ฆราวาส เมื่อถึงนิพพานทำไมต้องตายหากไม่บวช !?

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย Mr.Boy_jakkrit, 10 ตุลาคม 2010.

  1. ชุนชิว

    ชุนชิว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    722
    ค่าพลัง:
    +780
    ผมคิดว่าพระอรหันต์บางองค์ก็มีกิจต้องทำต่อไป บางองค์ก็หมดกิจโดยสิ้นเชิงนะครับ แต่ผมก็เพียงคาดเดาไปเอง เช่น องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านก็เป็นพระอรหันต์ ก็ยังตามสอนคนไปจนปรินิพพาน แต่บางองค์ท่านคงไม่ได้ตั้งใจไว้ก่อนท่านก็อาจจะต้องนิพพานเลย ภายในวันนั้น ท่านที่สงสัยลองหาเรื่องของ มรว.วิภาวดี ดูซิครับ
     
  2. Phanudet

    Phanudet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    8,434
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +15,647

    ................................................................(deejai)
     
  3. kengkenny

    kengkenny เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    2,878
    ค่าพลัง:
    +2,500
    ถูกครับแต่ระหว่างสมณเพศ กับ คฤหัสเพศ ย่อมมีกิจและภาระต่างกัน ผมก็คาดเดาว่าเหตุที่พระศาสดาต้องออกสู่สมณเพศนั้นเพื่อไม่ให้มีผลกระทบกับกิจที่พึงกระทำ และหากพระศาสดาไม่ออกจากความเป็นคฤหัสเพศแล้วจะมาสอนเทวดาและมนุษย์ได้อย่างไร นั่นเพราะภาระกิจและความกังวลนั้นแตกต่างกัน ยกตัวอย่างเรื่องง่ายๆเลย ความรับผิดชอบ อาจมีในพระสูตรลองหามาพิจารณาประกอบก็ดีครับ
    สาธุครับ
     
  4. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181

    ลองพิจารณา ที่พระศาสดากล่าว

    แล้วลองถามพระศาสดาซิว่า แล้วเกิด ภูมิพระอรหัตตผล พอได้แล้วต้องตาย
    ข้าพระองค์ จะเจริญอรหัตตผลให้แจ้งต่อไปได้อย่างไร
     
  5. Sriaraya5

    Sriaraya5 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    3,079
    ค่าพลัง:
    +12,852
    ฆราวาท เมื่อถึงนิพพารทำไมต้องตายหากไม่บวช !?

    เพื่อการศึกษาร่วมกัน ไม่ได้อยู่ในเงื้อนไข
    ของฆราวาทที่บรรลุธรรมแล้วจำเป็นต้องโกนหัวเข้าบวช

    หากแต่ผู้ปฏิบัติธรรม บรรลุคุณธรรมความเป็นพระอริยเจ้ามาก่อน (อรหันตขีณาสพ)

    ด้วยมีเจตนาอย่างแรงกล้า ที่จะฉุดช่วยเพื่อนร่วมเกิด แก่ เจ็บ ตาย ที่ไม่สามารถโกนหัวเข้าบวชในบวรพระพุทธศาสนาได้

    หากจะเอาคนมาโกนหัวเข้าบวชทั้งโลก
    ย่อมเป็นถานะที่ทำไม่ได้

    จึงเป็นผู้เสียสละการครองเพศบรรพชิต ในถานะที่พระภิกษุมีศีลข้อห้ามมากมาย อันจะทำให้โลกเค้าติเตียนได้

    ซึ่งทำให้ไม่คล่องตัวในการฉุดช่วยเพื่อนสหายโลกธาตุ ร่วมเกิด แก่ เจ็บ ตาย ได้อย่างเต็มที่ ดีที่สุด เที่ยงธรรมที่สุด จำเป็นต้องลาสิกขาในพรรษาที่ 4 ออกมาเป็นฆราวาท

    ยุคพลังงานเก่าบุคคลผู้รู้แจ้งทางพระนิพพานแล้วไม่อาจดำรงชีวิตในเพศคฤหัสถ์ได้เกิน7วัน อันนี้อยู่ที่พระศาสดาองค์ก่อน
    กำหนดให้บวชตาม

