การเพ่ง กสิณ

ในห้อง 'ประสบการณ์อภิญญา' ตั้งกระทู้โดย พระบาก, 26 ตุลาคม 2010.

  1. พระบาก

    พระบาก Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    6
    ค่าพลัง:
    +44
    อาตมา จะพูดถึงเรื่องการเพ่ง กสิณ ลม ที่อาตมาได้ฝึกปฎิบัติมา


    การมาตั้งกระทู้ในนี้ ไม่ได้นำมาเพื่อ อวด แต่นำมาเพื่อเป็นแนวทางการ

    ปฎิบัติ การ ทำกรรมฐาน ครูบาอาจารย์ ของอาตมา ท่านเป็น พระฌานโลกีย์ ท่านนับถือ หลวงพ่อฤาษีลิงดำ มาก ท่านบอกว่า

    "อ่านหนังสือ เมื่อเข้าใจแล้ว ก็วางมันเสีย แล้วทำ เอาเท่าที่รู้ทำให้ คล่อง เมื่อทำแล้วทำให้จริงจัง แต่อย่าเครียด ทำอารมณ์ สบายๆ ค่อยๆ ทำ ไป "

    แล้ว ท่าน บอกว่า "คุณลอง มานอนดูต้นไม้ เนี่ย สัก ๗ วัน
    แล้วคุยจะเพลินเลยละ "

    อาตมาก็มา ลอง ลองวันแรกนั่งที่เจดีย์ วัดที่อาตมาจำพรรษาอยู่ ต้นไม้เยอะ กลางวันก็ไม่ร้อน อาตมา ก็ มองดูลมไป ดูอย่างไง ดูที่ต้นไม้ ใบไม้ เนี่ยแหละ แล้วก็ฟังเสียง นกร้อง เสียงต่างๆ เสียง มันก็คือลม แล้วก็ภาวนา พร้อมกับกำหนดหายใจเข้าออก หายใจเข้าก็ ลม หายใจออก ก็ ลม หรือ วาโย สินัง ก็ได้เช่นเดียวกัน

    การเพ่งไม่ใช่สักแต่ว่าเพ่ง ใช้ปัญญา พิจารณาไปด้วย พิจารณาอย่างไร

    เมื่อเราเพ่งจนจับนิมิตได้แล้ว นิมิตคือ นึก ภาพที่ต้นไม้ถูกลมพัดนะ ไม่ใช่รอมันลอยมา การที่นึกก็ต่อเมื่อเรา จดจ่อจนมันเข้าไปอยู่ในจิตใจของเราแล้วเราก็ นึกมันขึ้นมา พิจารณา

    เหมือนกับ การที่เราดูหนัง ในโรงหนัง จิตใจของเราจับจด จ่ออยู่กับ กิจกรรม ของตัวละคร และการดำเนินเรื่อง เมื่อหนังจบ เราก็มักจะยังไม่จบนำมาคิด นำมาพูดนำมาคุย

    เอาเป็นว่าเมื่อจำนิมิตลม เราก็พิจารณา ว่า ลมนี้ มี ทั้งดี และไม่ดี ลมมีสีหรือไม่มี

    ลมที่ดีเป็นอย่างไร ลมที่ไม่ดีเป็นอย่างไร ลมไม่ดีก็ ลมที่พัดพาโรคร้ายต่างๆ มาสู่มนุษย์ พากันล้มตาย เป็นต้น อันนี้ เราพูดถึงการพิจารณาลมนะ

    ( อาตมา ขอไม่บอกหมดเพราะถ้าบอกหมดทุกอย่างปัญญาจะไม่เกิด )

    อาจารย์ ของอาตมา ก็บอก เวลาฝึก พิจารณาแล้ว ก็นึกไปด้วย กำหนดลมหายใจเข้าออก นึกภาพตัวเอง ใสเหมือนแก้ว เบาเย็น สบาย เย็นทั้งกายในกายนอก ถ้า ทำได้ พอเลิกทำ มันก็เย็นสักพัก ใหญ่ๆ รู้สึกตัวเองเบาสบาย ถือว่าได้ขั้นนึง

    การเพ่งในหนังสือ บอกเห็น เป็นหมอกไอน้ำหุ้งต้ม แต่อาจารย์ของ อาตมา เห็น เนี่ยมันมาเป็นคลื่นๆ เหมือนน้ำ พอเราเดินสวน มันมันก็หมุนข้างหลังเรา ตัวอาตมาเห็น ทั้งหมอก ทั้งคลื่น หมอก เนี่ย เห็นช่วงแรกๆ คือมันติดที่ต้นไม้จนมองเห็นต้นไม้ไม่ชัดสักพักนึงแล้วก็หายไป เห็นช่วงหลังๆ มันจะมาเป็นเหมือนคลื่นๆ เห็นเนี่ย มันไม่ใช่ว่าจะเห็น ตลอดทั้งปี ทั้งเดือน ทั้งวัน มันเป็นช่วงเดียว พออารมณ์ที่มันแทรกมากระทบมันก็หาย อาตมา ตั้งใจ อธิฐาน ต่อหน้าพระพุทธ ว่า "ข้าพเจ้าจับกสิณลม จนออกพรรษา ขอให้เป็นผลสำเร็จ"เป็นการตั้งจิตในการทำ อาตมาก็ทำทุกวันแต่ไม่ได้ตลอดเวลา เพราะ วันนึงเนี่ยเจอโยม เจอพระ ต้องเรียนอีก ก็ทำช่วงที่ว่างจากกิจกรรมการพูด สนทนา ก็ทำทำอย่างไร ก็ ลมมากระทบ เราก็ว่าลม เสียงมากระทบ ก็ลม เสียงของคนก็คือ ลม ที่ออก มาจากในกาย ผ่าน ม้าม ปอด ไส้ หลอดลม ลิ้นไก่ ลิ้น ฟัน กระพุ้งแก้ม เสลด อาหารเก่า อาหารใหม่ เป็นต้น มีจิต สันดาน เป็นตัวบังคับ คือเราเพ่งพร้อมกับใช้ปัญญา พิจราณาหาความจริงไปด้วยก็จะได้หลายอย่างไปในตัวทั้ง กสิณลม กายคตา วิปัสณาญาณ มันจะเกิดขึ้นพร้อมๆ กันไปด้วย

