantis - It´s Time to Wake Up[/ame] 15


    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=vgpt2mTDpXk]YouTube - Part 16 of 25 - The Legend of Atlantis - It´s Time to Wake Up[/ame] 16

    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=hBy2p_yef-Y]YouTube - Part 17 of 25 - The Legend of Atlantis - It´s Time to Wake Up[/ame] 17

    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=B__goTGsh_s]YouTube - Part 18 of 25 - The Legend of Atlantis - It´s Time to Wake Up[/ame] 18

    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=ESI8fFtvm3s]YouTube - Part 19 of 25 - The Legend of Atlantis - It´s Time to Wake Up[/ame] 19

    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=jHM1bULiHRs]YouTube - Part 20 of 25 - The Legend of Atlantis - It´s Time to Wake Up[/ame] 20

    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=6XEv9DySCno]YouTube - Part 21 of 25 - The Legend of Atlantis - It´s Time to Wake Up[/ame] 21

    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=CLEgP6SjHZk]YouTube - Part 22 of 25 - The Legend of Atlantis - It´s Time to Wake Up[/ame] 22

    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=RmTno5j0Xy0]YouTube - Part 23 of 25 - The Legend of Atlantis - It´s Time to Wake Up[/ame] 23

    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=iv4iwVvsgJ8]YouTube - Part 24 of 25 - The Legend of Atlantis - It´s Time to Wake Up[/ame] 24

    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=ukQUaV9p5Nw]YouTube - Part 25 of 25 - The Legend of Atlantis - It´s Time to Wake Up[/ame] 25
     
  10. obs2553

    obs2553 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มกราคม 2011
    โพสต์:
    1,289
    ค่าพลัง:
    +176
    ขอสมัครสมาชิก ติดตามอ่านค่ะ
    น่าสนใจมาก

    ชอบเว็บบอร์ดพลังจิตเพราะแบบนี้แหละ มีเรื่องน่าสนใจให้ได้อ่านเยอะเลย

    :cool:
     
  11. obs2553

    obs2553 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มกราคม 2011
    โพสต์:
    1,289
    ค่าพลัง:
    +176
    ถ้าพูดถึง การล่มสลายอย่างฉับพลันของอาณาจักรต่างๆ ยังมี "ปอมเปอี" ซากนครแห่งความตายอีกเรื่องค่ะ ที่น่าจะเข้าข่าย

    สำหรับเรื่องของ "ปอมเปอี" เป็นความสยดสยองที่ชัดเจนมาก เพราะพบซากเมือง ซากชาวปอมเปเอียนและสัตว์เลี้ยงที่ตายและกลายเป็นหิน ซึ่งอยู่ในสภาพเกือบเหมือนเดิมทุกประการ เป็นลักษณะของคนที่เห็นจุดจบของชีวิตอยู่ตรงหน้า โดยที่ไม่สามารถดิ้นรนหนีไปไหนได้ ทั้งหวาดกลัว ตื่นตระหนก และสิ้นหวัง ผู้ที่ได้เห็นสุสานซากนครแห่งความตายนี้ ต่างพากันสลดหดหู่ไปกับโชคชะตาของชาวปอมเปอี บางคนนั่งเอามือปิดหน้าตาย บางคนซบหน้ากับกำแพงบ้านตายก็มี...

    http://www.scimag.info/topic_detail.php?emag_id= & topic_id=22 & topic_value=
     
  12. Apollo14

    Apollo14 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มกราคม 2011
    โพสต์:
    352
    ค่าพลัง:
    +199
    ถ้า แอตแลนติส จมลงในมหาสมุทร แอตแลนติก นาจะเกิดจากการชนของ เนบิรู เพราะ
    ช่วง มหาสมุทร แอตแลนติก กว้าง และเป็นพื่นที่ ๆ มีลักษณะเบี้ยวเมื่อดูจาก ลักษณะของโลก จากภาพถ่ายทางอวกาศ (ความคิดเห็นส่วนตัวนะครับ)
     
  13. Ajarn Pithak

    Ajarn Pithak เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    1,367
    ค่าพลัง:
    +2,126
    อาทเป็นอย่างที่คุณคิดก็ได้ครับ
     
  14. Nu_Bombam

    Nu_Bombam เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    1,030
    ค่าพลัง:
    +4,914
    ว่าแต่หนังสือ "มู นครอันตธาน" ยังหาซื้อได้อยู่รึเปล่าครับ

    ถามพี่กูเกิ้ลดู ไม่เห็นมีสำนักพิมพ์ไหนขายอยู่เลย
     

แชร์หน้านี้

Loading...