    ยุคพลังงานใหม่ธรรมจักรใหม่บุคคลผู้รู้แจ้งทางพระนิพพานแล้วสามารถดำรงชีวิตในเพศคฤหัสถ์ได้
    เป็นเรื่องของสติ กับปัญญาล้วนๆ

    ปฏิบัติไม่ถึง เรียนไม่ถึง รู้ไม่ได้<!-- google_ad_section_end -->

    สู้กันด้วยปัญญา อย่าสู้กันด้วยอคติ
     
  6. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    ท่านศรี ท่านก็อย่าให้มันสุดโต่งนัก ก็ดีนะ
    อะไรที่เว่อร์ๆ เก็บเอาไว้รู้คนเดียวบ้างก็ดี
     
  7. อวตาร.

    อวตาร. เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    411
    ค่าพลัง:
    +633
    เดี๋ยวจะตัดข้อสงสัยออกไปทีละข้อวันนี้เอาเรื่องศีลก่อน
    พระอรหันต์ไม่จำเป็นต้องมีศีล 227 ข้อ หรือ ศีล 8 ใช้แค่ที่มีอยู่ใน มรรค ก็พอ

    ส. อะไรเป็นเหตุ อะไรเป็นปัจจัย ให้พระศาสนาของพระผู้มีพระภาคพระนามวิปัสสี
    พระนามสิขี และพระนามเวสสภู ไม่ดำรงอยู่นาน พระพุทธเจ้าข้า?
    ภ. ดูกรสารีบุตร พระผู้มีพระภาคพระนามวิปัสสี พระนามสิขี และพระนามเวสสภู
    ทรงท้อพระหฤทัยเพื่อจะทรงแสดงธรรมโดยพิสดารแก่สาวกทั้งหลาย อนึ่ง สุตตะ เคยยะ
    เวยยากรณะ คาถา อุทาน อิติวุตตกะ ชาดก อัพภูตธรรม เวทัลละ ของพระผู้มีพระภาคทั้ง
    สามพระองค์นั้นมีน้อย สิกขาบทก็มิได้ทรงบัญญัติ ปาติโมกข์ก็มิได้ทรงแสดงแก่สาวก

    http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/r.php?B=1&A=213&w=เวสสภู
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 ตุลาคม 2010
  8. kengkenny

    kengkenny เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    2,878
    ค่าพลัง:
    +2,500
    การตั้งอยู่ในอรหัตตผล
    [๒๓๘] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราย่อมกล่าวการตั้งอยู่ในอรหัตตผล ด้วยการไปครั้งแรก
    เท่านั้นหามิได้ แต่การตั้งอยู่ในอรหัตตผลนั้น ย่อมมีได้ ด้วยการศึกษาโดยลำดับ ด้วยการทำ โดยลำดับ ด้วยความปฏิบัติโดยลำดับ. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็การตั้งอยู่ ในอรหัตตผล ย่อมมีได้ ด้วยการศึกษาโดยลำดับ ด้วยการทำโดยลำดับ ด้วยความปฏิบัติโดยลำดับอย่างไร? ดูกรภิกษุ ทั้งหลาย กุลบุตรในธรรมวินัยนี้ เกิดศรัทธาแล้วย่อมเข้าไปใกล้ เมื่อเข้าไปใกล้ย่อมนั่งใกล้ เมื่อนั่งใกล้ย่อมเงี่ยโสตลง เมื่อเงี่ยโสตลงแล้วย่อมฟังธรรม ครั้นฟังธรรมย่อมทรงธรรมไว้ ย่อมพิจารณาเนื้อความแห่งธรรมที่ทรงไว้แล้ว เมื่อพิจารณาเนื้อความอยู่ ธรรมทั้งหลายย่อมทน ได้ซึ่งความพินิจ เมื่อธรรมทนความพินิจได้อยู่ ฉันทะย่อมเกิด เมื่อเกิดฉันทะแล้ว ย่อมอุตสาหะ ครั้นอุตสาหะแล้ว ย่อมไตร่ตรอง ครั้นไตร่ตรองแล้ว ย่อมตั้งความเพียร เมื่อมีตนส่งไปแล้วย่อมทำให้แจ้งชัดซึ่งบรมสัจจะด้วยกาย และย่อมแทงตลอดเห็นแจ้งบรมสัจจะนั้นด้วยปัญญา. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ศรัทธาก็ดี การเข้าไปใกล้ก็ดี การนั่งใกล้ก็ดี การเงี่ยโสตลงก็ดี การฟังธรรมก็ดี ความพิจารณาเนื้อความก็ดี ธรรมอันทนได้ซึ่งความพินิจก็ดี ฉันทะก็ดี อุตสาหะก็ดี การไตร่ตรองก็ดี การตั้งความเพียรก็ดี นั้นๆ ไม่ได้มีแล้ว เธอทั้งหลายย่อมเป็นผู้ปฏิบัติพลาด ย่อมเป็นผู้ปฏิบัติผิด ดูกรภิกษุทั้งหลาย โมฆบุรุษเหล่านี้ ได้หลีกไปจากธรรมวินัยนี้ ไกลเพียงไร.