    การฝึกได้ช้าหรือเร็ว ขึ้นอยู่กับความอดทน ความเพียร และ บุญ บารมีที่เคยทำหรือบำเพ็ญมาด้วยคนที่เคยฝึกมาก่อนพอมาทำป๊บก็จับได้เร็วทำได้เร็ว

    การฝึกแบบนี้ มันทำให้จิตใจสงบ แต่ถ้าจะฝึกให้ เกิด อภินิหารเนี่ย ความเพียรพยายาม ต้องใช้เยอะ ซึ่งอาตมายังทำไม่ได้ เพราะยังหาเวลาว่างที่จะอยู่กับมันทั้งวันเนี่ยยากต้องไปธุดงค์ หรือ หาที่สงบขาดจากการรบกวนจะทำได้ไว

    มาตั้งกระทู้หรือโพสในครั้งนี้เพื่อเป็นแนวทางในการศึกษาและปฎิบัติ

    ผิดพลาดประการได้ข้าพเจ้าขอ ขมาโทษต่อ พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ และ ครูบาอาจารย์ อภัยให้ข้าพเจ้าด้วย สาธุ
     
  2. เส้นเล็ก

    เส้นเล็ก Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2010
    โพสต์:
    14
    ค่าพลัง:
    +96
    สวัสดีครับ....

    "เมื่อเราเพ่งจนจับนิมิตได้แล้ว นิมิตคือ นึก ภาพที่ต้นไม้ถูกลมพัดนะ ไม่ใช่รอมันลอยมา การที่นึกก็ต่อเมื่อเรา จดจ่อจนมันเข้าไปอยู่ในจิตใจของเราแล้วเราก็ นึกมันขึ้นมา พิจารณา"
    ขอถามพระคุณเจ้าครับ.... ขณะที่นึก มีภาพไหม หรือเป็นแค่การจินตนาการ
    ว่าเป็นภาพ แต่ไม่ใช่ภาพอย่างตาเห็น เพราะเราหลับตาลงก็จะไม่เห็น มันมืด
    แล้วภาพมาได้อย่างไร คนเรานึก... ยังไงก็ไม่มีภาพ ที่บอกว่าใช้ ใจ.. นึกเอา
    ก็นึกแล้ว ภาพไม่เกิดขึ้น ปัญหาหลักของการฝึก กสิณ ทำอย่างไรให้นึกแล้ว
    มีภาพ......... ถ้าไม่มีภาพก็ต้องมานั่งดูแล้วดูอีก ทำจนท้อ... ลืมตาดูแล้วก็
    หลับตานึก จะเห็นได้แว็บหนึ่ง ที่เห็นนะเป็นเงาสะท้อนมากกว่า เช่น มองแผ่น
    กสิณ ไม่ว่าสีไหนก็ตาม เราหลับตาลงก็จะเห็น สีที่ตรงกันข้ามกันแผ่นที่มอง
    สีแดง ก็จะเห็นเป็นสีเขียว เป็นต้น..... ไม่ต้องมานานหรอกครับ แค่ไม่เกิน
    3 วินาที หลับตาก็จะเห็นสีเขียวเป็นวงทันที ไม่นานที่เห็นวงเขียวก็หายไป
    ทำซ้ำอย่างนี้......... ผมว่าไม่นานก็ต้องเลิก เพราะเบื่อไปเอง......
    ฝึกอย่างไรให้เห็นภาพ....... ขอเรียนถามครับ
     
  3. พระบาก

    พระบาก Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    6
    ค่าพลัง:
    +44
    นึกคือ นึก ภาพที่เราเห็น เหมือน เวลาฝึกมโนมยิทธิ มันต้องวิปัสนึกก่อนนะ

    นึกมันก็คือเรา คิดถึง เหมือนเราคิดถึงแม่ เราก็นึกถึงหน้าแม่ การกระทำของแม่ที่มีต่อเรา

    ความคุ้นเคย เคยชินกับแม่ก็จำหน้าแม่ได้ว่าเนี่ยคือแม่ของเรา

    โยมจับกสิณ สี สมมุติว่ามองสีแดง พอหลับตาสีมันตรงข้าม เรานึกภาพสีแดงที่เรามองนึกมันจนชิน

    ถ้ามันเปลื่ยนสีเป็นสีอื่น ก็ นึกแต่สีที่เพ่งก่อนหลับตา เขาเรียกว่าเพ่ง "นิมิต"

    หลับตาเนี่ยไม่ใช่มองที่มันมืดๆ นะ ถ้ามองที่มืดๆ โยม เพ่งไฟ พอหลับตามันจะเป็นอีกสีไฟอีกสี ให้นึกถึงรูปของเนื้อไฟเปลวไฟและความสามารถของไฟ พิจารณามัน ไฟราคะ ไฟความลุ่มหลง ไฟโทสะ เรานึก นึก นึก
    เพราะที่โยมทำมันไม่ได้นึก มันรอว่า ทำไมเพ่งสีแดง พอหลับตาเป็นสีเขียว ธรรมชาติของมันเป็นอย่างนั้น เรา หลับแล้วเรานึกถึงสีแดงที่เพ่งตอนแรก ไม่ต้องสน เพราะความมืด มัน Invert สีมันเลยกลับ เล่นศัพท์ ด้วย

    หลับตาค่อยๆ หลับ หลับตาเบาๆ อย่าเกร็งเกินไป ตั้งกายให้ ตรง ดำรงจิตให้มั่น กายวิเวก

    จิตวิเวก ปล่อยอารมณ์ สบายๆ ไม่นึกถึงอดีต ไม่คิดถึงอนาคต อยู่กับปัจจุบัน แล้วก็เริ่มเลย

    จำภาพที่เห็นเมื่อหลับตาแล้วเห็นภาพท่านว่า นิมิต นิมิต "สร้าง" มโน "จิต หรือ ใจ"
     
  4. ZIGOVILLE

    ZIGOVILLE เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    196
    ค่าพลัง:
    +792
    ขออนุโมทนาด้วยนะครับพระคุณเจ้า ขอให้นักปฏิบัติทุกท่านก้าวข้ามพ้นสังสารวัฎภายในเร็ววันนะครับ
     
  5. romanov

    romanov Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    19
    ค่าพลัง:
    +30
    ผมก็เจอปัญหาไม่ค่อยเข้าใจเหมือนกันครับ
    อ่านมาหลายที่ก็ไม่ค่อยจะเข้าใจครับ (ผมคงกิเลสเยอะมากๆ)

    ที่ผมทำคือนำ ฟิวเจอร์บอร์ดสีดำ ทำเป็นสีพื้น นำไปติดที่ผนังห้อง แล้วเอาสติ๊กเกอร์สีขาวตัดเป็นวงกลมไปติดตรงกลาง

    พอผมเพ่ง แล้วหลับตา วงกลมสีขาวจะกลายเป็นสีดำ ส่วนรอบนอกจะกลายเป็นสีขาว (นึกว่าจะเป็นแค่ผมคนเดียวซะแล้ว)

    แต่ที่ผมทำอยู่นี้ ผมใช้ตามองจริงๆ คือพอมองดูภาพ แล้วจำ แล้วก็หลับตา หลังจากหลับตาก็คือใช้ตามองจริงๆเหมือนเดิม แต่แค่หลับตา ซึ่งผมว่ามันคือการมองดูเปลือกตาของเรานั่นเอง ถ้าหลับตาโดยนึกเอาอย่างเดียว ผมไม่เห็นอะไรเลยครับ ได้แต่นึกรู้ว่าวงกลมสีขาวนั้นมันเป็นอย่างไร แต่ไม่ได้เห็นภาพ
    (ที่ผมเลือกพื้นสีดำ วงกลมสีขาว เพราะผมคิดว่ามันเป็นสีที่ตัดกันสุดๆ น่าจะง่ายที่สุดครับ ไม่รู้คิดถูกหรือเปล่า)

    หลังจากนั้นผมก็ลองมาเพ่งไฟเทียนไขดู ก็เหมือนกันครับ ใช้ตามองถึงเห็นภาพ นึกเอาก็เพียงแต่รู้ว่าภาพเปลวไฟที่เทียนเป็นอย่างไร

    แบ่งเป็นอย่างนี้ได้ไหมครับ
    วิธีที่1 คือหลังจากหลับตาให้มองที่เปลือกตาเรา ใช้ตาจริงๆมอง
    วิธีที่2 คือหลับตาแล้ว ให้นึกถึงภาพนั้นๆ
    สรุปคือ วิธีที่1 หรือ วิธีที่2 ถูกครับ หรือผิดทั้งคู่
    ขอบคุณมากครับ
     
  6. เส้นเล็ก

    เส้นเล็ก Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2010
    โพสต์:
    14
    ค่าพลัง:
    +96
    "ถ้าหลับตาโดยนึกเอาอย่างเดียว ผมไม่เห็นอะไรเลยครับ ได้แต่นึกรู้ว่าวงกลมสีขาวนั้นมันเป็นอย่างไร แต่ไม่ได้เห็นภาพ" นี่แหละคนที่ฝึกจะเป็นอย่างที่บอกทุกท่าน
    นึก หรือ วิปัสนึก หรือ จินตนาการ แค่รู้ว่า วงกลมสีขาวเป็นอย่างไร แต่ไม่มีภาพ......
    ฝึกอย่างไรให้มีภาพเหมือนฝัน แต่เราไม่ได้ฝัน การฝันจะเป็นภาพเหมือนดูหนัง แต่นี่แค่
    ให้เห็นเป็น วงกลมสีขาว ไม่มีการเคลื่อนไหวอย่างภาพที่ฝัน ฝึกอย่างไรครับ.......
    "ที่ผมเลือกพื้นสีดำ วงกลมสีขาว เพราะผมคิดว่ามันเป็นสีที่ตัดกันสุดๆ" คุณก็ทำถูกต้อง
    แล้วตามหลักทุกอย่าง เรามองไม่เกิน 10 วินาที เราหลับตาทุกคนก็ต้องเห็น วงกลมสีดำ
    พื้นสีขาว ในขณะเดียวกันก็นึกให้เป็นวงกลมสีขาวทันที ทำอย่างที่เขียนก็ไม่เป็นสีขาวซะที
    ถ้าเราใช้การฝึกแบบของเว็บ กสิณ..... ที่บอกว่าให้ใช้การเพ่งแบบเข้าณาน คือดูแผ่นกสิณ
    ไม่ต้องนานแล้วหลับตา ไม่ต้องลืมตาไปสักพักใหญ่ นึกให้ได้ถึงกลุ่มหมอก......
    แล้วเพ่งนึกกลุ่มหมอกนั้นแทน....... ส่วนมากก็ได้อยู่แค่นี้แหละ.....
    ผมว่าการฝึก กสิณ ต่างๆ มันมีเคล็ดลับบางอย่างที่อธิบายเป็นตัวหนังสือได้ แต่ฝึกไม่ง่ายๆๆๆๆๆ (ยากมากๆ)
    การนึกของคนเรา นึกยังไม่ก็ไม่มีภาพ ไม่เห็นภาพ "นิมิต" ที่เอ่ยถึงก็ไม่มี.......
    ผมว่านี่คือความลับครับ....... เป็นการรู้เห็นได้เฉพาะบุคคล ไม่ใช่ได้ทุกคน
     