    ย่อมมีได้โดยลำดับ
    ว่าด้วยอินทรีย์ ๕ ไหมครับไม่รู้ เอาตามความเข้าใจของผมเช่นกันครับเริ่มด้วยศรัทธาเป็นต้น ที่ผมเข้าใจนั้นหมายถึงกิจที่พึงทำของผู้บรรลุอรหัตผลนั้นหมดแล้วไม่มีอีกแล้วเว้นเสียการโปรดเมตตาสั่งสอนสัตว์ให้พ้นทุกข์ แต่ที่ผมเข้าใจว่าคฤหัส นั้นยังกิจอื่นอันพึงกระทำอยู่นี้ผิดหรือถูกลองพิจารณาเพราะกิจในที่นี้หากลองพิจารณาดีๆมันก็ต่างกันจริงๆ แต่ถามว่าเป็นคฤหัสบรรลุอรหัผลแล้วต้องปรินิพพานทันทีหรือภายใน ๗ วัน นั้นมันขึ้นอยู่กับกิจที่พึงกระทำอันเป็นข้อวัตรปฏิบัติด้วย รวมไปถึงความที่จะไม่อยากให้เป็นโทษต่อผู้อื่นด้วยส่วนหนึ่งจึงต้องปรินิพพานไป หากบรรลุอรหัตผลแล้วบรรชาก็ย่อมต้องมีกิจอันเป็นการโปรดสัตว์ซึ่งถือเป็นกิจสำคัญใหญ่หลวงของเหล่าพระอรหันตเถระทั้งหลาย ผมก็กล่าวตามความเข้าใจของผมเช่นกันครับ อยากให้ลองพิจารณากันดีๆครับ
    อนุโมทนาครับ
    ปล. อันนี้เดาของจริงครับ พิจารณาเอาเองดีกว่าครับ ผมอาจเข้าใจผิดก้อได้ครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 ตุลาคม 2010
  9. จิตโต

    จิตโต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    39
    ค่าพลัง:
    +163
    มีคำถาม "ฆราวาส เมื่อบรรลุอรหัตผล ทำไมต้องตายหากไม่บวช"

    ผมสงสัย...เฉพาะในขณะที่ท่านกำลังจะตายจากโลกนี้

    -ท่านตายด้วยเพราะอะไร? ทำไม...หัวใจจึงหยุดเต้น
    ในเมื่อท่านไม่ได้มีโรคภัยไข้เจ็บ...หรือประสบอุบัติเหตุร้ายแรงแต่อย่างใด

    หรือว่า...ท่านสามารถอฐิษฐานให้ตนเองตายได้...
    หรือว่า...การอฐิษฐานให้ตนเองตายได้...มีเฉพาะผู้บรรลุอรหัตผล
    เคยมีบันทึกไว้ในพระไตรปิฏกหรือไม่

    ขอถามผู้รู้...ช่วยกันชี้แจงถกประเด็นนี้
    ผมอยากทราบเพียงแค่ประเด็นนี้...เท่านั้น
    ส่วนในประเด็นอื่นนั้น มีผู้ตอบดีแล้ว
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 ตุลาคม 2010
  10. Sriaraya5