  7. warawee

    warawee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    92
    ค่าพลัง:
    +326
    ขออนุโมทนาด้วยนะคะพระคุณเจ้า ขอให้นักปฏิบัติทุกท่านก้าวข้ามพ้นสังสารวัฎภายในเร็ววัน
     
  8. พระบาก

    พระบาก Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    6
    ค่าพลัง:
    +44
    ที่ท่าน ย่ำว่า หลับตา หลับตา เนี่ย เขาให้หลับตาเพื่อ อารมณ์มันจะได้แทรกได้น้อยที่ สุด
    ตามันจับภาพอะไร มันส่งไปถึงจิต จิตที่ไม่เคยฝึกเลยเจออะไรต่างๆมันก็ค้อยตามและหวั่นไหว ง่าย การฝึกเขาจึงให้หลับตา

    อาตมาว่า วิธีที่ ๒ หลับตา เพื่อตัดอารมณ์ภายนอก ใช้จิต นึกถึงภาพ นิมิตกสิณ
    หรือเพ่งตาเปล่า เลย ก็ได้ เอาจิต จดจ่ออยู่กับสิ่งที่เพ่ง เพ่งกสิณเนี่ย ง่ายกว่าจับลมหายใจเข้าออกอีก ลมหายใจเข้าออกเนี่ย มันมองไม่เห็น แต่กสิณมันมีรูปมันเห็นได้มันจดจำง่าย


    โยมเพ่ง สีขาวไม่ต้องทำให้ยากหรอก เณรที่วัด อาตมา มันมอง A4 ตอนทำ
    วัตรเย็น ปากมันก็ขยับตามเขาสวดแต่ ตา กับ จิต มันเพ่ง กระดาษ A4สีขาว
    มัน มองไป มอง มา ชม.กว่า ไม่คิดอะไรกายเป็นสีรุ้ง

    มันก็เรียกอาตมาบอกว่า "หลวงๆ ดูดิ เป็นสีรุ้งเฉยเลย" อาตมาก็บอก ดีแล้วเป็น
    การให้กำลังใจมันอาตมาไม่ได้เห็นกับมันหรอกแต่ เด็ก เณร เนี่ยจะทำได้ไว
    เพราะเขาไม่ใช้ความคิดเยอะ ผู้ใหญ่เราความคิดเต็มหัว ดีบ้างไม่ดีบ้าง

    การปฎิบัติก็ขึ้นอยู่กับคนนะ คือ พระเณร เถรชี เขาปฎิบัติ ได้ไว เพราะ เขาใช้ชีวิตอย่างนักบวชง่ายๆ คือ ครอบครัว ไม่มี เงิน ไม่ต้องหา พอใจในเท่าที่มี

    โยมทั้งทำงาน คิดถึงครอบครัว คน รัก วัตถุการเงิน หลายๆ อย่าง ประดังเข้ามาในจิตใจแต่ละวัน มันยากต่อการ ปฎิบัติ
    อยู่ๆ โยมไป เพ่ง เลย แล้วหลับตาหาภาพ อารมณ์ หงุดหงิดเกิดคืออารมณ์ ไม่พอใจ " ทำไมไม่เห็นอย่างเขาว่า ว่ะ " ทำไม่ได้แล้วแค่เนี่ย นิวรณ์ ๕ หนะโยม จะต้องตัดมัน ช่วงเพ่งกสิณเนี่ยมันก็ต้องฝึกกันก่อน ไปถึงนังเพ่งเลยก็ไม่ได้หรอก

    จิตจับลมหายใจเข้าออก ภาวนา สักพัก แล้วค่อยเพ่งก็จะดี มันจะได้ตัดอารมณ์
    ที่รับมาจนหนักจิตไปก่อน แล้วค่อยเพ่งกสิณ ด้วย ตา หรือ เพ่งนิมิตก็ได้
    ถ้าเพ่งนิมิตแล้วมันฟุ้ง ก็ลืมตา เพ่งด้วยตา เอาจิตจดจ่อ ถ้ามันยังฟุ้งคิดเรื่องอื่นอีก ก็ นั่งจับ ลมหายใจเข้าออก ถ้าหากมันอยากคิด เราปล่อยมันคิดเลยเด๋วมันก็หยุด หยุดเราก็ดึง เข้าจับลมหายใจ พอสงบค่อยเพ่งต่อ ที่สำคัญคืออารมณ์ ต้องไม่เครียด ทำสบายๆ
     
  9. mngo

    mngo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 เมษายน 2010
    โพสต์:
    605
    ค่าพลัง:
    +1,335
    กราบอนุโมทนาครับพระคุณเจ้า คืบหน้ายังไงบอกกันด้วยนะครับ สาธุๆๆ

    ผมกำลังฝึกดินอยู่เหมือนกันครับ ไม่คืบหน้า
     
  10. fashe

    fashe Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    82
    ค่าพลัง:
    +69
    ต้องฝึกบ่อยๆครับ เอาอย่างนี้ถ้าคุณเพ่งไฟ หลับตาแล้วนึกถึงภาพไฟนั้น ให้นึกบ่อยๆ หากมีอารมณ์รู้ว่าตาร้อนๆ แล้วมีแสงเหมือนกะพริบๆของไฟสีเหลืองส้มสว่างๆนั่นแสดงว่าเริ่มเป็นสมาธิบ้างแล้ว ให้จิตนั้นดิ่งลงกลางที่มีไฟหนา วางอารมณ์สบายๆ อย่าใช้ตานะครับ ให้ใช้จิตเหมือนกับการจิตนาการว่าตอนนี้มีเปลวไฟอยู่ข้างหน้าเรา หากคุณเผลอไปใช้ตา ภาพนิมิตก็จะหายไป เพราะจิตทิ้งอารมณ์นึกหันไปจับที่ตาแทน ให้ตัดประสาทตาให้ได้นะ แรกๆ ถ้าจะให้ดีให้ฝึกแบบลืมตาก็ได้ เช่นคุณเอากระดาษสีดำหรือมองกระจกดำ หรือสีขาวก็ได้แล้วแต่ชอบ ให้ดูไฟแล้วจำสีแสงและลักษณะของไฟ(ถ้าให้ดีพกไฟแช็คสักอัน) แล้วมองที่กระดาษมองแบบเหม่อลอย ให้ใจนึกถึงนิมิตกสิณค้างไว้แบบติดตาติดใจ แรกๆจะอยู่ได้ไม่นาน เพราะจะเผลอไปมองที่ตา ให้ทำอย่างนี้บ่อยแล้วจะนึกเห็นค้างได้นานขึ้น ผมจะยกตัวอย่างเช่น เราทุกคนคงเคยเหม่อลอยทั้งๆที่ตามองไปข้างหน้า แต่ใจนึกไปถึงเรื่องที่คิด ยิ่งคิดยิ่งทำให้อินไปกับเรื่องเหล่านั้น เพราะจิตเราทรงอารมณ์นึกคิดเป็นอารมณ์เดียว อะไรจะผ่านหน้าไปมาก็ไม่รู้เรื่อง ใครจะพูดอะไรก็ไม่รู้เรือง อย่างนี้คือตัดประสาทสัมผัสทางตาทางหูได้บ้าง และการฝึกกสิณก็ให้ใช้อารมณ์ร่วมเข้าไปด้วย จิตจะได้ร่วมเป็นหนึ่งได้ง่าย

    จิตนั้นเป็นใหญ่ทุกสิ่งสำเร็จได้ด้วยจิต
    การใช้จิตเพ่งและไม่ใช้ตานั้น มันต้องทำไปเรื่อยๆถึงจะรู้ได้เอง ต่อให้ใครมาบอกมากมายยังไง มันก็ยังไม่เข้าใจ เพราะมันเป็นเรื่องของอารมณ์นะครับว่าอารมณ์แบบไหนใช้จิต(คล้ายอยู่ในภวัง)แล้วเห็นได้ชัด พอรู้อารมณ์ในกสิณนั้นแล้วให้จำอารมณ์ไว้ให้ได้นะครับ

    ผมเคยมีอยู่ครั้งสองครั้ง ตั้งใจมากเกินไปในการหาอารมณ์ของกสิณ มันนึกไม่ออก แบบผุดๆโผล่ๆ เพราะจิตยังผูกกับตามากเกินไป แต่พอวางอารมณ์สบายๆเบา แบบได้ก็ช่างไม่ได้ก็ช่าง อยู่ๆก็ต้องตกใจเพราะภาพที่ผมนึกมันผุดขึ้นมา ชัดเจน อย่างกับว่าเราลืมตามองเลย ด้วยความตกใจ อารมณ์เลยเคลื่อน แม้ออกจากสมาธิก็ยังติดตาติดใจไม่หาย
    นี่คงเป็นประสบการณ์เล็กๆน้อยๆมาเล่าให้ฟังนะครับ

    ผมยังไม่ได้นะครับแต่ก็กำลังปฏิบัติอยู่ ลองผิดลองถูกมา เพราะห่างไกลครูบาอาจารย์มาแนะนำ แต่ตอนนี้เริ่มพอเข้าใจบ้าง
    เพื่อนๆนักปฏิบัติหากมีประสบการณ์ก็มาเล่าให้ฟังบ้างนะครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 ธันวาคม 2010
  11. fashe

    fashe Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    82
    ค่าพลัง:
    +69
    เตโชนิมิต ขอให้ทุกท่านสำเร็จกสิณตามปราถนา เป็นกำลังใจให้นะครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  12. เส้นเล็ก

    เส้นเล็ก Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2010
    โพสต์:
    14
    ค่าพลัง:
    +96
    "พอรู้อารมณ์ในกสิณนั้นแล้วให้จำอารมณ์ไว้ให้ได้นะครับ"
    การจำอารมณ์ของกสิณ ไม่ง่ายเลย เพราะไม่ได้เกิดขึ้นทุกครั้งที่เราฝึก
    ถ้าเกิดขึ้นเป็นประจำก็ง่ายแล้ว แต่นี่นานๆๆๆๆๆๆๆ จะเกิดซักครั้ง
    มันจำยาก เพราะไม่มีเครื่องชี้วัด....
    "การใช้จิตเพ่งและไม่ใช้ตานั้น" คนที่ฝึกกสิณสีก็ต้องมองดูแผ่นกสิณ
    แล้วหลับตามองเงากสิณที่เกิดอยู่ใต้หนังตา จะเห็นได้ว่าต้องใช้ประสาท
    ตาอยู่ตลอดเวลาของการฝึก สีเงาสะท้อนหายไป ก็ต้องลืมตาดูใหม่
    แล้วหลับตาดูเงากสิณ จะเห็นได้ว่าไม่ง่ายเลย ที่จะใช้จิตเพ่งและไม่ใช้ตา
    ตามที่เขียนไว้ด้านบน ไม่ใช่ว่าต้องการที่จะโต้แย้งนะครับ แต่มันเป็นสิ่ง
    ที่เกิดขึ้นจริงๆสำหรับคนที่ฝึก
    มีเพื่อนคนหนึ่งลองเพ่งเทียนไข แล้วกำหนดโดยบีบให้เปลวไฟนั้นเล็กลงๆ
    แล้วบีบให้สูงขึ้นๆสักหลายนิ้ว ทำได้ แต่ทำได้เพียงครั้งเดียว ตั้งแต่นั้นมา
    ก็ไม่เคยทำได้อีกเลย..... จนถึงเดี๋ยวนี้
    สำหรับผมเองนั้นสนใจอยู่ประโยคหนึ่ง "การเห็นมาจากใจที่สงบ ไม่ใช่มาจากการนึก"
     