    Sriaraya5 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    3,079
    ค่าพลัง:
    +12,852
    เรารู้อย่างไงเราก็สอนเท่าที่เรารู้

    จิตท่านขันธ์ยังมีอิจฉา ไปละซะนะตัวหลง

    เข้าใจไหม
     
  11. Mr.Boy_jakkrit

    Mr.Boy_jakkrit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    2,063
    ค่าพลัง:
    +2,676
    การมีตัวตนนี่มันลำบากเยี่ยงนี้เอง
    แต่การพ้นไปของการมีชีวิต
    ข้าพเจ้ามองว่า สองสิ่งเป็นคนละอย่างกัน เช่นคำว่า ตัวตน และ ชีวิต
    ซึ่งหมายถึง ตัวตน ที่มีตัวมีตนมีอยู่ตั้งอยู่ ต่างจากสิ่งมีชีวิตที่หมายถึงวงจรของกิจกรรมที่คงสถานะให้เซลหรือส่วนประกอบของทั้ง 4 ธาตุ ดิน น้ำ ลม ไฟ นี้ร่วมด้วยช่วยกันคงสภาพและใช้งาน ที่จะกล่าวคือ ในหุ่นธาตุประกอบทั้ง 4ธาตุนี้ มีอยู่สิ่งเดียวที่เป็นตัวบังคับนั่นคือ จิต โดยอาศัยการทำงานที่แยบยลและกลไกลอันพิศดารยิ่งมีกระบวนการต่างเพิ่มเสริมเติมให้สมบูรณ์ยิ่งๆขึ้น อายตนะ 6 หรือ ทวารรับสัมผัสที่ประกอบด้วย หู ตา จมูก ลิ้น กาย ใจ ในทั้ง 6 ประตูแห่งการรับรู้นี้หากพิจารณาในแง่สายปฏิบัติแล้ว เป็นเครื่องรับที่คอยหลอกหลอนและกล่อมประสาทให้เชื่อว่าตัวตนของฉันมันมีจริงให้แน่นแฟ้นขึ้นตามลำดับประกอบกับการเข้าผิดคิดไปว่านี่แหละตัวฉัน ของๆฉัน เมื่อเป็นเช่นนี้ตั้งแต่จำความได้จะสังเกตุได้ว่ากิเลสของมนุษย์ถูกพอกพูนขึ้นเอง ด้วยตัวเอง เช่น เมื่อมีความคิดเห็นที่ว่ามีตัวฉันจริงๆแล้วนั้นก็จะเกิด หวงแหน ตั้งกฏเกณฑ์ ตีกรอบทางอารมณ์ ขีดเส้นความอดทน โดยการตั้งสมมติฐานเอาเองทั้งนั้น ซึ่งหากพิจารณาให้ดีแล้วมนุษย์มีความคิดที่ฉลาด เพราะมีภาษาที่สื่อสารและยังมีภาษาเขียนที่คาดการณ์กันว่ามนุษย์เป็นสัตว์ที่ฉลาดเลิศ แต่ในอีกมุมมองหนึ่ง "ทำไมเราเดินไปเตะจานข้าวหมา แต่หมาไม่ดันไม่เก็บไปแค้น" อย่างนี้เป็นต้นฯ จากเหตุการณ์ที่ยกตัวอย่างมาดังกล่าวนี้ ทำให้เกิดข้อสงสัยว่า คำว่า ตัวตนในที่นี้นั้น หมายถึง ความคิดเห็นที่สมมติฐานกันขึ้นมาและโดย ขันธ์5 อายตนะ6 เปรียบเสมือนเป็นพี่เลี้ยงคอยตอกย้ำให้เกิดถือเนื้อถือตัวเป็นตัวเป็นตนขึ้นมา


    เบื้องต้น จากที่ได้อ่านคอมเม็นต์ของแต่ละท่าน รู้สึกถึงความมีเมตตาจิตที่ปราถนาอยากจะช่วยเหลืออนุเคราะห์แก่ผู้อื่นมากครับ ขออนุโมทนาครับ