  13. fashe

    fashe Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    82
    ค่าพลัง:
    +69
    ทีแรกผมก็เป็นอย่างคุณเส้นเล็ก เพราะยังไม่เข้าใจ เพราะไปติดการมองภาพทางตาจากความเคยชิน จากที่หลับตาแล้วกว่าที่จิตจะเริ่มแยกจากตาทีละนิดไปจับการนึกแทนมันก็ต้องใช้เวลานานหน่อยในช่วงที่ฝึกทีแรก แต่พอทำบ่อยเข้าๆจิตจะเริ่มชินและไวขึ้นตามลำดับ หลังหลับตาแล้ว ไม่ใช่การที่ไปดูเงาของภาพนะครับ ภาพจะต้องได้มาจากการจำไม่ใช่ได้มาจากเงาที่ติดอยู่ในตา ความจริงไม่ต้องไปเพ่งนานๆหรอกครับ ถ้าหากคุณเป็นคนชอบจำแม้จะผ่านมาสิบปี พอนึกคุณก็คงจำเหตุการณ์นั้นได้ และลองนึกให้มันค้างอยู่อย่างนั้นสิ หรือสงสัยว่ามันจะเห็นชัดยังไง ก็ให้จับอานาปานุสติ จนจิตนิ่งแล้วลองนึกถึงหน้าคุณพ่อคุณแม่ แล้วดูลายละเอียด เช่นท่านยิ้มปากเป็นยังไง ขอแนะนำผู้เริ่มทำสมาธิควรไปฝึกอานาปานุสติกรรมฐานก่อนนะครับเพื่อจะได้รู้อารมณ์ความสงบของจิตมันเป็นยังไง พอจะนึกอะไรในตอนนั้นมันจะชัดเจน จะคล่องไปหมดเลย แต่อย่าฝึกเอาแบบลวกๆนะครับ พอดูปั๊ปหลับตาปั๊ปนึกถึงทันที ทีแรกจะลางๆ เบลอๆเพราะจิตยังไปจับประสาททางตา ต้องอย่าไปสนใจมัน นึกให้ภาพนั้นค้างอยู่(ต้องทำบ่อยจนชินนะครับ)แรกๆจะอยู่ไม่ได้นาน และภาพจะไม่เปลื่ยนสีหรอก อย่าไปนึกให้มันเปลี่ยนสีเองนะครับ อย่างนี้ไม่ใช่ปฏิภาคนิมิต การเห็นมาจากใจที่สงบ ไม่ใช่มาจากการนึก อันก็ถูกนะครับ แต่เริ่มมาจากการนึกก่อนนะครับเพื่อเป็นอุบายให้จิตดิ่งลงสู่ความสงบ เมื่อจิตสงบภาพก็จะชัดขึ้นสว่างจ้าขึ้น และจิตจะไม่สัดส่ายไปมาเหมือนตอนเริ่มทีแรก สังเกตุจากลมหายใจจะเบาลงๆ อาการทางตาไม่สั่นกระดุกกระดิก เหมือนกับมันค้างอยู่ที่จุดใดจุดเดียว แม้ภาพจะมีนิมิตเคลื่ยนไหวไปมา


    ผมมีอาการอย่างนี้ครับ
    พอเริ่มนึกถึงไฟ จิตเหมือนมันพุ่งดิ่งไปในกองไฟคล้ายเห็นเปลวไฟรอบตัว แล้วก็มีอาการทางกายคือ บริเวณคอและหลังมีไอร้อนผ่าวออกมาจากกาย อาการร้อนผ่าวนี้คล้ายกับตอนที่เราตกใจสุดขีดแล้วหลังจากนั้นจะมีอาการร้อนวูบวาบ



    ผิดถูกประการใดขออภัยในนะที่นี้ด้วยนะครับ
    จากคนด้อยปัญญาในโลก
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 พฤศจิกายน 2010
  14. btme

    btme เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    177
    ค่าพลัง:
    +319
    ขอถามผูรู้ทุกท่านครับ คือมีอยู่ครั้งหนึ่งผมนั่งสมาธิประมาณ 30 นาทีแล้วก็ไปนอน ขณะที่นอนผมก็ภาวนาไปด้วยสักพักก็จิตก็วูบไปเหมือนหลับและรู้สึกตัวตื่นขึ้นมา หรืออาจจะฝันไปก็ได้ เมื่อรู้สึกตัวขึ้นมาก็พบว่าตัวเองนอนออยู่ใต้ต้นไม้ ผมก็ได้นอนมองใบไม้ที่พริ้วไปตามลม สักพักหนึ่งใบไม่ก็ค่อยๆจางกลายเป็นหมอก ผมก็สงสัยว่ามันกลายเป็นหมอกได้อย่าง พอมีความสงสัยก็เห็นเป็นใบไม้ตามเดิม เป็นอย่างนี้ 3 ครั้ง พอครั้งที่ 4 ผมก็ไม่สนใจ ก็มองดูใบไม้ค่อยๆกลายเป็นหมอกแล้วก็แล้วกลายเป็นแสงสว่างจ้า สักพักก็พบว่าตัวเองลอยอยู่กลางอากาศ แต่คิดไม่ออกว่าจะไปไหน พอดีนึกอยากเจอพระพุทธเจ้า ก็พบว่าตัวเองมาอยู่หน้าพระสงฆ์รูปหนึงซึ่งนั่งอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่กลางป่า รู้สึกว่าร่างกายท่านจะโตกว่าคนทั่วไป
    ผมจึงกราบท่านพอกราบครั้งที่ 3 ก็รู้สึกตัวอยู่ที่ที่นอนก็เป็นเวลาที่จะต้องเตรียมตัวไปทำงานพอดี
    ผมขอถามความเห็นดังนี้ครับ
    - ท่านคิดว่าเป็นควาฝันหรือว่าผลจากสมาธิครับ ปกติก็ฝึกสมาธิเป็นประจำอยู่แล้วครับ
    - การที่ผมมองใบไม้ที่พริ้วไปตามลมแล้วค่อยๆกลายเป็นหมอกจนกลายเป็นแสงสว่างจ้านั้น ถือว่าเป็นกสิณรึเปล่าครับ(ซึ่งอาจจะเป็นความฝัน แต่มีความรู้สึก มีสติชัดเจนครับ)
    - และพระที่พบนั้น ท่านเป็นพระพุทธเจ้าจริงหรือเปล่าครับ (ถ้าเป็นความฝันก็หมดความสงสัยครับ เพราะฝันไม่มีจริงหรือไม่จริง)
     
  15. พิชญากร

    พิชญากร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2010
    โพสต์:
    909
    ค่าพลัง:
    +5,260
    ...ตอนนี้ สนใจเรื่อง กสินไฟ ค่ะ แล้วก็ก่อกองไฟ กองใหญ่ๆเลยนะคะ เสร็จแล้วก็ถ่ายรูปเก็บไว้เยอะ แล้วเอามาเลือกเพื่อที่นำมาดูและจำให้ขึ้นใจ แต่ก็เกิดปัญหาตรงที่ว่า
    --ได้รู้มาว่า กสินไฟ ให้เราจดจำสีของไฟไว้ ไม่ใช่เปลวไฟ พอมาดูรูปกองไฟที่ตัวเองถ่ายไว้ เอาแบบรูปสวยที่สุดเลยนะคะ สีของแสงไฟมันจะออกเป็นสีส้มเหลืองๆ ให้เราจำสีพวกนี้ไว้ใช่ไหมคะ?
    -- ก็เลยสงสัยว่า ถ้าเราได้สีส้มเหลืองแบบนี้ มันก็กลายเป็นกสินสีเหลืองไม่ใช่หรอกหรือคะ? หรือว่า จริงๆแล้ว เราจะต้องจำทั้งกองไฟ แล้วใช้ใจไปจดจ่อตรงกลางกองไฟคะ
    ตอนนี้งง กับตัวเองมาก ไม่รู้จะปฏิบัติแบบไหนดี ช่วยชี้ทางสว่างด้วยนะคะ
     
  16. fashe

    fashe Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    82
    ค่าพลัง:
    +69
    ผมเคยดูภาพถ่ายไฟนิ่งๆมา พอเพ่งไปซัก เอ๊า...! นี้ไฟไม่ใช่หร่อกลายเป็นอะไรก็ไม่รู้ มันหลง เพราะมันไม่ได้อารมณ์ของไฟ ไฟมันต้องวูบวาบๆ เพ่งภาพถ่ายก็ได้แล้วแต่ความชอบของแต่ละคนนะครับ ถ้าจะให้ดีให้จำตงที่หนาๆของไฟ เพ่งจุดใดจุดหนึ่งในภาพนิมิตรโดยอารมณ์สบายๆ แต่อย่าไปสนใจตรงเปลวไฟมันจะส่ายไปส่ายมาก็ช่างมัน จำแสงที่สะท้อนตาให้จับจิตจับใจ(ตอนผมทำความรู้สึกร้อนตาเหมือนอยู่ใกล้ๆกองไฟจริงๆ) ให้รู้สึกว่าด้านหน้าเรามีแต่กองไฟ นึกเอาให้มันค้างอยู่อย่างนั้นนะครับ

    ผมได้ทำเสียงกสิณประกอบในการฝึกมาใหโหลดกันนะครับจะได้/ม่หลงไปกับอารมณ์อี่น
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 พฤศจิกายน 2010
  17. พระบาก

    พระบาก Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    6
    ค่าพลัง:
    +44
    -- ก็เลยสงสัยว่า ถ้าเราได้สีส้มเหลืองแบบนี้ มันก็กลายเป็นกสินสีเหลืองไม่ใช่หรอกหรือคะ? หรือว่า จริงๆแล้ว เราจะต้องจำทั้งกองไฟ แล้วใช้ใจไปจดจ่อตรงกลางกองไฟคะ
    ตอนนี้งง กับตัวเองมาก ไม่รู้จะปฏิบัติแบบไหนดี ช่วยชี้ทางสว่างด้วยนะคะ
    <!-- google_ad_section_end -->

    โยม ที่ใช้ชื่อ <!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->fashe<!-- google_ad_section_end --><SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_4006481", true); </SCRIPT> พูดถูกแล้ว

    เสริมนิดเพื่อจะเป็นประโยชน์แก่โยม ด้วยความรู้จากการอ่านฟังมาก ที่มันมีมาก จึง คิดเยอะ รู้เยอะ มีความลังเล สงสัย