    สำหรับความเห็นหลังจากได้อ่านทุกบทความของทุกท่าน
    - พระกับฆราวาท ต่างกันที่ฐานะในการครองตน ที่มีตัวศีลและวัตเป็นตัวแบ่ง
    - พระกับฆราวาท เมื่อบรรลุธรรมชั้นสูงแล้ว สถานะจะเปลี่ยนไปซึ่งมีประโยชน์และโทษ

    ขอทุกท่านจงบรรลุเป้าหมายสูงสุดในพระศาสนาครับ สาธุ
     
  12. kengkenny

    kengkenny เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    2,878
    ค่าพลัง:
    +2,500
    ผมอยากสนทนาธรรมกับท่านครับ จึงขอเสริมให้นิดหนึ่ง คือ
    ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนมีตัวตนด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้นครับ แต่การที่จะรู้ว่าตัวตนของตนนั้นเป็นเช่นไรต้องอาศัย เหตุอันดีทั้งหลายตามที่พระศาสดาตรัส ครั้นรู้ว่าตนที่แท้นั้นเป็นเช่นไรจึงพิจารณาได้ว่าควรยึดไว้หรือไม่ควร เพราะหากคิดว่าถูกแยกเป็นสิ่งต่างๆได้สุดท้ายก็เหลือเพียงอะไรเป็นเหตุให้เป็นเช่นนั้นและอะไรเป็นเหตุให้หมดไป และเท่าที่พิจารณาก็ล้วนเป็นเพียงนามที่ส่งผลกระทบ และการอยู่หรือการไปของพระอริยะเจ้าพระขีณาสพทั้งหลายนั้นหาได้กระทบกับใครเลยก็หาไม่ เพราะพระอริยะเจ้าขีณาสพทั้งหลายย่อมประกอบด้วยสติสัมปยุตอย่างพร้อมบริบูรณ์ นั่นหมายถึง การจะมีหรือไม่มีตัวตนก็ไม่ได้ก่อโทษแก่ใครทั้งตนแลผู้อื่นจึงมีทั้งเหตุให้อยู่และไม่อยู่เช่นกันตามสมมุตินั้นๆ ว่ากันง่ายๆมันเป็นไปตามเหตุปัจจัยและบุพกรรมที่สร้างมาร่วมกันจริงๆนั่นแหละครับ
    อนุโมทนาสาธุเช่นกันครับ ขอท่านเจริญในธรรมยิ่งขึ้นไป
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 ตุลาคม 2010
  13. Mr.Boy_jakkrit

    Mr.Boy_jakkrit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    2,063
    ค่าพลัง:
    +2,676

    กล่าวคือ ผู้เจริญแล้วย่อมรู้ถึงผลกรรมที่จะได้รับก่อนที่จะกระทำเหตุ เมื่อรู้เช่นนี้ย่อมแสดงว่ารู้ว่าสิ่งดีและสิ่งไม่ดี สิ่งที่ควรยึดและสิ่งที่ไม่ควรยึด เช่น เมื่อรู้ว่ากายนี้เป็นเครื่องถูกบังคับด้วยจิต ก็จะมีทั้งคุณและโทษจิตทำดีส่งผลให้กายได้ดี แต่หากจิตคิดไม่ดีก็จะพากายนี้ไม่ดี จึงอาจจะสรุปได้อีกแง่มุมนึงว่ากายนี้ตัวตนนี้ ตัวฉันนี้เป็นบ่งชี้ถึงการกระทำที่แสดงออกของจิต
    หรือที่มักกล่าวกันโดยทั่วไปในวงสนทนาธรรมนั้นคือ คนเราเกิดมาเพื่อเรียนรู้ รู้ในสิ่งที่สิ่งควรรู้ รู้ในสิ่งที่ไม่ควรรู้ ทั้งนี้ทั้งนี้เมื่อผู้เรียนรู้ทั้งสองประการดังนี้แล้ว ย่อมที่จะสามารถแยกแยะในสิ่งที่ ดี ไม่ดี ถูก ผิด บาป บุญ เมื่อมีฐานของความคิดเห็นถูก (ซึ่งถึงเห็นถูกทั้งเรื่องที่ดีว่าดี เรื่องที่ไม่มีว่าไม่ดี) จึงจะเป็นขั้นตอนของการใช้สติปัญญานำเอาความรู้เหล่านั้นมาประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมและเกิดประโยชน์ทั้งทางโลกและทางธรรมสืบไปภายใต้คุณธรรมจริยธรรมในการดำรงชีวิตอยู่ร่วมกันในสังคมเพื่อความสุขทั้งทางกายและใจในภายภาคหน้า

    อนุโมทนาครับ :cool:
     
  14. เรือทุกข์

    เรือทุกข์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    87
    ค่าพลัง:
    +405
    รู้อะไรก็ไม่สู้รู้ใจตน
    จิตสับสนวกวนตนไม่รู้
    ยังยึดมั่นอัตตาว่าตัวกู
    นี่หรือรู้ รู้อะไร ใช่ใจตน

    ขออนุโมทนาท่านผู้รู้ทุกๆท่านครับ
     
  15. อวตาร.

    อวตาร. เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    411
    ค่าพลัง:
    +633
    -ท่านตายด้วยเพราะอะไร? ทำไม...หัวใจจึงหยุดเต้น
    ในเมื่อท่านไม่ได้มีโรคภัยไข้เจ็บ...หรือประสบอุบัติเหตุร้ายแรงแต่อย่างใด
    ท่านตายเพราะหมดอายุขัยก็มี ตายเพราะกรรมตัดรอนก็มี ตายแบบอุบัติเหตุก็มี
    ตายด้วยโรคภัยไข้เจ็บก็มี สรุปคือ ตายได้แบบคนทั่วๆไปนั่นแหละครับ

    หรือว่า...ท่านสามารถอฐิษฐานให้ตนเองตายได้...
    อธิฐานให้ตายเร็วไม่มี แต่อธิฐานให้ตายช้ามีและอยู่ได้ตลอดกัปป์

    หรือว่า...การอฐิษฐานให้ตนเองตายได้...มีเฉพาะผู้บรรลุอรหัตผล
    เคยมีบันทึกไว้ในพระไตรปิฏกหรือไม่
    ไม่มีบันทึกไว้ในพระไตรปิฏก พระอรหันต์จะไม่ทำลายขันธ์ของตัวเองท่านจะ
    ดูแลขันธ์ตามอัตภาพ จนกว่าจะถึงเวลาที่ขันธ์จะหมดอายุขัยตามกรรม
    แม้ท่านพระสารีบุตรยัง บ่นอยู่เสมอว่า อยู่ด้วยความเบื่อหน่าย อยู่ด้วยความอึดอัด
     
  16. Sriaraya5

    Sriaraya5 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    3,079
    ค่าพลัง:
    +12,852
    แจ่มแจ้งจริงหนอ

    มโนแจ่มคับ
     
  17. tay pps

    tay pps เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    67
    ค่าพลัง:
    +377
    จริงครับ
    ทุกคนมีหน้า ที่เราเกิดมา
    เราเกิดมาทำไหม เพื่อเปิดโอกาสได้มองเห็นธรรม
    เมื่อบรรลุยังมีหน้าที่ ยังไปไม่ได้
    หน้าที่อะไร เพื่อสืบทอดพระพุทธศาสนาต่อไป (ถ้าตัวเราบรรลุแล้วก็ต้องบอกแนวทางการบรรลุต่อไปเป็นทอดๆ)เรื่องนี้ พระครูโลกเทพอุดรท่านก็ยังทรงทำอยู่
     
  18. อวตาร.

    อวตาร. เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    411
    ค่าพลัง:
    +633
    ถ้าฆรวาสเป็นพระอรหันต์แล้ว คุณอนันต์โทษมหันต์ ในข้อนี้ก็มาลองดูเรื่อง อนันตริยกรรม ข้อที่ว่า ฆ่าพระอรหันต์
    จะเห็นได้ว่าผู้ที่ฆ่าพระอรหันต์นั้นมีเวรมีกรรมกับพระอรหันต์องค์นั้น เมื่อมาพูดเรื่องกรรมซึ่งมากมายมหาศาล(อจินไตย)
    แล้วทำไมกรรมที่จะมีผู้ก่อกับพระอรหันต์ที่เป็นฆราวาส จะไม่มี กรรมๆๆๆๆ(อจินไตย)มันเป็นไปได้ทุกรูปแบบ
    แม้เพียงเม็ดทรายในกำมือเทวทัตที่กล่าวอาฆาตจองเวรพระพุทธเจ้า ทุกๆชาติเท่าเม็ดทรายในมือ ก็ส่งผลแน่นอนมาขนาดนี้
    บุญกรรมของผู้ที่จะได้กับพระอรหันต์ที่เป็นฆราวาส คงมาเป็นตัวตัดสินว่า ฆราวาสเมื่อเป็นอรหันต์แล้ว จะอยู่ไม่ได้ถ้าไม่บวช
    มีเหตุจึงมีผล
     