    เวลาทำ พยายาม ทำอารมณ์ ให้ว่างก่อน ว่างยังไง จับลมหายใจ เข้า ก็ ว่าไฟ หายใจ ออกก็ว่าไฟ จิตนึกถึงไฟ เป็นอารมณ์
    พอมันจะคิดเรื่องอื่นหรือมันฉลาดเกินไป พยายามเอาสติตามรู้ให้ทันถ้าคิดปุ๊ป ดึงกลับมาภาวนา ต่อ อาตมา เคยตามมันไม่ทันมันคิดนานไปหน่อยเป็นชม. ก็มีต้องใช้ความเพียร คำว่าไฟ เรารู้กันอยู่แล้วว่าหน้าตาเป็นอย่างไร ไม่ต้องคิดมาก ยิ่งถ่ายรูปไว้เยอะแย่ะ เนี่ย จำง่ายเลยโยม

    เพ่งกสิณนิมิต จะ นอน จะ นั่ง จะ ยืน จะ เดิน ทำได้ ตลอดเวลา นะโยม ไม่จำเป็นต้องนั่งขัดสมาธิ

    ๑. อาปานุสสติ คือจับลมหาย ใจ เข้า ออก(กรรมฐานทุกกองต้องขึ้นด้วยกองนี้เป็นพื้นฐาน)
    ๒. ภาวนา ว่า "ไฟ" หายใจ ออก ภาวนา ว่า " ไฟ "
    ๓. ระลึกนึกถึงภาพ ไฟ เปลวไฟ เนื้อไฟ แล้วก็ว่าไฟ ไฟ ไฟ ไฟ ไปเรื่อยๆ ๆ ๆ
    ๔. จิตที่ฉลาดในการเล่นให้ผลได้ไว้ ใช้ วิปัสนาญาน ทั้ง ๙ เข้ามาพิจารณาไฟ

    เช่น ความร้อนหรือความอบอุ่นในร่างกายมีการ ดับไหม มันทรงตัวไหม ถ้ามัน ทรงตัวทำไมเดี๋ยว เราก็ ร้อน เดี๋ยว เราก็หนาว ?
    ไฟ ที่ลุ่มร้อนเล่าร้อนไป ด้วยกาม ราคะ นี่ มี ทำให้สุข หรือ ทุกข์ ? มันเกิดขึ้นมามีดับไปไหม ?
    มันเกิดจากอะไรไฟกองนี้จึงทำให้เราเวียนว่ายตายเกิดใน วัฎสงสาร ไม่รู้กี่ พันชาติแล้วที่เกิดเป็น คน เป็นสัตว์เดรฉาน ?
    เป็นต้นนะ

    การเล่นกสิณไฟ แบบนี้ทำให้ สามารถ เกิดปัญญา และ ตัดกิเลส ไฟ นรกทั้งหลายที่เผา เราตลอดเวลาในชีวิตของการ อยู่เป็น คฤหัส ก็ คือ โยม เนี่ย แตะต้องทำเนื่องๆ บ่อยๆ ทำให้ชิน ติดที่ใจเอาแค่นี้ ก่อน

    ด้วยพุทธานุภาพ ธัมมานุภาพ สังฆานุภาพ จงทำให้ ทุกท่าน จง สำเร็จ จง สำเร็จ จง สำเร็จ
     
  18. mngo

    mngo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 เมษายน 2010
    โพสต์:
    605
    ค่าพลัง:
    +1,335
    กราบพระคุณเจ้า

    ตอนนี้กระผมเพ่งก็พอเห็นเป็นคลื่นๆบ้างครับ คือผมเพ่งจริงจังมาซัก 3-4 วันได้แล้ว แต่จิตยังไม่ถึงฌานหรอกครับ วิธีที่ผมเพ่งคือ เอากระดาษแปะติดไว้กับหน้าพัดลมให้มันเป่า แล้วก็เพ่งกระดาษนั้น ทีแรกก็เพ่งไม่ได้อะไร แต่พอพักหลังเริ่มเห็นเป็นคลื่นๆ พยายามไม่กดดันตัวเอง ก็ทีแรกผมคิดว่าอย่างผมคงไม่มีโอกาสเห็นหรอก แต่ก็ทำจริงจังมาแค่ 3-4 วัน มันก็พอเห็นบ้างเลยทำให้มีกำลังใจทำต่อ ตอนแรกก็อิจฉาคนอื่นที่เขาเห็นเขาได้ฌานกัน แต่พอมาทำเอง เอ้ะ! มันก็ไม่ยากนี่หว่า ดันคลำไปถูกจุดเข้า แต่จุดที่ผมว่ามันยากที่จะอธิบายให้คนอื่นเข้าใจถูกต้องตามได้ เพราะมันเป็นความรู้สึก ก็เลยจดบันทึกในภาษาที่ตนเองเข้าใจ ก็เลยจำแนวคิดของมันมาตลอด และจะพยายามทำต่อไป ท้อ ก็ พัก แล้วทำใหม่


    แล้วถ้าเมื่อใดพระคุณเจ้าสำเร็จ อย่าลืมมาแนะนำพวกกระผมนะครับ จะได้เดินตามแนวทางที่ถูกต้องจริงๆ จังๆ จะได้มีอภินิหารย์กับเขาบ้าง อิอิอิ
     
  19. Kongkritr

    Kongkritr Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2010
    โพสต์:
    39
    ค่าพลัง:
    +86
    ขออนุโมทนาบุญ ครับพระคุณเจ้า กับความรู้ที่ได้มาอีกเยอะเลยครับ
     
  20. ภูวิชครับ

    ภูวิชครับ สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    28
    ค่าพลัง:
    +16
    ใช้เทียนสิครับ :boo:
     

แชร์หน้านี้

Loading...