  19. Sriaraya5

    Sriaraya5 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    3,079
    ค่าพลัง:
    +12,852
    เรื่องนี้ พระครูโลกเทพอุดร ท่านก็ฝึกลูกศิษย์
    บรรดาเหล่าที่เป็นพระโพธิสตว์
    มีทั้งที่เป็นพระ เป็นฆราวาส
    เพราะท่านจำเป็นต้องสร้างลูกศิษย์เพื่อเผยแผ่ธรรมแท้ๆ

    บางท่านก็สงเคราะห์ สรรพสัตว์ในเพศนักบวช
    ส่วนลูกศิษย์ของท่าน ที่เป็นฆราวาสก็สงเคราะห์

    ในเพศชาวบ้าน ทุกท่านล้วนได้พระครูโลกเทพอุดร
    เป็นวิสุทธิอาจารย์ครับ
     
  20. จิตโต

    จิตโต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    39
    ค่าพลัง:
    +163
    ขอบคุณ คุณ อวตาร. ที่ตอบคำถาม

    คำถามอาจจะไม่ชัดเจน
    กรุณาตอบให้เข้าใจอีกครั้งครับ

    เมื่อครบ 7 วัน ฆราวาส ผู้บรรลุอรหัตผล หากไม่บวช จะต้องตาย
    หากยังไม่หมดอายุขัย ไม่มีกรรมมาตัดรอน หรือมีอุบัติเหตุให้ต้องถึงแก่ความตาย
    หรือเพราะป่วยหนักด้วยโรคภัยไข้เจ็บ

    ท่านตายด้วยเพราะอะไร.... ในเมื่ออธิฐานให้ตายเร็วไม่มี แต่อธิฐานให้ตายช้ามีและอยู่ได้ตลอดกัปป์ ที่สำคัญไม่มีบันทึกไว้ในพระไตรปิฏก พระอรหันต์จะไม่ทำลายขันธ์ของตัวเองท่านจะดูแลขันธ์ตามอัตภาพ จนกว่าจะถึงเวลาที่ขันธ์จะหมดอายุขัยตามกรรม




    สำหรับผม เข้าใจว่า...ท่านตายจากความเป็นปุถุชน
    ไม่ได้ตายด้วย...เพราะสาเหตุแห่งความเป็นฆราวาสผู้บรรลุอรหัตผล
    เพราะคุณธรรมแห่งพระอรหันต์ไม่ได้เป็นโทษและเหตุแห่งการทำลายขันธ์

    เมื่อท่านผู้เป็นฆราวาสบรรลุธรรมอรหัตผล ท่านจะไม่ใช้ชีวิตเฉกเช่นเดียวกับปุถุชน
    เพราะการคลุกคลีกับปุถุชน ย่อมเกิดโทษแก่ผู้ล่วงเกินท่านฯโดยที่ทั้งตั้งใจและไม่ตั้งใจ

    ด้วยสติปัญญาระดับผู้บรรลุธรรมอรหัตผล ย่อมแตกต่างจากปุถุชนทั่วไป
    ย่อมหาทางออกที่เหมาะสม เช่น ออกจากเรือน ปลีกวิเวก หรือออกบวช

    ดังตัวอย่าง คุณแม่จันดี น้องสาวหลวงตามหาบัว ฆราวาสผู้บรรลุธรรมอรหัตผล
    ท่านเป็นอนาคาริก ออกจากเรือน ปลีกวิเวก มาอยู่วัดป่าบ้านตาด
    ถือศีล ๘ เพื่ออยู่ในเพศเหมาะสมแห่งตน
     

แชร์หน้านี้

Loading...